พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 12 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีตอนเย็น วันศุกร์แห่งชาติครับ


    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นำมาให้ชม สำหรับต้นวาสนาที่บ้านคุณPinkcivil ครับ

    เจ้าตัวบอกกับผมว่า สวย และ หอม

    สวยครับ เพราะปกติต้นวาสนาจะออกดอกเป็นช่อยาวๆ แต่นี้เป็นช่อกลมๆ

    น่าจะมีอะไรดีๆนะครับ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P4203777.JPG
      P4203777.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      54
    • P4203805.JPG
      P4203805.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      41
    • P4203806.JPG
      P4203806.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      34
    • P4203808.JPG
      P4203808.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      39
    • photo1.JPG
      photo1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      41
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่ผมและภรรยาได้ร่วมทำบุญช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ประเทศญี่ปุ่น โดยผ่านทางสภากาชาดไทย ทางสภากาชาดไทยได้ส่งใบเสร็จรับเงินมาให้ผมเรียบร้อยแล้ว

    มาร่วมโมทนาบุญกับผมและภรรยากันอีกครั้งครับ

    [​IMG]


    [​IMG]

    .

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • sa.JPG
      sa.JPG
      ขนาดไฟล์:
      49.6 KB
      เปิดดู:
      684
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เกือบลืม หากใครเห็นอะไรดีๆเด็ดๆ อย่าลืมบอกกันมั่งนะครับ

    ขอแค่ 2 ตัวตรงๆก็พอ อิอิ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]


    .
     
  6. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    อนุโมทนาบุญ ด้วยครับ
     
  7. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2554 ผมได้ร่วมทำบุญ เจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง 500 บาท ผมสแกน ใบ Payin ไว้ใน Album ของผมแล้วครับ แต่ผมได้ Post ข้อความ ที่ หัวข้อ ขอเชิญร่วมสร้างเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง แล้ว เพราะ วันที่ 21 เมษายน 2554 ผม เข้ามาโพสต์ ในกระทู้นี้ไม่ได้เลยครับ คุณ Sithiphong มันฟ้อง Abort ตลอดครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รับทราบครับ

    โมทนาสาธุครับ



    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ชวนชิมหลาก'อาหารญี่ปุ่น'เลิศรสสะอาด ปลอดภัย ไร้สารพิษ


    [​IMG]


    ที่ผมจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องการมาชิมอาหาร ญี่ปุ่นนั้น ผมได้โทรศัพท์ไปที่ร้านมารุและได้อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องราวของ ร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยที่นำเข้าวัตถุดิบจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อมีเหตุการณ์เกี่ยวกับโรงไฟฟ้าปรมาณู หลังจากเกิดเหตุการณ์พิบัติภัยสึนามิขึ้นมานั้น ก็มีความไม่มั่นใจว่าอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยจะปลอดภัยหรือไม่!?

    หลังจากโทรฯ ไปถามทางร้านแล้วก็ได้คำตอบว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นหลาย ๆ ร้านยังมีการนำเข้าปลา รวมทั้งผลิตภัณฑ์และผลิตผลต่าง ๆ จากญี่ปุ่นอยู่บ้าง แต่จะเป็นการนำเข้าอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น คือ ทุกวันพฤหัสบดี โดยจะต้องได้รับการยืนยันและรับรองจากทางการญี่ปุ่นเสียก่อน ซึ่งจะมีการตรวจวัตถุดิบต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องสารกัมมันตรังสี และสารอื่น ๆ เมื่อได้รับการยืนยันจากองค์การอาหารของญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้วก็จะส่งมายัง เมืองไทย และเมื่อมาถึงเมืองไทยก็จะต้องมีการตรวจใหม่อีกครั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ ถึงจะเอามาทำเป็นอาหารให้เราบริโภคได้

    ส่วนมากแล้วอาหารที่สั่งไปนั้นอาจจะได้ไม่ครบครัน แต่มั่นใจได้ว่าเป็นสิ่งที่ปลอดภัย เพราะทางญี่ปุ่นและทางการไทยได้ตรวจตราดูอีกครั้งหนึ่งแล้ว ก่อนที่จะนำเข้ามาในประเทศครับ

    มาที่ ร้านมารุ นั้น คงจะมีหลายคนที่เคยไปทานอาหารที่ร้านนี้มาแล้ว เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นครับ ตั้งอยู่ที่ซอยทองหล่อ 3 เป็นร้านที่มีปลาดิบที่อร่อยมากเลยครับ วันที่ผมไปกินมานั้นซึ่งก็ผ่านมา 2 เดือน เห็นจะได้ ก่อนที่จะมีเหตุการณ์เกิดที่ประเทศญี่ปุ่นครับ

    อาหารของเขาอร่อยมาก มี ซาซิมิ และ ปลาโอโตโร่ ซึ่งตอนนี้ทางร้านไม่ได้นำเข้าวัตถุดิบจากญี่ปุ่นแล้วนะครับ แต่เขามีแหล่งวัตถุดิบอีกแหล่งหนึ่ง ซึ่งมีปลาซิไมไดและปลาเข็มทะเลให้เราได้ทานกัน แต่ถ้าเพื่อน ๆ อยากทราบว่าปลาแซลมอนเขาเอามาจากไหน ผมบอกแทนว่า เขาเอามาจากประเทศนอร์เวย์แทน หลังจากที่ผมกินซาซิมิเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเอา ยำหนังปลาปักเป้า มาให้ผมทาน ซึ่งยังกรุบ ๆ เหมือนกินหนังสติ๊กเลยครับ ซึ่งเขาก็ยำได้เป็นอย่างดี ไม่มัน อร่อยมากครับ

    หลังจากนั้น เขาก็เอา ก้างปลาเข็มมาทอดกรอบ และบีบมะนาวมาให้เรากิน โดยเขาจะทอดช้า ๆ ใช้ไฟอ่อน ๆ จนปลากรอบและไม่ไหม้ มีกลิ่นหอม ไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่นิดเดียวเลยครับ กินเป็นกับแกล้มได้เป็นอย่างดีทีเดียว

    มีบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะนำเข้ามาไม่ได้ในตอนนี้ แต่ตอนที่ผมไปผมได้กิน คือ ถั่วเหลืองคั่ว โดยเขามีความเชื่อกันว่า ถ้ากินเท่ากับอายุจะทำให้อายุยืน ผมก็ต้องกินเข้าไป 50 กว่าเม็ด เพื่อจะได้ทำให้ผมอายุยืนครับ เพราะตอนนี้ผมก็เริ่มแก่แล้ว

    จากนั้นผมสั่ง ซูชิไข่ปลาแซลมอนและ ซูชิไข่หอยเม่น มากินครับ ซึ่งวัตถุดิบของเขาสดเหลือเกิน ไม่มีกลิ่นคาวเลย มีแต่ความหวานและความเค็ม ผมชอบใจจริง ๆ เลยครับ ที่แน่ ๆ คอเลสเตอรอลคงมากพอสมควรเลย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรครับ เพราะรสชาติอร่อยเสียขนาดนี้

    ยังมี ถั่วแระสด ที่เขาเอาไปต้มมาให้เรากิน ซึ่งผมขอบอกว่า รสชาติอร่อยมากครับ สดดีจริง ๆ เลย เคี้ยวเพลินเลยครับ เห็นธรรมดา ๆ อย่างนี้ หมดเร็วน่าดูเลยครับ

    มาที่ ซาซิมิกุ้งหวาน ในส่วนของหัวกุ้งเขาเอาไปทอดกรอบ ผมไม่รู้ว่าจะบอกเพื่อน ๆ อย่างไรดีว่า อาหารจานนี้อร่อยแค่ไหน ต้องลองไปชิมเองครับ กุ้งหวานนั้น หวานจริง ๆ ครับ และสดมากเลยครับ ยังมี ปลาจิงกิต้มซีอิ๊ว ซึ่งปลานี้เป็นปลาตัวสีแสด ตาโต ตัวก็ไม่ใหญ่มาก เมื่อเทียบกับมือของผม มือผมเล็กไปเลยครับ แต่ราคาแพงพอสมควรครับ แต่ไม่ได้ให้กินเป็นซาซิมินะครับ แต่เอาไปต้มซีอิ๊วแบบญี่ปุ่น ซึ่งรสชาติอร่อยมากครับ เนื้อปลาแทบจะละลายในปากและมีความมัน อร่อยจริง ๆ นะครับ

    มี มะเขือม่วงยาวย่าง ทำเป็น 2 หน้า หน้าหนึ่งทำแบบเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น อีกหน้าหนึ่งเป็นสีน้ำตาลมีความหอมมีความอร่อย แต่เค็มพอสมควรแต่ก็ไม่ได้เค็มมากจนเกินไป

    ส่วนของหวาน ผมก็ชอบอะไรต่าง ๆ ที่มาจากญี่ปุ่นครับ ผมเคยกิน มะเขือเทศ ที่มาจากญี่ปุ่น กินเป็นของหวานได้เลยครับ ทั้งหวาน ทั้งเปรี้ยว ทั้งหอม รสชาติดีมาก ราคาแพงพอสมควรแต่ก็ถือว่าคุ้มค่าที่ได้ลิ้มรสของพวกนี้นะครับ มี น้ำแข็งไสกับถั่วแดง แบบญี่ปุ่น ซึ่งจานนี้ผมชอบกินมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ แม้ว่าที่นี่เขาจะไม่ได้ใส่นมข้น แต่มีความหอมหวานน่ากินมาก ๆ

