พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตำรวจตาบอดสู้ชีวิต เก็บขยะรักษาลูกป่วย

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    ดาบตำรวจพิษณุโลกตาบอดสู้ชีวิต เก็บขยะ-ของเก่าหารายได้เสริมหลังเลิกงาน นำเงินรักษาลูกป่วย 2 คน

    เมื่อวันที่ 30 ส.ค.53 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบตำรวจสู้ชีวิตหารายได้เสริมด้วยการเก็บขยะและของเก่าหลังเลิกงาน เพื่อหาเงินรักษาลูกที่ป่วยทั้ง 2 คน โดยจากการตรวจสอบทราบว่าเป็น ดาบตำรวจถนัด เชียงแสน อายุ 49 ปี พนักงานวิทยุ สภ.นิคมพัฒนา อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก อาศัยอยู่กับภรรยาชื่อนางจิราพันธ์ เชียงแสน และลูก 2 คน คือ ด.ญ.กิฬณา เชียงแสน อายุ 10 ปี และ ด.ช.ณัฐภูมิ เชียงแสน อายุ 5 ปี

    ด.ต.ถนัด เล่าว่า อดีตเป็นตำรวจประจำ สภ.นาเฉลียง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ จากนั้นได้ประสบอุบัติเหตุ หินกระเด็นใส่ตาซ้ายบอด 1 ข้าง ขณะไปตัดหญ้าข้างโรงพัก ก่อนจะย้ายมาประจำอยู่ที่ สภ.นิคมพัฒนา อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันหลังออกเวรตนจะตระเวนเก็บขยะและของเก่าไปขาย เพื่อหาเงินมาประทังชีวิต และเลี้ยงดูคนในครอบครัว เนื่องจากลูกสาวคนโตป่วยเป็นโรคกระเพาะ ต้องรักษามาตลอดระยะเวลา 4 ปี มักมีอาการปวดท้อง อาเจียนเป็นเลือด และเปลี่ยนกระเพาะเทียมมาแล้ว 2 ครั้ง ส่วนลูกชายคนเล็กป่วยเป็นโรคหัวใจโต แพทย์นัดผ่าตัดใน 2 ก.ย.นี้ ซึ่งต้องใช้เงินไม่ต่ำ 80,000 บาท

    ด.ต.ถนัด กล่าวต่อว่า เดิมตนเคยมีเงินเก็บกว่า 2 แสนบาท แต่เงินไม่พอรักษาลูก จึงต้องขายที่ดิน 10 ไร่ และกู้เงินนอกระบบจนปัจจุบันมีหนี้สินร่วม 2 ล้านบาทแล้ว ดังนั้น ตนจึงไม่รู้สึกอับอายที่ต้องหารายได้เสริมด้วยการเก็บขยะ และไม่เคยรู้สึกว่าต้อยต่ำ เพราะเป็นอาชีพสุจริต และเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องหารายได้เสริมเพื่อรักษาลูก

    http://hilight.kapook.com/view/51652
     
  2. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ท่านเล...ครับ พระที่ผมมอบให้เป็นหัวเชื้อ ท่านมาบ้างมั้ยครับ ท่านมาเมตตาผมอีก 5องค์แล้วครับ หุ หุ
     
  3. นายเฉลิมพล

    นายเฉลิมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +460

    ตัวผมไม่ได้ไปเองครับ แต่ได้ส่งลูกสาวไปร่วมทำบุญแทนนะครับ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table id="post3723343" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">วันนี้, 08:28 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #39674 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->นายเฉลิมพล<!-- google_ad_section_end --> <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_3723343", true); </script>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Aug 2010
    ข้อความ: 11
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 629
    ได้รับอนุโมทนา 78 ครั้ง ใน 11 โพส
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_3723343" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- google_ad_section_start -->ตัวผมไม่ได้ไปเองครับ แต่ได้ส่งลูกสาวไปร่วมทำบุญแทนนะครับ
    </td></tr></tbody></table>

    โมทนาบุญคุณเฉลิมพลครับ
     
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    นำมาฝากสำหรับคุณน้องนู๋ครับ...

    เมื่อราวเดือนเศษที่คุณน้องนู๋ได้สอบถามผมถึงเรื่องของอาการของโรคภัยไข้เจ็บกับวันข้างขึ้นข้างแรม มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ตอนช่วงนั้นผมยังไม่ได้เรียนหลักสูตรเวชกรรม มาเมื่อเดือนที่ผ่านนี้ หลักสูตรเวชกรรมต้องเรียนจากคัมภีร์โบราณรวม ๒๓ คัมภีร์ บังเอิญว่า อาการโรคที่คุณน้องนู๋สอบถามนั้นไปตรงกับคัมภีร์สมุฎฐานวินิจฉัย ซึ่งเป็น ๑ ใน ๒๓ คัมภีร์ ช่วงหนึ่งด้วยเรื่องของธาตุ ๔ กำเริบ หย่อน พิการตามสุริยะคติที่ดำเนินในห้วงจักรราศี ผมได้สรุปใส่ไว้ในตารางเพื่อให้ดูง่าย แต่อาจจะยากตรงทำความเข้าใจกับชื่อโรค อาการโรคที่จะครอบคลุมไปถึง

