พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำบูชา พระอุปคุต หรือ พระบัวเข็ม และประวัติ

    ตำนาน พระอุปคุต
    http://phuketindex.com/travel/photo-...akut/index.htm

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="52%"></TD><TD width="48%">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    จากการค้นหาข้อมูลของพระอุปคุตนั้น เราทราบเพียงว่า ท่านเกิดหลัง พระพุทธเจ้า เสด็จปรินิพพานแล้ว ประมาณ พ.ศ. 218 ปี แต่ไม่ทราบ ภูมิเดิมของท่านละเอียด ว่าเป็นบุตรของใคร เกิดในวรรณะอะไร และที่ไหน


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="52%">[​IMG]

    </TD><TD class=telltext width="48%"></TD></TR></TBODY></TABLE>
    จากการสันนิษฐานตามตำนาน พระเถระอุปคุต น่าจะเป็นชาวเมืองปาตลีบุตร เมื่อบวชแล้วบำเพ็ญเพียร จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ สำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหาร เป็นที่เล่าลือมาจนทุกวันนี้ มีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่าท่านเนรมิตเรือนแก้ว (กุฏิแก้ว) ขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล) แล้วก็ลงไปอยู่ประจำ ที่กุฏิแก้วตลอดเวลา เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือเมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ หรือมีผู้นิมนต์ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือ ด้วยความเต็มใจเสมอ

    สรุปรวมความได้ว่า ท่านเป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่ง ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (ผู้นำกองทัพธรรมแผ่กระจายไปทั่วโลก) เป็นพระเถระผู้เปี่ยมด้วยพุทธานุภาพ และฤทธิ์เดชเกรียงไกร สามารถปราบพญามารและกำจัดสิ่งชั่วร้าย ที่จะมาทำลายพิธีกรรมใหญ่ ๆ มาแต่ครั้งโบราณ

    เรื่องราวก็มีอยู่ว่า เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 2 หลังพุทธปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้อินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชสมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ตามตำนานกล่าวว่า ได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูป มากมายทั่วทั้งชมพูทวีป (เค้าว่ามากถึงแปดหมื่นสี่พันองค์) เป็นผู้รวบรวมและขุดค้นพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อจะนำไปบรรจุในสถูปที่พระองค์ทรงสร้างไว้ทุกแห่ง

    เมื่อการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงปรารภ ที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมดนั้น เป็นการมโหฬารยิ่ง ตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และเพื่อให้การฉลองสมโภช เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปราศจากอุปสรรค จึงใคร่จะอาราธนาพระสงฆ์ขีณาสพ ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ มาเป็นผู้คุ้มครองงาน ให้ปราศจากการรบกวนจากมารร้ายต่าง ๆ

    แต่พระสงฆ์ในนครปาตลีบุตร ไม่มีรูปใดที่จะสามารถ เป็นผู้คุ้มครองงานมหกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ ให้พ้นจากภัยทั้งหลายทั้งปวงได้ (โดยเฉพาะภัยจากพญาวัสสวดีมาร ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย) นอกเสียจากพระอุปคุตเถระผู้เดียวเท่านั้น พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งตัวแทน ๒ รูป ลงไปอาราธนาพระอุปคุตเถระผู้เรืองฤทธิ์ มาช่วยรักษาความปลอดภัย ในงานสมโภชครั้งนี้ ซึ่งกล่าวกันว่า พระอุปคุตเถระองค์นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียว เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุข อยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ภายในปราสาทแก้วที่เนรมิตขึ้น เหนือรัตนะบัลลังก์ จะออกจากสมาบัติ เหาะขึ้นมาบิณฑบาต ในโลกมนุษย์ ในวันพุธเพ็ญกลางเดือนเท่านั้น

    และในครั้งนี้เอง พระอุปคุตเถระ ถูกพระภิกษุสองรูป ผู้ได้อภิญญาสมาบัติ ชำแรกมหาสมุทร ลงมาถึงตัวท่านแจ้งว่า ให้ท่านจงเป็นธุระ ป้องกันพญามารอย่าให้รบกวนงานฉลองพระสถูปเจดีย์ ของพระเจ้าอโศกมหาราชได้

    เมื่อพระอุปคุตเถระได้รับนิมนต์ ก็เดินทางมานมัสการ และรายงานตัวต่อคณะสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้เสด็จเข้ามานมัสการคณะสงฆ์ เพื่อขอทราบเรื่อง ผู้จะที่จะมาทำหน้าที่รักษาการ งานฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ เมื่อพระองค์ทรงทราบ ว่าผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้ คือพระอุปคุตเถระ ก็ทรงนึกแคลงพระทัย เนื่องจากพระอุปคุตเถระนั้น มีร่างกายผ่ายผอมดูอ่อนแอ ก็ทรงไม่แน่ใจ เกรงจะทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ แต่ไม่ทรงตรัสว่ากระไร

    ครั้นรุ่งเช้าวันใหม่ ขณะที่พระอุปคุตหาเถระ ออกบิณฑบาตในนครปาตลีบุตรนั้น พระเจ้าอโศกมหาราช ใคร่จะทดสอบฤทธิ์พระเถระ จึงทรงปล่อยช้างซับมัน (ช้างตกมัน) ให้เข้าทำร้ายพระเถระ พระมหาอุปคุตเถระเห็นดังนั้น จึงสะกดช้าง ที่กำลังวิ่งเข้ามา ให้หยุดอยู่กับที่ ไม่ไหวติงประดุจช้างที่สลักด้วยศิลา พระเจ้าอโศกมหาราช ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงเลื่อมใส จึงเสด็จไปขอขมาพระเถระ พระมหาอุปคุตเถระ ก็ให้อภัยทั้งแก่พระเจ้าอโศกมหาราช และพญาคชสาร

    เมื่อเห็นว่าพระอุปคุตเถระ มีฤทธิ์เดชมาก พระเจ้าอโศกมหาราช ก็ทรงวางพระทัย ตรัสสั่งให้เตรียมฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมด ด้วยการปลูกปะรำร้านโรง ประดับธงทิว และประทีปโคมไฟ ตลอดระยะทางกึ่งโยชน์ ทำให้ตามแนวฝั่งแม่น้ำคงคา สว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ

    บรรลุฤกษ์งามยามดีตามที่กำหนดไว้ บรรดาพระสงฆ์ขีณาสพ และพระสงฆ์ปุถุชน ตลอดจนพุทธศาสนิกชน ทั้งในนครปาตลีบุตร และต่างแดนจากจตุรทิศ ก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริเวณงาน พร้อมเครื่องสักการบูชา เพื่อร่วมพิธีฉลองสมโภช พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในมหาเจดีย์ และเจดีย์ ทั้งแปดหมื่นสี่พันองค์ ด้วยความเลื่อมใส ศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

    และในเวลานี้เอง พญามาร (พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร) ก็มุ่งหน้าเข้ามาในงานกับเค้าเหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะก่อความวุ่นวาย ต่างๆ นานา ทั้งบันดาลให้เกิดลมพายุ ทั้งแปลงร่างเป็นสัตว์ป่า และสัตว์หิมพานต์ แต่ทุกครั้งก็โดนพระอุปคุตเถระ กำราบได้หมด และสุดท้าย เพื่อให้พญามาร ออกไปจากบริเวณพิธี พระอุปคุตเถระ จึงเนรมิตร่างหมาเน่าขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วดึงประคตจากเอวของท่าน ออกมาผูกร่างหมาเน่านั้น คล้องคอพญามารไว้ แล้วสำทับว่าไม่ว่าใครก็ตาม (นอกจากท่านเอง) จะเอาหมาเน่านี้ออก จากคอพญามารไม่ได้ แล้วขับพญามารออกไป จากบริเวณงานทันที

    ด้วยความอับอาย พญามารก็ออกมาจากบริเวณงาน และพยายามแก้ร่างสุนัขเน่า ออกด้วยฤทธานุภาพ แต่ทำอย่างไร ก็ไม่สามารถแก้ได้ เพราะเมื่อเอามือทั้งสอง ต้องสายประคตที่คล้องคอทีไร ต้องมีไฟลุกขึ้นไหม้คอ และมือทันที สุดจะแก้ไขด้วยตนเองได้ ก็ไปหาที่พึ่งอื่น (ที่คิดว่าน่าจะช่วยได้)
    แต่ถึงแม้จะไปหาท้าวมหาราชทั้งสี่ พระอินทร์ ท้าวยามา ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมิตเทวราช ตลอดจนท้าวสหัสบดีพรม ก็ไม่มีใครสามารถช่วยได้ ต่างได้แต่แนะนำว่า ให้พญามารไปขอขมา และขอความเมตตา จากพระเถระผู้นั้นเสียดีกว่า

    พญามารเห็นดังนั้น จึงจำใจต้องกลับไปหาพระเถระ อ้อนวอน ให้ช่วยเอาซากหมาเน่าออกจากคอให้ แล้วจะไม่มารบกวน การจัดงานอีก พระอุปคุตเถระก็อนุโลมตาม แต่ยังไม่ไว้ใจพญามารนัก เกรงพญามาร จะกลับมาทำลายพิธีในภายหลัง จึงเดินนำพญามาร ไปยังเขาใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วเอาร่างหมาเน่าทิ้งลงเหว และเนรมิตให้สายประคตยาวขึ้น แล้วพันคอพญามาร ไว้กับเขาลูกนั้น พร้อมทั้งแจ้งว่า เมื่อเสร็จพิธีฉลองสมโภช พระมหาเจดีย์สิ้นสุดลงแล้ว จึงจะแก้โซ่ออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสระ (7 ปี 7 เดือน 7 วัน)

    เวลาผ่านไปตามที่ตกลงกัน การจัดงานสมโภชน์ ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พระอุปคุตเถระ จึงกลับมาหาพญามาร โดยแอบอยู่ห่างๆ เพื่อฟังเสียงพญามารว่า ละพยศร้ายหรือยัง

    พญามารเอง เมื่อจากทิพยวิมานอันบรมสุข มารับทุกขเวทนาเช่นนี้ ก็ละพยศร้ายในสันดาน หวนนึกถึงพระพุทธโคดม จึงกล่าวสดุดี ในความเมตตากรุณา ของพระพุทธเจ้า ในเรื่องที่ทรงมีมหากรุณาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ว่า “ทรงบำเพ็ญสิ่งอันเป็นที่สุดหามิได้ เป็นที่พึ่งพำนักแก่สัตว์โลกทั้งมวล ในกาลทุกเมื่อ พระองค์นั้น เป็นผู้ประเสริฐหาผู้เสมอเหมือนมิได้ อนึ่ง ในกาลก่อน ข้าพเจ้าได้ทำร้ายพระองค์ โดยประการต่างๆ แต่พระองค์ ก็ยังทรงมหากรุณาธิคุณ มิได้กระทำการโต้ตอบ แก่ข้าพเจ้าเลย มาบัดนี้ สาวกของพระองค์นามว่าอุปคุต ไม่มีเมตตาแก่ข้าพเจ้าเลย กระทำกับข้าพเจ้า ให้ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส และได้รับความอับอาย เป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าข้ายังมีบุญกุศล ที่ได้สั่งสมไว้แต่กาลก่อน ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ปรารถนาเป็นพระสัพพัญญูในอนาคต ดังเช่นพระองค์ต่อไป”

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=telltext width="52%"></TD><TD width="48%">[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    กล่าวได้ว่า การตกระกำลำบากในครั้งนี้ ทำให้พญามาร ซึ่งความจริงแล้ว ในอดีตชาติ (ในยุคของพระกัสสปพุทธเจ้า) เคยมีจิตตั้งมั่น ที่จะบำเพ็ญเพียร ให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นกัน แต่ที่ได้กระทำการขัดขวาง พุทธศาสดาของพระพุทธโคดม ก็ด้วยความริษยา พระพุทธโคดม (มีมิจฉาทิฐิ) เนื่องด้วยพระองค์ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตน ทั้งๆ ที่ตนบำเพ็ญบารมี มามากพอสมควรเหมือนกัน แต่การกระทำในแต่ละครั้ง ก็มิได้ล่วงเกิน ทำบาปหนักแต่ประการใด

    เมื่อพระอุปคุตเถระ ได้ยินคำปรารภดังนั้น ก็เห็นว่าพญามารสิ้นพยศแล้ว จึงแก้โซ่ออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสระ พร้อมทั้งขอขมาพญามาร และบอกว่า การกระทำครั้งนี้ ก็เพื่อให้พญามาร ระลึกได้ถึงพุทธภูมิ ที่ท่านเคยปรารถนาไว้เท่านั้นเอง มิได้มีเจตนา ที่จะล่วงเกินประการใด ซึ่งพญามารก็เข้าใจด้วยดี