    สุดท้ายที่ต้องกินตอนนั้นก็คือ สตรอเบอรี่ญี่ปุ่น ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ จะมีสตรอเบอรี่สดจากญี่ปุ่น ลูกจะใหญ่มากครับ กินเข้าไปหอม สดชื่นดีจริง ๆ เลยครับ

    หลังจากที่กินแล้ว ผมกลับไปที่มารุอีกครั้งหนึ่ง ผมจะไปเช็กว่าปลาที่เขานำเข้าปลอดภัยหรือไม่และนำเข้าเดือนละกี่ครั้ง ผมขอแนะนำว่า อย่าให้ร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยต้องเลิกกิจการเลยนะครับ เพราะว่าอย่างน้อยพวกเขาต้องคำนึงถึงความปลอดภัยอยู่แล้ว

    ผมจึงต้องเขียนให้เพื่อน ๆ ไปลิ้มลองที่ร้านมารุ หรือไม่ก็ไปที่ร้านอื่น ๆ ที่เขาออกข่าวกันว่า มีความปลอดภัย เพราะเดี๋ยวนี้ปลาไม่จำเป็นต้องนำเข้ามาจากญี่ปุ่นทั้งหมดก็ได้ครับ แต่ว่าถ้าเข้ามาจากญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้ ก็ต้องตรวจตราเรื่องสารกัมมันตรังสีกันและได้รับการรับรองจากที่ญี่ปุ่นเสีย ก่อน เมื่อเข้ามาเมืองไทยก็ต้องตรวจตราอีกครั้งหนึ่งครับอย่างที่ร้านนี้ แล้วเพื่อน ๆ ก็จะได้ทานอาหารญี่ปุ่นที่อร่อยมากครับ.

    ..................

    ชิมให้เป็น

    ปลาจิงกิต้มซีอิ๊ว


    ที่ร้านนี้ทำปลาจิงกิต้มซีอิ๊วได้อร่อยมาก รสชาติดีครับ ต้มได้ไม่คาว ส่วนเนื้อปลานุ่ม สด อร่อย ต้องบอกว่าเขาทำได้ดีจริง ๆ รู้วิธีการต้มปลาที่ถูกต้องและเติมรสชาติที่พอเหมาะครับ

    สำหรับการชิมปลาจิงกิต้มซีอิ๊วญี่ปุ่นนั้น สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ปลาจะอร่อยได้อย่างไร การต้มปลาให้อร่อยนั้น ที่ร้านจะนำปลาทั้งตัวไปนึ่งหรือเอาไปต้มกับซีอิ๊ว ซึ่งเขาไม่ได้ใช้ไฟที่แรงจนเกินไป ใช้ไฟกลาง ๆ ซึ่งเนื้อปลาชนิดนี้จะมีลักษณะเหมือนกับเนื้อปลาหิมะ ซึ่งจะมีไขมันอยู่เป็นจำนวนมาก

    เพราะฉะนั้น ที่นี่เขาจะทำโดยต้มช้า ๆ ใช้ไฟปานกลาง ต้มจนกระทั่งความร้อนซึมเข้าไปข้างในทำให้เนื้อปลายังมีความชุ่มชื้นและมี ความมันอยู่ เวลาที่ผมไปกินที่นี่ ผมมีความรู้สึกว่า เวลาเอาตะเกียบไปคีบเนื้อปลาขึ้นมารับประทานนั้น เมื่อเข้าปากแล้วเนื้อปลาแทบจะละลายในปากของผมเลยครับ รสชาติมีความกลมกล่อม ความเค็ม ความหวาน และความมันโดยธรรมชาติของเนื้อปลาซึ่งอร่อยมาก และไม่แห้งเหมือนปลาที่ถูกต้มหรือถูกนึ่งเลยครับ

    เขาต้มจนกระทั่งความชุ่มชื้นในตัวปลาออกไปหมด ที่ร้านนี้ทำอาหารด้วยความประณีต และมีความตั้งใจในการทำอาหารเป็นอย่างมาก มีขั้นตอนการทำปลาที่ถูกวิธี จึงสามารถทำให้อาหารจานนี้ออกมาอร่อยมากครับ ผมเลยอยากให้ลองชิมกันครับ แต่ราคาไม่ถูกนะครับ เพราะเป็นปลาที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ แต่เมื่อได้ชิมแล้วรับรองไม่ผิดหวังครับ.

    .......................
    เข้าครัวกับหมึกแดง

    เค้กแครอท

    เครื่องปรุง

    - แครอทขูดเป็นเส้น 6 ถ้วยตวง
    - นํ้าตาลทรายแดง 1 ถ้วยตวง
    - ลูกเกด ถ้วยตวง
    - เนย 1 ช้อนโต๊ะ
    - ไข่ไก่ 4 ฟอง
    - นํ้าตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวง
    - นํ้ามันพืช 1 ถ้วยตวง
    - กลิ่นวานิลลา 2 ช้อนชา
    - สับปะรดเชื่อมหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1 ถ้วยตวง
    - แป้งสาลีอเนกประสงค์ 3 ถ้วยตวง
    - เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา
    - ผงอบเชย 4 ช้อนชา
    - เกลือป่น 1 ช้อนชา
    - วอลนัท 1 ถ้วยตวง
    - วิปปิ้งครีม สำหรับแต่งหน้า

    วิธีทำ

    1. ในชามผสม ผสมแครอทขูดเป็นเส้น น้ำตาลทรายแดง ทิ้งไว้ 60 นาที แล้วใส่ลูกเกดลงไป

    2. นำหม้อหุงข้าวทาด้านในด้วยเนยให้ทั่ว

    3. ใช้เครื่องตี หรือชามผสมใบใหญ่ ตีไข่ไก่จนขึ้นฟู เมื่อฟูแล้วค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายขาว น้ำมันพืช และกลิ่นวานิลลา ใส่สับปะรดเชื่อมหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ คนให้เข้ากัน

    4. ร่อนส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ เบกกิ้งโซดา อบเชยป่นให้เข้ากัน เติมเกลือป่น ผสมให้เข้ากัน แล้วเทลงไปในส่วนผสมของไข่ที่ตีไว้

    5. โฟร์ให้ส่วนผสมพอเข้ากัน ใส่แครอทขูดเป็นเส้น และวอลนัท โฟร์ให้เข้ากัน เทส่วนผสมที่ได้ลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้ (หม้อ) นำไปใส่ในหม้อหุงข้าว กดหุงตามปกติ

    6. ใช้เวลาอบประมาณ 45– 50 นาที การเช็กว่าเค้กสุกหรือไม่ ให้ใช้ไม้เสียบลูกชิ้นเช็กดู ถ้าจิ้มลงไปแล้วยังมีเนื้อเค้กติดอยู่ แปลว่าเค้กยังไม่สุก เมื่อเค้กสุกแล้วให้พักไว้ในพิมพ์ประมาณ 10 นาที ก่อนที่จะเอาเค้กออกจากพิมพ์ ตกแต่งด้วยครีมชีสไอซิ่ง

    เครื่องปรุง ครีมชีสไอซิ่ง


    - ครีมชีสที่นุ่มแล้ว 225 กรัม
    - เนย 115 กรัม
    - กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
    - น้ำตาลไอซิ่ง 2 ถ้วยตวง

    วิธีทำ

    1. ใช้เครื่องตี ตีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน และเป็นเนื้อเดียวกัน นำไปใช้เป็นไอซิ่งแต่งหน้าเค้กแครอท ถ้าครีมนุ่มเกินไปให้พักไว้ในตู้เย็นจนกระทั่งแข็งตัวขึ้น

    ความรู้คู่ครัว

    - ทำไมต้องใส่ไขมันลงไปในเค้ก?

    เพราะทำให้เค้กไม่แห้ง ให้ความชุ่มชื้นกับเนื้อเค้ก.

    .................

    หมึกแดง



    ที่มา เดลินิวส์

    Daily News Online > หน้าวาไรตี้ > ชวนชิมหลาก'อาหารญี่ปุ่น'เลิศรสสะอาด ปลอดภัย ไร้สารพิษ

    .

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=486&contentId=134091

    .



    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นำมาฝากกันครับ


    ดื่มเติมภูมิกันหวัด กระดูก-หัวใจแข็งแรง


    [​IMG]

    ทำสิ่งใดๆ ถ้าไม่ตั้งใจ ผลลัพธ์ก็ยากที่จะออกมาดี เช่นเดียวกับเรื่องสุขภาพ ถ้าไม่ใส่ใจดูแลให้ดี แล้วจะแข็งแรงได้อย่างไร?

