พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>โพ่วจิ้งฉงหยวน : กระจกแตกกลับประสาน
    China - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>14 ตุลาคม 2552 09:30 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>
    破 (pò) อ่านว่า โพ่ว แปลว่า แตก พัง
    镜 (jìng) อ่านว่า จิ้ง แปลว่า กระจก
    重 (chóng) อ่านว่า ฉง แปลว่า กลับคืน ทำซ้ำ
    圆 (yuán) อ่านว่า หยวน แปลว่า ทรงกลม  
     

    ในยุคราชวงศ์ใต้ ฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งรัฐเฉินนาม เฉินป้าเซียนนั้น มีขนิษฐานางหนึ่งนามว่า เล่อชาง ซึ่งมีศิริโฉมครบถ้วนตามองค์ประกอบของหญิงงามแห่งยุค อีกทั้งความสัมพันธ์ของนางและคู่ครองคือ สีว์เต๋อเอี๋ยน ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องเขยขององค์ฮ่องเต้นั้นก็เป็นไปด้วยดี

    ครั้นเมื่อกองกำลังทหารของราชวงศ์สุยทางตอนเหนือบุกลงมาโจมตี ส่งผลให้รัฐเฉินตกอยู่ในความเสี่ยงยิ่งนัก เมื่อเห็นดังนั้น สีว์เต๋อเอี๋ยน จึงตระหนักว่าตนและภรรยาคงจะไม่มีวาสนาได้ครองคู่กันต่อไป จึงนำกระจกบานหนึ่งมาทุบแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งมอบให้องค์หญิง อีกส่วนเก็บไว้ที่ตนเอง ทั้งสองสัญญากันว่า วันใดหากโชคร้ายต้องพลัดพรากกันไป เมื่อถึงวันพระจันทร์เต็มดวงของวันขึ้นปีใหม่ ให้ทั้งคู่นำกระจกครึ่งบานนั้นออกมาเร่ขายที่ท้องถนน เพื่อได้มีโอกาสพบกันอีกครั้ง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left><CENTER>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ไม่นานรัฐเฉินก็ถูกสุยล้มล้างไปดังคาด สีว์เต๋อเอี๋ยนและเล่อชางพลัดพรากจากกันไปด้วยเหตุแห่งชะตากรรม โดยองค์หญิงเล่อชางตกเป็นของหยางซี่ว์ เสนาบดีใหญ่คู่ใจฮ่องเต้สุยเหวินตี้

    เมื่อวันขึ้นปีใหม่เวียนมาถึงอีกครั้ง สีว์เต๋อเอี๋ยนจึงได้นำกระจกครึ่งบานออกมาเร่ขายตามคำสัญญา ปะเหมาะพอดีพบเด็กรับใช้ผู้หนึ่งนำกระจกอีกครึ่งบานออกมาเร่ขายเช่นกัน เขาจึงเข้าไปตรวจสอบดู พบว่าเป็นกระจกครึ่งบานที่บรรจบได้พอดีกับอีกครึ่งของตนเอง ซึ่งก็คือกระจกครึ่งที่เขามอบให้นางอันเป็นที่รักไปก่อนพรากจาก
    เมื่อพบกระจกใจจึงกระหวัดถึงเจ้าของ สีว์เต๋อเอี๋ยนอดมิได้จึงหลั่งน้ำตาออกมา จากนั้นได้จารึกบทกวีไว้บนบานกระจกครึ่งที่ได้พบว่า

    "กระจกพราก...คนจาก
    กระจกหวนคืน แต่คน...ไม่
    ไร้เงา นางฉางเอ๋อ(นางเซียนในเทพนิยายจีน)
    ลับอับแสง ตะวัน-จันทรา"

    เด็กรับใช้นำกระจกครึ่งที่จารึกบทกวีไว้นั้นกลับไปมอบให้องค์หญิงเล่อชาง ทำให้องค์หญิงโศกเศร้ายิ่งนัก ภายหลังเสนาบดีหยางซี่ว์ล่วงรู้เรื่องดังกล่าว จึงได้ให้คนไปเชิญสีว์เต๋อเอี๋ยน มาที่บ้าน และยอมปล่อยองค์หญิงเล่อชางให้กับ สีว์เต๋อเอี๋ยน ต่อมาทั้งสองจึงเดินทางกลับเจียงหนันด้วยกัน ครองคู่จนแก่เฒ่า

    สำนวน “โพ่วจิ้งฉงหยวน” หรือ “กระจกแตกกลับประสาน” ใช้เปรียบเปรยถึงสามี ภรรยาที่เลิกรากัน หรือพลัดพรากจากกัน แล้วได้กลับมาครองคู่กันดังเดิม
      
    สำนวนนี้มีความหมายทางบวก ใช้ในตำแหน่งภาคแสดง(谓语) หรือกรรม(宾语) ของประโยค

    ตัวอย่างประโยค
    他与太太的相见,好像是破镜重圆似的,他是快乐的。
    การพบกันของเขาและภรรยา เป็นดั่งเช่น ~ ทำให้เขามีความสุขใจยิ่ง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เที่ยวนอกบ้าน อย่าไว้ใจ "ห้องน้ำสาธารณะ"!
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>14 ตุลาคม 2552 12:32 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ขึ้นชื่อว่า "ห้องน้ำสาธารณะ" ไม่ว่าใครก็สามารถใช้ได้ จึงเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี สะท้อนได้จากผลสำรวจของกรมอนามัยเมื่อปี 2547 และ 2549 ได้ผลตรงกันว่า จุดอันตรายที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์ม ต้นเหตุโรคอุจจาระร่วง อันดับ 1 คือ

    บริเวณที่จับสายฉีดชำระ พบร้อยละ 85.3 จุดที่ 2 คือ บริเวณพื้นห้องส้วม พบร้อยละ 50 จุดที่ 3 คือ ที่รองนั่งส้วมแบบนั่งราบ หรือโถนั่งชักโครก พบร้อยละ 31 ซึ่งเชื้อโรคที่พบ เป็นการปนเปื้อนจากอุจจาระ นอกจากนี้ยังมีจุดเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรคอีก 4 จุด คือ ที่กดน้ำทำความสะอาดในห้องส้วม ก๊อกน้ำ ลูกบิดประตู และอ่างล้างมือ

    เพื่อให้ทุกครอบครัวที่ไปเที่ยวนอกบ้าน และจำเป็นต้องใช้ห้องน้ำสาธารณะ โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมย่อยในครั้งนี้ ได้ระวัง และรู้วิธีป้องกันอย่างรู้เท่าทัน ทีมงาน Life and Family จึงขอนำความรู้เรื่องการใช้ห้องน้ำสาธารณะมาฝากให้อ่านกันครับ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ความชัดเจนในประเด็นนี้ ทีมงานได้ความรู้จาก "นพ.เชิดพงษ์ ชินวุฒิ" สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช สาทร-คอนแวนต์ว่า ห้องน้ำสาธารณะ เป็นสถานที่รวมเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสปนเปื้อนจำนวนมาก เพราะเป็นที่ขับถ่ายสิ่งปฏิกูล และมีผู้ใช้ต่างหน้า และต่างถิ่นหลายคนมาใช้รวมกัน ซึ่งอาจไม่ทราบมาก่อนว่า ผู้ใช้บริการก่อนหน้านี้ มีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายมากน้อยแค่ไหน โดยเชื้อโรคที่ว่านี้ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

    เชื้อในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อหนองใน เชื้อเริม เป็นต้น และเชื้อที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น เชื้ออุจจาระร่วง เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด เอ เป็นต้น ซึ่งเชื้อพวกนี้อาจแฝงอยู่ตามจุดต่างๆ ของห้องน้ำ เช่น ชักโครก อ่างล้างมือ หรือแม้กระทั่งลูกบิดประตู แต่โอกาสที่จะติดเชื้อพวกนี้จนทำให้เกิดโรค หรือเป็นอันตรายได้นั้น ขึ้นอยู่กับว่ ได้สัมผัสกับเชื้อดังกล่าวในปริมาณที่มากพอหรือไม่ ถ้ามากพอ อาจทำให้เกิดโรคได้ โดยซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่มีแผล หรือรับเข้าทางปาก

    อย่างไรก็ดี “น.พ.เชิดพงษ์” ได้แนะนำวิธีปฏิบัติตัวแบบง่ายๆ เพื่อป้องกันการรับเชื้อโรคจากการเข้าห้องน้ำสาธารณะ ให้ฟังดังนี้

    1. ใช้เวลากับการทำกิจธุระในห้องน้ำสาธารณะให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    2. ถ้าจำเป็นต้องใช้ชักโครก เลือกที่ดูสะอาด (ถ้ามีให้เลือก) ทำความสะอาดที่รองนั่งด้วยกระดาษทิชชูสักหน่อย แล้วจึงใช้งาน ไม่ต้องถึงกับใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เพราะมันอาจจะดูลำบากไปหน่อย

    3. เมื่อเสร็จกิจธุระแล้วต้องล้างมือทุกครั้ง เพื่อไม่ให้มีเชื้อโรคติดมากับมือของเรา ซึ่งบางคนอาจจะละเลย เนื่องจากรีบ หรือด้วยสาเหตุอื่นๆ


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=210 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=210>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขอบคุณภาพจาก forparentsbyparents.com</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ถึงกระนั้น เพื่อป้องกัน และระวังให้มากขึ้น การปลูกฝังลูก ให้ใช้ห้องน้ำสาธารณะอย่างปลอดภัยนั้น ควรเริ่มสอนลูกตั้งแต่ การเปิดปิดประตู ซึ่งวิธีที่จะสัมผัสได้น้อยที่สุด คือการใช้ข้อศอก หรือใช้สันหลังผลักเข้าไป ซึ่งบางห้อง ประตูอาจไม่ได้ปิดแน่น หรือปิดสนิท

