พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948


    สำหรับงานบุญในวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2554 ที่ผมอัญเชิญพระพุทธรูป หน้าตัก 12 นิ้ว จำนวน 3 องค์( เชียงแสน , สุโขทัย และอู่ทอง) ที่ท่านเจ้าสัวน้อย ฝากถวายวัด โดยผมฝากให้พี่เปี๊ยก เป็นผู้ที่อัญเชิญไปถวายวัดที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

    มีผู้ร่วมทำบุญในงานบุญนี้

    1.ท่านเจ้าสัวใหญ่ และครอบครัว
    2.คุณธวัช และครอบครัว
    3.คุณกุ้งมังกอนและครอบครัว
    4.คุณปฐมและครอบครัว
    5.ผมและครอบครัว

    เงินที่ร่วมทำบุญในการถวายพระพุทธรูป หน้าตัก 12 นิ้ว จำนวน 3 องค์( เชียงแสน , สุโขทัย และอู่ทอง) ท่านเจ้าสัวน้อยแจ้งมาว่า ให้ผมดำเนินการทำบุญช่วยเหลือชาวภาคใต้ที่ประสบอุทกภัย ผมจะดำเนินการโอนเงินเข้ามูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เราจะร่วมทำบุญกับในหลวงกันครับ

    ทำบุญเรื่องเดียว ได้หลายต่อ แบบนี้ชอบมากที่สุดครับ

    โมทนาในทุกบุญกับทุกๆท่านครับ

    ร่วมกันสะสมแต้ม(กรรมดี)กันครับ


    .

    “อันความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่
    หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน ฯ”

    สุนทรภู่

    -http://mblog.manager.co.th/septimus/th-114124/-

    http://mblog.manager.co.th/septimus/th-114124/





    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2011
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ล้วงลึก"สาวนักสืบ"ปราบกิ๊ก-ล่าเมียน้อย ทึ่ง!ราชการหญิงใกล้เกษียณ ซุก"ชู้หนุ่ม" ไว้เลี้ยงดูเพียบ!


    ภายหลังจากที่สำนักข่าวเอเอฟพี ได้อ้างข้อมูลชายไทยนิยมมีภรรยาน้อยมากขึ้นและไม่ได้มีเพียงแค่เพียงคนเดียว แต่กลับมีภรรยาน้อย หรือกิ๊กมากถึง 2-3 คน ในคราวเดียวกัน ซึ่งได้จากการสัมภาษณ์ อำนวยพร มณีวรรณ์ นักสืบเอกชนหญิงชาวไทย มาเผยแพร่เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2554 นั้น

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    อำนวยพร มณีวรรณ์



    ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ได้โทรศัพท์สัมภาษณ์เพิ่มเติมจากนักสืบคดีชู้ชื่อดังรายนี้ เจ้าของฉายา"สายสืบปราบกิ๊ก" ถึงกรณีดังกล่าว โดยเธอระบุว่า ที่มาในการตามสืบเรื่องการมีภรรยาน้อย ชู้ หรือ กิ๊ก หรือส่งเสียเลี้ยงดู ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ก็แล้วแต่ เริ่มมาจากเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว ซึ่งมีคนมาจ้างให้เธอตามสืบสามีที่ต้องสงสัยว่าไปมีภรรยาน้อย เพื่อที่ลูกค้ารายนั้นจะได้นำหลักฐานไปฟ้องหย่า จากนั้นมาเมื่อประสบผลสำเร็จ ก็มีการบอกต่อกันมาเรื่อยๆ ซึ่งต้องบอกว่า ปัจจุบัน คนที่แต่งงาน หรือไม่ได้แต่งงานกัน ต่างนอกใจคู่รักของตัวเองไปมีเมียน้อย มีชู้ มีกิ๊ก กันเยอะมากๆ ไม่เฉพาะแต่หญิงมาจ้างให้สืบฝ่ายชาย แต่ฝ่ายชายก็มีมาจ้างให้ติดตามพฤติกรรมของฝ่ายหญิงด้วย เรียกว่า ทั้งหญิงสืบชาย ชายสืบหญิง มีอัตราส่วนพอๆ กันแล้วเดี๋ยวนี้ หรือแม้กระทั่งบุคคลเพศที่ 3 ก็มาใช้บริการสืบจากตนเช่นกัน มีทุกเพศทุกวัยจริงๆ ในทุกวงการก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ฝ่ายค้าน ส.ส. ส.ว. นักการเมือง ข้าราชการ ครู ทหาร ตำรวจ แพทย์ ดารา นักร้อง นักธุรกิจ ไฮโซ พนักงานบริษัท ฯลฯ ซึ่งบุคคลเหล่านี้อยู่ในวัยคนทำงานที่มีอายุ 20 ปี ขึ้นไป ฐานะปานกลางขึ้นไปจนถึงสังคมชั้นสูง แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งเป็นนักเรียน นักศึกษา ตนจะไม่รับเลย เพราะค่าใช้จ่ายตรงนี้ค่อนข้างสูงมาก ปัจจุบันมีผู้มาใช้บริการเยอะจนล้น ตนก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าคนจะมีปัญหากันมากขนาดนี้

    อำนวยพร หรือพี่กุ้ง เผยว่า จากประสบการณ์ในการตามสืบกิ๊ก ควานหาชู้ของเธอ พบว่า ในส่วนของคนที่เป็นข้าราชการจะนอกใจคู่สมรสของตัวเองเยอะมากๆ (น้ำเสียงเน้นย้ำ) ส่วนใหญ่ชู้หรือกิ๊กก็จะอยู่ในหน่วยงานเดียวกัน หากเป็นข้าราชการฝ่ายชายก็จะนิยมมีเมียน้อย มีกิ๊กที่เป็นหญิงสาววัยอ่อนกว่ามาก ที่น่าสนใจคือ ข้าราชการหญิงที่มาอายุในวัยใกล้เกษียณ ก็มักคบผู้ชายเด็กกว่า ซุกซ่อนในสำนักงาน คอยส่งเสียเลี้ยงดู ให้เงินทุกอย่าง กลับบ้านดึกๆ ออกนอกบ้านไปงานนู้น งานนี้ตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้สามีของเขาก็เกิดความหวาดระแวงให้ตามสืบ เรียกว่า ต่างคนต่างสงสัย พอๆกัน ก้าวออกจากบ้านไป ก็ไว้ใจใครกันไม่ได้เลย


    [​IMG]

    วิธีการ "สืบ" ของพี่อำนวยพรนั้น เธอเผยว่า ทำกันเป็นทีมงานมีหลายคน ตามสืบหลายเรื่อง หลากรูปแบบ ซึ่งตัวหลักก็จะเป็นตัวเธอเอง เริ่มต้นมาจากที่มีผู้มาใช้บริการที่มีปัญหาในความสัมพันธ์โทรมาคุยก่อน หรือเข้ามาหาที่สำนักงานเลย เมื่อคุยตกลงแล้ว เขาก็จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวของคู่รักเขาเองว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำงานที่ไหน ไปที่ใดบ่อย ตารางเวลาในการไปนู่นมานี่เป็นอย่างไร บอกเล่ารูปพรรณสัณฐาน เอารูปมาให้ดู เป็นต้น ที่สำคัญต้องดูว่า เขามีเรื่องตบตี หรือตามสืบกันมาเองก่อนหน้านี้หรือเปล่า จากนั้นทางเราก็จะมีการวางแผนก่อน ว่าจะเริ่มตาม เริ่มสืบจากตรงไหน ก็จะจัดคนให้เหมาะกับการตามสืบในเรื่องนั้นๆ ว่าทีมงานคนนั้น คนนี้ ถนัดในรูปแบบไหน ซึ่งบางครั้งมันต้องมีการปลอมตัว มีอุปกรณ์ในการสืบหลากหลายไป ที่ขาดไม่ได้คือ กล้องถ่ายภาพ ทั้งภาพนิ่ง หรือวิดีโอ จีพีเอส ต้องเลือกให้ต่างกันไปตามสถานการณ์ กล้องอาจจะเป็นกล้องตัวเล็ก กล้องรูเข็ม กล้องปากกา เครื่องอัด เครื่องดักฟัง


    การตามสืบนั้นต้องมีการเตรียมพร้อม เอาอุปกรณ์ไว้ตรงไหน เป้าหมายพิกัดที่ใด ต้องรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน มีปฏิภาณ ไหวพริบ รู้จักเอาตัวรอด มีความพริ้วไหว คล่องแคล่ว ขาดไม่ได้คือ ต้อง นิ่ง มีสติ ไม่วู่วาม หรือตื่นตระหนก ซึ่งทีมงานของเราก่อนเข้ามาทำตรงนี้ก็จะต้องได้รับการฝึกมาอย่างดี ถึงจะลงพื้นที่ปฏิบัติการตามสืบ


    [​IMG]

    หลักฐานเท่าไหร่ ถึงจะเพียงพอประกอบได้ว่า บุคคลนั้นๆ มีชู้ มีกิ๊ก ซุกเมียน้อย ?


    นักสืบสาวในวัย 42 ปี บอกว่า ก็ติดตามดูจากพฤติกรรมการแสดงออกกับคนที่เป้าหมายอยู่ด้วยนั่นล่ะ ถ้ามีการจับมือ ถือแขน กอดจูบ ลูบคลำ ไปกินข้าว ดูหนัง แสดงออกทางกายในลักษณะที่ไม่น่าจะใช่เพื่อนหรือคนรู้จักกันธรรมดาแน่ๆ เราก็ใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่บันทึกเป็นหลักฐานเอาไว้ แต่ในกรณีถ้าเขาไปด้วยกัน เรื่องการจดจำทะเบียนรถ หรือลู่ทางในการติดตาม ไปยังบ้าน คอนโด โรงแรม ก็ต้องวางแผนให้ดี แต่คงไม่ต้องถึงขนาดไปเจาะผนังเพื่อส่องดูว่าเขาทำอะไรกันหรอกนะ (หัวเราะ)


    ใช่ว่า แต่เพียงคนไทยในแดนสยามทั้งกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัดเท่านั้นที่มาจ้าง พี่อำนวยพรให้สืบหาชู้ หากิ๊ก แต่ คนไทยในเมืองนอกก็มีจำนวนไม่น้อยที่ออนไลน์ สายตรงมาให้สืบหาความจริงเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีคนต่างชาติมาใช้บริการไม่ได้หยุดหย่อน ซึ่งบางครั้งพี่อำนวยพรเองก็ต้องบินไปสืบถึงเมืองนอก เรียกว่า แอดวานซ์ทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้ เธอยังเป็นเจ้าของคอลัมน์ "คุยกับนักสืบ" ในเว็บไซต์ www.decha.com ซึ่งเป็นของสำนักงานของเธอเอง ที่เปิดให้บุคคลมาพูดคุย ปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาชีวิตคู่อันหลากหลายอีกด้วย


    [​IMG]

    "จริงๆ งานแบบนี้ตื่นเต้น และสนุกมากนะ โดยเฉพาะกับเคสที่ลูกค้าให้มาแต่รูปถ่ายสามี ที่เป็นภาพเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว คือมันลุ้น เวลาเราไปตามหาเป้าหมาย ซึ่งเป็นบุคคลที่เราไม่เคยเห็นหน้า ต้องสังเกตรูปพรรณ สัณฐาน ลักษณะเฉพาะบุคคลนั้นๆให้ได้ จากรูปถ่ายเก่าๆ ซึ่งบางครั้งข้อมูลที่ลูกค้าให้มาก็ไม่ตรงกับความเป็นจริงซักทีเดียว เราก็ต้องพยายามตามสืบจนหาเป้าหมายและการดำเนินชีวิตของเขาให้ได้ ต้องสังเกตหมด ทั้งรูปหน้า ใบหน้า ทรงผม บุคคลิก การแต่งตัว ยิ่งชาวต่างชาตินี่ยากเลย เพราะหน้าตาคล้ายๆ กันไปหมด แต่เราต้องสืบหาให้ได้ และเราก็จะลุ้นระทึกไปตลอด คนนั้นใช่มั้ย คนนี้ใช่มั้ย "


    เห็นการตามสืบอย่างเข้มข้น เอาจริงเอาจังขนาดนี้ หลายคนคงอยากทราบว่า ค่าใช้จ่ายในการ สืบชู้ ล่ากิ๊ก นี้ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ พี่กุ้งบอกว่า ถ้าให้ตามสืบ ในระยะเวลา 7 วัน สนนราคาอยู่ที่ 3-4 หมื่นบาท หรือเฉลี่ยวันละ 5,000 บาท อันนี้เป็นกรณีการสืบติดตามพฤติกรรมแบบธรรมดาทั่วไป ไม่ได้หวือหวามาก แต่ถ้าเป็นการสืบแบบที่ซับซ้อนมาก เนื่องจากเป้าหมายเป็นพวกที่ไม่ธรรมดา มีชื่อเสียง มีอิทธิพล มีคนคุ้มกัน เข้าถึงตัวได้ยาก ต้องมีการเตรียมการมาอย่างดี ใช้กำลังคนมาก ก็จะตกอยู่ที่ ราคา 3-4 หมื่นบาท ต่อวัน คือสาเหตุที่ต้องราคาสูงขนาดนี้ในการตามสืบ ก็เพราะอาชีพนี้เป็นอาชีพที่เสี่ยงมากๆ ไม่ค่อยมีคนทำกัน ทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความแยบยล ต้องไม่ทำให้ใครสงสัย จับได้ ไม่งั้นทุกอย่างจบ

