พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ปฏิบัติการพิฆาตเบาหวาน 13 วิธีลดน้ำตาลทั่วเมืองไทย
    องค์การอนามัยโลก พร้อมด้วยสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ จึงป่าวประกาศให้องค์กรสมาชิกร่วมกันรณรงค์ให้ความรู้ เพื่อลดและป้องกันปัญหาเบาหวาน ตลอดปี พ.ศ.2552-2556
    แม้จะมีมาตรการตามมามากมาย ทว่าโรคเบาหวานในบทผู้ร้ายฆ่าไม่ตาย ยังคงลอยนวลคุกคามสุขภาพชาวโลกอย่างเหิมเกริม เฉพาะในประเทศไทย มีผู้ป่วยเบาหวานสูงถึง 3.5 ล้านคน (สถิติปี พ.ศ.2552) ทั้งยังมีแนวโน้มจะทำให้มีผู้พิการ หรือผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    เพื่อให้การรักษาเบาหวานสัมฤทธิ์ผล จึงต้องดูแลแบบองค์รวมให้ครบทุกมิติ ทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม เพราะต่างส่งผลเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกันเป็นหนึ่งเดียว
    ชีวจิตฉบับนี้จะพาคุณบุกตะลุยทั่วไทย ไปดูเคล็ดลับลดเบาหวาน ที่แต่ละชุมชนประยุกต์คิดค้นขึ้นอย่างสร้างสรรค์ พร้อมตัวอย่างผู้ป่วยมาช่วยการันตีว่า “ทำง่าย ได้ผลจริง”

    “ปฏิบัติกาย” ปฏิวัติพฤติกรรม
    เพราะโรคเบาหวานเกิดจากภูมิชีวิตบกพร่อง ไม่ใช่เชื้อโรค อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง จึงย้ำเสมอว่า ต้องรักษาด้วยการเพิ่มภูมิชีวิตให้ดีขึ้นให้เร็วที่สุด โดยใช้อาหารเป็นตัวนำ แล้วออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดเป็นตัวรอง ควบคู่กับการดูแลร่างกายด้านอื่นๆ

    กินลดเบาหวาน
    กินจืดลดน้ำตาล เมื่อคนอ่างทองอ่อนหวาน
    จากประสบการณ์การดูแลผู้สูงอายุมายาวนาน ครั้นเมื่อปี พ.ศ. 2550 คุณรุ่งทิวา มากอิ่ม พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลอ่างทอง 2 (คอลัมน์เรื่องพิเศษ ฉบับ 286 วันที่ 1 มกราคม 2554) ชักชวนให้มาร่วมดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ชมรมเบาหวาน โรงพยาบาลอ่างทอง 2 คุณวิภาสินี แก้วช่วง ก็ยินดี
    “ผู้ป่วยเบาหวานในชมรมฯ จำนวนร้อยกว่าคน มีตั้งแต่อายุ 35-70 ปี สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการไม่ดูแลตัวเอง จึงคิดว่าต้องหาวิธีการให้ผู้ป่วยเหล่านี้ดูแลตัวเองอย่างจริงจัง นอกเหนือจากคำแนะนำที่หมอบอก”
    ทุกเดือน ขณะผู้ป่วยเบาหวานมาตรวจสุขภาพตามนัด นอกจากการบริการตรวจวินิจฉัยทั่วไปแล้ว ทางโรงพยาบาลยังมีอาหารเลี้ยงรับรอง ซึ่งคุณวิภาสินีเห็นเป็นโอกาสดีที่จะช่วยผู้ป่วยให้มีความรู้ความเข้าใจในการปรับพฤติกรรมของตนอย่างเป็นรูปธรรม
    โครงการสอนผู้ป่วยเบาหวานให้กินอาหารจืดจึงเริ่มต้น ตั้งแต่เดือน 0000 พ.ศ.0000
    “บางทีผู้ป่วยก็ไม่รู้ว่า ที่หมอบอกให้ลดหวานลดเค็มในอาหาร รสของสิ่งที่กินที่แท้ควรเป็นอย่างไร ฉะนั้น นอกจากเชิญชวนให้กินอาหารสุขภาพ คลายเครียด และออกกำลังกาย เรายังมีอาหารปรุงรสที่ผู้ป่วยเบาหวานควรกินให้ได้กินจริงอีกด้วย”
    การลดน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่ม ก็ไม่เป็นแบบหักดิบ คุณวิภาสิณีใช้วิธีค่อยๆ ลด เพื่อให้ผู้ป่วยปรับลิ้นรับรสชาติใหม่ได้
    “ตอนแรกๆ เราลดปริมาณน้ำตาลที่ใส่ในอาหารแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาก็ลดเพิ่มอีก 10-20 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ก็น่าจะลดได้ถึง 50-60 เปอร์เซ็นต์แล้ว”
    เบื้องต้น อาจมีผู้ป่วยบ่น หากคุณวิภาสินีชี้แจงจนผู้ป่วยเข้าใจ และเริ่มยอมรับ ส่งผลให้ไม่เพียงแต่เพลิดเพลินกับการกินอาหารอ่อนหวานที่โรงพยาบาลเท่านั้น แต่ยังไปปรับกับเมนูที่บ้านให้มีรสชาติแบบเดียวกับที่โรงพยาบาลอีกด้วย
    ผลสัมฤทธิ์จึงปรากฏ ผู้ป่วยมากกว่าครึ่งในชมรมเบาหวาน โรงพยาบาลอ่างทอง 2 สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้

    กินจืดลดน้ำตาลจริง
    คุณวัลภา วาสนาเรืองไร อายุ 66 ปี ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน แต่ต้องดูแลสามีของเธอ คุณสมพร วาสนาเรืองไร อายุ 64 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว และเมื่อสองปีที่แล้ว ตรวจพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงถึง 160 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
    “แต่ไม่มัวเสียใจ รีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้เป็นมากขึ้น”
    ทุกครั้งที่พาสามีมาตรวจตามนัดที่โรงพยาบาลอ่างทอง 2 ได้เรียนรู้เรื่องอาหารจืดจากคุณวิภาสินี คุณวัลภาก็นำไปปรับใช้กับทุกเมนูที่เธอปรุงให้สามีกิน
    โดยลดปริมาณน้ำตาลลง จากเดิมที่ใส่ 2 ช้อนโต๊ะในหลายเมนู มาเหลือเพียง 1 ช้อนโต๊ะในสัปดาห์แรก สัปดาห์ต่อมาก็ลดเหลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ และ 1/4 ช้อนโต๊ะในสัปดาห์ถัดมา สุดท้ายก็แทบไม่ใส่น้ำตาลลงในอาหารคาวเลย
    เมนูที่คุณวิภาสินีแนะนำให้ปรุงกินคือ ปลานึ่ง แกงเลียง ยำผักรวม ยำตะไคร้ แกงป่า ส่วนน้ำดื่มประเภทชาสมุนไพรปราศจากน้ำตาลคือ ชาใบเตย ชาใบย่านาง และผลไม้ที่ไม่แนะนำให้กิน เช่น มะม่วงสุก มะละลกอสุก หรือผลไม้ที่มีรสหวานจัด
    ประกอบการเหยาะซีอิ๊วขาวแทนน้ำปลา ไม่กินอาหารทะเลประเภทที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น ปลาหมึก อยู่แล้ว นอกจากความดันโลหิตของคุณสมพรจะคงที่อยู่ในระดับที่ปลอดภัยแล้ว ระดับน้ำตาลในเลือดยังลดลงอย่างต่อเนื่อง
    “เดือนแรกที่กินอาหารจืด ระดับน้ำตาลในเลือดคุณสมพรเหลือ 140 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เดือนต่อมาเหลือ 120 และ 100 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แค่เพียงครึ่งปีที่ทำแบบนี้ ตอนนี้ระดับน้ำตาลในเลือดเหลือ 50-60 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
    เมื่อควบคุมการกินได้ จิตใจก็เบิกบาน มีกำลังใจลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย สุขภาพแข็งแรงจึงกลับมา


    มื้อนี้ชวนกินแกงส้มลดหวานที่ฉะเชิงเทรา
    ถึงงานบุญในชุมชนทีไร คุณเพ็ญศรี กองสัมฤทธิ์ นักวิชาการสาธารณสุข ศูนย์อนามัยที่ 3 จังหวัดชลบุรี สังเกตว่า อาหารที่ชาวมุสลิม ตำบลสิงโตทอง อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา (ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตดูแล) มักหอบหิ้วมาร่วมงานด้วย ส่วนใหญ่มีรสหวานมันจนเกินพอดี
    ไม่ว่าจะเป็นแกงมัสมั่น แกงคั่วกะทิ ผัดเผ็ดเนื้อ หรือข้าวหมกแพะ แต่ละเมนูแทบจะปราศจากพืชผักมากประโยชน์ ส่งผลให้มีผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ที่มีภาวะเสี่ยงมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ภาวะอ้วน และความดันโลหิตสูง เพิ่มขึ้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
    เพื่อหาวิธีเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของคนในชุมชน เดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ.2553 คุณ เพ็ญศรีพร้อมแกนนำหมู่บ้านได้ลงพื้นที่สำรวจอีกครั้ง สอบถามลุงป้าน้าอาพี่น้องว่า อาหารสุขภาพที่ชอบกินคืออะไร ซึ่งคำตอบคือ แกงส้ม
    “เราจึงแนะนำให้กินแกงส้ม อย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง รวมถึงทำแกงส้มไปร่วมในงานบุญ หรืองานต่างๆ เช่น การประชุม สัมมนา เพราะแกงส้มทำง่าย อุดมด้วยผักนานาชนิด ใส่เนื้อปลา (ไม่ทอด) ที่มีสารอาหารสูง แต่ไขมันต่ำ
    “นอกจากกลุ่มแกนนำจะคอยบอกเล่าประโยชน์ของแกงส้มตามหมู่บ้านของตัวเองแล้ว ยังประชาสัมพันธ์ให้ปลูกผักสวนครัว เพื่อนำมาทำแกงส้มอีกด้วย”
    คุณซำซียะ ซอและ อายุ 60 ปี ผู้ป่วยเบาหวาน ชื่นชอบแนวคิดนี้เป็นพิเศษ
    “ที่บ้านจะกินแกงส้มอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ในการแกงครั้งหนึ่งๆ จะทำในปริมาณที่กินได้สองมื้อ เช่น เช้ากับกลางวัน หรือกลางวันกับเย็น
    “เน้นใช้ผักปลอดสารพิษที่ปลูกเอง หรือเก็บตามละแวกบ้าน เช่น ถั่วฝักยาว สายบัว หัวปลี ผักกระเฉด แล้วปรุงรสกลางๆ ไม่ให้เค็ม เผ็ด หรือหวานจัด เพื่อเพิ่มความหลากหลาย บางครั้งก็กินแนมกับปลาเค็มทอด”
    เพียงครึ่งปี ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณซำซียะที่เคยสูง 180 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ มานา
    นกว่า 20 ปี ก็ลดเหลือ 130 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จากที่ต้องนัดตรวจสุขภาพเดือนละครั้ง ก็ค่อยห่างเป็น 2 และ 3 เดือนต่อครั้ง
    ปัจจุบัน การกินแกงส้มได้กลายเป็นมาตรการทางสังคมของชุมชนแห่งนี้ ภายใต้นโยบายสาธารณะว่า “ชาวสิงโตทองกินแกงส้มอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง”

    เยือนมุกดาหาร แหล่งรวมกิจกรรมสู้เบาหวาน
    แม้โครงการช่วยเหลือผู้ป่วยเบาหวานจะเริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 แต่โรงพยาบาลอำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการลดจำนวนผู้ป่วยและอาการแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
    ต่อมาระบบการคัดกรองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งความทันสมัยแม่นยำของเครื่องมือ และบุคลากรสาธารณสุข จึงพบผู้ป่วยเบาหวานและกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นตำบลละ 70-80 คน
    เมื่อสองปีที่แล้ว สำนักงานสาธารณสุขอำเภอหว้านใหญ่ หรือ สสอ.หว้านใหญ่ นำทีมโดย คุณวารัตติกาล โอมพนา เจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญการ เริ่มออกบริการตรวจสุขภาพผู้ป่วยเบาหวาน ณ รพ.สต.หว้านใหญ่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. พากันเยี่ยมบ้านผู้ป่วย เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอยู่ หากผลลัพธ์เรื่องการลดระดับน้ำตาลในเลือดก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
    คุณวารัตติกาลเล่าว่า “เราจึงคิดว่า น่าจะมีกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจให้ผู้ป่วยมากขึ้น เลยนำไอเดียเรื่องการรักษาสุขภาพที่มีอยู่แล้วแต่เดิม เช่น การออกกำลังกาย การนวดบำบัด หัวเราะบำบัด ทำสมาธิ และร้องเพลง มาปรับใช้ เพื่อให้การบริการตรวจสุขภาพผู้ป่วยมีสีสัน และให้ความรู้ในการควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือดไปในตัว
    “เกือบสองปีผ่านมา เห็นผลลัพธ์ว่า ผู้ป่วยควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้น สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 33 เปอร์เซ็นต์”
    แนวคิดนี้คือ แรงบันดาลใจที่ทำให้ทีมงานชีวจิตนั่งรถตู้ปุเลงๆ ไปดูกิจกรรมการออกกำลังกาย การนวดบำบัด หัวเราะบำบัด และการทำสมาธิ ณ อำเภอเล็กๆ ที่อยู่ติดริมแม่น้ำโขง

    ร้องเพลงสั่งกายลดเสี่ยงเบาหวาน
    แม้ คุณปาณิสรา กิจสำเร็จ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ จะเฝ้าประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านในอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี เลิกพฤติกรรมเสี่ยงเบาหวานอย่างไร แต่คนส่วนใหญ่กลับรู้สึกเบื่อหน่ายบรรดาป้ายประชาสัมพันธ์ หรือแผ่นพับที่คอยแจกตามโรงพยาบาล
    โชคดีที่เห็นชาวบ้านชอบฟังลำตัด คุณปาณิสราจึงให้ครูเพลงนำหลักปฏิบัติป้องกันโรคเบาหวานของคนในชุมชน ซึ่งเรียกว่าหลัก “7 ไม่ 5 ต้อง” มาแต่งเป็นเพลงลำตัด สำหรับใช้ประชาสัมพันธ์ จากนั้นจึงฝึกอสม.ให้ร้องลำตัดเป็นกันทุกคนจนชำนาญ
    หลัก “7 ไม่ 5 ต้อง” ได้แก่ ไม่อ้วน ไม่เค็ม ไม่หวาน ไม่มัน ไม่เครียด ไม่สูบ ไม่ดื่ม ต้องออกกำลังกาย ต้องเพิ่มผักผลไม้ ต้องกินอาหารปลอดภัย ต้องควบคุมน้ำหนัก และต้องอารมณ์ดี
    ถึงวันตรวจคัดกรองเบาหวาน หรือวันรับเบี้ยสูงอายุประจำเดือน รวมถึงโอกาสพิเศษ เช่น งานมหกรรมสุขภาพ วันสำคัญทางศาสนา คณะลำตัดอสม. นำโดย คุณคำเพียร ด้วงพันธุ์ อายุ 40 ปี จะตระเวนไปร้องลำตัดให้ความรู้ไม่ขาด
    เธอมีภาวะอ้วน (น้ำหนัก 89 กิโลกรัม) และถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน
    ครั้นได้นำร้องลำตัดบ่อยๆ ตั้งแต่มกราคม ปี พ.ศ.2553 ทำให้คุณคำเพียรจดจำเนื้อร้องเพลง “7 ไม่ 5 ต้อง” ได้ขึ้นใจ จึงฉุกคิดได้ว่า หากทำตามคำเพลงว่าแล้วไซร้ โรคเบาหวานย่อมไม่ถามหา
    คุณคำเพียรตัดสินใจปฏิวัติพฤติกรรมตัวเอง ดังนี้
    • กินอาหารด้วยสูตร 2 : 1 : 1 (ผัก : โปรตีน : คาร์โบไฮเดรต) โดยปรุงให้รสอ่อนเค็มและหวาน และกินผลไม้อย่างน้อยวันละ 1/2 กิโลกรัม เลือกที่รสไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง ชมพู่
    • เลิกกินขนมหวานจุบจิบ ไม่ซื้อขนมมาตุนไว้ในตู้เย็น จากเคยกินครั้งละ 4 ชิ้น ก็ลดเหลือ 1 ชิ้น พยายามไม่แวะร้านขนม หรือหากอยากกิน ก็ซื้อแต่น้อย แล้วเดินออกจากร้านทันที
    • ลดการเติมน้ำตาลในอาหารไปด้วย จากเติมครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะพูนๆ ก็ลดลงครั้งละ 1/2 ช้อนโต๊ะ ต่อสองเดือน เป็นการลดแบบค่อยเป็นค่อยไป
    • เล่นฮูลาฮูป หรือเต้นแอโรบิกทุกวัน หากสัปดาห์ไหนไม่ว่าง จะต้องออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อย 3 วัน วันละ 30 นาที – 1 ชั่วโมง
    หนึ่งปีผ่านไป น้ำหนักของเธอลดเหลือ 80 กิโลกรัม สุขภาพด้านอื่นๆ ก็ดีตามมา กระทั่งได้รับคัดเลือกให้เป็นบุคคลต้นแบบของการปฏิบัติตามหลัก “7 ไม่ 5 ต้อง”
    ทุกวันนี้ หากใครมีโอกาสไปเยือนตำบลดงมะรุม คงเพลิดเพลินกับเสียงร้องลำตัดของคุณคำเพียรที่เปิดเสียงตามสายกันถ้วนหน้า