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="52%">[​IMG]

    </TD><TD class=telltext width="48%">พระอุปคุต เขมร</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ต่อจากนั้นพระเถระ ก็ได้ขอให้พญามาร เนรมิตกาย เป็นพระพุทธองค์ เพื่อจะได้เห็น เป็นพุทธานุสติบ้าง ซึ่งพญามารก็รับคำ แต่ขอร้องว่า เมื่อเห็นเขาเนรมิตกาย เป็นพระพุทธองค์แล้ว อย่าหลงกราบไหว้เป็นอันขาด เพราะจะให้เขาบาปหนัก

    ครั้นเมื่อพญามารเนรมิตกาย เป็นพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ และฉัพพรรณรังสี อันวิจิตร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา แวดล้อมด้วย มหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวาร เสด็จเยื้องย่าง ด้วยพุทธลีลาอันงดงามยิ่ง พระเถระ และบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นเช่นนั้น ก็ลืมตัวพากันถวายนมัสการ ทำเอาพญามารตกใจ รีบคืนร่างเดิม และท้วงติงว่า ทำให้ตนมีบาปหนัก แต่พระเถระ ก็กล่าวให้พญามารสบายใจว่า ทุกคนกราบไหว้พระพุทธเจ้า และพญามารก็ไม่บาปหรอก จะได้กุศลมากกว่า


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=telltext width="52%">พระอุปคุต ลงรักปิดทองเก่า

    </TD><TD width="48%">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​


    จากนั้นพญามาร ก็กลับคืนสู่สวรรค์ ชั้นที่ 6 วิมานของตน และนับแต่นั้นมา พญามารได้มีจิตอ่อนน้อมเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา หมดสิ้นน้ำใจริษยา และบำเพ็ญบารมี เพื่อพุทธภูมิต่อไป

    หมายเหตุ
    เนื้อเรื่องได้กล่าวถึง พระพระกัสสปพุทธเจ้า ดังนั้นเพื่อความเข้าใจ ในการอ่าน ขอเสริมว่าตามตำนาน โลกเรานั้น แบ่งช่วงเวลาเป็นกัลป์ ซึ่งแต่ละช่วง ในแต่ละกัลป์ ก็จะมีพระพุทธเจ้า ที่มาตรัสรู้ โปรดบรรดาสัตว์โลก เป็นคราวไป ดังนั้นพระพุทธเจ้า จึงมีหลายพระองค์ ซึ่งเวลาหนึ่งกัลป์นั้นนานนัก (กัลป์ที่เราอยู่นี้ มีพระพุทธเจ้า มาตรัสรู้แค่ 5 พระองค์ และมีหลายๆ ช่วงในแต่ละกัลป์ ที่ปราศจากพระพุทธศาสนา โดยสิ้นเชิง ดังนั้นถือว่าเราโชคดีมาก ที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาในชาตินี้
    ประวัติเพิ่มเติมตามตำนาน พระอุปคุต คัมภีร์อโศกอวทาน
    ประวัติเพิ่มเติมตามตำนาน พระอุปคุต คัมภีร์ปฐมสมโพธิ์<!-- google_ad_section_end -->
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำบูชา พระอุปคุต หรือ พระบัวเข็ม และประวัติ

    กำเนิด ประวัติ เรื่องราวความเป็นมา พระอุปคุต - คัมภีร์อโศกอวทาน


    กำเนิด ประวัติ เรื่องราวความเป็นมา พระอุปคุต - คัมภีร์อโศกอวทาน
    http://www.phuketvariety.com/buddhis...asok/index.htm

    เรื่องราวความเป็นมาของท่าน จากที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์อโศกอวทาน มีกล่าวไว้ว่า พระอุปคุตเถระ ท่านถือกำเนิด มาในตระกูลของพ่อค้า ที่เมืองมถุราซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำยมุนา ท่านมีพี่ชาย 2 คน ส่วนท่านนั้น เป็นคนสุดท้อง มูลเหตุที่ทำให้พระอุปคุตได้บวชนั้น ก็สืบเนื่องมาจาก บิดาของท่าน ได้เคยให้สัญญาไว้กับ พระเถระรูปหนึ่ง คือ พระสาณวาสี ว่าถ้าตนมีลูกชาย ก็จะให้บวชในพระพุทธศาสนา ทีนี้พอมีลูกชายคนแรก ก็ไม่ยอมให้บวช ด้วยอ้างว่าจะต้องเอาไว้ดูแลทรัพย์สิน ในเหย้าเรือน เอาไว้ถ้ามีลูกชายคนที่ 2 เมื่อไร แล้วจะยอมให้บวช แต่พอมีลูกชายคนที่ 2 เข้าจริง ๆ ก็หาเรื่องบิดเบือนอีก ว่ามีความจำเป็น ต้องเอาไว้สำหรับ ทำธุระตามหัวเมือง ขอให้รอไว้มีลูกชายคนที่ 3 แล้วจะต้องบวชให้อย่างแน่นอน
    พอลูกชายคนที่ 3 ซึ่งมีชื่อว่า “อุปคุต” เกิดมาก็แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพระเถระ พระเถระท่านเห็นว่า ยังไม่ถึงเวลา ท่านจึงนิ่งไว้ก่อน และก็ไม่ได้ไปทวงถามถึงสัญญานั้น จนกระทั่งอุปคุตโตเป็นหนุ่ม
    ตอนนั้นอุปคุตได้มาช่วยบิดาขายเครื่องหอมอยู่ที่ร้านในตลาด ตั้งแต่อุปคุตมาอยู่ที่ร้าน ก็ปรากฎว่า เครื่องหอม ขายดิบขายดี เป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนมาซื้อหากันไม่ขาดสาย นี่เป็นธรรมดาของผู้มีบุญไปอยู่ที่ไหน ทรัพย์สิน ก็จะหลั่งไหลมา ด้วยอำนาจแห่งบุญ
    เพราะฉะนั้นจึงเชื่อกันว่า ผู้ที่ค้าขาย หากได้บูชาพระอุปคุตเป็นประจำทุกเช้าตอนเปิดร้าน ก็จะทำให้ค้าขายดี มีคนมาซื้อหาไม่ขาดสายทรัพย์สิน ก็จะหลังไหลมาเทมา กิจการเจริญก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป
    วันหนึ่งพระสาณวาสีเถระ ได้แวะเข้าไปในร้านที่อุปคุตขายของ และได้กล่าวธรรมกถาให้อุปคุตฟัง ปรากฏว่า อุปคุตฟังแล้ว เกิดสังเวช ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ในพระพุทธศาสนา เมื่อพระสาณวาสีเถระเห็นว่า อุปคุตได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว จึงได้ไปทวงสัญญากับนายพาณิชย์ ผู้เป็นพ่อของอุปคุต “ไหนว่าจะถวายลูกชายคนที่ 3 แก่อาตมา เพื่อให้บวชยังไงล่ะ” พอนายพาณิชย์ถูกทวงถามเช่นนั้น ก็อับจนปัญญา ไม่อาจหาวิธีพูดบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงได้อีก จึงตัดสินใจอนุญาตให้อุปคุตออกบวชได้

    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-5530375026656530";google_ad_width = 468;google_ad_height = 60;google_ad_format = "468x60_as";google_ad_type = "text_image";google_ad_channel ="2932561251";google_color_border = "FFFFFF";google_color_bg = "FFFFFF";google_color_link = "5A1E44";google_color_url = "999999";google_color_text = "999999";//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT>​
    กิตติศัพท์ขจรขจาย
    เมื่ออกบวชแล้ว ท่านพระอุปคุตก็ตั้งใจเจริญกรรมฐาน จนได้บรรลุพระอรหันต์ เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุด ในพระพุทธศาสนา และต่อมาท่านพระอุปคุต ก็ได้เป็น พระอาจารย์สอนกรรมฐานที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มากที่สุด ในยุคนั้น โดยในคัมภีร์ได้กล่าวว่า ท่านมีพระอรหันต์ผู้เป็นศิษย์อยู่ถึง 18,000 รูป ส่วนสำนักของท่าน ตั้งอยู่ ณ วัดนตภัติการาม ภูเขาอุรุมนท์
    ศรัทธาของพระเจ้าอโศก
    กิตติศัพท์ด้านความรู้ความสามารถของท่านได้แพร่สะพัดไป จนทราบถึงพระกรรณของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ จึงตั้งพระทัย จะเสด็จไปอาราธนา ท่านพระอุปคุตให้มาโปรดยังกรุง ปาฏลีบุตร
    แต่วิสัยของพระอรหันต์ผู้ยิ่งด้วยอภิญญาเฉกเช่นท่านพระอุปคุตนั้น เพียงแค่พระเจ้าอโศกทรงดำริเท่านั้น ท่านก็ทราบแล้ว จึงได้รีบลงเรือเดินทางมาสู่กรุงปาฏลีบุตรในทันที ฝ่ายพระเจ้าอโศก เมื่อทรงทราบว่า ท่านพระอุปคุต ได้เดินทางมาแล้ว จึงได้โปรดให้ตั้งพิธีต้อนรับ และเสด็จมารับ ท่านพระอุปคุต ด้วยพระองค์เอง อันเป็นตำนาน ที่ปรากฎอยู่ ใน คัมภีร์อโศอวทาน<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT>
    [​IMG]

    (รูปคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตร) ลิขสิทธิ์ของ อ.จเร แห่งบ้านดวงธรรม)
    หากจะนำไปบูชา ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามนำไปซื้อขาย และหากนำไปลงในเว็บหรือกระทู้ต่างๆ ขอให้แจ้งตามวงเล็บนี้เสมอ)

    รูปคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตร)

    1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า
    2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า
    3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร)
    4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า (หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ลพบุรี)
    5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า (หลวงปู่หน้าปาน หรือหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด วัดโอภาสี กรุงเทพฯ)


    โดยปกติที่เห็นหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรกันทั่วๆไปนั้น จะเป็นรูปของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)ครับ

    [​IMG][​IMG]
     
  5. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    โอ้ว ... ขอบพระคุณครับพี่ ... โมทนาสาธุทุกประการครับ


    ... เป็นของขวัญวันเกิดอันสูงค่ายิ่ง ผมเกิดวันที่ 24 มี.ค.พอดี จึงขออดใจไว้ว่าจะไปร่วมทำบุญกับคอนโดบุญ ในวันพุทธาภิเษกที่จะถึงนี้ "บุญ-กุศล"จะได้กระจายไปหลายๆแห่งในคราเดียวกัน ::: เป็นต้นว่า ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธฯ,กองทุนหาพระถวายวัด,ร่วมสร้างเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง และศูนย์ปฏิบัติธรรม ณ ดอยอ่างขางครับ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2010
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สุขสันต์วันเกิดนะครับ ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปครับ

    ส่วนคอนโดบุญ ต้องนำไปอยู่แล้วครับ จะได้ร่วมทำบุญกันในหลายๆบุญ เราทำบุญเหมือนกับยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายๆตัวครับ


    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ความรู้เกี่ยวกับการก่อสร้าง

    ++ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด(มหาชน)