    "เราไม่ทำตัวว่ารู้มาก ให้ข้อมูลมาแค่ไหน ก็แค่นั้น บางคนที่ให้สืบสามี หรือภรรยา เขาไม่ได้มาคุยด้วยตัวเองตรงๆ ใช้ให้คนอื่นมาคุยแทนก่อน ซึ่งเขาอาจอายด้วยชื่อเสียง หน้าตาทางสังคม แต่พอต้องติดต่อกันมากขึ้น เขาก็กล้าที่จะเปิดเผยตัวตน จรรยาบรรณของเราก็ไม่นำความลับของลูกค้าไปเปิดเผยอยู่แล้ว และไม่คิดจะไปละลาบละล้วงเรื่องอะไรของเขาด้วย การทำอาชีพนักสืบ ไม่เพียงแต่จะสืบสิ่งที่เขาอยากรู้เพียงเท่านั้นนะ หลายๆครั้งเรายังต้องเป็นที่ปรึกษา คอยแก้ไขปัญหา เป็นศิราณีให้เขาอีกด้วย(หัวเราะ) บางคนก็โทรมาหา ปรึกษาเหมือนเป็นการระบายความอัดอั้นในปัญหาชีวิตให้เราฟังมากกว่า บางครั้งไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ"


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    "สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้" สโลกแกนที่ พี่อำนวยพรตั้งไว้ เธอบอกว่า การสืบหากิ๊ก ไล่ล่าชู้นั้น เป็นการคลายเรื่องค้างคา ความสงสงสัยของคนที่อยากรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ เรื่องที่หาทางออก หรือลงมือด้วยตัวเองในการล่าหาความจริงไม่ได้ เขาจึงไว้วางใจนักสืบ ซึ่งก็มีหลายคนถามว่า การทำแบบนี้ จะทำให้คู่รัก ครอบครัวเขาแตกแยกหรือเปล่า แต่เมื่อตนมาเทียบกับกระแสตอบรับที่มีคนมาใช้บริการแล้วประสบความสำเร็จ ก็รู้ว่า การทำแบบนี้แท้จริงแล้วเป็นการช่วยเหลือคนมากกว่า ซึ่งการที่ตนตั้งสำนักงานตามสืบพวกชู้ พวกกิ๊ก เมียน้อยทั้งหลายแหล่แทนที่จะลดลง แต่เปล่าเลย พบว่า ปัจจุบันคนนอกใจคู่ของตนเองกลับเพิ่มมากขึ้นในปริมาณมาก

    "ไม่รู้ว่า เป็นเพราะโลกมันจะวิบัติ โลกจะแตกหรือเปล่านะ คน 2 คนคุยกันไม่รู้เรื่อง ความซื่อสัตย์ต่อคนรักก็ลดน้อยลง บางครั้งคู่รักที่มีปัญหากันมันก็มาจากหลายๆ สาเหตุ เราไม่รู้ว่า เขามีปัญหาอะไรกัน อีกอย่างการออกไปทำงานนอกบ้าน ได้พบปะผู้คน เจอสังคมใหม่ๆ ความใกล้ชิด สนิทสนม ก็อาจทำให้จิตใจของคนเปลี่ยนแปลง พลั้งเผลอไปได้ บางคู่ไม่เข้าใจกัน ก็ไปหาคนอื่นที่คุยแล้วเข้าใจกันมากกว่า หาเพื่อนคุยแก้เหงา มันก็พัฒนาความสัมพันธ์ไปในเชิงชู้สาวตามมา ทั้งที่มีครอบครัวอยู่แล้ว "


    มากน้อยเพียงใดที่ว่า ผู้ชายไทยเจ้าชู้ที่สุด

    พี่กุ้งระบุว่า จริงๆแล้ว ทุกคนก็มีความเจ้าชู้กันหมด กระจายไปทั่วโลกอยู่ที่ว่าใครจะแสดงออกมากน้อยแค่ไหน ไม่เฉพาะแค่ผู้ชายไทย ชาติอื่นๆ ก็เจ้าชู้เหมือนกันหมด ผู้หญิงก็เจ้าชู้ บางคนมีสามีเป็นตัวเป็นตน ก็มาจ้างให้สืบว่า กิ๊ก มีคนอื่นหรือเปล่าด้วยซ้ำ เป็นสืบซ้อนสืบ ผู้ชายมีอายุบางคน ประมาณ 80 ปี ก็มาจ้างให้สืบว่า บรรดากิ๊ก คบชายอื่นไหม เกิดความหึงหวงกันขึ้นมา ขณะที่ ผุ้หญิงอายุมากๆ 60 ปีขึ้นไป ก็มาจ้างให้สืบสามีตัวเอง ไปซุกอีหนูไว้ที่ไหนบ้าง เนื่องจากหวงสมบัติ จะเห็นได้ว่า พอคนเริ่มมีอายุ เริ่มแก่ จุดประสงค์ในการจ้างให้สืบมันต่างกันไป ก็แล้วแต่ความคิด ความต้องการของแต่ละคน

    "มาตรฐานจิตใจมันต่ำลงนะ ไม่ว่าจะศีลธรรม จริยธรรม รวมถึงข้อกฎหมาย มันพูดยากเพราะปัญหาแต่ละคนไม่เหมือนกัน การที่เรานอกใจคู่ของตัวเอง มันก็โทษไม่ได้ทั้งหมดว่าใครผิด ใครถูก เราไม่ได้อยู่กับเขา เราไม่รู้ปัญหา บางครั้ง เราก็อาจลืมมองตัวเองว่าเป็นอย่างไร ทำไมเขาถึงไม่รักเรา เขาถึงเปลี่ยนไป หรือเราเปลี่ยนไปหาคนอื่น เพราะทุกคนก็มองอยู่ที่แค่ตัวเอง ปัญหามันเลยเกิดไม่หยุดไม่หย่อน"

    เห็นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตามชู้ ปราบกิ๊ก เปิดโปงเมียน้อยแบบนี้แล้ว เมื่อถามถึงชีวิตคู่ของพี่อำนวยพรบ้าง ว่าเป็นอย่างไร เธอบอก "โสด" ไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้คบใคร อาจเป็นด้วยว่า พอมีคนมาเล่า มาปรึกษา มาให้ตามสืบเรื่องนู้น เรื่องนี้ รู้ปัญหาของคนอื่นไปเสียทุกเรื่องว่าเป็นอย่างไร รู้มากไป มองคนได้ทะลุ ทำให้เธอเกิดความกลัวที่จะตกลงปลงใจฝากชีวิตไว้กับใครสักคนหนึ่ง

    [​IMG]


    ปิดท้ายที่ว่า ทำงานแบบนี้ มีลูกค้ามาจีบบ้างไหม อำนวยพรรับว่า มีเยอะแยะ บางคนถึงกับบอกว่า ไม่ต้องสืบให้แล้ว เดี๋ยวเขาจะมาจีบเอง ซึ่งเธอก็ได้ปฏิเสธไปหลายราย ด้วยการทำงานตรงนี้ต้องระวังตัว และวางตัวดีเป็นพิเศษ เธอจะไม่ให้ความหวังใคร ไม่ได้ปิดโอกาสตัวเอง แต่ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่

    "อยู่แบบนี้ไปดีที่สุด สบายใจกว่า ไม่ต้องมานั่งทุกข์ คิดมากกับใคร บางคนทำดีกับเรามากๆ ต่อหน้า แต่ลับหลังไม่ใช่ เหมือนใส่หน้ากากเข้าหากัน ชีวิตจริง มันไม่มีเจ้าหญิง ไม่มีเจ้าชายที่เพอร์เฟค เป็นไปตามที่เราวาดฝันไว้ว่าจะรักกันไปตลอดกาลนานได้หรอก เราต้องรักตัวเอง มองเห็นคุณค่าของตัวเองให้มากๆ และนั่น จะเป็นชีวิตที่มีความสุขที่สุด"




    ด้วยเหตุฉะนี้ ท่าทางคงจะเป็นเรื่องจริงที่ นักสืบสาว อำนวยพร กล่าวกับเอเอฟพีว่า "คนที่สามารถเชื่อถือได้คือคนที่ตายแล้วเท่านั้น ถ้ายังมีชีวิต มีลมหายใจอยู่ อย่าได้ไปเชื่อพวกเขาเป็นอันขาด"



    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1301987572&grpid=01&catid=&subcatid=
    .

    ล้วงลึก"สาวนักสืบ"ปราบกิ๊ก-ล่าเมียน้อย ทึ่ง!ราชการหญิงใกล้เกษียณ ซุก"ชู้หนุ่ม" ไว้เลี้ยงด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2011
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ค้นคุณสมบัติ'มะนาว' 'เปรี้ยว'ปลอดภัยยามร้อนเยือน!

    แม้อากาศจะเย็น ลมแรง มีฝนโปรยปรายลงมาบ้าง แต่ในช่วงฤดูร้อน นอกจากจะสัมผัสกันได้ถึงสภาพอากาศอบอ้าว
    พืชผักผลไม้ ผลิตผลทางการเกษตรหลากหลายชนิดในช่วงเวลาดังกล่าวยังคงมีราคาขยับขึ้น เช่นเดียวกับ “มะนาว” ในเวลานี้...

    ด้วยความที่รสเปรี้ยวของมะนาวช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารหลากหลายเมนู แต่ยามที่มีราคาเพิ่มจากมะนาวในฤดูปกติ อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการบริโภคอาจปรับเปลี่ยนโดยนำพืชผักพื้นบ้าน และผลไม้หลากหลายชนิดของไทยมาทดแทน รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ ประธานหลักสูตรพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เล่าถึงความโดดเด่นและคุณประโยชน์ของผักผลไม้รสเปรี้ยวที่มีอยู่หลากหลายว่า ไม้ผลพืชผักสวนครัวที่ให้ความเปรี้ยว สามารถใช้ปรุงรสอาหารในเมนูต่าง ๆ ได้มากมายไม่ว่าจะเป็น ต้มยำ ยำต่าง ๆ หรือนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ก็ได้ สำหรับมะนาวนั้น นอกจากจะมีความเปรี้ยวแล้วยังมีกลิ่นหอมด้วย

    แต่เมื่ออยู่ในช่วงนอกฤดู ปริมาณผลผลิตมะนาวออกสู่ท้องตลาดอาจลดลง แต่อย่างไรแล้วก็เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งในความโชคดีของบ้านเรายังมีผัก ผลไม้หลายชนิดที่ให้รสเปรี้ยวทดแทนมะนาวได้ ไม่ว่าจะเป็น ตะลิงปลิง มะขาม มะขามเปียก ชะเอมไทย ส้มแขก มะม่วง ฯลฯ อีกทั้งในภูมิภาคอีสาน และภาคใต้ยังพบว่า มีพืชผักอีกหลายชนิดที่ให้ความเปรี้ยวนำมาปรุงเพิ่มรสชาติอาหารแทนมะนาวได้เช่นเดียวกัน

    นอกจากความเปรี้ยวของผักผลไม้ตามธรรมชาติยังมี “มะนาวเทียม” ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องใช้ปรุงรสอาหาร ก่อนเลือกซื้อควรสังเกตเบื้องต้นทั้งในเรื่องของฉลาก อย. ลักษณะของน้ำมะนาวซึ่งหากขุ่นเขียวเกินไป ขวดไม่มีฉลากก็ไม่ควรเลือกนำมาใช้ อีกทั้งในช่วงฤดูร้อนการรับประทานอาหารควรเพิ่มความระมัดระวังเคร่งครัดในเรื่องของความสะอาด

    มะนาว นอกจากให้รสเปรี้ยวที่คุ้นเคยกันแล้ว อีกความโดดเด่นส่วนผิวของมะนาวยังมีน้ำมันซึ่งมีประโยชน์ ทั้งนี้มะนาวเป็นพืชตระกูลส้ม เวลาขยี้เปลือกจะมีกลิ่นหอมฉุน นิด ๆ และมีน้ำมันออกมาเช่นเดียวกัน ในกลุ่มนี้จากงานวิจัยมีการศึกษาด้านระบาดวิทยาพบว่า ผู้ที่ทานน้ำส้มคั้นมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลดลงกว่าผู้ที่ทานส้มทั้งลูก