    ตั้งต้นไปอย่างนั้น ก็เพราะ ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ หวัง ให้ผู้อ่านรักษ์สุขภาพอย่าได้ถอดใจกับการเตรียมส่วนผสมในสูตรเครื่องดื่ม เพื่อสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจดูมากอย่างและหายากสำหรับบางคน แต่รับรองว่าคุณประโยชน์ที่ได้ คุ้มค่ากับความตั้งใจ

    เครื่อง ดื่มสูตรนี้ได้จากแครอท อินทผลัมสด งาขาว จมูกข้าวสาลี และน้ำส้มคั้น กลายเป็นแหล่งรวมแมกนีเซียม แคลเซียม และวิตามินซีสูง ช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจ เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคหวัด คลายเครียด บำรุงผิวพรรณ

    ส่วนผสมต่างๆ ให้เตรียมตามสัดส่วนต่อไปนี้ (สำหรับ 1 แก้ว)

    • แครอทขนาดกลาง 1 หัว
    • อินทผลัมสด 3 ผล
    • งาขาว 1 ช้อนโต๊ะ
    • จมูกข้าวสาลี 1 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำส้มคั้นสด 1/3 ถ้วยตวง
    • น้ำแข็ง พอประมาณ

    ขั้นตอนในการทำ ให้ปอกเปลือกแครอทและหั่นพอหยาบ ส่วนอินทผลัมให้คว้านเอาเมล็ดออก งาขาวนำไปขั้วให้สีอมน้ำตาลอ่อน ได้แล้วนำส่วนผสมทั้งสามใส่รวมกับจมูกข้าวสาลี น้ำส้มคั้นสด และน้ำแข็ง ปั่นรวมกันจนเข้ากันดีเป็นเนื้อเดียว เทใส่แก้วดื่มทันที

    แค่นี้ก็จะได้เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพปั่นเย็น รสสัมผัสกรุบๆ จากแครอท งา และจมูกข้าวสาลี ออกหวานนิดๆ จากอินทผลัมและน้ำส้มคั้นสด โดยไม่ต้องง้อน้ำตาล.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
    takecareDD@gmail.com





    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ดื่มเติมภูมิกันหวัด กระดูก-หัวใจแข็งแรง



    .


    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=134117

    .




    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 7 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>


    สวัสดีตอนเช้า วันเสาร์ สุขสันต์ ครับ


    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาร่วมกันส่งกำลังใจให้กับทหารหาญผู้กล้ากันครับ




    ไทย - เขมร ยิงปะทะ ที่ปราสาทตาควาย เจ็บ 13 ดับแล้ว 4






    [​IMG]

    [​IMG]


    สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก @jin_nation , ครอบครัวข่าว 3

    กัมพูชา เปิดฉากยิงปะทะทหารไทย ตั้งแต่เช้าตรู่ บริเวณปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เบื้องต้นทหารไทยเสียชีวิตแล้ว 4 นาย ขณะที่ไทยสั่งปิดด่านช่องจอมแล้ว ด้าน ผบ.ทบ.เผยเหตุปะทะเพราะกัมพูชาผิดข้อตกลง และยิงใส่ไทยก่อน

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กัมพูชาเปิดฉากยิงปะทะทหารไทย ตั้งแต่เช้าตรู่ เวลา 06.00 น. ที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย บ้านหนองคันนา อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ด้วยอาวุธเบา และอาวุธหนัก ที่เข้าถล่มทหารไทยด้วยปืนใหญ่ โดยมีฐานที่มั่น จุดยิงปืนใหญ่ อยู่หลังวัดป่าเขาโต๊ะ ห่างจากชายแดนไทย 1 กิโลเมตร

    โดยเมื่อเวลาประมาณ 07.35 น. ทหารกัมพูชาได้ยิงปืนใหญ่ กระสุนตกมายังข้าง สภ.พนมดงรัก ในพื้นที่อีก 1 ลูก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจพื้นที่ อยู่ระหว่างการตรวจสอบความเสียหาย โดยล่าสุด ทางนายอำเภอพนมดงรัก ได้ทำการอพยพประชาชนที่อาศัยตามแนวชายแดนออกนอกพื้นที่แล้ว
    ต่อมา เวลาประมาณ 08.35 น. เสียงปืนที่ยิงปะทะกันเมื่อช่วงเช้าได้สงบลงแล้ว ส่วนการเคลื่อนย้ายประชาชน ไปยังจุดที่ปลอดภัย ขณะนี้เจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายเข้าสู่ที่ปลอดภัยแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พนมดงรัก ได้จัดชุดตำรวจลาดตระเวน คอยดูแลทรัพย์สินประชาชน ที่ต้องเคลื่อนย้ายออกไป และตรวจสอบความเรียบร้อย

    [​IMG]


    ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก เปิดเผยความคืบหน้า กรณีเกิดเสียงปืนดังเป็นระยะ บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ใน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ใกล้เคียงกับ ปราสาทตาเหมือนธมว่า เหตุดังกล่าวมีจริง โดยเกิดการยิงปะทะตั้งแต่เวลา ประมาณ 06.45 น. โดยมีการยิงปืนเล็กและได้ยินเสียงปืนใหญ่มาเป็นระยะ โดยจุดที่เกิดเหตุยังไม่ยืนยันว่า เป็นจุดภายในปราสาทตาเมือนธมหรือไม่ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 2 เจ้าของพื้นที่ ได้รับทราบรายงานแล้ว และได้แจ้งให้ประชาชนที่อาศัยย่านดังกล่าวเตรียมพร้อมอพยพ แต่ขณะนี้ยังไม่มีแผนอพยพประชาชน ทั้งนี้ ยังไม่มีรายงานความสูญเสีย เนื่องจาก เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถ เข้าพื้นที่ได้ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ทางด้านแนวชายแดน จ.ศรีสะเกษ ก็มีประชาชนได้ยินเสียงปืนใหญ่และระเบิด เช่นกัน ซึ่งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ ออกมายืนยันเหตุดังกล่าวได้ ส่วนความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป สำหรับ ความคืบหน้าของทหารไทยจากเหตุปะทะครั้งนี้ น.พ.อภิสรรค์ บุญประดับ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ เปิดเผยว่า ได้รับทหารที่บาดเจ็บเข้ารักษาตัว จำนวน 6 นาย โดยมีอาการสาหัส 3 นาย ถูกสะเก็ดระเบิด แต่ยังไม่พบว่ามีชาวบ้านบาดเจ็บ รวมทั้งบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง ก็ยังไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม ล่าสุด มีรายงานว่า มีทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ครั้งนี้ 13 นาย และเสียชีวิต 4 นาย ได้แก่

    1.จ.ส. อ.วิทยะ สวนชูผล สังกัด กองร้อยทหารพรานจู่โจมที่ 960 ฐานปฎิบัติการปราสาทตาเมือนธม บ้านหนองคันนา ต.เมียง อ.พนมดงรัก เสียชีวิตที่จุดปะทะ ปราสาทตาเมือนธม

    2.จ.ส.อ.บุญรัตน์ สุขจิตร กองร้อยทหารพราน ที่ 2606 ชุดเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 26 กรมทหารราบที่ 23 พัน 4

    3.พลทหารบุญฤทธิ์ ชางาม ร้อยทหารพราน 2606

    4.จ.ส.อ.ประเวช หาราช ร้อยทหารพราน ที่ 2606 ชุดเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 26 กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 โดยทหารทั้ง 3 นาย เสียชีวิตที่จุดปะทะปราสาทตาควาย และได้ลำเลียงศพมายังโรงพยาบาลพนมดงรัก เพื่อรอการชันสูตรต่อไป



    [​IMG]

    แผนที่แสดงจุดชายแดนไทย-กัมพูชา โดย @jin_nation


    ขณะที่ พระครูสัน เจ้าอาวาสวัดป่าเขาโต๊ะ กล่าวว่า ได้พบเห็นทหารกัมพูชาลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ พร้อมอาวุธมา 2-3 วัน แล้ว ทั้งที่ทหารไทยได้เจรจาให้กัมพูชา นำอาวุธหนักปืนใหญ่ ออกห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชา 15 กิโลเมตร ตามสนธิสัญญาเจนีวา แต่ไม่เป็นผล ทำให้ทหารกัมพูชาไม่พอใจ จึงเป็นเหตุของการปะทะดุเดือด


    [​IMG]


    ใน ส่วนของชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน ที่ตำบลตาเมียง กำนันตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก ได้ประกาศทางหอกระจายเสียงข่าว ให้ประชาชนตำบลลตาเมียง ที่เป็นหมู่บ้านติดตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา ให้รีบอพยพข้าวของโดยเร่งด่วน เนื่องจาก ขณะนี้มีลูกกระสุนปืน ค. ตกมาในพื้นที่หลายสิบนัดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบ้านหนองจูบ หมู่ 2 บ้านโคกแสลง หมู่ 7 บ้านหนองคันนา หมู่ 5 และ หมู่ 8 ขณะนี้ได้อพยพเฉพาะผู้หญิง มาอยู่ที่โรงเรียนบ้านพนมดงรัก อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เหลือไว้แต่ผู้ชายที่เฝ้าหมู่บ้านอยู่ ส่วนสถานการณ์โดยทั่วไป ยังคงตึงเครียดอยู่ในขณะนี้

    ด้านนายวินันท์ สุขประสบ กำนันตำบลบักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้อพยพลูกบ้าน 20 หมู่บ้าน เกือบหมื่นคนออกจากหมู่บ้านมาอยู่ในจุดอพยพ 3 จุด ที่ภาครัฐเตรียมไว้ให้ ได้แก่ ที่โรงเรียนพนมดงรักวิทยา ต.จีกแดก ที่บ้านโคกกลาง และที่นิคมสร้างตนเอง อ.ปราสารท ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงหวาดวิตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะมีเสียงปืนยิงเข้าใส่หมู่บ้านฝั่งไทยตลอดเวลา จนต้องวิ่งหลบกันอลหม่าน