    “ปฏิบัติสังคม” ร่วมด้วยช่วยลดเบาหวาน
    สังคมดี พิฆาตเบาหวาน
    เมื่อรถตู้ของเราจอดด้านหน้าศูนย์เรียนรู้บ้านนาหว้า ตำบลนาสะเม็ง อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเพิ่งได้รับยกย่องให้เป็นหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดโรคฯ (รายละเอียดในล้อมกรอบ) ทีมงานชีวจิตก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากลุงป้าน้าอาพี่น้องผู้รักสุขภาพมากกว่าร้อยชีวิต
    คุณบังอร พิมพ์บุญมา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอดอนตาล เล่าให้ฟังว่า “กลุ่มผู้ป่วยเบาหวานในหมู่บ้านนี้มีมากกว่า 30 คน เรานัดหมายให้มาตรวจสุขภาพเดือนละครั้ง หรือถ้าช่วงเกี่ยวข้าวดำหน้าก็อาจจะนัดห่างออกไปเป็นสองเดือน”
    ในการตรวจวินิจฉัยเพื่อติดตามอาการโรคเบาหวาน ก็มีขั้นตอนเหมือนหน่วยงานสาธารณสุขทั่วไป คือ
    ชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง เพื่อคำนวนค่าดัชนีมวลกาย ซึ่งผลลัพธ์ไม่ควรเกิน 23
    วัดรอบเอว ซึ่งไม่ควรเกิน 80 เซ็นติเมตรในผู้หญิง และ 91 เซ็นติเมตรในผู้ชาย
    ตรวจสุขภาพเท้า ด้วยการกดจุดใต้ฝ่าเท้าด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า โมโนฟิลาเมนท์ (monofilament) ซึ่งมีลักษณะเหมือนเส้นเอ็น เพื่อตรวจหาอาการมึนชา หรือผนังเท้าหนาผิดปกติ
    สุดท้าย คือ การตรวจตา
    กิจกรรมพิเศษสำหรับกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานบ้านนาหว้า คือ การเชิญให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการลดระดับน้ำตาลในเลือดมาแบ่งปันประสบการณ์ พร้อมทั้งรับคำแนะนำจากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ว่าควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไร เพื่อเป็นการให้ความรู้แก่เพื่อนผู้ป่วยคนอื่นๆ ไปด้วย
    นอกจากนี้ ยังเชิญผู้ป่วยที่ประสบความสำเร็จในการลดระดับน้ำตาลในเลือด มาบอกเล่าวิธีการที่ทำให้สุขภาพย่ำแย่เพราะโรคเบาหวาน กลับมาแข็งแรงฟิตเปรี๊ยะอีกครั้ง

    อยากพิฆาตเบาหวานให้สิ้นซาก ลงมือทำตามเคล็ดลับเหล่านี้ดูสิคะ
    สังคมออนไลน์ของชาวชีวจิต ผู้ที่รักสุขภาพ และผู้ที่สนใจการแพทย์ทางเลือก
     
  2. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    เก่งจริงๆ ยินดีด้วยครับ :cool::cool::cool:
    หลานสาวผม ป.5 ก็กำลังติวเข้ม เพื่อสอบเข้าโรงเรียนนี้เหมือนกันครับ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พรสว่าง_2008 [​IMG]
    ข้าพเจ้านายสหรัฐ โอษคลัง สมาชิกชมรมพระวังหน้า ใช้ชื่อบนกระทู้(พรสว่าง_2008) ข้าพเจ้าจะบวชในช่วงเดือนเมษยน 2554 (บวชร่วมกับคณะพี่สิทธิพร) ที่สวนทิพย์โลกอุดร ข้าพเจ้าขอขมากรรมกับทุกๆท่านที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกิน ด้วย กาย วาจา ใจ ด้วยรู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี ด้วยตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ด้วยระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี ขอให้ท่านทั้งหมด อดโทษ ให้ข้าพเจ้า อโหสิกรรมให้ข้าพเจ้า ด้วยเทอญ
    ...โมทนาสาธุ...ทุกประการครับ...
    </td> </tr> </tbody></table>

    ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย ไร้อุปสรรคต่างๆ จนกว่าจะเดินทางกลับถึงบ้านนะครับ

    ฝากไว้ตามที่คุยกันเมื่อสักพักใหญ่นี้นะครับ



    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ขอ ขอบพระคุณพี่หนุ่มมากนะครับสำหรับความรู้ที่มอบให้ ผมตะลึงมองตาค้างตั้งแต่ พระหลวงปู่ทวดเนื้อทองคำแล้วละครับผม ยิ่งเข้าไปชมรูปพระบูชาบอกได้คำเดียวว่างามมากๆครับ ทุกองค์ ขอบพระคุณอย่างสูงนะครับพี่หนุ่มเป็นบุญตาจิงๆครับผม
    </td> </tr> </tbody></table>

    สงสัยครับว่า ทำไมมีแต่คำถาม ถามแต่พิมพ์หลวงปู่ทวด เนื้อทองคำกันครับ




    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันอาทิตย์หรรษาครับ



    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ เดี๋ยวพบกันครับ สำหรับท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า ที่ว่างเว้นจากภาระกิจ ผมนำพิมพ์ 2408 ไปฝากสำหรับท่านสมาชิกที่ไปพบกันในวันนี้ครับ

    ในช่วงเช้า ผมจะแวะไปหาพี่ใหญ่ เพื่อนำเงินที่ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป ปางจักรพรรดิ ไปให้กับพี่ใหญ่

    โมทนาบุญกันทุกๆท่านครับ

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    แซบหลาย จิ้งหรีด รถด่วน ลูกโดด มดแดง FAO หนุนลาวเลี้ยง <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">3 เมษายน 2554 01:01 น.</td></tr></tbody></table>


    [​IMG] <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="652"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="652"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">
    ตั๊กแตน ปาทังก้าทอดกรอบเคยเป็นอาหารพื้นๆ ที่พบได้ทั่วไปในเอเชียอาคเนย์ แต่ในวันนี้เป็นอาหารที่เริ่มหายาก ตั๊กแตนดิบ ราคา 150-170 บาทต่อ กก. นอกจากนั้นยังมีโอกาสปนเปื้อนสูงจึงต้องหาวิธีเพาะเลี้ยง ยังมีแมลงกินได้อีกหลายชนิดที่นิยมเลี้ยงเป็นธุรกิจ บางชนิดเช่นด้วงงวงมะพร้าวกับไข่มดแดงปัจจขุบันขายกันในตลาด 200-300 บาทต่อ กก. องค์การอาหารและการเกษตรฯ ช่วยส่งเสริมการเลี้ยงในอนุภูมิภาคนี้. </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    ASTVผู้จัดการออนไลน์-- องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้จัดฝึกอบรมเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงแมลงที่กินได้ ขึ้นในนครเวียงจันทน์สัปดาห์นี้ รวมทั้งให้ความรู้ทางด้านโภชนาการ และการทำตลาด เพื่อช่วยให้เกษตรการลาวเพาะเลี้ยงอย่างถูกวิธี ได้ผลดี สร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวและยังเป็นแหล่งอาหารโปรตีนชั้นดีอีกด้วย

    การฝึกอบรมจัดขึ้นที่คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติ (บ้านนาบง) มีเกษตรกรในนครเวียงจันทน์กว่า 20 คน จาก 9 เมือง (อำเภอ) เข้าร่วม ทุกคนได้รับชุดเพาะเลี้ยงกับพันธุ์แมลง ทำให้สามารถลงมือได้ทันทีหลังการอบรมหนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ใหม่กล่าว

    การอบรมครั้งนี้เน้นไปที่การเพาะเลี้ยงแมลง 4 ชนิดเป็นหลักคือ จิ้งหรีด ตัวด้วงงวงมะพร้าว ด้วงทอง กับมดส้ม (มดแดง) ซึ่งชนิดหลังนี้เพาะเลี้ยงเพื่อเอาไข่ กับตัวนางพญา

    การฝึกอบรวมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-30 มี.ค.2554 โดยนายแซก แว็กนิโอ (Serge Verniau) ผู้แทนเอฟเอโอประจำลาว กับ ดร.อุดมพอน คำเพ็ง คณะบดีคณะเกษตรศาสตร์ เข้าร่วมด้วย หนังสือพิมพ์ของทางการนครเวียงจันทน์กล่าว

    สำนักข่าวสารปะเทดลาวรายงานในขณะเดียวกันว่า ปี 2554 นี้ เอฟเอโอจะมีการจัดฝึกอบอม 4 ครั้ง ทั้งในเมืองหลวงและในต่างแขวง (จังหวัด) จะเป็นการอบรมเกษตรกรอีก 1 ครั้ง และ อบรมครูผู้สอน 2 ครั้ง เพื่อให้เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับแมลงกินได้และการเพาะเลี้ยงออกไปอย่างกว้าง ขวาง

    จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในประเทศไทยได้พบว่า มีแมลงในเขตร้อนหลายชนิดที่สามารถรับประทานเป็นอาหารได้ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ประกอบด้วยสารโอเมก้าทรีกับโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายชนิดต่างๆ จึงเป็นแหล่งอาหารคุณภาพดีและราคาถูก

    (โปรดเลื่อนลงเพื่ออ่านต่อ)

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="550"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="550"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">
    มด แดงช่วยกันดูแลไข่กับตัวอ่อนของพวกมันอย่างเอาใจใส่ ผลผลิตของแมลงชนิดนี้เป็นของมีค่า เพราะเป็นอาหารชั้นยอด ไข่ดิบขายกัน 200-300 บาท ต่อกก. </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <center>2</center>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="550"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="550"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">
    นาง พญามดแดงเฝ้าดูแลไข่อย่างใกล้ชิด มีมดแดงนักรบทั้งฝูงคอยปกป้องคุมกัน แต่ถึงกระนั้นไช่อันมีค่าของพวกมันก็ไม่เคยพ้นเงื้อมมือมนุษย์ ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงมดแดงอย่างกว้างขวางในอนุภูมิภาค โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ. </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <center>3</center>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="550"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="550"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">
    ไม่ เฉพาะไข่ของมันเท่านั้นที่เป็นอาหารชั้นยอด ตัวนางพญาเองก็เป็นเป้าหมายการไล่ล่า "มดเป้ง" คั่วเกลือให้รสมันๆ เค็มๆ อร่อยมาก ปัจจุบันกำลังมีการเพาะเลี้ยงมดแดงเพื่อการพาณิชย์อย่างกว้างขวาง และ FAO สนับสนุน. </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <center>4</center>

    แต่แมลงหลายชนิดมีพิษต่อร่างกาย กินไม่ได้ นอกจากนั้นแมลงที่กินได้ในธรรมชาติยังมีโอกาสปนเปื้อนสารเคมีหรือสารพิษ ต่างๆ อีกด้วย ทำให้เกิดมีการค้นคว้าวิจัยหาวิธีเลี้ยง เพื่อให้บริโภคได้อย่างปลอดภัย

    ตัวหนอนบางชนิดและไข่มดแดงราคากิโลกรัมละ 200-300 บาท ขณะตั๊กแตนปาทังก้าราคา กก.ละ 150-170 บาทหรือกว่านั้น แต่แมลงเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้เวลาเพาะเลี้ยงเพียงประมาณ 60 วัน จึงเป็นแหล่งสร้างรายได้แก่ครอบครัวอย่างงาม

    หลายปีมานี้องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติได้จัดการฝึกอบรม คล้ายกันนี้ในหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งในประเทศไทยด้วย เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงอย่างถูกวิถี รวมทั้งการหาช่องทางการตลาด

    ในเวียดนาม กัมพูชาและพม่า ประชาชนทั่วไปนิยมรับประทานแมลงเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั๊กแตนปาทังก้าทอดกรอบ แมลงป่องช้างทอดกรอบกับตัวบึ้งทอดกรอบสำหรับชาวกัมพูชา

    ในประเทศไทยยังนิยมรับประทานดักแด้จากตัวไหม ตัวด้วงงวงมะพร้าว (ลูกโดด) และ หนอนไม้ไผ่ที่มีลักษณะตัวหยักและเรียวยาว (หนอนรถด่วน) ซึ่งให้รสมันอร่อย รวมทั้งแมลงมัน แมลงเม่า กับมดนางพญาหรือตัวมดเป้งด้วย

    ปัจจุบันมีการทำตั๊กแตนทอดกรอบบรรจุกระป๋อง เช่นเดียวกับไข่มดแดงแช่น้ำเกลือบรรจุทั้งในขวดแก้วและในประป๋อง ส่งจำหน่ายทั่วประเทศและส่งออกอีกด้วย.