    แต่อย่างไรก็ตาม การทานส้มทั้งลูกก็มีประโยชน์โดยส้มทั้งลูกจะมีความเสี่ยงต่ำกว่าคนทั่วไปที่ไม่กินส้ม แต่คนที่กินน้ำส้มคั้นก็จะมีความเสี่ยงต่ำสุด สิ่งที่ได้ก็คือ ผิวส้มเวลาที่คั้นน้ำส้มจะมีส่วนที่เป็นน้ำมันผสมไปด้วย ก็คล้ายกับการทำอาหารหลายชนิดของเราที่ปรุงรสด้วยมะนาว ไม่ว่าจะเป็น ประเภทยำหรือน้ำพริกก็มักจะบีบมะนาว ซึ่งจะมีน้ำมันที่ผิวอยู่ด้วยก็จะได้รับประโยชน์ซึ่งหากทานไปนาน ๆ ก็จะช่วยต้านมะเร็งได้ แต่อย่างไรแล้วในเรื่องดังกล่าวก็ยังคงต้องศึกษาวิจัยเพิ่มเติมกันอีก

    “จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมการบริโภคอาหารของไทย ภูมิปัญญาไทยในการปรุงอาหารอีกหลายอย่างส่งผลดีต่อสุขภาพ อย่างแกงบางอย่างที่ต้องใส่มะกรูดไม่ว่าจะเป็นผิวหรือผลซึ่งก็เป็นกลุ่มพืชชนิดเดียวกัน น้ำมันจากผิวมะกรูดก็มีประโยชน์ เรียกว่านอกเหนือจากกลิ่นหอมแล้วยังมีองค์ประกอบความโดดเด่นที่ผิว อีกทั้งยังได้รับประโยชน์ด้านวิตามินร่วมด้วย”

    และเนื่องจากมะนาวซึ่งมีรสชาติเปรี้ยวแหลมต่างจากมะขามที่มีความเปรี้ยวนุ่มนวลกว่า ในความเหมาะสมกับการนำมาปรุงในเมนูอาหารก็จะมีความหลากหลายต่างกัน อย่างการปรุงต้มยำ ซึ่งต้องการรสเปรี้ยวแหลมหากเป็นแกงส้มอาจต้องการรสเปรี้ยวนุ่มนวลกว่า ขณะที่น้ำจิ้มอาหารทะเลต้องการเปรี้ยวแหลมซึ่งก็ต้องเลือกใช้น้ำมะนาวดูจะเหมาะกว่านั่นเอง

    ด้วยความที่มีความโดดเด่นในกลิ่นและรสชาติความเปรี้ยวแหลม “มะนาว” ซึ่งมีกรดที่เข้ากับอาหารที่เป็นประเภทเนื้อสัตว์จึงมักมีความเข้าใจผิดกันในการใช้มะนาวบีบลงไปเพื่อให้อาหารสุก อย่าง กุ้งเต้น แท้จริงแล้วมะนาวไม่ได้ช่วยให้อาหารสุก แต่ที่ดูเหมือนสุกเพราะเนื้อกุ้งเป็นโปรตีนเมื่อโดนกรดมะนาวก็จะเปลี่ยนสภาพขาวขุ่นขึ้นคล้ายกับการลวกซึ่งความเปรี้ยวของมะนาวไม่เพียงพอจะฆ่าพยาธิ หรือทำให้สุกได้ ในอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกันที่ใช้มะนาวปรุงหวังเพื่อจะช่วยให้อาหารสุกสิ่งนี้ต้องพึงระวังเพราะอาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยต่าง ๆ ตามมาได้

    สำหรับผักผลไม้ที่นำมาช่วยทดแทนมะนาว แต่ละชนิดล้วนมีความโดดเด่น อย่างเช่น มะขาม นอกเหนือจากความเปรี้ยวยังเป็นสมุนไพรมีสรรพคุณทางยา ช่วยในการขับถ่าย อีกด้านยังเกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมประเพณี ภูมิปัญญาไทย

    “ในความเปรี้ยวของมะขามมีกรด ผลไม้เหมือนกันแต่เป็นคนละชนิดกับมะนาว ซึ่งมะขามเป็นกรดทาร์ทาลิก (tartaric) แต่มะนาวเป็นซิตริค ที่ผ่านมาก็มีการนำมะขามมาทำเป็นน้ำมะขามเข้มข้นเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่น นำมาปรุงอาหารเป็นเครื่องปรุง อีกทั้งในพันธุ์ที่หวานอย่างมะขามหวานยังเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยม”

    มะดัน พืชอีกชนิดที่ผลให้ความเปรี้ยวสามารถนำมาใช้ปรุงอาหารทดแทนมะนาวได้มากมายเช่นกัน อีกทั้งนำมาแปรรูปแช่อิ่มเป็นการถนอมอาหาร นอกจากนี้ในฤทธิ์เปรี้ยวของมะดันยังมีความโดดเด่นต่างไปจากมะนาวโดยจะมีความกลมกล่อมไม่เปรี้ยวแหลมและด้วยที่ไม่ค่อยมีปลูกกันมาก เนื่องจากเป็นต้นไม้ใหญ่และกว่าจะให้ผลผลิตต้องใช้เวลานานจึงทำให้มะดันหาทานยาก ต่างจากการปลูกมะนาว

    ด้าน ส้มแขก ก็ถือเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่ให้รสเปรี้ยวเป็นเครื่องเทศของคนโบราณโดยนำมาใช้ปรุงอาหารมีคุณประโยชน์และสรรพคุณทางยาช่วยระบาย นอกจากนี้ที่คุ้นเคยกันยังมี มะม่วง มะยม มะเฟือง ฯลฯ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของผลไม้ที่นำมาใช้ทดแทนมะนาว

    ในช่วงหน้าร้อนการทานเปรี้ยวให้ได้ประโยชน์และมีความปลอดภัย อาจารย์ท่านเดิมให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ความเปรี้ยวที่ได้จากผลไม้ไม่ว่าจะเป็นมะนาวหรือส้ม การบีบคั้นน้ำอาจต้องให้ติดความขมของผิวลงไปบ้างเพื่อจะได้ประโยชน์ ขณะเดียวกันควรระมัดระวังเรื่องความสะอาดซึ่งในความเป็นโทษของการทานเปรี้ยวมาก ๆ และยิ่งถ้าขาดความสะอาด ก็อาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยจึงควรทานแต่พอดีและคงไม่เพียงเฉพาะรสเปรี้ยวเท่านั้น ในรสชาติต่าง ๆ ก็ควรมีความเหมาะสมเช่นกัน อย่างน้ำมะนาวซึ่งมีความเป็นกรด ก็ไม่ควรดื่มน้ำมะนาวในช่วงหิว ท้องว่าง เพราะจะไปเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ก็ไม่ควรทานเปรี้ยวเพียงรสชาติเดียว ควรมีความหลากหลายในรสชาติซึ่งในช่วงมะนาวมีราคาสูงกว่าปกติ ความหลากหลายที่เกิดขึ้นจากผักผลไม้ที่นำมาทดแทนก็นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่พร้อมเพิ่มสีสันให้กับรสชาติอาหารที่ถูกใจและถูกปากใคร ๆ หลายคน.

    แนะวิธีเลือกซื้อ-ถนอมมะนาว

    หากต้องใช้มะนาวสำเร็จรูปบรรจุขวดทั้งในรูปของน้ำมะนาวแท้ หรือมะนาวเทียมสิ่งที่พึงพิจารณาไม่มองข้ามคือ เรื่องของความปลอดภัย ผศ.ดร.อาณดี นิติธรรมยง หน่วยวิทยาศาสตร์การอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลให้ความรู้เพิ่มเติมพร้อมแนะหลักการพิจารณาว่า สิ่งแรก คือ ต้องดูว่ามีฉลากอาหารหรือไม่และในฉลากแจ้งข้อมูลไว้ครบถ้วนเพียงใด ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือไม่

    จากนั้นพิจารณาที่ขวด หรือภาชนะที่บรรจุว่าชำรุด ปิดสนิทหรือเปล่า อีกทั้งดูสภาพทั่วไปทั้งเรื่องของสีซึ่งไม่ควรต่างจากสีของมะนาวตามธรรมชาติ ต้องไม่ผิดปกติไม่เหลืองหรือซีดเกินไปหรือเป็นสีอื่นที่ไม่เหมือนกับมะนาวตามธรรมชาติ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในการบ่งบอกถึงคุณภาพ อีกทั้งถ้ามีการบูดเสียก็จะปรากฏฟองก๊าซ แต่อย่างไรก็ตามช่วงที่มะนาวมีราคาขยับขึ้นก็ต้องพิจารณาถึงการนำมาใช้ให้เหมาะสม

    ส่วน วิธีถนอมรักษามะนาว นอกจากใส่ถุงและเก็บไว้ในตู้เย็นแล้ว ยังอาจเก็บแบบฝังทราย การคั้นน้ำมะนาวใส่ภาชนะ และแช่แข็ง ไว้ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้มีมะนาวใช้ในช่วงที่มะนาวมีราคา ถือเป็นการเก็บรักษามะนาวอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรเก็บไว้นานเกินไปเพราะรสชาติจะเริ่มเปลี่ยน

    ในช่วงหน้าร้อนสิ่งที่ต้องหมั่นสังเกตระมัดระวังเพิ่มจากการทานเปรี้ยว คือ หากอาหารมีรสเปรี้ยวควรแยกให้ได้ว่า เป็นความเปรี้ยวจากการปรุงแต่งรสหรือเปรี้ยวเพราะบูดเสีย ซึ่งช่วงหน้าร้อนอาหารจะบูดเสียได้ง่าย อีกทั้งอาหารที่ทานไม่หมดหากต้องเก็บค้างคืนก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น.

    ทีมวาไรตี้

    เดลินิวส์

    .

    Daily News Online > หน้าวาไรตี้ > ค้นคุณสมบัติ'มะนาว' 'เปรี้ยว'ปลอดภัยยามร้อนเยือน!

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    คำวัด - อลัชชี-เดียรถีย์


    คมชัดลึก : "พระปลอม" และ "พระนอกรีต" คือ คนห่มผ้าเหลืองที่เรียกตัวเองว่า "พระ" และให้คนอื่นเข้าใจว่าเป็นพระ แต่ทำในสิ่งที่ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระไม่ควรทำ เช่น ใบ้หวย ดูหมอ ทำเสน่ห์ ติดหญิง แอบมีเมีย ฯลฯ เป็นปัญหาที่มีมานมนานแล้ว ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล แต่จะใช้คำว่า "อลัชชี" และ "เดียรถีย์" แทน
    <SCRIPT type=text/javascript>google_ad_channel = '9989085094'; //slot numbergoogle_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads//google_image_size = '300X250';//google_skip = '3';var ads_ID = 'adsense_inside'; // set ID for main Element divvar displayBorderTop = false; // default = false;//var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type imagevar position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail</SCRIPT><SCRIPT src="http://www.komchadluek.net/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT>


    ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระธรรมปิฎก (ประยุทธิ ปฺยุตฺโต) ได้ให้คำอธิบายคำว่า "อลัชชี" (อะ-ลัด-ชี) ไว้ว่า "ผู้ไม่มีความละอาย, ผู้หน้าด้าน"

    คำว่า "อลัชชี" ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ถึงกับได้ทรงตรากฎหมายที่เรียกว่า "กฎพระสงฆ์"' เพื่อกวาดล้างพวกอลัชชีที่เข้ามาแอบแฝงทำลายพระศาสนา ปรากฏใน กฎพระสงฆ์ ที่ ๖ ในกฎหมายตราสามดวง มีความตอนหนึ่งว่า

    "...ภิกษุทุกวันนี้บวชเข้ามิได้กระทำตามพระวินัยปรนนิบัติ เห็นแต่เลี้ยงชีวิตผิดธรรมให้มีแต่เนื้อหนังบริบูรณ์ประดุจโคกระบือ มีแต่จะบริโภคอาหารให้จำเริญเนื้อหนัง จะได้จำเริญสติปัญญานั้นหามิได้ เป็นภิกษุสามเณรลามกในพระศาสนา ฝ่ายฆราวาสก็ปราศจากปัญญา มิได้รู้ว่า ทำทานเช่นนี้จะเกิดผลน้อยมากแก่คนหามิได้ มักพอใจทำทานแก่ภิกษุสามเณรอันประสานทำการของตนจึงทำทาน บางคาบย่อมมักง่ายถวายเงินทองของอันเป็นอกัปปิยะมิควรแก่สมณะ สมณะก็มีใจโลภสะสมทรัพย์เลี้ยงชีวิต ผิดพระพุทธบัญญัติฉะนี้ ได้ชื่อว่าฆราวาสหมู่นั้นให้กำลังแก่ภิกษุโจรอันปล้นพระศาสนา ทานนั้นหาผลมิได้ ชื่อว่าทำลายพระศาสนา..."

