พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เกือบลืม

    ผมจะบอกว่า ในครั้งต่อๆไป ที่จะรับสมาชิกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า , สมาชิกคณะพระวังหน้า และ สมาชิกกองทุนหาพระถวายวัด จะต้องพิจารณาให้มากขึ้นกว่านี้ ต้องดูความตั้งใจ ดูเจตนาให้นานกว่านี้อีกมาก

    ประสบการณ์ในครั้งก่อนๆ ก็สอนผมมาแล้ว ยังไม่จำ

    ต้องขอโทษสำหรับเพื่อนที่เคยต่อว่าผมกับเพื่อนอีกท่านนึงว่า ทำไมผมรับคนเข้ามาง่ายจัง

    ขอบคุณในคำแนะนำต่างๆสำหรับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆครับ

    .
     
  2. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขอเชิญร่วมบริจาคช่วยเหลือผู้ทีเดือดร้อน...จากน้ำท่วมในจังหวัดโคราชเเละจังหวัดอื่นๆที่ช่อง3 ถนนพระราม4อาคารมาลีนนท์ ด่วนๆๆๆๆๆๆ(ช่วยกันน่ะคุณโยม)
     
  3. Natachai

    Natachai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +937
    ......................................................................
    บอกแล้วเรื่องน่าจะจบ เมื่ออยากต่อผมก็มาเล่นต่ออีกรอบ...คนพาลโคตรชั่ว...มือถือสากปากถือศลี...มีเวลาได้พิจารณามูลเหตุเรื่องราวต่างๆตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ ทำให้ผมสามารถเขียนสาเหตุของคนพาลได้หลายๆกรณีเพิ่ม
    ......................................................................
    แต่ผมเองเห็น(ผิด)ในตอนนั้นว่าNatachai น่าจะเข้ามาช่วยกันในเรื่องของการเก็บพระวังหน้า และพระวังหลวง (บางรุ่น)จึงได้แจ้ง Natachai ว่า จะเก็บพระกริ่งปวเรศ เนื้อทองคำ หรือไม่ทางNatachai แจ้งผมมาว่าขอ 1 องค์ซึ่งได้มาหาผมที่ทำงานเพื่อรับพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำและจ่ายเงินให้ผม 70,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ผมต้องนำไปจ่ายให้เจ้าของเดิมอีกต่อหนึ่ง:p:p
    ...ข้อความด้านบนของคุณหนุ่มหรือ คุณ sithiphong หรือ นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์ นิสัยใจคอเป็นคนเช่นไรนั้นเมื่อเริ่มแรกผมบอกได้ว่ามองผิดจริงๆ เช่นประโยคด้านบนที่คุณหนุ่มอ้างถึงผม "น่าจะเข้ามาช่วยกันในเรื่องของการเก็บพระวังหน้า และพระวังหลวง (บางรุ่น) ได้"เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น

    ...จริงเท็จประการใดให้อ่านไปเลื่อยๆจะพบมูลเหตุ 5 ข้อที่ผมได้เขียนไว้
    จะพบข้อเท็จจริงว่า...นี่คือการสร้างภาพให้ตนเองของคุณ sithiphong

    ...พระบางรุ่นที่ผมสนใจผมจะสอบถามคุณหนุ่มก่อนอันดับแรกว่ามีเยอะไหม? เพราะอะไร? คุณหนุ่มโม้กับผมว่าตนเองรับพระฯไว้เยอะมีหลายหมื่นองค์เก็บไว้ี่ที่บ้านของใหม่ก็ไม่สามารถจะเก็บได้อีกเพราะได้ลงทุนไปมากคุยโม้เปรียบเทียบเป็นรถยนต์และหลักตัวเลขให้ฟังเพื่อให้เห็นภาพนักบุญที่น่าสงสาร?

    ...ในใจผมคิดพระฯผมก็มีเยอะอีกทั้งผมก็ไม่ใช้นักสะสมพระเครื่องฯ ที่มีชอบก็เก็บมา บังเอิญน้องชายมีพระแปลกๆอยู่องค์หนึ่งจึงทำการศึกษามานิดหน่อยรับทราบข้อมูลพระวังหน้าฯน่าสนใจ จึงเก็บไว้อย่างละองค์สององค์ บางรุ่นอาจจะเก็บมาหลายองค์ก็เอาไปแจกคนรุ่นจักที่ชอบ

    ...นี้จึงเป็นมูลเหตุที่ผมเอ๋ยสอบถามคุณหนุ่มเรื่องขอรับพระฯจากคุณหนุ่ม แต่ผมไม่ต้องการมาก ต้องการแจกคนที่รู้จักและนับถือในเฉพาะองค์ที่ผมสนใจเท่านั้น

    ...ถ้าองค์ไหนผมสนใจผมก็จะสอบถาม(รวมทั้งหมดไม่เกิน 10 องค์ที่เคยสอบถาม)

    ...เรื่องพระสมเด็จผงยามณีคุณหนุ่มคุยโม้มากมาย...ผมก็ฟังๆไป..สรุปผมได้คุยขอแบ่งพระสมเด็จผงยาฯ 10 องค์ราคาเท่าไรคุณหนุ่มเห็นว่าควรเหมาะสมว่ามาได้.ผมไม่เคยขอมาฟรีๆแบบไม่จ่ายตังหรือลงทุน...จำได้ม๊ยรับปากผมแล้วทำลืม...สิ่งไหนที่ผมสนใจถ้าผมสอบถาม 2-3 ครั้งไม่ได้...ผมจะไม่ให้ความสนใจและจะไม่สอบถามอีก

    ...ผมได้สอบถามคุณหนุ่มว่ามีพระรุ่นไหนที่ทันสมเด็จฯโตท่านและราคาไม่แพง ผมมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บเตรียมเอาไว้แจกงานศพตนเองเมื่อถึงวาระสุดท้าย คุณหนุ่มแนะนำสมเด็จพิมพ์แป้งกระแจราคาไม่แพงและมีหลายพันองค์...ตัวเลขที่บอกผมมาแต่ละครั้งก็ไม่แน่นอนเช่น 3,000-8,000 องค์ ผมสอบถามเก็บมาองค์ละราคาเท่าใด? คุณหนุ่มบอกว่า 3 บาท ผมจึงขอแบ่งปันจากคุณหนุ่ม 600 องค์ได้ไหม? ตอบผมว่าได้ แล้วจะค้นหานับให้ ผมเคยสอบถามไปสองครั้งได้รับคำตอบว่าจะแบ่งให้ผมรับต่อองค์ละ 3 บาทแจ้งราคาเดิมเหมือนกัน 2 ครั้ง ราคานี้ละมังที่ทำให้คุณหนุมเปลี่ยนใจในภายหลังบอกว่า...ไม่ว่าง...ไม่มีเวลานับ...แล้วทำเป็นแกล้งลืม

    ...ป้ายหยก ยันต์แปดทิศ คุยโม้มากมายให้ผมฟัง จนผมเชื่อลมปาก ผมจึงคุยขอแบ่งให้สักชิ้นได้ไหม? ตอบผมว่าได้ ผลสุดท้ายโกหกคำโต

    ...พระพิมพ์ประทานพรหรือพระพิมพ์เป็นที่รักของ 3 โลก คุยโม้ให้ผมฟังมากมายจนผมสนใจ สอบถามว่าแบ่งให้ผมรับต่อสักองค์สององค์ได้ไหม? คุยโม้ให้ผมฟังอีก ผมจึงเปลี่ยนใจขอเป็น 9 องค์ เนื่องจากผมเห็นคุณหนุ่มทำเป็นสร้อยคอใส่เต็มทั้งเส้น คุณหนุ่มยังโม้ไม่จบ...โม้ต่อว่ามีหลายสีถ้าเป็นสีแบบที่เห็นมีน้อย ผมได้สอบถามไปว่ารับมาองค์ละเท่าไร? ถ้าผมจำไม่ผิด 30 หรือ 50 บาทผมบอกจัดมาให้หลายๆสีก็ได้ราคาเท่าไรก็ว่าไป ผลสุดท้ายรับปากจะจัดให้เมื่อเวลาผ่านไปเหมือนเดิมโกหกคำโต

    เรื่องทั้งหมดของ คุณหนุ่มหรือ คุณ sithiphong หรือ นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์ ที่คุณหนุ่มเขียนขึ้นเป็นตุเป็นตะใครจะเชื่อก็เชื่อไป แต่อย่าลืมสิ่้งที่ผมเขียน ถ้าไม่มีมูลเหตุผมจะสร้างเรื่องเขียนทำไปมีประโยชน์อะไร? โกหกเพื่อความสะใจ? ใครจะคิดก็คิดกันได้ ผมสรุปได้เพียงสั้นๆ ใครทำใครรู้ แต่เทวดาท่านรับทราบเช่นกัน...คนจริงคำไหนคำนั้น...---คนไม่จริง มักหาข้ออ้างไปวันๆ---(เอาแค่คำพูดเบาๆ)
    ......................................................................
    ผมก็โทร.กลับไปหา Natachai ว่า พระกริ่งปวเรศ เนื้อทองคำเป็นอย่างไร Natachai บอกผมว่า ลองอธิษฐานตัดสายรุ้งดู ปรากฏว่า อีกประมาณ 5 นาทีสายรุ้งขาด :p:p
    ...เรื่องนี้ผมได้สอบถาม คุณปู่ประถมในวันล้างพระ คุณปู่บอกว่าใช้พลังจิตตัดก็สามารถตัดขาดได้

    .....................................................................
    หลังจากนั้น ผมก็ได้โทร.กลับไปหา Natachai อีก โดยแซวว่า หากไม่อยากได้ ผมขอบูชาคืน ด้วยเงินจำนวน 70,000 บาท แต่ Natachai บอกว่า พระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำ (เก๊) ที่ผมนำไปคืน สามารถปล่อยได้ 80,000 100,000 บาท เขาต้องการเงินส่วนต่างไปทำบุญ:p:p
    ...ผมได้เชื่อลมปากคนที่โทรมาจึงได้รับไว้ ภายหลังโทรมาคุยผมจึงบอกไปว่าคนไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินๆทองๆจะปล่อยไปทำอะไร...และในการคุยครั้งนี้ไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องส่วนต่างของราคาพระกริ่ง...มั่วสุดๆ
    .......................................................................
    ผมได้พยายามคุยว่า ขอคืนในราคาต้นทุน เพราะว่า คนกันเองแท้ๆ ส่วนเงินที่จะทำบุญก็ให้เป็นเงิน Natachai แต่ทาง Natachai ก็ไม่ยินยอม โดยบอกว่า เขาสามารถที่จะนำไปปล่อยให้กับกลุ่มของเขาได้:p:p
    ...เรื่องนี้เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือของคุณหนุ่ม เขียนสร้างเป็นเรื่องราวได้ดีเชียว...เรื่องจริงเป็นดังนี้...ผมได้สอบถามคุณหนุ่มไปว่าทำไมพระกริ่งทองคำความคมชัดน้อยกว่าพระกริ่งเนื้อเงินฯ...แต่ผมไม่ได้รับคำตอบ...