    ขณะ ที่นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสถานการณ์การปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ที่ จ.สุรินทร์ โดยระบุว่า เบื้องต้นทราบรายงานว่า มีการยิงตอบโต้กันตั้งแต่เมื่อช่วงเช้ามืด และนายกรัฐมนตรี ได้รับทราบรายงานเบื้องต้นจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว โดยได้สั่งการให้มีการเคลื่อนย้ายประชาชนในพื้นที่ไปยังสถานที่ปลอดภัย และขณะนี้ รอการตรวจสอบและยืนยันจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ อยู่ว่ามีจริงหรือไม่ และจำนวนเท่าไหร่ ส่วนการเคลื่อนย้ายอพยพประชาชนที่ใกล้แนวปะทะนั้น ในพื้นที่มีแผนอพยพอยู่แล้ว ซึ่งก็ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

    ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เข้าใจว่า เกิดจากทหารกัมพูชามีการเปลี่ยนแปลงฐานที่ตั้งบางอย่าง และเกิดข้อผิดพลาด ในการแจ้งเตือน ที่มีตามขั้นตอนอยู่ โดยยืนยันว่า ทหารฝ่ายไทยไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายฐานที่ตั้ง แต่อย่างใด

    อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นจะสามารถพูดคุยกันได้ ในลักษณะพื้นที่ ขณะเดียวกัน ยืนยันว่าเหตุปะทะครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการกระทำเพื่อให้ประเทศอินโดนีเซียเร่งส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามา ดูแลบริเวณชายแดนทั้ง 2 ทั้งประเทศ นอกจากนี้ นายปณิธาน ยังเปิดเผยด้วยว่า กระทรวงการต่างประเทศ กำลังเร่งดำเนินการชี้แจงกับนานาชาติ ว่าปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อยู่ในพื้นที่เขตความรับผิดชอบของประเทศไทย

    ขณะ ที่ทางฝั่งกัมพูชา พ.อ.เนี๊ยะ วงศ์ รองเสนาธิการทหารชายแดนที่ 402 ประเทศกัมพูชา ที่ประจำปราสาทตาเมือนธม เปิดเผยผ่านทางโทรศัพท์กับสำนักข่าวซินหัว ว่า ทั้ง 2 ฝ่าย มีการใช้อาวุธทุกชนิดเข้าปะทะกัน โดยรองผู้บังคับการที่ 42 ของเขมร ซึ่งกล่าวในขณะที่ทำหน้าที่บัญชาการทหารในการรบ บอกอีกว่า อาวุธทุกประเภทที่ใช้ปะทะกัน มีทั้งจรวด , ปืนกล , ปืนครก และปืนใหญ่

    ส่วน ชวม โสชีท โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า เหตุปะทะที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 3 นาย ขณะที่ทหารบางส่วนได้รับบาดเจ็บ



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    และล่าสุด เมื่อประมาณ 10.30 น.ที่ผ่านมา มีรายงานว่า สถานการณ์การปะทะกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ยุติลงแล้ว และ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีคำสั่งให้ปิดด่านผ่านแดนถาวรช่องจอม ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป เพื่อความมั่นคงของประเทศไทย

    ขณะที่ในเวลาต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า เหตุการณ์ปะทะของทหารไทยและกัมพูชา ที่ปราสาทตาควาย เนื่อง จากกองกำลังสุรนารีตรวจพบการเคลื่อนไหวของกองกำลังทางด้านตะวันออกของปราสาท จึงได้จัดกำลังดำเนินการให้ถอนกำลังออก เพราะมีข้อตกลงในการวางกำลังห่างกัน 100 เมตร แต่กัมพูชาได้ใช้อาวุธยิงใส่ทหารไทย จึงมีการตอบโต้ ทั้งนี้ ได้มีการสั่งการให้ทหารใช้อาวุธที่จำเป็น เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย และจำกัดพื้นที่การปะทะให้เล็กที่สุด รวมถึงจะไม่มีการปฏิบัติต่อเป้าหมายพลเรือน

    อย่างไรก็ตาม การปะทะได้ยุติในเวลา 10.30 น. และได้ประสานไปยังกัมพูชา ซึ่งระหว่างนั้น ได้รายงานให้นายก รัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้รับทราบ ทั้งนี้ พบว่า มีการบาดเจ็บและเสียชีวิตของทั้ง 2 ฝ่าย นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวด้วยว่า รายละเอียดของการปะทะต้องมีการสอบสวน แต่ยืนยันว่า กองทัพบกไทย ไม่ต้องการให้มีการปะทะ เพราะไม่เป็นผลดีและทำให้การเจรจาที่จะเกิดขึ้นยุ่งยาก ส่วนการอพยพประชาชนนั้น จะพยายามให้กลับเข้าไปในพื้นที่โดยเร็วที่สุด





    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ไอเอ็นเอ็น , กรุงเทพธุรกิจ และ ครอบครัวข่าว 3

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]



    .

     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    บทความ ประวัติศาตร์2ทางพระยาละแวกอาจไม่ได้ถูกพระนเรศวรปฐมกรรม(บันทึกของสเปน)

    โพสโดย โดย boi9999

    ข้อมูลที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้มีเจตนาให้เห็นประวัติศาสตร์2ทางเป็นบทความของ ศาสตราจารย์ ขจร สุขพานิช ซึ่งเป็นการค้นคว้าและวิจัยประวัติศาสตร์ในรัชสมัย พระนเรศวร โดยที่รายละเอียดทั้งหมดในบทความนี้ เป็นการวิเคราะห์การสงครามระหว่าง พระนเรศวร ( พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ) กับ พระยาละแวก ( พระเจ้าแผ่นดินกรุงกัมพูชา ) ซึ่งแตกต่างไปจากความรับรู้ทางประวัติศาสตร์แบบเดิมๆที่ว่า พระนเรศวร ได้ทรงกระทำพิธีปฐมกรรมต่อ พระยาละแวก ( นำพระโลหิตของ พระยาละแวก มาล้างพระบาทของ พระนเรศวร ) แต่บทความชิ้นนี้ของ ศาตราจารย์ ขจร สุขพานิช ได้ชี้ให้เห็นว่า พระนเรศวร ไม่ได้ทรงกระทำพิธีปฐมกรรมต่อ พระยาละแวก เนื่องจาก พระยาละแวก ได้ทรงหลบหนีออกจากพระนครละแวกธานี ก่อนที่พระนเรศวรจะบุกยึด นครละแวกธานี ซึ่งอาจารย์ ขจร สุขพานิช ได้นำหลักฐานของสเปนมาวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ช่วงนี้มิใด้มีเจตนาลบหลู่แต่ ประการใด

    บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
    (ผมในที่นี้ไม่ใช่ผมboi9999แต่คือศาสตราจารย์ ขจร สุขพานิช )
    ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติฯ ลงข้อความสั้น ๆ เกี่ยวกับสงครามกับพระยาละแวกครั้งนั้นว่า
    “ศักราช ๙๕๕ มะเส็งศก…ณ วันศุกร์ขึ้น ๑๐ ค่ำเดือนยี่ เพลารุ่งแล้ว ๓ นาฬิกา ๖ บาท เสด็จพยุหยาตราไปเอาเมืองละแวก และตั้งทัพชัย ตำบลบางขวด เสด็จไปครั้งนั้นได้ตัวพระยาศรีสุพรรณ ในวันอาทิตย์แรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ นั้น”
    และในพงศาวดารเขมร (ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑) ลงข้อความเรื่องเดียวกันว่า
    “ลุ ศักราช ๙๕๕ ศกมะเส็ง นักษัตรได้ ๒ เดือน… จึงสมเด็จพระนเรศวรพระเจ้ากรุงไทยยกกองทัพไพร่พล ๕ หมื่นมารบกับพระองค์ (คือพระสัตถาหรือพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี) พาสมเด็จพระอัครมเหสีกับสมเด็จพระราชบุตรทั้ง ๒ หนีไปอยู่เมืองศรีส่อชอ ลุ ศักราช ๙๕๖ ศกมะเมียนักษัตร…พระองค์พาสมเด็จพระอัครมเหสีกับพระราชบุตรทั้งสองพระองค์ไป เมืองลาว ฝ่ายพระองค์บรมบพิตร เมื่อ ลุ ศักราช ๙๕๗ ศกมะแมนักษัตร พระชันษาได้ ๔๓ ปี พระไชยเชษฐาพระราชบุตรใหญ่ เมื่อ ลุ ศักราช ๙๕๘ ศกวอกนักษัตร พระชันษาได้ ๒๓ ปี นักองค์บรมบพิตรทั้งสองพระองค์สุรคตอยู่ที่เมืองลาว ยังแต่พระบรมราชาธิราชผู้เป็นพระอนุชา พระชันษาได้ ๑๘ ปี อยู่เมืองลาว…ฝ่ายสมเด็จพระศรีสุพรรณผู้เป็นพระอนุชา… ครั้งนั้นจึงพระนเรศวรเป็นเจ้าไพระองค์กับพระราชบุตรแล้วกวาดต้อนตัวเขมรไป เป็นอันมาก ลุ ศักราช ๙๕๖
    ศกมะเมีย นักษัตรเดือน ๓ จึงพระนเรศวรเป็นเจ้านำพระองค์ไปกรุงศรีอยุธยาให้แต่พระมหามนตรีเป็นแม่ทัพใหญ่รั้งอยู่อุดงฦๅไชย…”


