พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพุทธจริยาวัตร60ปาง ปางเสด็จมหาภิเนษกรมณ์

    คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

    ˹ѧ

    มหาภิเนษกรมณ์ เขียนเป็นบาลีว่า มหาภินิกฺขมน (มหา - อภินิกฺขมน = การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่) แปลอย่างชาวบ้านธรรมดาๆ ว่า ออกบวช พุทธรูปปางออกบวชนี้เขียนกันสองแบบ หรือสองช่วง บางครั้งเขียนตอนทรงม้ากัณฐกะออกจากประตูเมือง มีนายฉันทะเกาะหางม้า ท่าทางราวกับม้าพาเหาะออกจากเมืองกลางดึก บางครั้งก็เขียนตอนเสด็จออกนอกวัง ทอดพระเนตรเห็น "เทวทูต" ทั้ง 4

    เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อเจริญวัยแล้วก็ได้รับการศึกษาศาสตร์ต่างๆ อาจารย์ที่ถวายวิชาความรู้คงมีหลายท่าน แต่ระบุไว้เพียงท่านเดียว คือ วิศวามิตร ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธรา หรือพิมพา พระราชธิดาแห่งพระเจ้าสุปปพุทธะ และพระนางอมิตา เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา

    พระชนมายุได้ 29 พรรษา ก็ได้พระโอรสพระนามว่า ราหุล มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจ พระนามว่า ราหุล แปลว่า "บ่วง" หมายถึงบ่วงที่ผูกมัดมิให้มีอิสระ สาเหตุที่ราชกุมารน้อยได้พระนามนี้ ก็คือ หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ตามลำดับแล้ว ก็มาครุ่นคิดว่า โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์ทั้งหลายถูกความทุกข์ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ครอบงำ จึงเวียนเกิดเวียนตายในสังสารวัฏฏ์ไม่รู้จบสิ้น

    ทรงคิดหาทางว่าจะมีทางหลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้อย่างไรหรือไม่ ก็ทรงได้ข้อเปรียบเทียบว่า สรรพสิ่งย่อมเป็นของคู่กัน เช่น มีมืดก็มีสว่าง มีร้อนก็ต้องมีเย็น เมื่อมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ย่อมมีการไม่เกิด ไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่ตายด้วย ครั้นได้เห็นภาพของสมณะผู้สงบ ก็ได้ข้อสรุปว่า การจะพ้นจากทุกข์คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ คงต้องดำเนินวิถีชีวิตแบบท่านผู้สงบนี้ จึงตัดสินพระทัยจะออกผนวช ทันใดก็ได้รับรายงานว่า พระโอรสน้อยประสูติแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะทรงรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ความรักบุตรเกิดขึ้นท่วมท้นพระหฤทัย ทรงรู้สึกว่า ถ้าออกบวชช้าจะไม่มีโอกาสแน่นอน เพราะความรักความผูกพันจะเจริญขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะตัดได้ จึงเปล่งพระอุทานว่า ราหุลํ ชาตํ พนฺธนํ ชาตํ บ่วงเกิดขึ้น เครื่องผูกพันเกิดขึ้นแล้ว

    ว่ากันว่า เพราะเหตุนี้พระกุมารน้อยจึงได้พระนามว่า ราหุล

    คืนวันนั้น พระองค์ทรงบรรทมไม่หลับ กระสับกระส่าย ไม่ทรงยินดียินร้ายกับเสียงขับประโคมของประดานางสนมนางบำเรอที่จัดถวายแต่ประการใด ภาพของพวกนางที่นอนหลับใหล ปรากฏต่อสายพระเนตรเจ้าชายผู้ลุกขึ้นมาตอนดึก เสมือนป่าช้าผีดิบ ด้วยบางนางก็อ้าปาก กัดฟัน น้ำลายไหล บางนางก็ผ้านุ่งหลุด บางนางนอนกอดพิณละเมองึมงำๆ กลิ้งเกลือกไปมา ทำให้เกิดความสลดสังเวชอย่างยิ่ง