    ภายหลังผมพบว่าพระกริ่งปวเรศทองคำองค์นี้มีรูปร่างผิดขนาด...จึงได้ให้ครูบาอาจารย์ช่วยตรวจสอบให้...

    ทำไมพระกริงปวเรศเนื้อเงินที่ผมได้รับมาจากคุณหนุ่มผมไม่เคยบอกว่าเก๊...เพราะว่าพระฯท่านสงเคราะห์ตรวจสอบว่าแท้ ถึงยุคถึงสมัย...แต่พระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำองค์ที่รับมาจากคุณหนุ่มได้รับคำตอบว่าเก๊ ไม่ทันและไม่ถึงยุค...นี้จึงเป็นสาเหตุที่ผมไม่อยากมีพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำเก๊ไว้ในครอบครอง...เมื่อเจ้าของเดิมคือคุณหนุ่ม...ผมก็ต้องโทรกลับไปหาคุณหนุ่ม...ผมแจ้งไปว่าต้องการปล่อยเพื่อนำเงินส่วนต่างทำบุญในกระทู้คุณหนุ่มให้ช่วยประกาศให้หน่อย...แต่คุณหนุ่มบอกว่าจะลงในกระทู้อีกเว็บหนึ่ง แต่ผ่านไปนานนับเกือบเดือนก็ไม่ได้นำไปลง อ้างว่าขอสอบถามพรรคพวกก่อน อ้างว่าคนโน้มไม่มีเงิน คนนี้ไม่มีตัง "ผมมองว่าเป็นการหาแพะตัวใหม่แต่ยังไม่มีใครหลงเข้ามาหา"

    เพราะผมไม่เชื่อว่าแท้...ในเมื่อคุณหนุ่มอ้างว่าแท้ผมก็ปล่อยคืนกลับไปที่เดิม...คุณหนุ่มเคยคุยโม้เรื่องราคาพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำกับผมไว้เป็น 100,000บาท ผมจึงขอให้ปล่อยให้ผมมากกว่า 100,000 บาทผมเพียงต้องการเอาทุนคืน 70,000 บาทเท่านั้น...เงินส่วนต่าง 30,000 บาทผมไม่สนใจ...เรื่องนำเงิน 30,000 บาททำบูญจะได้บุญมากบุญน้อยผมก็ไม่เคยคิด เพราะทำบุญก็คือทำบุญ เงินส่วนต่าง 30,000 บาทนี้ผมไม่รับมาเป็นใช้ได้ นั้นก็คือผมไม่ได้หลอกลวงใคร...

    เมื่อคุณหนุ่มว่าแท้ก็แท้ไป...ผมไม่เคยดูถูกหรือต่อว่าคุณหนุ่มเรื่องพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำองค์นี้ที่รับมาจากคุณหนุ่มเป็นพระเก๊เรียนแบบไม่ถึงยุคอีกทั้งคนที่คุณหนุ่มอ้างว่าตรวจสอบให้ผมก็ไม่เคยพูดว่าไม่น่าเชื่อถือ...เพราะผมมองว่าความเชื่อห้ามกันไม่ได้...หรืออาจจะมาโกหกผมนำพระกริ่งเก๊รู้อยู่ในใจมาหลอกก็ยังได้? แบบนี้อยู่ที่คนคิด? ห้ามกันไม่ได้ แต่ผมก็ไม่เคยกล่าวใดๆต่อคุณหนุ่มว่าเก๊หรือมาหลอกลวงผมแต่ประการใด.

    คุณหนุ่มอ้างคนที่รับพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำล่าสุดอยู่ที่ภูเก็ต...ผมว่าไม่ยากนะจังหวัดนี้มีพระฯเก่งๆหลายองค์...องค์ที่คุณหนุ่มชอบพูดถึงประจำก็ได้...ผมชี้แนะให้ผู้ที่ครอบครองนำพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำองค์ดังกล่าวขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ให้...คุณก็จะได้สบายใจ...เพราะความเชื่อห้ามกันไม่ได้...ถ้าตรวจแล้วผลออกมาเป็นเช่นไรนั้น คือความเชื่อของคุณ...
    .......................................................................
    ผมได้โทร.ไปสอบถามในเรื่องดังกล่าว คุยกันได้ข้อสรุปก็คือ Natachai จะเดินทางไปลำปาง กลับมาแล้วจะลบรูปให้ :p:p
    :p:p
    .....ไม่ผิดครั้งแรกโทรมาหาผมในวันศุกร์...วันดังกล่าวบังเอิญน้องสาวผมมาหาจึงไปทำเรื่องที่กรมที่ดิน...เมื่อกลับมาผมได้ติดตั้งโปรแกรมบัญชีให้กับคอมฯของน้องสาวพร้อมทั้งสอนวิธีการสร้างระบบบัญชี...

    คุณหนุ่มได้โทรมาผมจึงบอกไปว่าไม่ว่างและวันรุ่งขึ้นผมจะไปลำปางให้เป็นครั้งหน้าหลังจากที่ผมกลับมากรุงเทพ(บอกให้รู้ไว้ตรงนี้เลยว่า จะรีบไปไหนครั้งหน้าของผมเดือนพฤศจิกายนไม่กลางเดือนก็สิ้นเดือน)...และผ่านไป 8 วันคุณหนุ่มได้โทรมาหาผมอีกครั้งหนึ่งซึ่งขณะนั้นผมได้ขับรถยนต์อยู่ที่จังหวัดลำปาง...พูดในเชิงดุดันว่าทำไมผมไม่ไปรับพระเพื่อทำการตรวจสอบ ...และยังไม่ได้ลบรูปที่บล๊อกของผมที่ต้องการให้ผมลบออก...ผมไม่เคยบอกเลยว่าผมจะลบรูปตามที่คุณหนุ่มต้องการให้ลบทั้งหมด...ผมกล่าวแต่เพียงจะจัดการให้...

    รูปในบล๊อกของผมก็ไม่ได้เอารูปของคุณหนุ่ม...รูปที่ผมได้มาที่คุณหนุ่มกล่าวอ้างสองรูปที่เป็นพระกริ่งด้านหลังมีรูปลายดอกเป็นของเพื่อนสมาชิกส่งมาให้้ผมดู...คุณหนุ่มอ้างว่ารูปองค์ซ้ายมือเป็นองค์ที่อยู่บนคอคุณหนุ่มจะจริงหรือเท็จผมก็ไม่สนใจ...ผมย้อนคิดกลับไป...คนอย่านี้น่าคบหรือไม่?...เมื่อไม่ใช่รูปของผมต้องการให้ลบผมก็ลบเปลี่ยนรูปใหม่จะไปยากอะไร...แต่รูปพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำเป็นรูปของผม...ผมจะลบหรือไม่ลบเป็นเรื่องของผม...ข้อเสนอของคุณหนุ่มให้ผมลบรูปออกเหลือแต่ข้อความ...ตลกไปหรือป่าว...อย่างนี้เป็นการยอมรับว่าเป็นพระกริ่งปวเรศทองคำเก๊ แต่ขอไม่ให้โพสรูป ฮา

    เมื่อคืนนี้โทรมาพูดจาดุดันแถมข่มขู่ว่าร้ายถึงครูบาอาจารย์ผมทางโทรศัพท์คิดว่าผมกลัวคำขู่คุณหรือ?...เชิญเล่นบทของคุณตามสบาย...ความเชื่อของผมรูปก็รูปของผม...มายุ่งอะไรกับความเื่ชื่อของผม...ผมเคยม๊ยพูดถึงไหมว่าครูบาอาจารย์ของคุณหนุ่มไม่น่าเชื่อถือ...ผมพูดสรุปสั้นๆได้ว่า "กรณีฝ่ายหนึ่งบอกว่าแท้อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าเก๊ผมไม่ขอกล่าวปรามาสครูบาอาจารย์ของใคร...เพราะผมไม่รู้ว่าเิกิดอะไรขึ้น...แต่ผมเชื่อว่าพระกริ่งปวเรศ เนื้อทองคำ องค์นี้ เก๊...

    เพราะอะไร
    ครั้งที่ 1
    .คุณหนุ่มรับปากผมครั้งแรกเรื่องพระสมเด็จผงยาจินดามณี ผิดคำพูดกับผม ๆ ก็มองคุณหนุ่มแปลกๆแล้วในครั้งแรก เรื่องพระสมเด็จผงยาฯ ผมได้พูดถึง 2-3 ครั้ง...ผมเลยสรุปคิดไปเองว่าคงเปลี่ยนใจและหวง...

    ครั้งที่ 2
    อยากได้หยก ที่เป็นยันต์แปดทิศ---ที่ผมแจ้งคุณหน่มเพื่อต้องการไว้หน้าบ้านเพราะมีเหลี่ยมตึกหันมาที่หน้าบ้านของผม (คนเราถ้าปราถนาดีต่อกันแค่ฟังก็เข้าใจ) แล้วเป็นไงวันนี้ทำไมถึงทำเป็นจำได้ ภายหลังผมได้ไปหามาเองจากตลาด และ พระสมเด็จ พิมพ์แป้งกระแจะ 600 องค์ รับปากผมแล้วอ้างไม่ว่าง ผมทวงไป 2-3 ครั้ง...ผมก็เลิกสนใจ...ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ผมเห็นธาตุแท้ของคุณหนุ่มมากยิ่งขึ้น...เพราะผมได้บอกเหตุผลแล้วว่าผมจะเอาไปทำอะไร...ตั้งแต่เรื่องล้างฯ..หากล่องที่ได้คุยกับคุณหนุ่มว่าจะมีหรือป่าว?...ผมตั้งใจไว้ว่าขึ้นลำปางรอบนี้ผมจะใส่กล่องทั้งหมดนำไปเก็บไว้ที่ลำปางเพื่อรอเวลาทำตามวัตถุประสงค์ ผลสรุปโกหกคำโต
    ครั้งที่ 3
    ถวายพระฯให้ที่ัวัดบางบำรุห์ ครั้งแรกบอกว่าเช็คเรียบร้อย ผ่านไปเกือบเดือนบอกว่าไม่มั่นใจมีปลอมปนสาเหตุเพราะไม่ได้ตรวจเช็คให้เรียบร้อยก่อนมอบ ให้ผมติดต่อทางวัดฯเพื่อขอเปลี่ยน...แบบนี้โกหกหน้าด้านๆ...จำได้ม๊ยมอบพระครั้งแรกบอกกับพระท่านว่ายังไง แล้วไปขอเปลี่ยนพระที่มอบกับพระท่านแล้วพูดประโยคเดิมๆอีก...ผมฟังแล้วยังละอายแทนเลย

    ยังไม่รวมเมื่อครั้งสอบถามพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำว่าทำไมความคมชัดองค์นี้น้อยและภายหลังผมตรวจพบขนาดเล็กกว่าเนื้อเงินฯ พอคุยเรื่องสนิมทองปลอม...บอกผมว่าพระสมเด็จออกมาใหม่ๆคนต้องการขายของทำให้เก่าเพื่อเพิ่มความน่าถือและมาโยงว่าพระกริ่งปวเรศได้ผ่านการตบแต่งเพื่อทำให้เก่า---ฮาไหม---

    ครั้งที่ 5 ในวันที่ไปจ่ายเงิน 70,000 บาทรับพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำเก๊กับคุณหนุ่ม คุณหนุ่มได้ให้ผมดูพระพิมพ์อันเป็นที่รักของสามโลก ผมเห็นที่คุณหนุ่มใส่ผมคุยอยากได้คุณหนุ่มบอกว่ามีหลายสี แล้วหลังจากนั้นยังจำได้ไหมว่ารับปากอะไรผมไว้...ผมเคยสอบถามทำเป็นอ้างไม่ว่าง...แต่ในวันเปลี่ยนพระฯที่มอบให้วัดบางบำรุห์มีปัญญาเอาพระรุ่นนี้ไปมอบให้ได้...การทำตัวแบบนี้ของคุณหนุ่มที่รับปากผมไว้แล้วทำเป็นแกล้งลืมอย่างนี้หรือจะให้ผมมองคุณในด้านบวก...