    ส่วนคำว่า "เดียรถีย์" (อ่านว่า เดีย-ระ-ถี) พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม ได้ใหความหมายไว้ว่า ผู้มีลัทธิดังท่าน้ำอันเป็นที่ข้าม หรือ “ข้ามน้ำผิดท่า” หมายถึง นักบวชนอกศาสนาในอินเดียสมัยพุทธกาล
    (ที่แปลว่า “ข้ามน้ำผิดท่า” นั้นอุปมาถึงบุคคลผู้ออกบวชหวังความพ้นทุกข์ แต่กลับแสวงหาทางที่ผิดหรือศรัทธาปฏิบัติในลัทธิความเชื่อที่มิใช่พระพุทธศาสนา อันเปรียบเหมือนผู้ที่ข้ามแม่น้ำไปขึ้นท่าน้ำที่ไม่ดี ทำให้เสียประโยชน์อันพึงได้ไป)

    เดียรถีย์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อัญเดียรถีย์ หมายถึงพวกที่มี “ลัทธิ” ความเชื่อถืออย่างอื่น นอกจาก “พระพุทธศาสนา”เดียรถีย์ สมัย พุทธกาล มีหลายพวก เช่น ปริพาชก นิครนถ์ ดาบส อเจลก (ชีเปลือย)

    ปัจจุบันคำนี้ถูกนำมาใช้เรียก ผู้ทำนอกเรื่อง หรือ นอกรีตนอกรอย ประพฤตินอก “ธรรม” นอก “พระวินัย” ว่า พวกเดียรถีย์ ซึ่งถือเป็นคำดูถูก หรือคำด่า
    ในการปราบปราม "พระนอกรีต พระอลัชชี และเดียวถีร์" พระรัตนเมธี (บุญช่วย กัมมสุโภ) หัวหน้าพระวินยาธิการส่วนกลาง เจ้าอาวาสวัดแก้วฟ้าจุฬามณี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ และเจ้าคณะเขตบางซื่อ บอกว่า หากจะอาศัยเพียงตำรวจพระคงไม่เพียงพอที่จะจัดแก้ปัญหาเหล่านี้ให้สิ้นซาก คงต้องอาศัยญาติโยมช่วยเป็นหูเป็นตา หากพบสิ่งใดเกี่ยวกับพระภิกษุที่ไม่ถูกต้อง ให้แจ้งไปยังศูนย์ปฏิบัติการพระวินยาธิการ และสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดทุกแห่ง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่

    "พระธรรมกิตติวงศ์ "


     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <IFRAME id=_atssh318 title="AddThis utility frame" style="BORDER-RIGHT: 0px; BORDER-TOP: 0px; Z-INDEX: 100000; LEFT: 0px; BORDER-LEFT: 0px; WIDTH: 1px; BORDER-BOTTOM: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 1px" name=_atssh318 src="//s7.addthis.com/static/r07/sh37.html#cb=0&ab=-&dh=palungjit.org&dr=&du=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff179%2F%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2233.html%23post4561411&dt=&inst=1&lng=th&pc=men&pub=bangkokbiznews&ssl=0&sid=4d9bcb7669a0ede8&srd=1&srf=0.02&srp=0.2&srx=0.5&ver=250&xck=0&rev=96998" width=1 height=1 frameborder="0"></IFRAME>
    ฟุตฟิตไม่ฟอไฟ...จ้างฝรั่งสอน เด็กไทยพิเศษไม่แก้ปัญหาพื้นฐาน

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    <!-- Begin Media Content --><SCRIPT type=text/javascript>$(function() {$('#media-content').tabs();});</SCRIPT><!-- Media Navigator content -->

    <!-- Begin Related News --> <!-- Begin Other Column -->
    <!-- End Box Tools and more Picture-->ข่าวบอกว่ากระทรวงศึกษาจะจ้างครูฝรั่งหรือเจ้าของภาษา (native English speakers) มา 300-350 คน ด้วยเงินเดือนคนละ 83,000 บาท
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110324/r20110321-2/show_ads_impl.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript1.1 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-1044823792492543&output=js&lmt=1302055645&num_ads=3&channel=8724309246&ad_type=text&adtest=off&ea=0&feedback_link=on&flash=10.2.153.1&url=http%3A%2F%2Fwww.bangkokbiznews.com%2Fhome%2Fdetail%2Fpolitics%2Fopinion%2Fsuthichaiyoon%2F20110406%2F385478%2F%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%9F...%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99.html&dt=1302055645140&shv=r20110324&jsv=r20110321-2&saldr=1&correlator=1302055645140&frm=0&adk=2393667399&ga_vid=1033586531.1274621364&ga_sid=1302055614&ga_hid=914592629&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=2&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1003&bih=564&ref=http%3A%2F%2Fwww.bangkokbiznews.com%2Fhome%2F&fu=0&ifi=1&dtd=16"></SCRIPT>เพื่อสอนให้เด็กไทยเก่งภาษาอังกฤษอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
    พอมีข่าวเรื่องนี้ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันกว้างขวาง ทั้งจากคนไทยและฝรั่ง ทั้งจากคนที่มีอาชีพเป็นครูและที่เป็นนักเรียน
    หรือที่เคยสอนภาษาอังกฤษให้เด็กไทยสมัยที่ผมยังเป็นเด็กไทยด้วยคนหนึ่งอย่างผม
    ข่าวชิ้นนี้อ้างคุณชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่พูดถึงโครงการจ้างครูชาวต่างชาติที่เกษียณอายุราชการ หรือนักศึกษาที่จบการศึกษาปริญญาตรีหรือปริญญาโท มาสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษา ในโรงเรียนดีประจำตำบลและอำเภอ
    คุณชินภัทร บอกว่า ที่ต้องมีโครงการนี้ก็เพื่อ “เตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558”
    จึงจำเป็นต้องลงทุนสอนภาษาอังกฤษให้เยาวชนไทยอย่างเร่งด่วน
    ท่านเลขาฯ สพฐ. บอกว่าได้ประสานไปยังกระทรวงต่างประเทศ ยกร่างแผนพัฒนาการเรียนการสอนรวมถึงประสานไปยังประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการเพื่อมาสอนให้กับเด็กไทย โดยมีสัญญาจ้างปีต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยจะเริ่มภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2554 ทั้งนี้ กระทรวงศึกษา และกระทรวงต่างประเทศ จะหารืออันอีกครั้งวันที่ 22 เมษายน ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติงบประมาณ
    ข่าวเดียวกันอ้างอาจารย์สมพงษ์ จิตระดับ แห่งคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า จำเป็นต้องกำหนดลักษณะงานในการจ้างให้ชัดเจน เพราะเงินเดือน 85,000 บาทต่อคนคงไม่ใช่สอนภาษาอังกฤษอย่างเดียว แต่ต้องทำหน้าที่อบรมครูในพื้นที่และการผลิตสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ
    อาจารย์สมพงษ์ บอกว่า โครงการจ้างครูชาวต่างชาตินี้ เป็นช่องทางพิเศษที่ภาครัฐซื้อบริการ ให้เจ้าของภาษามาช่วยสอน เพราะต้องยอมรับว่าการผลิตครูสอนภาษาอังกฤษของไทยยังล่าช้า และไม่เพียงพอ
    ข้อมูลบอกว่าที่ผ่านมา ผลสัมฤทธิ์หลักสูตรภาษาอังกฤษได้คะแนนต่ำสุด ร้อยละ 16-20 เพราะนิยมเน้นสอนหลักไวยากรณ์ แต่นำไปใช้จริงไม่ได้
    ปัจจุบัน สพฐ. มีครูที่จบภาษาอังกฤษและสอนระดับมัธยมศึกษา 25,000 คน และระดับประถมศึกษา 5,000 คน และครูที่สอนภาษาอังกฤษเป็นครูประจำชั้นที่อาจจะไม่ได้จบหลักสูตรภาษาอังกฤษแต่ประการใด
    เห็นข่าวนี้แล้วก็พอจะบอกได้ว่าจะเป็นโครงการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอีกค่อนข้างแน่นอน
    เพราะคำว่า “เจ้าของภาษา” ไม่ได้แปลว่าเป็นครูได้ทุกคน และคนที่มีอาชีพครูจากต่างประเทศก็จะไม่มารับสอนสัญญาปีต่อปี
    เงินเดือนที่ตั้งเอาไว้สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของครูคนไทยที่สอนภาษาอังกฤษนั้น ก็ไม่ได้รับรองว่าจะได้ผลมากกว่าที่เราเห็นอยู่ปัจจุบัน
    เพราะประเด็นเรื่องเรียนภาษาต่างด้าวนั้นอยู่ที่หลายปัจจัย มิใช่เพียงแค่ว่าจะต้องเป็น “เจ้าของภาษา” เท่านั้นที่สอนได้
    เด็กไทยเรียนภาษาอังกฤษไม่เก่งมีหลายเหตุผล และส่วนใหญ่จะเป็นเพราะทัศนคติที่ผิดๆ ของกระทรวงศึกษาที่ผลิตตำราและวิธีการสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติของการส่งเสริมให้ใช้ภาษาต่างประเทศ
    ไม่ใช่เพียงเรื่องของสำเนียงและการออกเสียงเท่านั้น
    ดังนั้น วิธีการแก้จึงต้องเป็นการปฏิวัติการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศกันครั้งใหญ่ มิได้แก้ด้วยการจ้าง “เจ้าของภาษา” จำนวนหนึ่งด้วยเงินเดือนสูงกว่าครูไทยคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่มิได้มีอะไรรับประกันว่าจะทำให้เด็กไทยในโรงเรียนเป้าหมายนั้นเขียนอ่านภาษาอังกฤษดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเป็นการว่าจ้างกันปีต่อปี
    วิธีแก้ปัญหาครูไม่เก่งและไม่พอนั้น ไม่ได้อยู่ที่การจ้างครูพิเศษไปสอนเด็ก แต่จะต้องให้ครูที่เก่งไปสอนให้ครูคนอื่นๆ เก่งด้วย หรือที่เรียกว่า “train the trainers”
    คนไทยเก่งภาษาอังกฤษมีมากขึ้นทุกวัน และหากรัฐบาลจะยื่นมือมายังเอกชน ร่วมกันปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศอย่างเป็นกิจจะลักษณะ และหนึ่งในทางออกคือการระดมอาสาสมัครคนไทย และต่างชาติมาร่วมในการสอนครูภาษาอังกฤษและนักเรียน เป็นโครงการระดับชาติอย่างที่อเมริกาเรียกว่า Teach America อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
    ไทยเราก็สามารถมีโครงการ Teach Thailand ซึ่งจะสามารถระดมสรรพกำลังของคนทั้งสังคมไทยมาร่วมกันอาสาสมัครสอนคนรุ่นต่อไปในทุกวิชา ทุกสาขาอย่างคึกคักและได้ประสิทธิภาพสูงอีกด้วย
    ยิ่งยุค new media และ social media สมัยด้วยแล้ว การเรียนรู้ด้วยตนเองและสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ทำกันได้อย่างสะดวกและคล่องแคล่วมากขึ้น
    อย่าได้คิดแค่หายาแก้ปวดเท่านั้น เพราะโรคร้ายที่เกาะกินระบบการศึกษาของเราต้องผ่าตัดใหญ่เท่านั้นครับ

    <IFRAME src="http://widgets.backtype.com/tweetcount?url=http%3A//www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/suthichaiyoon/20110406/385478/news.html&cnt=false&via=false&links=true&title=%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%9F...%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%20%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99&background=95CD3C&border=80B62A&text=FFFFFF" frameBorder=0 width=52 scrolling=no height=60 allowTransparency></IFRAME><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110324/r20110321-2/show_ads_impl.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript1.1 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-1044823792492543&output=js&adtest=off&ea=0&feedback_link=on&flash=10.2.153.1&dt=1302055798875&shv=r20110324&jsv=r20110321-2&saldr=1&correlator=1302055798890&frm=1&adk=256789428&ga_vid=1210327821.1238986979&ga_sid=1302054949&ga_hid=849625533&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=3&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1003&bih=547&ifk=4169426304&fu=4&ifi=1&dtd=156"></SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2011
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    'กองทุนยุติธรรม' ตัวช่วยผู้ยากไร้ที่ไร้ผู้รู้จัก
    โดย ASTVผู้จัดการรายวัน
    5 เมษายน 2554 18:31 น.