    จากนั้นเมื่อถึงขั้นตอนในการเข้าใช้ ให้ทำความสะอาดโถส้วมเบื้องต้น ด้วยน้ำ หรือทิชชูก่อน รวมทั้งบอกลูกว่า ไม่ควรขึ้นไปเหยียบโถส้วม (ส้วมที่เป็นชักโครก) โดยอธิบายให้ลูกฟังว่า ถ้าขึ้นไปเหยียบบนโถส้วม เวลาคนใช้หลังจากเรา อาจติดเชื้อที่มาจากรองเท้าของเรา หรืออาจทำให้ชักโครกหัก จนเกิดอันตรายได้

    ส่วนของการชำระล้าง ซึ่งในส่วนของปัสสาวะนั้น เด็กผู้ชายคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง ที่ต้องใช้น้ำในการทำความสะอาด อาจต้องระวังเป็นพิเศษ กล่าวคือ ถ้าเป็นสายฉีดไม่ควรให้หัวฉีด เข้ามาใกล้ส่วนที่จะทำความสะอาดให้มากนัก ควรอยู่ในระยะห่างที่พอดี

    แต่ถ้าเป็นน้ำในลักษณะตักใช้ ไม่แนะนำให้ตักน้ำในส่วนที่มีอยู่ในถังเดิม แต่ควรให้รองจากก๊อกโดยตรง เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจสะสมอยู่ในถังน้ำได้ เนื่องจากคนบางคนมีนิสัยมักง่าย ชอบล้างมือ หรือเอาสิ่งของไปจุ่มทำความสะอาด จากนั้นหลังเสร็จภารกิจ ให้ราด หรือทำความสะอาดด้วยทุกครั้ง และอย่างที่คุณหมอได้บอกไปข้างต้นเวลาออกจากห้องน้ำทุกครั้ง ควรล้างมือให้สะอาด โดยใช้สบู่เหลว (ถ้ามี) ทุกครั้ง

    “ห้องน้ำสาธารณะ” ถือเป็นสถานที่จำเป็น สำหรับบางครอบครัวที่ต้องออกเดินทางไกล หรือชอบเดินเที่ยวตามศูนย์การค้า ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง และใส่ใจในการใช้ห้องน้ำประเภทนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะเจ้าตัวน้อย ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักวิธีการใช้ห้องน้ำให้ถูก และปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อสร้างสุขลักษณะนิสัยในการใช้ห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวเขา และผู้ใช้คนอื่นๆ ที่ใช้ห้องน้ำต่อไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ตกลงวัดไ............. นี่เป็นวัด หรือสำนักสงฆ์ หรือของเอกชนกันครับ เพราะเห็นว่าต้องขออนุญาตเจ้าของด้วย...
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหอๆๆๆๆ ไว้ได้รับอนุญาตจากเจ้าของวัดไ..... แล้ว สมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า จะได้ทราบกันเองว่า เป็น วัด หรือ สำนักสงฆ์ หรือ ของเอกชน หุหุหุ

    แล้วคุณเพชรว่าไงครับ ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอแจ้งให้ท่านผู้อ่านกระทู้พระวังหน้าฯได้ทราบว่า พระพิมพ์ต่างๆ ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านเมตตาอธิษฐานจิตนั้น ไม่ได้หายากอย่างที่หลายๆท่านคิดกัน เพียงแต่ต้องดู " รูป (เนื้อหาทรงพิมพ์)" และ " นาม (พลังพุทธคุณหรือพลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต)"

    ยกตัวอย่าง เช่นพิมพ์หลวงปู่ 15 พิมพ์หลัก มีการสร้างในยุคที่สองเพิ่มเติมพิมพ์ขึ้นมาอีก รวมแล้วประมาณ 30 กว่าพิมพ์

    จะแตกต่างกันที่องค์ผู้อธิษฐานจิตและพระราชพิธีหลวงเป็นสำคัญ

    แม้แต่พิมพ์สมเด็จ ผมเองมีบางรุ่นที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ) อธิษฐานจิตกัน 4 องค์ก็มี 5 องค์ก็มี และยังมีสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านอธิษฐานจิตอยู่อีกด้วยครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. โชคชัยชนะ

    โชคชัยชนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +148
    ในวันงาน หากท่านใดที่มีความประสงค์จะนำอาหารไปถวายพระอาจารย์รูปหนึ่ง และพระอาจารย์นิล ก็สามารถนำอาหารไปถวายได้ แต่พระอาจารย์นิลท่านฉันมังสวิรัต ครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>จิตแพทย์ชี้คนยุคใหม่อารมณ์รุนแรงรักษายาก
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>14 ตุลาคม 2552 21:37 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>นายศิริพงษ์ กาญจนนิวิฐ ผู้ต้องหาฆ่าหั่นศพน้องโชว์ มาคิโน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> จิตแพทย์กังวล เหตุสภาพจิตใจคนยุคปัจจุบันมีอารมณ์รุนแรงกว่าคนยุคก่อนมาก ระบุต้นเหตุมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ขาดการเอาใจใส่ ขาดการอบรมศีลธรรม เด็กถูกตามใจมากจนไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่

    รศ. พญ.สุจิรา จรัสศิลป์ หัวหน้าภาควิชาจิตเวศศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงกรณีนายศิริพงษ์ กาญจนนิวิฐ ได้ลงมือฆ่าหั่นศพน้องโชว์ มาคิโน อายุ 5 ขวบว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงต้องมีการตรวจทางจิตเวชก่อนถึงจะระบุได้ว่าฆาตกรรายนี้มีปัญหาทางจิตหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงการกระทำที่เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ซึ่งต้องตรวจสอบสภาพจิตใจของฆาตกรรายนี้ให้ละเอียด

    อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าคนยุคปัจจุบันนี้มีอารมณ์วู่วามกว่าคนยุคก่อนมาก อาจจะมาจากการถูกเลี้ยงดูที่พ่อแม่ตามใจ ตลอดถึงไม่เคยฝึกตัวเองให้มีสติ ทำอะไรก็จะทำตามอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ ยิ่งพ่อแม่สมัยนี้ไม่ได้เลี้ยงดูลูกเพราะมัวแต่ทำงาน ฝากเลี้ยงกับสถานเลี้ยงเด็ก เด็กขาดการฝึกอบรม ขาดศีลธรรม ทำอะไรจะเอาแต่ใจ นึกแต่ความถูกใจเป็นหลักโดยไม่ให้ความสนใจว่าเรื่องราวที่กระทำนั้นมันถูกต้องหรือไม่ เมื่อถูกเลี้ยงบ่มเพาะอย่างนั้น พอโตขึ้นมาเขาก็จะมีลักษณะนิสัยอย่างนั้น

    "เท่าที่มีประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยทางจิตเวชพบว่าการดูแลผู้ป่วยสมัยนี้ดูแล รักษายากกว่าผู้ป่วยสมัยก่อนมาก ผู้ป่วยทางจิตสมัยนี้มีอาการรุนแรงมากกว่าเดิม บุคคลทั่วๆ ในยุคปัจจุบันนี้ไปถ้าไม่ได้ฝึกอบรมทางจิตจะเสี่ยงต่อการมีพฤติกรรมที่รุนแรง และเมื่อเกิดอารมณ์รัก โกรธ หึงหวง ก็จะมีอารณ์ที่รุนแรงและพร้อมจะกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้ง่าย"

    “ขณะนี้สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังก็คืออาการทางจิตที่เกิดจากความหวาดกลัวของเด็กหญิงพิชยา หรือน้องมินท์ พี่สาวของน้องโชว์ ที่รอดชีวิตมาได้แต่อย่าลืมว่าเหตุการณ์ต่างๆ มันฝังใจเธอจะเกิดเป็นอาการพยาธิสภาพทางใจขึ้นถ้าไม่ได้รับการบำบัดทั้งภาพและเสียงที่ยังติดตาหรือได้ยินจะประทับอยู่ในจิตของเขาและเขาจะมีอาการทางจิตดังนั้นนอกจากจะดูแลทางด้านร่างกายของน้องมินท์แล้ว สิ่งที่ต้องเร่งทำอีกอย่างหนึ่งก็คือเฝ้าระวังดูแลจิตใจของน้องมินท์ด้วย” รศ. พญ.สุจิรากล่าว</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>จับเครื่องสำอางปลอมร้านใหญ่กลางกรุง ยึดครึ่งล้าน!
    Crime - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ทีมข่าวอาชญากรรม</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>14 ตุลาคม 2552 19:29 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>จับกุม นายวิทยา เหล่าเทพพิทักษ์ อายุ 55 ปี พร้อมยึดของกลางเครื่องสำอาง 10,000 ชิ้น มูลค่า 500,000 บาท</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>บก.ปคบ.บุกตรวจค้นร้านขายเครื่องสำอางภายในซอยสีหบุรานุกิจ ลักลอบขายผลิตภัณฑ์ไม่ผ่านการรับรองจาก อย.ยึดของกลางหมื่นชิ้น มูลค่า 5 แสน ขณะที่ตำรวจฝากเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพ ไม่ได้มาตรฐาน โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง เพราะทำให้เปลื้องเงินเปล่าประโยชน์ และได้รับอันตรายด้วย

    วันนี้ (14 ต.ค.) ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เมื่อเวลา 18.30 น.พล.ต.ต.จตุรงค์ ภุมรินทร์ ผบก.ปคบ.พร้อมด้วย ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานอาหารและยา (อย.) ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม นายวิทยา เหล่าเทพพิทักษ์ อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 54 หมู่ 1 ต.วังน้ำเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา พร้อมของกลางเครื่องสำอางสำเร็จรูป 38 รายการ รวมประมาณ 10,000 ชิ้น อาทิ BACHI , KARME และ FALAYCIS รวมมูลค่าประมาณ 500,000 บาท ซึ่งบางรายการเป็นเครื่องสำอางที่ อย.เคยประกาศผลวิเคราะห์ให้ประชาชนทั่วไป ทราบว่า เป็นเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารห้ามใช้ ผู้บริโภคอาจไม่ได้รับความปลอดภัยในการใช้ และบางรายการเป็นเครื่องสำอางที่ไม่มีฉลากภาษาไทยกำกับ ไม่ผ่านการจดแจ้งจาก อย.