    จึงทรงเรียกนายฉันนะ มหาดเล็กคนสนิทเตรียมม้ากัณฐกะ เพื่อเสด็จออกจากพระนคร ก่อนจากได้เสด็จเข้าไปเยี่ยมพระชายาและพระโอรสซึ่งนอนหลับอยู่ เป็นการอำลาเป็นครั้งสุดท้าย ประทับกัณฐกะอัศวราชหนีออกจากพระนครทันที

    หลักฐานจากพระไตรปิฎกบอกว่า เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช ขณะที่พระราชบิดา และพระราชมารดาทรงเห็นๆ อยู่ แต่ไม่อยู่ในภาวะจะห้ามปรามได้ ขณะทั้งสองพระองค์ทรงกรรแสงพิลาปรำพันอยู่ เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ถือเพศเป็นบรรพชิต

    หลักฐานบางแห่งฉายภาพของวสวัตตีมารปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าชายสิทธัตถะยกมือห้ามออกนอกเมือง พลางพูดว่า รออีก 7 วันเท่านั้น เจ้าชายก็จะได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ครองพระนครกบิลพัสดุ์ และจะได้เป็นพระมหาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในไม่ช้า เจ้าชายสิทธัตถะไม่ทรงเชื่อ จึงตวาดไล่พญามารหนีไป

    เหล่าเทพยดาบันดาลให้ประตูเมืองเปิดออกเอง มิต้องเสียแรงผลักแต่ประการใด เจ้าชายสิทธัตถะติดตามด้วยนายฉันนะมหาดเล็กคนสนิท ทั้งสองได้ควบม้าห้อตะบึงจากพระนครกบิลพัสดุ์ จนบรรลุถึงฝั่งแม่น้ำอโนมา ตอนรุ่งสาง

    เจ้าชายเปลื้องเครื่องทรงออก มอบพัสตราภรณ์และเครื่องประดับทั้งหลายแก่นายฉันนะ รับสั่งให้นำไปมอบให้พระราชบิดาและพระราชมารดา ทรงกระซิบข้างหูม้าคู่พระทัยให้กลับไปยังพระราชวังพร้อมกับนายฉันนะ กัณฐกะอัศวราชมีน้ำตาไหลจากเบ้าตาทั้งสอง ด้วยความอาลัยอาวรณ์ในเจ้านายของตน ล้มลง หัวใจแหลกสลาย สิ้นชีวิต ณ ตรงนั้นเอง

    พระองค์ได้ถือเพศบรรพชิต เดินดุ่มไปเดียวดาย เพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์ในสังสารวัฏฏ์ด้วยประการฉะนี้แล

    เจ้าชายสิทธัตถะทรงถือเพศบรรพชิตนั้น หลายท่านสงสัยว่า ใครเป็นอุปัชฌาย์บวชให้ ทรงได้จีวรมาจากไหน โกนผมปลงหนวดหรือเปล่า ต้องเข้าใจว่า สมัยโน้นมีนักบวชกันมากมายหลายลัทธิ คำว่า บรรพชิตก็ดี สมณะก็ดี เป็นคำที่ใช้กันแพร่หลาย มีเกณฑ์กำหนดว่า ผู้สละชีวิตครองเรือนมาถือวัตร ถือศีล แบบผู้สละเรือน ก็เรียกว่า "บวช" กันทั้งนั้น ปลงผมก็มี ไม่ปลงผม มุ่นผมเป็นชฎาก็มี ผ้าที่นุ่งห่มก็เป็นผ้าแพรยาวๆ ผืนเดียว หรือสองผืนส่วนมาก ดูแขกในปัจจุบันนี้ก็จะเข้าใจว่าเขานุ่งห่มกันอย่างไร

    ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเล่าว่า พระมหาสัตว์ (เป็นคำเรียกเจ้าชายสิทธัตถะคำเดียวกับ "พระโพธิสัตว์") ทรงตัดพระเกศาให้สั้นด้วยพระขรรค์ เปลื้องเครื่องทรงของขัตติยราชกุมาร นุ่งห่มผ้าธรรมดา (ซึ่งเข้าใจว่าคงเตรียมมาด้วย) ตั้งพระทัยว่าจะออกแสวงหาโมกษธรรม (คือพระนิพพาน ที่สิ้นทุกข์) เท่านี้ก็ถือว่าได้ "บวช" แล้ว