    [​IMG]

    [​IMG]

    ตำรวจบุกจับพ่อค้าเก็บแผ่นหนังของแท้มือ 2 มาขาย โทษปรับร่วมแสน'
    'จับวัยรุ่นภาคใต้ครึ่งร้อย ต้องสงสัยป่วนเมืองนราฯ'
    'เกษตรกรถูกนายทุนโกงร่วมหมื่น ไม่มีเงินจ้างทนาย'
    'ชาวบ้านเสื้อแดงร่วมร้อยชีวิตถูกจับนอนคุก ไร้คนประกันตัว'
    'ใช้กฎหมายบังคับ ไล่คนจนพ้นที่ราชพัสดุ'
    ฯลฯ

    ข่าวความเดือดร้อนของผู้ยากไร้ซึ่งไร้ทั้งความรู้ ทุนทรัพย์ กำลัง และทางสู้ ยังคงปรากฏอยู่ตามหนังสือพิมพ์ไม่ขาดสาย ท่ามกลางความเลื่อมล้ำทางสังคมซึ่งเกิดขึ้นเป็นระลอกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    คดีจำนวนไม่น้อยที่พวกเขาถูกส่งตัวเข้าสู่ซังเตโดยไม่สามารถขัดขืน ได้ แม้จะเป็นเพียงความผิดเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ว่าไม่มีเงินเพียงพอจะต่อสู้ ไม่มีทั้งทนาย ไม่มีทั้งเงินประกันตัว

    'กองทุนยุติธรรม' ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2549 คือเครื่องมือหนึ่งที่กระทรวงยุติธรรมโยนเข้ามา เพื่อเป็นช่องทางช่วยเหลือผู้ยากไร้ให้มีสิทธิเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมมาก ขึ้น โดยรับภาระค่าดำเนินการในกระบวนการให้ตามแต่กรณี แต่นั่นก็เต็มไปด้วยความสงสัยถึงประสิทธิภาพของหน่วยงานว่าจะดีจริงหรือไม่ ระยะเวลา 5 ปีผ่านไป ดูเหมือนคำถามเดิมๆ ก็ยังคงอยู่ ทำให้นักวิชาการจำนวนหนึ่งจึงเริ่มมองว่า คงถึงเวลาแล้วที่ต้องปฏิรูปหน่วยงานนี้เสียที

    แต่ก่อนที่จะไปถึงเรื่องนั้น คงต้องขอย้อนกลับไปทำความรู้จักกองทุนยุติธรรมให้ดีเสียก่อน เพื่อดูศักยภาพ ผลงานและแนวทางต่อไปในอนาคต จะได้พิสูจน์ว่าสุดท้ายแล้วกองทุนฯ แห่งนี้จะได้กลายเป็นที่พึ่งของประชาชนตามเจตนารมณ์ที่วางไว้ตั้งแต่ช่วงก่อ ตั้งจริงๆ หรือไม่

    [1]

    ก่อนอื่นคงต้องยอมรับว่า การขึ้นศาลแต่ละครั้งนั้น ไม่ใช่ที่ทำกันง่ายๆ เพราะมันเปรียบเสมือนการลงทุนดีๆ นั่นเอง ทั้งค่าทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล หรือแม้แต่ค่าประกันตัว ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ซึ่งจะเป็นปัญหามากๆ กับคนยากคนจน ซึ่งไม่มีทางหาเงินมาต่อสู้คดี

    สุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า กองทุนฯ ช่วยเหลือทุกคดีทั้งแพ่ง อาญา ปกครอง จนถึงขั้นตอนการบังคับคดี เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ โดยจุดแข็งนั้นอยู่ตรงที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถพิจารณาให้มีการปรับปรุงหรือแก้ไข และแตกต่างจากตัวบทกฎหมายที่แก้ไขค่อนข้างยาก ระเบียบนี้มีความคล่องตัว อ่อนตัวได้มาก

    โดยหลักเกณฑ์สำคัญของผู้ที่ยื่นเรื่องได้นั้นจะต้องพิจารณาถึงสภาพ เศรษฐกิจของผู้ยื่นว่าเป็นอย่างไร รวมไปถึงกระบวนความผิดที่เกิดขึ้นนั้นมีแนวโน้มว่า ผู้นั้นจะบริสุทธิ์จริงๆ หรือไม่ ซึ่งหากเข้าหลักเกณฑ์ก็ไม่มีปัญหา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2549 เป็นต้นมา มีประชาชนยื่นเรื่องมาให้ถึง 3,440 เรื่องเลยทีเดียว

    “ตอนนี้เราพิจารณาไปแล้ว 2,882 เรื่อง อนุมัติ 1,663 เรื่อง ไม่อนุมัติ 595 เรื่อง ที่เหลือเราก็ประสานงานให้หน่วยงานอื่นช่วยเหลือแทน โดยในปี 2553 เป็นปีที่มีการแก้ไขระเบียบใหม่ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น มีการวางระบบเพื่อให้บริการประชาชนมากขึ้น ที่ผ่านมาอาจจะไม่รวดเร็วทันการณ์กับที่ผู้ยื่นขอ จึงเป็นปีที่มีผู้ยื่นเรื่องมากที่สุด ซึ่งเรื่องที่ขอรับความช่วยเหลือ คือ ค่าทนายความ กรณีที่ถูกละเมิดที่มีผลกระทบต่อประชาชน”

    [2]

    ตัวอย่างหนึ่งของการใช้สิทธิ์จากกองทุนยุติธรรม ก็คือคดีด้านความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งพบว่าในปี 2553 มีผู้ต้องขังมากกว่า 200 ราย ที่ยืนเรื่องเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ทว่าการใช้สิทธิ์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

    ดังคำอธิบายของ อับดุลอาซิซ์ อาแด อาสา สมัครทนายความผู้ช่วย ศูนย์ทนายความมุสลิมประจำจังหวัดปัตตานี ที่ระบุถึงอุปสรรคการเข้าถึงของชาวบ้านที่มีต่อหน่วยงานนี้ว่า ในปี 2554 มีชาวบ้านเข้ามาขอความช่วยเหลือจากศูนย์ฯ 36 คดี และมี 10 คดีที่ถูกสั่งฟ้องไปแล้ว โดยไม่มีการยื่นเรื่องเพื่อขอความช่วยเหลือจากกองทุนฯ เพราะแม้ว่าโดยขั้นตอนในการยื่นเรื่องจะไม่มีความยุ่งยาก แต่จะได้รับการอนุมัติหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    “ความล่าช้าทำให้ญาติไม่ ค่อยยื่นไป บางครั้งยื่นเอกสารไปแล้วไม่มีความคืบหน้าเลยว่าจะได้เมื่อไหร่หรือจะ อนุมัติหรือเปล่า ญาติผู้ต้องหาจึงเลือกไปหากันเอง รวบรวมทรัพย์สินจากญาติพี่น้อง ถ้าไม่มีก็ไม่ประกันตัว เพราะในคดีความมั่นคง หลักทรัพย์ที่ใช้ประกันตัว อย่างต่ำคือหกแสนบาท”

    นอกจากเรื่องเวลาที่ยาวนานแล้ว ยังมีเงื่อนไขของกองทุนยุติธรรมที่จะอนุมัติหรือไม่ หลายๆ คนก็ไม่ทราบถึงขั้นตอนที่ว่าเลย และเมื่อไม่ได้รับการอนุมัติหรือได้รับก็ตาม ก็ไม่มีการแจ้งสาเหตุเป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด

    ที่สำคัญสิ่งนี้ยังไปเกิดขึ้นกับเงินชดเชยที่มอบให้เมื่อมีคำพิพากษา อีกด้วย เพราะกองทุนฯ มีเงื่อนไขว่าจะจ่ายชดเชยก็ต่อเมื่อการกระทำของจำเลยไม่มีความผิด แต่ว่าหากคำพิพากษาของศาลบอกว่า พยานหลักฐานไม่มีความชัดเจนจึงยกประโยชน์ให้แก่จำเลย กองทุนฯ จะไม่จ่ายชดเชยให้แก่จำเลยเพราะถือว่าศาลยังสงสัยอยู่

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาเช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคดี เพราะอย่างกรณีชาวบ้านแพะใต้ จังหวัดลำพูน จำนวน 9 คน ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกอย่างมิชอบธรรม ก็ยังได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากกองทุนยุติธรรม

    โดยคดีมีสาเหตุมาจากนายทุนในพื้นที่ได้ยืนฟ้องร้องชาวบ้านกลุ่มนี้ ว่า เข้ามาใช้ที่ดินหนองปลาสวายพื้นที่ 15,000 ไร่โดยมิชอบ ทั้งๆ ที่อยู่ในทำมาหากินอยู่พื้นที่นี้มาตั้งแต่ปี 2532 และที่ดินก็ถูกจัดสรรเป็นโฉนดชุมชนเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่ด้วยความฉ้อฉลบางประการ ทำให้ที่ดินตรงนี้หลุดเป็นของเอกชนตั้งแต่ 2546 และนำมาสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีและจับกุมชาวบ้านในที่สุด

    “ชาวบ้านแพะใต้ จังหวัดลำพูน ทางกองทุนยุติธรรม ได้สนับสนุนเงินประกันตัว และถือเป็นกรณีเร่งด่วนใช้เวลาดำเนินการประกันตัวไม่ถึงอาทิตย์ เพราะเข้าเงื่อนไขที่กองทุนกำหนดไว้ ค่าประกันประมาณ 1.8 ล้านบาท เพราะว่ามันหลายคน แต่กรณีนี้ก็ชาวบ้านมีข้อมูลส่วนหนึ่งแล้ว ก็คือว่าที่ดินตรงนั้นมีความมิชอบ ซึ่งชาวบ้านถูกดำเนินคดีก็ได้รับความเป็นธรรม” พงษ์ศักดิ์ สายวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง ในฐานะผู้ยื่นเรื่องนี้เข้าสู่ระบบกองทุนฯ กล่าว

    เพราะฉะนั้น ในมุมมองของเขา กองทุนยุติธรรมจึงมีประโยชน์และมีความสำคัญสำหรับคนจนอย่างยิ่ง เพราะนี่คือเครื่องมือสำคัญในการเรียกร้องความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม

    [3]

    แม้หน่วยงานนี้ มีประสิทธิภาพในตัวพอควร แต่สิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่า ก็คือการเป็นที่รู้จักของประชาชน ซึ่งอับดุลอาซิซ์ชี้ว่า นี่คือจุดอ่อนที่สำคัญขององค์กรนี้ และก็เป็นจุดนี้เองที่นำมาสู่ข้อเสนอของการปฏิรูปองค์กรนี้เสียใหม่ โดย ผศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า 'การประชาสัมพันธ์' ถือเป็นเรื่องที่ต้องรีบทำอย่างเร่งด่วน เพราะต้องยอมรับว่า หากต้องการให้คนใช้เครื่องมือนี้จริงๆ ก็ต้องทำให้ใช้ ก็ต้องทำให้คนรู้จักเสียก่อน

    “คนหลายคนไม่รู้หรอกว่า เขามีสิทธิ์ของความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม ทำให้บางคนต้องไปใช้บริการนายประกันอาชีพที่ทำธุรกิจประกันตัว ซึ่งหลังจากนั้นก็เรียกดอกเบี้ยกับผู้ต้องหา เพราะฉะนั้นหากเราต้องการแก้ปัญหาก็ต้องประชาสัมพันธ์และกำหนดเป็นหน้าที่ ให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมของรัฐต้องแจ้งให้ประชาชน เขาเป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนฯ เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้าที่ควบคุมผู้ต้องหาก็แจ้งให้ทราบว่า หากไม่มีเงินประกันก็ยังมีกองทุนฯ ช่วยเหลืออยู่ ถ้าไม่แจ้งก็จะมีความผิดทางวินัยอะไรก็ว่าไป หรือแม้กระทั่งศาลก็เช่นกัน ปกติก็จะมีระบบยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่คนยากไร้อยู่แล้ว แต่หากศาลปฏิเสธและเห็นว่าควรมีเงินมาวางในคดีแพ่ง ก็น่าจะกำหนดให้เป็นหน้าที่ศาลว่า ต้องแจ้งการมีอยู่ของกองทุนฯ และความช่วยเหลือที่กองทุนฯ จะช่วยได้ ถ้าเราทำได้เช่นนี้ปัญหาเรื่องประชาชนไม่รู้จะหมดไป”

    อย่างไรก็ดี ในเรื่องนี้ อธิบดีสุวณาก็บอกว่า ปัญหานี้กำลังมีทิศทางที่ดีมากขึ้น เพราะนายกรัฐมนตรีได้ออกมาพูดถึงการปฏิบัติงานของกองทุนฯ ผ่านสื่อ ทำให้ประชาชนทั่วประเทศเริ่มรู้จักหน่วยงานมากขึ้น

    อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ งบประมาณ เพราะทุกวันนี้รัฐบาลจัดเงินมาให้เพียงปีละ 30 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอต่อการจะเข้าไปช่วยเหลือผู้เดือดร้อนทั้งประเทศได้ ฉะนั้นหากเป็นเป็นได้ รัฐบาลจำเป็นจะต้องหางบประมาณมาอุดหนุนแก่กองทุนฯ นี้เพื่อที่จะได้มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานในปัจจุบันและอนาคตที่ประชาชน จะเริ่มรู้จักกองทุนฯ แห่งนี้มากกว่าที่เป็นอยู่