    การจะทราบว่า เราต้องระวังการกำเริบ หรือ หย่อน หรือพิการ ช่วงเวลาของจักรราศีเป็นตัวกำหนด เช่น หากพระอาทิตย์สถิตย์ในราศีมังกร เป็นราศีของปฐวีธาตุ ตรงตำแหน่งราศีที่ตรงกับพิการคือ กรีสะ หมายถึงว่า ช่วงแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๒ ปฐวีสมุฏฐานพิการ กรีสะ(อาหารเก่า) ระคนให้เป็นเหตุ

    เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ เป็นความลับส่วนบุคคลไม่พึงเปิดเผย ผมก็เลยแสดงเป็นตารางเอาไว้ หากต้องการทราบถึงตัวยาที่ใช้ในการรักษาอาการโรคก็สามารถ PM หรือสอบถามผมได้ครับ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  8. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>chantasakuldecha, nongnooo </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สวัดดีตอนเช้าๆครับท่านรองฯ ตื่นเช้าดีจังจะไปจ่ายตลาดรึครับ ภาวะตลาดหุ้นเป็นไงบ้างขอบคุณที่แนะนำเกี่ยวกับ 2-3อาทิตย์ข้างหน้านี้ครับ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แบบนี้ คงต้องหลังไมค์ครับ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ถอดรหัสธรรม "หลวงพ่อทองคำ" วัดไตรมิตร พระพุทธรูปทองคำใหญ่ที่สุดในโลก </TD><TD vAlign=baseline align=right width=102>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>30 สิงหาคม 2553 17:44 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350> [​IMG]</TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตรกับพุทธสรีระอันงดงาม </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปกี่ยุคสมัย ศาสนาพุทธกับสังคมไทยนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาโดยตลอด ไม่เพียงแค่หลักธรรมที่ช่วยให้ปุถุชนทั่วไปได้เรียนรู้หลักการดำเนินชีวิตแล้ว พุทธศาสนายังได้สอดแทรกความงามของศิลปะในแขนงต่างๆ เอาไว้เป็นเครื่องจรรโลงจิตใจได้อีกรูปแบบหนึ่ง หรือที่เรียกกันว่าความงามทางพุทธศิลป์ อาทิ พระพุทธรูปของไทยเรานั้นถือว่าเป็นความสวยงามทางพุทธศิลป์ที่อยู่คู่กับเรามาตั้งแต่จำความได้ เพราะพระพุทธรูปนั้นคือตัวแทนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรากราบไหว้กันอยู่เป็นประจำ

    ข้อเท็จจริงจำนวนหนึ่งจาก อาจารย์ สุรศักดิ์ เจริญวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญในด้านศิลปะไทย นั้นกล่าวว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายที่เดินทางมาประเทศไทยเพื่อมาดู "โลหะรูปมนุษย์"

    โลหะรูปมนุษย์ ในความหมายของพวกเขา(ชาวต่างชาติ)คือพระพุทธรูปนั่นเอง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่านอกจากแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและสถาปัตยกรรมแบบไทยๆ ที่ได้รับความสนใจและ พุทธศิลป์ในบ้านเรานั้นกลับเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะฝรั่งเขาบอกกันว่าเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองไทยที่ไม่เหมือนใคร

    พระพุทธรูปในเมืองไทยนั้นมีการสร้างมาช้านาน หลายยุคหลายสมัย และมีอยู่มากมาย แทบทุกอณูประเทศ สำหรับ"พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่อทองคำ" ที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร นั้นเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์สวยงามที่ได้รับการกล่าวขานถึงไม่น้อยเลย



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400> [​IMG]</TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หลวงพ่อทองคำ พระพุทธรูปทองคำใหญ่ที่สุดในโลก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>นอกจากนี้ในหนังสือท่องเที่ยวของชาวต่างชาติจำนวนมากยังได้บรรจุหลวงพ่อทองไว้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องมาชมให้ได้เมื่อมากรุงเทพฯหรือแบงคอก หลังจากที่ The Guinness Book of World Record ได้จดบันทึกไว้ว่าเป็นเป็นพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีน้ำหนักกว่า 5 ตัน และมีมูลค่ากว่า 1,800 ล้านบาท

    อย่างไรก็ดีเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติของชาวไทยที่พบเห็นพระพุทธรูปสวยงามอยู่เป็นประจำ แต่สำหรับหลวงพ่อทองคำนั้นมีสิ่งที่น่าค้นหามากกว่าแค่ความงามภายนอก จนทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธรูปกลุ่มหนึ่งมาตั้งวง เสวนาวิชาการ "หลวงพ่อทองคำ...ถอดรหัสพุทธศิลป์สู่พุทธธรรมขึ้น" เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ของหลวงพ่อทองคำที่ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้นน่าสนใจ ทั้งเรื่องแรงศรัทธา ความชาญฉลาดทางสถาปัตยกรรม และเรื่องของปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นต่างๆ ก่อนจะมาเป็นหลวงพ่อทองคำอย่างในทุกวันนี้

    สังคมเจริญ ศิลปกรรมรุ่งเรือง

    ถ้าจะกล่าวถึงที่มาของหลวงพ่อทองคำนี้ อาจต้องท้าวความกลับไปยังช่วงสมัยสุโขทัย ซึ่งอาจารย์ สุรศักดิ์ ได้กล่าวถึงที่มาของหลวงพ่อทองคำไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า