    ทั้งนี้ ตำรวจ บก.ปคบ.ได้รับร้องเรียนว่ามีการจำหน่ายเครื่องสำอางอันตราย ซึ่งมีส่วนผสมของสารต้องห้าม และเป็นเครื่องสำอางที่ไม่ผ่านการอนุญาตจาก อย.จึงนำกำลังพร้อมหมายค้นศาลจังหวัดมีนบุรี ที่ 1029/2552 ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2552 เข้าตรวจค้นร้านขายเครื่อง สำอาง “มายแอนด์แคร์บิวตี้” ภายในซอยสีหบุรานุกิจ แขวงและเขตมีนบุรี กทม.

    จากการเข้าตรวจค้นเจ้าหน้าที่พบ นายวิทยา แสดงตัวเป็นเจ้าของร้านดังกล่าว จึงควบคุมตัวมาสอบสวน พร้อมทั้งแจ้งข้อหา ขายเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และข้อหาขายเครื่องสำอางที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง ไม่แสดงชื่อ ที่ตั้ง ผู้ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ก่อนส่งพนักงานสอบสวน สน.มีนบุรี รับไว้ดำเนินคดีต่อไป

    พล.ต.ต.จตุรงค์ กล่าวว่า อยากฝากเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ หรือซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือยา ที่ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง หรืออ้างว่ามีคุณภาพดีกว่าสินค้าอื่นๆ ที่จำหน่ายในท้องตลาด ซึ่งความเป็นจริงแล้วอาจเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพที่นอกจากจะทำให้ผู้บริโภคต้องสิ้นเปลืองเงินทองแล้วยังอาจได้รับอันตรายจากผลิตภัณฑ์นั้นๆ อีกด้วย ส่วนรูปแบบการโฆษณาปัจจุบันก็มีหลากหลายแบบ เช่น การโฆษณาขายผ่านเว็บไซต์ต่างๆ

    พล.ต.ต.จตุรงค์ กล่าวอีกว่า หากผู้บริโภครายใดพบเห็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ผ่านการขออนุญาต จาก อย.อย่างถูกต้อง หรือพบเห็นการโฆษณาหลอกลวงผู้บริโภคสามารถร้องเรียนมาได้ที่ บก.ปคบ.หรือสายด่วนผู้บริโภค 1556 ของ อย.ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อจับกุมและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดให้หมดสิ้นไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีการอัพโหลดไฟล์เสียงธรรมเทศนา
    โดยคุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->paang<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_19361", true); </SCRIPT>

    วิธีการอัพโหลดไฟล์เสียงธรรมเทศนา - Buddhism Audio


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    กดดูตามไฟล์แนบเลยค่ะ เรียงตามลำดับหมายเลยนะคะ
    ใครไม่เข้าใจตรงไหนถามมาในกระทู้นี้ได้เลยจ้า


    ขออนุโมทนาสาธุกับสมาชิกและผู้เยื่ยมชม ทุก ๆ ท่านที่ช่วยกันโพสเผยแพร่
    ธรรมะ เป็นธรรมทานนะคะ

    สำหรับท่านที่ต้องการนำไฟล์เสียงต่าง ๆ ที่ปรากฏบนเวปไซต์พลังจิตดอท
    คอม ไปเผยแพร่เป็นเป็นธรรมทาน ก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
    ทางเวปนะคะ ขอให้ไม่ทำไปเพื่อจุดประสงค์ทางการค้า หรือแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวใดใด ทางเราก็ยินดี และขออนุโมทนาบุญด้วยทุกประการค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้ แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง


    และกระทู้
    "พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....."
    "

    -*----------------------------------------------------*-

    พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี
    โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ.๙

    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ.๙)

    อดีตอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
    วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ราชวรมหาวิหาร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
    สำนักงานกลางกองการวิปัสสนาธุระ (คณะ ๕ )

    http://watpathumkongka.com/html/sound_chodok.html

    -*----------------------------------------------------*-

    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ.๙)

    อดีตอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์

    วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ราชวรมหาวิหาร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

    รวมพระธรรมเทศนา (เป็นลิงค์)

    http://ecurriculum.mv.ac.th/ebhuddis...chodok.php.htm

    -*----------------------------------------------------*-

    มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    [​IMG] [​IMG]


    http://www.paktho.ac.th/learning/sch...dic/mcu6d.html

    วิปัสสนากรรมฐาน
    [​IMG]การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นถือว่าเป็นการศึกษาและการฝึกอบรมจิตใจของคนและพระให้ดียิ่งขึ้น ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน ไว้อย่างชัดเจนในพระไตรปิฎก ซึ่งว่าด้วย "มหาสติปัฏฐานสูตร" โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้พุทธบริษัท ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาได้ทำจิตใจให้บริสุทธิ์จากอุปกิเลส เครื่องเศร้าหมองทั้ง ๒ ประการ คือ :
    [​IMG]๑. คันถธุระ การศึกษาเล่าเรียนตามตำรา
    [​IMG]๒. วิปัสสนาธุระ การศึกษาด้วยการปฏิบัติ

    ด้วยเหตุแห่งความสำคัญของการวิปัสสนาธุระ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจึงได้พัฒนาสถาบันวิปัสสนาธุระควบคู่กับความเป็นเลิศด้านวิชชาจรณะ และการปฏิบัติ เพื่อที่จะสามารถ นำความรู้ในพระไตรปิฎก และวิชาการชั้นสูงมาประยุกต์ใช้ เพื่อชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องในด้านจิตวิญญาณแก่สังคม อีกงยังเป็นผู้เผยแผ่หลักธรรม การปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่มหาชน

    ประวัติความเป็นมา
    [​IMG]สถาบันวิปัสสนาธุระ เดิมเรียกว่าสำนักงานกลางกองวิปัสสนาธุระ อยู่ภายใต้การบริหาร งานของวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ สมัยที่ดำรงตำแหน่งสังฆมนตรีว่าการปกครอง เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น และจุดประสงค์เพื่อการศึกษาด้านวิปัสสนาธุระของวัดมหาธาตุ

    [​IMG]การดำเนินงานในเบื้องต้น ได้อาราธนาพระภาวนาภิรามเถร (สุข ปวโร) ผู้ทรงคุณวุฒิและมีความรู้ความสามารถในทางวิปัสสนาธุระแห่งวัดระฆังโฆสิตามราม กรุงเทพมหานคร มาเป็นอาจารย์ฝึกสอนวิปัสสนากรรมฐานที่พระอุโบสถวัดมหาธาตุ มีพุทธบริษัททั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ให้ความสนใจเข้ามาฝึกปฏิบัติมิได้ขาด และบรรพชิตที่เข้ารับการฝึกปฏิบัติรุ่นแรก ๒ รูป คือ พระมหาโชดก ญาณสิทธิ ป.ธ. ๙ (พระธรรมธีรราชมหามุนี) วัดมหาธาตุ และพระครูสังวรสมาธิวัตร วัดเพลงวิปัสสนา

    [​IMG]ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ พระพิมลธรรมได้ส่งพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙ ไปศึกษา ดูงานวิปัสสนาธุระที่สำนักศาสยิสสา เมืองแรงกูน ประเทศพม่า ซึ่งเป็นสำนักวิปัสสนาที่มีชื่อเสียงของพม่าเป็นเวลา ๑ ปี เมื่อครบกำหนดแล้วจึงได้กลับคืนสู่ประเทศไทย พร้อมกันนี้พระมหาโชดก ยังได้นิมนต์พระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่าผู้ชำนาญ(ตามคำขอของรัฐบาลไทยต่อรัฐบาลพม่า) จากประเทศพม่ามาด้วย ๒ รูป คือ พระอาจารย์อาสภเถร ประธานกัมมัฏฐานาจาริยะ และพระอาจารย์อินทวังสะ มาเพื่อช่วยฝึกสอนวิปัสสนาธุระในประเทศไทยด้วย ซึ่งการได้นิมนต์พระเถระทั้งสองมาก็เป็นไปตามดำริของพระพิมลธรรม

    [​IMG]ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ พระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ และพระครูประกาศสมาธิคุณ ได้เป็นกำลัง สำคัญในการฝึกสอนวิปัสสนกรรมฐานในวัดมหาธาตุ ซึ่งนับวันจะมีผู้สนในปฏิบัติกรรมฐานเพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยลำดับ พระสังฆาธิการ ผู้บริหารคณะสงฆ์ก็ให้ความสนใจได้จัดส่งครูสอนพระปริยัติธรรมเข้ามาฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐานแล้วกลับไปเสนอพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ภายในเขตปกครองของตน จนปรากฏว่าสำนักวิปัสสนากรรมฐานได้เกิดขึ้นทั่วประเทศ แม้แต่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้เสด็จมาสมาทานพระวิปัสสนากรรมฐาน ที่พระอารามแห่งนี้ และพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ) ก็ได้มาศึกษาวิปัสสนากรรมฐานแบบนี้และรับรองว่า สำนักนี้ปฏิบัติถูกต้องตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔

    วิปัสสนากรรมฐานในต่างประเทศ
    [​IMG]ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้ส่งคณะพระวิปัสสนาจารย์ นำโดยพระราชสิทธิมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) และพระมหาวิจิตรติสฺสทตฺโต พธ.บ. แห่งวัดมหาธาตุ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศภาคพื้นยุโรป ได้ปฏิบัติศาสนกิจสอนวิปัสสนากรรมฐานและพักอยู่ที่พุทธวิหารแฮมพ์สเตท ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา ๓ เดือน ต่อมาได้แต่งตั้งจากคณะสงฆ์แห่ง ประเทศไทยเป็นหัวหน้าฝ่ายพระธรรมทูตสายต่างประเทศและได้ขยายการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปถึงประเทศเยอรมัน ฮอนแลนด์ ฟิลแลนด์ สหรัฐอเมริกา และแคนนาดา โดลำดับ ได้มีผู้สนใจจำนวนมากเข้ามาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งมีพระสงฆ์ไทยเป็นผู้ทำหน้าที่ฝึกสมาธิ วิปัสสนากรรมฐานและสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้