    “ผมคิดว่าคนที่มีฐานะจะ ต้องจ่าย แต่ไม่ได้ให้ไปริบเขามาหรือบังคับเขามา แต่เป็นสิ่งที่เขาจ่ายอยู่แล้ว เช่นค่าประกันตัว ค่าขึ้นศาล ค่าทนายความ ซึ่งเขาคงไม่รู้สึกว่าเป็นภาระมาก เราก็หักเงินส่วนหนึ่งเข้ามาในกองทุนฯ เช่น เงินค่าประกันตัวที่ศาลริบหลักประกันจากผู้ต้องหาที่หลบหนี หรือเงินค่าทนายความ เราก็หักค่าธรรมเนียมบางส่วน ซึ่งเล็กน้อยเข้ามาในกองทุนฯ เพื่อช่วยเหลือคนยากไร้ในเรื่องทนายความ เช่นเดียวกับเรื่องขึ้นศาลด้วย เราบอกว่าคนรวย คนมีฐานะ มีเงินเสียค่าขึ้นศาลมากมายมหาศาล โดยไม่รู้สึกว่าจะเป็นการรบกวน เดือดร้อน เราก็ให้ศาลหักค่าใช้จ่ายส่วนนี้บางส่วนเข้าสู่กองทุนฯ แนวคิดแบบนี้จะทำให้สังคมลดความไม่เท่าเทียมกันไปเยอะ และถามว่าคนที่ความสามารถทางการเงินจะเดือดร้อนไหม ผมว่าคงไม่มากเท่าไหร่ เพราะเราหักในส่วนที่เขาต้องจ่ายอยู่แล้ว มันคล้ายๆ กับการเก็บภาษี และยังทำให้กองทุนนี้โตขึ้นอีกด้วย”

    แน่นอนว่าเมื่อกองทุนโตขึ้น และมีแหล่งที่มาของรายได้เพิ่มขึ้น สิ่งที่ควรดำเนินการต่อไปก็คือ คณะกรรมการของกองทุนฯ ก็ควรจะต้องดึงบุคคลภายนอกซึ่งเป็นตัวแทนภาคประชาชนเข้ามาร่วมด้วย เพราะตอนนี้คณะกรรมการมีแต่คนของกระทรวงยุติธรรมเท่านั้น ซึ่งพอจะเข้าใจได้ว่า งบประมาณนั้นมาจากภาครัฐทางเดียว ซึ่งหากอนาคตเป็นเช่นนี้ กองทุนฯ ก็จะมีความหลากหลาย และแสดงให้เห็นถึงความมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ มากยิ่งขึ้น
    ..........

    การแก้ไขความเหลื่อมล้ำในสังคมอาจจะดูเป็นปัญหาโลกแตกที่ไม่มีทางออก แต่ถึงอย่างไรกองทุนยุติธรรมก็ถือเป็นแนวคิดที่สำคัญและจำเป็น โดยเฉพาะในยุคที่มีคนถูกเอารัดเอาเปรียบมากมายเช่นนี้

    เพราะฉะนั้น หน้าที่สำคัญของทุกคนตอนนี้ก็คือ ทำให้องค์กรที่ควรจะมีประโยชน์มหาศาลนี้มีคุณค่าขึ้นมา และสามารถดำรงตนเป็นที่พึงของประชาชนได้อย่างแท้จริง
    >>>>>>>>>>
    ………
    เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
    ภาพ : ทีมภาพ CLICK



    .

    Daily News - Manager Online - '
     
  8. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ไก่ต้มน้ำปลา นุ่มอร่อยน่าทาน

    วันพุธ ที่ 06 เมษายน 2554 เวลา 0:00 น
    [​IMG][​IMG] [​IMG] [​IMG]<SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD><TD id=ext-gen16 style="WIDTH: 46px">วีดีโอ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <!-- START OF THE PLAYER EMBEDDING TO COPY-PASTE --><!-- END OF THE PLAYER EMBEDDING -->​

    [​IMG]

    มาถึงคิวของคนที่ชอบทานอาหารเมนูไก่ วันนี้ เข้าครัวออนไลน์ พาไปบุกครัวที่ห้องอาหารจีน เซียง ปิง เหลา ใน โรงแรมแกรนด์ ไชน่า ปริ๊นเซส โรงแรมชื่อดังใจกลางเยาวราชที่แฟนพันธุ์แท้อาหารจีนต้องรู้จัก เพื่อสอนทำเมนู ไก่ราดน้ำปลา กับเทคนิคการทำให้ไก่นุ่มน่ารับประทาน

    ส่วนผสม

    1.ไก่ต้ม (ขนาด1.6-1.8ก.ก.) 1 ตัว

    2.น้ำซุป หรือ น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง

    3.น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ

    4.น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา

    5.คนอร์ 1 ช้อนชา

    6.ผัก(แล้วแต่ชนิดที่ชื่นชอบ)

    วิธีทำ

    1) นำไก่ไปทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนเตรียมนำมาต้ม

    2) จากนั้นนำไก่มาหมักด้วยเกลือ โดยใช้การทาเกลือทั่วตัวไก่ ทั้งด้านนอกและด้านใน(หมักไว้ประมาณ 30 นาที)

    3) ต่อมาถึงขั้นตอนการนำไก่ไปต้ม โดยต้องรอให้น้ำเดือดก่อน (อย่านำไก่จุ่มลงน้ำทันที ใช้การหย่อนขึ้นลงก่อนประมาณ 4-5ครั้ง) เพื่อให้ไก่ไม่ลอยน้ำเวลานำลงต้มและสุกทั่วถึง (ใช้เวลาต้มประมาณ 30 นาที)

    4) หลังจากต้มเสร็จแล้วนำไก่ขึ้นมา และนำไปแช่น้ำแข็งเพื่อเป็นการน็อคไม่ให้เนื้อไก่ยุ่ยเกินไป

    5) นำไก่มาสับตามปริมาณที่ต้องการจะทานต่อ 1 จาน

    6) ทำซอสน้ำปลา เสร็จแล้วนำมาราดไก่ที่สับเตรียมไว้แล้ว(ใช้การราดแล้วเทน้ำปลาทิ้งประมาณ 4-5 ครั้ง) เพื่อให้ได้รสชาติไก่ที่มีกลิ่นน้ำปลาเข้มข้นขึ้น

    7) ใช้ผักชนิดใดก็ได้(ตามสไตล์ที่ชอบ ) เป็นเครื่องเคียงเพื่อเพิ่มสีสันในรสชาติให้อาหาร





    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าไลฟ์สไตล์ > ไก่ต้มน้ำปลา นุ่มอร่อยน่าทาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2011
  9. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    มะเร็งปากมดลูก...ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

    [​IMG]
    คมชัดลึก :ผู้หญิง 8 ใน 10 คน มีโอกาสติดไวรัสเอชพีวี สาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูก และสำหรับผู้หญิงไทยมะเร็งปากมดลูกยังครองสถิติอันดับ 1 ของโรคมะเร็ง ผู้หญิงหลายคนโชคร้ายที่รู้ตัวเมื่อสาย แล้วคุณ...จะเก็บความโชคดีไว้ถึงเมื่อไหร่
    <SCRIPT type=text/javascript>google_ad_channel = '9989085094'; //slot numbergoogle_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads//google_image_size = '300X250';//google_skip = '3';var ads_ID = 'adsense_inside'; // set ID for main Element divvar displayBorderTop = false; // default = false;//var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type imagevar position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail</SCRIPT><SCRIPT src="http://www.komchadluek.net/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110324/r20110321-2/show_ads_impl.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript1.1 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-1044823792492543&output=js&lmt=1302056649&num_ads=3&channel=9989085094&ad_type=text&adtest=off&ea=0&feedback_link=on&flash=10.2.153.1&url=http%3A%2F%2Fwww.komchadluek.net%2Fdetail%2F20090826%2F25881%2F%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81...%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7.html&dt=1302056649250&shv=r20110324&jsv=r20110321-2&saldr=1&correlator=1302056649250&frm=0&adk=2841150207&ga_vid=1547080951.1244370558&ga_sid=1302056489&ga_hid=1004647106&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=1&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1003&bih=564&eid=36813006%2C33895130&ref=http%3A%2F%2Fwww.komchadluek.net%2Fdetail%2F20110406%2F94119%2F%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B9%8B%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81.html&fu=0&ifi=1&dtd=15"></SCRIPT>
    ลดความเสี่ยงเริ่มได้ที่ตัวคุณ มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ฉีดวัคซีนเอชพีวีเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์ที่พบการแพร่ระบาดบ่อยๆ และเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ประมาณ 70% โดยเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป
    พบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ และตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอหลังจากเริ่มมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งรวมทั้งผู้ที่ได้รับวัคซีนเอชพีวีแล้ว เนื่องจากวัคซีนยังไม่สามารถป้องกันไวรัสเอชพีวีได้ทุกชนิด
    การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี เชื้อเอชพีวีเป็นไวรัสประเภทหนึ่งซึ่งนับว่าสามารถแพร่และติดต่อกันได้ง่ายมาก ไวรัสเอชพีวีติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ สำหรับผู้ชายถ้าหากได้รับเชื้อไวรัสนี้ ก็อาจจะทำให้เป็นมะเร็งที่อวัยวะเพศ เช่น ที่องคชาตหรือทวารหนักได้ แต่โดยทั่วไปผู้ชายจะเป็นพาหะของเชื้อไวรัสนี้และแพร่ไปสู่ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
    อาการคนที่ติดเชื้อเอชพีวี เชื้อเอชพีวีเป็นไวรัสที่ฝังตัวอยู่บริเวณผิวหนัง การติดเชื้อจึงไม่ใช่ลักษณะการติดในกระแสเลือด ร่างกายจะไม่ปรากฏอาการผิดปกติใดๆ ในระดับของการติดเชื้อ แต่จะปรากฏเป็นอาการของโรคในระยะที่เริ่มมีปัญหาแล้ว ดังนั้นการพบแพทย์และตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคในระยะลุกลามได้
    สายพันธุ์ ไวรัสเอชพีวีอันตรายแตกต่างกัน ไวรัสเอชพีวีมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ โดยมีสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดมะเร็งประมาณ 15 สายพันธุ์ ทั้งนี้ถ้าหากติดเอชพีวีสายพันธุ์ที่ก่อมะเร็งก็อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด หรือมะเร็งองคชาต แต่ถ้าหากติดไวรัสสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงน้อย ก็จะทำให้เกิดโรคหูดอวัยวะเพศหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า โรคหูดหงอนไก่ ซึ่งลักษณะอาการของโรคคือ จะมีติ่งเนื้องอกออกมาที่บริเวณอวัยวะเพศด้านนอก หรือบางครั้งก็เกิดภายในช่องคลอดได้ด้วย ซึ่งก็จะทำให้รักษาค่อนข้างยาก หูดอวัยวะเพศนี้สามารถเกิดได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง และถึงแม้ไม่ได้เป็นโรคที่ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่ก็มักกลับมาเป็นซ้ำๆ อีก จึงอาจสร้างความรำคาญและเสียสุขภาพจิต เสียความมั่นใจในตนเอง
    ประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูก การฉีดวัคซีนเอชพีวีจะสามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่เกิดมาจากไวรัสเอชพีวีชนิดสำคัญซึ่งพบการแพร่ระบาดบ่อยๆ และเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกประมาณ 70% ซึ่งหมายความว่า ยังไม่ได้ครอบคลุมไวรัสทุกสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคได้ ปัจจุบันมีวัคซีนเอชพีวีบางชนิดที่นอกจากจะป้องกันไวรัสที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกแล้ว ยังสามารถป้องกันไวรัสชนิดที่ทำให้เกิดโรคหูดอวัยวะเพศได้อีกประมาณ 90% ด้วย
    ความปลอดภัยการฉีด วัคซีนเอชพีวี มีความปลอดภัยสูง เพราะไม่ได้ผลิตจากตัวเชื้อไวรัส แต่ใช้การจำลองโครงสร้างของเชื้อไวรัสนี้ขึ้นมา ผลข้างเคียงที่พบส่วนใหญ่เป็นเพียงอาการเหมือนกับการได้รับวัคซีนอื่นๆ เช่น เป็นไข้ หรือปวดบวมแดงเล็กน้อยบริเวณที่ฉีดเท่านั้น
    ระยะเวลาในการฉีดวัคซีนเอชพีวี วัคซีนนี้จะต้องฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ภายในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งจากการศึกษาถึงปัจจุบันยืนยันว่า ป้องกันได้อย่างน้อย 5 ปี ทั้งนี้ยังคงมีการวิจัยติดตามเรื่องระยะเวลาของการป้องกันอย่างต่อเนื่องอยู่ และพบแนวโน้มว่าอาจจะป้องกันได้ตลอดชีวิต เพราะมีลักษณะบางอย่างคล้ายกับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งในช่วงแรกที่มีการใช้วัคซีนก็ยังไม่ทราบระยะเวลาของภูมิคุ้มกันที่ชัดเจน แต่ต่อมาก็พบว่าภูมิคุ้มกันสามารถอยู่ได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องฉีดกระตุ้น
    วิธีป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งปากมดลูก
    หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การมีคู่นอนหลายคน และการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกตั้งแต่อายุยังน้อย ควรตรวจมะเร็งปากมดลูกที่เรียกว่า "Pap smear หรือ Thin Prep" อย่างสม่ำเสมอ ฉีดวัคซีนเอชพีวีเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันจากไวรัสสายพันธุ์อันตราย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้กว่า 70% แต่ถึงแม้จะได้รับวัคซีนป้องกันแล้ว ก็ยังต้องตรวจ "แปป สเมียร์" ควบคู่ไปด้วย จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพการป้องกันได้ดีที่สุดในระยะยาว
    โรงพยาบาลกรุงเทพ โทร.1719