    หลวงพ่อทองคำ มีความเป็นไปได้อย่างมากที่น่าจะสร้างขึ้นในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง ถ้าเปรียบเทียบกับลักษณะของพระพุทธรูปในสมัยนั้น ในสมัยก่อนการจะสร้างพระพุทธรูปทองคำล้วนนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะว่าหลวงพ่อทองคำนั้นสร้างด้วยทองคำบริสุทธิ์ที่เรียกกันว่า "ทองเนื้อเจ็ด น้ำสองขา" ตามมาตราทองคำของไทยโบราณ



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400> [​IMG]</TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระพักตร รูปไข่กลมรี ให้ความรู้สึกสงบ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ทองเนื้อเจ็ด น้ำสองขา เป็นทองคำที่มีค่าของเนื้อทองรองจากทองนพคุณหรือทองเนื้อเก้า ซึ่งมีมูลค่าและราคามากมายมหาศาลแม้เทียบกับในปัจจุบัน นั่นแสดงถึงความเจริญในด้านสังคมของสุโขทัยและว่ากันว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดในด้านศิลปกรรม โดยอ้างอิงจากหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 ที่ได้จารึกเรื่องราวบางส่วนไว้ว่า "กลางเมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารส มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันงาม" และมีความเป็นไปได้อย่างมากที่พระพุทธรูปทองที่กล่าวถึงอาจหมายถึงหลวงพ่อทองคำองค์นี้ก็เป็นได้

    นอกจากนี้อาจารย์สุรศักดิ์ ยังสะท้อนให้เห็นความสำคัญของพุทธลักษณะของหลวงพ่อทองคำรวมถึงพระพุทธรูปอื่นๆ ที่ถูกสร้างขึ้นในยุคเดียวกันว่า การสร้างพระพุทธรูปยุคสุโขทัยนั้นจะสร้างตามลักษณะของมนุษย์ทุกประการ แต่จะไม่เหมือนกับรูปปั้นที่โชว์กายภาพของร่างกายตามต่างประเทศ เพราะมนุษย์ที่ยังคงลักษณะทางกายภาพไว้ครบถ้วนนั้นแสดงให้เห็นว่ายังคงความเป็นโลกียะ คือยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส แต่พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นนั้นมีความสวยงาม ราบเรียบ แต่ไม่คงไว้ซึ่งลักษณะทางกายภาพเช่นกล้ามเนื้อ เพราะเป็นตัวแทนของมหาบุรุษซึ่งหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงหรือ โลกุตระ



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400> [​IMG]</TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หลวงพ่อทองคำในขณะที่เป็นพระปูน </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ความคิดเห็นนี้สอดคล้องกับบันทึกของ นายอเล็กซานเดอร์บราวน์ คริลโวล์ด นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ที่ได้เขียนบทความเกี่ยวกับพระพุทธรูปสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ. 2496 โดยได้แสดงความคิดเห็นว่าลักษณะที่ผิดเพี้ยนไปจากกายภาพของมนุษย์ทั่วไปในพระพุทธรูปสุโขทัยเป็นผลมาจากความพยายามที่จะถ่ายทอดความเป็นมหาบุรุษ 32 ประการลงไปในพระพุทธรูป ซึ่งทุกอย่างนั้นล้วยมาจากแรงศรัทธาเลื่อมใสในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หลุดพ้นซึ่งกิเลสทั้งปวงแล้วนั่นเอง

    จากพระทองคำ สู่พระปูนปั้น

    กล่าวกันว่าในยุคสมัยหนึ่งได้มีการพอกปูนทับ หลวงพ่อทองคำ และทำการลงลักปิดทองซ้ำอีกชั้นจนดูเหมือนพระพุทธรูปธรรมดาทั่วไป สาเหตุในครั้งนี้สันนิษฐานไว้ 2 สาเหตุหลักๆ ก็คือ ชาวกรุงสุโขทัยเองนั้นอาจเป็นผู้ที่พอกปูนอำพรางค์ทองคำไว้ เพราะช่วงหลังจากที่กรุงสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง ได้มีสงครามบ่อยครั้งขึ้น และถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยารุกรานเมื่อราวปี พุทธศตวรรษที่ 20

    ถ้าเป็นจริงตามข้อสันนิษฐานนี้ หลวงพ่อทองคำในรูปของพระปูนปั้นได้ประดิษฐานอยู่ที่กรุงรัตนโกสินทร์มาอย่างยาวนาน



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400> [​IMG]</TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพจำลองการเคลื่อนย้ายหลวงพ่อทองคำ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ส่วนอีกข้อสันนิษฐานหนึ่งคือทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยานั้นได้อัญเชิญหลวงพ่อทองคำมาประดิษฐานที่กรุงศรีอยุธยาในคราวที่สามารถรวมอำนาจกรุงสุโขทัยไว้ได้ แต่มีเหตุให้ต้องพอกปูนทับเพื่ออำพรางจากการที่พม่ายกทัพมาโจมตีเมืองก่อนที่จะเสียกรุง