    จากมูลเหตุทั้งหมดที่ผมได้รับจะให้ผมเชื่อถือคุณหนุ่มได้มากน้อยเพียงใด?...ผมเชื่อในสิ่งที่ผมรับทราบทั้ง 5 ครั้ง...ที่เป็นลมปากของคุณหนุ่มไม่ใช่สิ่งที่ผมให้ความไว้วางใจเชื่อถือได้โดยตรง...ยังไงซะย่อมต้องเป็นถนนคนละด้าน
    .................................................................
    จนมาถึงเมื่อวานนี้ ผมเองยังเห็นในบล็อก Natachai ซึ่งยังไม่ได้มีการลบรูปที่ทาง Natachai รับปากผมไว้ ผมจึงนำมาลงและเกิดเหตุอย่างที่เห็นๆกัน:p:p
    :p:p
    .....โทรมาหาผมพร้อมทั้งข่มขู่จะเขียนว่าครูบาอาจารย์ผมเสียๆหายๆ...ดังที่ได้เห็นในกระทู้ของคนพาลนั้นละครับ...

    ตามสบาย...ไม่เลิกก็เล่นตามบทบาทกันต่อไป

    ...อย่างน้อยรูปพระกริ่งปวเรศเนื้อเงินฯ สองรูปผมก็ได้ลบให้ไปแล้ว(ถามว่าผมผิดคำพูดไหมว่าจะจัดการให้)

    ...แต่รูปพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำเป็นของผมๆจะลบหรือไม่ก็เป็นเรื่องของผม

    ...สิ่งที่ผมรับปากคุณหนุ่มผมก็จัดการลบรูปที่คุณหนุ่มอ้างฯว่าเป็นของคุณออกให้...ทั้งๆที่รูปเหล่านี้มีเพื่อนสมาชิกฯส่งมาให้...อ้างไปก็ไม่ว่ากัน...ผมแถมให้อีก 2 รูปจะได้รู้ว่าผมมีเยอะกว่าที่คุณกล่าวอ้าง และทั้ง 4 รูปนี้เมื่อคุณหนุ่มอ้างว่าเป็นพระกริ่งฯของคุณหนุ่มที่ใส่อยู่บนคอคุณหนุ่ม...ผมส่งคืนให้คุณหนุ่มไปเลยนะครับและเมื่อผมส่งไปแล้วอย่ามาทวงรูปทั้ง 4 กับผมอีก
    ....................................................
    แต่...คนพาลที่รับปากผมไว้นะซิทำลืม...จำไม่ได้...ไม่มีเวลา...อ้างโน้นอ้างนี่...ต่อให้จำได้ในวันนี้ผมก็ไม่สนใจที่อยากได้ของจากคุณหนุ่มต่อไป...
    ....................................................
    กรรมเวรอันใดที่คุณหนุ่ม หรือ
    คุณ sithiphong หรือ นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์ ที่ได้กระทำด้วยเจตนา รู้ หรือไม่รู้ ต่อข้าพเจ้าๆขอยกโทษให้และอโหสิกรรมให้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นชาติสืบต่อๆกับมาจนถึงปัจจุบัน
    ..........................................................
    ขอบคุณครับที่ทนอ่านอีกรอบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2010
  4. Natachai

    Natachai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +937
    ...........................................................
    เอาของเก่ามาขายอีกรอบน้ำเน่าจริงๆ เรื่องที่คุยไม่มีบุคคลที่ 3 ผมคุยว่าอย่างไร? คุณหนุ่มเข้าใจไปเองว่าอย่างไร? คุยไปก็เท่านั้นป่วยการ...จะแนะนำพวกบัวใต้น้ำก็คงไม่ไหว.
    ...คำว่า---ติดต่อได้ของคุณหนุ่มหมายถึงอะไร?
    ...คำว่า---ติดต่อได้ของผมนั้นมีลักษณะการปฏิบัติอย่างไร?
    ...คำว่า---ไม่สามารถติดต่อกับ หลวงปู่กรมพระยาปวเรศของคุณหนุ่มหมายถึงอะไร?
    ...คำว่า--ไม่สามารถติดต่อกับ หลวงปู่กรมพระยาปวเรศของผมที่ได้กล่าวถึงมีเนื้อหาใจความเดียวกันกับที่คุณหนุ่มกล่าวอ้างหรือไม่?

    การพูดไม่หมดประโยคเพื่อให้คนอื่นเห็นภาพว่าตนเองดี...จะให้พูดว่าเป็นคนอะไร...

    :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2010
  5. Natachai

    Natachai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +937
    คนอะไรช่างขี้ลืมจริงๆ บอกไปครั้งหนึ่งแล้วยังไม่ทันข้ามวัน 4 ครั้งครับ ผมไปช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจตำแหน่งแบ่งชนชั้นใดๆผมไม่สนใจ คุณจะคิดอย่างไรก็เรื่องของคุณหนุ่ม
    และผมก็ม่เคยขอเข้ากลุ่มชมรมรักษ์พระวังหน้า,
    สมาชิกคณะพระวังหน้า
    รวมทั้งการขอเข้ากลุ่มกองทุนหาพระถวายวัดผมก็ไม่เคยขอคุณหนุ่ม เมื่อวันนี้ 10 ตุลาคม 2553 ผมเห็นคุณหนุ่มส่งเมล์มาให้ผม 1 ฉบับอ้างอิงให้ผมอยู่กลุ่มกองทุนหาพระถวายวัด...ตัวผมเองเฉยๆเฉพาะ 5 ข้อที่มีทั้งรับปากกับผมและคุยความเห็นกับผม...เพียง 5 ข้อนี้เป็นมูลเหตุให้รู้ รับทราบ สื่อให้เห็นธาตุแท้ของคุณหนุ่มเพียงพอแล้ว ดังนั้นยิ่งมาคุยพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำกับผมว่าแท้ จะให้ผมเชื่อคุณหนุ่มได้จริงหรือ? จัดรูปเพิ่มให้อีกรูปเป็นรูป ฮาๆ ครับคุณหนุ่มบอกกับผมว่าทำเพื่อให้ดูเก่า...แล้วที่เห็นเป็นใยแบบนี้เรียกว่าอะไร? ใยสนิมทองคำดีไหมคุณหนุ่ม...หุหุหุ
    ......................................................
    มีเพื่อนสมาชิกกล่าวถึงความขัดแย้ง(เรื่องขนาด)แล้วนำภาพมาใ้ห้ชมดังรูป แต่ผมบอกได้เลยว่าพระกริ่งฯองค์ใหญ่กว่าเกือบ 1 เท่า มีทั้งแบบหุ้มทองคำ หุ้มเงิน และไม่ได้หุ้ม มีหน้าตาหลายพิมพ์ต่างกัน...ที่ผมเขียนในบล๊อก http://dr-natachai.blogspot.com/ ขนาดต่างกันนั้นคือการนำพระกริ่งปวเรศ พ.ศ.2434 ที่เหมือนกันทุกจุดตำนิมาถอดพิมพ์ และในบล๊อกของผมได้นำรูปพระกริ่งปวเรศแต่งพ.ศ.2434 เนื้อทองคำ(แต่ง) มาไว้เพื่ออะไร เพื่อให้เป็นข้อคิดว่า ทำไมมีพระกริ่งปวเรศ พ.ศ.2434
    เนื้อทองคำ(แต่ง)?
    dannce_

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2010
  6. Natachai

    Natachai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +937
    ก็รอไปซิ ผมไม่ใช่ลูกน้องคุณหนุ่มที่ธนาคาร(สาขาตากสิน)นะครับ...กินปูนร้อนท้องถึงทนรอไม่ไหวต้องนับคืนนับวัน :mad:
     
  7. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    วันนี้คุณพ่อกับคุณแม่ของกระผมได้โอนเงินร่วมทำบุญกฐิน วัด 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวนเงิน 1,000 บาทและได้โอนเงินเข้า บช. กลางพี่หนุ่มเรียบร้อยแล้ว
    โมทนาสาธุครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาบุญทุกประการครับ

    อย่าลืมทำตามที่บอกนะครับ
    .
     
  9. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ไม่ลืมครับพี่หนุ่มเรื่องกรวดน้ำ ขอบคุณครับ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียนท่านสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า , สมาชิกคณะพระวังหน้า และ สมาชิกคณะกองทุนหาพระถวายวัดทุกๆท่าน

    วันพรุ่งนี้ ว่าจะไปหาซื้อแผ่นทองเหลือง เพื่อนำมาเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับพระวังหน้า ที่(ใส่กล่องสเตนเลส) ถวายวัด เพื่อที่จะบรรจุกรุ ไว้ให้คนรุ่นหลังที่มีวาสนา , บารมี และ มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาจริงๆ ได้ไว้ในครอบครอง

    รายละเอียดผมจะแจ้งให้ทราบทาง Email ครับ

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สิ่งดีๆ จะมาหาเอง บุญจัดสรรครับ

    เว้นเรื่องกรรมไว้นะครับ

    แม้แต่พระพุทธองค์ยังทรงหนีกรรมไม่ได้ หรือ องค์พระโมคคัลลานะ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เป็นเอทัตตะทางฤทธิ์ ยังหนีกรรมไม่ได้

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปรามาสภิกษุ กรรมที่ต้องระมัดระวัง อุทธาหรณ์จากพระไตรปิฎก

    นำเรื่องกรรมปรามาสภิกษุมาเล่าสู่กันฟังครับ เป็นอุทาหรณ์ให้ระมัดระวังกัน ในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชนเราต้องช่วยกันจรรโลงรักษาพุทธศาสนาก็จริง แต่ความจริงแท้เป็นอย่างไรยังไม่ปรากฏ จึงต้องสำรวมและระมัดระวังกันให้มากครับ