    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">
    ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งแมลงหรือผลผลิตของมัน จะกลายเป็นอาหารกระป๋องที่มีราคาแพงมากๆ. </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <center>5</center>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="456"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="456"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">
    "Ant Egg" ทำให้ฝรั่งร้องจ๊าก ภาพนี้จาก Bizarre.com เว็บไซต์ที่ว่าด้วยเรื่องราวประเภทแปลกแต่จริงทั้งหลาย ไข่มดแดงแช่น้ำเกลือบรรจุขวดปิดสนิทก็ถูกจัดเข้าข่ายด้วย. </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <center>6</center>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="357"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="357"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">
    แมง ป่องช้างกับรถด่วนทอด แพงมากๆ หากเทียบกับไก่ย่างวิเชียรบุรี ปัจจุบันกำลังมีการเลี้ยงกันอย่างกว้างขวาง มีไม้ไผ่นับสิบชนิดที่เพาะเลี้ยงหนอนได้. </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <center>7</center>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="419"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="419"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">
    ลูก โดด.. แสดงให้เห็นการเติบโต 2 ระยะ และ ได้รับความนิยมจากตลาดทุกระยะ นี่คือศัตรูของชาวสวนมะพร้าวซึ่งเมื่อก่อนนี้จะทุบหรือทิ่มให้ตายแล้วเขี่ย ทิ้งไป แต่ในวันนี้หนอนงวงมะพร้าว ราคาแพงกว่ามะพร้าวในสวนเสียอีก. </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <center>8</center>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="550"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="550"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">
    ตัวกุดจี่ซึ่งเป็นแมลงที่เติบโตในมูลควาย เมื่อคั่วเกลือสุกดีแล้วจะออกมามีกลิ่นหอมหวล แต่ FAO ไม่ (กล้า) สนับสนุนให้รับประทานกัน.</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <center>9</center>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="550"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="550"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">
    องค์การ อาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติจัดการฝึกอบรมขึ้นที่ จ.เชียงใหม่ในปี 2551 วันนี้การเลี้ยงและการทำตลาดแมลงกินได้ ได้กลายเป็นธุรกิจใหญ่โต ปีนี้ FAO เริ่มรณรงค์ส่งเสริมการเลี้ยงในลาว.</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>



    .

    http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9540000041780

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ฝรั่งเผยงานวิจัยใช้ “แสงซินโครตรอน” ไขรอยจารึกโบราณวัตถุ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">31 มีนาคม 2554 13:55 น.</td></tr></tbody></table>
    [​IMG] - ภาพเผยการวิเคราะห์โบราณวัตถุด้วยรังสีเอกซ์จากแสงซินโครตรอน โดยวัตถุโบราณบริเวณในกรอบน้ำเงินของภาพด้านบน มีผลวิเคราะห์พบธาตุ 4 ชนิด ที่ภาพวาดบนพื้นผิว ดังแสดงในกรอบด้านล่าง (ซ้ายไปขวา , บน-ล่าง) 1.แสดงถึงธาตุสังกะสี (Zn) เป็นองค์ประกอบ 2.แสดงถึงแมงกานีส (Mn) เป็นองค์ประกอบ 3.แสดงถึงไททาเนียม (Ti) เป็นองค์ประกอบ 4.แสดงถึงเหล็ก (Fe) เป็นองค์ประกอบ (ภาพประกอบทั้งหมดจากบีบีซีนิวส์)


    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td bgcolor="#cccccc"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#ffffff" valign="top"><table cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellspacing="7" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline">ความ ลับในศิลปะบนโบราณวัตถุ ไม่ใช่สิ่งลึกลับอีกต่อไป เมื่อเราใช้รังสีเอกซ์จากลำแสงซินโครตรอน เผยให้เห็นถึงอะตอมในชั้นสีของภาพวาดได้ หรือแม้กระทั่งเผยร่องรอยของเครื่องมือใช้เมื่อหลายพันปีก่อน

    จากการใช้รังสีเอกซ์ ที่มีต้นกำเนิดรังสีจากแสงซินโครตรอน (synchrotron) นักวิทยาศาสตร์สามารถไขความลับที่อยู่สิ่งประดิษฐ์โบราณได้ เมื่อแสงที่ปล่อยออกมาหลังจากการยิงรังสีเอกซ์เข้าไป เผยให้เห็นองค์ประกอบของอะตอมในงานศิลปะ ซึ่งบีบีซีนิวส์รายงานว่า เทคนิคนี้สามารถที่จะส่องให้เห็นชั้นเม็ดสีภายใต้พื้นผิวโบราณวัตถุ หรือแม้กระทั่งแสดงถึงร่องรอยของเครื่องมือที่ใช้สร้างสรรค์ผลงานเมื่อหลาย พันปีก่อนได้

    เทคนิคดังกล่าวคือการตรวจวัดการเรืองแสงรังสีเอกซ์ (X-ray fluorescence) หรือเรียกสั้นๆ ว่า “เอกซ์อาร์เอฟ” (XRF) ซึ่งเมื่ออะตอมดูดกลืนรังสีเอกซ์แล้ว พลังงานของรังสีจะถูกจัดแจงใหม่ และบางส่วนจะถูกปลดปล่อยออกมาในรูปของแสง แต่ละอะตอมจะปลดปล่อยแสงสีที่มีลักษณะเฉพาะตัวออกมา ซึ่งเรานำคุณสมบัติดังกล่าวของอะตอมไปวิเคราะห์ทางเคมีต่อไป และทำให้เราได้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์วิธีการอันพิถีพิถันของงานศิลปะในอดีต ได้

    ในอดีต แหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ขนาดเล็กถูกใช้เพื่อให้ได้รายการผลวิเคราะห์อะตอมอัน ยาวเหยียดที่ปรากฏอยู่ในงานศิลปะ แต่บีบีซีนิวส์รายงานว่า ศ.โรเบิร์ต ธอร์น (Prof.Robert Thorne) จาก มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) ในสหรัฐฯ ได้ใช้แหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ขนาดใหญ่จากแสงซินโครตรอนที่ให้ความเข้มสูง ซึ่งแสดงศักยภาพได้เหนือกว่า

    ธอร์นบอกว่า แหล่งกำเนิดดังกล่าวให้ลำรังสีเอกซ์ที่มีความเข้มสูงมาก ซึ่งไม่เพียงให้เรารวบรวมข้อมูลสเปกตรัมจากการวิเคราะห์แค่เพียงจุดเดียว แต่ยังช่วยให้เราวิเคราะห์ข้อมูลทางเคมีทั้งหมดตั้งแต่จุดแรกถึงจุดสุดท้าย ซึ่งทำให้เราสามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่ต้องใช้เวลานานได้เพียงไม่กี่วินาที

    ทั้งนี้ ศ.ธอร์นและคณะ คือทีมแรกที่ใช้เทคนิคนี้ในการวิเคราะห์ร่องรอยจารึกในงานเครื่องปั้นดินเผา ในยุคกรีกและโรมัน ซึ่งพวกเขาได้เริ่มวิจัยกันตั้งแต่ปี 2005 และด้วยเทคนิคการใช้แสงซินโครตรอนนี้ได้เผยถึงชั้นเคลือบสีที่อยู่ใต้ผิวของ เครื่องปั้นดินเผา แม้แต่ร่องรอยจารึกที่เลือนรางเทคนิคนี้ยังเผยให้เห็นร่องรอยของเหล็กปริมาณ น้อยจากการสกัดด้วยสิ่ว

    ตัวอย่างที่ ศ.ธอร์นนำไปศึกษานั้น มีร่องรอยจารึกที่เลือนรางมากจนเขาและคณะไม่สามารถเดาได้ว่าคืออักษรอะไร ซึ่งหลังจากนำไปวิเคราะห์ผลที่แหล่งแสงซินโครตรอนไดมอนด์ (Diamond Light Source) ในออกซ์ฟอร์ด ของอังกฤษแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาโบราณได้อธิบายว่า อังกฤษดังกล่าวคือพระราษกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้องกับบุคคล 3 คน

    “เราดูที่รูปลักษณะของเหล็ก จากเครื่องมือสกัดและสี พบว่าอักษรตัวหนึ่งไม่สอดคล้องกับอักษรที่อยู่ในนั้น นั่นแสดงว่ามีการเปลี่ยนแปลงชื่อของบุคคลหนึ่ง และเรื่องราวที่จารึกนั้นเกี่ยวกับสามพี่น้อง” ศ.ธอร์นกล่าว

    อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ศ.ธอร์นพร้อมคณะ ซึ่งรวมถึง อีธาน เกล (Ethan Geil) นักฟิสิกส์จากคอร์เนลล์ และ แคธรีน ฮัดสัน (Kathryn Hudson) กับ จอห์น เฮนเดอร์สัน (John Henderson) นักโบราณคดีจากคอร์เนลล์เช่นกัน ได้หันมาสนใจงานโบราณคดีในแถบเมโสอเมริกา (Mesoamerica) หรือแถบเม็กซิโกและอเมริกากลางที่มีอยู่มากมาย

    เทคนิควิเคราะห์โบราณของแสงซินโครตรอนนี้ สามารถวิเคราะห์วัตถุโบราณที่รอยจารึกเลือนหายไปหมดได้ หรือแม้กระทั่งแยกแยะได้ว่ารอยดำบนวัตถุนั้น เป็นรอยจารึกหรือเป็นเพียงรอยเลือนเท่านั้น แต่นักวิจัยเหล่านี้ก็หาตัวอย่างที่ร่องรอยจารึกเลือนหายได้ยากเต็มทน เพราะนักสะสมและพิพิธภัณฑ์ต่างไม่เห็นค่าในวัตถุโบราณเหล่านั้น

    สำหรับเมืองไทย ก็มีการประยุกต์ใช้รังสีเอกซ์จากแสงซินโครตรอนในการวิเคราะห์โบราณวัตถุ เหมือนกัน โดย ดร.วันทนา คล้ายสุบรรณ์ หัวหน้าโครงการระบบลำเลียงแสงที่ 8 และสถานีทดลองเทคนิคการดูดกลืนรังสีเอกซ์ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) ได้ใช้เทคนิคการดูดกลืนรังสีเอกซ์ศึกษาลูกปัดโบราณสีแดงที่พบทางภาคใต้ฝั่ง ตะวันตกของไทย เพื่อสืบหาประวัติและแหล่งที่มาของโบราณวัตถุ และการศึกษาพบว่าลูกปัดดังกล่าวสอดคล้องกับลูกปัดแก้วที่พบในอิตาลี ซึ่งบ่งชี้ถึงการติดต่อระหว่างกัน และนับเป็นครั้งแรกของไทยที่นำแสงซินโครตรอนมาใช้กับงานด้านโบราณคดี

    </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td align="right" height="10" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table><table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#cccccc" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff" valign="top"> <table cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr valign="baseline"> <td height="19" valign="top" width="21">[​IMG]</td> <td align="left" height="19">TAG : ซินโครตรอน, โบราณวัตถุ, รังสีเอกซ์</td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff" valign="top"> <table cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr valign="baseline"> <td height="19" valign="top" width="21">[​IMG]</td> <td class="hit" align="left" height="19">ข่าวที่เกี่ยวข้อง</td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr valign="baseline"> <td align="center" height="19" width="21">[​IMG]</td> <td align="left" height="19"> 4 นักวิจัยยามาลาเรีย-วัณโรค-พลาสติกชีวภาพ-ซินโครตรอนรับทุน “ลอรีอัล”</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>


    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ฝีดาษ: มัจจุราชที่ยังเป็นภัย <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">1 เมษายน 2554 01:32 น.</td></tr></tbody></table>
    [​IMG]
    การกำจัดฝีดาษในประเทศ Mali ต้องใช้เวลานาน 5 ปี เพื่อปลูกฝีให้ชาวบ้านทุกคนที่มีโอกาสเป็นโรค


    ในปี 2335 ขณะกัปตัน George Vancouver แล่นเรือเลียบฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกา เขาสังเกตเห็นทะเลบริเวณนั้นคลาคล่ำด้วยฝูงปลาแซลมอน แต่บนฝั่งกลับไม่เห็นหมู่บ้านชาวอินเดียนแดงเลย และเมื่อ Vancouver ขึ้นฝั่ง เขาได้เห็นหมู่บ้านร้างที่มีเถาวัลย์ หยากไย่ปกคลุม บนพื้นดินมีกองกระดูกและกะโหลกศีรษะเกลื่อนกลาดทั้งๆ ที่เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ จึงน่าจะมีคนอาศัยอยู่นับพัน Vancouver จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า ชาวบ้านได้อพยพทิ้งถิ่นฐานไป แต่จะด้วยเหตุผลใดเขาไม่สามารถรู้ได้ การวิเคราะห์กระดูกที่ Vancouver เห็น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ ณ วันนี้รู้ว่า ชาวอินเดียนแดงในหมู่บ้านนั้นล้มตายด้วยโรคฝีดาษ

    ฝีดาษเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งในโลกโบราณ ดังมีหลักฐานมากมายที่แสดงว่า เมื่อ 3,000 ปีก่อน ชาวอินเดียนับหมื่นต้องเสียชีวิตด้วยโรคร้ายชนิดนี้ เมื่อนายพล Cortez นำทหารบุกเข้าอาณาจักร Aztec ทหารที่เป็นโรคฝีดาษได้แพร่โรค ทำให้ชาวพื้นเมืองที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคเลยต้องล้มตายจำนวนนับแสน การสูญเสียผู้คนจำนวนมากนี้มีส่วนทำให้อาณาจักร Aztec ล่มสลายในเวลาต่อมา

    ฝีดาษมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า variola major เพราะคำ variola ในภาษาละตินคือ varus ซึ่งแปลว่า ตุ่มตามตัว ทั้งนี้เพราะเมื่อ 200 ปีก่อน เวลาใครเป็นโรคชนิดนี้ 20-40% ของผู้ป่วยจะเสียชีวิต ส่วนคนที่รอดชีวิตจะมีแผลเป็นตามตัวและใบหน้าจนเต็มไปหมด

    ตามปรกติเวลาเชื้อฝีดาษเข้าสู่คนภายในเวลา 12 วันแรกร่างกายจะไม่รู้สึกอะไรเลย จากนั้นคนๆ นั้นก็จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวและมีไข้สูงเหมือนเป็นไข้หวัด บางคนอาจรู้สึกปวดตามบริเวณหลังหรือศีรษะ บางคนอาเจียนและหายใจติดขัด จากนั้นอาการไข้ก็จะลด แต่อีก 2-3 วันต่อมา บริเวณใบหน้าและผิวหนังทั้งตัว โดยเฉพาะที่ปาก คอ จมูก หน้าอก และแขน จะมีจุดแดงๆ คล้ายตุ่มปรากฏเต็ม แล้วตุ่มจะขยายขนาดเพราะภายในมีหนอง ขณะเดียวกันอาการไข้ตัวร้อนก็จะหวนกลับมาอีก จากนั้นตุ่มก็จะแตก และส่งกลิ่นเหม็น แผลจะมีสะเก็ดเหลืองปกคลุม พอสะเก็ดหลุด ผิวหนังบริเวณนั้นจะเป็นแผลเป็น ในกรณีที่ร้ายแรง บริเวณจมูก เหงือก และตาผู้ป่วยจะมีเลือดไหล ในลำคอจะมีตุ่มเล็กๆ เต็มไปหมด ทำให้คนไข้ดื่มน้ำไม่ได้ และจะตายภายใน 10 วัน แต่ถ้าคนไข้ได้รับการรักษาทันเวลา ร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันฝีดาษไปจนตลอดชีวิต ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เขาจะไม่เป็นฝีดาษอีกเลย

    ฝีดาษเป็นโรคที่ระบาดโดยการสัมผัสน้ำลายจากการไอจาม หรือน้ำมูกของผู้ป่วย เวลาฝีดาษระบาดทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็มีสิทธิ์เป็นฝีดาษได้ทั้งสิ้น

    ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า George Washington ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ ในวัยหนุ่มก็เคยเป็นโรคฝีดาษ ดังนั้นเขาจึงต้องต่อสู้กับโรคร้ายและกองทัพอังกฤษไปพร้อมๆ กัน และเมื่อรู้ตัวว่าเป็นโรค เขาได้สั่งให้ทหารทุกคนในกองทัพเข้ารับการปลูกฝีทันที ซึ่งมีผลทำให้กองทัพรบชนะข้าศึกในที่สุด