    สำหรับข้อสันนิษฐานทั้งสองสามารถเชื่อมโยงกันได้ถึงปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นในยุคนั้นจนถึงขนาดที่ไม่กล้าเปิดเผยความสวยงามที่มีค่ามหาศาลนี้ แต่อีกด้านหนึ่งนั้นช่างผู้พอกปูนทับลงไปนั้นได้แสดงถึงความชาญฉลาดในการเก็บรักษาทองคำ โดยได้ลงรักไปบนผิวองค์พระทองคำก่อนที่จะพอกปูนทับ

    ทั้งนี้สันนิษฐานว่าเพื่อให้ปูนยึดเกาะได้ดีขึ้นและสามารถรักษาเนื้อทองคำใม่ให้ถูกกัดกร่อนจากความเค็มของปูนได้เป็นอย่างดี เพราะปูนในสมัยก่อนนั้นทำมาจากหินปูนหรือเปลือกหอยจากทะเลนำมาเผา ซึ่งจะมีความเค็มมากกว่าปูนในปัจจุบัน ถ้าใครเคยมาสักการะหลวงพ่อทองคำแล้วก็จะเห็นได้ถึงความแวววาวของเนื้อทองคำบริสุทธิ์ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400> [​IMG]</TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระเศียร แบบดอกบัวตูม สมส่วนกับพระคอ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เมื่อปูนกระเทาะ

    ต่อมาในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์นั้นได้มีการเคลื่อนย้ายหลวงพ่อทองคำมาประดิษฐานที่วัดพระยาไกร ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และสุดท้ายย้ายมาประดิษฐานที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ซึ่งการเคลื่อนย้ายหลวงพ่อทองคำนั้นได้รับความสนใจจากประชาชนในระแวกนั้นเป็นอย่างมาก

    ครั้นเมื่อจะยกไปประดิษฐานยังชั้นบนของวิหารก็ต้องใช้ทั้งแรงคนและเครื่องมือมากมายแต่ไม่สำเร็จเพราะมีน้ำหนักที่มากเกินกว่าที่คาดคะเนไว้ และช่วงที่กำลังยกองค์พระขึ้นไปสักพักเชือกกลับขาจนองค์พระตกลงมากระแทกพื้นเกิดเป็นรอยร้าว จึงยุติการดำเนินการลง

    แต่ในคืนเดียวกันนั้นเองเจ้าอาวาสวัดในขณะนั้นได้ฝันเห็นหญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งนำสังวาลมามอบให้ แล้วกำชับให้ท่านเก็บรักษาไว้ ต่อไปจะมีเป็นสิ่งที่มีค่ามาก เช้ารุ่งขึ้นทางวัดจึงสำรวจดูรอยร้าวและพบว่ามีการลงรักปิดไว้ จึงตัดสินใจแกะรักนั้นออกและพบเป็นเนื้อทองคำอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350> [​IMG]</TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระวรกาย อ่อนช้อยแม้กระทั่งด้านหลังขององค์พระ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ความศรัทธา และคุณค่าทางพุทธศิลป์

    เรื่องราวของหลวงพ่อทองคำนั้นไม่เพียงแสดงให้เห็นคุณค่าทางด้านศิลปกรรม แต่ยังสะท้อนเรื่องราวของสังคมในแต่ละยุคสมัยได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันน่าแปลกที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจกับหลวงพ่อทองคำมากกว่าคนไทย อาจจะเป็นเพราะการจัดการของวัดหรืออย่างไรก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าหลวงพ่อทองคำนั้นย่อมเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของชาวไทยที่เกิดจากแรงศรัทธาใน

    พระพุทธศาสนาที่ถ่ายทอดผ่านช่างฝีมือในอดีตออกมาเป็นศิลปกรรมที่มีคุณค่าในด้านพุทธศิลป์ ที่นักท่องเที่ยวหลายคนต้องเดินทางมาเพื่อให้เห็นกับตา และข้อสรุปของการเสวนา เรื่อง "หลวงพ่อทองคำ ถอดรหัสพุทธศิลป์สู่พุทธธรรม" ที่ผ่านมา ได้ความเห็นที่ตรงกันว่า

    อะไรก็ตามที่ทำให้หลวงพ่อทองคำนั้นงดงามนั้นย่อมไม่ใช่เพราะทองคำ หรือมูลค่า แต่ยังเป็นปริศนาธรรมที่ให้เราเก็บไปคิดว่าความงดงามที่เกิดขึ้นและยังอยู่คู่กับเราจนปัจจุบันนั้นเกิดจากคำว่า ศรัทธา ใช่หรือไม่

    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

    วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯเขตสัมพันธวงศ์ กทม. มีหลวงพ่อทองคำประดิษฐานอยู่ ภายในพระมหามณฑป ที่ชั้น 4 เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08.00 -17.00 น. ส่วนชั้น 2 เป็น ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช ชั้น 3 เป็นนิทรรศการพระพุทธมหาสุวรรณ ทั้งชั้น 2 และ 3 เปิดทุกให้บริการวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 8.00-17.00 น. ทั้งนี้ผู้สนใจรายละเอียดสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2623-3329-30

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    Travel - Manager Online -
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2010
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เก็บตกจากวันงานผ้าป่า(วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม 2553)

    ผมได้ยินมาเรื่องของการที่ผมได้เคยนำพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า ไปถวายพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งลูกศิษย์ได้คุยกันและได้ยินมาถึงผมว่า พระวังหน้า ก็อย่างงั้นๆ สู้พระที่หลวงปู่....เสกไม่ได้

    แถมบอกอีกว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี จะไปเป็นพระสาวกของหลวงปู่....