    กรรมของอัมปาลี เกิดเป็นโสเภณี
    บุรกรรมของอัมพปาลีเกิดขึ้นในอดีตชาติเมื่อครั้ง ๓๑ กัปก่อน ครั้งนั้นเป็นพุทธกาลของพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระสิขีทศพล นางอัมพปาลีเกิดเป็นธิดาตระกูลพราหมณ์ในนครอมรปุระ วันหนึ่งนางได้ด่าภิกษุณีรูปหนึ่งว่าเป็นหญิงแพศยา ด้วยเหตุที่ภิกษุณีรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ กรรมนี้จึงเป็นกรรมหนักมาก เมื่อทำกาละแล้วนางอัมพปาลีจึงต้องไปรับกรรมหมกไหม้อยู่ในนรกนานแสนนาน
    เมื่อพ้นกรรมหนักจากนรกกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เศษของกรรมได้ส่งผลให้นางอัมพปาลีต้องเกิดเป็นหญิงแพศยามานับหมื่นๆ ชาติ จนถึงพุทธกาลปัจจุบันนางเกิดขึ้นโดยการอุบัติ (โอปปาติกกำเนิด) เป็นสาวสวยที่โคนต้นมะม่วงในพระราชอุทยานกรุงเวสาลี จึงได้ชื่อว่า อัมพปาลี แต่ด้วยเศษของอกุศลกรรมที่เคยด่าพระเถรีในครั้งนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ ความงามของนางจึงเป็นโทษ เพราะทำให้บรรดาเจ้าชายลิจฉวีทะเลาะแย่งชิงกันเพื่อจะได้นางไปเป็นสนม คณะผู้พิพากษาแห่งวัชชีต้องยุติข้อขัดแย้งโดยตัดสินให้อัมพปาลีเป็นหญิง แพศยา เป็นนางคณิกานคร เป็นสมบัติของทุกคน การแย่งชิงนางจึงสงบลงได้
    (ภายหลังบวชเป็นภิกษุณีและสำเร็จเป็นพระอรหันต์)


    กรรมของโสไรยบุตร จากชายกลายเป็นหญิง
    โสไรยบุตร เป็นบุตรเศรษฐีในโสไรยนครซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ใกล้กรุงสาวัตถี เขามีภริยา และมีบุตรชายแล้ว ๒ คน
    วันหนึ่ง โสไรยบุตรนั่งยานออกไปอาบน้ำนอกนครกับบริวาร ระหว่างทางเห็นพระมหากัจจายนเถระกำลังบิณฑบาตอยู่ พระเถระรูปนี้มีรูปสวย มีผิวพรรณวรรณะงดงามดังทองคำ โสไรยบุตรเห็นพระเถระแล้วเผลอใจคิดไปว่า “สวยจริงหนอ พระเถระรูปนี้น่าจะได้เป็นภริยาของเรา”
    ด้วยจิตอันเป็นอกุศลต่อพระเถระขีณาสพผู้ล่วงอาสวะแล้ว เพศชายของโสไรยบุตรจึงหายไป กลับกลายเป็นเพศหญิงมาแทนที่ โสไรยบุตรกลับกลายเป็นโสไรยธิดา เป็นกุลธิดารูปงาม ด้วยความตกใจและความอายเธอจึงลงจากยานแอบหนีไป คนรู้จักแม้มองเห็นก็จำไม่ได้ว่ากุลธิดานี้คือโสไรยบุตร
    โสไรยธิดาลงจากยานแล้วไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เธอจึงเดินตามขบวนเกวียนสินค้าขบวนหนึ่งไป เมื่อเดินจนเมื่อย เธอจึงถอดแหวนให้ และขอนั่งไปบนเกวียน
    ขบวนเกวียนนั้นเดินทางถึงตักกศิลา แคว้นคันธาระ นายเกวียนคิดว่าบุตรเศรษฐีในกรุงตักกศิลายังไม่มีภริยา กุลธิดาผู้นี้มีรูปงามสมกัน เขาจึงพาโสไรยธิดาไปพบบุตรเศรษฐีหวังได้รางวัล บุตรเศรษฐีเห็นนางแล้วหลงรัก รับนางเป็นภริยา
    โสไรยธิดาจึงได้เป็นภริยาของบุตรเศรษฐีกรุงตักกศิลา ต่อมาเธอก็ตั้งครรภ์ และมีบุตรกับสามี ๒ คน ตอนนี้เธอจึงมีบุตรแล้ว ๔ คน บุตร ๒ คนแรกมีเธอเป็นบิดาอยู่ที่โสไรยนคร ส่วนบุตรอีก ๒ คนมีเธอเป็นมารดาอยู่ร่วมกันที่ตักกศิลา
    (ต่อมาโสไรยธิดาธิดาได้ขอขมาพระเถระจึงได้กลับเพศเป็นชาย ออกบวช และสำเร็จเป็นพระอรหันต์)


    กรรมของอุคคเสน จากบุตรเศรษฐีเป็นนักแสดงกายกรรม
    ในอดีตกาลครั้งพุทธกาลของพระกัสสปทศพล ชนจำนวนมากช่วยกันสร้างเจดีย์บูชาพระบรมศาสดา ในครั้งนั้นมีสองสามีภรรยามีจิตศรัทธาขนของกินของใช้บรรทุกยานเดินทางไปร่วม งานก่อสร้างพระเจดีย์ ระหว่างทางพบพระเถระองค์หนึ่งกำลังบิณฑบาตอยู่ ภรรยาเห็นพระเถระจึงบอกสามีว่าของกินในยานเรามีจำนวนมาก นายจงนำบาตรของพระคุณเจ้ามาเพื่อถวายภิกษาเถิด
    เมื่อสามีรับบาตรมาแล้วภรรยาก็ใส่บาตรนั้นจนเต็ม ให้สามีนำกลับไปถวายพระเถระ เสร็จแล้วภรรยาได้กล่าวคำปรารถนาว่า ท่านเจ้าข้า ด้วยผลบุญที่ดิฉันและสามีได้ถวายภิกษาแก่ท่านนี้ ขอให้ดิฉันทั้งสองได้เห็นธรรมอันท่านได้เห็นแล้วด้วยเถิด พระเถระตรวจดูความปรารถนานั้นเห็นว่าจะสำเร็จสมความปรารถนาในพุทธกาลถัดไป ท่านจึงทำอาการยิ้ม
    ภรรยาเห็นพระเถระยิ้มจึงพูดกับสามีว่า ดูสินาย พระคุณเจ้าของเราท่านยิ้มเหมือนเด็กนักฟ้อนเลย สามีเห็นดีเห็นงามตามภรรยาตอบว่า จริงสิ
    แม้คำพูดนี้จะไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ แต่ก็เป็นกรรมที่ทำกับพระเถระขีณาสพ ในพุทธกาลปัจจุบันภรรยาผู้นั้นจึงเกิดมาเป็นหญิงนักฟ้อน ส่วนสามีได้เกิดมาเป็นบุตรเศรษฐีในนครราชคฤห์ชื่อว่า อุคคเสน แต่เพราะเห็นดีเห็นงามไปกับภรรยาด้วยเขาจึงมีกรรมต้องออกจากเรือนเศรษฐีไป เร่ร่อนอยู่ในคณะมหรสพกับหญิงผู้เป็นภรรยา
    (ภายหลังทั้งสองสำเร็จเป็นพระอรหันต์)


    กรรมของพระจูฬปันถก ภิกษุปัญญาทึบ
    จูฬปันถกเป็นหลานชายราชคฤห์เศรษฐี พี่ชายชื่อมหาปันถกซึ่งออกบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วมาชวนให้ออกบวช ด้วย จูฬปันถกจึงออกบวชในสำนักของพระพี่ชาย แต่ด้วยกรรมเก่าเมื่อครั้งบวชเป็นภิกษุในพุทธกาลก่อน เคยพูดเยาะเย้ยภิกษุรูปหนึ่งว่าปัญญาทึบ แม้จะมีวาสนาบารมีจากการบวชมาแล้ว แต่กรรมเก่านั้นได้ส่งผลให้พระจูฬปันถกมีปัญญาทึบมาก พระพี่ชายให้ท่องคาถาแค่ ๔ บาท ใช้เวลาท่อง ๔ เดือนยังท่องไม่ได้ จนถูกพระพี่ชายไล่ให้สึกไปยืนร้องไห้อยู่ที่ซุ้มประตูวิหาร
    (สุดท้ายได้อุบายธรรมโดยตรงจากพระบรมศาสดา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้มีฤทธิ์มาก และมีปัญญามาก)


    กรรมของวัสสการพราหมณ์ เกิดเป็นลิง
    วัสสการพราหมณ์เป็นมหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธ เป็นคนมีปัญญามากกว่าอำมาตย์อื่นจึงเป็นที่ไว้วางพระทัยของพระเจ้าอชาตศัตรู ได้รับมอบหมายให้ไปเฝ้าทูลถามราชกิจจากพระบรมศาสดาบ่อยๆ แต่วัสสการพราหมณ์เป็นคนนอกศาสนา แม้จะไปเฝ้าพระศาสดาบ่อยครั้ง แต่ก็ไปเพราะพระบัญชาของพระเจ้าอชาตศัตรู ไม่ได้ไปเพราะนับถือพระรัตนตรัย
    วันหนึ่งวัสสการพราหมณ์เห็นพระมหากัจจายนะเถระลงมาจากเขาคิชฌกูฏิ ด้วยความคะนองปากจึงเอ่ยวาจาเปรียบพระกัจจายนะเถระว่าคล้ายลิง พระพุทธองค์ตรัสเตือนว่า การพูดปรามาสพระอรหันต์ขีณาสพผู้พ้นอาสวะแล้วเป็นกรรมหนัก กรรมนี้จะทำให้วัสสการพราหมณ์ต้องไปเกิดเป็นลิงอยู่ในสวนภายในวัดเวฬุวัน ต้องขอขมาโทษจากพระเถระจึงจะพ้นจากกรรมนี้ได้
    วัสสการพราหมณ์ฟังแล้วไม่ได้ทำตาม แต่ก็ครั่นคร้ามว่าคำของพระศาสดาไม่เคยคลาดเคลื่อน เขาจึงเร่งปลูกไม้ผลสารพัดชนิดภายในวัดเวฬุวัน และว่าจ้างคนมาดูแลสวนเป็นอย่างดี หวังเพียงว่าเมื่อต้องไปเกิดเป็นลิงเขาจะได้มีผลไม้กิน
    เมื่อทำกาละแล้ว วัสสการพราหมณ์ก็ได้ไปเกิดเป็นลิงอยู่ในสวนภายในเวฬุวันวิหารสมดังพุทธดำรัส เวลาใครเอ่ยชื่อเรียกวัสสการพราหมณ์ ลิงตัวนี้ก็จะเข้ามายืนใกล้ๆ ด้วยความเข้าใจ