    <TABLE width="90%" border=0><TBODY><TR><TD>
    10 เทคนิคดูแลบ้านหน้าฝน

    ปีนี้ฤดูฝนบ้านเรามาไวกว่าปกติ และดูท่าว่าจะกินระยะเวลายาวนานกว่าทุกๆ ปี และที่แตกต่างจากทุกๆ ปี คือนอกจากฝนตกชุกแล้วยังมาพร้อมกับพายุลมแรง ซึ่งอาจก่อความเสียหายให้บ้านหลังงามของคุณได้ เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น เราจึงมีเทคนิคดูแลบ้านในช่วงหน้าฝนอย่างง่ายๆ มาฝาก รับรองว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงคุณสาวๆ แน่นอนครับ
    1. หมั่นเช็คการรั่วซึมของหลังคา ฝ้า ผนัง การรั่วซึมของหลังคาหรือผนัง ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ และส่วนใหญ่มักจะทราบเมื่อเกิดปัญหามาได้สักระยะหนึ่งแล้ว วิธีตรวจสอบง่ายๆ คือ หมั่นสังเกตรอยรั่วซึมแตกร้าวของหลังคา ฝ้าเพดานและฝาผนัง หรือรอยต่อของวัสดุต่างๆ เช่น ขอบหน้าต่างว่ามีคราบรอยน้ำหรือไม่ ถ้าพบว่ามีการแตกร้าวหรือรั่วซึมจริงให้รีบติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญมาซ่อมให้เร็วที่สุด
    2. ดูแลรางน้ำฝน อย่าปล่อยให้รางน้ำฝนมีเศษใบไม้ หรือขยะอุดตัน เพราะเวลาฝนตก หนักๆ อาจจะทำให้น้ำไหลย้อนเข้าไปรั่วภายในบ้านได้
    3. ล้างท่อระบายน้ำ หมั่นตักขยะ เศษใบไม้ เศษดิน ขี้โคลน ออกจากบ่อดักขยะในบ้านของคุณ รวมทั้งล้างบริเวณระเบียง หรือเฉลียง เพื่อป้องกันไม่ให้ท่อระบายน้ำอุดตัน
    4. ขยันขัดพื้น หลังฝนตก ควรขัดล้างพื้นรอบๆ บ้านอย่าให้มีตะไคร่จับ หรือเป็นคราบดิน อันเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ ลื่นหกล้มได้ง่าย
    5. คว่ำภาชนะที่ไม่ใช้ ภาชนะจำพวกถังน้ำที่วางอยู่นอกตัวบ้าน ควรจับวางคว่ำไว้ เพื่อไม่ให้มีน้ำขัง และกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไข้เลือดออก
    6. ตัดกิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัวบ้านให้สั้นเข้าไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้กิ่งไม้หักโดนตัวบ้าน เวลามีลมพายุแรงๆ และป้องกันไม่ให้สัตว์เลื้อยคลานใช้เป็นทางเดินเข้าสู่ภายในบ้าน ข้อนี้อาจต้องพึ่งคนสวน เพื่อนหนุ่มหรือคุณสามี
    7. ทำไม้ค้ำยันให้ต้นไม้ บ้านที่เพิ่งปลูกต้นไม้ใหญ่ ควรทำไม้ค้ำยันต้นไม้ไว้ เพื่อให้ลำต้นตั้งตรง ไม่เอนเอียง หรือโค่นล้ม เมื่อมีลมพัดมาแรงๆ และช่วยทำให้รากต้นไม้สามารถแผ่ขยายได้อย่างรวดเร็วด้วย
    8. ย้ายเฟอร์นิเจอร์สนามหลบฝน เมื่อฝนตกบ่อยๆ ขึ้น ชุดเฟอร์นิเจอร์สนามที่คุณเคยใช้
      นั่งเล่นกินลม คงไม่เหมาะที่จะใช้งานต่อไป ทางที่ดีควรหาที่จัดเก็บเพื่อหลบฝนหรือใช้ผ้าใบคลุมไว้
    9. บ้านที่โล่งโปร่งสบายในหน้าร้อน เมื่อถึงฤดูฝนควรทำชายคา หรือกันสาดยื่นออกมาเพื่อกันไม่ให้ฝนสาดเข้าไปกระทบกับช่องเปิดพวกบรรดาประตู หน้าต่าง หรือผนังบ้านในส่วนต่างๆ เพื่อป้องกันการผุพัง คราบเชื้อรา หรือคราบตะไคร่น้ำจับเกาะบริเวณผนัง
    ปลูกต้นไม้ใหม่หรือย้ายต้นไม้ในกระถางลงดิน ต้นฤดูฝนเป็นเวลาที่เหมาะกับการปลูกต้นไม้ใหม่ๆ ให้กับสวนของคุณ โดยเฉพาะการลงต้นไม้ขนาดใหญ่ ควรทำในช่วงนี้ เพราะอากาศมีความชื้นสูง และมีน้ำฝนมาช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ดิน ใบไม้จึงระเหยน้ำไม่มาก ต้นไม้จะมีโอกาสรอดสูง

    ถ้าคุณทำได้หมดทุกข้อ รับรองว่าหน้าฝนนี้ถึงจะไม่ค่อยได้ออกไปไหนๆ แต่คุณก็สามารถอยู่บ้านได้อย่างมีความสุขแน่นอน... ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ฝันเจอพระอริยะ

    เมื่อคืน(เช้าวันที่ 16/03/2553) ราวตี 5 ผมฝันเจอหลวงปู่ขาว ผมดีใจมากเพราะอยากเจอท่าน แต่เราเกิดไม่ทันเนอะ ในความฝันผมได้ปรนนิบัติท่านโดยการนวดที่ขาซ้าย ยังได้ทักท่านเลยเลยว่าน่องซ้ายแข็งมากครับหลวงปู่ ขณะเดียวกันก็มีโยมมาขอให้ท่านพิจารณาพระพิมพ์ที่เศกโดยท่านด้วย ฝันนานอยู่แต่ท่านไม่ได้สอนธรรมะ ฯลฯ ... ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่สองในการฝันเจอพระอรหันต์

    ...นี่เป็นการเปิดเผยครั้งแรกใน internet...

    ครั้งแรกผมฝันเจอหลวงปู่แหวน

    ตอนนั้นผมไปไหว้พระธาตุลำปางหลวง นอนที่ รร.ทิพย์ช้าง ตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะเดินทางไปไหว้หลวงพ่อพระพุทธชินราช พิษณุโลก และดูเขาแข่งเรือยาวด้วย

    ...ในคืน 19 เช้าวันที่ 20/09/2551 ราวตี 3 ครึ่ง สถานที่แห่งนั้นเป็นกุฏิเก่าๆเล็กๆ ในฝันผมก็ได้ปรนนิบัติท่านโดยการนวดที่แขนข้างซ้าย (เพราะท่านนั่ง) ในความรู้สึกจะมีหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย นั่งอยู่อีกมุมห้อง แต่ไม่เห็นหน้าท่าน และตอนนั้นก็ไม่ได้รู้ประวัติท่านเลย ... คำถามแรกที่ผมถามท่านว่า หลวงปู่ผมรู้สึกผิดเหลือเกินที่ไม่ได้ไปหาพ่อก่อนที่ท่านจะสิ้น ผมจะเป็นไรมั๊ย? ท่านนิ่ง ... ผมก็เลยถามต่อว่า หลวงปู่ ผมจะปฏิบัติธรรมได้หรือเปล่า? ท่านก็นิ่ง สักพักท่านก็เป่าลงบนหัวผม ในความรู้สึกขณะนั้นก็เย็นวาบเหมือนมีลมเย็นๆหรือเหมือนน้ำตกเย็นๆเทลงหัว สักพักผิวหนังของท่านจากตึงๆก็เหี่ยวย่นลง จากนั้นนั้นผิวของท่านก็แปลเปลี่ยนเป็นช้ำเลือดช้ำหนองประมาณว่าไม่มีหนังห่อหุ้มเนื้อเลย ต่อมามีเข็มจากคุณหมอจากไหนไม่รู้เสียบลงไปที่อก(ราวนม)หลวงปู่ทั้งซ้ายและขวา ร่างของท่านก็แปลเปลี่ยนเป็นองค์เล็กลงผิวออกดำแดงมีตกกระเหมือนคนแก่ทั่วไป

    อารมณ์ผมขณะนั้นตกใจตั้งแต่แรกที่หนังลอกออกมาแล้ว ก็เลยเดินออกไปทางด้านหลังกุฏิท่าน ไปเจอชายหนุ่มคนหนึ่งผิวขาวนุ่งผ้าขาดๆเนื้อตัวมอมแมม กำลังนั่งซักผ้าสีกลักให้หลวงปู่อยู่ ก็เลยถามว่าคุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ เขาไม่ตอบแต่ในมโนคติรับรู้ตำตอบว่า เขาพึ่งมามาจากทางบ้านเฮา(ทางภาคอิสาน)ในเช้าวันนี้ มาเพื่อปรนนิบัติหลวงปู่แทนคนเก่าที่พึ่งจากไป ในความรู้สึกก็ตกใจ อารามว่าหมอนี้ท่าจะไม่ใช่คน เพราะถามไรก็ไม่ตอบ(พูด)

    ก็เลยเดินกลับมาทางด้านที่หลวงปู่นั่ง ซึ่งตอนนี้หลวงปู่ได้หายไปแล้ว แต่ผมเห็นพระห่มจีวรสีกลักแข็งๆทื่อๆเดินผ่านหน้าผมเข้าไปในวัดแห่งหนึ่ง สิ่งที่แปลกมากที่สุดคือแต่ละองค์มีความสูงพอๆกับประตูโขง(ประตูทางเข้าวัด) ผมนับพระที่เดินผ่านหน้าผมไปได้ 11 องค์นิแหละ (จำได้ว่าหวยงวดต่อมาออก 911 แต่ผมไม่ได้ซื้อ ฝันเจอขนาดนี้ก็เป็นบุญแล้ว) องค์สุดท้ายในความรู้สึกเข้าข้างตัวเองบอกว่าใช่ตัวเรา(หรือเปล่าหว่า?)

    ...จากนั้นผมก็ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกเหนื่อยๆมากๆ .... ก็เลยคิด พิเคราะห์ดูว่าหลวงปู่ท่านต้องการบอกอะไรกับเรา แต่ที่แน่ๆ ผมเปลี่ยนเส้นทางจาก ว่าจะไปนมัสการหลวงพ่อพระพุทธชินราช เปลี่ยนเป็นไปสักการะหลวงปู่แหวน ที่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ แทน ซึ่งเหตุการณ์ที่ผมเดินทางไปนมัสการท่านก็มีเหตุอัศจรรย์อยู่พอสมควร ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังครับ...

    วิเคราะห์ความฝัน: หลวงปู่น่าจะสอนธรรมว่า "อย่าไปยึดติด หลงไหลในกายเนื้อหรือผิวหนังของมนุษย์เลย" ประมาณนี้ครับ ...

    ...................
    ผลการทำนายคำว่า เกี่ยวกับหลวงปู่แหวน
    <TABLE width="70%"><TBODY><TR><TD align=middle>ฝันเกี่ยวกับหลวงปู่แหวน วันไม่รู้ ท่านว่าระวังปากระวังคําพูดนั้น ถ้าพูดน้อยจะมีคนนิยมชมชอบ การทะเลาะวิวาทจะเกิดเพราะคําพูด

    ตัวเลขนำโชค ได้แก่ 64 , 19 , 405 , 849 , 911
    สีนำโชค ได้แก่ สีชมพู
    ทิศนำโชค ได้แก่ ทิศใต้


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    มนุษย์มีความฝันเืนื่องจากเหตุ 4 ประการ ดังนี้
    1. บุรพนิมิต คือ เหตุการณ์ในอดีตหรืออำนาจจิตได้กำหนดให้ฝันเองโดยไม่ได้ตั้งใจ มักเป็นฝันที่เชื่อถือได้ตามสมควร
    2. เทพสังหรณ์ คือ เทพยดา วิญญาน สิ่งศักดิ์ิสิทธิ ได้เข้ามาดลใจให้ฝันโดยไม่นึกคิดมาก่อน เป็๋นฝันที่มักเป็นจริง
    3. จิตนิวรณ์ คือ จิตใจคิดเอง ตามที่คิดหรือตั้งใจไว้ ทำให้ฝันเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการประสงค์ เป็นฝันที่เชื่อถือมิได้
    4. ธาตุโขภะ คือ ร่ายกายที่ไม่ปกติ เจ็บป่วยทางกาย ทางใจ ทำให้ฝันเพ้อไป โดยไม่รู้ตัว เป็นฝันที่ไร้สาระ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_9361.JPG
      IMG_9361.JPG
      ขนาดไฟล์:
      206.3 KB
      เปิดดู:
      513
    • IMG_9380.JPG
      IMG_9380.JPG
      ขนาดไฟล์:
      147.7 KB
      เปิดดู:
      414
    • IMG_9387.JPG
      IMG_9387.JPG
      ขนาดไฟล์:
      222.6 KB
      เปิดดู:
      382
    • IMG_9389.JPG
      IMG_9389.JPG
      ขนาดไฟล์:
      174.3 KB
      เปิดดู:
      412
    • IMG_9431.JPG
      IMG_9431.JPG
      ขนาดไฟล์:
      227 KB
      เปิดดู:
      436
    • IMG_9447.JPG
      IMG_9447.JPG
      ขนาดไฟล์:
      208.4 KB
      เปิดดู:
      361
    • IMG_9459.JPG
      IMG_9459.JPG
      ขนาดไฟล์:
      170.9 KB
      เปิดดู:
      388
    • IMG_9488.JPG
      IMG_9488.JPG
      ขนาดไฟล์:
      197.7 KB
      เปิดดู:
      383
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2010
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 74 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 70 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, chantasakuldecha+, psombat+, พรสว่าง_2008+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ๊ะ สวัสดีตอนเที่ยงๆ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประกาศงานบุญ(งานบวชพระ 12 รูป)