    การพัฒนาการสถาบันวิปัสสนาธุระ
    [​IMG]เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงากรณราชวิทยาลัย ได้พิจารณาเห็นว่าการศึกษาในด้านวิปัสสนาธุระโดยเปิดสำนักงานกลางวิปัสสนาธุระที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร สมควรจะได้รับการฟื้นฟูขยายการบริหารงานในรูปแบบที่มีองค์กรหลักมารองรับ จึงได้ มีมติอนุมัติให้สำนักงานกลางวิปัสสนาธุระที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร เป็นสถาบันวิปัสสนากรรมฐานของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยมีพระพิมลธรรม (สมเด็จพระพุฒาจารย์ : อาจ อาสภมหาเถร) เป็นผู้ลงนาม

    [​IMG]ปัจจุบัน สถาบันวิปัสสนาธุระยังให้การบริการในด้านวิปัสสนากรรมฐานเพื่อสืบทอด จรรโลงสืบต่อกันมาอย่างไม่ขาดสาย จึงเกิดเป็นสำนักวิปัสสนากรรมฐานแบบ "ยุบหนอ พองหนอ" ทั้งนี้ ก็เพราะการมองการณ์ไกลของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) อดีต สภานายกมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    [​IMG]นอกจากนี้ การวิปัสสนาธุระสำหรับชาวต่างประเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้จัดตั้งศูนย์วิปัสสนานานาชาติขึ้น (The International Buddhist Meditation Center (I.B.M.C.)) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยจัดให้มีการบรรยายธรรมเป็นภาษาอังกฤษ และสอนภาค ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอันเป็นแนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และวัฒนธรรมไทย เพื่อศึกษาและวิจัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และเพื่อให้ชาวต่างประเทศได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมเข้าใจหลักธรรมอย่างแท้จริง
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2009
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา มณฑาทิพย์ ดอกไม้สวรรค์
    http://palungjit.org/threads/มณฑาทิพย์-ดอกไม้สวรรค์.206219/

    ดอกมณฑาทิพย์ บ้างเรียกว่าดอกมณฑารพ หรือดอกมณฑาสวรรค์
    ท่านเล่ากันว่าเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมจรุง มากกว่าดอกไม้ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกมนุษย์






    [​IMG]
    <O:p


    ความปรากฏในพระไตรปิฎกส่วนที่ว่าด้วยพระสุตตันตปิฎก บทปรินิพพานสูตร กล่าวว่า ดอกมณฑารพ ซึ่งเป็นดอกไม้บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีความสวยงามและมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ เวลาดอกมณฑารพจะบาน และร่วงหล่นก็ด้วยเหตุการณ์สำคัญ ๆ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ตุรงคสันนิบาต และทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตนสูตร ดอกมณฑารพ จึงได้ร่วงหล่นลงมายังโลกมนุษย์
    <O:p</O:p
    ครั้งเมื่อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ที่เมืองกุฉินารา ดอกมณฑารพ นี้ก็ได้ร่วงหล่นลงมาทั้งก้านและกิ่ง เปรียบเหมือนความเสียอกเสียใจพิไรรำพันต่อการเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมถึงเหล่าพระภิกษุผู้ได้ชื่อว่าอรหันตขีนาสพทั้งหลายด้วย หมู่เหล่าข้าราชบริพาร ประชาชนทั้งหลายได้พากันมาถวายสักการะพระบรมศพ อีกทั้งยังได้พากันเก็บนำดอกมณฑารพที่ร่วงหล่นลงมาเพื่อไปสักการบูชาและรำลึกถึง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ดอกมณฑารพ ที่เก็บมาสักการบูชาเริ่มเหี่ยวแห้งและหมดไป เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระปัญญาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ




    [​IMG]
    <O:p</O:p


    รวมทั้งเหตุการณ์ในวันสำคัญต่าง ๆ จึงได้พากันนำเอาข้าวตอกมาสักการบูชา เพราะถือว่าข้าวเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และเป็นของสูงที่มนุษย์จะขาดไม่ได้ การจัดข้าวตอกดอกไม้ถวายเป็นพุทธบูชามีจุดเริ่มต้นเมื่อไหร่นั้น ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่าแรก ๆ จะใส่พาน ไว้โปรยเวลาพระสงฆ์เทศนา ต่อมาจึงมีการนำมาประดิษฐ์ตกแต่งที่เห็นว่าสวยงาม สืบทอด กันเรื่อยมาจนกลายเป็นประเพณีแห่มาลัยในปัจจุบัน<O:p</O:p</O:p

    -----------------------------------------------

    ดอกไม้ทิพย์แห่งเมืองสวรรค์ที่ชื่อ มณฑาทิพย์ หรือ มณฑารพ นั้นในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า



    [​IMG]



    ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จปรินิพพานได้ตรัสกับพระอานนท์ ปรากฎ ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ของ มหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่๑๓ ทีฆนิกายมหาวรรคหน้า ๓๐๖ –๓๐๗ ข้อ๑๒๙ มหาปรินิพพานสูตร ทรงปรารภสักการบูชาดั่งว่า

    ดูกรอานนท์ไม้สาละทั้งคู่เผล็ดดอกบานสะพรั่งนอกฤดูกาลร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระของตถาคตเพื่อบูชา แม้ ดอกมณฑารพ อันเป็นของทิพย์ก็ตกลงมาจากอากาศ ดอกมณฑารพ เหล่านั้นร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระของตถาคต เพื่อบูชาแม้จุณแห่งจันทน์ อันเป็นของทิพย์ก็ตกลงมาจากอากาศจุณแห่งจันทน์เหล่านั้นร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระของตถาคต เพื่อบูชาดนตรีอันเป็นทิพย์เล่า ก็ประโคมอยู่ในอากาศเพื่อบูชาตถาคตแม้สังคีตอันเป็นทิพย์ก็เป็นไปในอากาศเพื่อบูชาตถาคต



    [​IMG]



    ดูกรอานนท์ตถาคตจะชื่อว่า อันบริษัทสักการะเคารพนับถือบูชานอบน้อมด้วยเครื่องสักการะประมาณเท่านี้หามิได้ผู้ใดแล จะเป็นภิกษุภิกษุณีอุบาสก หรือ อุบาสิกาก็ตามเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมปฏิบัติ ชอบปฏิบัติ ตามธรรมอยู่ผู้นั้นย่อมชื่อว่า สักการะเคารพนับถือบูชาตถาคตด้วยการบูชาอย่างยอดเ พราะเหตุนั้นแหละ อานนท์พวกเธอพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมปฏิบัติชอบประพฤติตามธรรมอยู่ดังนี้ฯ

    ในเวลาที่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้วทุกหนแห่งในเมืองกุสินาราเต็มไปด้วย ดอกมณฑารพ

    “...สมัยนั้นเมืองกุสินาราเดียรดาษไปด้วย ดอกมณฑารพ โดยถ่องแถวประมาณแค่เข่าจนตลอดที่ต่อแห่งเรือนบ่อของโสโครก และกองหยากเยื่อ ครั้งนั้นพวกเทวดา และ พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราสักการะเคารพนับถือบูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาค ด้วยการฟ้อนรำขับร้องประโคมมาลัย และของหอมทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์...”



    [​IMG]


    หลังจากพระพุทธองค์เสด็จสวรรคตแล้วพระมหากัสสปะเถระ ซึ่งอยู่ที่เมืองปาวาได้ทราบข่าวว่า
    พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับที่เมืองกุสินาราหลายวันแล้ว จึงตั้งใจจะไปเฝ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์บริวาร ๕๐๐ รูป ขณะที่กำลังเดินทางไปเมืองกุสินาราอยู่นั้น ได้หยุดพักหลบแสงแดดอยู่ใต้ร่มไม้ข้างทาง ได้เห็นนักบวชนอกศาสนาคนหนึ่ง ซึ่งมาจากเมืองกุสินาราถือ ดอกมณฑารพเดินสวนทางมาพระมหากัสสปะ ซึ่งเวลานั้นยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ก็นึกสังหรณ์ใจเพราะดอกมณฑารพ เป็นดอกไม้ทิพย์ที่ไม่มีในโลกมนุษย์





    [​IMG]



    และจะปรากฏเฉพาะตอนที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้า เช่น ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน วันจาตุรงคสันนิบาตวันที่ทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นต้น ซึ่งเทพเทวดาจะบันดาลให้ ดอกมณฑารพ ตกลงมาจากเทวโลก พระมหากัสสปะจึงได้สอบถามข่าวคราวของพระพุทธองค์จากนักบวชผู้นั้น ซึ่งได้รับคำตอบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จสู่ปรินิพพานมา วันแล้วและ ดอกมณฑารพ นี้ก็ได้มาจากสถานที่ที่พระองค์ปรินิพพานนั่นเอง เมื่อได้ยินดังนั้น พระมหากัสสปะจึงรีบเร่งนำพระภิกษุสงฆ์ออกเดินทางไปยังเมืองกุสินารา

    นอกจากนี้ดอกมณฑารพ นี้ยังเป็นดอกไม้ของนางสงกรานต์ประจำวันพฤหัสบดีที่มีนามว่ากิริณีเทวีด้วยf

    <O:p</O:pคัดจากจากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลาฉบับที่๗๘ .. ๕๐ โดยเรณุกา<O:p</O:p


    ......................................................