    ยังไม่มีพิธีกรรมอะไร พิธีกรรมมาตั้งขึ้นภายหลังครับ

    ก่อนจะเล่าต่อไป ขอย้อนถึงสาเหตุแห่งการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ก่อน มีคำถามแทรกเข้ามาว่าเป็นไปได้หรือที่เจ้าชายสิทธัตถะพระชนมายุถึง 29 พรรษาแล้ว ไม่เคยเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตายเลย เพิ่งจะมาเห็นเอาตอนนี้ คำถามนี้ผมเคยถามลูกศิษย์ระดับมหาวิทยาลัยที่ผมสอนอยู่ บางคนยืนยันว่าเป็นไปได้ เมื่อถามว่าเพราะเหตุไร

    เธอตอบว่า พระเจ้าสุทโธทนะ หลังจากได้ฟังคำพยากรณ์จากพราหมณ์ทั้ง 8 ตอนเจ้าชายน้อยประสูติแล้ว ทรงกลัวว่าเจ้าชายจะเสด็จออกผนวช กลัวจะไม่มีใครสืบทอดราชบัลลังก์ จึงทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เจ้าชายทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่ทำให้เบื่อหน่ายโลกียวิสัย เวลาจะทรงอนุญาตให้เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จไปนอกเมืองก็ทรงรับสั่งให้ "เคลียร์พื้นที่" ก่อนทุกครั้ง เจ้าชายจึงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพที่ชวนให้สลดพระทัย จึงเป็นไปได้ที่เพิ่งจะมาเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ตอนพระชนมายุได้ 29 พรรษา ศิษย์ของผมว่าอย่างนั้น

    แต่อีกหลายคนก็ไม่เห็นด้วย ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ ครั้นถามเหตุผล ก็ตอบไม่ได้

    ลองมาพิจารณาดูสักนิดซิว่า ทำไมตำราจึงว่าไว้อย่างนี้ ข้อความตรงนี้น่าจะมิได้แปลตามตัวอักษรเสียแล้ว น่าจะมีความหมายระหว่างบรรทัดกระมังครับ คือ เจ้าชายสิทธัตถะเห็นภาพคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แน่นอน อาจจะเห็นทุกวันด้วย แต่การเห็นอย่างนั้นเป็นการเห็นด้วย "ตาเนื้อ" จึงเท่ากับไม่เห็น เพราะเห็นแล้วก็ผ่านเลยไป ไม่นำเอามาคิดให้เข้าใจสภาวธรรมทั้งหลายตามเป็นจริง แต่พอพระชนมายุได้ 29 พรรษา เห็นสิ่งเหล่านี้แล้วนำมาขบคิดพินิจพิจารณาจนรู้สภาวะอันเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย เข้าใจในเรื่องความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีเกิด มีดับ ไม่มีอะไรแน่นอน

    การเห็นในช่วงหลังนี้ จึงเป็นการเห็นด้วย "ตาใน" คือปัญญา หลังจากมืดบอดมานาน เพิ่งจะตาสว่างกันคราวนี้เอง ว่าอย่างนั้นเถอะ เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่าอยู่มาจนพระชนมายุได้ 29 พรรษา เพิ่งจะเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย กันคราวนี้เอง

    เมื่อพระมหาสัตว์ตั้งพระปณิธานว่า จะแสวงหาทางพ้นทุกข์ ก็ทรงพิจารณาว่าจะหาจากสำนักใดดี เนื่องจากสมัยนั้นมีสำนักปฏิบัติมากมาย แต่ละสำนักก็อ้างว่าตนปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ในสังสารวัฏฏ์ทั้งนั้น ก็ทรงทราบว่า สำนักดาบสนามว่า อาฬารดาบส กาลามโคตร มีชื่อเสียงเป็นที่ทราบกันทั่วไป จึงไปขอฝึกปฏิบัติด้วย