    จากหลักฐานทั้งของไทยและของเขมรนี้ได้ความตรงกันว่า
    ๑. ในปีจุลศักราช ๙๕๕ สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปตีเมืองละแวก จับพระศรีสุพรรณพระอนุชาของพระยาละแวกได้ จึงนำตัวมาที่กรุงศรีอยุธยา
    ๒. สำหรับตัวพระยาละแวกนั้นจากหลักฐานของไทยมิได้ระบุถึง แต่หลักฐานของเขมรระบุว่า พระองค์หนีไปได้ไปพิงพักอยู่เมืองลาวพร้อมด้วยพระมเหสีและโอรสอีก ๒ องค์ และอีก ๓ ปีต่อมาคือในจุลศักราช ๙๕๘ พระยาละแวกและโอรสองค์โตก็สิ้นพระชนม์ที่เมืองลาวนั้น
    พงศาวดารเขมรยังได้กล่าวต่อไปว่า
    “ลุ ศักราช ๙๕๘ ศกวอกนักษัตรมีฝรั่งคนหนึ่งชื่อละวิศเวโล…ฝรั่งนั้นไปเชิยพระบรมราชา ผู้เป็นพระราชบุตรน้อยของพระบรมราชาธิราชรามาธิบดีมาจากเมืองลาว เมื่อศักราช ๙๕๙ ศกระกานักษัตร…ลงมาทรงราชย์อยู่ ณ เมือง ศรีส่อชอ ลุ ศักราช ๖๗๑ ศกกุนนักษัตร… จึงมีจามชื่อโปรัตกับแขกชื่อฬะสะมะนา ลอบฆ่าพระองค์สุรคต… จึงสมเด็จพระเทวีกษัตริย์เป็นสมเด็จพระอัยกี พระองค์ให้ราชสาส์นไปขอสมเด็จพระศรีสุพรรณ ผู้เป็นพระภัคินีโยแต่งกรุงศรีอยุธยา… จึงพระเจ้ากรุงไทยปล่อยให้สมเด็จพระศรีสุพรรณมาจากกรุงไทย มาทรงราชย์สนองสมเด็จพระเรียม ณ เกาะสาเกดในปีฉลูนั้น จึงสมเด็จพระเทวีกษัตริย์ผู้เป็นพระมาตุจฉา…พระนางให้ไปขอพระไชยเชษฐาเป็น พระราชบุตรผู้น้องแต่พระเจ้ากรุงไทย จึงพระเจ้ากรุงไทยโปรดพระราชทานให้มา แล้วพระองค์ให้สมเด็จพระราชบุตรทั้งสองพระองค์ปราบบรรดาหัวเมืองใหญ่น้อยราบ สิ้นแล้ว พระองค์ไปสถิตอยู่ที่เมืองละวาเอมแขวงเมืองพนมเพ็ญ เมื่อศักราช ๙๗๓ ศกฉลูนักษัตร”



    การที่ฝรั่งชื่อละวิศเวโลไปเชิยพระราชโอรสองค์น้อยของพระยาละแวกมาจากเมือง ลาวมาให้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์กัมพูชา และต่อมาสมเด็จพระเทวีเป็นสมเด็จพระอัยกีส่งพระราชสาส์นมาขอสมเด็จพระศรี สุพรรณจากพระเจ้ากรุงไทยที่กรุงศรีอยุธยา พระเจ้ากรุงไทยก็พระราชทานพระศรีสุพรรณไปทรงราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินกัมพูชา ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐมิได้กล่าวไว้ ส่วนที่พระนางให้ไปขอสมเด็จพระไชยเชษฐาผู้เป็นพระราชบุตรของพระศรีสุพรรณแต่ พระเจ้ากรุงไทยและพระเจ้ากรุงไทยโปรดพระราชทานให้มากขึ้น พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐระบุว่า
    “ศักราช ๙๖๕ เถาะศก ทัพพระเจ้าฝ่ายหน้าเสด็จไปเอาเมืองขอมได้ เรื่องที่พงศาวดารเขมรบันทึกว่า สมเด็จพระเทวีให้มาทูลสมเด็จพระไชยเชษฐาผู้เป็นราชบุตรของสมเด็จพระศรี สุพรรณเป็นเรื่องราวอยู่ในจุลศักราช ๙๖๕ ศกฉลูนักษัตร และจุลศักราช ๙๗๓ ศกฉลูนักษัตร (ที่ถูกควรเป็นกุน) พระราชพงศาวดารกรุงเก่าของเราระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นจุลศักราช ๙๖๕ เถาะศก และถ้าพระเจ้าฝ่ายหน้าในหลักฐานของเราเป็นคน ๆ เดียวกันกับพระไชยเชษฐา พระราชบุตรของพระศรีสุพรรณกษัตริย์เขมรตามหลักฐานของพงศาวดารเขมร คือสงสัยที่ว่า “พระเจ้าฝ่ายหน้า” นี้จะเป็นผู้ใดก็จะตอบได้ในตัวว่าคือเป็นพระเจ้าฝ่ายหน้าของกรุงกัมพูชา หาใช่พระเจ้าฝ่ายหน้าของกรุงศรีอยุธยาไม่
    ต่อไปนี้ขอเชิญพิจารณาหลักฐานของสเปนเกี่ยวกับสงครามพระยาละแวก ดังปรากฎอยู่ในจดหมายเหตุของ ดร.อันโตนิโอ เดอมอร์ก้าได้ต่อไป
    หลักฐานนี้ ดร.อันโตนิโอ เดอ มอร์ก้า รองผู้สำเร็จราชการหมู่เกาะฟิลิปปินส์เขียนไว้เป็นภาษาสเปน ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. ๑๖๐๘ ที่เมือง San Geronimo อเมริกาใต้ตรงกับปีที่ ๓-๔ ในรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรฐ มีคนแปลออกเป็นหลายภาษาเฉพาะฉบับภาษาอังกฤษชื่อ Hon. Henry E.J. Stanley เฉพาะเรื่องราวพระยาละแวกในรัชกาลสมเด็จพระนเรศ



    หน้า ๔๓ “ในระหว่าง ค.ศ. ๑๕๙๔ ดอน หลุยส์ (เดอ เวลาสโก้) เป็นผู้สำเร็จราชการ (หมู่เกาะฟิลิปปินส์) มีเรือสำเภาลำใหญ่มาทอดสมออยู่ที่ฟิลิปปินส์ (เมืองมนิลา) มีคนโดยสารเป็นคนเขมร คนไทย คนจีน ชาติละ ๓-๔ คน (a few Gonzales) และมีคนในบังคับสเปน ๓ คน คนหนึ่งเป็นชาวเมือง คาสตีล ชื่อ Blas Ruyz Hernan อีก ๒ คนเป็นชาวปอร์ตุเกส ชื่อ Pontaleon Carnero และ Antonio Machado.
    เมื่อคนเหล่านี้อยู่ในราชอาณาจักรกัมพูชาที่เมืองจัตุรมุข กับพระเจ้า Langara (ละแวก) กษัตริย์กัมพูชานั้น พระเจ้าแผ่นดินสยามกรีฑาทัพมาโจมตีพระองค์ด้วยรี้พลและ (กองทัพ) ช้างมากมาย ยึดพระนคร พระราชวัง และพระคลังสมบัติได้ พระเจ้ากัมพูชาจึงเสด็จหนีไปเมืองเหนือจนถึงอาณาจักรลาวพร้อมด้วยพระมเหสี พระมารดา พระขนิษฐา พระธิดา และพระโอรสสองพระองค์
    พระเจ้ากรุงสยามเสด็จยกทัพกลับราชอาณาจักรของพระองค์ โดยทรงมอบหมายให้นายทหารอยู่รักษาบ้านเมือง (กัมพูชาที่ทรงตีได้) ส่วนทรัพย์สิ่งของที่ทรงนำไปทางบกไม่ได้ พระองค์ก็ทรงส่งกลับโดยทางทะเล”
    หนังสือนี้เล่ารายละเอียดพิสดารต่อไปจนถึงหน้า ๒๒๓ เป็นเรื่องราวของพระศรีสุพรรณมาธิราช พระอนุชาพระยาละแวกว่า
    หน้า ๒๒๓ “กษัตริย์องค์ใหม่ของกัมพูชาพระองค์นี้ ตกเป็นเชลยศึกของพระเจ้าแผ่นดินสยาม แต่เสด็จกลับมาขึ้นครองราชย์ ด้วยเหตุการณ์พิสดารและการผจญภัยนานาประการ”
    ระหว่างหน้า ๔๓–๒๒๓ มีเรื่องราวสำคัญเล่าไว้ดังจะระบุอย่างย่อ ๆ ดังนี้
    หน้า ๔๗ …เรือสเปน ๓ ลำ บรรทุกทหารชาติสเปน ญี่ปุ่น และชาวเกาะ ๑๒๐ คน มาถึงเมืองจตุรมุข (กัมพูชา) ใน ค.ศ. ๑๕๙๖ จึงได้ทราบว่า ขุนนางไพร่พลเขมรได้ขับไล่กองทัพไทยที่ยึดครองอยู่ให้พ่ายแพ้ถอยออกไปนอกพระ ราชอาณาจักรแล้ว