    ที่มาข้อมูล<O:p</O:p
    http://www.bloggang.com/viewdiary.ph...roup=6&gblog=7 http://www.magnoliathailand.com/webboard/index.php?topic=2276.0<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา มณฑาทิพย์ ดอกไม้สวรรค์
    มณฑาทิพย์ ดอกไม้สวรรค์


    ต่อครับ

    เวลานั้น พระมหากัสสปเถระเจ้า พาพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ เดินทางจากเมืองปาวา ไปเมืองกุสินารา เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน แสงแดดกล้า พระเถระเจ้าจึงพาพระภิกษุสงฆ์เข้าหยุดพักร่มไม้ริมทาง ด้วยดำริว่าต่อเพลาตะวันเย็น จึงจะเดินทางต่อไป


    ครั้นพระเถระเจ้าพักพอหายเหนื่อย ก็เห็นอาชีวกผู้หนึ่ง เดินถือ ดอกมณฑา กั้นศีรษะมาตามทาง ก็นึกฉงนใจ ด้วยดอกมณฑา นี้ หามีในมนุษย์โลกไม่ เป็นของทิพย์ในสุราลัยเทวโลก จะตกลงมาเฉพาะในเวลาสำคัญ ๆ คือ เวลาพระบรมโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ เวลาประสูติ เวลาเสด็จออกสู่มหาภิเนกษกรม เวลาพระสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เวลาแสดงธรรมจักร เวลาทรงทำยมกปาฏิหาริย์ เวลาเสด็จลงจากเทวโลก เวลาปลงอายุสังขาร และเวลาพระสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เท่านั้น ไฉนกาลบัดนี้ จึงเกิดมีดอกมณฑา อีกเล่า ทำให้ปริวิตกถึงพระบรมศาสดา หรือพระบรมศาสดาจักเสด็จปรินิพพานแล้ว นึกสงสัย จึงได้ลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้อาชีวกผู้นั้น แล้วถามว่า

    "ดูกรอาชีวก ท่านมาแต่ที่ใด"
    "เมืองกุสินารา พระผู้เป็นเจ้า"
    "ท่านยังได้ทราบข่าวคราวพระบรมครูของเราบ้างหรือ อาชีวก" พระเถระเจ้าถามสืบไป
    "พระสมณโคดม ครูของท่านนิพพานเสียแล้วได้ ๗ วัน ถึงวันนี้" อาชีวกกล่าว "ดอกมณฑา นี้ เราก็ได้มาแต่เมืองกุสินารา เนื่องในการนิพพานของพระมหาสมณะโคดมพระองค์นั้น"




    [​IMG]


    เมื่อภิกษุทั้งหลาย ที่เป็นปุถุชน ได้ฟังถ้อยคำของอาชีวกบอกเช่นนั้น ก็ตกใจมีหฤทัยหวั่นไหวด้วยกำลังแห่งโทมนัส เศร้าโศก ปริเทวนาการ ร่ำไรถึงพระบรมศาสดา ฝ่ายพระสงฆ์ที่เป็นพระขีณาสพก็เกิดธรรมสังเวชสลดจิต

    เวลานั้น มีภิกษุรูปหนึ่ง <O:p</O:p
    บวชเมื่อภายแก่ ชื่อ สุภัททะ เป็นวุฑฒะบรรพชิตมีจิตดื้อด้าน ด้วยสันดาลพาลชน เป็นอลัชชีมืดมนย่อหย่อนในธรรมวินัย ลุกขึ้นกล่าวห้ามภิกษุทั้งหลายว่า<O:p</O:p
    " ท่านทั้งปวง อย่าร้องไห้ร่ำไรไปเลย บัดนี้ เราพ้นอำนาจพระมหาสมณะแล้ว เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ย่อมจู้จี้ เบียดเบียนบังคับบัญชาห้ามปรามเราต่าง ๆ นานา ว่าสิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร บัดนี้ พระองค์ปรินิพพานแล้ว เราปรารถนาจะทำสิ่งใด ก็จะทำได้ตามใจชอบ ไม่มีใครบังคับบัญชา ห้ามปรามแล้ว"


    พระมหากัสสปเถระเจ้า <O:p</O:p
    ได้ฟังคำของพระสุภัททะกล่าวคำจ้วงจาบพระบรมศาสดาเช่นนั้น ก็สลดใจยิ่งขึ้น ดำริว่า <O:p</O:p
    …….. "ดูเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานไปเพียง ๗ วัน เท่านั้น ก็ยังเกิดมีอลัชชี มิจฉาจิต คิดลามก เป็นได้ถึงเช่นนี้ ต่อไปเมื่อหน้า จะหาผู้คารวะในพระธรรมวินัยไม่ได้ หากไม่คิดหาอุบายแก้ไขป้องกันให้ทันท่วงทีเสียแต่แรก เราจะพยายามทำสังคายนา ยกพระธรรมวินัยขึ้นไว้เป็นที่เคารพแทนองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าให้จงได้" <O:p</O:p
    .......... พระเถระเจ้าทำไว้ในใจเช่นนั้นแล้ว ก็กล่าวธรรมกถาเล้าโลมภิกษุสงฆ์ทั้งหลายให้ระงับดับความโศกแล้ว รีบพาพระสงฆ์บริวารเดินทางไปยังนครกุสินารา ตรงไปยังมกุฏพันธนะเจดีย์

    ครั้นถึงยังพระจิตรกาธาร ที่ประดิษฐานพระพุทธสรีระศพ พระบรมศาสดาแล้ว ก็ทำจีวรเฉวียงบ่า ประคองอัญชลี กระทำปทักษิณเวียนพระจิตรกาธารสามรอบแล้ว เข้าสู่ทิศเบื้องพระยุคลบาท น้อมถวายอภิวาทแล้วตั้งอธิษฐานจิตว่า
    <O:p</O:p
    "ขอให้พระบรมบาททั้งคู่ของสมเด็จพระบรมครู ผู้ทรงพระเมตตาเสด็จไปประทานอุปสมบทแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้มีนามว่ากัสสปะ ณ ร่มไม้พหุปุตตนิโครธ ทั้งยังทรงพระมหากรุณาโปรดประทานมหาบังสุกุลจีวรส่วนพระองค์ ให้ข้าพระองค์ได้ร่วมพระพุทธบริโภคโดยเฉพาะ จงออกจากหีบทอง รับอภิวาทแห่งข้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ ซึ่งตั้งใจมาน้อมถวายคารวะ ณ กาลบัดนี้เถิด"
    <O:p</O:p
    ขณะนั้น พระบรมบาททั้งคู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ได้แสดงอาการประหนึ่งว่า พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่
    ได้ทำลายคู่ผ้าทุกุลพัสตร์ที่ห่อหุ้มอยู่ทั้ง ๕๐๐ ชั้น กับทั้งพระหีบทอง
    ออกมาปรากฎในภายนอก ในลำดับแห่งคำอธิษฐานของพระมหากัสสปะเถระเจ้า
    ดุจดวงอาทิตย์ที่แลบออกจากกลีบเมฆ ฉะนั้น
    พุทธบริษัททั้งปวง เห็นเป็นอัศจรรรย์พร้อมกัน




    [​IMG]<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ทันใดนั้น พระมหากัสสปะเถระ ก็ยกมือขึ้นประคองรองรับพระยุคลบาทของพระบรมศาสดา
    ขึ้นชูเชิดเทิดทูลไว้บนศีรษะ แล้วก็กราบทูลว่า <O:p</O:p
    …………"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์มิได้อยู่ปฏิบัติพระองค์ ไปอยู่เสียในเสนาสนะป่าอรัญญิกาวาส แม้พระองค์จะทรงพระกรุณาประทานโอกาสว่า <O:p</O:p
    …………"กัสสปะ ชราแล้ว ทรงบังสุกุลจีวรเนื้อหนา พานจะหนัก จะทรงคหบดีจีวรอันทายกถวายบ้าง ก็ตามอัธยาศัย จงอยู่ในสำนักตถาคต แม้จะทรงพระมหากรุณาถึงเพียงนี้ กัสสปะก็มิได้อนุวัตรตามพระมหากรุณา ได้ประมาทพลาดพลั้งถึงดังนี้ ขอภควันตะมุนี ได้ทรงพระกรุณาโปรดอดโทษานุโทษแก่ข้าพระองค์ อันมีนามว่า กัสสปะ ณ กาลบัดนี้"

    <O:p
    ครั้นพระมหากัสสปะ กับพระสงฆ์บริวาร ๕๐๐ <O:p</O:p
    และมหาชนทั้งหลายกราบนมัสการ พระบรมยุคลบาทโดยควรแล้ว
    พระบาททั้งสอง ก็ถอยถดหดหายจากหัตถ์พระมหากัสสปะ นิวัตตนาการคืนเข้าพระหีบทองดังเก่า ทุกสิ่งทุกอย่างได้ตั้งอยู่เป็นปกติ มิได้ขยับเขยื่อนเคลื่อนไหวจากที่แต่ประการใด <O:p</O:p
    เป็นมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่อีกวาระหนึ่ง
    ขณะนั้น เสียงโศกาปริเทวนาการของมวลเทพดาและมนุษย์ ซึ่งได้หยุดสร่างสะอื้นแล้วแต่ต้นวัน
    ก็ได้พลันดังสนั่นขึ้นอีก
    <O:p</O:p
    เสมอด้วยวันเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

    ที่มาข้อมูล : http://www.larnbuddhism.com/puttapra...inipan/28.html<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2009
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา มณฑาทิพย์ ดอกไม้สวรรค์
    มณฑาทิพย์ ดอกไม้สวรรค์


    ต่อครับ


    มณฑา


    ชื่อสามัญ Magnolita
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Talauma candellei
    ตระกูล MACNOLIACEAE (วงศ์เดียวกับ จำปา จำปี และยี่หุบ)




    [​IMG]

    <O:p</O:p
    พันธ์ไม้ตระกูลใกล้เคียงเรียกชื่อ ดอกมณฑา (Taluama canclollei Bl.) <O:p</O:p
    ชื่ออื่นเรียกคือ ยี่หุบ (ภาคเหนือ & ภาคกลาง), จอมปูน, จำปูนช้าง (สุราษฎร์ธานี)

    ถิ่นกำเนิด

    มณฑา เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง
    ลักษณะเป็นพุ่ม ผิวเปลือกลำต้นเรียบสีเทา ลำต้นมีความสูงประมาณ ๔-๑๐ เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขาน้อย<O:p</O:p


    ใบมีขนาดใหญ่มีสีเขียว ลักษณะใบเป็นรูปมนรี ขอบใบขนานตัวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย
    ขนาดใบกว้างประมาณ ๔-๕ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๖-๙ เซนติเมตร
    ดอกแตกออกตามง่ามใบ หรือส่วนยอดของลำต้น
    กลีบดอกแข็งหนา ซ้อนกันเป็นชั้น ลักษณะคล้ายกับดอกลำดวน
    ดอกภายใน เล็กสีเหลืองมีกลิ่นหอมไปไกล