    ส่วน Thomas Jefferson ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐฯ ก็เคยรายงานว่า ทาสของเขาที่หลบหนีไปอยู่กับกองทัพอังกฤษ หลายคนป่วยเป็นโรคฝีดาษ ในปี 2306 กองทัพอังกฤษได้จงใจให้ผ้าห่มของคนที่เป็นฝีดาษแก่ชาวอินเดียนแดงที่ Fort Pitt นี่จึงเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ฝีดาษเป็นอาวุธสงคราม
    ประเทศจีนในสมัยก่อน ผู้ป่วยด้วยโรคฝีดาษจะถูกกักบริเวณไม่ให้ออกนอกพื้นที่ แพทย์จะให้ผู้ป่วยสูดดมควันที่ได้จากการเผาสะเก็ดแผลของคนที่หายจากฝีดาษ แล้ว ในตะวันออกกลางและแอฟริกา หมอผีจะเอาหนองสดๆ จากคนที่กำลังเป็นฝีดาษ มาทาตามผิวที่มีรอยขีดข่วนของคนที่ยังไม่เป็น แต่วิธีนี้ทำให้คนบางคนตายด้วยโรคฝีดาษในเวลาต่อมา

    Edward Jenner คือแพทย์ชาวอังกฤษผู้คิดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษได้เป็นคนแรก เขาเกิดเมื่อปี 2292 ที่เมือง Berkeley ใน Gloucestershire ประเทศอังกฤษ การได้ไปฝึกงานกับศัลยแพทย์เมื่ออายุ 12 ปี ทำให้ Jenner มีความความต้องการอยากเป็นแพทย์ ด้วยเหตุนี้จึงได้เข้าเรียนแพทย์ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย St. Andrew และเรียนสำเร็จเป็นแพทย์เมื่ออายุ 43 ปี ในสมัยนั้นยุโรปกำลังถูกฝีดาษคุกคามหนัก 10-20% ของผู้ป่วยได้เสียชีวิต และ 10-15% ของผู้รอดชีวิตมีแผลเป็นเต็มตัว Jenner จึงคิดหาวิธีป้องกันฝีดาษ และได้ประสบความสำเร็จหลังจากที่พยายามนานถึง 16 ปี เพราะ Jenner ได้สังเกตเห็นว่า ตามมือและแขนของหญิงรีดนมวัวมักมีแผลที่เกิดจากฝีดาษวัว (cowpox) ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง และหญิงที่มีอาชีพนี้ไม่มีใครป่วยเป็นฝีดาษเลย เขาจึงคิดว่าฝีดาษวัวคงสามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ Jenner คิดจะทดสอบการคาดการณ์นี้ ดังนั้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2334 Jenner ได้เอาหนองที่แผลของ Sarah Nelmes อันเกิดจากฝีดาษวัว ไปป้ายบนแผลที่เกิดจากถูกมีดกรีดเล็กน้อยของ James Phipps ซึ่งเป็นเด็กอายุ 8 ปี Jenner พบว่า Phipps ล้มป่วยเป็นโรคฝีดาษวัว แต่ก็หายในเวลาไม่นาน อีกหลายสัปดาห์ต่อมา Jenner ได้เอาเชื้อฝีดาษป้ายบนแผลของ Phipps ผลปรากฏว่า Phipps ไม่แสดงอาการว่าเป็นฝีดาษเลย

    วันที่ 14 พฤษภาคมจึงเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในประวัติของวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพราะในวันนั้นโลกมีวัคซีนใช้เป็นครั้งแรก และเป็นวันแรกที่มนุษย์รู้จักการปลูกฝี

    หลังจากที่ได้ทดสอบวัคซีนจนมั่นใจแล้ว ในปี 2341 Jenner ได้เรียบเรียงตำราชื่อ An Inquiry into the Cause and Effects of the Variola Vaccinae แม้แพทย์ส่วนใหญ่จะไม่เชื่อในวิธีป้องกันโรคด้วยวิธีนี้ แต่เมื่อผู้คนจำนวนมากพากันมาหา Jenner เพื่อรับการปลูกฝี และคนเหล่านั้นไม่มีใครล้มป่วยเป็นฝีดาษ ผลงานของ Jenner จึงได้รับการยอมรับจากบรรดาแพทย์อื่นๆ รัฐบาลอังกฤษจึงได้จัดสรรงบประมาณให้ Jenner ผลิตวัคซีนสำหรับฉีดป้องกันฝีดาษให้คนอังกฤษทั่วประเทศ

    การพบวัคซีนฝีดาษทำให้ชื่อเสียงของ Jenner แพร่กระจายไปทั่วโลก แม้แต่จักรพรรดิ Napoleon เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า Jenner ทูลขออภัยโทษแก่เชลยอังกฤษที่ฝรั่งเศสจับได้ในสงคราม พระองค์ก็ทรงปล่อยเชลยเหล่านั้นทันที

    Jenner ซึ่งได้ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน พบวัคซีนที่สามารถป้องกันชีวิตของคนนับล้านให้ปลอดภัยจากโรคฝีดาษ โดยไม่ได้ร่ำรวยจากการอ้างลิขสิทธิ์ทางปัญญาใดๆ ได้ถึงแก่กรรมที่เมือง Berkeley สิริอายุ 73 ปี

    หลังจากที่ Jenner พบวัคซีนฝีดาษแล้ว สถิติการระบาดและการเสียชีวิตของผู้ป่วยด้วยโรคฝีดาษก็ลดลงๆ เช่นในปี 2510 มีผู้ป่วยด้วยโรคฝีดาษใน 29 ประเทศ ในปี 2515 มีคนเป็นโรคฝีดาษใน 14 ประเทศ ในปี 2517-2518 ปากีสถาน อินเดีย และเนปาล ได้ประกาศเป็นประเทศที่ปลอดฝีดาษ 100% และเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2521 โลกได้รับรายงานว่ามีคนป่วยด้วยโรคฝีดาษเป็นคนสุดท้ายชื่อ Ali Maow Moalin เป็นพ่อครัวในเมือง Merca ในโซมาเลีย และได้รับการรักษาจนหาย
    นับถึงวันนี้ก็ไม่มีใครป่วยเป็นโรคฝีดาษอีกเลย จนเราอาจกล่าวได้ว่าโลกไม่ถูกฝีดาษรบกวนในระยะเวลา 35 ปีที่ผ่านมา

    แต่วงการแพทย์ก็ยังเก็บเชื้อฝีดาษไว้ที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Center for Diseases Control and Prevention) ที่เมืองแอตแลนตาในสหรัฐอเมริกา กับที่ Institute for Viral Preparations ที่มอสโกในรัสเซีย ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ได้รู้รหัสพันธุกรรม (genome) ของไวรัสฝีดาษแล้วอย่างสมบูรณ์ จนนิสิตปริญญาเอกที่เก่งๆ ก็สามารถสร้างไวรัสชนิดนี้ได้ถ้าต้องการ แต่สหรัฐฯ กับรัสเซียก็ยังไม่ได้กำจัดเชื้อฝีดาษสองชุดสุดท้ายนี้ให้หมดไปจากโลก เพราะนักวิทยาศาสตร์มีความเห็นแตกแยกเป็นสองพวก คือ พวกที่ต้องการกำจัดฝีดาษให้หมดสิ้น โดยให้เหตุผลว่าเพื่อไม่ให้โรคร้ายนี้ระบาดอีกต่อไป ส่วนฝ่ายที่ต้องการเก็บรักษาเชื้อก็ให้เหตุผลว่า การฆ่าฝีดาษตัวสุดท้ายจะเป็นการฆ่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นอย่างจงใจให้สูญ พันธุ์ ซึ่งมนุษย์ไม่มีสิทธิ์ นอกจากนี้โลกยังมีโรคอีกหลายชนิดที่ร้ายพอๆ กับฝีดาษ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์อาจใช้เชื้อฝีดาษที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้ พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคร้ายเหล่านั้นได้ ดังนั้นถ้ามนุษย์ทำลายเชื้อจนสูญพันธุ์ เราก็จะไม่มีเชื้อโรคชนิดนี้ให้ศึกษาอีกเลย
    ด้วยเหตุนี้ คำประกาศขององค์การอนามัยโลกที่เคยแถลงว่า จะกำจัดฝีดาษให้หมดโลกภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2542 จึงต้องเลื่อนออกไปอีกครั้งหนึ่ง

    เมื่อเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายในวันที่ 11 กันยายน 2544 คณะผู้บริหารขององค์การอนามัยโลกได้จัดประชุมกันเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2545 และลงมติให้ทั้งอเมริกาและรัสเซียเก็บเชื้อฝีดาษให้นักวิทยาศาสตร์วิจัยต่อ เพราะเกรงว่าถ้าผู้ก่อการร้ายใช้ฝีดาษ (ที่สังเคราะห์ได้ในห้องทดลอง) เป็นอาวุธชีวภาพ มนุษยทั้งโลกจะเป็นอันตราย ดังนั้นการมีเชื้อฝีดาษไว้เพื่อพัฒนาวัคซีนป้องกัน จึงเป็นเรื่องจำเป็น
    อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกได้ขอให้นักวิจัยศึกษาไวรัสฝีดาษให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อจะได้ข้อมูลมาทบทวนการตัดสินใจเก็บหรือทำลายฝีดาษในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

    ในอดีตโลกเคยกลัวว่าผู้ก่อการร้ายจะใช้เชื้อ anthrax ในการทำสงครามชีวภาพ แต่ฝีดาษมีความรุนแรงและร้ายแรงยิ่งกว่า anthrax ดังนั้นรัฐบาลหลายประเทศจึงรู้สึกกระวนกระวายใจมากกว่า ถ้าผู้ก่อการร้ายคิดใช้ฝีดาษเป็นอาวุธสงครามบ้าง โดยลงมือก่อการร้ายในเมืองหลายเมืองพร้อมกัน จะเป็นไปได้ว่าภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ผู้คนนับแสน นับล้านจะป่วย

    ดังนั้นปัญหาจึงมีว่า ใครผู้ใดควรได้รับการฉีดวัคซีน ใครควรได้รับการยกเว้นไม่ต้องฉีด ใครที่ยังมีภูมิคุ้มกันอยู่ และภูมิคุ้มกันโรคนี้ของใครบ้างบกพร่อง เพราะวัคซีนฝีดาษที่ใช้ปัจจุบันเป็นไวรัสที่มีชีวิต สถิติการฉีดวัคซีนได้แสดงให้เห็นว่า ในกรณีคนล้านคนที่ได้รับการฉีดวัคซีน จะมีผู้เสียชีวิต 1-2 คน และคนที่เสียชีวิตจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อต่อ ดังนั้นโรคฝีดาษก็จะระบาดอีกทั้งๆ ที่ผู้ก่อการร้ายมิได้ดำเนินการแต่อย่างใด และสำหรับผู้ที่สมควรได้รับการฉีดวัคซีนนั้น งานวิจัยก็ได้แสดงให้เห็นว่าคนที่ป่วยเป็นโรคผิวหนังอักเสบ (eczema) เอดส์ มะเร็ง หรือคนที่เปลี่ยนอวัยวะ มีสิทธิ์ติดฝีดาษก่อนคนอื่น ดังนั้นคนเหล่านี้ควรได้รับวัคซีนทันทีที่มีข่าวฝีดาษระบาด และถ้าฝีดาษระบาดอีก แพทย์ก็ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะสกัดการระบาดอย่างไร เพราะรายงานการวิจัยหลายชิ้นอ้างประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ตรงกัน เช่น จะฉีดวัคซีนให้แก่ญาติหรือคนใกล้ชิดที่เฝ้าดูผู้ป่วย หรือฉีดให้คนทั้งเมืองที่ผู้ป่วยอาศัยอยู่ เพราะทุกวันนี้เมืองมีผู้คนอยู่กันหนาแน่น ดังนั้นการติดต่อจึงทำให้การแพร่ระบาดเป็นไปได้ง่าย และเมื่อผู้คนเดินทางกันมาก ดังนั้นความรวดเร็วในการระบาดก็มากด้วย

    แต่ก็มีข้อมูลอีกประเด็นที่คงจะลดความกังวลได้บ้าง นั่นคือ ในกรณีคนที่ได้รับการปลูกฝีป้องกันฝีดาษเมื่อ 60-75 ปีก่อน แพทย์ได้พบว่า 90% ของคนเหล่านี้ยังมีภูมิคุ้มกันอยู่ และภูมิคุ้มกันนี้ยังทรงสมรรถภาพดีพอๆ กับภูมิคุ้มกันของคนที่เพิ่งได้รับการฉีดวัคซีน นั่นแสดงว่าประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันมิได้สลายตามกาลเวลา ข้อมูลนี้ทำให้รู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้คนอีกเป็นจำนวนมาก คือ ฉีดเฉพาะคนที่อยู่รายรอบผู้ป่วยก็พอ แต่มีแพทย์อีกหลายคนที่ไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าข้อมูลที่ได้เป็นเพียงการคาดคะเน และไม่มีใครรู้ว่า ถ้าฝีดาษระบาดจริงๆ ระบบภูมิคุ้มกันที่คาดหวังจะต้านฝีดาษได้ดีดังที่คิดหรือไม่ ดังนั้นคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนนานแล้วก็สมควรได้รับการฉีดวัคซีนอีก

    ส่วนคนที่ไม่เคยฉีดวัคซีนเลยก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนโดยไม่มีข้อยก เว้นใดๆ ในอดีตเมื่อปี 2515 ได้มีการระบาดของฝีดาษในประเทศยูโกสลาเวีย ทำให้รัฐบาลต้องบังคับประชาชน 18 ล้านคนให้เข้ารับการฉีดวัคซีน และนั่นก็หมายความว่า ประเทศต้องการวัคซีนปริมาณมาก ตามปรกติวัคซีนจะมีอายุใช้งานไม่เกิน 1.5 ปี ดังนั้นการควบคุมคุณภาพของวัคซีนที่ใช้ฉีดก็เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพราะนอกจากจะป้องกันฝีดาษไม่ได้แล้ว วัคซีนที่เสื่อมคุณภาพยังอาจทำให้คนไข้มีอาการสมองบวม ผิวเป็นผื่น หรือเป็นเนื้องอกได้

    เมื่อเดือนธันวาคม 2548 ประธานาธิบดีบุชแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์ว่า จะฉีดวัคซีนฝีดาษให้ทหารอเมริกัน 5 แสนคน และคนอเมริกันอีก 5 แสนคน ทั้งที่นักวิชาการหลายคนแย้งว่า การฉีดวัคซีนจะไม่ให้ผลเท่าการลงทุนหาวิธีป้องกันการระบาดและหาวิธีรักษา ผลปรากฏว่าเมื่อสิ้นเดือนกันยายน 2549 มีคนอเมริกันเพียง 38,257 คนเท่านั้นที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโครงการปลูกฝี จึงต้องหยุดไปโดยปริยาย ทั้งนี้เพราะคนอเมริกันคิดว่าเขายังไม่ถูกใครข่มขู่ว่าจะถูกคุกคามด้วยฝีดาษ และยา cidofovir ที่แพทย์ในขณะนั้นก็สามารถรักษาฝีดาษได้ดีอย่างไม่มีปัญหา

    แต่ถ้าฝีดาษที่ผู้ก่อการร้ายนำมาแพร่ระบาด เป็นฝีดาษที่ได้รับการตัดต่อพันธุกรรมล่ะ การก่อการร้ายโดยการใช้อาวุธชีวภาพก็เป็นเรื่องจริง

    สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.

    .

    http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000028573


    .
     