    หน้า ๕๐–๕๑… พวกสเปนสืบได้ความว่า พระยาละแวกเสด็จอยู่ในประเทศลาว จึงออกติดตามเพื่ออัญเชิญให้เสด็จกลับกรุงกัมพูชา พวกหนึ่งไปทางบก พวกหนึ่งไปทางเรือจนถึงเมืองตังเกี๋ย แล้วเดินบกไปประเทศลาวจนถึงนครหลวงของลาว (เขียนชื่อไว้ว่า Alanchan) จึงได้ทราบว่าพระยาละแวกสวรรคตที่นั่น พระโอรสองศ์ใหญ่และพระธิดาก็สิ้นพระชนม์ด้วย เหลืออยู่แต่โอรสอีกองศ์หนึ่งมีชื่อว่า Prauncar กับพระมารดาเลี้ยงพระอัยยิกา และพระมาตุฉาหลายพระองค์ (ไม่บอกจำนวน) จึงอัญเชิญท่านเหล่านี้ลงเรือ ล่องลงมาตามลำน้ำ (โขง) จนเข้าเขตแดนกัมพูชา เมื่อ Prauncar ปราบปรามยุคเข็ญเกือบเสร็จสิ้นแล้วก็ได้เสด็จขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน (ทรงพระนามสุธรรมราชา)
    หน้า ๙๒–๙๓… ลงคำแปลพระราชสาส์นของกษัตริย์เขมร องค์ที่ระบุชื่อ Prauncar (เห็นจะเป็นพระสุธรรมราชาในพงศาวดารเขมร) ถึง ดร.อันโตนิโอ เดอ มอร์ก้า ยกย่องว่านายทหารสเปน ๒ คน ซึ่งออกติดตามพระราชบิดาของพระองค์ท่านจนถึงเมืองหลวงของประเทศลาวและได้นำ พระองค์กลับมาครองกรุงกัมพูชาสืบไปพระองค์จึงพระราชทานยศชั้น เจ้าพระยา ให้ทั้ง ๒ คน และให้กินเมืองด้วย นายทหารชื่อ Don Bas Castino ทรงให้กินเมืองตรัน และนายทหารชื่อ Don Diego Portugal ให้กินเมือง Bapano
    หน้า ๙๓–๑๑๒… เป็นจดหมายของ Blas Ruyz be Hurnan Ghnzales เขียนถึงรองผู้สำเร็จราชการเดอมอร์ก้า เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรกัมพูชาไว้อย่างยืดยาวยืนยันเรื่อง ราวการติดตามพระยาละแวกจนถึงเมืองลานช้าง (Lanchan) อันเป็นเมืองหลวงของลาว “เมื่อเรามาถึง กษัตริย์กัมพูชาที่ทรงชราแล้วได้สวรรคตเสียก่อน พระราชธิดาและโอรสองค์ใหญ่ก็สิ้นพระชนม์ด้วย (หน้า ๙๙) นอกนั้นก็กล่าวเช่นเดียวกับเรื่องราวของ Don Bas และ Don Diego



    หน้า ๑๓๖–๑๓๗… เล่าเรื่องลักษมานากับพวกรบพุ่งกับสเปนจนพวกสเปนต้องพ่ายแพ้ และลักษมานาปลงพระชนม์ King Prauncar คือ พระสุธรรมราชาด้วย (ตรงกับที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงอธิบายไว้ (หน้า ๔๕๒) เล่ม ๑ ตอน ๒ ว่า “สุธรรมราชาทรงราชย์อยู่ ๓ ปี… มีจามคนหนึ่งชื่อโปรัดกับแขกชื่อลักษมานาลอบปลงพระชนม์พระสุธรรมราชาเสีย…”
    หน้า ๒๒๒–๒๒๓… เล่าเรื่องขุนนางเขมรปราบลักษมานาได้แล้ว บ้านเมืองก็ยังไม่ปกติสุขจึงส่งฑูตมากรุงศรีอยุธยาทูลขอพระศรีสุพรรณมาธิราช ไปครอบครองกรุงกัมพูชาพระเจ้าแผ่นดิน (สมเด็จพระนเรศวร) จึงโปรดให้กองทหารจำนวน ๖,๐๐๐ คน แห่แหนพระศรีสุพรรณมาธิราชกลับไปครองกรุงกัมพูชาใน ค.ศ. ๑๖๐๓ (ศักราชนี้ หรือ จุลศักราช ๙๖๕ พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐระบุว่า “ทัพพระเจ้าฝ่ายหน้าเสด็จไปเอาเมืองขอมได้” พระเจ้าฝ่ายหน้าจึงน่าจะหมายถึงพระศรีสุพรรณมาธิราชนี่กระมัง
    เรื่องศึกสมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปตีเมืองละแวกครั้งนี้ (ปีมะเส็ง จุลศักราช ๙๕๕ ค.ศ. ๑๕๙๓) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ใน พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา (โอเดียนสโตร์) เล่ม ๑ ตอน ๒ หน้า ๔๐๙ ว่า “หนังสือพงศาวดารเขมรลงศักราชถูกต้องกับต้นฉบับหลวงประเสริฐ แต่ไม่กล่าวถึงเรื่องจับนักพระสัฎฐาได้ เป็นแต่ว่าสมเด็จพระนเรศวรจับพระศรีสุพรรณมาธิราช กับพระราชเทพีราชบุตร และกวาดต้อนครัวเขมรมาเป็นอันมาก และว่าสมเด็จพระนเรศวรให้พระมหามนตรีเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่รักษากรุงกัมพูชาที่ เมืองอุดง” ส่วนเรื่องตั้งพระศรีสุพรรณมาธิราชเป็นพระเจ้ากรุงกัมพูชานั้น พระองค์ทรงอธิบายไว้ว่า (หน้า ๔๕๑) “…พระสุธรรมราชาเจ้ากรุงกัมพูชาพิราลัย พระยาเขมรมีใบบอกเข้ามาขอพวกศรีสุพรรณมาธิราช น้องพระยาลาแวกนักพระสัฎฐา ที่จับเอาเข้ามาไว้ในกรุงศรีอยุธยาไปครองกรุงกัมพูชาเมื่อปีขาล จุลศักราช ๙๖๔ พ.ศ. ๒๑๔๕…”


    เอกสาร เดอ มอร์ก้า นี เป็นเรื่องราวของชาวสเปนหลายคน ที่ออกมารบพุ่งแสวงหาโชคลาภในประเทศเขมร แล้วต่างก็รายงานไปยังกรุงมนิลา ดร. อันโตนิโอ เดอ มอร์ก้า เป็นเพียงผู้รวบรวมเรื่องราวเหล่านี้ตีพิมพ์ขึ้น จึงเห็นได้ว่า เรื่องพระยาละแวกมิได้ถูกปฐมกรรม ไม่ใช่ฝรั่งเพียงคนเดียวเขียนไว้ แต่เป็นเรื่องราวของฝรั่งหลายสิบคนออกไปแสวงหาโชคลาภในประเทศเขมรเขียน รายงานไปยังกรุงมนิลา และที่มีน้ำหนักเป็นพิเศษก็คือ พระราชสาส์นของกษัตริย์เขมร (พระสุธรรมราชา) ทรงมีไปยืนยันการกระทำของฝรั่งพวกนี้ว่า ได้ติดตามไปเฝ้าพระราชบิดา (พระยาละแวก) ถึงเวียงจันทน์ แต่พระยาละแวกสวรรคตเสียก่อนฝรั่งพวกนี้ไปถึง
    เอกสารของ เดอ มอร์ก้า นี้ นอกจากจะยืนยันเรื่องราวดังปรากฎในพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ ในเรื่องไทยตีเมืองละแวกได้ เมื่อ ค.ศ. ๑๕๙๓ แล้ว ยังยืนยันในเรื่องสมเด็จพระนเรศวรทรงอภิเษก พระศรีสุพรรณมาธิราช พระอนุชาพระยาละแวกให้ได้กลับไปครองกรุงกัมพูชา ใน ค.ศ. ๑๖๐๓ อีกด้วย
    เฉพาะในเรื่องสมเด็จพระศรีสุพรรณมาธิราชนี้ ฉบับหลวงประเสริฐระบุพระนามว่า “พระเจ้าฝ่ายหน้า” ซึ่งเป็นปัญหาแก่นักศึกษาประวัติศาสตร์ไทยมานานปีว่า จะหมายถึงผู้ใด คือจะหมายถึง สมเด็จพระเอกาทศรฐ (ดังสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงน ทรงเชื่อหรือจะหมายถึงพระราชโอรสของสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งมีนักศึกษาบางคนเริ่มสงสัยเช่นนั้น แต่เอกสาร เดอ เมอร์ก้าให้ความกระจ่างในปัญหานี้ ทำให้น่าเชื่อว่า “พระเจ้าฝ่ายหน้า” หมายถึง วังหน้าของกัมพูชาคือ สมเด็จพระศรีสุพรรณมาธิราช เพราะสมเด็จพระศรีสุพรรณมาธิราชเป็นอนุชาพระยาละแวกเป็น “พระเจ้าฝ่ายหน้า” ของกรุงกัมพูชาไม่ใช่หมายถึงเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยา

    บันทึกเพิ่มเติม
    เอกสารของ อันโตนิโอ เดอ มอร์ก้า (ตีพิมพ์เป็นภาษาสเปน เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. ๑๖๐๘) ตามฉบับแปลภาษาอังกฤษของ สแตนเลย์ มีเรื่องสำคัญดังกล่าวแล้วข้าพเจ้าได้รับคำแปลนี้ตั้งแต่หน้า ๔๒–๒๒๓ ก็จริง แต่ตอนกลางระหว่างหน้า ๑๑๔–๑๑๙ และระหว่างหน้า ๑๓๘–๒๑๙ ทางกรุงลอนดอนไม่ได้ถ่ายมาให้ จึงจำต้องรอจนกว่าจะได้เพิ่มเติมมาจนครบ
    วันนี้เอง ข้าพเจ้าได้รับเอกสารที่เขาส่งมาให้ใหม่ เป็นคำแปลเอกสารนี้รุ่นใหม่ของคนอื่น อยู่ในหนังสือชุดของ Blair & Robertson ข้าพเจ้ายังไม่ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบกับฉบับแปลของสแตนเลย์ แต่คาดว่าในการประชุมคราวหน้า ข้าพเจ้าคงจะได้ทำการศึกษาแล้วพร้อมทั้งทำบันทึกเสนอให้คณะกรรมการฯ ทราบต่อไป
    เมื่อพิจารณาข้อความในพระราชพงศาวดาร ฯ ฉบับหลวงประเสริฐ เกี่ยวกับเรื่องราวในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร ฯ มีเรื่องจับตัวพระศรีสุพรรณ ฯ ได้ และนำมากรุงศรีอยุธยาและเรื่อง “พระเจ้าฝ่ายหน้า” ยกทัพไปเอาเมืองขอมได้ แต่ไม่ปรากฎมีการระบุพระนามพระศรีสุพรรณ ฯ ว่าเสด็จกลับไปครองกัมพูชา
    แต่พระราชพงศาวดารฉบับอื่น ๆ โดยเฉพาะฉบับพระราชหัตถเลขา ระบุเรื่องจับตัวพระศรีสุพรรณ ฯ ได้ (ฉบับที่อ้างหน้า ๑๘๕) ระบุการทูลขอพระศรีสุพรรณฯ ไปครองกัมพูชา (หน้า ๒๕๓) และยังระบุเรื่อง “พระมหาธรรมราชา ราชโอรสยกทัพไปตีพระยาอ่อน (หน้า ๒๕๔)
    ข้อความตอนนี้มีว่า “พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ก็มีพระราชโองการ ตรัสให้แต่งทัพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระมหาธรรมราชา… ยกทัพไปโดยทางโพธิสัตว์” ข้อความที่ชัดเจนก็คือ สมเด็จพระนเรศวร ฯ และสมเด็จพระเอกาทศรถ หมายถึง พระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ส่วนข้อความที่คลุมเครือก็คือ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระมหาธรรมราชา” จะเป็นพระเจ้าลูกเธอของใคร ?
    เอกสารของ เดอ มอร์ก้า ฉบับแปลของสแตนเลย์ เท่าที่มีอยู่ในมือไม่อธิบายปัญหาข้อนี้ พระราชพงศาวดาร ฯ ฉบับพระราชหัตถเลขา ก็มีใจความคลุมเครือ ส่วนฉบับหลวงประเสริฐก็ไม่ให้ความกระจ่างในถ้อยคำที่ว่า “พระเจ้าฝ่ายหน้า” คือใคร ใจความกระจ่างก็ต่อเมื่อพิจารณาเรื่องราวจากพงศาวดารเขมร (ฉบับที่อ้าง) คือพงศาวดารเขมรอธิบายว่า เมื่อกรุงศรีอยุธยาส่งพระศรีสุพรรณ ฯ ไปให้แล้ว ทางกรุงกัมพูชายังทูลขอบุคคลอีกคนหนึ่ง ระบุพระนามว่า “พระไชยเชษฐา” แลว่า “เป็นพระราชบุตรผู้น้อง” ท่านผู้นี้ ได้ร่วมกับพระศรีสุพรรณ ฯ ปราบปรามความวุ่นวายในกัมพูชา จนสงบราบคาบ พระศรีสุพรรณ ฯ จึงได้ขึ้นครองราชย์ ในจุลศักราช ๙๖๓ ต่อมาอีก ๑๘ ปี จึงเวนคืนราชสมบัติให้บุคคลผู้นี้ขึ้นครองราชย์ ในจุลศักราช ๙๘๑ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระไชยเชษฐา
    ท่านผู้นี้คือ “พระเจ้าฝ่ายหน้า” (ตามฉบับหลวงประเสริฐ) หรือ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระมหาธรรมราชา” (ตามฉบับอื่น ๆ) คือเป็นฝ่ายหน้า หรือลูกเธอของกรุงกัมพูชาไม่ใช่ของกรุงศรีอยุธยา

    ดูข้อมูลละเอียดที่

    View Topic

    -
    http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=shalawan&topic=916-


    บทความ ประวัติศาตร์2ทางพระยาละแวกอาจไม่ได้ถูกพระนเรศวรปฐมกรรม(บันทึกของสเปน)

    .


    http://atcloud.com/stories/21881

    -http://atcloud.com/stories/21881-
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2011
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ๗ เขมร สันดาลเนรคุณ ....เมื่อปีพศ. ๒๐๗๕ ในรัชสมัยพระมหาจักรพรรดิ ( ช่วงเปลี่ยนแผ่นดินจากพระชัย ราชามาเป็นพระเทียรราชา หรือพระมหาจักรพรรดิ ) กรุงหงสาวดีได้ยกทัพมาตี ไทย ฝ่ายเขมรพระยาละแวกเห็นได้ทีจึงยกทัพเข้ามาทางปราจีนบุรีกวาดต้อนผู้คน กลับไปเขมรจำนวนมาก หลังจากพม่ายกทัพกลับไปสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรง พิโรธมาก จึงทรงรับสั่งให้ยกทัพไปถึงเมืองพระตะบองและละแวก พระยาละแวก เห็นท่าจะแพ้ในการศึกจึงมีราชสาสน์มากราบทูลพระมหาจักรพรรดิ จับใจความได้ ว่า “ ข้าพระองค์ผู้ปกครองกัมพูชา มิได้เกรงพระบรมเดชานุภาพที่ไปกวาดต้อน คนจากปราจีนบุรี ขออย่าทรงพิโรธยกทัพมาตีเมือง ข้าพเจ้าจะนำเครื่องราชบรรณา การมาถวาย และเป็นข้าพระบาทตราบชั่วกัลปวสาน ”
    หลังจากนั้น ๓ วันพระยา ละแวกได้นำเครื่องราชบรรณาการพร้อมด้วยนักพระสุโทและนักพระสุทันเป็นราชบุต มาเข้าเฝ้า ทางพระมหาจักรพรรดิก็ทรงคลายพิโรธและขอนำโอรสทั้งสองไปเลี้ยง ดู พระยาละแวกก็ยอมจากนั้นก็กวาดต้อนคนชาวปราจีนบุรีกลับคืนมาฝั่งไทย ต่อมาไม่นานญวณได้ยึดเมืองละแวก ไทยจึงส่งกองทัพไปช่วยเพื่อตีเมืองคืนแต่ทำไม่สำเร็จ
    ในปีพศ.๒๑๑๓ รัชสมัยพระมหาธรรมราชาหลังจากที่ไทยเสียกรุงให้แก่พม่าเพียงปีเดียว พระยาละแวกจากเขมรได้ถือโอกาสเข้ามาปล้นและตีเมืองนครนา-ยก(ทั้งที่เคยให้สัจจะว่าจะขอเป็นข้าพระบาทกษัตริย์ไทยชั่วกัลปาวสาน) พระมหาธรรมราชาจึงทรงรับสั่งให้ยกทัพไปปราบ ให้ทหารนำปืนจ่ารงค์ยิงไปถูกพระจำปาธิราชของเขมรตายคาที่บนคอช้าง ทัพของเขมรถอยกลับไปแต่ก็ย้อนกลับมาปล้นเมืองอีกหลายครั้ง นอกจากนี้พระยาละแวกยังนำทัพมากวาดต้อนผู้คนแถวจันทรบุรี ระยอง ฉะเชิง เทรากลับไปเขมรจำนวนมากด้วยความคดในข้องอในกระดูกพระยาละแวกได้ยก ทัพมาถึงปากน้ำพระประแดงโจมตีเมืองธนบุรีจับชาวเมืองธนบุรีและนนทบุรีเป็น เชลยจำนวนมาก เลยได้ใจรวบรวมคนหมายจะตีกรุงศรีอยุธยา แต่งทัพเรือ ๓๐ ลำเข้าปล้นบ้านนายก่าย แต่โชคไม่ดีถูกปืนใหญ่ของไทยยิงตายเป็นจำนวนมาก ฝ่ายเขมรแตกทัพหนีกลับไปทางพระประแดง ( หนีไม่หนีเปล่ายังกวาดต้อนผู้คนแถวสาครบุรีกลับไปอีกด้วย ..... เลวจริงๆ )
    ในปีพศ.๒๑๒๙ พระยาละแวกเห็นว่าไทยกำลังสู้ศึกหงสาวดีอยู่ จึงฉวยโอกาสยกทัพเข้ามาตีเมืองปราจีน
    สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสว่า “ พระยาละแวกตบัตสัตย์อีกแล้ว จึงต้องยกไปปราบให้ราบคราบ ” ผลการศึกกองทัพไทยไล่ตีเขมรไปจนสุดชายแดน ทหารเขมรล้มตายจำนวนมาก
    ในปีพศ.๒๑๓๒ หลังจากสมเด็จพระนเรศวรครองราชย์ ทรงปรึกษาข้าราชการว่ากษัตริย์เขมรมีใจคิดไม่ซื่อเหมือนพระยาละแวก ชอบซ้ำเติมไทยในยามศึกกับพม่า
    จึงทรงมีพระราชดำริที่จะยกทัพไปแก้แค้นเอาโลหิตมาล้างพระบาต ทรงจัดกองทัพให้ไปตีเมืองปัตบอง เมืองโพธิสัตว์ แล้วเข้าล้อมเมืองละแวกเอาไว้ ทรงล้อมเมืองนานถึง ๓ เดือนยังตีไม่ได้ เสบียงอาหารเริ่มลดน้อยลงจึงทรงรับสั่งให้ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยาไปก่อน แล้วจะเตรียมการมาตีในภายหน้า

    -http://www.bandhit.com/History/History.html-


    http://www.bandhit.com/History/History.html

    .