    คิดได้ไงก็ไม่ทราบ อย่าไปคิดเองเออเอง ความรู้ไม่ได้มีเลย แล้วทำอวดรู้ อวดว่า ข้ารู้ ข้าแน่ ข้าเก่ง

    เมื่อวันผ้าป่า มาได้ยินอีกว่า พี่ใหญ่ นี่ก็ธรรมดา

    ผมบอกไว้ตรงนี้ว่า คนที่บอกแบบนี้ ต้องเรียกว่า "กระจอกมาก" ไม่รู้เรื่องแล้วดันมาพูด เหมือนกับพระเทวทัตที่พาคนไปสู่ความฉิบหาย

    ต้องหัดเอาสมองมาคิดบ้าง อย่าเอาสมองไว้ใส่ขี้เลื่อยเลย

    ถ้าคุณคิดว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี จะไปเป็นพระสาวกของหลวงปู่.... ผมท้าไปสาบานกันที่วัดพระแก้ว และวัดโสธร ผมเองเชื่อว่า ปัจจุบัน สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งจะมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต (ยกเว้นไว้แต่ในอนาคตจะไม่ต้องการมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)

    ดังนั้น หากเป็นคนจริง แล้วคุณเข้ามาอ่านในกระทู้พระวังหน้าฯ ก็รับคำท้าได้เลย ผมก็เป็นคนจริง เป็นคนที่พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ สั่งสอนมาว่า ให้เป็นคนจริง

    เรื่องคำสาบานและพยานในการสาบาน ผมจะดำเนินการให้เอง

    สนใจเมื่อไหร่บอกได้เลย

    ถ้าไม่มีเงินค่ารถ ผมให้เงินค่ารถ ค่าเสียเวลา 5,000 บาทครับ

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณnongnooo บอกผม(ตอนนี้)ว่า ความเชื่อของคนบังคับกันไม่ได้

    ผมบอกว่า เมื่อความเชื่อไม่เหมือนกัน ต้องไปสาบานที่วัดพระแก้ว และวัดโสธร ดีที่สุด

    ผมจะได้เก็บกวาดให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด






    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 29-8-53 -1.JPG
      29-8-53 -1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      177.5 KB
      เปิดดู:
      83
    • 29-8-53 -2.JPG
      29-8-53 -2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      160.2 KB
      เปิดดู:
      77
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สนใจเมื่อไหร่ก็บอก

    [​IMG]


    ดังนั้น หากเป็นคนจริง แล้วคุณเข้ามาอ่านในกระทู้พระวังหน้าฯ ก็รับคำท้าได้เลย ผมก็เป็นคนจริง เป็นคนที่พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ สั่งสอนมาว่า ให้เป็นคนจริง

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้ชมรมรักษ์พระวังหน้า

    วันนี้ 04:23 AM
    is
    รายละเอียดเป็นสมาชิกทั้งหมดมีอะไรบ้างครับ



    .-----------------------------------------------------------

    ส่วนด้านล่างเป็นโพสที่ผมเคยโพสไว้

    สำหรับท่านที่สนใจจะสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า

    ผมมีกติกาอยู่สองเรื่อง คือ

    1.ต้องร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ทำมาก ทำน้อยไม่เป็นไร ทำบ่อยๆดีครับ

    2.เข้ามาพูดคุยกันในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ บ่อยๆ

    เมื่อถึงเวลา ผมจะขอเบอร์โทร.ของท่านเอง

    ไม่ต้อง pm เข้ามาหาผม ทั้งเรื่องของการดูพระพิมพ์ ,วัตถุมงคลต่างๆ และขอสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า นะครับ หากท่าน pm เข้ามาหาผม ผมจะคัดลอกข้อความของท่าน มาลงในกระทู้พระวังหน้าฯ โดยจะไม่ปิดชื่อสมาชิกเว็บพลังจิต เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมาแล้ว และจะตอบในกระทู้พระวังหน้าฯครับ

    ขอบคุณครับ
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    #32318

    ชมรมรักษ์พระวังหน้า

    ผมยืนยันว่า ชมรมนี้ สมัครได้ยาก เมื่อสมัครแล้วก็ยากกว่าอีก

    การตั้งจิต ตั้งสัจจะ และสาบาน เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้ในการที่จะคัดกรองท่านที่มีความศรัทธาในคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณ-อุตร) ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ในยุคสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 ต้องมีความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม , มีความมุ่งมั่น , ความอดทน , ความเพียร ,ความพยายาม และ ฯลฯ

    กว่าจะสมัคร ก็สมัครได้ยาก สมัครแล้วต้องรักษาการตั้งจิต ตั้งสัจจะ และสาบาน ยิ่งยากกว่า เนื่องจากหากสมัครมาเพื่อต้องการพระพิมพ์และหรือวัตถุมงคลแต่เพียงอย่างเดียว ผมจะบอกว่า ท่านที่สมัครมาในลักษณะนี้ได้พระพิมพ์และวัตถุมงคลไปได้แน่นอน แต่ผลที่จะติดตามมาในอนาคตก็คือ การปฎิบัติธรรม เมื่อท่านตั้งใจจะปฎิบัติธรรมเพื่อจุดมุ่งหมายคือพระนิพพานเมื่อไหร่ ท่านปฎิบัติธรรมมาได้ระยะหนึ่ง ท่านทำได้แค่ไหน ท่านปฎิบัติได้แค่ไหน ท่านก็จะอยู่ที่เดิม ไม่ได้ไปไหน เนื่องจากการทึ่ตั้งจิต ตั้งสัจจะ และสาบานต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ ฯลฯ กว่าจะตามไปแก้ไข โอ้ ไม่อยากคิดเลย