  10. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    หิ่งห้อยมีแสงได้อย่างไร

    วันอาทิตย์ ที่ 03 เมษายน 2554 เวลา 0:00 น
    [​IMG][​IMG] [​IMG] [​IMG]<SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    หิ่งห้อย เป็นแมลงชนิดหนึ่งที่สามารถผลิตแสงได้ด้วยตนเอง พบเห็นได้ทุกพื้นที่ในประเทศไทย มีขนาดตั้งแต่ 2 มิลลิเมตร ไปจนถึง 10 เซนติเมตร สีของแสงหิ่งห้อยที่พบในไทยจะเป็นสีเหลืองและน้ำตาล มันมีอายุขัยประมาณ 1 เดือน แสงที่หิ่งห้อยเปล่งออกมาเป็นพลังงานแสงร้อยละ 90 อีกร้อยละ 10 เป็นพลังงานความร้อน
    การที่หิ่งห้อยเรืองแสงได้ เพราะเซลส์จากอวัยวะการสร้างแสงของหิ่งห้อยจะผลิตสารสีขาวที่ชื่อว่า ลูซิเฟอริน (Luciferin) จากนั้นหิ่งห้อยจะควบคุมการเปล่งแสง โดยบังคับอากาศที่ได้จากการหายใจเข้าไป เมื่ออ๊อกซิเจนในอากาศสัมผัสกับสารลูซิเฟอริน และทำปฏิกิริยากับเอมไซม์ชื่อ Luciferase หิ่งห้อยก็จะปล่อยพลังงานออกมาเป็นแสงได้ ฉะนั้นแสงจะสว่างหรือดับจึงขึ้นอยู่กับการหายใจของหิ่งห้อยนั่นเอง

    หิ่งห้อยไม่ได้เปล่งแสงเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นการส่งสัญญาณเพื่อการหาคู่ ซึ่งหิ่งห้อยแต่ละชนิดจะมีจังหวะการกระพริบแสงที่แตกต่างกัน ฉะนั้นหิ่งห้อยแต่ละชนิดจึงจดจำการกระพริบแสงของพวกเดียวกันได้ จึงทำให้เกิดการผสมพันธุ์ที่ถูกกับชนิดของหิ่งห้อยนั้น ๆ

    รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าไปจับมันมากักขังไว้ล่ะ มันไม่สวยเท่าตอนที่มันอยู่กับธรรมชาติหรอก.





    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > หิ่งห้อยมีแสงได้อย่างไร
     
  11. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ผ่าตัด'ข้อ'โดยวิธีส่องกล้องความหวังใหม่แผลเล็ก...หายเร็ว

    วันอาทิตย์ ที่ 03 เมษายน 2554 เวลา 0:00 น
    [​IMG][​IMG] [​IMG] [​IMG]<SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    เมื่อคนไข้หลายคนรู้ว่าตัวเองต้องผ่าตัดก็ดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่! นี่ยังไม่รวมถึงการดูแลหลังผ่าตัดที่ต้องมีความสะอาดสูงเพื่อป้องกันการติดเชื้อซึ่งจะตามมาภายหลัง และยิ่งคนที่ต้องผ่าตัดบริเวณหัวไหล่และข้อเข่า ย่อมกลัวถึงอาการเจ็บที่จะตามมา เพราะนอกจากชั้นเนื้อที่ผ่าลงไปแล้วยังมีปัญหาถึงกระดูกที่ต้องแก้ไขอีก ซึ่งเหมือนกับเป็นการเจ็บสองต่อ ยิ่งคนมีอายุการพักฟื้นยิ่งยาวนาน และจะกลับไปเป็นอย่างเดิมก็ยากเต็มที

    พ.ต.ต.นพ.วิชาญ กาญจน ถวัลย์ ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมกระดูก–ข้อ โรงพยาบาลพญาไท 3 มองว่า การที่ ข้อเข่าและข้อแขนเสื่อมเกิดในคนสูงอายุและวัยรุ่นพอ ๆ กัน สำหรับผู้สูงอายุจะเกิดจากการเสื่อมของอวัยวะ ส่วนวัยรุ่นเป็นผลจากการเล่นกีฬาอย่างหนัก โดยเฉพาะคนที่เล่นกีฬาอาชีพ

    อาการในภาพรวมของคนป่วยโดยส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่อง ข้อเข่าแหวนรองฉีกขาด เส้นเอ็นหน้าฉีกขาด ไหล่หลุด ต้องผ่าตัดเพื่อให้ไหล่มีความมั่นคงเหมือนอย่างเดิม ขณะเดียวกันในผู้สูงอายุจะมี หินปูนเกาะบริเวณข้อไหล่ ทำให้เกิดความเจ็บปวดและเบียดกล้ามเนื้อให้ไม่มีช่องในการเคลื่อนตัวเหมือนปกติ

    สำหรับคนสูงอายุจะมีอาการเอ็นหมุนข้อไหล่เลื่อน เนื่องจากการยกของหนักทำให้เกิดการเลื่อน ส่วนคนวัยรุ่นก็มีโอกาสเป็นได้ เช่น นักกีฬาวอลเลย์บอลที่ใช้แขนมาอย่างหนัก

    นอกจากนี้อาการเริ่มแรกของผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงทั้งผู้สูงอายุและวัยรุ่นจะมีอาการปวดบวมบริเวณข้ออย่างหนัก ไม่สามารถเหยียดแขนหรือขาให้ตึงได้ ทั้งนี้อาการบวมอาจหายไปในหนึ่งถึงสองสัปดาห์ แต่คนไข้จะรู้สึกถึงการใช้ชีวิตประจำวันไม่เหมือนปกติ เนื่องจากจุดที่มีอาการบวม ส่วนการบาดเจ็บบริเวณข้อไหล่จะมีอาการนอนตะแคงทับข้างที่เจ็บไม่ได้ หรือเอื้อมไปหยิบของที่กระเป๋าหลังไม่ได้ เมื่อมีอาการบ่งชี้เหล่านี้แล้วควรรีบพบแพทย์ มิเช่นนั้นอาการเสื่อมต่าง ๆ จะตามมาและแผ่ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ซึ่งทำให้คนไข้มีอาการเจ็บปวดอย่างหนักและอาจเป็นผลร้ายแรงต่อไปในอนาคตได้

    ทั้งนี้แต่เดิม การรักษาต้องใช้การผ่าตัดและทำให้คนไข้ต้องนอนรักษาตัวหลังจากผ่าตัดนาน แต่พอมีการผ่าตัดแบบส่องกล้องจึงทำให้แผลที่ผ่าตัดเล็ก และสามารถกลับไปบ้านรักษาตัวได้เร็วกว่าเดิม ขณะที่ความเสี่ยงเกี่ยวกับการผ่าตัดจะลดลง

    การผ่าตัดแบบส่องกล้องทำโดย เมื่อวินิจฉัยรู้แล้วว่ามีอาการทางเข่าหรือข้อแขน แพทย์จะใช้เครื่องส่องกล้องที่เป็นเหมือน ตะเกียบอันแรกมีเครื่องมือต่าง ๆ ตะเกียบอันที่สองจะเป็นกล้อง เส้นผ่าศูนย์กลางของเครื่องมือประมาณ 1 เซนติเมตร หลังจากนั้นจะใช้กล้องส่องหาจุดที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด พอพบแล้วจะใช้เครื่องมือทำความสะอาดแล้วรักษาต่อไป

    เครื่องมือมีทั้งเข็มที่ใช้เย็บส่วนต่าง ๆ ให้เข้าที่ เมื่อเครื่องกรอขจัดเศษเนื้อที่หลุดลุ่ย รวมถึงมีสว่านที่ใช้ในการเจาะยึดเพื่อร้อยด้ายให้ส่วนต่าง ๆ เข้าที่ ซึ่งเครื่องเหล่านี้จะมีตัวดูดเศษที่ผ่านการกรอให้ออกมาข้างนอก

    จะเห็นได้ว่าการผ่าตัดแบบส่องกล้องหมอสามารถระบุได้ชัดเจนถึงส่วนที่เสียหาย เนื่องจากมีกล้องที่ส่องเข้าไปดู ขณะที่ผ่านมาถ้าผ่าตัดใหญ่จะทำให้แพทย์ต้องผ่าตัดเพื่อหาจุดอีก แต่การส่องกล้องเข้าไปทำให้เห็นผ่านทีวีที่อยู่ด้านนอกและวิเคราะห์อาการเหล่านั้นได้ทันที

    “สิ่งที่หลายคนมองข้ามคือ อาการแหวนรองเข่าฉีกขาด หลายคนมองเป็นเรื่องธรรมดา แต่บริเวณดังกล่าวเมื่อเสียหายไม่สามารถรักษาให้หายเองได้เนื่องจากมีเลือดที่มาเลี้ยงน้อย ซึ่งเมื่อเริ่มเสียแล้วควรประคับประคองไม่ให้สึกหรอมากขึ้นไปอีกถ้าทำได้”

    อาการของคนไข้ส่วนใหญ่จะมีอาการเริ่มแรกคือ เอ็นเข่าหน้าฉีกขาด ส่งผลต่อแหวนรองเข่าเริ่มฉีกขาดตาม โดยส่วนใหญ่จะพัฒนามาสู่อาการที่รุนแรงขึ้น สำหรับผู้สูงอายุอาจต้องใส่ข้อเข่าเทียม แต่หมอเองไม่แนะนำให้ใส่ข้อเข่าเทียมในคนที่อายุต่ำกว่า 65 ปี เนื่องจากข้อเข่าเทียมมีระยะเวลาวันหมดอายุประมาณ 10–15 ปี ซึ่งการผ่าตัดใส่ข้อเข่าใหม่ครั้งที่สองหรือสาม จะไม่ได้ผลเท่ากับครั้งแรก ซึ่งย่อมเป็นผลเสียแก่คนไข้เอง

    ที่ผ่านมาคนไข้ที่อายุยังน้อยส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ส่วนคนไข้สูงอายุจะเป็นผู้หญิง เป็นเรื่องที่น่าคิดสำหรับคนสองกลุ่มนี้ ซึ่งอาจเป็นผลต่อการใช้ชีวิตของคนปัจจุบัน

    ถ้าหากมองอย่างสวนทางคนที่ออกกำลังกายมีโอกาสเสี่ยงมากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่ที่บาดเจ็บเนื่องจากออกกำลังกายเฉพาะส่วนมากเกินไป โดยเฉพาะการออกกำลังกายแขนมากเกินไปซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาอย่างมาก ยิ่งออกกำลังแขนด้วยท่านอนแล้วยกลูกเหล็กมาจากด้านหลังทำให้เกิดอาการบาดเจ็บบ่อยสุด

    ขณะเดียวกันการออกกำลังกายในฟิตเนสเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้บาดเจ็บ เพราะในฟิตเนสส่วนใหญ่เป็นการออกกำลังกายเฉพาะส่วนซึ่งทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ นอกจากนี้ยังเป็นความเข้าใจผิดของผู้ออกกำลังกายที่ยิ่งออกกำลังกายเฉพาะส่วนมากเท่าไรกล้ามเนื้อส่วนนั้นยิ่งแข็งแรง

    อย่างไรก็ตาม อนาคตการผ่าตัดแบบส่องกล้องอาจจะได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะเดียวกันการรู้จักดูแลสุขภาพร่างกายก็นับเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เราห่างไกลจากอาการบาดเจ็บต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี.

    ...................

    เคล็ดลับสุขภาพดี

    ทาครีมถูกวิธี ผิวหน้าเรียบเนียนไร้ริ้วรอย


    ผิวหน้าดูดี ขาวใส เรียบเนียนเป็นธรรมชาติเป็นที่ปรารถนาของหนุ่ม ๆ สาว ๆ ทุกคน จึงทำให้เครื่องสำอางหรือเครื่องประทินผิวเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครีมบำรุงผิว ซึ่งนอกจากต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า หากเราทาครีมผิดวิธีก็เสมือนเป็นการทำลายผิวหน้าโดยไม่รู้ตัว วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีมีวิธีทาครีมที่ถูกต้อง และการดูแลผิวหน้าจากภายในสู่ภายนอกแบบง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ

    การทาครีมที่ถูกวิธี เริ่มจาก 1. การทำความสะอาดผิวหน้าแล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่ม ๆ ซับหน้า อย่าเช็ดไปมาเพราะจะทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร 2. ใช้ปริมาณครีมให้พอเหมาะ หากน้อยไปจะไม่ได้ประสิทธิภาพหรือมากไปจะทำให้ผิวหน้ามันและสิ้นเปลือง โดยปริมาณที่พอเหมาะคือประมาณ 1 ข้อนิ้วมือหรือ 1 ลูกเชอรี่ 3. แต้มครีมตามจุด 5 จุดบนใบหน้าได้แก่ หน้าผาก จมูก แก้มทั้ง 2 ข้างและคาง 4. ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเกลี่ยบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้าง ๆ ตามด้วยแนวสันจมูก คางและหน้าผาก อย่าลืมเว้นรอบดวงตาไว้หน่อยเพราะควรใช้อายครีม (Eye cream) สำหรับทารอบดวงตา

    ขั้นตอนที่ 5. ระหว่างทาครีม ควรลงน้ำหนักนิ้วให้เบาที่สุด เพราะผิวหน้าบอบบาง หากแรงเกินไปอาจจะทำให้เกิดรอยย่นก่อนวัยอันควรได้ และ 6. สำหรับรอบดวงตาควรใช้ปริมาณเนื้ออายครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะเป็นนิ้วที่ลงน้ำหนักเบาที่สุด โดยทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบ ๆ ดวงตา จะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัดแต่ต้อง
    วนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง

    นอกจากการเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและทราบวิธีทาครีมที่ถูกต้องแล้ว การดูแลผิวจากภายในก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งมีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ คือ พักผ่อนให้เพียงพอ เลือกทานอาหารและผักผลไม้ที่มี กลูต้าไธโอน โดยร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง จากอาหารที่ทานเข้าไป เรียกว่า Universal Antioxidant เกิดจากการจับตัวกันในรูปแบบ Tri-peptides ของกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine Glycine และ Glutamic ซึ่งโดยปกติ
    แหล่งกลูต้าไธโอนในธรรมชาติจะมีอยู่ในข้าวซ้อมมือและในผักผลไม้ พบมากในแตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวคาโด ส่วนในผักจะพบได้ในหน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบในปลาและเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับไม่เพียงแต่จะได้สารอาหารครบ 5 หมู่เท่านั้น เรายังได้ผิวพรรณที่ขาว สวย กระจ่างใส อมชมพูควบคู่มาด้วย

    เป็นไงคะ เคล็ดลับการดูแลสุขภาพผิวหน้าทั้งจากภายในและภายนอกแบบง่ายๆ ที่นำมาฝาก หวังว่าคงไม่ยากเกินไปในการนำไปปฏิบัติตามเพื่อการมีผิวหน้าสวยใส เรียบเนียนไร้ริ้วรอยนะคะ.

    (ข้อมูลจาก โปรวาเมด กลูต้า คอมเพล็กซ์ ไบโอ เซรั่ม)

    ..................