    [​IMG]

    ลักษณะทั่วไป
    คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นมณฑาไว้ประจำบ้าน จะทำให้มีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะดอกมณฑาเป็นดอกไม้ทิพย์ที่ อยู่บนสวรรค์ และได้ตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ทำให้บ้านเกิดมีความงดงาม ชวนมอง เพราะดอกมณฑาเวลาบานนั้น ดอกจะมีสีเหลืองนวล หอมนาน ดูแล้วงาม แพรวพราวจับใจ<O:p</O:p


    ความเป็นมงคล
    เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้าน และผู้อาศัย
    ควรปลูกต้นมณฑา ไว้ทางทิศตะวัตตกเฉียงเหนือของบ้าน
    ควรปลูกในวันพุธ ด้วยเชื่อกันว่า การปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทางดอก ให้ปลูกในวันพุธ




    [​IMG]


    <O:p</O:p


    ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก<O:p</O:p
    ถ้าหากผู้อาศัยในบ้านเกิดในวันพฤหัสบดีด้วยแล้วก็จะเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น<O:p</O:p
    นิยมปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้าน ขนาดหลุมปลูก ๓๐ x ๓๐ x ๓๐ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา ๑ : ๒ผสมดินปลูก
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    การปลูก<O:p</O:p
    แสง ต้องการแสงแดดอ่อน หรือแสงแดดปานกลาง
    น้ำ ต้องการปริมาณน้ำปานกลางควรให้น้ำ ๕- ๗ วัน/ครั้ง
    ดิน ชอบดินร่วนซุย มีความชื้นสูง
    ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา ๑-๒กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ ๓-๕ ครั้ง
    การขยายพันธ์ การตอนกิ่ง การเพาะเมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดี คือ การตอน
    โรคและศัตรู ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและศัตรู เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อสภาพธรรมชาติพอสมควร

    <O:p</O:p
    ขอบคุณข้อมูลจาก
    http://www.maipradabonline.com/maimongkol/montha.htm
    ภาพจาก http://www.pantown.com/data/5174/board1/203-20050411033655.jpg<O:p</O:p








    <HR align=center width="100%" SIZE=2>

    ที่มาข้อมูล :<O:p></O:p>
    พระพุทธประวัติ : http://www.larnbuddhism.com<O:p</O:p
    มณฑา : http://www.maipradabonline.com<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2009
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา มณฑาทิพย์ ดอกไม้สวรรค์
    มณฑาทิพย์ ดอกไม้สวรรค์


    สิริบุญส่งเทพธิดามีวิมานเรืองรองจรุงด้วย กลิ่นดอกมณฑารพ เหตุอันเกี่ยวเนื่องจากการเป็นผู้มีศีล และบูชาด้วยเกสรดอกไม้
    พร้อมนี้ ขอเชิญพระอรรกถามาเล่าเพื่อศรัทธาธรรม ความดั่งว่า<O:p</O:p


    <O:p</O:p


    อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ จิตตลดาวรรคที่ ๒
    ๕. ภัททิตถิกาวิมาน
    อรรถกถาภัททิตถิกาวิมาน <O:p</O:p


    ภัททิตถิกาวิมาน มีคาถาว่า นีลา ปีตา จ กาฬา จ ดังนี้เป็นต้น.
    ภัททิตถิกาวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร? <O:p</O:p


    พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกะ กรุงสาวัตถี.
    สมัยนั้น ในกิมิลนครมีคหบดีบุตรผู้หนึ่งชื่อโรหกะ มีศรัทธาปสาทะ ถึงพร้อมด้วยศีลและอาจาระ ในนครนั้นแล มีทาริกาเด็กหญิงคนหนึ่งในตระกูลที่มีโภคทรัพย์มากทัดเทียมกับนายโรหกะนั้น เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส มีนามว่าภัททา เพราะเจริญแม้ตามปกติ. <O:p</O:p

    ครั้นต่อมา มารดาบิดาของโรหกะได้เลือกกุมารีนั้น นำนางมาในเวลานั้น ได้ทำอาวาหวิวาหมงคลกัน. สองสามีภริยานั้นก็อยู่ร่วมกันด้วยสามัคคี ก็เพราะอาจารสมบัติของตน นางจึงได้เป็นคนเด่น รู้จักกันไปทั่วพระนครนั้นว่า ภัททิตถี แม่หญิงภัทรา. <O:p</O:p

    ก็สมัยนั้น พระอัครสาวกทั้ง ๒ มีภิกษุเป็นบริวารรูปละ ๕๐๐ จาริกเที่ยวไปในชนบท ถึงกิมิลนคร. นายโรหกะรู้ว่าพระอัครสาวกนั้นไปที่กิมิลนครนั้น เกิดโสมนัสเข้าไปหาพระเถระทั้งสองรูป ไหว้แล้วนิมนต์ฉันในวันพรุ่งนี้ อังคาสท่านพร้อมด้วยบริวารให้อิ่มหนำสำราญด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีตในวันรุ่งขึ้น พร้อมด้วยบุตรและภรรยา ได้ฟังพระธรรมเทศนาที่ท่าแสดงแล้ว ตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน รับสรณะ สมาทานเบญจศีล. <O:p</O:p

    ส่วนภรรยาของเขาก็เข้ารักษาอุโบสถศีลเป็นวัน ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำและวันปาฏิหาริยปักษ์. เฉพาะอย่างยิ่งนางได้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลและอาจาระ และเทวดาทั้งหลายอนุเคราะห์แล้ว ก็ด้วยความอนุเคราะห์ของเทวดานั้นแล นางก็ปลดเปลื้องคำว่าร้ายผิดๆ ที่ตกมาเหนือตนหายไปได้ กลายเป็นผู้มีเกียรติยศแพร่ไปทั่วโลกอย่างยิ่ง เพราะนางมีศีลและอาจาระหมดจดด้วยดีแล. <O:p</O:p

    ก็ภรรยานั้นอยู่ในกิมิลนครนั้นเอง ส่วนสามีของนางอยู่ค้าขายในตักกศิลานคร ในวันมหรสพรื่นเริงกัน เมื่อถูกพวกเพื่อนรบเร้าก็เกิดคิดอยากเล่นงานมหรสพตามเทศกาล เทวดาผู้ประจำเรือนก็ช่วยนำนางไปในตักกศิลานครนั้นด้วยอานุภาพทิพย์ของตนแล้ว ส่งไปร่วมกับสามี เพราะอยู่ร่วมกันนั่นแลก็ตั้งครรภ์. เทวดาช่วยนำกลับกิมิลนคร <O:p</O:p

    เมื่อครรภ์ปรากฏชัดขึ้นโดยลำดับ ถูกแม่ผัวเป็นต้นรังเกียจว่านางประพฤตินอกใจสามี เมื่อกระแสน้ำในแม่น้ำคงคาถูกเทวดานั้นแลบันดาลให้เป็นเหมือนหลงมาท่วมกิมิลนคร ด้วยอานุภาพของตน ประสบความยุ่งยาก ซึ่งตกลงมาเหนือตนดังกระแสน้ำในแม่น้ำคงคาที่มีเกลียวคลื่นเกิดเพราะแรงลม ด้วยการสมถะมีสัจจาธิษฐานเป็นเบื้องต้น ซึ่งพิสูจน์ว่าตนเป็นหญิงจงรักสามี ถึงจะกลับมาอยู่ร่วมกับสามี สามีนั้นก็รังเกียจเหมือนแม่ผัวเป็นต้นรังเกียจมาก่อน และต้องอ้างสัญญาณเครื่องหมาย ซึ่งสามีนั้นประทับชื่อให้ไว้ในตักกศิลานคร จึงแก้ความรังเกียจนั้นได้ กลายเป็นผู้ที่ญาติฝ่ายสามีและมหาชนยกย่อง ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า สุวิสุทฺธสีลาจารตาย อติวิย โลเก ปตฺถฏยสา อโหสิ ได้เป็นผู้มีเกียรติยศแพร่ไปในโลกอย่างยิ่ง เพราะเป็นผู้มีศีลและอาจาระหมดจดดี.<O:p</O:p

    สมัยต่อมา นางทำกาละตายไปบังเกิดในภพดาวดึงส์.
    ครั้งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาจากกรุงสาวัตถีไปยังภพดาวดึงส์ ประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลา ณ โคนต้นปาริฉัตร และเมื่อเทพบริษัทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แม้ภัททิตถีเทพธิดาก็ได้เข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. <O:p</O:p

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงถามบุญกรรมที่เทพธิดานั้นทำไว้ ณ ท่ามกลางเทวดาบริษัทและพระพรหมบริษัทที่ประชุมพร้อมกันในหมื่นโลกธาตุ ได้ตรัสว่า <O:p</O:p

    ดูก่อนเทพธิดาผู้มีปัญญาดี ท่านทัดทรงไว้เหนือศีรษะ ซึ่ง พวงมาลัยดอกมณฑารพ อันมีสีต่างๆ กัน คือ เขียว เหลือง ดำ แดงเข้มและแดงที่ห้อมล้อมด้วยกลีบเกสรจากต้นไม้เหล่าใด ต้นไม้เหล่านี้ไม่มีในเทพหมู่อื่น เพราะบุญอะไร ท่านผู้เลอยศจึงเข้าถึงหมู่เทพชั้นดาวดึงส์
    ดูก่อนเทพธิดา ท่านถูกเราถามแล้ว จงบอกมาสิว่านี้เป็นผลของบุญอะไร.<O:p</O:p
    <O:p



    [​IMG]