    ผมเองก็บอกมาหลายครั้งมากแล้วว่า กว่าที่ผมจะมาได้พบ ได้เห็น ได้รู้จักพระวังหน้า ก็เป็นระยะเวลาเป็น 10 ปี เสียเงินไปมากมาย
    แล้วท่านมีโอกาสดีกว่าผมมากนัก ไม่ต้องเสียเวลา(ซึ่งไม่รู้ว่า หาแล้วจะได้พบ ได้เห็น หรือไม่) ไม่ต้องเสียเงิน(ก็หลายแสนอยู่)

    คงบอกเพียงเท่านี้ครับ ลองอ่านดูในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ดูนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    มาย้ำครับ

    ต้องมีความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม , มีความมุ่งมั่น , ความอดทน , ความเพียร ,ความพยายาม และ ฯลฯ ในเรื่ององค์ความรู้ของท่านอาจารย์ประถม เรื่องคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณ-อุตร) ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ในยุคสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 และ พระวังหน้า ครับ

    หมายเหตุ หลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ในยุคสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 คือ กลุ่มหลวงปู่ที่ท่านอยู่ที่ชั้นสุทธาวาส ซึ่งท่านสามารถตัดเข้าสู่พระนิพพานได้ตลอดเวลา แต่หลวงปู่ท่านยังไม่ไป เนื่องจากสาเหตุส่วนหนึ่งเพราะหลวงปู่ท่านยังห่วงลูกหลานของท่านอยู่

    หลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ในยุคสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 คือ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว , หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เป็นต้น

    ส่วนเรื่องของชมรมพระวังหน้าในเว็บพลังจิต(พระวังหน้า) ผมยินดีต้อนรับครับ ในฐานะที่ผมเป็นผู้ก่อตั้งชมรมพระวังหน้าในเว็บพลังจิต ชมรมพระวังหน้าในเว็บพลังจิต ผู้ที่เป็นสมาชิกเว็บพลังจิต สามารถสมัครได้ทุกๆท่าน

    ส่วนชมรมรักษ์พระวังหน้า ซึ่งผมเป็นส่วนหนึ่งในแกนนำการก่อตั้งขึ้น ท่านที่สมัครชมรมรักษ์พระวังหน้าได้ ต้องทำตามกติกาของผมก่อน คือ การร่วมทำบุญในกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ และเข้ามาพูดคุยในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ก่อน

    เมื่อถึงเวลาผมจะแจ้งให้ทราบเรื่องของการสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า ในการสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้านั้น ต้องผ่านมติของที่ประชุมชมรม โดยประธานชมรม , รองประธานชมรมทั้งสองท่าน , เลขานุการชมรม และสมาชิกชมรมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งเป็นผู้ที่อนุมัติการสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า

    ในใบสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญอยู่ 4 ข้อ และในท้ายใบสมัครจะมีเรื่องของการตั้งจิต , ตั้งสัจจะ และสาบาน ที่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากทำไม่ได้ตามที่ตั้งจิต , ตั้งสัจจะ และสาบาน ผมจะบอกว่า เป็นหนทางในการบั่นทอนทางนิพพานของตนเอง

    ดังนั้น ท่านที่จะสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าได้ ต้องมีความศรัทธาต่อพระวังหน้าอย่างเต็มเปี่ยม ,มีความเพียรและพยายาม ,ความอดทน ,ความตั้งใจ อย่างเต็มที่

    [​IMG]

    [​IMG]

    ผมเองเคยได้รับทั้ง pm และการสอบถามในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ อยู่บ่อยๆ เรื่องของพระวังหน้าฯ เรื่องของการสมัครสมาชิกชมรม เรื่องของการสอบถามพระพิมพ์(พระเครื่อง) ว่าแท้ หรือไม่แท้ แต่สุดท้ายผู้ที่สอบถามก็ไม่ได้สนใจอย่างเต็มที่ ในระยะหลังๆที่ผ่านมา ผมจึงไม่ได้สนใจในเรื่องของ pm และสิ่งที่สอบถามในกระทู้พระวังหน้าฯนี้นัก

    ผมเองกว่าจะได้เจอ ได้พบ ได้เห็น เสียเวลามากเป็นสิบปี กว่าจะได้พบท่านที่รู้จริง(ทั้งรูปและนาม) เสียเงินไปมากในการหาและเก็บพระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆ บอกได้ว่า หลายล้านอยู่ หากว่ารวมกันในคณะพระวังหน้า ก็ยิ่งมากกว่านี้อีกมากมาย

    ดังนั้น สำหรับท่านที่มีความประสงค์ที่จะสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า จึงต้องทำตามกติกาที่ผมได้ตั้งไว้ ผมไม่สนใจว่า ชมรมรักษ์พระวังหน้า จะมีสมาชิกมากหรือน้อย ผมไม่สนใจเรื่องของปริมาณ ผมสนใจในเรื่องของคุณภาพ มีสมาชิกน้อยท่าน แต่มีคุณภาพ ดีกว่า มีสมาชิกเยอะท่าน แต่ไม่มีคุณภาพครับ

    โมทนาสาธุครับ
    .