    พูดธรรมดาก็ว่าไปสมัครเป็นศิษย์ฝึกด้วย ระบบที่ฝึกก็คือระบบโยคะ ฝึกสมาธิ เพื่อให้จิตมีพลังกล้าแข็งขึ้นตามลำดับ พระองค์ทรงฝึกอยู่กับอาฬารดาบส จนได้ผลสัมฤทธิ์ขั้นสูงสุดของอาจารย์ คือ ขั้นที่เรียกตามศัพท์วิชาการว่า อากิญจัญญายตนะ (The State of Nothingness) ทรงรู้สึกว่ายังไม่ใช่ที่สุด จึงลาอาจารย์ไปฝึกปฏิบัติอยู่กับอาจารย์อีกคนหนึ่งชื่อ อุทกดาบส รามบุตร ทรงฝึกระบบเดียวกัน จนได้ผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งอันเรียกว่า "เนวสัญญานาสัญญายตนะ" (The State of neither Perception nor Non-Perception) ก็ทรงเห็นว่ายังมิใช่ที่สุดแห่งทุกข์ จึงทรงดำริที่จะแสวงหาด้วยพระองค์เอง

    ความจริงอาจารย์ทั้งสองท่าน ชวนพระมหาสัตว์ให้อยู่เป็นอาจารย์สอนศิษย์อื่นๆ ต่อไป แต่พระองค์ไม่รับ ทรงอำลาอาจารย์ทั้งสองไปแสวงหาลำพังพระองค์ ทรงหันมาบำเพ็ญตบะ คือ การทรมานตนในรูปแบบต่างๆ เท่าที่คนสมัยนั้นคิดว่าเป็นทางบรรลุโมกษธรรม

    พุทธประวัติช่วงนี้รวบรัดไปหน่อย ไม่พูดถึงเลยว่า พระองค์ทรงทำอะไรบ้าง แต่รายละเอียดมีอยู่ในพระสูตรต่างๆ ที่พระองค์ตรัสเล่าให้พระสาวกทั้งหลายฟัง อยากทราบรายละเอียด โปรดตามไปค้นดูเถิด ไม่มีเนื้อที่จะเล่าโดยละเอียด

    ที่น่าตั้งข้อสังเกตก็คือ ช่วงเวลา 6 ปีก่อนตรัสรู้ พระองค์ทรงทำอะไรบ้าง ทรงอยู่กับดาบสทั้งสองกี่ปี บำเพ็ญตบะอยู่กี่ปี ผมคิดว่าพระองค์ทรงอยู่ในสำนักของดาบสทั้งสองไม่เกินสองปี อีกสี่ปีหลัง ทรงทรมานพระองค์เองด้วยระบบตบะวิธีต่างๆ ลงท้ายด้วยการอดพระกระยาหาร อันเรียกว่า ทุกรกิริยา

    บางท่านว่าทรงอดพระกระยาหาร 6 ปี คงเป็นไปไม่ได้ดอกครับ ขืนอดนานปานนั้นก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ความที่น่าเป็นไปได้ก็คือ ทรงใช้เวลาประมาณสองปีศึกษาและปฏิบัติอยู่กับอาจารย์ทั้งสองสำนัก ที่เหลืออีกสี่ปี ก็หมดไปกับการบำเพ็ญตบะทรมานตัวเองด้วยวิธีอันเคร่งครัดนานาประการ ท้ายสุดก็ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาสามขั้นตอน ขั้นตอนสุดท้าย ทรงอดพระกระยาหารดังที่ทราบกันดีแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2009
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>นิทานสอนใจ:พ่อแม่รังแกฉัน
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>16 สิงหาคม 2552 10:00 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพจาก www.westjet.com</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อชัยอายุ 6 ขวบ ขณะที่นั่งรถไปกับพ่อ ถูกตำรวจจับเพราะขับรถเร็วเกินกำหนด พ่อแอบยื่นเงิน 500 บาทให้ตำรวจ และได้รับอนุญาตปล่อยตัวไป พ่อหันมาพูดกับชัยว่า