    สรรหามาบอก

    - ศูนย์อุบัติเหตุ โรงพยาบาลกรุงเทพ จัดบริการ ’รถพยาบาลฉุกเฉินในราคา 100 บาท ทุกที่ทั่วไทย“ รับ-ส่งผู้ป่วย โดยทีมแพทย์ฉุกเฉินและอุบัติเหตุพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตและยานพาหนะที่มีประสิทธิภาพสูง ประสานการรักษาตั้งแต่เริ่มเคลื่อนย้ายจนถึงเตรียมรับผู้ป่วยทันทีที่มาถึงโรงพยาบาล เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการช่วยชีวิตอย่างรวดเร็วและปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงต่อเนื่องทุกปี สนใจเรียกใช้บริการได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2554 สอบถามเพิ่มเติม โทร. 1719

    - ศูนย์โรคตา โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) สาขาสุขุมวิท จัดกิจกรรมการตรวจคัดกรองและส่งเสริมความรู้ ’โรคของจอตา“ ใน วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2554 เวลา 08.30-15.00 น. ภายในงานมีการบรรยายและจัดกิจกรรมเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับโรคของจอตาและโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมได้โดยสำรองที่นั่งล่วงหน้า โทร. 0-2712-2066, 0-2712-2077 หรือ 08-7994-4554 ด่วน!! รับจำนวนจำกัด

    - สภากาชาดไทย ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยร่วมทำความดี ’บริจาคโลหิตถวายพ่อของแผ่นดิน ในงานกาชาดประจำปี 2554“ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 7 เมษายน 2554 เวลา 17.00-21.00 น. ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และจัดหาผู้บริจาคโลหิต โทร. 0-2256-4300, 0-2263-9600–99 ต่อ 1760, 1761

    - คลินิกโรคหัวใจ โรงพยาบาลกรุงธน 1 ขอเชิญทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมงานสัมมนา ’เมื่อโรคหัวใจ...ถามหา ครั้งที่ 2“ ใน วันเสาร์ที่ 9 เมษายน 2554 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้องประชุมตากสิน ชั้น 12 โรงพยาบาลกรุงธน 1 ภายในงานพบกับสาระความรู้เรื่องความเสี่ยงและการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ บูธตรวจวิเคราะห์องค์ประกอบในร่างกาย ฯลฯ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ฝ่ายการตลาด โทร. 0-2438-0040-5 ต่อ 1020, 1023.

    ................

    ทีมวาไรตี้





    Daily News Online > หน้าวาไรตี้ > ผ่าตัด'ข้อ'โดยวิธีส่องกล้องความหวังใหม่แผลเล็ก...หายเร็ว
     
  12. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    “กรดไหลย้อน” อันตรายหลังการกิน

    โดย mootie | วันที่ 15 กรกฎาคม 2552<IFRAME style="PADDING-RIGHT: 0px; OVERFLOW-Y: hidden; PADDING-LEFT: 0px; LEFT: 250px; OVERFLOW-X: hidden; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 300px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 35px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none" src="http://www.facebook.com/plugins/like.php?href=http%3A%2F%2Fwww.thaihealth.or.th%2Fnode%2F10075&layout=standard&show_faces=false&width=300&action=like&colorscheme=light&height=35" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME>
    <?xml:namespace prefix = o /><o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> [​IMG]</o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>
    หากถามว่า ตอนนี้สถานการณ์เรื่องไหนดูน่ากลัวที่สุด ทุกคนคงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “สถานการณ์ไข้หวัด2009” เพราะดูเหมือนว่า ทั้งยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต จะมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน จนถึงขั้นอาจต้องปิดประเทศกันเลยทีเดียว ในขณะที่ทุกคนมัวแต่หวาดกลัวหวัด 2009 สายตาจับจ้องสังเกตอาการคนใกล้ชิดว่า มีไข้ ปวดเนื้อตัว เข้าข่ายติดเชื้อหรือไม่ ใครเข้าข่ายต่างก็แห่ไปโรงพยาบาลกันยกใหญ่ แล้วอาการเหล่านี้ล่ะ!!! คุณเคยสังเกตบ้างไหม?? เหมือนมีน้ำย่อยขมๆ ไหลย้อนมาที่คอ ท้องอืด แน่นท้องหรือรู้สึกมีก้อนที่คอ หลังอาหารมื้อหลัก มักจะคลื่นไส้อาเจียน รู้ไหม!! อาการเหล่านี้ก็อันตรายต่อสุขภาพคุณเช่นกัน เพราะมันเป็นสัญญาณเตือนของภัยเงียบอย่าง“โรคกรดไหลย้อน”<o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"></o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>
    รศ.พ.ญ.วโรชา มหาชัย หัวหน้าหน่วยทางเดินอาหาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า โรคกรดไหลย้อนไม่ได้เป็นโรคแปลกใหม่สำหรับคนไทย เป็นโรคที่พบมานานแล้ว สาเหตุของโรคเกิดจากการไหลย้อนกลับของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารส่วนบนอย่างผิดปกติ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ หลอดอาหารส่วนปลายมีการคลายตัวอย่างผิดปกติ หรือความดันของหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายลดลงต่ำกว่าในคนปกติ หรือเกิดจากความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร รวมถึงพันธุกรรมอีกด้วย

    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"></o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"></o:p>
    ส่วนเหตุสำคัญที่ทำให้คนเราเป็นโรคนี้คือ พฤติกรรมการบริโภคที่หันไปใช้ชีวิตแบบชาวตะวันตก ตื่นเช้ามาก็เร่งรีบไปทำงาน ไม่ค่อยกินข้าว กินแต่กาแฟ แถมยังชอบกินอาหารเย็นหนักๆ แล้วก็นอน อาหารจึงยังตกค้างอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ต้องหลั่งกรดออกมาย่อยอาหารที่ยังตกค้างอยู่ ประกอบกับท่านอนไม่ถูกต้อง หัวเสมอหรือต่ำกว่าลำตัว ทำให้กรดในกระเพาะไหลย้อนขึ้นมาที่ลำคอ เกิดอาการแสบระคายเคืองขึ้นมาบนคอและถ้าปล่อยให้หลอดอาหารส่วนปลายระคายเคืองไปนานๆ อาจทำให้หลอดอาหารเป็นมะเร็งได้<o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"></o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>
    ถึงแม้ว่าโรคนี้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิตเหมือนโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจ แต่เป็นโรคที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพการทำงานลดลงได้ ซึ่งจะมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว ปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่แล้วลามขึ้นมาที่หน้าอกหรือคอ และในบางรายอาจมีอาการแสดงออกนอกหลอดอาหารได้ เช่น อาการทางปอด หรืออาการทางคอและกล่องเสียง เสียงแหบเรื้อรัง มีไอเรื้อรัง มีกลิ่นปาก หรือในบางรายอาจมีอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด หรืออาการเจ็บหน้าอกได้<o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"></o:p>

    แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ!!! โรคนี้จะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ คล้ายๆ กับอาการของโรคกระเพาะอาหาร จึงทำให้คนส่วนใหญ่มักจะเหมารวมว่า ตนเองอาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร และไปซื้อยาเคลือบแผลในกระเพาะอาหารมารับประทานเอง ทำให้การรักษาไม่ตรงจุด โดยเฉพาะคนไทยเรามักจะชอบซื้อยามารับประทานเองและคิดว่าการไปพบแพทย์เป็นเรื่องใหญ่ ระยะหลังมานี้ จึงพบโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่คนไทย<o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"></o:p>

    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>
    ด้าน ผศ.นพ.สมชาย ลีกากุศลวงศ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลอธิบายว่า โรคกรดไหลย้อนจะพบได้มากในทุกกลุ่มอายุ แต่ที่พบมากและมักจะมีอาการรุนแรง จะเป็นกลุ่มคนอ้วน ยิ่งกลุ่มคนที่สูบบุหรี่ยิ่งมีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น<o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"></o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>
    ส่วนเรื่องการวินิจฉัยโรคนั้น โดยปกติแล้วแพทย์สามารถวินิจฉัยได้จากอาการดังที่กล่าวมา หากเป็นแพทย์สามารถให้การรักษาเบื้องต้นได้ โดยจะติดตามดูอาการของผู้ป่วย ในบางรายอาจมีความจำเป็นต้องได้รับการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ส่องกล้องทางเดินอาหาร ตรวจทางรังสีวิทยา การตรวจวัดการบีบตัวของหลอดอาหาร และการตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างในหลอดอาหาร ซึ่งพบว่าได้ผลแม่นยำและดีที่สุดในปัจจุบัน<o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"></o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>
    เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว!!! การจะจัดการกับโรคกรดไหลย้อนก็ไม่ใช่เรื่องยาก ควรมุ่งที่การควบคุมอาการให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งหลักใหญ่อาศัยการปรับเปลี่ยนอาหารการกิน และวิถีชีวิตของผู้ป่วย ประสานกับการกินยาเท่าที่จำเป็น ซึ่งการปรับเปลี่ยนอาหารนั้นเน้น 2 เรื่องใหญ่ คือ หนึ่ง หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้กล้ามเนื้อหูรูดผ่อนคลายไม่กระชับ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต เปปเปอร์มินต์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน น้ำมัน ของทอดและอาหารที่มีไขมันสูงทั้งหลาย นมเต็มส่วน อาหารที่ผสมครีม อาหารขยะ เป็นต้น สำหรับผู้ที่น้ำหนักเกิน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องควบคุมน้ำหนัก และสอง หลีกเลี่ยงอาหารที่ไปเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร เช่น ชา กาแฟ กระเทียม หัวหอม พริกและอาหารเผ็ดร้อน หน่อไม้ฝรั่ง ไข่ พาสต้า ก๋วยเตี๋ยว แป้งข้าวโพด ลูกพรุน ส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำอัดลม น้ำตาล อาหารขยะ และอาหารที่ผ่านการแปรรูป เป็นต้น<o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"></o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>
    ส่วนการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตนั้น ก็เพื่อจัดการให้มีกรดไหลย้อนขึ้นหลอดอาหารน้อยที่สุด คั่งอยู่ในหลอดอาหารเป็นเวลาสั้นที่สุด อันดับหนึ่ง คือ วิถีการกิน อย่ากินอิ่มเกิน กินน้อยแต่หลายมื้อได้ อย่ากินอย่างเร่งรีบ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด อย่าดื่มน้ำมากพร้อมอาหาร กินอาหารแล้วห้ามออกกำลังกายหรือนอนทันที ควรทิ้งช่วงประมาณ 2-3ชั่วโมง เมื่อรู้สึกว่ากรดไหลย้อน ให้ดื่มน้ำ กลืนน้ำลาย หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อช่วยสลายกรด อันดับสอง คือ กำหนดท่าทางของร่างกายให้เหมาะสม ได้แก่ อย่าก้ม (โดยเฉพาะช่วงหลังอาหาร) อย่าใส่เข็มขัดหรือเสื้อผ้ารัดแน่นเกินไป พยายามนอนตะแคงขวาเพื่อจะได้ไม่กดทับท้องจนกรดไหลย้อน สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหากรดไหลย้อนระหว่างนอน ควรยกหัวเตียงให้ลาดสูงขึ้นประมาณ 6-8 นิ้ว เพื่อป้องกันไม่ให้กรดคั่งในหลอดอาหาร และที่สำคัญต้องจัดการกับความเครียด ผ่อนคลายให้มากขึ้น เพราะความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีกรดมาก<o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"></o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>
    การจะห่างไกลจากโรคกรดไหลย้อนได้นั้น นอกจากการปรับเปลี่ยนอาหารการกินและวิถีชีวิตที่กล่าวมานี้แล้ว ต้องมาจากความรู้ความเข้าใจและการตัดสินใจของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ซึ่งต้องอาศัยการมีส่วนร่วมและสนับสนุนอย่างแข็งขันจากคนใกล้ชิด โดยเฉพาะครอบครัว...<o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"></o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>
    เรื่องโดย: ณัฐภัทร ตุ้มภู่ Team Content www.thaihealth.or.th<o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"></o:p>
    <o:p style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"> </o:p>




     
  13. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>การปฐมพยาบาลเมื่อสัตว์มีพิษกัดต่อย (4) / เอมอร คชเสนี</TD><TD vAlign=baseline align=right width=102>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย เอมอร คชเสนี</TD><TD class=date vAlign=center align=left>25 กุมภาพันธ์ 2554 12:37 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><IFRAME style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; OVERFLOW: hidden; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 450px; BORDER-BOTTOM: medium none; HEIGHT: 35px" src="http://www.facebook.com/plugins/like.php?href=http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9540000024987&layout=standard&show_faces=false&width=450&action=like&colorscheme=light&height=35" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show

    สัตว์มีพิษอีกชนิดหนึ่งที่จะกล่าวถึงในวันนี้ ก็คือ งูพิษ ค่ะ

    เมืองไทยมีงูค่อนข้างชุกชุม เนื่องจากเป็นเมืองร้อน ภูมิประเทศเป็นที่ลุ่ม มีห้วยหนองคลองบึง ท้องไร่ท้องนา พงหญ้า โพรงไม้ ฯลฯ เหมาะที่งูจะซุกตัวอยู่อาศัย ดังนั้นในแต่ละปีจึงมีสถิติของเด็กและผู้ใหญ่ที่ถูกงูกัดไม่ใช่น้อย งูนั้นมีมากมายหลายสายพันธุ์ แต่อาจแบ่งได้คร่าวๆ เป็น 2 ประเภท คือ งูไม่มีพิษและงูมีพิษ

    งูไม่มีพิษ มีฟันแต่ไม่มีเขี้ยว เมื่อถูกกัด แผลจะบวมเล็กน้อย สังเกตที่บาดแผลจะเห็นรอยฟันแต่ไม่มีรูที่เกิดจากเขี้ยวงู การปฐมพยาบาลก็เพียงแต่ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ แล้วซับให้แห้ง ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซที่สะอาด จากนั้นไปพบแพทย์เพื่อประเมินและสังเกตอาการ

    ส่วนลักษณะของงูมีพิษนั้น ดวงตามักจะเรียวยาว หัวเป็นรูปสามเหลี่ยม มีรอยบุ๋มหรือหลุมอยู่ตรงกลางระหว่างหัวตา รูจมูกทั้งสองอยู่ด้านข้าง มีเขี้ยวโค้งสองข้างที่ขากรรไกรบน ภายในเขี้ยวจะเป็นร่องกลวงเหมือนเข็มฉีดยา ขณะที่มันกัดเหยื่อ ต่อมพิษภายในปากของมันจะถูกบีบตัวและฉีดน้ำพิษไหลมาตามร่องเขี้ยวเข้าสู่บาดแผล จะเห็นรูเขี้ยวงู 2 รูบนแผลอย่างชัดเจน อาจเห็นรอยฟันบนและฟันล่าง และรอยย้ำเป็นจ้ำจากกระดูกฟันกราม

    การถูกงูพิษกัดไม่จำเป็นต้องมีอาการรุนแรงเสมอไป ประมาณ 50% ของผู้ที่ถูกงูพิษกัดอาจไม่มีอาการอะไรเลย มีเพียง 25%ที่เกิดอาการจากพิษงู งูพิษในบ้านเรา ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง งูแมวเซา งูสามเหลี่ยม งูกะปะ งูทับสมิงคลา งูเขียวหางไหม้ และงูทะเล พิษของพวกมันแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

    พิษต่อระบบประสาท
    เมื่อถูกพิษจะมีอาการอ่อนเปลี้ย ง่วงซึม ลืมตาไม่ได้ กลืนลำบาก ขากรรไกรแข็ง พูดอ้อแอ้ และหยุดหายใจ พิษงูในกลุ่มนี้ ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม และงูทับสมิงคลา

    พิษต่อระบบเลือด
    เมื่อถูกพิษจะมีอาการปวดแผล มีเลือดออกในหลายทาง เช่น ตามไรฟัน ผิวหนัง อาเจียนเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด เลือดออกในสมอง พิษงูในกลุ่มนี้ ได้แก่ งูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้

    พิษต่อระบบกล้ามเนื้อ
    ได้แก่ พิษของงูทะเล เมื่อถูกพิษจะมีอาการปวดกล้ามเนื้อทั้งแขน ขา ลำตัว เมื่ออาการมากขึ้นจะถึงกับเคลื่อนไหวไม่ได้ ปัสสาวะเป็นสีดำคล้ำ ระบบขับถ่ายปัสสาวะล้มเหลว

    การปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด

    - ให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากบริเวณที่ถูกงูกัด เพราะงูยังสามารถฉกกัดได้อีก แม้ว่ามันจะถูกตีก็ตาม