    เนื่องด้วยพี่ท่านนึงที่ผมเคารพเหมือนพี่ชายผม (พี่ชนินท์) ,ลูกน้องพี่สิทธิพร และเพื่อนลูกน้องพี่สิทธิพร ฯลฯ จะบวชพระภิกษุ แล้วจะขึ้นไปอยู่ที่สวนทิพย์โลกอุดร

    หากท่านสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า และคณะพระวังหน้าท่านใด มีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญในงานบวชนี้ ขอให้แจ้งผม(เป็นบัญชีส่วนตัวของผม ไม่ใช่บัญชีชมรมรักษ์พระวังหน้าหรือกองทุนหาพระถวายวัด)ด้วย และโอนเงินร่วมทำบุญเข้าบัญชีผม ก่อนวันที่ 20 มีนาคม 2553

    แต่หากท่านใดที่จะไปร่วมในงานพิธีพุทธาภิเษก ก็ให้ไปร่วมทำบุญกันในงานได้เช่นกัน พี่สิทธิพรได้แจ้งผมว่า พี่สิทธิพรจะไปร่วมงานด้วยครับ

    โมทนาบุญทุกประการ
    [​IMG]
    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 93 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 91 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, psombat+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 106 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 104 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, psombat+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    Attachments Posted by sithiphong

    [​IMG]
    40.2 KB, ดาวน์โหลด 163 ครั้ง
    09-03-2010 11:44 AM



    [​IMG]
    14.5 KB, ดาวน์โหลด 95 ครั้ง
    11-03-2010 11:55 AM



    [​IMG]
    27.4 KB, ดาวน์โหลด 79 ครั้ง
    13-03-2010 07:55 PM



    [​IMG]
    34.5 KB, ดาวน์โหลด 22 ครั้ง
    เมื่อวานนี้ 09:48 PM
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2010
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แคปซูลยาทำจากอะไร?

    แคปซูลยาทำจากอะไร?


    [​IMG]


    แคปซูลยาทำจากอะไร? (สำนักข่าวไทย)

    แคปซูลยาผลิตจากเจลาติน ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการแปรรูปคลอลาเจนที่มีอยู่ในผิวหนังและกระดูกสัตว์ อย่างไขกระดูกวัว และหนังหมู

    แคปซูลยาทำหน้าที่เป็นภาชนะบรรจุยาและนำส่งยาไปดูดซึมที่ลำใส้เล็ก แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดแข็งและชนิดนิ่ม แคปซูลชนิดแข็งมีสองส่วน คือ ตัวแคปซูลและฝาปิด เมื่อบรรจุยาแล้วจะนำตัวแคปซูลและฝามาเชื่อมต่อกันมีรูปแบบสวยงาม พกพาสะดวก กลบรสของยาได้ดี เหมาะสำหรับยาที่ต้องการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะอย่างยาปฏิชีวนะ

    ส่วนแคปซูลชนิดนิ่ม จะผลิตเปลือกแคปซูลและบรรจุยาไปพร้อมกัน เหมาะกับยาที่ไวต่ออากาศและแสงมาก อย่างน้ำมันตับปลาและวิตามินชนิดต่าง ๆ

    แคปซูลยาจากเจลาตินยังมีข้อจำกัดในการเก็บรักษา ดังนั้น จึงมีคนคิดค้นแคปซูลยาที่ผลิตจากแป้งข้าวบริสุทธิ์มาเพื่อใช้ทดแทน



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ซื้อของแพงอย่างไร ให้เงินที่จ่ายไปคุ้มค่า

    http://hilight.kapook.com/view/47084


    [​IMG]


    ซื้อของแพงอย่างไร ให้เงินที่จ่ายไปคุ้มค่า (momypedia)

    คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า บ้าน รถยนต์ เครื่องประดับ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติมเต็มในชีวิต แต่เมื่อเขามีสิ่งเหล่านี้แล้ว บางครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาด้วยนั้น คือความรู้สึกไม่คุ้มค่าและเสียดายเงินที่จ่ายไป

    การซื้อของราคาสูงไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถยนต์ หรือแม้แต่เครื่องประดับราคาแพง สำหรับบางคนนับเป็นลงทุนครั้งสำคัญในชีวิต เพราะต้องใช้เงินเก็บก้อนใหญ่หรือไม่ก็ต้องกู้เงินและผ่อนชำระในระยาว การซื้อสิ่งเหล่านี้หากไม่เลือกสรรให้ดีก็อาจะต้องเสียใจ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจซื้อของที่มีราคาสูงควรต้องคิดให้รอบคอบ

    [​IMG] เลือกที่พักอาศัยซื้อหรือเช่าต้องให้คุ้ม อสังหาริมทรัพย์เป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม อย่างไรก็ตามหากใครมีเงินเก็บก้อนใหญ่เพื่อต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เราควรซื้อหากจำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัยหรือต้องการสถานที่เพื่อทำธุรกิจ ไม่ใช่ซื้อเพราะเห็นว่าตอนนี้บ้านราคาถูก หรือซื้อเพื่อหวังเก็งกำไรระยะยาว หากคุณไม่มีเงินเก็บมากพอ

    ในความเป็นจริง การซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย บางกรณีอาจไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการเช่าอยู่ ดังนั้นก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อ เราควรคำนวณดูปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะเวลาทำงานจากบ้านถึงที่ทำงาน ค่าน้ำมันรถที่ต้องใช้จ่าย ความสามารถในการผ่อนชำระระยะยาว เป็นต้น เราควรคำนวณดูว่าคุ้มค่าหรือไม่ เมื่อเทียบกับเราเช่าอยู่ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายเป็นเดือนๆ แต่ยังมีโอกาสเก็บเงินเป็นเงินก้อนใหญ่ต่อไปได้ เพราะประหยัดเรื่องการเดินทางและไม่ต้องวิตกกังวลกับการผ่อนชำระระยะยาว เนื่องจากความไม่แน่นอนของอนาคต เมื่อเราเก็บเงินได้จำนวนมากพอสมควร หรือมีฐานะการเงินที่มั่นคงก็อาจค่อยพิจารณาซื้อที่อยู่อาศัยต่อไป

    [​IMG] ซื้อรถเมื่อจำเป็น อย่าเลือกตามกระแสนิยม เราควรซื้อรถยนต์ที่คำนวณแล้วว่า คุ้มค่าในระยะยาว ไม่ควรซื้อตามแฟชั่น หรือซื้อเพียงเพราะถูกใจ แต่ในที่สุดก็ใช้อย่างไม่คุ้มค่าเงินที่เสียไป

    ดังนั้นเพื่อความรอบคอบในการซื้อรถให้คุ้มค่าในระยะยาว เราจึงไม่ควรพิจารณาแค่คำโฆษณา ความนิยมของตลาดหรือการลดแลกแจกแถม แต่ควรพิจารณาคุณภาพของรถที่จะเลือกให้สอดคล้องกับความต้องการในการใช้งานของเรา เช่น เราควรเลือกรถที่กินน้ำมันน้อยเพื่อเป็นการประหยัด พิจารณาความแข็งแรงทนทาน เพื่อให้มีอายุการใช้งานได้นาน และควรเลือกขนาดที่เหมาะสมกับการใช้งาน เป็นต้น

    และพิจารณาว่าเรามีความจำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้รถยนต์ในเวลานี้ หากยังไม่มีความจำเป็นก็เก็บเงินไว้ก่อนจะดีกว่า เพราะเราอาจต้องใช้เงินก้อนนี้ทำสิ่งที่สำคัญกว่า และเมื่อเราเก็บเงินไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาที่จำเป็นที่เราต้องมีรถ ก็จะทำให้เราไม่ต้องกู้เงินจากไฟแนนซ์ ทำให้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยและคุ้มค่าเงินที่เสียไป

    [​IMG] เลือกซื้อเครื่องประดับที่มีมูลค่าเพิ่ม เครื่องประดับอาจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิง แต่หากเราปล่อยให้เลือกซื้อตามความพอใจของเราเอง ก็จะนำมาซึ่งความฟุ่มเฟือยและการใช้เงินไม่เกิดประโยชน์สูงสุดได้ ดังนั้นการเลือกซื้อเครื่องประดับราคาแพง จึงไม่ควรเลือกซื้อเพราะว่า สวยถูกใจ เพียงประการเดียว แต่ควรเลือกซื้อเครื่องประดับที่มีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเมื่อใช้มานานก็ยังไม่ขาดทุน เมื่อเราเบื่อหรือยามใดเมื่อเราขัดสน มีความจำเป็นต้องใช้เงิน เราก็ยังสามารถขายเครื่องประดับที่เราซื้อมาได้ ในราคาที่ไม่ขาดทุนมากนักหรืออาจจะได้กำไรเพิ่มขึ้นก็ได้ ฉะนั้นก่อนซื่อเครื่องประดับ จึงควรมีข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องประดับชนิดต่าง ๆ เช่น เพชร พลอย ทอง เงิน และเครื่องประดับที่มีราคาอื่น ๆ และพิจารณาว่า หากเราต้องขายคืน เครื่องประดับที่ทำด้วยอะไรจะขายได้ง่าย ได้ราคามากกว่ากัน

    การซื้อสินค้าที่มีราคาสูง ทำให้เราต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบมากขึ้น ไม่ใช่คิดเพียงว่าเรามีเงินก็สามารถซื้อสิ่งที่สนองความพึงพอใจของเราได้ทุกอย่าง เราควรฝึกตนเองให้เป็นคนเรียนรู้ที่จะเห็นค่าของเงิน และใช้เงินสิ่งที่จำเป็นและมีประโยชน์ในระยะยาว


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
    โดย: Kant
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แบตเตอรี่ ฟันเฟืองสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

    http://hilight.kapook.com/view/47083


    [​IMG]



    "แบตเตอรี่" ฟันเฟืองสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม (Men's Health)

    โดย Silhouette

    การจะทำให้รถยนต์สักคันแล่นไปได้บนท้องถนน ลำพังแค่เครื่องยนต์ น้ำมัน เชื้อเพลิง และอากาศ คงยังไม่พอ ถ้าขาดการจุดระเบิดที่สมบูรณ์ และหนึ่งในอุปกรณ์ของกระบวนการสร้างกระแสไฟฟ้าให้กับรถยนต์ที่คุณสามารถดูแลด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ แต่หลายคนก็มักจะมองข้าม นั่นคือแบตเตอรี่รถยนต์นั่นเอง

    ข้อควรรู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่

    [​IMG] แบตเตอรี่รถยนต์ส่วนใหญ่ที่ใช้ในปัจจุบัน เป็นแบบเปียกหรือแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด (Lead-acid Battery) ที่มีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 2 ปี และเมื่อเสื่อสภาพคุณจะสังเกตได้จากสัญญาณเตือน อาทิ เครื่องยนต์ เริ่มสตาร์ทติดยาก ไฟหน้าไม่ค่อยสว่างหรือระบบกระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง

    [​IMG] หากแบตเตอรี่หมดสภาพ หรือถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ การเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้ลูกใหญ่ขึ้น แอมป์สูงขึ้นนั้นไม่ได้ทำให้รถยนต์เสียหาย ตรงกันข้ามจะทำให้รถยนต์ของคุณมีกำลังไฟฟ้าสำรองมากขึ้น มีกำลังไฟสตาร์ทแรงขึ้น และทำให้ไดชาร์จทำงานหนักน้อยลง แต่สิ่งสำคัญคือต้องดูพื้นที่ด้วยว่าสามารถวางแบตเตอรี่ลูกที่ใหญ่กว่าได้หรือไม่

    [​IMG] สารละลายอิเล็กทรอไลต์ของแบตเตอรี่ คือ กรดซัลฟิวริก หรือกรดกำมะถัน ซึ่งสามารถเป็นอันตรายต่อผิวหนังและดวงตาได้

    [​IMG] อย่าใช้น้ำที่คิดว่าสะอาดเติมลงในแบตเตอรี่ เพราะแบตเตอรี่ออกแบบมาให้เติมเฉพาะน้ำกลั่นเท่านั้น

    [​IMG] หมั่นทำความสะอาดบริเวณขั้วแบตเตอรี่ไม่ให้เกิดขี้เกลือ ถ้ามีขี้เกลือให้ล้างด้วยน้ำร้อนบริเวณขั้ว แล้วทาด้วยจาระบี

    [​IMG] บางทีการทที่แบตเตอรี่ไม่มีไฟอาจเนื่องมาจากปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น สายพานไดชาร์จหย่อน ทำให้ไดชาร์จไม่สามารถอัดประจุได้เต็มกำลัง