    “ไม่เป็นไรลูก...
    เงินแค่นี้ซื้อเวลา ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

    เมื่อชัยอายุ 8 ขวบ ป้าพาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเป็นเงิน 75 บาท เมื่อป้าไปชำระเงิน ยื่นธนบัตรร้อยบาทให้พนักงาน ได้รับเงินทอน 55 บาท เพราะลูกค้ามากและเข้าใจว่าธนบัตร 50 บาท คือ 20 บาท ป้ารับเงินทอนและใส่กระเป๋าทันที แทนที่จะบอกพนักงานว่าทอนเงินผิด เมื่อออกจากร้านป้าก็พูดกับชัยว่า

    “ไม่เป็นไรหลาน...
    ความผิดของเขาเอง ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

    เมื่อชัยอายุ 9 ขวบ ครูให้การบ้านปลูกต้นหอมแดงในกระบะ 2 สัปดาห์ แล้วนำไปส่งที่โรงเรียน แม่ลืมซื้อหัวหอมแดงมาให้ชัย เมื่อครบกำหนดวันส่ง แม่ให้พ่อไปซื้อต้นหอมแดงที่ตลาด และฝังลงในกระบะให้ชัยนำไปส่งครู แล้วพูดว่า

    “ไม่เป็นไรลูก...
    ครูไม่รู้หรอก มีส่งก็ดีแล้ว ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

    เมื่อชัยอายุ 12 ขวบ ชัยทำแว่นตาใหม่ราคาแพงของลุงแตก
    ลุงจึงนำใบเสร็จไปอ้างกับบริษัทเครดิตที่ลุงใช้บริการอยู่ว่าแว่นตาถูกขโมย ได้รับเงินชดใช้มา 15,000 บาท เต็มราคาที่ซื้อมา
    ลุงพูดกับชัยอย่างภาคภูมิใจว่า

    “ไม่เป็นไรหรอกหลาน...
    สิทธ์ของเรา ใครใครเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ”

    เมื่อชัยอายุ 15 ปี ได้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน ครูฝึกได้สอนวิธีกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บโดยไม่ผิดถือว่าอยู่ในเกม
    ครูฝึกบอกว่า

    “ไม่เป็นไรหรอก...
    ได้เปรียบไว้ก่อนเป็นดี ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพจาก www.topnews.in</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อชัยอายุ 16 ปี ได้ไปทำงานระหว่างปิดเทอมที่แผนกซูปเปอร์มาร์เก็ต ของห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อแห่งหนึ่ง หัวหน้าแผนกให้ชัยจัดกระเช้าผลไม้ โดยแนะนำให้จัดวางผลไม่สวยจวนจะเน่าอยู่ก้นตะกร้า คัดผลสวย ใบโตสีสด จัดวางอยู่ส่วนบน หัวหน้าแผนกสอนว่า

    “ไม่เป็นไรหรอก...
    ผู้ซื้อไม่ได้ใช้เองแต่นำไปฝากคนอื่น ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

    เมื่อชัยอายุ 18 ปี ได้สมัครสอบเพื่อเข้าขอรับทุนของมหาวิทยาลัย ปรากฏผลทราบเป็นการภายในว่ามาเป็นอันดับ 2 เมื่อพ่อรู้เข้าจึงไปพูดกับกรรมการซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ในที่สุดชัยก็ได้รับทุน พ่อพูดกับชัยว่า

    “ไม่เป็นไรลูก...
    เป็นโอกาสของเรา ใครใครถ้ามีโอกาส เขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

    เมื่อชัยอายุ 19 ปี เพื่อนเอาข้อสอบปลายปีที่ขโมยมาขายกับชัยเป็นเงิน 1,500 บาท ชัยลังเลใจและตัดสินใจซื้อในที่สุด เพราะเพื่อนพูดว่า

    “ไม่เป็นไรหรอกชัย...
    เกรดมีผลกับอนาคตนะ ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