    - บอกให้ผู้ป่วยใจเย็น อย่าตกใจ เพราะจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว เลือดสูบฉีดแรงขึ้น พิษงูจะเข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้เร็วขึ้นด้วย

    - พยายามเคลื่อนไหวบริเวณที่ถูกกัดให้น้อยที่สุด อาจใช้ไม้ดามไว้ เพื่อลดการเคลื่อนไหว จะช่วยให้พิษกระจายช้าลง

    - ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ และนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ระหว่างนั้นให้แผลอยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ หากมีเลือดออกให้ปล่อยไว้ เพื่อให้พิษไหลออกมาให้มากที่สุด

    - อาจใช้ผ้าหรือเชือกรัดไว้เหนือแผลที่ถูกงูกัด ให้รัดแน่นโดยให้นิ้วสอดได้ 1 นิ้วเป็นเวลานาน 1 นาที แล้วคลายออกทุกๆ 15 นาที หากรัดแน่นจนเกินไปจะทำให้เนื้อเยื่อตายจากการขาดเลือดไปเลี้ยง แต่ห้ามทำในกรณีที่ถูกงูที่มีพิษต่อระบบเลือดกัด เพราะจะทำให้มีอาการบวมและเลือดออกมากขึ้น หากไม่มั่นใจว่าสามารถทำได้อย่างถูกต้อง ไม่ควรปฐมพยาบาลด้วยวิธีนี้

    - ไม่ควรใช้ปากดูดพิษออกจากบาดแผล เพราะมีอันตรายทั้งผู้ที่ช่วยเหลือและผู้ที่ถูกงูกัด หากผู้ช่วยเหลือมีแผลในช่องปาก ก็อาจทำให้พิษเข้าสู่บาดแผลและเสียชีวิตได้ ส่วนอันตรายต่อผู้ที่ถูกงูกัดก็คือ แบคทีเรียในช่องปากอาจทำให้แผลติดเชื้อได้

    - ห้ามกรีดแผล ใช้ไฟจี้ ใส่ยา พอกยา หรือประคบน้ำแข็งที่แผล เพราะอาจทำให้แผลหายช้าและติดเชื้อได้

    - อย่าให้เครื่องดื่มหรือยาที่กระตุ้นประสาทหรือระงับประสาท เช่น สุรา กาแฟ และยาแก้ปวดจำพวกมอร์ฟีนหรือแอสไพริน เพราะอาจเสริมพิษงูได้

    - สิ่งที่สำคัญก็คือ ควรจดจำให้ได้ว่าเป็นงูอะไร หรือจำลักษณะของงูที่กัดให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะลวดลายและสีของงู หากมีซากงูก็นำไปให้แพทย์ดูด้วย เพื่อแพทย์จะได้แก้พิษและรักษาได้อย่างถูกต้อง

    การป้องกันไม่ให้ถูกงูกัด

    - หลีกเลี่ยงการเดินในที่รกหรือมีหญ้าสูง หากจำเป็นควรใส่กางเกงขายาวหนาๆ สวมรองเท้าหุ้มข้อ และถือไม้ยาวๆ เดินไปก็ฟาดพุ่มไม้ใบหญ้าไปด้วย หากมีงูอยู่ในบริเวณนั้น มันจะได้ตกใจและเลื้อยหนีไป

    - หากเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ควรสังเกตด้วยว่ามีงูอยู่ตามกิ่งไม้หรือไม่

    - หลีกเลี่ยงการเดินทางในป่าหรือทุ่งนาเวลากลางคืน หากจำเป็นต้องเตรียมไฟฉายไปด้วย

    - หากจำเป็นต้องพักแรมในป่า อย่านอนบนพื้นโล่งๆ

    - งูมักจะออกล่าเหยื่อ เช่น อึ่งอ่าง กบ เขียด และบรรดาสัตว์เหล่านี้ก็ชอบหากินในคืนที่ฝนตก ดังนั้น ในคืนฝนตก ให้ระวังงูไว้ด้วย

    - เมื่อน้ำท่วม งูมักจะหาที่หลบน้ำ ดังนั้น หากอาศัยอยู่ในบ้านสวน ต้องระวังงูให้ดี

    - งูมักจะนอนขดอยู่ในถ้ำ ตามพงหญ้า โพรงไม้ ซอกหิน ท่อนไม้ผุๆ หรือที่รก ควรระวังบริเวณเหล่านี้เป็นพิเศษ

    งูจะกัดก็ต่อเมื่อคิดว่ากำลังจะถูกทำร้าย มันจึงป้องกันตัวเองด้วยการโจมตีศัตรูก่อนด้วยการฉกกัด หากวันใดต้องประจันหน้ากับงูอย่างไม่มีทางเลี่ยง ให้ตั้งสติให้ดี ทำตัวนิ่งๆ เข้าไว้ โดยมากงูจะเลื้อยหนีไปเอง เพราะมันก็กลัวเราเหมือนกัน

    Quality of Life - Manager Online -
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จาก pm ผมครับ

    ข้อความส่วนตัว: พระสมเด็จวังหน้า <table id="post" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);"> [​IMG] วันนี้, 04:15 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> gulpy
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Mar 2011
    ข้อความ: 3
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center>พระสมเด็จวังหน้า

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> พอจะมีพระวังหน้าแบ่งบูชามั้ยคะ
    </td></tr></tbody></table>
    ให้ร่วมทำบุญ 500 บาท รับพระวังหน้า 1 องค์(ส่วนพิมพ์ผมเลือกให้เอง)ครับ


    ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ

    บมจ.ธ.กรุง ไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ

    โดยการร่วมทำบุญ จะทำบุญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานของพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ไม่ว่าจะเป็นการจัดปฎิบัติธรรมที่พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง โดยคณะในพื้นที่ เช่น นายอำเภอบ้านเขว้า , อบต.
    และงานบุญต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งทั้งหมด





    การร่วมทำบุญเืพื่อรับพระวังหน้าในกระทู้พระวังหน้าฯและกระทู้ที่sithiphong ได้ตั้งขึ้นเพื่องานบุญทุกๆงาน

    หมายเหตุ 1 ผมไม่ถ่ายรูปพระพิมพ์ลงในเว็บครับ

    หมายเหตุ พระ พิมพ์(พระเครื่อง)ที่ผมจะมอบให้เพื่อเป็นพุทธานุสติและเพื่อบูชานั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ไม่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่องไทย(วง การซื้อ-ขายพระ) ได้ หากท่านต้องการพระพิมพ์(พระเครื่องที่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่อง ของเมืองไทย (วงการซื้อ-ขายพระ) ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญและรับพระพิมพ์(พระเครื่อง)ไป

    แต่ พระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่ผมมอบให้นั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่สร้างขึ้นที่วังหน้า โดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต ระหว่างปี พ.ศ.2400- 2428 หรือ พระที่สร้างขึ้นที่วังหลวง นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) ปี พ.ศ.2429-2434

    แต่ หากจะนำไปเพื่อเป็นพุทธานุสติ และหรือการห้อยคอเพื่อคุ้มครองตนเอง และหรือการบูชาต่างๆ เพื่อเป็นการบูชาพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกุกสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ( การบูชาพระคุณพระสิวลีเถระเจ้า ,พระอนุรุธเถระเจ้า ,พระอุปคุตเถระเจ้า เนื่องจากการนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกเพิ่มเติม) ,การบูชาพระคุณองค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ ,พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ,องค์อุปราชวังหน้า รัตนโกสินทร์ทุกๆพระองค์ และทั้งช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ,วังหลวง ,วังหลัง ,ช่างราษฎร์ทุกๆท่านและเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้าและที่อยู่ในองค์พระพิมพ์(พระเครื่อง)ครับ

    ซึ่ง เรื่องที่ผมได้บอกนั้น เป็นความเชื่อ ,ความเห็นของผม รวมทั้งคณะของผม ซึ่งก็แล้วแต่ท่านผู้ร่วมทำบุญและท่านผู้อ่านทุกๆท่าน จะมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สุดแล้วแต่ครับ

    โมทนาบุญทุกประการกับทุกๆท่านครับ

    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญ...ฆ์ผาผึ้ง-อ-บ้านเขว้า-จ-ชัยภูมิ.68899/page-110

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ ทางชมรมพระวังหน้า ได้นำกระเช้าผลไม้ ไปกราบท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร เนื่องในวาระวันปีใหม่ไทย (วันสงกรานต์)

    ผู้ที่มอบกระเช้า ก็คือพี่เปี๊ยก (ประธานชมรมพระวังหน้า)

    ผู้ที่ไปจัดเตรียมกระเช้าให้ก็คือ คุณPinkcivil

    ผู้ที่ไปร่วมงาน มีคุณณฑนน(จากโคราช) , คุณมูริญโญ่ , คุณธวัช(จากน่าน) ,น้องฝน และผม

    วันนี้ ผมแจกพระเช่นเคย โดยได้มอบพระพิมพ์ 2408 (พิมพ์ฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ชุึด 8 พิมพ์) , พิมพ์สมเด็จ(แหวกม่าน) , พิมพ์พระสมเด็จ (Tott 4) แจกกันไม่อั้นครับ

    ตอนเย็นๆ นึกครึ้มอกครึ้งใจ ดีใจที่มาเจอกัน แจกเบี้ยแก้(วังหน้า) สำหรับท่านที่อยู่กันถึงตอนเย็น ตอนที่ผมแจกไป ผมได้ขอสัญญาจากท่านที่รับเบี้ยแก้ว่า ต้องพกทุกวัน ซึ่งทุกๆท่านที่ได้รับไป ได้ให้สัญญากับผมแล้ว

    ท่านที่ได้พระสมเด็จ Tott 4 หากห้อยได้ ให้นำไปห้อยกันนะครับ

    วันนี้ ผมได้นำพระพิมพ์ ...... เนื้อ....... และ เนื้อ........ ไปให้ทุกๆท่านที่ไปในวันนี้ ได้ชมองค์จริงๆกัน (ผมได้ส่งรูปให้กับท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าแล้ว) ตกลงว่า ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ อิอิ และผมได้มอบให้กับท่านเจ้าของไปบางส่วนแล้ว ยังเหลืออีก 2 ท่านไว้ผมจะมอบให้ในวาระต่อไป (ผมจะโทร.ไปหานะครับ)

    วันนี้ มีโอกาสได้เห็นเหล็กไหลวรรณะสีทอง ดูภายนอกเหมือนกับก้อนทองคำ ต้องยอมรับว่า สวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

    จะถ่ายรูปมาให้ชม ปรากฎว่า ผมทำกล้องตก ทำให้เลนส์เสียหาย ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชมครับ

    ในตอนเช้า ผมได้นำเงินที่หลายๆท่าน ได้ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป ปางจักรพรรดิ ไปมอบให้.... เรียบร้อยแล้ว

    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    วันโกหก 1 เมษา พาย้อนชมภาพการค้นพบลวงๆ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">1 เมษายน 2554 11:15 น.</td></tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline"> ตาม ธรรมเนียมฝรั่งพอถึงวันที่ 1 เม.ย. ของทุกปี จะมีการอำกันหรือโกหกกันใน “วันเมษาหน้าโง่” และเป็นอีกวันที่เราต้องใช้สติ ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารให้มากเพื่อไม่ตกเป็น “คนโง่” ที่โดนหลอกในวันนี้ ซึ่งแม้แต่วงการวิทยาศาสตร์ก็ยังหนีไม่พ้นเรื่อง “ลวงๆ”

    ต้อนรับ “วันเมษาหน้าโง่” (April’s Fool Day) ที่ใครต่อใครโกหกกันหน้าตาเฉยในวันที่ 1 เม.ย. ทางเนชันนัลจีโอกราฟิก เลยนำภาพประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ ที่เป็นเรื่องลวงๆ มานำเสนอ ไปดูกันว่าเราเคยหลงเชื่อในภาพเหล่านี้หรือไม่?

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="435"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="435"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาพโดย มัวไรซ์ แอมเบลอร์ (Maurice Ambler) /เนชันนัลจีโอกราฟิก</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> “พิลท์ดาวน์แมน” (Piltdown Man) มนุษย์ครึ่งคนครึ่งลิง

    เมื่อปี 1912 นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่า พวกเขาได้ค้นพบหลักฐานที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และลิง จากการค้นพบเศษกะโหลกคล้ายของมนุษย์และขากรรไกรคล้ายของลิงไม่มีหางในหลุม กรวดที่เมืองพิลท์ดาวน์ ประเทศอังกฤษ และต่อมาพิพิธภัณฑ์บริติซ (British Museum) ได้ประกอบกะโหลกและขากรรไกรเข้าด้วยกัน

    แต่ในปี 1953 กลายเป็นว่าสิ่งที่ค้นพบนั้น ไม่ใช่หลักฐานการเชื่อมโยงระหว่างคนกับลิง หากแต่เป็นงานของคนทำปลอมขึ้นมาได้เหมือนจริงมากเท่านั้น โดยกะโหลกเป็นของมนุษย์ในยุคกลาง ส่วนขากรรไกรเป็นของอุรังอุตัง และฟันเป็นของชิมแปนซี

    ในภาพนี้ อัลแวน ที.มาร์สตัน (Alvan T. Marston) ผู้พิสูจน์ว่ากะโหลกพิลท์ดาวน์ไม่ใช่ของจริง ได้แสดงให้เห็นว่าฟันของชิมแปนซีนั้นตรงกับกะโหลกดังกล่าวอย่างไร

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="600"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="600"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาพจากพิพิธภัณธ์ฟาร์เมอร์ส (Farmers Museum)/เอพี/เนชันนัลจีโอกราฟิก </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ยักษ์คาร์ดิฟฟ์ (Cardiff Giant)

    ยักษ์คาร์ดิฟฟ์เป็นอีกหนึ่งตำนานโกหก ซึ่งเมื่อปี 1869 ชาวไร่และคนผลิตซิการ์ได้ขุดพบร่างหินของยักษ์สูง 3 เมตร หนัก 1,360 กิโลกรัม ใกล้ๆ เมืองคาร์ดิฟฟ์ ในนิวยอร์ก สหรัฐฯ รูปปั้นร่างมนุษย์ขนาดใหญ่ที่ผู้เชี่ยวชาญปลอมๆ เรียกว่า “ยักษ์” นี้ปั้นขึ้นจากยิปซัม ซึ่งเห็นได้ชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พี่น้องที่ช่วยกันสร้างยักษ์ปลอมนี้ขึ้นมาก็เก็บค่าเข้าชม “ยักษ์คาร์ดิฟฟ์” จากนักท่องเที่ยวที่สนใจกันคนละ 50 เซนต์

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="600"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="600"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาพโดย โอ.หลุยส์ มาซซาเทนทา (O. Louis Mazzatenta)/เนชันนัลจีโอกราฟิก </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> อาร์เคโอแรพเตอร์ (Archaeoraptor)

    เป็นความจริงที่ว่าไดโนเสาร์และนกมีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกัน แต่ก็มีคนเล่นสกปรกในการหาหลักฐานปลอมเพื่อเติมการเชื่อมโยงที่หายไป โดยนิตยสารเนชันนัลจีโอกราฟิก (National Geographic) เคยตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตคล้ายนกที่ชื่อ อาร์เคโอแรพเตอร์ เลียโอนิงเอนซิส (Archaeoraptor liaoningensis) และยังได้จัดแสดงซากสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ที่สมาคมเนชันนัลจีโฮกราฟิกในวอชิงตัน สหรัฐฯ เมื่อปี 1999