    <SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110324/r20110321-2/show_ads_impl.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript1.1 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-1044823792492543&output=js&channel=9989085094&adtest=off&ea=0&feedback_link=on&flash=10.2.153.1&dt=1302056862453&shv=r20110324&jsv=r20110321-2&saldr=1&correlator=1302056862453&frm=1&adk=256789428&ga_vid=1210327821.1238986979&ga_sid=1302054949&ga_hid=306371135&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=4&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1003&bih=547&ifk=795414336&fu=4&ifi=1&dtd=109"></SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110324/r20110321-2/show_ads_impl.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript1.1 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-1044823792492543&output=js&channel=9989085094&adtest=off&ea=0&feedback_link=on&flash=10.2.153.1&dt=1302056946906&shv=r20110324&jsv=r20110321-2&saldr=1&correlator=1302056946921&frm=1&adk=256789428&ga_vid=1210327821.1238986979&ga_sid=1302054949&ga_hid=310256994&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=4&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1003&bih=547&ifk=795414336&fu=4&ifi=1&dtd=109"></SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2011
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คนเราเมื่อมีลาภ ก็เสื่อมลาภ เมื่อมียศ ก็มีเสื่อมยศ
    เมื่อมีสรรเสริญ ก็มีนินทา
    เป็นของคู่กันมาเช่นนี้
    จะไปถืออะไรกับปากมนุษย์
    ถึงจะดีแสนดี ... มันก็ติ
    ถึงจะชั่วแสนชั่ว ... มันก็ชม
    นับประสาอะไร
    พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศยิ่งกว่ามนุษย์เทวดา
    ยังมีมารผจญ ยังมีคนนินทาติเตียน
    ปุถุชนอย่างเราจะรอดพ้นจากโลกะธรรมดังกล่าวแล้วไม่ได้
    ต้องคิดเสียว่า
    เขาจะติ ... ก็ช่าง
    เขาจะชม ... ก็ช่าง
    เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ
    ก่อนที่เราจะทำอะไร
    เราคิดแล้วว่าไม่เดือดร้อนแก่ตัวเราและคนอื่น ... เราจึงทำ
    เขาจะนินทา.. ว่าใส่ร้าย อย่างไร ก็ช่างเขา
    บุญเราทำ กรรมเราไม่สร้าง
    พยายามสงบกาย สงบวาจา สงบใจ
    ไยจะต้องไปกังวล กลัวใครจะติเตียนทำไม ... ไม่เห็นมีประโยชน์
    เปลืองความคิดเปล่า ๆ

    (ธรรมะของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต)
    คนไม่ถูกนินทา........ไม่มีในโลก.... - есть ответ - Вопросы и ответы
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2011
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [FONT=Tahoma,]เตือน'น้ำวิเศษ'ขจัดโรคยังไม่ผ่าน'อย.'[/FONT]

    [FONT=Tahoma,]น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงการเผยแพร่ทฤษฎีโพเพทัส ที่มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นการรักษาเหนือธรรมชาติ พร้อมกับการจำหน่ายน้ำโพเพทัสว่า อย.ไม่พบการขึ้นทะเบียนอาหารเสริมหรือยาชื่อดังกล่าว ซึ่งจะดำเนินการตรวจสอบผลิตภัณฑ์นี้ต่อไป อย่างไรก็ดี เบื้องต้นพบว่ามีการเผยแพร่ในเว็บไซต์เป็นลักษณะชุดความรู้ ซึ่งอาจไม่มีผลิตภัณฑ์จำหน่ายก็ได้ แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีผลิตภัณฑ์อยู่จริง และมีการจำหน่ายในลักษณะลด แลก แจก หรือแถม ต้องดูในรายละเอียดของสรรพคุณว่ามีการให้ข้อมูลในการรักษาโรคอย่างไรบ้าง แล้วมีการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ โดยอาจประสานความร่วมมือกับกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เพื่อร่วมตรวจสอบด้วย หากพบว่าอ้างข้อมูลผิดๆ ก็จะเข้าข่ายการโฆษณาเกินจริง ถือเป็นการกระทำผิดพ.ร.บ.ยา ซึ่งมีโทษทั้งจำทั้งปรับ

    "อย.ไม่อยาก ให้หลงเชื่อข้อมูลที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันทางวิทยาศาสตร์ เพราะแม้กระทั่งยาหรืออาหารบางอย่างที่ผ่านการขึ้นทะเบียนอย.ไปแล้วยังพบว่า มีผู้ประกอบการบางรายแอบอ้างสรรพคุณเกินกว่าที่แจ้งไว้ในระหว่างการขอขึ้น ทะเบียนก็มี ทั้งที่ทำไม่ได้ เพราะการจะปรับปรุงยาทุกชนิดต้องแจ้งให้ฝ่ายทะเบียนอย.ทราบ และโฆษณาได้ตามความจริงเท่านั้น" น.พ.พิพัฒน์กล่าว

    ด้านน.พ.สมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า หากมีการกระทำที่ทำให้ประชาชนเข้าใจได้ว่าเป็นนายแพทย์เข้าข่ายแอบอ้างความ เป็นแพทย์ มีความผิดตามมาตรา 26 พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือแสดงด้วยวิธีใดๆ ว่าพร้อมจะประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยมิได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามพ.ร.บ.นี้ ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948


    อยากจะบอกว่า สิ่งต่างๆที่ได้เห็น สิ่งที่มีการโฆษณา ต้องระมัดระวังกัน

    ก่อนหน้านี้(ไ่ม่น้อยกว่า 6ปี) เพื่อนที่ทำงานผม ป่วย เป็นโรคมะเร็ง ไปรักษาที่โรงพยาบาลบางกอก9 ปรากฎว่า ให้หมอคนนึงมารักษา โดยใช้ชีวจิตรักษา โดยก่อนหน้ามีการฉายรังสีไปครบแล้ว

    ผมเองก็ไม่อยากไปขัดกับความเห็นของเพื่อน หรือ ญาติเพื่อน ที่นำมารักษาแบบชีวจิต

    แต่สุดท้าย ตายครับ

    เรื่องของ ทฤษฎีโพเพทัส ต้องระมัดระวังกันให้มาก ผมแนะนำว่า อย่าไปหลงเชื่อ เรื่องสุขภาพหรือ เรื่องอาหารการกิน ต้องเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้เท่านั้น

    ส่วนเรื่องของชีวจิต เวลาที่จะทำอะไร จะกินอะไร ควรระมัดระวังกันเช่นกัน



    .
     
  13. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    ขออนุญาติบอกบุญครับผม (ได้รับอนุญาติจากทางคุณ sithiphong)
    สืบเนื่องจากทางวัดป่าวิเวกโนนแคน จังหวัด อุดรธานี ต้องการสร้างรั้ววัดเพื่อกั้นแนวระหว่างพื้นที่ของทางวัดและพื้นที่ของชาวบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดการรุกล้ำพื้นที่เกิดขึ้น โดยงบประมาณการสร้างคาดการว่าจะ 70000 บาทครับ ตามรูปที่แนบมาครับผม รายละเอียดการโอนปัจจัยก็สามารถดูได้จาก จดหมายที่ผมได้สแกนไว้ครับผม ขอบคุณครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ข้อความส่วนตัว: เรื่องขออนุญาติบอกบุญครับ <table id="post" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);"> [​IMG] เมื่อวานนี้, 01:10 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> Lee_bangkok
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Dec 2010
    ข้อความ: 108
    พลังการให้คะแนน: 15 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center>เรื่องขออนุญาติบอกบุญครับ

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> เรียน คุณ sithiphong
    สืบเนื่องจากทางวัดป่าโนนแคน ที่จังหวัดอุดร ต้องการสร้างรั้ววัดเพื่อกันแนวระหว่างวัดกับเขตทีทำกินของทางชาวบ้านเพื่อ ไม่ให้เกิดการลุกล้ำพื้นที่ของวัด แต่เนื่องจากตอนนี้ทางวัดยังขาดปัจจัยอยู่มาก เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมสอบถามไป เห็นว่ายอดได้ประมาณ สามพัน ครับ
    ผมก็จะขออนุญาตทางคุณ sithiphong ว่าทางคุณ sithiphong จะช่วยเป็นสะพานบอกบุญต่อจะได้ไหมครับ
    ผมยังไม่กล้าที่จะนำมาแจ้งไว้หน้าบอร์ด กลัวจะเป็นการเสียมรรยาทครับ จึงเขียน PM มาขออนุญาติก่อนครับ ขอบคุณครับ
    </td></tr></tbody></table>


    .------------------


    <table class="tborder" style="border-bottom-width: 0px;" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="tcat">ข้อความส่วนตัว: Re: เรื่องขออนุญาติบอกบุญครับ </td> </tr> <tr> <td class="alt1">Recipients: Lee_bangkok | ตอบกลับทุกคน...
    </td> </tr> </tbody></table> <table id="post" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);"> [​IMG] เมื่อวานนี้, 07:26 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> sithiphong
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2005
    สถานที่: ชมรมพระวังหน้า
    ข้อความ: 40,187
    พลังการให้คะแนน: 16987 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center>Re: เรื่องขออนุญาติบอกบุญครับ

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Lee_bangkok
    เรียน คุณ sithiphong
    สืบเนื่องจากทางวัดป่าโนนแคน ที่จังหวัดอุดร ต้องการสร้างรั้ววัดเพื่อกันแนวระหว่างวัดกับเขตทีทำกินของทางชาวบ้านเพื่อ ไม่ให้เกิดการลุกล้ำพื้นที่ของวัด แต่เนื่องจากตอนนี้ทางวัดยังขาดปัจจัยอยู่มาก เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมสอบถามไป เห็นว่ายอดได้ประมาณ สามพัน ครับ
    ผมก็จะขออนุญาตทางคุณ sithiphong ว่าทางคุณ sithiphong จะช่วยเป็นสะพานบอกบุญต่อจะได้ไหมครับ
    ผมยังไม่กล้าที่จะนำมาแจ้งไว้หน้าบอร์ด กลัวจะเป็นการเสียมรรยาทครับ จึงเขียน PM มาขออนุญาติก่อนครับ ขอบคุณครับ
    </td> </tr> </tbody></table>
    ได้ครับ

    แนะนำว่า น่าจะไปหารายละเอียดของข้อมูลทั้งหมดมา

    แล้วตั้งกระทู้ในหมวด พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง

    และมาเพิ่มเติมในกระทู้พระวังหน้าก็ได้เช่นกันครับ


    .
    </td></tr></tbody></table>


    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระวัง 5 สารพิษใกล้ตัว
    (Modernmom)

    โดย: Thanapakorn

    ใน ชีวิตประจำวันของพวกเรา มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มาทำให้ชีวิตเราสบายและรวดเร็วมากขึ้น แต่ในทางกลับกันความสะดวกสบายเหล่านั้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้ โดยเฉพาะสารพิษ สารเคมีใกล้ตัวที่เป็นภัยต่อสุขภาพและไม่อาจมองข้ามได้

    [​IMG] 1. เฟอร์นิเจอร์

    เครื่อง ใช้ในบ้านและสำนักงานจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้มักตรวจพบสารฟอร์มาลดีไฮด์ตกค้าง และสารเคลือบเงาเช่น โทลูอีน ไซลีน และ เอธิลเบนซิน รวมถึงสีที่มีสารตะกั่วเป็นส่วนประกอบหลุดลอกจากเฟอร์นิเจอร์ หรือผนังอาคารปะปนกับฝุ่นผงในอากาศ

    อาการ : สารฟอร์มาลดีไฮด์ โทลูอีน ไซลีน เมื่อสูดดมเข้าไปบ่อย ๆ จะมีอาการระคายเคืองจมูกและลำคอ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ระคายเคืองต่อผิวหนังหรือระบบทางเดินหายใจ ส่วนสารตะกั่วนอกจากจะก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ เบื่ออาหารแล้ว ถ้าได้รับเป็นเวลานานและปริมาณมากจะมีผล คือ ปวดท้องรุนแรง ทำลายสมอง ไต ระบบการย่อยอาหารและระบบการได้ยิน