    เมื่อชัยอายุ 24 ปี ชัยถูกจับข้อหายักยอกเงินบริษัท 700,000 บาท และต้องติดคุก พ่อกับแม่ไปเยี่ยมและตัดพ้อต่อว่า

    “ทำไมลูกทำอย่างนี้กับพ่อแม่
    ที่บ้านเราไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนขี้โกงเลยนะ”

    แต่แท้ที่จริงแล้ว พ่อแม่และบรรดาคนรอบข้างชัยไม่เคยรู้เลยว่า เขานั่นแหละที่สอนให้ชัยเป็นคนโกงโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะพ่อแม่ที่กลายเป็น "พ่อแม่รังแกฉัน" เสียเอง

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก มีธรรมหนึ่ง ดอท คอม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เปิดสูตรน้ำข้าวกล้องงอกขึ้นโต๊ะเสวย "ในหลวง"
    Campus - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>16 สิงหาคม 2552 14:59 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> สำนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) เผยสูตรน้ำข้าวกล้องงอก ขึ้นโต๊ะเสวยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ชาวบ้านทำกินเองได้ง่ายราคาไม่แพง สารอาหารครบถ้วน เผยคนไทยไม่รู้วิธีการหุงข้าวที่ได้คุณค่าทางโภชนาการ


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=309 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=309>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> **รู้จักการผลิตน้ำข้าวกล้องงอก
    ข้าวกล้อง หรือผลิตภัณฑ์จากข้าวกล้องแทนข้าวขาว(ข้าวสาร) เนื่องจากข้าวกล้องผ่านกรรมวิธีการสีเพียงครั้งเดียว เพื่อเอาเปลือก(แกลบ)ออกไป ทำให้ข้าวที่เหลือยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว(รำ)อยู่ครบถ้วน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้ ล้วนอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และเส้นใยอาหาร จึงเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าข้าวประเภทอื่นๆ

    ข้าวกล้องที่ไม่ได้ผ่านการถนอมคุณค่าอย่างถูกหลักวิชาการ หลังจากกะเทาะเปลือกแล้ว จะเสื่อมสภาพลงทุกๆ วินาที ไม่ว่าจะบรรจุในภาชนะพิเศษสุญญากาศ หรือไม่ก็ตาม สาเหตุจากเอนไซน์ไลเปส ในข้าวกล้องจะไปย่อยกรดไขมัน มีผลให้กรดไขมันที่มีในข้าวกล้องเสื่อมสภาพลง จนมีกลิ่นเหม็นหืนในที่สุด นอกจากนี้ปฏิกิริยายังก่อให้เกิดปัญหาอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ร่างกายด้วย

    ส่วนข้าวกล้องงอก ถือเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจ เนื่องจากเป็นข้าวกล้องที่ต้องผ่านกระบวนการงอกตามปกติ ในข้าวกล้องจะมีสารอาหาร จำนวนมาก เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก วิตามินซี วิตามินอี และสารกาบา ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน ช่วยคุมน้ำหนักตัว เป็นต้น

    เมื่อนำข้าวกล้องมาแช่น้ำทำให้งอก จะทำให้ข้าวกล้องมีสารอาหารเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสารกาบา นอกจากจะได้ประโยชน์จากปริมาณสารอาหารสูงขึ้นอยู่แล้ว ยังทำให้ข้าวกล้องงอกที่หุงสุก มีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม รับประทานได้ง่ายกว่าข้าวกล้องธรรมดา จึงง่ายแก่การหุงรับประทานได้โดยไม่ต้องผสมกับข้าวขาว