    กรรมของปัญจปาปี ผู้หญิง ๕ บาป
    อดีตกาลครั้งสิ้นพุทธกาลจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนไปแล้ว มีหญิงยากไร้คนหนึ่งอาศัยในนครพาราณสี วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังนั่งขยำดินเหนียวเพื่อใช้ทาฝาเรือนอยู่ ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเที่ยวบิณฑบาตหาดินเหนียวเนื้อดีเพื่อจะนำไป ทาเงื้อมฝาที่อยู่อาศัยของท่านที่ชำรุด มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
    หญิงยากไร้นั้นรู้สึกโกรธ เธอทำหน้าบึ้ง มองค้อน และทำปากหมุบหมิบพูดประชดประชันพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า เช้าก็บิณฑบาตอาหาร พอสายยังมาบิณฑบาตดินเหนียวอีก พระปัจเจกพุทธเจ้าประสงค์จะโปรดหญิงยากไร้นั้น ท่านจึงยืนสงบนิ่งอยู่ ครั้นหญิงยากไร้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าสงบนิ่งอยู่ในอาการสำรวมเช่นนั้น ความรู้สึกโกรธก็หายไป กลับมีจิตเลื่อมใส เธอจึงยกดินเหนียวก้อนใหญ่ใส่ลงในบาตร
    เมื่อถึงกาลกิริยาแล้ว หญิงยากไร้นั้นได้ไปเกิดเป็นธิดาของหญิงทุคตะ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ประตูนอกเมืองพาราณสีนั้นเอง และด้วยวิบากกรรมที่เธอทำกิริยาไม่งามต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ร่างกายของเธอจึงผิดปกติ ๕ อย่าง คือ มือ เท้า ปาก ตา และจมูก เป็นหญิงอัปลักษณ์ ใครเห็นใครเมิน ใครมองก็รังเกียจ บางคนแค่เห็นหน้าก็จะอาเจียน ชาวบ้านเรียกเธอว่า ปัญจปาปี หรือหญิง ๕ บาป แต่เพราะกุศลกรรมที่ใส่บาตรด้วยดินเหนียว ผิวกายของนางจึงอ่อนนุ่มมาก ใครได้สัมผัสนางเป็นต้องหลงรักทุกคน ต่อมานางจึงได้เป็นราชินีถึงสองนคร มีสามีทีเดียวถึงสองคน

    ปรามาสภิกษุ กรรมที่ต้องระมัดระวัง - ลานธรรมเสวนา

    .

     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บุพกรรมของพระพุทธองค์

    คนธรรมะ


    http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244




    ความนำ

    พระพุทธเจ้าทรงเล่าบุพกรรมของพระองค์ ในพระชาติต่าง ๆ ๑๔ ชาติ ทรงเริ่มพระชาติแรกที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และได้ถวายท่อนผ้าเก่าผืนหนึ่งแก่พระผู้อยู่ป่าเป็นวัตร
    ผลแห่งทานนี้ได้เกิดแก่พระองค์ การที่ทรงเล่าบุพกรรมทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศลนี้ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างว่า พระองค์เมื่อยังเป็นปุถุชน ก็ได้ทำดีและทำชั่วมาแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นบทเรียนแก่พวกเรา ดังที่ตรัสไว้ตอนหนึ่งในพุทธาปทาน มีใจความว่า
    เมื่อเห็นความเกียจคร้านเป็นภัย เห็นความเพียรเป็นความปลอดภัย ก็จงปรารภความเพียรเถิด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    อนึ่ง เรื่องบุพกรรมเล่มนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงกรรมและผลของกรรมที่แต่ละคนได้ทำไว้ ในเรื่องบุญและบาป ที่มักพูดกันว่า ด้วยอำนาจบาปที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ จะกลายเป็นแรงบาปส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป
    ด้วยอำนาจบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ จะกลายเป็นแรงบุญส่งผลให้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป
    ผลกรรมที่แต่ละบุคคลได้ทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนดีที่นิยมเรียกว่าบุญ หรือส่วนชั่วที่นิยมเรียกกันว่าบาป ย่อมทำหน้าที่ในการตามให้ผลอย่างเที่ยงตรงและต่อเนื่อง โดยไม่มีอำนาจอื่นใดจะมาเบี่ยงเบนให้เป็นอย่างอื่นไปได้ ส่วนจะตามให้ผลทันตาเห็นในชาตินี้ หรือตามให้ผลในชาติต่อๆไปนั่น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    ค่านิยมในสังคมปัจจุบันนี้ มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก บุคคลส่วนใหญ่ไม่ค่อยคำนึงถึงบาปบุญคุณโทษกันเท่าไรนัก จนบางครั้งถึงกับมีการพูดว่า ถ้ามัวแต่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ ก็ไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรกันหรอก มีหวังอดตายกันหมด หรือเรื่องบาปบุญคุณโทษเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ประกอบกับคนทำความชั่วบางคนสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญ และได้รับการยกย่องนานัปการว่าเป็นผู้มีเกียรติ เป็นผู้ทำคุณงามความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพียงแค่การบริจาคเงินให้แก่องค์กรสาธารณกุศลเพียงเล็กน้อย เป็นต้นตัวอย่างที่เห็นกันอยู่นี้เองทำให้คนอีกเป็นจำนวนมากเกิดความรู้สึก สับสน หรือให้ความสำคัญเรื่องบาปบุญคุณโทษน้อยไปได้
    ความจริง เรื่องบาปบุญคุณโทษมิใช่เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เพียงแต่ว่าคนที่ทำความดีและความชั่วยังมิได้ประสบผลของมันโดยตรง จึงทำให้บุคคลอีกส่วนหนึ่งเกิดความเข้าใจสับสนไป แต่เมื่อใดที่ผลของความดีและความชั่วให้ผลโดยตรงแล้วนั่นแหละ บุคคลนั้น ๆ จึงจะยอมรับว่า บาปบุญคุณโทษนั้นมีจริง และให้ผลตามที่แต่ละบุคคลได้ทำไว้ทุกประการ ดังตัวอย่าง เรื่อง บุพกรรมของพระพุทธองค์
    ท่านพระอานนทเถระ เมื่อจะประกาศประวัติอดีตชาติของพระพุทธเจ้าว่าด้วยบุพกรรมเก่า จึงกล่าวว่า
    ณ พื้นศิลาที่น่ารื่นรมย์ ใกล้สระอโนดาตโชติช่วงด้วยรัตนะต่าง ๆ ในละแวกป่า มีดอกไม้มีกลิ่นหอมนานาชนิด พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก มีหมู่ภิกษุหมู่ใหญ่ห้อมล้อม ประทับนั่งที่ศิลาอาสน์นั้น ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์ว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงฟังบุพกรรมของเรา ดังต่อไปนี้

    ๑. เรื่อง ถวายผ้าไว้ในอดีต จึงได้รับผลบุญ

    คราวหนึ่ง ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาต ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เรา เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพราหมณ์ เห็นภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร จึงได้ถวายผ้าเก่าผืนหนึ่ง ในกาลนั้น ข้าพเจ้าปรารถนาการตรัสรู้ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ผลของการถวายผ้าเก่าให้ผลในความเป็นพระพุทธเจ้า
    เรื่องนี้ มีกล่าวอธิบายขยายความไว้ว่า หลังจากที่พระสิทธัตถโพธิสัตว์ได้เจริญในศากยสกุล มีถิ่นกำเนิดชื่อว่ากรุงกบิลพัสดุ์ พระบิดามีพระนามว่า
    สุทโธทนะ พระมารดามีพระนามว่า มายาเทวี ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี มีปราสาท ๓ หลัง มีชื่อว่า สุจันทะ โกกนุท และโกญจะ มเหสีพระนามว่ายโสธรา โอรสพระนามว่า ราหุล ทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตายและสมณะแล้วเกิดความสังเวชสลดใจ กลางคืนได้เสด็จทรงม้ากัณฐกะ พร้อมกับนายฉันนะ แล้วเสด็จถึงแม่น้ำอโนมานที รับสั่งให้นายฉันนะนำม้าและเครื่องทรงกลับ แล้วพระองค์ก็ตัดพระโมลีแล้ว ตั้งสัจจะอธิษฐานโยนไปในอากาศว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานทีแล้ว ก็ดำริอีกว่า ผ้าของชาวกาสีอย่างดีเหล่านี้ ไม่สมควรแก่ความเป็นสมณะของเรา ในทันใดนั้นเอง สหายเก่าเมื่อครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ซึ่งไปเกิดเป็นพรหมชื่อว่า ฆฏิการมหาพรหม ช่วงระยะพุทธันดรหนึ่ง ไม่ถึงความพินาศเลย (คือดำรงอยู่ในชั้นพรหมโลกตลอด) เพราะเคยเป็นเพื่อนกัน จึงคิดว่า วันนี้ สหายเก่าของเราจะบวช เราจะถือสมณบริขาร ๘ อย่างกล่าวคือ ไตรจีวร บาตร มีดน้อย เข็ม ประคดเอว และผ้ากรองน้ำไป เพื่อสหายเก่าของเรานั้นดีกว่า ครั้นแล้ว ก็นำสมณบริขารทั้ง ๘ อย่างนั้น มาถวายด้วยตนเอง พระโพธิสัตว์ก็รับแล้วครองผ้าที่เป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์อธิษฐานเพศนักบวช ผู้อุดม

    ๒. เรื่อง ห้ามผู้อื่นดื่มน้ำ ทำให้ต้องอดน้ำ

    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาต ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๒ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ชาติปางก่อน เรา เมื่อครั้งเกิดเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง ได้เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่น จึงห้ามมันไว้ไม่ให้ดื่ม ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เรากระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา
    มีเรื่องกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ก่อนที่พระผู้มีพระภาคจะปรินิพพานหลังจากเสวยพระกระยาหารที่นายจุนทกัมมาร บุตรจัดถวายแล้ว ได้เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต(ถ่ายอุจจาระเป็น เลือด) ทรงมีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส(กระหายน้ำอย่างมาก) แต่ทรงใช้สติสัมปชัญญะข่มทุกขเวทนาไว้ ตรัสชวนท่านพระอานนท์ ออกเดินทางต่อไปยังกรุงกุสินารา ระหว่างทางทรงหยุดพักและรับสั่งให้พระเถระนำน้ำดื่มมาถวาย แต่พระอานนท์กราบทูลว่า น้ำในแม่น้ำตรงนั้น มีน้ำน้อยและถูกกองเกวียน ๕๐๐ เล่มเหยียบย่ำไปก่อนหน้านั้นแล้วก็ไม่ไปตักมาถวาย จนพระองค์ต้องรับสั่งในครั้งที่ ๓ พระอานนท์จึงไปตักน้ำนำมาถวายให้พระองค์ได้ทรงดื่ม และน้ำที่พระอานนท์ไปตักนั้น กลับเป็นน้ำใสสะอาด น่าอัศจรรย์ใจมาก


    .