    ไม่ต่างจากพิลท์ดาวน์แมน ที่สิ่งมีชีวิตดังกล่าวได้รับการพิสูจน์ว่า เป็นหลักฐานที่ดีจนไม่น่าเชื่อ ทุกวันนี้อาร์เคโอแรพเตอร์ถูกขนานว่าเป็น “ไก่พิลท์ดาวน์” (Piltdown Chicken) ซึ่งเกิดจากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์ 2 ชนิด และเนชันนัลจีโอกราฟิกได้ยืนยันความผิดพลาดดังกล่าวเมื่อเดือน เม.ย.2000

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="600"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="600"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาพจากเอพี/เนชันนัลจีโอกราฟิก </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ไอ้ตีนโต (Bigfoot)

    ในช่วงปี 1920 รอยเท้าขนาดใหญ่บนหิมะได้สร้างความตื่นกลัวให้แก่ชาวเหมืองในสหรัฐฯ แต่เมื่อปี 1982 แรนท์ มัลเลนส์ (Rant Mullens) คนตัดไม้ในภาพซ้ายได้ออกมายอมรับว่า เขามีส่วนในการทำเรื่องเล่นตลกนี้ โดยการประทับรอยเท้าลงบนหิมะบริเวณภูเขาไฟเซนต์เฮเลนส์ (Mount St. Helens) ในวอชิงตัน โดยใช้เท้าไม้ดังที่เห็นเขาถือในภาพ ส่วนภาพขวาเป็นภาพเด็กชายในปี 1975 ถือรอยเท้าหล่อปูนปลาสเตอร์ซึ่งพ่อของเขาเชื่อว่าคือรอยเท้าของไอ้ตีนโตที่ พบในเมืองปูยัลลัป วอชิงตัน

    เรื่องราวหลอกลวงมีให้เห็นทุกวงการ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ... ไม่เว้นเฉพาะวันเมษาหน้าโง่ ... ว่าแต่เราจะโดนหลอกอะไรอีกไหม?</td></tr></tbody></table>
    Science - Manager Online -
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    นิทานสอนใจ : "มนต์คาถา" จากตักกสิลา <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">3 เมษายน 2554 09:24 น.</td></tr></tbody></table>
    เมื่อพูดถึงสำนัก "ตักกสิลา" ในสมัยโบราณมักจะต้องนึกเปรียบเทียบกับแหล่งการศึกษาใหญ่ ๆ โต ๆ ในสมัยปัจจุบัน เช่นเดียวกับเมื่อพูดถึงสำนัก "บู๊ลิ้ม" หรือ "วัดเส้าหลิน" จะต้องนึกถึง "วิทยายุทธ์" หรือ "กำลังภายใน" ส่วนมนต์คาถาจากตักกสิลาที่จะเล่าสู่กันฟังในวันนี้ จะขลังขนาดไหน และทำไมจึงขลัง เป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่านจะต้องติดตามพิจารณากันเอง

    ขอเริ่มเรื่องโดยเอ่ยถึงมานพผู้หนึ่งนามว่า "จุฬกะ" เดินทางไปศึกษาหาความรู้ยังสำนัก "ตักกสิลา" หนุ่มน้อยจุฬกะทำตัวเป็นลูกศิษย์ที่น่ารักมาก เอาใจใส่การศึกษา และปรนนิบัติรับใช้อาจารย์ด้วยความขยันหมั่นเพียร อดทน และเคารพนบนอบอาจารย์ยิ่งนัก แต่เป็นที่น่าเสียดายที่จุฬกะเกิดมาเป็นผู้มีปัญญาทึบ จึงไม่สามารถเรียนรู้ศิลปวิทยาใด ๆ ได้เลย

    จนกระทั่งครบกำหนดการเดินทางกลับบ้าน พระอาจารย์เกิดซาบซึ้งใจในอัธยาศัยของศิษย์ผู้นี้ยิ่งนัก จึงคิดอนุเคราะห์ให้ได้ใช้วิชาติดตัวกลับไป พระอาจารย์ในครั้งนั้นคงจะล่วงรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับจุฬกะในอนาคต อยู่แล้ว จึงสอนให้ท่องคาถาบทหนึ่งความว่า

    "ฆเฏสิ ฆเฏสิ ถึการณา ฆเฏสิ อตํปิ ตํ ชานามิ ชานามิ"

    พระอาจารย์ย้ำให้จุฬกะท่องจำคาถานี้ให้ขึ้นใจ และกำชับให้ท่องตลอดเวลาที่เขารู้สึกตัว จุฬกะจำคำอาจารย์ได้แม่น และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

    ในวันหนึ่งพระเจ้ากรุงพาราณสีปลอมพระองค์เสด็จตามที่ต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ทราบว่า ประชาชนพึงพอใจ หรือตำหนิติเตียนในพระราชกรณียกิจที่พระองค์กำลังทำอยู่ ในครั้งนั้นพระองค์เสด็จไปใกล้บ้านของจุฬกะ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่นักตัดช่องย่องเบาคนหนึ่งกำลังจะเข้าไปขโมยของใน บ้านของจุฬกะพอดี บังเอิญให้จุฬกะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในเวลานั้น และเริ่มท่องบ่นมนต์ที่อาจารย์สั่งมา เมื่อเจ้าหัวขโมยได้ยินก็รีบเผ่นหนีไปทันที

    พระราชาทอดพระเนตรเหตุการณ์โดยตลอด เกิดสนพระทัยในมนต์บทนี้จึงให้ท่านอำมาตย์ไปตามตัวจุฬกะมา จุฬกะสอนมนต์บทนั้นแก่พระราชา ทำให้ได้รับพระราชทานเงินทองมากมาย

    แต่เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นั้น ด้วยมีเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับพระราชาในวันที่พระองค์จะปลงพระมัสสุ (โกนหนวด) นายช่างกัลบก (ช่างตัดผม หรือช่างโกนหนวด) ได้รับสินบนจากเสนาบดีให้ปลงพระชนม์พระราชาเสีย ท่านคงพอจะนึกภาพนายช่างกัลบกยืนอยู่เบื้องหลังพระราชา สะบัดมีดโกนคมกริบอยู่ไปมา ยังไม่ทันจะลงมือทำอะไรเพราะเป็นงานเสี่ยงต้องใช้กำลังใจมาก และจะต้องมั่นใจว่าจะเชือดเฉือนให้ตายคาที่ในพริบตาเดียว

    ช่วงเวลานั้นเอง พระราชาก็นึกมนต์ที่จุฬกะสอนไว้ให้ และเปล่งเสียงท่องมนต์ขึ้นมา มนต์ก็แสดงความขลังจริง ๆ นายช่างกัลบกลนลานทรุดตัวลงขอพระราชทานชีวิตจากพระราชา

    คงจะเดาถูกกระมังว่า ผู้กระทำผิดก็ต้องได้รับโทษอย่างแน่นอน ส่วนจุฬกะก็ต้องได้รับบำเหน็จเต็มที่เช่นกัน

    และเชื่อว่า หลาย ๆ ท่าน คงอยากจะรู้คำแปลของมนต์นี้กันเต็มทีแล้ว คำเฉลยก็คือ

    "เรารู้นะ เรารู้นะ ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่"

    ซึ่งแน่นอนเจ้าขโมยได้ยินก็ต้องเผ่นหนี ช่างกัลบกได้ยินก็ต้องสารภาพความผิด

    เมื่ออ่านจบแล้ว ก็จะได้ข้อคิดสั้น ๆ ที่ว่า มนต์ (ข้อความอย่างหนึ่ง) จะขลังก็ต่อเมื่ออาจารย์ที่สอนมนต์เป็นคนดีมีปัญญา ส่วนศิษย์นั้นก็เชื่อฟังครูอย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามด้วยความอุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร แต่ก็ต้องไม่ลืมกฎเกณฑ์สำคัญในการพิจารณาคำสอนที่มีมากมายว่า

    "คำสอนที่ดีนั้น เมื่อปฏิบัติไปแล้ว คนดีมีปัญญาย่อมทราบจะไม่ตำหนิ และไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อตนเอง และผู้อื่น อีกทั้งมีผลเป็นความสุขด้วย"

    ดังนั้น ขอให้ลองหาดูตัวอย่างคำสอนที่เข้ากับหลักเกณฑ์นี้ตลอดไป พร้อมนำไปปฏิบัติเพื่อความสุข และความสำเร็จในชีวิตทุกประการด้วยนะคะ

    ///////////

    ขอขอบคุณนิทานเรื่องสั้น "ธรรมะบันดาลใจ นิทานต้นแบบแห่งความดี" สำนักพิมพ์ในเครือสถาพรบุ๊คส์

    Life & Family - Manager Online -
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คดีบุคคลสาบสูญ 3,406 คดี ทำอย่างไรเมื่อคนสูญหาย ?


    สราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม


    <style>p { margin: 0px; }</style> คงไม่มีใครคาดคิดว่าโลกจะต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติต่างๆ ที่ทวีความรุนแรง เช่น ทุกวันนี้ ทั้งที่เกิดจากการใช้กำลังเพื่อยุติความขัดแย้งในบางประเทศ การทำสงคราม และ ภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว อุทกภัยหรือสึนามิ เป็นต้น อันนำมาซึ่งความเสียหายและความสูญเสีย ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตหรือบางกรณีหายไปอย่างไร้ร่องรอย

    เนื่องจากบุคคลทุกคนมีสิทธิและหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น สภาพความเป็นบุคคลจึงมีความสำคัญ กรณีเสียชีวิตนั้น ญาติพี่น้องหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตสามารถดำเนินการตามขั้นตอน ที่กฎหมายกำหนดเพื่อออกใบมรณะบัตรไว้เป็นหลักฐานการเสียชีวิต เพื่อนำไปดำเนินการกับทรัพย์สินหรือสิทธิหน้าที่ต่างๆของผู้ตายต่อไป เช่น การจัดการมรดก การประกันชีวิต เป็นต้น

    แต่ในกรณีหายไปอย่างไร้ร่อยรอย มีปัญหาตามมาว่าญาติพี่น้องหรือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้สูญหายต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป

    ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 61 กำหนดว่า “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้น ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา 5 ปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้ ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ 2 ปี

    (1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

    (2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปางถูกทำลาย หรือสูญหายไป

    (3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน(1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

    การสาบสูญ หมายถึง การสิ้นสภาพบุคคล เมื่อศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตายเมื่อ ครบกำหนดเวลา 5 ปี หรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี

    ผู้มีส่วนได้ เสีย หมายถึง ผู้ที่ได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์หากศาลสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ เช่น บิดา มารดา บุตร สามี ภริยา เป็นต้น หรือพนักงานอัยการ อาจมีคำร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลดังกล่าวนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้
    ผู้ไม่มีส่วนได้เสียไม่สามารถร้องขอให้ศาลสั่งแสดงความสาบสูญได้ เช่น ผู้ไม่มีสิทธิรับมรดกจะร้องขอให้ศาลสั่งแสดงว่าเจ้ามรดกสาบสูญไม่ได้ ถ้าไม่ได้ประโยชน์หรือไม่เสียประโยชน์จากการที่ศาลสั่งแสดงความสาบสูญ ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้สาบสูญ


    การรบหรือสงครามนั้น สงครามตามกฎหมายระหว่างประเทศต้องมีการประกาศสงคราม เช่น สงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ประเทศที่เข้าร่วมสงครามได้ประกาศสงคราม แต่สงครามที่เกิดขึ้นในเวียดนามหรือที่กำลังเป็นอยู่ในลิเบียขณะนี้นั้นไม่ มีประเทศใดประกาศสงคราม ดังนั้น ในกรณีสงครามกลางเมืองที่ไม่มีการประกาศสงครามและฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ ปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าร่วมสงคราม ซึ่งถ้าพิจารณาตามกฎหมายระหว่างประเทศอาจจะไม่เป็นสงคราม แต่เมื่อพิจารณาตามเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้ว บริเวณที่มีการรบถือได้ว่าเป็นสงครามตามนัยของมาตรา 61 แล้ว


    กรณียานพาหนะที่บุคคลเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป หมายความรวมถึงอากาศยาน เรือ และพาหนะอื่นซึ่งรวมถึงรถยนต์ด้วย เช่น ในกรณีเรืออับปางศาลจังหวัดสตูลได้มีคำสั่งให้ นาย ก. เป็นคนสาบสูญ เนื่องจากศาลได้ไต่สวนพยานหลักฐานผู้ร้องแล้ว ได้ความว่า นาย ก. ประสบเหตุเรืออับปางกลางทะเล และไม่มีใครรู้แน่ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ มาเป็นเวลา 2 ปีเศษ


    ภยันตรายแก่ชีวิตประการอื่น หมายถึง กรณีทั่วๆไป นอกจากการรบหรือสงคราม นอกจากยานพาหนะอับปาง เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ ภูเขาไฟระเบิด ไฟไหม้โรงงาน อุทกภัย อัคคีภัย โรคระบาดต่างๆ เป็นต้น


    ผลของคำสั่งว่าบุคคลใดเป็นคนสาบสูญนั้น กฎหมายถือว่าบุคคลนั้นได้ ถึงแก่ความตาย ดังนั้น ทรัพย์สินของผู้สาบสูญก็จะกลายเป็นมรดก สิทธิหรือฐานะทั้งหลายอันเป็นการเฉพาะตัวของผู้สาบสูญก็สิ้นสุดลง และหากผู้สาบสูญได้ทำประกันชีวิตไว้ ผู้รับประโยชน์จากสัญญาประกันชีวิตก็สามารถเรียกเงินจากสัญญาประกันชีวิตได้

    แต่การสาบสูญไม่ได้ทำให้ความเป็นสามีภริยาสิ้นสุดลงเพราะกฎหมาย กำหนดไว้ชัดเจนว่า การถึงแก่ความตายที่ทำให้การสมรสสิ้นสุดลง ต้องเป็นการถึงแก่ความตายโดยธรรมชาติเท่านั้น ดังนั้น คู่สมรสของผู้สาบสูญต้องฟ้องหย่าเพื่อให้การสมรสสิ้นสุดลง โดยนำคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญนี้ไปเป็นหลักฐานในการฟ้องหย่า

    สำหรับ สถิติคดีที่ยื่นต่อศาลให้มีคำสั่งให้เป็นบุคคลสาบสูญทั่วประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 – 2553 มีทั้งหมด 3,406 คดี เฉพาะจากเหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2547 นั้นมีผู้สูญหายมากกว่า 2,000 คน

    แม้กฎหมายจะสันนิษฐานเด็ดขาดว่า ผู้สาบสูญถึงแก่ความตาย แต่หากต่อมาปรากฏว่าบุคคลที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ ผู้มีส่วนได้เสีย พนักงานอัยการหรือ ผู้ที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญสามารถร้องขอให้ศาลสั่งถอนคำสั่งให้เป็นคน สาบสูญได้ แต่การถอนคำสั่งนี้ไม่กระทบกระเทือนต่อความสมบรูณ์แห่งการทั้งหลายที่ได้ทำ ไปโดยสุจริตในระหว่างที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญจนถึงเวลาที่ถอนคำสั่ง นั้น คำสั่งให้เป็นสาบสูญหรือคำสั่งถอนคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ประกาศในราชกิจจา นุเบกษา

    ดังนั้น เมื่อบุคคลใดหายไปโดยไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่เป็นเวลา 5 ปีหรือ 2 ปีแล้วแต่กรณี ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพนักงานอัยการ สามารถร้องขอต่อศาลให้ศาลมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญหรือฟ้องหย่าได้


    ที่มา มติชน


    คดีบุคคลสาบสูญ 3,406 คดี ทำอย่างไรเมื่อคนสูญหาย ? : มติชนออนไลน์





    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันจันทร์ แจ่มใส ครับ

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...