    **ประโยชน์จากข้าวกล้องงอก
    จากการศึกษาทางกายภาพและทางชีวเคมีพบว่า เมล็ดข้าว ประกอบด้วยเปลือกหุ้มเมล็ด หรือแกลบ ซึ่งจะหุ้มข้าวกล้อง ในเมล็ดข้าวกล้องประกอบด้วย จมูกข้าว หรือ คัพภะ รำข้าว(เยื่อหุ้มเมล็ด) และเมล็ดข้าวขาวหรือเมล็ดข้าวสาร สารอาหารในเมล็ดข้าวประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต เป็นส่วนประกอบหลัก โดยมีโปรตีน วิตามินบี วิตามินอี และแร่ธาตุ ที่แยกไปอยู่ในส่วนต่างๆของเมล็ดข้าว นอกจากนี้ยังพบสารอาหารประเภทไขมัน ที่พบได้ในรำข้าวเป็นส่วนใหญ่

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=337 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=337>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ข้าวเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีการเจริญเติบโตจะมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มขึ้น เมื่อน้ำได้แทรกเข้าไปในเมล็ดข้าว โดยจะกระตุ้นให้เอนไซน์ภายในเมล็ดข้าวเกิดการทำงาน เมื่อเมล็ดข้าวเริ่มงอก สารอาหารที่ถูกเก็บไว้ในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยสลายไปตามกระบวนการทางชีวเคมี จนเกิดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต ที่มีโมเลกุลเล็กลง และน้ำตาลรีดิวซ์ นอกจากนี้โปรตีนภายในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยให้เกิดเป็น กรดอะมิโนและเปปไทด์ รวมทั้งยังพบการสะสมสารเคมีสำคัญๆ เช่น แกมมาออริซานอล โทโคฟีรอล โทโคไตรอีนอล และโดยเฉพาะสารแกมมาอะมิโนบิวทิริกแอซิด หรือ ที่รู้จักกันว่า สารกาบา หรือ GABA

    สารกาบาเป็นกรดอะมิโน จากกระบวนการ decarbory lation ของกรดกลูตาบิก กรดนี้มีความสำคัญในการทำหน้าที่ สารสื่อประสาท ในระบบประสาทส่วนกลางและสารกาบา ยังเป็นสารสื่อประสาท ประเภทสารยับยั้ง โดยจะทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมองที่ได้รับการกระตุ้น ช่วยทำให้สมองผ่อนคลาย และนอนหลับสบาย อีกทั้งยังทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นต่อมไร้ท่อ ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้กล้ามเนื้อกระชับและเกิดสาร lipotropic ป้องกันการสะสมไขมัน

    จากการศึกษาและวิจัยพบว่า การบริโภคข้าวกล้องงอก ที่มีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง เนื่องจากสารเบต้าอไมลอยด์เปปไทด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค สูญเสียความทรงจำ( อัลไซเมอร์ ) ดังนั้น จึงได้มีการนำสารกาบา มาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาทต่างๆ หลายโรคเช่นโรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลงชัก เป็นต้น รวมทั้งผลการวิจัยด้านสุขภาพระบุว่า ข้าวกล้องงอกที่ประกอบด้วย สารกาบา มีผลช่วยลดความดันโลหิต ลด LDL ลดอาการอัลไซเมอร์ ลดน้ำหนัก ทำให้ผิวพรรณดี และใช้บำบัดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลาง

    หากประชาชนสนใจที่จะซื้อให้ไปซื้อได้ที่ศูนย์ศิลปาชีพทุกสาขา โดยเฉพาะที่ศูนย์ศิลปาชีพ จ.อุบลราช ธานี จะมีจำหน่ายเป็นจำนวนมาก สำหรับกระแสข่าวนี้ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในเวลาอันรวดเร็ว เพราะคนไทยบริโภคข้าวมาตลอดชีวิต แต่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าการบริโภคที่ถูกต้องจะต้องทำอย่างไรให้คุณค่าทางโภชนาการ และสารอาหารยังอยู่ครบถ้วน โดยเฉพาะในข้าวกล้อง ซึ่งยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวที่เป็นสีน้ำตาลและสีแดง จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วน ทั้งวิตามิน เกลือแร่ และแคลเซียม