    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ๓. เรื่อง กล่าวตู่พระอรหันต์ ทำให้ต้องตกนรก
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาด ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๓ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติปางก่อน เราได้เคยเกิดเป็นนักเลงชื่อว่าปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ด้วยผลกรรมนั้นเราจึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับการกล่าวตู่เพราะนางสุนทรีเป็นเหตุ
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้อธิบายไว้ว่า สมัยนั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าเป็นอันมาก เป็นเหตุให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายอับเฉาสิ้นลาภสักการะไปตาม ๆ กัน ไม่ผิดอะไรกับแสงหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น วันหนึ่ง พวกเดียรถีย์ได้ปรึกษากันหาทางจะทำลายลาภสักการะของพระพุทธเจ้า เพื่อจะทำให้ตนได้ลาภสักการะ ดังที่เคยเป็น จึงขอแรงนางสุนทรีปริพาชิกาผู้มีรูปงามให้ไปทำลายพระพุทธเจ้า โดยให้ไปใส่ความว่าประพฤติร่วมประเพณีกับพระพุทธเจ้า
    นางสุนทรีทำเช่นนั้นอยู่ ๒-๓ วัน พวกเดียรถีย์ก็จ้างพวกนักเลงให้ไปฆ่านางสุนทรี แล้ว หมกไว้ที่ระหว่างกองขยะดอกไม้ใกล้พระคันธกุฎี พวกนักเลงได้ทำตามสั่งทุกประการ เอาละคราวนี้ พวกเดียรถีย์ก็แกล้งโจษจันหานางสุนทรี กราบทูลเรื่องนั้นแก่พระราชา พระราชารับสั่งให้ค้นหาจนทั่ว จึงได้ไปพบศพนางที่กองขณะดอกไม้ พวกเดียรถีย์จึงยกศพนางขึ้นเตียงแล้วหามเข้าไปยังพระนคร ทูลแด่พระราชาว่า สาวกของพระพุทธเจ้าฆ่านางสุนทรี แล้วหมกไว้ในระหว่างกองขยะดอกไม้ด้วยคิดว่า เราจักปกปิดกรรมชั่วที่พระพุทธเจ้าได้ทำไว้
    พระราชาได้ให้ป่าวร้องไปทั่วพระนคร พวกเดียรถีย์ได้เที่ยวป่าวร้องด่าพวกภิกษุในภายในและภายนอกพระนคร แม้กระทั่งในป่า ภิกษุได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงกลับโจทมนุษย์เหล่านั้นอย่างนี้ แล้วตรัสคาถาเหล่านี้ว่า คนที่ชอบพูดเท็จ หรือคนที่ทำความชั่วแล้วกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ทำ” ต่างก็ตกนรก คน ๒ จำพวกนั้น ต่างก็มีกรรมชั่ว มีกรรมเลวทราม ตายไปแล้ว มีคติเท่าเทียมกันในโลกหน้า
    พระราชาได้ส่งตำรวจไปสืบสวนเรื่องนั้น บังเอิญว่า วันนั้น พวกนักเลงผู้ฆ่านางสุนทรี กำลังเมาสุราทะเลาะกันอยู่ในร้านสุราแห่งหนึ่ง พูดพาดพิงไปถึงนางสุนทรีว่าตนเองเป็นผู้ฆ่านางสุนทรีเอง พวกตำรวจจึงจับกุมตัวไปถวายพระราชา พระราชาได้ตรัสถาม ทราบความจริงว่า เดียรถีย์จ้างให้ฆ่านางสุนทรี จึงรับสั่งให้เรียกพวกเดียรถีย์มาแล้วทรงบังคับให้ไปเที่ยวป่าวร้องบอกแก่ ชาวพระนครว่า นางสุนทรีนี้พวกข้าพเจ้าประสงค์จะสาดโคลนใส่พระพุทธเจ้าให้ฆ่านางแล้ว โทษของพระสาวกของพระพุทธเจ้าไม่มี เป็นโทษของพวกข้าพเจ้าฝ่ายเดียว พวกเดียรถีย์ได้ทำอย่างนั้นแล้ว คลายความสงสัยของมหาชนผู้โง่เขลาเสียได้ ต่อมา เดียรถีย์เหล่านั้น พร้อมด้วยพวกนักเลง ก็ถูกตัดสินประหารชีวิตฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตั้งแต่นั้นมา ลาภสักการะของพระพุทธเจ้าก็เจริญรุ่งเรืองตามเดิม
    ๔. เรื่อง กล่าวตู่พระอรหันต์ ทำให้ตกนรกถึงแสนปี
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๔ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า เราเมื่อครั้นเกิดเป็นนักเลงหัวไม้ เป็นอันธพาล เพราะการกล่าวตู่พระนันทเถระ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้รับการกล่าวตู่มาก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น นางจิญจมาณวิกาจึงมากล่าวตู่เรา ด้วยคำไม่จริงท่ามกลางหมู่ชน
    มีเรื่องกล่าวไว้ว่า สมัยนั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าเป็นอันมาก ฝ่ายพวกเดียรถีย์ลดน้อยลง ราวกับแสงหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น พวกเดียรถีย์จึงประชุมตกลงกัน ออกอุบายให้นางจิญจมาณวิกาปริพพาชิกา ผู้มีรูปงามคนหนึ่งทำลายพระพุทธเจ้า นางจิญจมาณวิกาได้ทำทีเป็นเดินเข้า-ออกในเวลาเช้าตรู่และเวลาเย็น ทำให้พวกอุบาสกผู้ไปฟังธรรมสงสัย นางบอกว่า ได้อยู่ร่วมในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดม ยิ่งทำให้คนพวกนั้นสงสัยขึ้นอีก
    ต่อมา นางได้เอาผ้าพันท้อง ทำเป็นคล้ายคนมีท้องได้ ๘-๙ เดือนจวนจะคลอด เมื่อพระพุทธเจ้ากำลังประทับนั่งแสดงธรรมอยู่บนธรรมาสน์นั่นเองได้ไปสู่ ธรรมสภา ทูลพระองค์ว่า มหาสมณะ พระองค์ดีแต่พูดเท่านั้น เสียงพระองค์ไพเราะ พระโอษฐ์ของพระองค์สนิท ส่วนหม่อมฉันอาศัยพระองค์ได้เกิดมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว พระองค์ไม่ทรงทราบที่คลอดของหม่อมฉัน ไม่ทรงทราบเครื่องบริหารครรภ์แก่หม่อมฉัน เมื่อไม่ทรงทำเอง ก็ไม่ตรัสบอกพระเจ้าโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขามหาอุบาสิกา คนใดคนหนึ่ง แล้วด่าพระพุทธเจ้าต่าง ๆ นานาในท่ามกลางบริษัท
    ฝ่ายท้าวสักกะ เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงสั่งให้เทพบุตร ๒ องค์โดยให้แปลงเป็นหนู และแปลงเป็นลม มาทำลายพิธีของนาง กัดเชือกที่ผูกท่อนไม้ไว้ และลมพัดเลิกผ้าห่มขึ้น ไม้กลมพลัดตกลงบนหลังเท้าของนาง ปลายเท้าทั้ง ๒ ข้างแตก มนุษย์ทั้งหลายก็พูดว่า นางกาฬกัณณี เจ้าด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ่มเขฬะลงบนศีรษะ ขับออกจากวิหาร นางวิ่งเตลิดเปิดเปิงไป พอล่วงคลองพระจักษุของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ก็ถูกแผ่นดินสูบตกไปเกิดในอเวจีมหานรก ลาภสักการะของพวกเดียรถีย์เสื่อมลงอีก แต่ของพระทศพลยิ่งเจริญขึ้น

    ๕. เรื่อง กล่าวว่าร้ายผู้ทรงศีล จึงทำให้ถูกใส่ร้าย
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๕ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    เราเกิดเป็นพราหมณ์ ผู้มีสุตะ มีประชาชนสักการะบูชา ได้สอนมนตร์ให้มาณพประมาณ ๕๐๐ คน ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่าเกรงกลัว ผู้ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มายังสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร โดยบอกลูกศิษย์ว่า ฤาษีผู้นี้มักบริโภคกามคุณ เพียงเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็พลอยเชื่อ ตั้งแต่นั้นมา ครั้นไปเที่ยวหาอาหารในตระกูลทั้งหลาย พากันบอกประชาชนว่า ฤาษีตนนี้มักบริโภคกามคุณ ด้วยผลกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ได้รับการกล่าวตู่ เพราะนางสุนทรี เป็นเหตุ
    มีเรื่องกล่าวไว้ว่า พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ติดตามพระพุทธเจ้าผู้เสด็จเข้าไปภายในพระนครได้ด่าบริภาษด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ว่า เจ้าเป็นโจร เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นอูฐ เป็นโค เป็นฬา เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไม่มีหวังจะได้สุคติ ทุคติเท่านั้น ที่เจ้าควรหวัง
    ท่านพระอานนท์สดับคำนั้นแล้วได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกชาวเมืองได้ด่าบริภาษพวกเรา พวกเราจะไปที่อื่นจากเมืองนี้เถิด พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า จะไปที่ไหน เมื่อถูกด่าที่นั่นอีก จะทำอย่างไร พระอานนท์กราบทูลว่า จะไปเมืองอื่นอีก เมื่อถูกด่าที่นั่นอีกก็หนีไปเรื่อย ๆ พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำอย่างนั้น ไม่สมควร เมื่ออธิกรณ์เกิดขึ้นในที่ใด ต้องสงบในที่นั้นเสียก่อน จึงสมควรไปที่อื่น แล้วตรัสถามต่อไปว่า พวกไหนเล่าด่าพวกเรา
    อานนท์กราบทูลว่า คนทั้งหมดกระทั่งทาสและกรรมกรก็พากันด่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานนท์ เราเป็นเหมือนกับช้างที่เข้าสู่สงคราม การอดทนต่อคำพูดของคนไม่มีศีล มีจำนวนมากเป็นภาระของเรา เช่นเดียวกันกับการอดทนต่อลูกศรที่แล่นมาจกทิศ เป็นภาระของช้างที่เข้าสู่สงคราม