    ในคาถานั้น จ ศัพท์ในบาทคาถานี้ว่า นีลา ปีตา จ กาฬา จ มญฺชิฏฺฐา อถ โลหิตา เป็นการกล่าวควบบท จ ศัพท์นั้น พึงประกอบแต่ละบทโดยเป็นต้นว่า นีลา จ ปีตา จ.
    ศัพท์ว่า อถ เป็นนิบาตใช้ในอรรถอื่น. ด้วย อถศัพท์นั้น ท่านรวมวรรณะที่ไม่ได้กล่าวมีสีขาวเป็นต้นไว้ด้วย. พึงทราบว่า อิติศัพท์ท่านลบเสียแล้วแสดงไว้ [ไม่มีอิติศัพท์]
    อีกอย่างหนึ่ง จ ศัพท์ควบข้อความที่ไม่ได้กล่าวไว้ อิติศัพท์เป็นนิบาต.
    บทว่า อุจฺจาวจานํ ในบาทคาถาว่า อุจฺจาวจานํ วณฺณานํ นี้ พึงเห็นว่าไม่ลบวิภัตติ. อธิบายว่า มีสีสูงและต่ำคือมีสีต่างๆ กัน.
    อนึ่ง บทว่า วณฺณานํ แปลว่า ซึ่งมีรัศมีคือสี.
    บาทคาถาว่า กิญฺชกฺขปริวาริตา ได้แก่ แวดล้อมด้วยกลีบเกสรดอกไม้.
    ที่จริง บทนั้นเป็นปฐมาวิภัตติแต่ใช้ในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ มีคำอธิบายดังนี้ว่า <O:p</O:p
    <O:p


    ดูก่อนเทพธิดา ท่านทัดทรงประดับไว้เหนือเศียร ซึ่งมาลัยดอกมณฑารพ คือพวงมาลัยที่ทำด้วยดอกมณฑารพเหล่านั้น เพราะดอกมณฑารพเหล่านั้นซึ่งสีสรรต่างๆ คือ เขียว เหลือง ดำ แดงเข้ม แดงและสีอื่นๆ มีสีขาวเป็นต้น อันห้อมล้อมด้วยกลีบเกสรคือละออง ตามที่เป็นอยู่มีสัณฐานทรวดทรงงามเป็นต้น หรือเพราะสีแห่งวรรณะตามที่กล่าวแล้วต่างๆ กัน เกิดจากต้นมณฑารพ.
    เพื่อแสดงว่าต้นไม้ที่มีดอกเหล่านั้นไม่ทั่วไปแก่สวรรค์ชั้นอื่น เพราะดอกไม้เหล่านั้นมีสีพิเศษแปลกออกไป พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า นยิเม อญฺเญสุ กาเยสุ รุกฺขา สนฺติ สุเมธเส ดังนี้. ในบทเหล่านั้น <O:p</O:p


    บทว่า อิเม ประกอบความว่า ต้นไม้มีดอกประกอบด้วยสีและสัณฐานเป็นต้น ตามที่กล่าวแล้วไม่มี.
    บทว่า กาเยสุ แปลว่า ในหมู่เทพทั้งหลาย.
    บทว่า สุเมธเส แปลว่า ดูก่อนเทพธิดาผู้มีปัญญาดี. <O:p</O:p

    บรรดาบทเหล่านั้น<O:p</O:p
    บทว่า นีลา ได้แก่ มีสีเขียวโดยมณีรัตนะมีอินทนิลและมหานิลเป็นต้น. <O:p</O:p
    บทว่า ปีตา ได้แก่ มีสีเหลืองโดยมณีรัตนะ มีบุษราคัมกักเกตนะและปุลกะเป็นต้น และทองสิงคี. <O:p</O:p
    บทว่า กาฬา ได้แก่ มีสีดำโดยมณีรัตนะมีแก้วหินอัสมกะ แก้วหินอุปลกะเป็นต้น. <O:p</O:p
    บทว่า มญฺชิฏฺฐา ได้แก่ มีสีแดงเข้มโดยมณีรัตนะมีแก้วโชติรส แก้วโคปุตตาและแก้วโคเมทกะเป็นต้น. <O:p</O:p
    บทว่า โลหิตา ได้แก่ มีสีแดงโดยมณีรัตนะมีแก้วทับทิม แก้วแดง แก้วประพาฬเป็นต้น. ส่วนอาจารย์บางพวกเอาบทมีนีละเป็นต้น<O:p</O:p
    กับบทนี้ว่า รุกฺขา ประกอบกันกล่าวว่า นีลารุกฺขา เป็นต้น. <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ที่จริง แม้ต้นไม้ย่อมได้โวหารว่าเขียวเป็นต้น เพราะประกอบด้วยสีเขียวเป็นต้น เหตุปกคลุมด้วยดอกไม้มีสีเขียวเป็นต้น เพราะเหตุนั้น ด้วยบทเหล่านั้นว่า นีลา ปีตา จ กาฬา จ ฯลฯ นยิเม อญฺเญสุ กาเยสุ รุกฺขา สนฺติ สุเมธเส ดังนี้ พึงประกอบความว่า
    ท่านทัดทรงพวงดอกมณฑารพซึ่งมีสีสรรต่างๆ ฯลฯ ห้อมล้อมด้วยกลีบเกสรจากต้นไม้ใด การแสดงต้นไม้ไว้แผนกหนึ่ง ด้วยการระบุดอกไม้อันประกอบด้วยสีแปลกออกไปตามที่เห็นแล้ว ด้วยการแสดงถึงภาวะที่ดอกไม้เหล่านั้นเป็นของไม่ทั่วไป จัดเป็นปฐมนัย. การแสดงดอกไม้ไว้แผนกหนึ่ง ด้วยการแสดงภาวะที่ต้นไม้เป็นของไม่ทั่วไป จัดเป็นทุติยนัย. สีเป็นต้นในปฐมนัย ท่านถือเอาโดยสภาพ. ในทุติยนัย ท่านถือเอาโดยมุข คือต้นไม้อันเป็นที่อาศัย [ของสี] ในข้อนั้นสีและต้นไม้เหล่านั้นแปลกกันดังกล่าวมานี้.
    บทว่า เกน ประกอบความว่า เพราะบุญกรรมอะไร ท่านจึงเข้าถึงหมู่เทพชั้นดาวดึงส์.
    บทว่า ปุจฺฉิตาจิกฺข ความว่า ท่านถูกเราถามแล้ว จงบอกจงกล่าวมาเถิด.
    เทพธิดานั้นถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามอย่างนี้แล้ว จึงได้ทูลพยากรณ์ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ชนทั้งหลายรู้จักข้าพระองค์ว่า ภัททิตถิกา แม่หญิงภัทรา ข้าพระองค์เป็นอุบาสิกาอยู่ในกิมพิลนคร เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธาและศีล ยินดีในการจำแนก ของเป็นทานทุกเมื่อ มีจิตผ่องใส ได้ถวายผ้านุ่งห่ม อาหาร เสนาสนะ และเครื่องประทิป ในพระอริยเจ้า ผู้ปฏิบัติตรง
    ข้าพระองค์ได้เข้ารักษาอุโบสถอันประกอบด้วย องค์ ๘ ประการ ตลอดดิถีที่ ๑๔-๑๕ และดิถีที่ ๘ ของ ปักษ์และตลอดปาฏิหาริยปักษ์ ข้าพระองค์เป็นผู้สำรวมแล้วด้วยดีในศีลทุกเมื่อ มีสัญญมะ และแจกทาน จึง ครอบครองวิมาน.
    ดีฉันงดเว้นจากปาณาติบาต เป็นผู้เว้นจากการ ถือเอาสิ่งของของผู้อื่นด้วยไถยจิต จากการประพฤติผิดในกาม สำรวมจากมุสาวาท และจากการดื่มน้ำเมา เป็นผู้ยินดีในสิกขาบททั้ง ๕ และเป็นผู้ฉลาดในอริยสัจ เป็นอุบาสิกาของพระพุทธเจ้าผู้มีพระสมันตจักษุ มีปกติเป็น ผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท.
    ข้าพระองค์ได้โอกาสบำเพ็ญกุศลธรรม จุติจาก มนุษยโลกนั้นแล้ว เป็นเทพธิดา มีรัศมีของตนเอง เที่ยวชมสวนนันทนวันอยู่ อนึ่ง ข้าพระองค์ได้เลี้ยงดู ท่านภิกษุอัครสาวกทั้งสอง ผู้อนุเคราะห์ชาวโลกด้วย ประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง เป็นมหาปราชญ์ และได้โอกาสบำเพ็ญกุศลธรรม ครั้นจุติจากมนุษยโลกนั้นแล้ว ได้บังเกิดเป็นเทพธิดาผู้มีรัศมีในตนเอง เที่ยว ชมสวนนันทนวันอยู่
    ข้าพระองค์ได้เข้ารักษาอุโบสถอันประกอบด้วย องค์ ๘ ประการ อันนำความสุขมาหาประมาณมิได้อยู่ เนืองนิตย์ และได้โอกาสสร้างกุศลธรรม ครั้นจุติจากมนุษยโลกนั้นแล้วได้บังเกิดเป็นนางเทพธิดาผู้มีรัศมี ในตนเอง เที่ยวชมสวนนันทนวันอยู่.