    เช็คแบตฯ ให้ดีก่อนจะซื้อ

    [​IMG] วันเวลาการเริ่มต้นใช้งาน จะระบุอยู่ในสติ๊กเกอร์การรับประกันที่ติดอยู่บนฝาแบตเตอรี่ เพื่อผลดีของการส่งเคลม ร้านค้าต้องลอกสติ๊กเกอร์ของช่องเดือน และปี ที่แบตเตรี่ลูกนั้นถูกจำหน่ายออก เพื่อทราบระยะเวลาของการใช้งานจริง

    [​IMG] แบตเตอรี่ลูกเก่ามีค่านะครับ อย่าทิ้งร้านของเก่ามักจะรับซื้อในราคาลูกละ 300-400 บาท ทางที่ดีให้ถามราคาแบตเตอรี่ใหม่ก่อน แล้วต่อรองเขาว่าให้ส่วนลดได้กี่บทเมื่อคุณคิดจะเทิร์นของเก่า

    คำแนะนำสำหรับมือใหม่หัดพ่วง

    [​IMG] เมื่อรถสตาร์ทไม่ติดและต้องการพ่วงแบตเตอรี่ (Jump Start) คุณควรจะต้องตรวจเช็คสภาพของแบตเตอรี่ก่อนว่าน้ำกลั่นแห้ง หรือมีรอยแตกที่แบตเตอรี่หรือไม่ เนื่องจากปฏิกิริยาของน้ำกรดกับแผ่นตะกั่วจะทำให้เกิดก๊าซไฮโดรเจน ซึ่งอาจเกิดการระเบิดได้ เมื่อมีเปลวไฟหรือการสปาร์คของไฟฟ้า

    [​IMG] ที่แบตเตอรี่แต่ละลูกจะมีขั้นโลหะสองขั้ว อันหนึ่งเป็นขั้วบวก (+) และอีกอันเป็นขั้วลบ (-) หนีบสายพ่วงที่เป็นขั้วบวกที่รถทั้งสองคันให้ตรงกัน จากนั้นหนีบสายพ่วงขั้วลบเข้ากับที่มีแบตเตอรี่เต็ม ส่วนอีกด้านต่อกับตัวถังรถของคันที่แบตเตอรี่หมด ติดเครื่องรถคันที่มีแบตเตอรี่เต็มและทิ้งเอาไว้สักพักหลังจากนั้นจึงทดลองสตาร์ท

    เพียงการดูแลง่าย ๆ แค่นี้ก็จะทำให้รถคุณไฟแรงไม่มีตกตลอดไป...



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
    หนังสือMen’s Health กุมภาพันธ์ 2553
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กิน"ถั่วแดง" หัวใจเข้มแข็ง
    Travel - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>16 มีนาคม 2553 14:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> "ถั่ว" เป็นธัญพืชที่ทราบกันดีแล้วว่ามีประโยชน์มากมาย ในทางการแพทย์จีนถือว่าถั่วชนิดต่างๆจะให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน เช่น ถั่วดำมีประโยชน์ต่อไต ถั่วเหลืองมีประโยชน์ต่อม้าม ถั่วเขียวใประโยชน์ต่อตับ ถั่วขาวมีประโยชน์ถ่อปอด

    และสำหรับถั่วแดงนั้น แพทย์จีนถือว่าช่วยบำรุงหัวใจ ประเภทอาการใจสั่น ช่วยในการบำรุงระบบประสาท บำรุงลำไส้ ลดอาการบวมน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ นอกจากนั้น ถั่วแดงยังมีทั้งสารอาหารโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามีนเอ บี ซี และเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารสูงมาก ดังนั้นจึงช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ดี ทั้งยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองปริแตก นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยกรดโฟลิกที่ช่วยบำรุงโลหิต ป้องกันความผิดปกติของทารกในครรภ์ และยังประกอบด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนต์ polyphenolics ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ดีอีกด้วย

    ถั่วแดงมักถูกใช้ประกอบอาหารในรูปของขนมหวานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วแดงบดกินกับไอศกรีม ฯลฯ ซึ่งก็ได้ทั้งความอร่อยและประโยชน์เลยทีเดียว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เมื่อคืนได้อ่านทฤษฏี หนึ่งน่าสนใจมากครับ ชื่อ agenda-setting theory เช้านี้เลย หามาฝากภาคไทยครับ ลองอ่านเพิ่มความรู้ครับ หุ หุ