    http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ๖. เรื่อง ทรัพย์เป็นเหตุ ทำให้พี่ฆ่าน้อง
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๖ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราได้ฆ่าน้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับโยนลงซอกภูเขาแล้วโยนหินทับไว้ ด้วยผลกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินกลิ้งลงมา สะเก็ดหินกระทบนิ้วหัวแม่เท้าของเราจนห้อเลือด
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ครั้งที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กรุงโกสัมพี พระเทวทัตถูกความมักใหญ่ครอบงำจิต ชักจูงให้อชาตศัตรูกุมารเลื่อมใสในฤทธิ์ของตน คิดจะขอพระพุทธเจ้าปกครองภิกษุสงฆ์ พระเทวทัตได้เสื่อมจากฤทธิ์ พร้อมกับความคิดนั้น ต่อมา ถูกสงฆ์ทำปกาสนียกรรม จึงไปยุยงให้อชาตศัตรูกุมารปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นชนก ส่วนตนเองได้ส่งคนไปลอบปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค แต่คนเหล่านั้นกลับเลื่อมใสในพระองค์ ได้ฟังอนุปุพพีกถาสำเร็จโสดาปัตติผลทุกคน สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่ร่มเงาภูเขาคิชฌกูฏ ทีนั้น พระเทวทัตขึ้นภูเขาคิชฌกูฏกลิ้งศิลาก้อนใหญ่ ด้วยหมายใจว่า เราจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคด้วยก้อนศิลา ยอดภูเขา ๒ ข้างมาบรรจบกันรับศิลาก้อนนั้นไว้ สะเก็ดศิลากระเด็นจากก้อนศิลานั้นไปกระทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคจนพระโลหิต ห้อขึ้น ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแหงนพระพักตร์ ได้ตรัสว่า โมฆบุรุษ เธอสั่งสมสิ่งที่มิใช่บุญไว้มากที่มีจิตคิดร้าย คิดฆ่าทำโลหิตของตถาคตให้ห้อ แล้วตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เทวทัตทำโลหิตของตถาคตให้ห้อ ได้ทำอนันตริยกรรมแล้ว
    ๗. เรื่อง เคยแกล้งพระไว้ จึงได้รับการแกล้งตอบ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๗ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เรายังเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังเดินทางมา ณ ทางนั้น จึงได้หว่านก้อนกรวดไว้ที่หนทาง ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ พระเทวทัต จึงชักชวนนักแม่นธนู ผู้เป็นนักฆ่า เพื่อฆ่าเรา
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ณ กรุงราชคฤห์ หลังจากพระเทวทัตไปถวายพระพรให้พระเจ้าอชาตศัตรูกุมารส่งราชบุรุษไปปลงพระ ชนม์พระพุทธเจ้าแล้ว ต่อมา พระเทวทัตก็สั่งบุรุษคนหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่โน้น ท่านจงไปปลงพระชนม์พระองค์แล้วกลับมาทางนี้ แล้วซุ่มบุรุษไว้ริมทาง ๒ คนด้วยสั่งว่า พวกท่านจงฆ่าคนที่เดินมาทางนี้ เพียงลำพังแล้วมาทางนี้ ซุ่มบุรุษไว้ริมทางอีก ๔, ๘, ๑๖ คน ด้วยสั่งว่า พวกท่านจงฆ่าคนพวกนี้ ที่เดินมาทางนี้ ๆ ต่อมา บุรุษคนหนึ่งนั้น ถือดาบและโล่ห์สะพายธนูเข้าหาประชิดตัวพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วก็ยืนกลัวจนตัวแข็งทื่อไม่ห่างจากพระผู้มีพระภาค
    พระองค์จึงตรัสว่า อย่ากลัวเลย พอบุรุษนั้นได้ฟังพระดำรัสเช่นนั้นแล้ว ได้วางดาบและโล่ห์ ปลดธนูวางไว้ แล้วซบศีรษะแทบพระยุคลบาทกราบทูลว่า กระผมทำความผิดเพราะความโง่เขลา ที่มีจิตคิดประทุษร้ายคิดจะปลงพระชนม์จึงเข้ามาที่นี้ ขอพระองค์โปรดประทานอภัยโทษแก่กระผม เพื่อความสำรวมต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่เป็นไร การที่บุคคลเห็นความผิดเป็นความผิดแล้ว แก้ไขให้ถูกต้อง นี้เป็นความเจริญในอริยวินัย แล้วตรัสอนุปุพพีกถาให้บุรุษนั้นฟัง จนบุรุษได้บรรลุเป็นโสดาบัน แล้วตรัสกับบุรุษนั้นว่า ท่านอย่าไปทางนั้น จงไปทางนี้ แล้วส่งเขาไปทางอื่น
    ต่อมาบุรุษอีก ๒ คนปรึกษากันว่า ทำไม บุรุษคนนั้น จึงมาชักช้านักแล้วเดินสวนทางไป ได้พบพระผู้มีพระภาค ณ ควงไม้แห่งหนึ่ง แล้วเข้าไปสนทนาด้วย พระผู้มีพระภาคได้แสดงธรรมให้ฟังจนบุรุษทั้ง๒ ได้บรรลุเป็นโสดาบัน แม้บุรุษ ๔, ๘ และ ๑๖ ก็มีนัยเดียวกันแล ต่อมา บุรุษคนแรกนั้น ได้ไปหาพระเทวทัตแล้วพูดว่า กระผมไม่สามารถปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคได้ พระองค์มีฤทธิ์มาก พอพระเทวทัตได้ฟังเช่นนั้นพูดตัดบทว่า ไม่เป็นไร ท่านอย่าได้ฆ่าเลย เราจะลงมือปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าเอง
    ๘. เรื่อง ควาญช้างไสช้างไล่พระ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๘ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างไล่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นพระมุนีสูงสุด ที่กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยผลกรรมนั้น ช้างนาฬาคีรีเชือกดุร้าย จึงวิ่งไล่เราในกรุงราชคฤห์อันประเสริฐ
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า หลังจากที่พระเทวทัตลอบปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จเลย ก็หาได้หยุดการกระทำเช่นนั้นไม่ สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์มีช้างชื่อนาฬาคีรีดุร้าย ชอบฆ่าคน ต่อมาพระเทวทัตได้ไปที่โรงช้าง แล้วอ้างเหตุผลกับนายควาญช้างว่า พวกเราเป็นพระญาติของพระราชา สามารถจะแต่งตั้งผู้อยู่ในตำแหน่งต่ำไว้ในตำแหน่งสูง และเพิ่มเงินเดือนให้ได้ ทำอย่างนี้ เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จมาทางตรอกนี้ พวกท่านจงปล่อยช้างนาฬาคีรีนี้เข้าไป
    เมื่อพระผู้พระภาคเสด็จดำเนินถึงตรอกนั้น พวกนายควาญช้างจึงได้ปล่อยนาฬาคีรีไปปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค ช้างนาฬาคีรีได้ชูงวงหูชัน หางชี้ วิ่งตรงไปที่พระผู้มีพระภาค เวลานั้นคนทั้งหลายหนีขึ้นไปบนปราสาทนั้นบ้าง เรือนโล้นบ้าง บนหลังคาบ้าง พวกที่ไม่ศรัทธาพูดว่า พระสมณโคดมจะถูกช้างฆ่า ส่วนผู้มีศรัทธาก็พูดว่า ประเดี๋ยวจะคอยดูสงครามระหว่างพระพุทธเจ้ากับช้าง ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิตไปที่ช้างนาฬาคีรี ช้างนาฬาคีรีได้สัมผัสกระแสเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาค จึงหมดพยศยืนอยู่ตรงพระพักตร์ แล้วพระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองช้างนาฬาคีรี
    ๙. เรื่อง เคยเป็นทหารรับจ้าง จึงได้รับความทรมาน
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๙ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นทหารรับจ้าง ได้ใช้หอกฆ่าคนจำนวนมาก ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงถูกไฟไหม้อย่างร้อนแรงในนรก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่ เพราะกรรมยังไม่สิ้นไป ในบัดนี้ ไฟ (ความร้อน) นั้นยังตามมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทุกแห่ง
    เรื่องนี้ มีกล่าวขยายความไว้ในชาดกว่า เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์ เกิดเป็นคนรักษาป่า มีบริวาร ๕๐๐ คน ได้รับจ้างคุ้มครองพวกพ่อค้าเกวียน ให้ข้ามดงที่มีโจรผู้ร้ายซุ่มอยู่ด้วยความกล้าหาญตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ บุตรชายพ่อค้าเห็นความกล้าหาญของโพธิสัตว์จึงถามว่า
    เมื่อความตายปรากฏอยู่ตรงหน้า เพราเห็นพวกโจรยิงลูกธนูที่แหลมคมเข้ามาด้วยความว่องไว และยังถือดาบอันคมกริบวิ่งเข้ามาอีก เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่สะดุ้งกลัว พระโพธิสัตว์บอกว่า เวลาที่เห็นโจรร้ายวิ่งเข้ามา ข้าพเจ้ากลับมีความยินดีที่จะได้ย่ำยีศัตรู เพราะก่อนที่จะมาทำหน้าที่นี้
    ได้ยอมสละชีวิตไว้แล้ว จึงไม่มีความอาลัยในชีวิต สามารถทำกิจของตนได้อย่างกล้าหาญทุกเวลา
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระเทวทัตทำพระโลหิตของพระผู้มีพระภาคให้ห้อแล้ว แล้วพระผู้มีพระภาคเสด็จไปชีวกัมพวันให้หมอชีวกรักษา หมอชีวกได้รักษาโดยปรุงยาอย่างแรงกล้าเพื่อสมานแผลแล้ว ปิดแผล แล้วกราบทูลว่า กระผมมีธุระในเมือง ขอให้ยานี้อยู่จนกว่ากระผมจะกลับมา แล้วหมอชีวกก็เข้าเมืองไป แต่กลับมาไม่ทันประตูเมืองเพราะประตูปิดก่อน แล้วก็นึกตกใจว่า ถึงเวลาที่จะเอายาออกแล้ว ถ้าไม่เอายาออกล่ะก็ พระผู้มีพระภาคก็จะเกิดความเร่าร้อนในสรีระตลอดทั้งคืนเป็นแน่ ต่อมา พระผู้มีพระภาค ได้รับสั่งให้พระอานนท์นำยาที่ปิดแผลนั้นออกในตอนค่ำนั่นเอง