    [​IMG]

    </O:p

    ในบทเหล่านั้น บาทคาถาว่า ภทฺทิตฺถิกามิ มํ อญฺญึสุ กิมฺพิลายํ อุปาสิกา ความว่า หญิงนี้เจริญดี เกิดการตัดสินใจไว้ว่า เป็นผู้มีศีลไม่ขาด เพราะกลับกระแสน้ำใหญ่ที่กำลังเบียดเบียน ด้วยอาจารสมบัติ ด้วยการกระทำสัจ เพราะฉะนั้น ชาวกิมพิลนครจึงรู้จักข้าพระองค์ว่า อุบาสิกาชื่อว่าภัททิตถิกา.
    บาทคาถาเป็นต้นว่า สทฺธาสีเลน สมฺปนฺนา มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง. <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อีกอย่างหนึ่ง เทพธิดาแสดงทรัพย์คือศรัทธาด้วยบทนี้ว่า <O:p</O:p
    สทฺธา. ทรัพย์คือจาคะด้วยบทนี้ว่า ข้าพระองค์ยินดีในการจำแนกของเป็นทาน มีจิตผ่องใส ได้ถวายผ้านุ่งห่ม อาหาร เสนาสนะและเครื่องประทีปในพระอริยะผู้ปฏิบัติตรง. ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริและทรัพย์คือโอตตัปปะ ด้วยบทนี้ว่า ข้าพระองค์สมบูรณ์ด้วยศีล ตลอดดิถี ๑๔-๑๕ ค่ำ ฯลฯ มีสิกขาบท ๕ ประการ. แสดงทรัพย์คือสุตะและทรัพย์คือปัญญา ด้วยบทนี้ว่า อริยสจฺจาน โกวิทา. เทพธิดานั้นแสดงการได้อริยทรัพย์ ๗ ประการของตนดังกล่าวมาฉะนี้. <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    เทพธิดาชี้แจงอานิสงส์ของอริยทรัพย์ ๗ นั้น ทั้งที่เป็นปัจจุบัน ทั้งที่เป็นภายหน้า ด้วยบาทคาถานี้ว่า อุปาสิกา จกฺขุมโต ฯ เป ฯ อนุวิจรามิ นนฺทนํ.
    ในบทเหล่านั้น บทว่า กตาวาสา ได้แก่ ได้บำเพ็ญสุจริตกรรมเครื่องอยู่สำเร็จแล้ว.
    จริงอยู่ สุจริตกรรมเรียกว่าอาวาสที่อยู่แห่งสุขวิหารธรรม เพราะเหตุอยู่เป็นสุขในปัจจุบันและอนาคต ด้วยเหตุนั้น เทพธิดาจึงกล่าวว่า กตกุสลา ดังนี้.
    เทพธิดากล่าวบุญสำเร็จด้วยทานของตนอันเป็นเขตพิเศษ ที่มิได้แตะต้องมาก่อนแล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงความที่เขตพิเศษเป็นบ่อเกิดแห่งบุญนั้น จึงกล่าวคำว่า ภิกฺขู จ เป็นต้น.
    ในบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขู ชื่อว่าภิกษุเพราะเป็นผู้ทำลายกิเลสมิให้เหลือ. <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    บทว่า ปรมหิตานุกมฺปเก ได้แก่ ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบันเป็นต้น เป็นอย่างยิ่งคือเหลือเกิน.
    บทว่า อโภชยึ ได้แก่ ข้าพระองค์ได้ให้ท่านฉันโภชนะอันประณีต.
    บทว่า ตปสฺสิยุคํ ความว่าคู่ [สองอัครสาวก] ผู้มีตบะ เพราะเผาผลาญตัดกิเลสมลทินทั้งหมดได้เด็ดขาดด้วยตบะอันสูงสุด.
    บทว่า มหามุนึ ความว่า เป็นผู้แสวงคุณใหญ่เพราะตบธรรมนั้นนั่นแล หรือชื่อว่ามหาปราชญ์เพราะรู้คือกำหนดวิสัยของตนได้ด้วยญาณอย่างใหญ่นั่นเทียว.
    คำนั้นทั้งหมด เทพธิดากล่าวหมายเอาพระอัครสาวกทั้งสอง. <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    บทว่า อปริมิตํ สุขาวหํ ท่านกล่าวมิได้ลบนิคหิต ได้แก่อันให้เกิดหิตสุขมีปริมาณเกินพระดำรัสแม้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ผู้บอกจะทำให้บรรลุ ตลอดถึงสุขบนสวรรค์ไม่ง่ายนัก หรือนำสุขมาหาประมาณมิได้ คือนำสุขมาด้วยอานุภาพของตน.
    บทว่า สตตํ แปลว่า ทุกเวลา. ประกอบความว่า ไม่ลดวันรักษาอุโบสถนั้นๆ หรือทำวันรักษาอุโบสถนั้นไม่ให้ขาด ทำให้บริบูรณ์นำความสุขมาให้เนืองนิตย์ หรือทุกเวลา.
    คำที่เหลือเหมือนนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง. <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอภิธรรมปิฎกตลอดสามเดือนโปรดหมู่เทวดาและพรหม ผู้อยู่ในหมื่นโลกธาตุ มีพระมารดาเทพบุตรเป็นประธาน เสด็จกลับมายังมนุษยโลกแล้วทรงแสดงภัททิตถิกาวิมานโปรดแก่ภิกษุทั้งหลาย.
    พระธรรมเทศนานั้นได้เป็นประโยชน์แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล. <O:p</O:p



    จบอรรถกถาภัททิตถิกาวิมาน


    ----------------------------------------------------- <O:p</O:p



    ที่มาข้อมุล http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=658&Z=691<!-- google_ad_section_end -->
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา มณฑาทิพย์ ดอกไม้สวรรค์
    มณฑาทิพย์ ดอกไม้สวรรค์


    กถาว่าด้วยการบูชาพระตถาคต<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    [๑๒๘] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า <O:p</O:p
    ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด เราจักไปยังฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำหิรัญวดีเมืองกุสินารา และสาลวัน อันเป็นที่แวะพักแห่งพวกเจ้ามัลละ
    <O:p</O:p
    ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปยังฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำหิรัญวดี เมืองกุสินารา และสาลวัน อันเป็นที่แวะพักแห่งพวกเจ้ามัลละ ครั้นแล้วรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า
    <O:p</O:p
    ดูกรอานนท์ เธอจงช่วยตั้งเตียง ให้เราหันศีรษะไปทางทิศอุดร ระหว่างไม้สาละทั้งคู่ เราเหน็ดเหนื่อยแล้ว จักนอน
    <O:p</O:p
    ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ตั้งเตียงหันพระเศียรไปทางทิศอุดร ระหว่างไม้สาละทั้งคู่ พระผู้มีพระภาคทรงสำเร็จสีหไสยาโดยพระปรัสเบื้องขวาทรงซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาท มีพระสติสัมปชัญญะ ฯ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    กถาว่าด้วยการบูชาพระตถาคต<O:p</O:p
    [๑๒๙] สมัยนั้น ไม้สาละทั้งคู่ เผล็จดอกสะพรั่งนอกฤดูกาล ดอกไม้เหล่านั้นร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชา แม้ ดอกมณฑารพ อันเป็นของทิพย์ ก็ตกลงมาจากอากาศ ดอกมณฑารพ เหล่านั้น ร่วงหล่น โปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชา แม้จุณแห่งจันทน์อันเป็นของทิพย์ ก็ตกลงมาจากอากาศ จุณแห่งจันทน์เหล่านั้น ร่วงหล่น โปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชา ดนตรีอันเป็นทิพย์เล่าก็ประโคมอยู่ในอากาศ เพื่อบูชาพระตถาคต แม้สังคีตอันเป็นทิพย์ก็เป็นไปในอากาศ เพื่อบูชาพระตถาคต ฯ
    <O:p</O:p
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า<O:p</O:p
    ดูกรอานนท์ ไม้สาละทั้งคู่ เผล็จดอกบานสะพรั่งนอกฤดูกาล ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระของตถาคตเพื่อบูชา แม้ ดอกมณฑารพ อันเป็นของทิพย์ ก็ตกลงมาจากอากาศ ดอกมณฑารพดอกมณฑารพเหล่านั้น ร่วงหล่น โปรยปรายลงยังสรีระของตถาคตเพื่อบูชา แม้จุณแห่งจันทน์อันเป็นของทิพย์ ก็ตกลงมาจากอากาศ จุณแห่งจันทน์เหล่านั้น ร่วงหล่น โปรยปรายลงยังสรีระของตถาคตเพื่อบูชา ดนตรีอันเป็นทิพย์เล่าก็ประโคมอยู่ในอากาศ เพื่อบูชาตถาคต แม้สังคีตอันเป็นทิพย์ก็เป็นไปในอากาศเพื่อบูชาตถาคต
    <O:p</O:p
    ดูกรอานนท์ ตถาคตจะชื่อว่าอันบริษัทสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ด้วยเครื่องสักการะประมาณเท่านี้หามิได้ ผู้ใดแลจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกาก็ตาม เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามธรรมอยู่ ผู้นั้นย่อมชื่อว่าสักการะเคารพนับถือ บูชาตถาคตด้วยการบูชาอย่างยอด เพราะเหตุนั้นแหละอานนท์ พวกเธอพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรมอยู่ ดังนี้ ฯ
    <O:p</O:p
    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=267879<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->
     
  17. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    โมทนาสาธุ ... เห็นท่านรองฯ เปลี่ยนรูป Logo ใหม่ ผมได้ฤกษ์เปลี่ยนเช่นกันครับ ...
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมกำลังหารูปใหม่อยู่เช่นกัน

    ส่วนรูปแทนตัวคุรpsombat ชื่อชมรมไม่ค่อยเด่นนะครับ อยากให้เด่นมากกว่านี้ครับ แต่สีทำได้สวยงามมาก

    .
     
  19. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ขอบคุณครับ เนื่องจากทำแบบมีเงาสีก็เลยกลมกลืนไปกับภาพเลยอะครับ จะพยายามปรับไปเรื่อยๆนะครับ หุหุ

    กราบขอขมาต่อพระพิมพ์แทนองค์พระพุทธ ที่ใช้แทนตัวอยู่นี้ ขอแสดงความเคารพและยกไหว้เหนือเศียรเหนือเกล้าโดยตลอดทุกภพ ทุกชาติไปครับ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2009
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับรูปแทนตัวผมในปัจจุบัน ผมนำพระพิมพ์ "พุทธประวัติ" และใส่ตัวอักษร ชมรมรักษ์พระวังหน้า และชื่อผม ลงในด้านหน้าพระพิมพ์ ซึ่งพิมพ์พุทธประวัตินี้ เป็นพิมพ์ที่มีความสำคัญกับผมมาก เนื่องจากเป็นพิมพ์ที่ทำให้ผมได้พบหลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ด้วยตาเนื้อของผม และหลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญท่านเมตตาและมาหาผมครับ

    เราชาวชมรมรักษ์พระวังหน้า ,คณะพระวังหน้า และคณะลูกศิษย์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ) จึงต้องประพฤติและปฎิบัติให้ดี ให้สมกับที่องค์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านเมตตาเราชาวชมรมรักษ์พระวังหน้า ,คณะพระวังหน้า และคณะลูกศิษย์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ) เป็นอย่างมากครับ
    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...