    ทฤษฎีการกำหนดระเบียบวาระ<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    ในยุคสมัยที่สามนี้ สื่อโทรทัศน์เข้าสู่ยุคสมัยของการแพร่หลายแล้ว(popularized)และเมื่อเทียบกับสื่อที่เคยมีมาก่อนหน้านั้น เราต้องยอมรับว่าสื่อโทรทัศน์นับเป็นสุดยอดของสื่อมวลชนที่ทรงพลังทีเดียว มีทั้งภาพและเสียงเป็นสื่อใช้ในบ้านที่สะดวกต่อการเข้าถึง มีชั่วโมงถ่ายทอดยาวนาน วิธีการใช้ง่ายดายมาก -.ในประเทศที่มีการพัฒนาสังคมอย่างมาก ในทศวรรษ198ประเทศเหล่านั้นเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมข่าวสารที่สื่อมวลชนเริ่มมีบทบาท เป็นยาดำสอดแทรกในทุกส่วนเสี้ยวของชีวิตสังคมและชีวิตผู้คน ประเทศอื่นๆ ก็ไล่ตามหลังมาในเส้นทางเดียวกัน -.สื่อมวลชนยุคใหม่ เช่น วิทยุและโทรทัศน์มีลักษณะเป็น"สื่อนานาชาติ"อย่างมาก เช่น มีการใช้ดาวเทียมถ่ายทอดข่าวสารผ่าน โทรทัศน์ในเหตุการณ์สำคัญๆ ไปได้ทั่วโลก(เช่น ข่าวมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์)ดังนั้น อิทธิพลของสื่อจึงดูขยายอาณาเขตออกไปกว้างขวางมากขึ้น Murphy(1997)ได้รวบรวมแนวคิดเรื่องผลกระทบของสื่อมวลชนในรูปแบบใหม่ๆ เอาไว้ว่าจะมีอะไรบ้าง เช่น -SocialRegulationสื่อมวลชนได้ช่วยสังคมแสดงออกซึ่งระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่สังคมต้องการให้ผู้คนได้มองเห็นและยอมรับอย่างเต็มใจ เช่น ในบรรดาละครหรือภาพยนตร์ เมื่อมีผู้ทำผิดกฎหมาย ก็จะมีตำรวจมาจับกุมผู้กระทำผิดไปขึ้นศาล ถูกลงโทษ เป็นต้น -StatusConferral เป็นหน้าที่และศักยภาพของสื่อในการให้การรับรองบุคคลและสถาบันว่ามีคุณสมบัติที่ดี่หรือเป็นตัวแทนความคิดเห็นหรือเป็นตัว แทนของสถาบันต่างๆ เช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม โทรทัศน์ก็จะเลือกนักวิชาการหรือบุคคลในวิชาชีพที่ได้รับการยอมรับ(เพราะผลงานในอดีต ของสื่อที่"ปั้น"บุคคลเหล่านั้นขึ้นมาให้เป็นที่ยอมรับ)มาเปนผู้แสดงทัศนะ เป็นต้น -Agenda-Settingเป็นบทบาทของสื่อมวลชน ในการจัดข่าวสารที่เกิดขึ้นอย่างมากมายเอาไว้ให้เป็นระบบระเบียบเพื่อพร้อมสำหรับการนำเสนอ ซึ่งในขั้นตอนของการนำเสนอนั้น สื่อก็จะช่วยจัดวาระเรียงตามลำดับความสำคัญเพื่อที่ประชาชนจะได้พูดถึง อภิปราย ถกเถียง และให้ความสนใจต่อประเด็น ที่สื่อ"เลือกมานำเสนอ"อันก่อให้เกิดอิทธิพลทางอ้อม กล่าวคือถึงแม้สื่อจะไม่สามารถทำให้ประชาชน"คิดแบบที่สื่อคิดได้"(tinkwhat)แต่สื่อก็ยังไม่สามารถ ทำให้"คนคิดในเรื่องที่เกี่ยวกับสื่อบอกได้"(thinkabout)นอกจากนั้น ประชาชนยังเรียนรู้กฎกติกาต่างๆ ที่อยู่ใน"รูปแบบ"ของสื่อ เช่น อะไรที่พูดถึงมาก แปลว่า "สำคัญ"อะไรที่พูดถึงก่อน แปลว่า"สำคัญ"อะไรที่พาดหัวใหญ่ที่สุด แปลว่า"สำคัญที่สุด"เป็นต้น -Narcotisationหมายถึง อิทธิพลทางอ้อมของสื่อมวลชนที่เข้าครอบงำชีวิตประจำวันของคนทำให้คนใช่สื่ออย่างมาก ใช้อย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ ราวกับยาเสพติด และหมดความสนใจกับสิ่งเร้าแบบอื่นๆ ในชีวิต เช่นตัวอย่างชีวิตคนที่หมกมุ่นทั้งวันอยู่กับการอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านนิยายกำลังภายใน ดูโทรทัศน์ เล่นเกมกด เล่นอินเตอร์เนทอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น"ฯลฯจนมิติอื่นๆ ที่หลากหลายของชีวิตเลือนหายไป เช่นไม่สนใจพูดคุยกับผู้คน ไม่สนใจกิจกรรม นอกบ้าน ไม่ไปหาเพื่อนฝูง ฯลฯ -Surveillanceเป็นบทบาทของสื่อที่คอยดูแลความเป็นไปต่างๆ ในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นไปที่ส่อไปในทางร้ายหรือความผิดปกติ หน้าที่ดังกล่าวนี้มีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นในสังคมที่เป็นสังคมมวลชน สังคมขนาดใหญ่ สังคมที่มีอัตราการเสี่ยงสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว......สื่อต้อง คอยรายงานว่า ระดับสารตะกั่วในถนนถึงขีดอันตรายหรือยัง หรือภัยจากมนุษย์(เช่านการหลอกลวง การฆาตกรรม)รวมทั้งภัยจากโครงสร้างต่างๆ ของสังคม ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นรายการโทรทัศน์ประเภท"เฉียด""ตามล่าหาความจริง""จับกระแสหุ้น""เจาะข่าวคดีดัง"ฯลฯที่มีอิทธิพลใน สอดส่องตรวจตราและรายงานข่าวให้คนไทยในสังคมได้รับรู้ -Two-stepsFlowofinformationเป็นอิทธิพลทางอ้อมของสื่อที่แม้ว่าอาจจะทำหน้าที่ฉีดยาแบบทฤษฎีHypodemicTheoryแต่ทว่ายาที่ฉีดนั้นจะยัง เจาะไม่เข้าถึงตัวคนไข้โดยตรง เพราะจะต้องเผชิญกับ"หน้าด้านของมวลชน"หรือ"เกราะเครือข่ายทางสังคม"ที่เรียกว่า"ผู้นำทางความคิด"(OpinionLeaders) ในการนี้อิทธิพลของสื่อจะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของสื่อมวลชนในการประมือกับแหล่งข่าวสารอื่นๆ ที่มวลชนมีไว้ใกล้ตัว -MediaDepenedencyเป็นอิทธิพลที่เกิดจากโครงสร้างแบบหนึ่งๆ อันจะทำให้บุคคลจำเป็นต้องพึ่งพาสื่อมวลชนมากน้อยแตกต่างกันออกไป -Spiralofsilenceเป็นอิทธิพลของสื่อที่คล้ายกับAgenda-settingแต่ในขณะที่Agenda-setting เป็นอิทธิพลระดับปัจเจกบุคคลspiralofsilence เป็นอิทธิพลที่จะกำหนดวาระให้ระดับสังคม พลังของสื่อที่มีผลต่อระดับปัจเจกและระดับมหภาค งานวิจัยเรื่องการกำหนดวาระที่กล่าวมานั้นมักจะมุ่งดูผลกระทบของสื่อที่มีต่อระดับปัจเจก บุคคลแต่K.Lang&G.Langได้เปิดแนวความสนใจใหม่ในเรื่องผลกระทบต่อระดับมหภาค/สังคม ที่เขาเรียกชื่อว่า"การสร้างวาระ"(Agenda-building)ซึ่งหมาย ความถึงกระบวนการอันซับซ้อนที่ประเด็นหนึ่งๆ จะถูกสร้างให้มีความสำคัญในการกำหนดและวางแผนนโยบายออกมา ปรากฎการณ์วงเกลียวแห่งความเงียบงัน(Spiralofsilence) มีปรากฎการณ์ที่มักเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำที่สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนกับมติสาธารณะ(puplicopinion)เช่นในกรณีความขัดแย้ง ระหว่างสหรัฐกับอิรัก และมีการตัดสินใจว่า น่าจะต้องมีการทิ้งระเบิดสั่งสอนอิรัก ในระยะแรกที่มีการเผยแพร่ข่าวมีในหมู่สาธารณชน ยังมีความคิดเห็นแบ่งเป็น 2กระแส คือ กลุ่มที่เห็นด้วยและคัดค้าน อย่างไรก็ตาม หากเมื่อใดที่สื่อมวลชนทุกแขนงออกมาแสดงจุดยืนของตนในเชิงที่เห็นด้วยปรากฎการณ์ที่จะเกิดตามมา ก็คือกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย จะค่อยๆ ถอยร่นและเงียบลงไป ในขณะที่กลุ่มคนที่เห็นด้วย(เห็นเหมือนสื่อ)จะมีเสียงดังขึ้นและประสานกับเสียงของสื่อจนทำ ให้ดูเสมือนว่า นั่นเป็นความคิดเห็นของคนกลุ่มใหญ่แล้ว และยิ่งพลอยทำให้เสียงของสื่อจนทำให้ดูเสมือนว่า นั่นเป็นความคิดเห็นของคนกลุ่มใหญ่แล้ว Noelle-Neumannผู้บุกเบิก ในปี1984Noelle-Neumann ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องประชามติ(publicopinion)สังเกตเห็นปรากฎการณ์จากการทำงานหลายต่อหลายครั้งว่า เมื่อ เวลาที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวสารใดๆ ออกไป ณจุดปะทะที่1ซึ่งสื่อได้แสดงจุดยืนที่จะสนับสนุนประเด็นดังกล่าว ๆกลุ่มคนที่คัดค้านก็จะเริ่มลังเลที่จะ แสดงทัศนะของตน เช่น ผู้คัดค้านรับรู้ว่าทัศนะที่สื่อแสดงออกมานั้นเป็นตัวแทนความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่(อาจจะไม่จริง)หรืออาจป็นเพราะว่า วาระใด หรือข้อมูลใดที่สื่อไม่พูดถึงหรือไม่ หยิบยกมากล่าวถึง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กลุ่มที่คัดค้านเริ่มเงียบเสียงของตัวเองลงไปในจุดปะทะที่2คงมีแต่ทัศนะ ของกลุ่มที่เห็นด้วยและของสื่อ(ที่เห็นด้วยเช่นกัน) จากการวิเคราะห์ขั้นตอนดังกล่าว ทำให้Katzสรุปว่า หากกรณีส่วนใหญ่เป็นดั่งที่วิเคราะห์ก็เแสดงว่า ผลกระทบที่มีต่อระดับมหาภาค/สังคมที่กล่าว มานี้ จะสะท้อนด้านที่มืดมนของสื่อมวลชนว่า ทั้งๆ ที่เรามีชีวิตอยู่กันในสังคมประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็น แต่ทว่าสื่อมวลชนกลับมีบทบาท ไม่ต่างไปจากสื่อบุคคล คือ กดเก็บความคิดเห็นอันหลากหลายและแตกต่าง และก่อให้เกิดภาวะเงียบงันในกระแสการไหลของข่าวสาร Noelle-NeumannMcQuailมีตัวแปร4ตัวที่เกี่ยวข้องอยู่ในทฤษฎีวงเกลียวแห่งความเงียบงัน -สื่อมวลชน -การสื่อสารระหว่างบุคคลและความสัมพันธ์ทางสังคม -การแสดงความคิดเห็นของปัจเจกบุคคลต่อสาธารณะ -การรับรู้ของปัจเจกบุคคลต่อภาวะแวดล้อมในเรื่อง"บรรยากาศของความคิดเห็น" Noelle-Neumann นำเอาสมมติฐานดังกล่าวมาขยายความต่อโดยทาบดูกับปรากฎการณ์ที่เป็นจริงและให้ข้อสรุปว่า ในสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน ทางเลือกในการรับรู้ของประชาชนนั้นจะมีอยู่อย่างจำกัดมาก ทั้งนี้เนื่องมาจากลักษณะการทำงาน3ประการของสื่อมวลชน คือ 1.Ubiquityในทุกหนทุกแห่ง สื่อมวลชนสจะมีบทบาทเป็นแหล่งข่าวสารที่พบได้ในทุกที่ 2.Cumulationสื้อต่าง ๆมีแนวโน้มที่จะเสนอเรื่องราวแบบซ้ำซากมุมมองที่ใช้พิจารณาก็เหมือนกัน ไม่ว่าใครจะเป็นบรรณาธิการ ไม่ว่าจะเป็นสื่อ ประเภทไหน หรือไม่ว่าจะเป็นช่วงยุคสมัยไหน 3.Consonanseระบบค่านิยมของบรรดานักข่าวที่มีบทบาทสำคัญในการรายงานเนื้อหาข่าวของทุกสื่อจะมีลักษณะเหมือนกัน -ทั้งความเชื่อและประสบการณ์ของนักข่าวทุกระดับ ทุกสาขา ที่มีต่อประเด็นสาธารณะในการเสนอทั้งเนื้อหาและวิธีการเสนอให้สาธารณะยอมรับนั้นจะเหมือนกัน -นักข่าวมีแนวโน้มร่วมกันที่จะตอกย้ำความเชื่อและความคิดเห็น่ของตนเองมีแนวโน้มที่จะแสดงให้เห็นว่าความคิดเห็นของตนเองเหมาะสมการคาดการณ์ของตนเองถูกต้อง -ข่าวสารที่บรรดานักข่าวใช้ต่างเป็นแหล่งเดียวกัน -แต่ละสื่อใช้กันและกันเป็นแหล่งอ้างอิง -ข่าวแต่ละคนต่างก็ยากได้การยอมรับจากเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย ดังนั้นจึงพยายาม"อยู่ในแถว"มากกว่า"แตกแถว" -กลุ่มนักข่าวจัดเป็นกลุ่มคนที่มีลักษณะทางประชากรคล้ายคลึงกันมีทัศนะคติทางวิชาชีพที่ได้รับการหล่อหลอมมาจากเบ้าหลอมคล้ายคลึงกันทัศนะของพวกเขาจึงคล้ายสิ่งที่ออกมาจากสิ่งพิมพ์เดียวกัน ทฤษฎีการพึ่งพาสื่อมวลชน(Media Depandency Theory) หลักของทฤษฎีการพึ่งพาสื่อมวลชนนั้นก็เพื่อจะไขข้อข้องใจว่าเพราะเหตุใดเงื่อนไขหนึ่งสื่อมวลชนจึงมีอิทธิพลโดยตรงและอย่างมากต่อบุคคล ในเงื่อนไขหนึ่งก็มีอิทธิพลน้อยมากและเป็นอิทธิพลทางอ้อม ๆ เท่านั้น เนื้อหลักของทฤษฎีพึ่งพาสื่อมีสมมติฐาน4ข้อ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาทฤษฎีพึ่งพาสื่อคือ 1.ลักษณะของโครงสร้างสังคมแต่ละแบบเป็นอย่างไร 2.โครงสร้างดังกล่าวจะกำหนดให้สื่อมวลชนมีบทบาทต่อผู้รับสารมากน้อยแตกต่างกันไป 3.อันจะมีผลทำให้ผู้รับสารต้องพึ่งพาสื่อมากน้อยแตกต่างกันไป 4.และผลรับสุดท้ายก็คือจะตัดสินว่าสื่อสื่อมวลชนจะมีอิทธิพลต่อผู้รับสารมากหรือน้อยต่างกันไป ยังไม่ทันที่ข้อสรุปว่าสื่อมวลชนมีอิทธิพลอันจำกัดหรือิทธิพลน้อยจะถูกบันทึกอย่างเป็นทางการในตำราต่างๆ ก็มีผู้ตั้งข้อสงสัยในข้อสรุปดังกล่าวมากมาย ประการแรก เน้นผลกระทบแบบทันทีทันใดมากเกินไปโดยไม่พิจารณาภาพรวมหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นในระดับสังคม ประการที่สอง การเกิดของสื่อโทรทัศน์(1950-1960)ความสนใจจากผู้ชมมากทำให้เกิดภาวะลังเลในข้อสรุปขั้นต้นมากยิ่งขึ้น ประการที่สาม การวิจัยในยุคที่สาม มีการนำองค์ความรู้ทางด้านจิตวิทยามาใช้ค่อนข้างมาก การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดรับสื่อกับการ เปลี่ยนแปลงที่สามารถรับได้ ทัศนะคติ ความคิดเห็นพฤติกรรม นอกจากนี้ยังให้ความสนใจกับภาพรวมของปรากฎการณ์ อาทิ บรรยากาศของความคิดเห็น โครงสร้างของความเชื่อ อุดมการณ์ รูปแบบของวัฒนธรรม ตลอดจนการศึกษาสื่อมวลชนในเชิงสถาบัน นอกจากนี้ยังให้ความสนใจศึกษากระบวนการทำงานของสื่อและกระบวนการสร้างเนื้อหาอีกด้วย ยุคนี้จึงเป็นยุคที่โนแอลล์ นอยแมนน์(Noelle-Neumann)สรุปไว้ว่า เป็นการกลับสู่ยุคสื่อมีอิทธิพลอีกครั้งหนึ่ง("return totheconceptofpowerfumassmedia.") ในขณะที่ไบรอันท์ และทอมสัน เรียกยุคนี้ว่า ยุคที่สื่อมวลชนมีอิทธิพลระดับปานกลาง(ModerateEffectTheory)เพราะเป็นอิทธิพลที่เกิดจากการสะสมในระยะ ยาว(ComulativeEffect)หรืออิทธิพลทางอ้อมมากกว่าอิทธิพลแบบโดยทางตรงและทันทีทันใด ตัวอย่างทฤาฎีที่เชื่อว่าสื่อมวลชนมีอิทธิพลปานกลางหรือแบบสะสมระยะยาว ทฤษฎีการกำหนดระเบียบวาระของสื่อมวลชน(AgendaSettingTheory)1972 ทฤษฎีนี้เกิดจากแนวความคิดของวอลเตอร์ ลิปมันน์ (WalterLippmann)เกี่ยวกับประชามติและได้ข้อสรุปไว้ว่า สื่อมีส่วนในการสร้างภาพในหัวข้อ ของบุคคล นั่นคือแม้สื่อมวลชนไม่สามารถบังคับกะเกณฑ์ให้บุคคลคิดตามที่สื่อบอกได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถกำหนดกรอบให้บุคคลได้ว่าจะคิดเรื่องอะไร ข้อสรุปจากทฤฎีนี้ คือ -สื่อมวลชนไม่ได้นำเสนอภาพความจำเป็นจริงทั้งหมด แต่มีกระบวนการกรองและจัดการสารเพื่อการนำเสนอต่อสาธารณะภายใต้แรงกดดัน อาทิ จากกลุ่มผู้ปกครองหรือผู้มีอำนาจ บรรยากาศของสาธารณะมติ และสถานการณ์ที่เป็นจริง - สื่อแต่ละสื่อมีศักยภาพในการกำหนดระเบียบวาระที่แตกต่าง -นอกจากนี้การที่สื่อมวลชนเน้นย้ำในบางประเด็น บางเรื่องส่งผลต่อการทำให้สาธารณะตระหนักถึงความสำคัญของประเด็นนั้น ๆและยังอาจส่ง ผลต่อความคิดเห็นและการประเมินบรรยากาศทางการเมืองอีกด้วย -แต่อย่างไรก็ตามผลกระทบจากการจัดระเบียบวาระนี้ แมคเควลระบุว่าเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นและไม่สำคัยมากนัก.<O:p></O:p>
    <O:p>จาก BESTAY♀52010516009 1etc - ทฤษฎีการกำหนดระเบียบวาระ</O:p>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บทบัญญัติข้อห้ามและศีลของสมณเพศ