    http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ๑๐. เรื่อง เด็กเล็กเห็นปลาถูกฆ่า แล้ว แต่ดีใจ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๐ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นเด็กเล็กลูกของชาวประมง อาศัยอยู่ในเกวัฏฏคาม เห็นชาวประมงฆ่าปลาแล้ว เกิดความโสมนัส ด้วยเจตนาที่เป็นอกุศลกรรมนั้น จึงทำให้ไปเสวยทุกข์ในอบายทั้ง ๔ ด้วยเศษแห่งผลบาปกรรมนั้น เราจึงปวดศีรษะ เมื่อพวกเจ้าศากยะถูกที่พระเจ้าวิฑูฑภะฆ่าตายเป็นจำนวนมาก
    ๑๑. เรื่อง ด่า แช่งผู้อื่นไว้อย่างไร ก็ได้รับผลอย่างนั้น
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๑ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    เราเมื่อครั้งเกิดเป็นคนสามัญ ได้ด่า แช่งเหล่าสาวกในศาสนาของพุทธเจ้า พระนามว่าผุสสะด้วยคำว่า ท่านทั้งหลายจงขบเคี้ยว จงฉันแต่ข้าวเหนียว อย่าได้ฉันข้าวสาลีเลย ด้วยผลกรรมนั้น เรารับนิมนต์พราหมณ์ อยู่จำพรรษา ณ เมืองเวรัญชา ได้ฉันแต่ข้าวเหนียว ตลอด ๓ เดือน
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระพุทธองค์รับคำของเวรัญชพราหมณ์ว่าจะอยู่จำพรรษาแล้ว สมัยนั้นเมืองเวรัญชาเกิดข้าวยากหมากแพง ประชาชนมีความเป็นอยู่แร้นแค้น ใช้สลากปันส่วนซื้ออาหาร ล้มตายกันกระดูกขาวเกลื่อน ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้ ต่อมา พวกพ่อค้าม้าชาวเมืองอุตตราบถ มีม้าอยู่ประมาณ ๕๐๐ ตัว เข้าพักแรมช่วงฤดูฝนในเมืองเวรัญชา พวกเขาตระเตรียมข้าวนึ่ง (ข้าวสารเหนียวที่เอาแกลบออกแล้วนึ่งเก็บไว้ จะเรียกว่าข้าวตาก ก็ได้ พวกพ่อค้านิยมนำติดตัวไป ในเวลาเดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง เพื่อเป็นอาหารม้าในถิ่นที่อาหารม้าหายาก) เพื่อถวายพระภิกษุรูปละประมาณ ๑ ทะนานไว้ที่คอกม้า รุ่งเช้า ภิกษุทั้งหลายครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรไปบิณฑบาตในเมืองเวรัญชา บิณฑบาตไม่ได้เลย จึงไปที่คอกม้า รับข้าวนึ่งรูปละประมาณ ๑ ทะนาน นำไปตำให้ละเอียดแล้วฉัน ส่วนพระอานนท์บดข้าวนึ่งประมาณ ๑ ทะนานบนหินบดแล้ว น้อมเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค พระองค์เสวยข้าวนั้น
    ๑๒. เรื่อง เคยเป็นนักมวยปล้ำ หักหลังผู้อื่นไว้
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๒ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นนักมวย ได้ทำการชกกับนักมวยผู้อื่น ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงเกิดความทุกข์ที่สันหลัง (ปวดหลัง)
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า คราวหนึ่งพระโพธิสัตว์ เกิดในตระกูลคหบดี มีกำลังมากมหาศาล แต่ตัวเตี้ย ต่อมามีนักมวยปล้ำต่างถิ่นมาท้าต่อสู้ และทำให้บุรุษหลายคนในหมู่บ้าน ถูกทำร้ายบาดเจ็บและพ่ายแพ้ และเมื่อพระโพธิสัตว์พบเหตุการณ์นั้น จึงขออาสาต่อสู้ด้วย พอได้ฟังคำพูดเช่นนี้ นักมวยปล้ำผู้นั้นได้พูดดูถูกต่าง ๆ นานา และเมื่อทั้งสองได้ต่อสู้กัน พระโพธิสัตว์แม้ถึงจะตัวเตี้ย แต่ก็ได้จับนักปล้ำผู้นั้นขึ้นแล้วหมุนไปในอากาศ แล้วทุ่มลงภาคพื้น แล้วจับดัดหลัง จนนักปล้ำผู้นั้น กระดูกหักเจ็บปวดอย่างมาก และยอมแพ้ในที่สุด แล้วพระโพธิสัตว์สั่งสอนว่า อย่ามาทำอย่างนี้อีกในหมู่บ้านนี้ ด้วยกรรมนั้น เราได้เสวยผลกรรมมีโรคประจำเช่นปวดหลังเป็นต้น แม้ในชาตินี้ ถึงเราจะทรงพลังอย่างนับไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นโรคปวดหลังอยู่
    ๑๓. เรื่อง หมอรักษาโรค แต่ประมาท
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๓ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้ลูกชายเศรษฐี (ถึงแก่ความตาย) ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงป่วยเป็นโรคปักขันทิกาพาธ
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคหบดี ได้เป็นหมอรักษาคนไข้ คราวหนึ่ง ได้รักษาลูกเศรษฐีคนหนึ่ง ตรวจโรคแล้ว จัดยารักษาโรคชนิดนั้น แต่เพราะความประมาท ตอนจ่ายยานั้น ได้จ่ายยารักษาโรคต่างชนิดกันให้ไป ทำให้ลูกเสรษฐีนั้นรับประทานยาไปแล้วถ่ายอย่างรุนแรง
    ตรงนี้ มีกล่าวขยายความไว้ว่า ในชาตินี้ ในสมัยเป็นที่ปรินิพพาน หลังจากพระผู้มีพระภาคเสวยพระกระยาหารที่ชื่อว่าสุกรมัททวะ ของนายจุนทกัมมารบุตรแล้ว ได้เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต ทรงมีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสจวนเจียนจะปรินิพพาน แต่ทรงใช้สติสัมปชัญญะข่มทุกขเวทนาเหล่านั้นอย่างไม่พรั่นพรึง
    ๑๔. เรื่อง สบประมาทผู้อื่น จึงต้องประสบทุกข์
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๔ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    เราเมื่อครั้งเกิดเป็นมาณพ ชื่อโชติปาละ ได้กล่าวประสบประมาทพระกัสสปพุทธเจ้าว่า การตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์จักมีมาแต่ที่ไหน การตรัสรู้หาได้แสนยาก ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงได้บำเพ็ญทุกรกิริยานานถึง ๖ ปี แต่ว่า เราก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณที่สูงสุด ด้วยทางนี้ ต่อมา จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ ที่ตำบลอุรุเวลา เราถูกกรรมในปางก่อนตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณผิดทาง เราสิ้นบาปสิ้นบุญแล้ว ปราศจากความเร่าร้อนทุกอย่าง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีอาสวะ จักปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวง ทรงพยากรณ์บุพกรรมเช่นนี้ มุ่งหวังประโยชน์สำหรับหมู่ภิกษุ ณ สระอโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล
    ตรงนี้ มีเนื้อความกล่าวไว้ว่า หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถโพธิสัตว์ ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ทำความสังเวชให้เกิดขึ้น ขึ้นม้ากัณฐกะพร้อมกับนายฉันนะออกไป ทรงรับสมณบริขารที่มหาพรหมถวาย แล้วผนวชที่ริ่มฝั่งแม่น้ำอโนมานทีบำเพ็ญเพียรประพฤติทุกรกิริยาอย่างหนัก อยู่ ๖ ปี อาทิเช่น กดฟันด้วยฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานไว้แน่น ใช้จิตข่มคั้นจิต ทำจิตให้เร้าร้อน เมื่อทำเช่นนั้น เหงื่อก็ไหลออกจากรักแร้ทั้ง ๒ ข้าง กลั้นลมหายใจเข้า-ออกทั้งทางปาก-จมูก ทำให้ลมออกทางหูทั้ง ๒ ข้าง มีเสียงดังอู้ ๆ และเกิดลมแรงกล้าเสียดแทงศีรษะ ทำให้เกิดทุกขเวทนาในศีรษะอย่างแรงกล้า ทำให้เกิดลมอันแรงกล้าบาดในช่องท้อง
    เมื่อพระองค์ประพฤติตนเช่นนี้แล้ว ทำให้เกิดความกระวนกระวายในร่างกายอย่างแรงกล้า ทำให้เกิดกายกระสับกระส่ายไม่สงบ ต่อมาก็ลดอาหารที่ละน้อย จนฉันอาหารประมาณเท่าเมล็ดถั่วพูและเมล็ดบัว จึงทำให้ร่างกายซูบผอมมาก เดินไปไหนก็ซวนเซล้มลง ณ ที่นั้น จนชนทั้งหลายเห็นแล้ว พากันทักต่าง ๆ นานา ทำให้ได้คิด จึงเปลี่ยนวิธีปฏิบัติเสียใหม่ กลับมาฉันอาหารตามเดิม แล้วปฏิบัติฌาน ๔ และวิชชา ๓ จึงตรัสรู้พระพุทธเจ้า (จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ) ภายใต้ต้นโพธิ
    เรื่องบุพกรรมของพระพุทธองค์ดังที่กล่าวมานี้ เป็นการชี้ให้เห็นว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ว่าเป็นผู้มีพระคุณมากมายปานใด เช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือแม้แต่พระคุณน้อยนิดเช่น เด็กน้อยเดียงสาแกล้งผู้อื่นก็ตาม ผู้ที่ได้กระทำบุญหรือบาปไว้ ย่อมจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น ๆ อย่างแน่นอน ตราบที่ยังเวียนว่ายตายเกิด ยังไม่สิ้นอาสวะกิเลส หรือแม้แต่สิ้นอาสวะกิเลส ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ปรินิพพานก็ย่อมได้รับผลของกรรมเช่นเดียวกัน ซึ่งตรงกับเนื้อความกล่าวรับรองไว้ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใด เป็นบุญหรือเป็นบาปก็ตาม เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น
    ท้ายนี้ ฝากคติธรรมว่า เวรกรรมที่แต่ละคนได้กระทำไว้นั้น อย่าคิดประมาทว่าเป็นกรรมเล็กน้อยและจักไม่ให้ผล กรรมที่กระทำไว้นั้นรอวันให้ผลทั้งนั้น แต่จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับว่ากรรมนั้นหนักหรือเบานั่นเอง สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านจงโชคดีและมีความสุขทุกเมื่อเทอญ.

    ที่มา : คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา

    http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244
     
  17. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นของ ๔ อย่างว่าเป็นของเล็กน้อย” คือ

    (๑) อย่าดูถูก ดูหมิ่นกษัตริย์ว่ายังทรงพระเยาว์
    (๒) อย่าดูถูก ดูหมิ่นงูว่าตัวเล็ก
    (๓) อย่าดูถูก ดูหมิ่นไฟว่าเล็กน้อย
    (๔) อย่าดูถูก ดูหมิ่นภิกษุว่ายังหนุ่มอยู่

    ของ ๔ อย่างนี้ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าเล็กน้อยไม่สำคัญ เพราะพระมหากษัตริย์แม้ยังทรงพระเยาว์ แต่ก็มีพระราชอำนาจมาก หากทรงพิโรธขึ้นอาจลงพระราชอาญาอย่างหนักได้ งูพิษแม้ตัวเล็กก็กัดคนให้ตายได้ ไฟเพียงเล็กน้อยก็อาจเผาบ้านเรือนผลาญชีวิตคนได้ พระภิกษุแม้ยังหนุ่ม แต่ก็เป็นผู้มีศีล ผู้ใดประทุษร้ายต่อภิกษุผู้มีศีล ผลแห่งกรรมชั่วย่อมแผดเผาผู้นั้น บุตรภรรยาและทรัพย์สมบัติของผู้นั้นย่อมพินาศ

     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาครับ

    พระพุทธองค์ทรงเป็นสัพพัญญู รู้ทุกเรื่อง แต่ิเรื่องธรรมที่นำมาสอน มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    ทำตามที่พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตาสั่งสอนมา

    ไม่มีใครพาไปนิพพานได้ นอกจากตนเองเท่านั้น

    แดนนิพพาน เป็นแดนที่เฉพาะผู้ที่เป็นอรหันต์เท่านั้น

    งานบุญบางอย่างที่เคยบอกไป บางงานทำบุญกับพระอรหันต์นะครับ และเป็นอรหันต์ปฎิสัมภิทาญาณด้วยครับ

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เสียดายอยู่ไกล

    ตอนนี้ไม่กล้าที่ส่งพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้

    พรุ่งนี้ จะลองไปสอบถามพี่ใหญ่ว่า หากจะขอขมา และส่งพระธาตุนิมิตรหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรให้ จะเป็นอะไรหรือไม่ อย่างไร หากส่งได้ จะส่งไปพร้อมกับ พระบูชาพระมหากัจจายนะ หน้าตัก 3 นิ้ว และ พิมพ์แม่นางกวักนะครับ

    ส่วนพิมพ์แม่นางกวัก ลองห้อยดูครับ ดีหรือไม่ ต้องพิสูจน์เอง

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...