    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 24 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 20 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, dragonlord+, kwangcholn, นายเฉลิมพล </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ๊ะ สวัสดีน้องอุ้ม และคุณเฉลิมพล

    .
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137


    เรื่องราวเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอาการเจ็บป่วยไม่ว่าจะด้วยแผนโบราณ หรือแผนปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่มีความมุ่งหวังให้คนป่วยหายจากอาการเจ็บปวด เจ็บป่วยทั้งสิ้น แต่การรักษาโดยเข้าใจว่าคือทางรอด อาจจะไม่เป็นความจริงเสมอไป ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ศาสตร์แห่งวิชา นั่นคือ ไม่รู้ว่า ไม่รู้ แล้วไปเข้าใจเองว่า รู้แล้วนั่นเอง

    ปีเศษแล้วที่ผมได้เข้ามาเรียนรู้ตัวยาสมุนไพรไทย บางตัวมีพิษ ต้องนำมาทำให้พิษลดลงให้เหมาะในการรักษาผู้ป่วย เรียกว่า กระบวนการประสะ สะตุ แล้วแต่ว่าจะทำอะไร หัวใจของการเรียนการสอบเพื่อรับใบประกอบโรคศิลปะนั้นเน้นเรื่องความเข้าใจในการใช้ตัวยาสมุนไพร และเรียนรู้ถึงโทษข้อระมัดระวังการใช้ยา เพราะอาจถึงแก่ชีวิตได้

    การใช้ยาสมุนไพรไม่ได้แก้ไขปัญหาอย่างทันทีทันใด ต้องให้ร่างกายค่อยๆรับ และสร้างระบบภูมิคุ้มกันจากร่างกายของเราเอง คล้ายกับที่เราเคยได้ยินว่ามีผู้ใช้พิษทาที่มุมกระดาษหนังสือ เพราะสังเกตุจากพฤติกรรมการอ่านหนังสือว่า จะต้อเอานิ้วมือแตะน้ำลายก่อน แล้วค่อยพลิกมุมหนังสือ การวางพิษแบบนี้จึงเป็นการสะสมพิษแบค่อยเป็นค่อยไป กว่าจะพบก็สายเกินแก้ เพราะพิษซึมซับเข้าไปในระบบของเลือด และอวัยวะภายในจนหมดแล้ว การใช้ยาสมุนไพร เพื่อสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย จึงต้องทานไปในลักษณะการสะสม

    บางเวลาเราอาจจะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่ตำแหน่งของหัวใจ แต่พอไปตรวจด้วยคลื่นไฟฟ้าหัวใจกลับไม่พบความผิดปกติ ในทางการแพทย์แผนโบราณ เขาว่าเกิดจากลม ซึ่งสามารถแยกได้ตามวาโยธาตุ มี ๖ ประการ คือ
    -อุทธังคมาวาตา คือลมที่พัดจากล่างขึ้นบน เช่นการเรอ
    -อโธคมาวาตา คือ ลมที่พัดจากบนลงล่าง เช่นการผายลม
    -กุจฉิสยาวาตา คือ ลมที่พัดในท้อง แต่อยู่นอกลำไส่
    -โกฏฐาสยาวาตา คือ ลมที่พัดในลำไส้ และกระกระเพาะอาหาร
    -อังคะมังคานุสารีวาตา คือ ลมที่พัดทั่วร่างกาย
    -อัสสาสะปัสสาสะวาตา คือลมสำหรับหายใจเข้าออก

    ปัจจุบันไม่ได้แยกวิเคราะห์ว่าเป็นลมที่เกิดจากอะไร แต่เรียกว่า ท้องอืด ท้องเฟ้อ วิงเวียน ฯลฯ แผนปัจจุบันก็ไม่ได้สอน กลับรับเอาความรู้จากต่างประเทศมาทั้งศาสตร์ ตรวจก็ตรวจไปไม่พบ รักษาก็ไม่หาย

    กฎหมายที่ออกมาแต่ละฉบับไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับการนำสมุนไพรไทยมาใช้ ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับแพทย์แผนไทย ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับผู้ป่วย อย่าลืมว่า ในสมัยโบราณการรักษาผู้ป่วยจะไม่ได้รักษาแลกกับเงินทองเช่นปัจจุบัน หรือเอาโรงพยาบาลเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เรียกว่าทำกันเป็นธุรกิจการรักษาพยาบาลกันเลยทีเดียว

    คณะมิชชันนารีเดินทางเข้ามาในเมืองไทยในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นับเวลาก็ร่วม ๒๐๐ กว่าปีแล้ว แต่กลับต้องปฏิบัติงานภายใต้การควบคุมของแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้งๆที่สมุนไพรไทยมีใช้มาร่วม ๕,๐๐๐ ปี เรียกว่า ก่อนพุทธกาลเสียอีก (อโรคยาศาลามีการจัดสร้างกันในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในระหว่างปีพ.ศ.๑๗๒๕-๑๗๒๙ และมีการขุดค้นพบ หินบดยาในสมัยทวารวดี) อันนี้ทำใจให้ยอมรับได้ยากมากๆ

    ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้ วันหนึ่งข้างอันใกล้ ผมคงได้ไปกราบขอความรู้จากท่านอาจารย์สมหมาย ทองประเสริฐ ท่านสำเร็จการศึกษาการแพทย์ศัลยกรรมจากศิริราช และเรียนแพทย์แผนไทย แต่การทำงานร่วมกับแผนปัจจุบัน กลับยากจริงๆ นับประสาอะไรกับผู้ที่เรียนเพียงแผนไทย การพัฒนาแพทย์แผนไทย และสมุนไพรไทยจึงเป็นไปด้วยความยากลำบากด้วยเหตุผลต่างๆ ปีๆหนึ่งสั่งยาจากเมืองนอกเป็นจำนวนมาก เงินตราไหลออกเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่ยาสมุนไพรไทยใช้รักษาโรคได้ ทั้งนี้อาจสืบเนื่องมาจากผลประโยชน์บางอย่างเช่น ได้ % จากการนำเข้ายา แต่หากใช้ยาสมุนไพรไทย ซึ่งมีราคาถูกกว่า ไม่มี % ให้ ตกลงผู้ป่วยก็ทำได้แค่การรักษาที่ปลายเหตุ และท้ายสุดไปเกิดปัญหาอีกที่แห่งอื่น เช่น สมัย ๗-๘ ปีที่ผ่านมาเป็นหวัดต้องทาน ดีโคเจน เม็ดสีเหลืองสอดไส้สีส้ม ใช้สำหรับการรักษาไข้หวัด แต่ภายหลังพบว่า ผู้ป่วยมีเลือดออกในสมอง ยารักษาโรคมะเร็งชื่อ ยาทาม็อกซิเฟน แต่กลับพบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ในอีก ๕ ปีต่อมา

    สิ่งเหล่านี้ ทำให้รู้สึกท้อใจ ได้แต่คิดว่า จะนำมาใช้กับตนเองและครอบครัวเท่านั้น เพราะหากทำไปมากกว่านั้นก็สุ่มเสี่ยงต่อข้อบัญญัติข้อห้ามของก.ม. ผมไม่ได้เข้าโรงพยาบาลมานานกว่า ๓ ปีแล้ว ใช้สมุนไพรรักษาตนเองมาตลอด ๓ ปีที่ผ่านมา อีกทั้งก.ม.การผลิตยาในอนาคตอันใกล้นี้ที่กำลังจะคลอดออกมา ที่ต้องได้มาตรฐาน GMP เรียกว่า คนที่จะทำยาได้นั้นต้องมีเงินสร้างโรงงานหลายๆสิบล้าน จนหมู่พี่ๆ เพื่อนๆ ตอนนี้เค้ากลับต้องวางบทบาทเพียงคนปลูกพืชสมุนไพรขายส่งตามโรงงานผลิตยาไป ซึ่งไม่จำเป็นต้องได้ดีกรีใบประกอบโรคศิลปะหรอกครับ

    แพทย์แผนไทยส่วนใหญ่ก็ยังมีความรู้สึกหวงแหนสูตรการผลิตยา เพราะสามารถนำไปผลิตยาเพื่อธุรกิจได้จริงๆ อีกทั้งตำรับยาบางตำรับผู้ปรุง หรือผู้คิดค้าคนแรกก็มักจะสาปแช่งเอาไว้ต่างๆนานาว่า หากนำไปทำเป็นการค้า ก็ขอให้มีอันเป็นไปการแพทย์แผนไทยจึงถูกเก็บงำประกายเอาไว้
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 22 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 19 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, นายเฉลิมพล </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ่า สวัสดีครับคุณ:::เพชร:::

    ดีป่าวครับที่ชวนคนพวกนั้นไปวัดพระแก้วและวัดโสธร

    .
     
  19. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 27 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 23 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>psombat, :::เพชร:::+, sithiphong+, นายเฉลิมพล </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ใจเย็นๆท่านพี่ ดื่มน้ำที่ถวายองค์พระยามัจจุราชนั่นซี เย็นเจี๊ยบ หุหุ

    ผมได้พูดคุยกะน้องที่เป็นลูกสาวคุณเฉลิมพลในวันงานที่มาทำบุญฯ และได้แนะนำเรื่องการอัญเชิญพระสมเด็จองค์สำคัญแล้วนะครับ ขอรบกวน เป็นไปตามนั้นนะครับคุณเฉลิมพล
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อกี้นี้ คุยกับคุณเพชร

    บอกคุณเพชรว่า ผมกะเก็บให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไป อยู่ไปก็รกโลก รกพื้นดิน ให้หญ้าขึ้นยังดีกว่า

    คุณเพชรบอกผมว่า รกอากาศ

    หนักกว่าผมน๊ะเนี่ย

    อิอิ

    หมายเหตุ เมื่อกี้นี้โพสไม่ขึ้น มาโพสอีกรอบ

    ขอเพิ่มเติมหน่อยว่า คุณเพชรบอกว่า กดอนุโมทนาไปแล้ว แล้วก็หัวเราะ
    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...