    ???ѭ?ѵԢ鍋钁ᅐȕŢͧʁ?ྈ


    หน้านี้ว่าด้วยข้อห้ามและศีลที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้สำหรับผู้ที่บวชเป็นสามเณรและภิกษุ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องกระทำเมื่ออยู่ในสมเพศ เป็นที่น่าเสียดายว่า ในตำราพิธีการบวชที่มีอยู่หลายเล่มนั้น ทั้งของธรรมยุตและมหานิกายได้เว้นไว้โดยมิได้กล่าวถึงศีลสำหรับพระภิกษุทั้งใหม่และเก่า ซึ่งอาจเป็นเพราะว่ามันมากถึง ๒๒๗ ข้อ อันอาจจะเปลืองเนื้อที่กระดาษหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ทำให้พระในปัจจุบันนี้อาจจะละเมิดศีลโดยที่มิควรจะเป็น ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ หรืออาจจะลืมไปแล้วเสียด้วยว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นผิดศีลข้อใด
    ภิกษุไม่ควรฉันเนื้อ ๑๐ อย่างอันได้แก่

    <TABLE cellSpacing=0 cols=2 cellPadding=0 width="40%" border=0><TBODY><TR><TD>๑.เนื้อมนุษย์</TD><TD>๖.เนื้อราชสีห์</TD></TR><TR><TD>๒.เนื้อช้าง</TD><TD>๗.เนื้อหมี</TD></TR><TR><TD>๓.เนื้อม้า</TD><TD>๘.เนื้อเสือโคร่ง</TD></TR><TR><TD>๔.เนื้อสุนัข</TD><TD>๙.เนื้อเสือดาว</TD></TR><TR><TD>๕.เนื้องู</TD><TD>๑๐.เนื้อเสือเหลือง</TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    <TABLE height=13 width="100%"><TBODY><TR><TD background=../images/dot_hor.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
    สามเณรต้องถือศีล ๑๐ ข้ออันได้แก่

    ๑.เว้นจากการฆ่าสัตว์ทั้งมนุษย์และเดรัจฉาน
    ๒.เว้นจากการลักทรัพย์
    ๓.เว้นจากการเสพเมถุน
    ๔.เว้นจากการพูดเท็จ
    ๕.เว้นจากการดื่มสุราและเมรัย
    ๖.เว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล (หลังเที่ยงวันไปแล้ว)
    ๗.เว้นจากการฟ้อนรำขับร้องและการบรรเลง ตลอดถึงการดูการฟังสิ่งเหล่านั้น
    ๘.เว้นจากการทัดทรงตกแต่งประดับร่างกาย การใช้ดอกไม้ของหอมเครื่องประเทืองผิวต่างๆ
    ๙.เว้นจากการนอนที่นอนสูงใหญ่และยัดนุ่นสำลีอันมีลายวิจิตร (เว้นจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่งที่มีเท้าสูงเกินประมาณ)
    ๑๐.เว้นจากการรับเงินทอง
    [​IMG]
    <TABLE height=13 width="100%"><TBODY><TR><TD background=../images/dot_hor.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระภิกษุต้องถือศีล ๒๒๗ ข้ออันได้แก่

    ศีล ๒๒๗ ข้อที่เป็นวินัยของสงฆ์ ทำผิดถือว่าเป็นอาบัติ สามารถแบ่งออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุดได้ดังนี้ ได้แก่

    ปาราชิก มี ๔ ข้อ
    สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ
    อนิยต มี ๒ ข้อ (อาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน)
    นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ข้อ)
    ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
    ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน)

    เสขิยะ (ข้อที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท) แบ่งเป็น
    สารูปมี ๒๖ ข้อ (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ)
    โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อ (ว่าด้วยการฉันอาหาร)
    ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อ (ว่าด้วยการแสดงธรรม)
    ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ (เบ็ดเตล็ด)
    อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)
    รวมทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิฏษุรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิดได้ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว
    ปาราชิก มี ๔ ข้อได้แก่
    ๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
    ๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
    ๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
    ๔. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)
    สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ ถือเป็นความผิดหากทำสิ่งใดต่อไปนี้ <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>๑.ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน</TD><TD>๘.แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล</TD></TR><TR><TD>๒.เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ</TD><TD>๙.แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล</TD></TR><TR><TD>๓.พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี</TD><TD>๑๐.ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน</TD></TR><TR><TD>๔.การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถอยคำพาดพิงเมถุน </TD><TD vAlign=top>๑๑.เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน</TD></TR><TR><TD>๕.ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ</TD><TD vAlign=top>๑๒.เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง</TD></TR><TR><TD>๖.สร้างกุฏิด้วยการขอ</TD><TD>๑๓. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์</TD></TR><TR><TD>๗.สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น</TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>อนิยตกัณฑ์ มี ๒ ข้อได้แก่
    ๑. การนั่งในที่ลับตา มีอาสนะกำบังอยู่กับสตรีเพศ และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม ๓ ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
    ๒. ในสถานที่ที่ไม่เป็นที่ลับตาเสียทีเดียว แต่เป็นที่ที่จะพูดจาค่อนแคะสตรีเพศได้สองต่อสองกับภิกษุผู้เดียว และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม 2 ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
    นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี ๓๐ ข้อ ถือเป็นความผิดได้แก่ <TABLE cellSpacing=0 cols=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>๑.เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน</TD><TD>๑๖.นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้</TD></TR><TR><TD>๒.อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว</TD><TD>๑๗.ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม</TD></TR><TR><TD>๓.เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน</TD><TD>๑๘.รับเงินทอง</TD></TR><TR><TD>๔.ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า</TD><TD>๑๙.ซื้อขายด้วยเงินทอง</TD></TR><TR><TD>๕.รับจีวรจากมือของภิกษุณี</TD><TD>๒๐.ซื้อขายโดยใช้ของแลก</TD></TR><TR><TD>๖.ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย</TD><TD>๒๑.เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน</TD></TR><TR><TD>๗.รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป</TD><TD>๒๒.ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง</TD></TR><TR><TD>๘.พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม</TD><TD>๒๓.เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย)ไว้เกิน ๗ วัน</TD></TR><TR><TD>๙.พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย</TD><TD>๒๔.แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน</TD></TR><TR><TD>๑๐.ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง</TD><TD>๒๕.ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง</TD></TR><TR><TD>๑๑.หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม</TD><TD>๒๖.ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร</TD></TR><TR><TD>๑๒.หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน</TD><TD>๒๗.กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น</TD></TR><TR><TD>๑๓.ใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง</TD><TD>๒๘.เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด</TD></TR><TR><TD>๑๔.หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง ๖ ปี</TD><TD>๒๙.อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน</TD></TR><TR><TD>๑๕.เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย</TD><TD>๓๐.น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน</TD></TR></TBODY></TABLE>ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อได้แก่ <TABLE cellSpacing=0 cols=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>๑.ห้ามพูดปด</TD><TD>๔๗.ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้</TD></TR><TR><TD>๒.ห้ามด่า</TD><TD>๔๘.ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป</TD></TR><TR><TD>๓.ห้ามพูดส่อเสียด</TD><TD>๔๙.ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน</TD></TR><TR><TD>๔.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน</TD><TD>๕๐.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ</TD></TR><TR><TD>๕.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุ)เกิน ๓ คืน</TD><TD>๕๑.ห้ามดื่มสุราเมรัย</TD></TR><TR><TD>๖.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง</TD><TD>๕๒.ห้ามจี้ภิกษุ</TD></TR><TR><TD>๗.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง</TD><TD>๕๓.ห้ามว่ายน้ำเล่น</TD></TR><TR><TD>๘.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช</TD><TD>๕๔.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย</TD></TR><TR><TD>๙.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช</TD><TD>๕๕.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว</TD></TR><TR><TD>๑๐.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด</TD><TD>๕๖.ห้ามติดไฟเพื่อผิง</TD></TR><TR><TD>๑๑.ห้ามทำลายต้นไม้</TD><TD>๕๗.ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ</TD></TR><TR><TD>๑๒.ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน</TD><TD>๕๘.ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม</TD></TR><TR><TD>๑๓.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ</TD><TD>๕๙.วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน</TD></TR><TR><TD>๑๔.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง</TD><TD>๖๐.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น</TD></TR><TR><TD>๑๕.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ</TD><TD>๖๑.ห้ามฆ่าสัตว์</TD></TR><TR><TD>๑๖.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน</TD><TD>๖๒.ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์</TD></TR><TR><TD>๑๗.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์</TD><TD>๖๓.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์(คดีความ-ข้อโต้เถียง)ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว</TD></TR><TR><TD>๑๘.ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน</TD><TD>๖๔.ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น</TD></TR><TR><TD>๑๙.ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น</TD><TD>๖๕.ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี</TD></TR><TR><TD>๒๐.ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน</TD><TD>๖๖.ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน</TD></TR><TR><TD>๒๑.ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย</TD><TD>๖๗.ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน</TD></TR><TR><TD>๒๒.ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว</TD><TD>๖๘.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)</TD></TR><TR><TD>๒๓.ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่</TD><TD>๖๙.ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย</TD></TR><TR><TD>๒๔.ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ</TD><TD>๗๐.ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย</TD></TR><TR><TD>๒๕.ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ</TD><TD>๗๑.ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว</TD></TR><TR><TD>๒๖.ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ</TD><TD>๗๒.ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท</TD></TR><TR><TD>๒๗.ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี</TD><TD>๗๓.ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์</TD></TR><TR><TD>๒๘.ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน</TD><TD>๗๔.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ</TD></TR><TR><TD>๒๙.ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย</TD><TD>๗๕.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ</TD></TR><TR><TD>๓๐.ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี</TD><TD>๗๖.ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล</TD></TR><TR><TD>๓๑.ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ</TD><TD>๗๗.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น</TD></TR><TR><TD>๓๒.ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม</TD><TD>๗๘.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน</TD></TR><TR><TD>๓๓.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น</TD><TD>๗๙.ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน</TD></TR><TR><TD>๓๔.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร</TD><TD>๘๐.ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ</TD></TR><TR><TD>๓๕.ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว</TD><TD>๘๑.ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง</TD></TR><TR><TD>๓๖.ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด</TD><TD>๘๒.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล</TD></TR><TR><TD>๓๗.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล</TD><TD>๘๓.ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา</TD></TR><TR><TD>๓๘.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน</TD><TD>๘๔.ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่</TD></TR><TR><TD>๓๙.ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง</TD><TD>๘๕.เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน</TD></TR><TR><TD>๔๐.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน</TD><TD>๘๖.ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์</TD></TR><TR><TD>๔๑.ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ</TD><TD>๘๗.ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ</TD></TR><TR><TD>๔๒.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ</TD><TD>๘๘.ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น</TD></TR><TR><TD>๔๓.ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน</TD><TD>๘๙.ห้ามทำผ้าปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ</TD></TR><TR><TD>๔๔.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)</TD><TD>๙๐.ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ</TD></TR><TR><TD>๔๕.ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม</TD><TD>๙๑.ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ</TD></TR><TR><TD>๔๖.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา</TD><TD>๙๒.ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ</TD></TR></TBODY></TABLE>ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อได้แก่
    ๑. ห้ามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน
    ๒. ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
    ๓. ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
    ๔. ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า
    เสขิยะ
    สารูป มี ๒๖ ข้อได้แก่ <TABLE cellSpacing=0 cols=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>๑.นุ่งให้เป็นปริมณฑล (ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)</TD><TD>๑๔.ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน</TD></TR><TR><TD>๒.ห่มให้เป็นนปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)</TD><TD>๑๕.ไม่โคลงกายไปในบ้าน</TD></TR><TR><TD>๓.ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน</TD><TD>๑๖.ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน</TD></TR><TR><TD>๔.ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน</TD><TD>๑๗.ไม่ไกวแขนไปในบ้าน</TD></TR><TR><TD>๕.สำรวมด้วยดีไปในบ้าน</TD><TD>๑๘.ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน</TD></TR><TR><TD>๖.สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน</TD><TD>๑๙.ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน</TD></TR><TR><TD>๗.มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)</TD><TD>๒๐.ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน</TD></TR><TR><TD>๘.มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน</TD><TD>๒๑.ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน</TD></TR><TR><TD>๙.ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน</TD><TD>๒๒.ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน</TD></TR><TR><TD>๑๐.ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน</TD><TD>๒๓.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน</TD></TR><TR><TD>๑๑.ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน</TD><TD>๒๔.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน</TD></TR><TR><TD>๑๒.ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน</TD><TD>๒๕.ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน</TD></TR><TR><TD>๑๓.ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน</TD><TD>๒๖.ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน</TD></TR></TBODY></TABLE>โภชนปฏิสังยุตต์มี ๓๐ ข้อคือหลักในการฉันอาหารได้แก่ <TABLE cellSpacing=0 cols=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>๑.รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ</TD><TD>๑๖.ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน</TD></TR><TR><TD>๒.ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร</TD><TD>๑๗.ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก</TD></TR><TR><TD>๓.รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)</TD><TD>๑๘.ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก</TD></TR><TR><TD>๔.รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร</TD><TD>๑๙.ไม่ฉันกัดคำข้าว</TD></TR><TR><TD>๕.ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ</TD><TD>๒๐.ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย</TD></TR><TR><TD>๖.ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร</TD><TD>๒๑.ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง</TD></TR><TR><TD>๗.ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)</TD><TD>๒๒.ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว</TD></TR><TR><TD>๘.ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป</TD><TD>๒๓.ไม่ฉันแลบลิ้น</TD></TR><TR><TD>๙.ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป</TD><TD>๒๔.ไม่ฉันดังจับๆ</TD></TR><TR><TD>๑๐.ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก</TD><TD>๒๕.ไม่ฉันดังซูดๆ</TD></TR><TR><TD>๑๑.ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้</TD><TD>๒๖.ไม่ฉันเลียมือ</TD></TR><TR><TD>๑๒.ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ</TD><TD>๒๗.ไม่ฉันเลียบาตร</TD></TR><TR><TD>๑๓.ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป</TD><TD>๒๘.ไม่ฉันเลียริมฝีปาก</TD></TR><TR><TD>๑๔.ทำคำข้าวให้กลมกล่อม</TD><TD>๒๙.ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ</TD></TR><TR><TD>๑๕.ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง</TD><TD>๓๐.ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน</TD></TR></TBODY></TABLE>ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อคือ <TABLE cellSpacing=0 cols=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ</TD><TD>๙.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า</TD></TR><TR><TD>๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ</TD><TD>๑๐.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ</TD></TR><TR><TD>๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ</TD><TD>๑๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ</TD></TR><TR><TD>๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ</TD><TD>๑๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน</TD></TR><TR><TD>๕.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้)</TD><TD>๑๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ</TD></TR><TR><TD>๖.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า</TD><TD>๑๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน</TD></TR><TR><TD>๗.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน</TD><TD>๑๕.ภิกษุเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า</TD></TR><TR><TD>๘.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน</TD><TD>๑๖.ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ
    ๑. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
    ๒. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
    ๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ
    อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อได้แก่
    ๑. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
    ๒. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
    ๓. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
    ๔. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
    ๕. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
    ๖. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
    ๗. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป
    [​IMG]
    <TABLE height=13 width="100%"><TBODY><TR><TD background=../images/dot_hor.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>ข้อปฏิบัติของภิกษุณี ๘ ประการ (ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา)

    ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา คือเงื่อนไขอย่างเข้มงวด ๘ ประการที่ภิษุณีจะต้องปฏิบัติตลอดชีวิตอันได้แก่
    ๑.ต้องเคารพภิกษุแม้จะอ่อนพรรษากว่า
    ๒.ต้องไม่จำพรรษาในวัดที่ไม่มีภิกษุ
    ๓.ต้องทำอุโบสถและรับโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
    ๔.เมื่อออกพรรษาต้องปวารณาตนต่อภิกษุและภิกษุณีอื่นให้ตักเตือนตน
    ๕.เมื่อต้องอาบัติหนัก ต้องรับมานัต (รับโทษ) จากสงฆ์สองฝ่ายคือทั้งฝ่ายภิกษุและภิกษุณี ๑๕ วัน
    ๖.ต้องบวชจากสงฆ์ทั้งสองฝ่าย หลังจากเป็น*สิกขามานาเต็มแล้วสองปี
    ๗.จะด่าว่าค่อนแคะภิกษุไม่ได้
    ๘.ห้ามสอนภิกษุเด็ดขาด
    *สิกขามานาแปลว่า ผู้ศึกษา สตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณีต้องเป็นนางสิกขามานาก่อน ๒ ปี
    [​IMG]
    <TABLE height=13 width="100%"><TBODY><TR><TD background=../images/dot_hor.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ข้อห้ามสำหรับการบวชพระในแบบธรรมยุต

    ห้ามจับปัจจัยที่เป็นเงินเด็ดขาด
    [​IMG]
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <CENTER>อานิสงส์ของการทำบุญ ที่ควรรู้

    </CENTER>͒?Ԋ?ʬ?ͧ?҃?Ӻح ?ը?ǃÙ頨ҡ?ŧ͡ ⍠?๪Ѩ? oknation.net



    [​IMG]
    อานิสงส์ของการทำบุญ ที่ควรรู้ไว้


    ( การไม่กินเนื้อสัตว์ , การสร้างพระพุทธรูป , การบวชชีพราหมณ์ , ....
    รวมอานิสงส์ของการทำบุญที่ควรรู้ไว้
    มาทำบุญกันเถอะค่ะ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์หรือสังคมด้วยวิธีต่างๆ ทำให้เราได้รับบุญกุศลต่างๆ มากมาย ซึ่งในที่นี้ได้รวบรวมอานิสงส์ต่างๆ ที่ได้จากการทำบุญในรูปแบบต่างๆ ให้รู้ไว้ค่ะ แต่อย่างไรก็ตามนะคะ การทำบุญก็ควรทำด้วยจิตใจที่ต้องการทำบุญจริงๆ ไม่หวังผลตอบแทน จึงจะเกิดอานิสงส์อย่างแท้จริงค่ะ
    อานิสงส์ 10 ข้อ ของ การไม่กินเนื้อสัตว์
    1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
    2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
    3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์***มโหดเครียดแค้นในใจลงได้
    4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
    5. มีอายุมั่นขวัญยืน
    6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
    7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
    8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
    9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ
    10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ


    อานิสงส์ การจัด สร้างพระพุทธรูป หรือ สิ่งพิมพ์ อันเกี่ยวกับ พระธรรมคำสอน เป็น กุศล ดังนี้
    1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
    2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ
    3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้ว ก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
    4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัย อยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
    5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้า ผู้คนนับถือ
    6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน
    7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
    8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
    9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
    10. สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็น เป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติของผู้สร้างที่เกิด จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ

    อานิสงส์ การบวชพระบวชชีพรามณ์ (บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ,อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร)
    1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา
    2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
    3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
    4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
    5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
    6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
    7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
    8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
    9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
    10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่ สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาจัดการให้คนได้บวช

    มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ
    1. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ15นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้) อานิสงส์ เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

    2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน อานิสงส์ เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา,พระคาถาชินบัญชร,พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้นเมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

    3. ถวายยารักษาโรคให้วัด,ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์ อานิสงส์ ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

    4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า อานิสงส ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

    5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน อานิสงส์ เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถ ยศ สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

    6. สร้างพระถวายวัด อานิสงส์ ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุขได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป

    7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระอย่างน้อย9วันขึ้นไป อานิสงส์ ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาจิตเป็นกุศล

    8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย อานิสงส์ ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษาได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

    9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ อานิสงส์ ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส เป็นอิสระ

    10. ให้ทุนการศึกษา,บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ,อาสาสอนหนังสือ อานิสงส์ ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

    11. ให้เงินขอทาน,ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม) อานิสงส์ ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลงจะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

    12. รักษาศีล5หรือศีล8 อานิสงส์ ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา ทั้ง12ข้อนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับ จงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับ ท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำ แรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรก ที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมี ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ

    - จบ -
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รวมอานิสงส์ของการทำบุญที่ควรรู้ไว้
    รวมอานิสงส์ของการทำบุญที่ควรรู้ไว้

    รวมอานิสงส์ของการทำบุญที่ควรรู้ไว้
    มาทำบุญกันเถอะค่ะ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์หรือสังคมด้วยวิธีต่างๆ ทำให้เราได้รับบุญกุศลต่างๆ มากมาย ซึ่งในที่นี้ได้รวบรวมอานิสงส์ต่างๆ ที่ได้จากการทำบุญในรูปแบบต่างๆ ให้รู้ไว้ค่ะ แต่อย่างไรก็ตามนะคะ การทำบุญก็ควรทำด้วยจิตใจที่ต้องการทำบุญจริงๆ ไม่หวังผลตอบแทน จึงจะเกิดอานิสงส์อย่างแท้จริงค่ะ
    1. อานิสงส์ของการไม่กินเนื้อสัตว์เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้ ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย มีอายุมั่นขวัญยืน ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ
    2. อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้ว ก็จะเลิกจองเวรจองกรรม เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัย อยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้า ผู้คนนับถือ มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็น เป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติของผู้สร้างที่เกิด จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ
    3. อานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์ (บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ,อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร)หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่ สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาจัดการให้คนได้บวช มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ
    4. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ15นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้) อานิสงส์ เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล
    5. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน อานิสงส์ เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา,พระคาถาชินบัญชร,พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้นเมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง
    6. ถวายยารักษาโรคให้วัด,ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์ อานิสงส์ ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา
    7. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า อานิสงส ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
    8. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน อานิสงส์ เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถ ยศ สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน
    9. สร้างพระถวายวัด อานิสงส์ ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุขได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป
    10. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป อานิสงส์ ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาจิตเป็นกุศล
    11. บริจาคเลือดหรือร่างกาย อานิสงส์ ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษาได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง
    12. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ อานิสงส์ ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส เป็นอิสระ
    13. ให้ทุนการศึกษา,บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ,อาสาสอนหนังสือ อานิสงส์ ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม
    14. ให้เงินขอทาน,ให้เงินคนที่เดือดร้อน (ไม่ใช่การให้ยืม) อานิสงส์ ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลงจะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน
    15. รักษาศีล5 หรือศีล8 อานิสงส์ ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา
    ทั้ง15 ข้อนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับ จงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับ ท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำ แรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรก ที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมี ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD>พิธีกรรมทางศาสนา</TD></TR></TBODY></TABLE>
    อานิสงส์ของการทำบุญ?-?ธรรมจักร :: เว็บธรรมะออนไลน์

    อานิสงส์ของการทำบุญ ที่ควรรู้ไว้

    ( การไม่กินเนื้อสัตว์ , การสร้างพระพุทธรูป , การบวชชีพราหมณ์ , ....
    รวมอานิสงส์ของการทำบุญที่ควรรู้ไว้
    มาทำบุญกันเถอะค่ะ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์หรือสังคมด้วยวิธีต่างๆ ทำให้เราได้รับบุญกุศลต่างๆ มากมาย ซึ่งในที่นี้ได้รวบรวมอานิสงส์ต่างๆ ที่ได้จากการทำบุญในรูปแบบต่างๆ ให้รู้ไว้ค่ะ แต่อย่างไรก็ตามนะคะ การทำบุญก็ควรทำด้วยจิตใจที่ต้องการทำบุญจริงๆ ไม่หวังผลตอบแทน จึงจะเกิดอานิสงส์อย่างแท้จริงค่ะ
    อานิสงส์ 10 ข้อ ของ การไม่กินเนื้อสัตว์
    1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
    2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
    3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์***มโหดเครียดแค้นในใจลงได้
    4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
    5. มีอายุมั่นขวัญยืน
    6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
    7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
    8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
    9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ
    10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ


    อานิสงส์ การจัด สร้างพระพุทธรูป หรือ สิ่งพิมพ์ อันเกี่ยวกับ พระธรรมคำสอน เป็น กุศล ดังนี้
    1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
    2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ
    3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้ว ก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
    4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัย อยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
    5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้า ผู้คนนับถือ
    6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน
    7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
    8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
    9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
    10. สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็น เป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติของผู้สร้างที่เกิด จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ

    อานิสงส์ การบวชพระบวชชีพรามณ์ (บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ,อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร)
    1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา
    2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
    3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
    4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
    5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
    6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
    7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
    8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
    9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
    10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่ สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาจัดการให้คนได้บวช

    มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ
    1. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ15นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้) อานิสงส์ เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

    2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน อานิสงส์ เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา,พระคาถาชินบัญชร,พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้นเมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

    3. ถวายยารักษาโรคให้วัด,ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์ อานิสงส์ ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

    4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า อานิสงส ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

    5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน อานิสงส์ เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถ ยศ สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

    6. สร้างพระถวายวัด อานิสงส์ ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุขได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป

    7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระอย่างน้อย9วันขึ้นไป อานิสงส์ ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาจิตเป็นกุศล

    8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย อานิสงส์ ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษาได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

    9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ อานิสงส์ ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส เป็นอิสระ

    10. ให้ทุนการศึกษา,บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ,อาสาสอนหนังสือ อานิสงส์ ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

    11. ให้เงินขอทาน,ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม) อานิสงส์ ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลงจะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

    12. รักษาศีล5หรือศีล8 อานิสงส์ ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา ทั้ง12ข้อนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับ จงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับ ท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำ แรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรก ที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมี ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ

    - จบ -

    ...
    บทความจาก http://www.dandham.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...