    วิธีป้องกัน : ทำความสะอาดห้องทำงานอยู่เสมอ และจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี

    [​IMG] 2. น้ำยาลบคำผิดและกาว

    มี ส่วนผสมของสารระเหยที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะมีทินเนอร์และสารประกอบอินทรีย์เคมีชนิดต่าง ๆ ประกอบอยู่ ได้แก่ สารโทลูอีน เบนซิน และสไตลีน ซึ่งมีกลิ่นพิเศษ เฉพาะและระเหยปะปนในอากาศได้ง่าย

    อาการ : หาก สูดดมในระยะสั้นจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตาผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจ วิงเวียน หน้ามืด มีผลกระทบต่อประสาทส่วนกลาง และเสียการทรงตัวได้ หากสูดดมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้โครโมโซมในเม็ดเลือดผิดปกติจนถึงขั้นเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด หรือหากกลืนสารเหล่านี้เข้าไปและมีการสำลักร่วมด้วยอาจทำให้ปอดอักเสบได้

    วิธีป้องกัน : หลีกเลี่ยงการสูดดม และจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี

    [​IMG] 3. ฝุ่นละอองในสำนักงาน

    อาจ เกิดจากผงหมึกที่กระจายออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร ฝุ่นเยื่อกระดาษที่อาจพบตามเอกสารต่าง ๆ บนโต๊ะทำงาน หรือกระดาษปิดผนังหรือวอลเปเปอร์ โดยฝุ่นเหล่านี้สามารถเข้าไปสะสมในปอดได้

    อาการ : จะมีอาการไอ จาม และระคายเคืองต่อตา จมูก และคันผิวหนัง หากได้รับบ่อย ๆ อาจก่อให้เกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคหอบหืดได้

    วิธีป้องกัน : ควรจัดวางโต๊ะทำงานไม่ให้หนาแน่น ทำความสะอาดห้อง และโต๊ะทำงานเป็นประจำ แบ่งโซนเครื่องถ่ายเอกสารหรือหนังสือให้อยู่ในมุมที่ห่างไกลจากคนทำงาน

    [​IMG] 4. สารเคมีจากคอมพิวเตอร์

    มี ผลการศึกษาของนักวิจัยในสวีเดนระบุว่า สารเคมีจากจอคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ โดยสารเคมีที่ชื่อ Triphenyl Phosphate ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในจอวิดีโอหรือปากกาเคมี ตลอดจนสเปรย์ปรับอากาศ ซึ่งมีกลิ่นจากสารเคมี

    อาการ : ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูกและตาได้

    วิธีป้องกัน : ทำความสะอาดห้องทำงานอยู่เสมอ และจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี

    [​IMG] 5. ไอเสียจากรถยนต์

    ใน ระหว่างการเดินทางไปทำงานและกลับบ้านทุก ๆ วันท่ามกลางการจราจรอันแออัด คุณแม่มีโอกาสได้รับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ที่มีการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์จากรถยนต์ที่วิ่งอยู่ตามถนน และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้สุขภาพของคุณแม่แย่ลงได้

    อาการ : ถ้าได้รับปริมาณน้อย ๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หายใจ หอบสั้น คลื่นไส้ ง่วงซึม และการตัดสินใจไม่ค่อยเด่นชัด มีความสับสน แต่ถ้าในระดับความเข้มข้นที่สูงมาก ๆ ก็ทำให้ประสาทมึนงง ซึม และหมดสติ

    วิธีป้องกัน : ใช้ผ้าปิดปาก หลีกเลี่ยงการสูดดมหรืออยู่ในสถานที่ที่ระบายอากาศได้ดี

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก Modernmom

    [​IMG]


    สารพิษในชีวิตประจำวัน สุขภาพ ระวัง 5 สารพิษใกล้ตัว
    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    วันจักรี วันแห่งการระลึกถึงราชวงศ์จักรี



    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก thainews.prd.go.th

    ในทุกๆ วันที่ 6 เมษายน ของทุกปีนั้นถือเป็นสำคัญอีกวันหนึ่งของไทย นั่นคือ วันจักรี ซึ่งเป็นวันที่เราจะร่วมกันระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รวมถึงมหาจักรีบรมราชวงศ์ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำประวัติและความสำคัญของวันนี้มาฝากกันค่ะ

    ประวัติการตั้งชื่อวันจักรี นั้นเนื่องมาจาก เมื่อ วันที่ 6 เมษายน ปี พ.ศ. 2325 นั้นเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงเสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และยังทรงสร้างกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของไทยอีกด้วย และยังเป็นวันครบรอบการก่อตั้งราชวงศ์จักรีซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ครองราชย์อยู่ ในปัจจุบัน

    ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปของพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 4 พระองค์ ซึ่งก็คือรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 4 เพื่อประดิษฐานไว้ให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อมาและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงข้าราชการและประชาชน ได้ถวายบังคมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นธรรมเนียมปีละครั้ง

    โดย ได้มีการโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และได้มีการย้ายที่อีกหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นพระพี่นั่งพุทไธสวรรย์ปราสาท หรือพระที่นั่งศิวาลัยปราสาท ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้ย้ายพระบรมรูปของทั้ง 4 พระองค์ มาไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดร ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5

    ซึ่งการซ่อมแซม ก่อสร้าง และประดิษฐานพระบรมรูปทั้ง 5 รัชกาล มาแล้วเสร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 จึงได้มีพระบรมราชโองการประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูป ในวันที่ 6 เมษายน ในปีนั้น และได้โปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า "วันจักรี"

    และทั้งหมดก็คือความเป็นมาของวันจักรี ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่วันหยุดราชการธรรมดาๆ แต่เป็นวันที่ประชาชนทุกคนควรระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ของไทยทุกพระองค์


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

    [​IMG]


     
  17. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583
    ขอบคุณมากครับคุณหนุ่ม
    2408 เข้าตลับห้อยคอวันนั้นเลย เปลี่ยนเป็นองค๋กลาง ( ประธาน ) แทนพระกริ่งปวเรศเลยครับ .......... สวยมากจริงๆครับ ซึ้งงามจริงๆครับ ยิ่งส่องยิ่งชอบครับ องค์นี้ลูกน้องเห็นขอผมเลยครับ .......... แต่ ยากครับผมหวงครับ
    ฮิฮิฮิฮิ แบบว่ามีองค์เดียวครับ ฮิฮิฮิฮิ
    และขอขอบคุณมากครับสำหรับความเมตตาในเรื่องหนังสือขอบคุณจริงๆครับตอนนี้อ่านติดงอมแงมเลยครับ ยิ่งอ่านยิ่งนับถืออาจารย์ปู่ครับ
    อ่านหนังสือปู่เล่าให้ฟัง แป๊บเดียวจบเล่ม ส่วนเล่มนี้ต้องอ่านนานๆหน่อยครับ
    จะได้ไม่ตกหล่นข้อความทุกข้อความครับ

    วันนี้หยุดไปดูหนังกับ ผบทบ ที่บ้าน สมเด็จพระนเศวรมหาราช 3
    สนุกครับ แต่ผมชอบตอน 2 มากกว่าครับ คงจะเป็นเพราะว่าเป็นตอนประกาศอิสระภาพ ครับ คงคล้ายๆกับสมาชิกชมรมวังหน้าประกาศอิสระภาพจากความรู้เดิมๆที่เซียน...ชอบยัดเยียดให้สังคมว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้จึงจะใช่พิมพ์นิยมหรือไม่นิยม แบบนั้นแหละครับ จริงๆหลายๆคนไม่รู้ข้อมูลแล้วผมค่อยมาเล่าให้ฟังวันหลังนะครับ เรื่องเซียนใหญ่ๆมากสั่งให้ลูกน้องทำร้าย .........
    เพราะคนนั้นไปฟันธงพระของเซียนใหญ่ว่า ... ครับ
     
  18. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 17 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 14 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>มูริญโญ่, ปฐม, newcomer </TD></TR></TBODY></TABLE>สวัสดีครับทุกท่าน
     
  19. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    สวัสดีเช่นกันนะครับพี่ท่าน
     
  20. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ชาวกรุงเก่าตะลึงพบพระพุทธรูปสมัยอยุธยาปากแดง 8 องค์ ที่วัดช้างใหญ่</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>พระนครศรีอยุธยา - พระและสามเณรวัดช้างใหญ่ พระนครศรีอยุธยา ช่วยกันทำความสะอาดองค์พระในโบสถ์เก่า ตะลึงพบพระพุทธรูปสมัยอยุธยาอายุกว่า 600 ปี ปากแดง 8 องค์

    วันนี้ (6 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ชาวบ้านและพระกำลังเดินทางไปดูพระพุทธรูปสมัยกรุงศรีอยุธยา อายุเก่าแก่ราว 600 ปี 8 องค์ที่ปากทาสีแดงชาด ภายในพระอุโบสถหลังเก่าที่วัดช้างใหญ่ ต.วัดตูม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา จึงเดินทางไปตรวจสอบพบพระอุโบสถหลังเก่า หรือพระวิหารศักดิ์สิทธิ์สภาพทรุดโทรมที่ปลูกขวางตะวันอยู่บริเวณหน้าวัด

    ภายในมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังเป็นที่ประดิษฐานของพระประธานหลวงพ่อโต เป็นเนื้อปูนปั้น ลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ศิลปะชาวมอญสร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา มีอายุเก่าแก่ราว 600 ปีเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ชาวบ้านนับถือสักการะบูชาและบนบานสานกล่าวด้วยหัวหมู ไข่ต้ม และแผ่นทอง ถ้าประสบความสำเร็จมักจะนำมาแก้บน

    บริเวณด้านหน้าพระประธานพบพระพุทธรูปพระบริวารด้านซ้ายจำนวน 4 องค์ ด้านขวา 4 องค์รวม 8 องค์ประดิษฐานอยู่บนแท่นสูงราว 50 ซม.เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยเนื้อปูนปั้นมีขนาดหน้าตัก 20 นิ้ว และ 29 นิ้ว ลักษณะของพระพุทธรูปบางองค์จะยิ้มเล็กน้อย บางองค์ยิ้มมากหรือชาวบ้านเรียกว่ายิ้มแฉ่งแต่ที่เหมือนกันหมดคือที่ปากจะทาสีแดงทั้ง 8 องค์

    พระสมุห์สมจิตร์ สังฑุโฒ อายุ 53 ปี เจ้าอาวาสวัด บอกว่า มารับตำแหน่งเจ้าอาวาสได้ประมาณ 2 ปี วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ญาติโยม มาทำบุญปิดทองไหว้พระหลวงพ่อโต เป็นประจำคาดว่าญาติโยมคงนำแผ่นทองไปปิดที่ปากพระบริวารทั้ง 8 องค์ด้วย จึงมองไม่เห็นสีแดง

    จนกระทั่งพระ และสามเณร เข้าไปทำความสะอาดและปัดฝุ่นที่องค์พระเพราะใกล้วันสงกรานต์ จึงพบแผ่นทองหลุดออกจากปากและมีสีแดงจึงปัดดูพบว่ามีสีแดงทั้ง 8 องค์ พอชาวบ้านราบข่าวจึงเดินทางมาไหว้และดูตลอดทั้งวัน

    เจ้าอาวาส บอกต่อว่า วัดนี้มีความเกี่ยวข้องกับชาวมอญที่มีความสามารถพิเศษในการเลี้ยงช้างฝึกถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในสมัยกรุงศรีอยุธยา ช้างที่สำคัญ คือ เจ้าพระยาไชยยานุภาพระวางสูงสุดที่เจ้าพระยาปราบหงสาวดี เป็นช้างพระที่นั่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเจ้าพระยาปราไตรจักร เป็นช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระเอกาทศรถ หัวหน้าชาวมอญได้รับแต่งตั้งเป็นจาตุรงคบาท ความคุมช้างศึก

    ต่อมาได้เป็นทหารเอกแม่ทัพหน้าชนะศึกหลายครั้งคือ พระยาราชมนู ตำแหน่งสูงสุดที่เจ้าพระยาอัครเสนาบดีสมุหกลาโหม เพื่อเป็นอนุสรณ์ของชาวมอญและความสามารถของพระยาช้าง เมื่อร่วมแรงร่วมใจกันสร้างวัดไว้ในพระพุทธศาสนาจึงได้ให้นามว่า วัดช้างใหญ่

    ศิลปะพระพุทธรูปของชาวมอญหรือพม่าจะนิยมทาปากสีแดงเป็นเอกลักษณ์ดังนั้นคาดว่าพระพุทธรูปทั้ง 8 องค์คงทาสีแดงมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา 600 กว่าปีมาแล้วแต่ปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็นแล้ว</TD></TR></TBODY></TABLE>
    Local - Manager Online -
     

แชร์หน้านี้

Loading...