    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    พระยาละแวกในประวัติศาสตร์

    from manager online วันที่ 30 ม.ค. โดยพายัพ วนาสุวรรณ
    “…ทีนี้มาว่ากันเรื่องพระยาละแวกในประวัติศาสตร์
    พระยาละแวกปรากฎตัวขึ้นในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2075
    ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิของไทย
    กรุงหงสาวดียกทัพมาตีไทย
    พระยาละแวกเห็นได้ทีจึงยกทัพเขมรเข้ามาทางปราจีนบุรี
    แล้วกวาดต้อนผู้คนกลับไปจำนวนมาก หลังจากพม่ายกทัพกลับไป
    สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงพิโรธมาก
    รับสั่งให้ยกทัพไปถึงเมืองพระตะบองและเมืองละแวก
    พระยาละแวกเห็นท่าจะแพ้ในการศึกจึงมีราชสาส์นมากราบทูล
    จับใจความได้ ว่า
    ข้าพระองค์ผู้ปกครองกัมพูชา
    มิได้เกรงพระบรมเดชานุภาพที่ไปกวาดต้อนคนจากปราจีนบุรี
    ขออย่าทรงพิโรธยกทัพมาตีเมือง
    ข้าพเจ้าจะนำเครื่องราชบรรณาการมาถวาย
    และเป็นข้าพระบาทตราบชั่วกัลปวสาน
    หลังจากนั้น 3 วัน พระยาละแวกได้นำเครื่องราชบรรณาการ
    พร้อมด้วยนักพระสุโทและนักพระสุทัน ซึ่งเป็นราชบุตรของตน มาเข้าเฝ้า
    สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงทรงคลายพิโรธ
    และขอนำโอรสทั้งสองไปเลี้ยงดู พระยาละแวกก็ยอม
    จากนั้นก็กวาดต้อนคนชาวปราจีนบุรีกลับคืนมาฝั่งไทย
    ต่อมาไม่นานญวณได้ยกทัพมายึดเมืองละแวก
    ไทยจึงส่งกองทัพไปช่วยเพื่อตีเมืองคืนแต่ทำไม่สำเร็จ
    ปี 2113 รัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
    หลังจากที่ไทยเสียกรุงให้แก่พม่าเพียงปีเดียว
    พระยาละแวกถือโอกาสเข้ามาปล้นและตีเมืองนครนายก
    สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชจึงทรงรับสั่งให้ยกทัพไปปราบ
    ให้ทหารนำปืนจ่ารงค์ยิงไปถูกพระจำปาธิราชของเขมรตายคาที่บนคอช้าง
    ทัพเขมรถอยกลับไปแต่ก็ย้อนกลับมาปล้นเมืองอีกหลายครั้ง
    นอกจากนี้พระยาละแวกยังนำทัพมากวาดต้อนผู้คนแถวจันทบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา
    พระยาละแวกยกทัพมาถึงปากน้ำพระประแดง โจมตีเมืองธนบุรี
    จับชาวเมืองธนบุรีและนนทบุรีเป็นเชลยจำนวนมาก
    แล้วได้รวบรวมไพร่พลหมายจะเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยา
    โดยแต่งทัพเรือ 30 ลำเข้าปล้นบ้านนายก่าย
    แต่โชคไม่ดีถูกปืนใหญ่ของไทยยิงตายเป็นจำนวนมาก
    ฝ่ายเขมรแตกทัพหนีกลับไปทางพระประแดง
    แต่ก็ยังกวาดต้อนผู้คนแถวสาครบุรีกลับไปอีกด้วย
    ปี 2129 รัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
    พระยาละแวกเห็นว่าไทยกำลังสู้ศึกกับกรุงหงสาวดีอยู่
    จึงฉวยโอกาสยกทัพเข้ามาตีเมืองปราจีนอีกครั้ง
    สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสว่า
    พระยาละแวกตระบัตสัตย์อีกแล้ว ต้องยกไปปราบให้ราบคาบ
    ผลการศึกกองทัพไทยไล่ตีเขมรไปจนสุดชายแดน
    ทหารเขมรล้มตายจำนวนมาก
    ปี 2133 หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรขึ้นครองราชย์
    ทรงจัดกองทัพให้ไปตีเมืองปัตบอง เมืองโพธิสัตว์
    แล้วเข้าล้อมเมืองละแวกเอาไว้
    ทรงล้อมเมืองนานถึง 3 เดือนยังตีไม่ได้
    เสบียงอาหารเริ่มลดน้อยลงจึงทรงรับสั่งให้ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยาไปก่อน
    แล้วจะเตรียมการมาตีในภายหน้า
    ต่อมาในปี 2136
    สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงยกทัพกลับไปตีกัมพูชาอีกครั้ง
    พระองค์จึงทรงจัดกองทัพไทยไปตีกรุงกัมพูชาเป็น 2 ทางคือ ทางบก และทางเรือ
    ทัพไทยทั้ง 2 ทัพได้เข้าตีหัวเมืองสำคัญของกรุงกัมพูชาจนแตกพ่ายไปเป็นลำดับ
    ฝ่ายกัมพูชาก็ได้ต้านทานสู้รบป้องกันเมืองอย่างสามารถ
    และยังได้ขอกำลังจากญวนมาช่วยอีก
    แต่ในที่สุดทัพฝ่ายไทยก็สามารถตีกัมพูชาจนแตกได้สำเร็จ
    สมเด็จพระนเรศวรทรงจับพระยาละแวกประหารชีวิต

    -http://www.saranair.com/5028-

    พระยาละแวกในประวัติศาสตร์
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    พญาละแวก หรือ พระยาละแวก เป็นคำศัพท์ในพงศาวดารไทย ใช้เรียกกษัตริย์เขมรหลังจากอาณาจักรเขมรถูกสยามตีแตก และย้ายเมืองหลวงจากเมืองพระนครมาอยู่ที่พนมเปญ (พ.ศ. 1974) และต่อมาย้ายไปอยู่ที่ละแวก ระหว่าง พ.ศ. 2059 - พ.ศ. 2136 สามารถหมายถึง


    [​IMG]

    [​IMG]

    ภาพพระนเรศวรใช้น้ำจากบาตรล้างเท้าเพื่อกระทำการประหารพระยาละแวก





    .




    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอโมทนาบุญทุกประการครับพี่ท่าน
     
  19. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “ชะคราม” รสเค็ม เต็มคุณค่า
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 เมษายน 2554 10:31 น.

    [​IMG]

    “108 เคล็ดกิน” ได้ไปลองชิมอาหารอยู่จานหนึ่งที่ชื่อว่ายำชะคราม ฟังดูแล้วชื่อไม่ค่อยคุ้นหูเสียเท่าไหร่ก็เลยลองกลับมาหาความรู้ดูว่า “ชะคราม” ที่ว่านี้คืออะไรกันแน่

    “ชะคราม” หรือในบางพื้นที่อาจจะเรียกว่า “ชักคราม” หรือ “ส่าคราม” เป็น ไม้ล้มลุก และเป็นวัชพืชที่เจริญเติบโตได้ง่ายในบริเวณที่ดินเค็ม ใบของชะครามจะดูดเอาความเกลือจากดินมาเก็บไว้ จึงทำให้ใบมีรสเค็ม ซึ่งเมื่อใบชะครามแก่ขึ้นเรื่อยๆ ความเค็มก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย

    ฉะนั้น เวลาจะเลือกชะครามมาปรุงอาหารให้เลือกใช้ใบอ่อน นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วต้มคั้นน้ำทิ้งไป 2-3 ครั้งเพื่อให้ลดความเค็มลง จากนั้นก็นำไปทำอาหารจานเด็ดได้เลย ซึ่งก็ทำได้หลากหลายเมนู อย่างเช่น ยำชะคราม ใส่ลงไปในแกงเผ็ดกับปูหรือกุ้ง ทำเป็นผักลวกจิ้มราดกะทิกินคู่กับน้ำพริก นำไปใส่ไข่เจียวแทนชะอม หรือเอาใบชะครามไปชุบแป้งทอดก็อร่อยเหมือนกัน

    นอกจากจะเป็นส่วนประกอบในอาหารหลายจานแล้ว ชะครามก็ยังมีสารอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็ง ที่เริ่มมีผู้สนใจทำวิจัยสาระสำคัญในชะครามเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในภายภาค หน้า

    ในส่วนรากของชะคราม ให้กินเป็นยาบำรุงกระดูก แก้พิษฝีภายใน ดับพิษในกระดูก แก้น้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน แก้โรคผิวหนังและเส้นเอ็นพิการ

    ลำต้นและใบของชะครามก็มีประโยชน์ต่อร่างกายเราเช่นกัน เพราะตัวชะครามดูดเกลือจากดินมาเก็บไว้ ทำให้มีธาตุไอโอดีนสะสมอยู่ ซึ่งสามารถป้องกันโรคคอพอกได้ และยังมีสรรพคุณใช้รักษารากผม แก้ผมร่วงได้ด้วย

    ได้รู้จักกับชะครามกันแล้ว คราวหน้าถ้าหากเห็นเมนูที่ทำมาจากชะคราม “108 เคล็ดกิน” คงไม่พลาดที่จะลิ้มลองแน่ๆ


    .
    Travel - Manager Online -
     

แชร์หน้านี้

Loading...