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> **วิธีทำน้ำข้าวกล้องงอกอย่างง่ายๆ
    เริ่มจากเมล็ดข้าวกล้องใหม่ 100 กรัม หรือ 1 ขีด จะต้องซาวน้ำล้างเอากรวดทรายออกก่อนหนึ่งครั้ง แล้วนำไปแช่น้ำประมาณ 1 ลิตร ทิ้งไว้ประมาณ 5-6 ชม. ก็จะเกิดเป็นตุ่มงอกสีขาวขึ้นมาที่เมล็ดข้าวพอมองเห็น จากนั้นให้เอาขึ้นนำมาผึ่งให้แห้ง แล้วนำไปต้มใช้ไฟปานกลางให้เดือด แต่อย่าให้เดือดมาก เพราะถ้าร้อนมากเกินไป สารกาบาจะถูกทำลายมาก หากเดือดพอดีให้เคี่ยวไปสัก 15-20 นาที สารกาบาจะยังอยู่ในข้าวถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นปริมาณเพียงพอต่อร่างกาย

    เสร็จแล้วใช้ผ้าขาวบาง หรือกระชอน กรองน้ำออกมาดื่ม เพิ่มรสชาติโดยโรยเกลือป่นให้ออกเค็มเล็กน้อย ก็จะเพิ่มความอร่อย นอกจากความหอมหวานที่มีอยู่ในน้ำข้าวกล้องงอกแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นสูตรที่ศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าวปทุมธานี ทำเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายในหลวง ทุก 3 วัน ส่วนการหุงข้าวกล้องให้ได้รสชาติอร่อย นุ่มลิ้น จะต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำสัก 1 ชั่วโมง ให้เมล็ดข้าวบานออกเล็กน้อยก็หุงได้ทันที จะทำให้เมล็ดข้าวนุ่ม น่ารับประทานมาก การหุงข้าว จะทำให้สารกาบาถูกทำลายไปประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ แต่กาบาที่เหลือก็เพียงพอต่อร่างกายที่จะต้องบริโภคทุกวันอยู่แล้ว แต่ถ้าเราทำให้ข้าวกล้องงอกขึ้นมา จะเพิ่มคุณค่าสารอาหารขึ้นอีก 10 เท่าเลยทีเดียว

    **หุงข้าวกล้องให้อร่อย นุ่มลิ้น
    จะต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำสัก 1 ชั่วโมง ให้เมล็ดข้าวบานออกเล็กน้อยก็หุงได้ทันที จะ ทำให้เมล็ดข้าวนุ่ม น่ารับประทานมาก การหุงข้าว จะทำให้สารกาบ้าถูกทำลายไปประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ แต่กาบ้าที่เหลือก็เพียงพอต่อร่างกายที่จะต้องบริโภคทุกวันอยู่แล้ว แต่ถ้าเราทำให้ข้าวกล้องงอกขึ้นมา จะเพิ่มคุณค่าสารอาหารขึ้นอีก 10 เท่าเลยทีเดียว

    ข้อมูล : สำนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมส่งรูปให้แล้วครับ

    สำหรับสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าท่านอื่น ต้องการชมรูป แจ้งผมมาได้นะครับ

    ในระยะเวลาข้างหน้า ผมจะขออนุญาตเจ้าของวัดไ...... พาสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า เข้าไปกราบพระพุทธรูปกันครับ

    ส่วนจะดีหรือไม่ แรงหรือไม่ ต้องถามคุณnongnooo และคุณเพชร ดูครับ อิอิ


    .
     
  5. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 21 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 18 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>แหน่ง, tescolotus, sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ดีคับคุณหนุ่ม นอนดึกจังครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    มาแจ้งข่าวงานบุญขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ

    22-7-2552, 10:43 AM #32262

    ผมได้ขอพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จากคุณnongnooo ไว้จำนวน 5 องค์ จากคุณเพชร จำนวน 5 องค์ และผมจะมอบให้จำนวน 10 องค์ เพื่องานผ้าป่าสามัคคีโดยเฉพาะครับ

    รายละเอียดมีดังนี้ครับ

    ข้อที่ 1.ขอมอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 10 องค์ สำหรับสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า(ที่สมัครก่อนวันที่ 20 กรกฎาคม 2552) ให้ร่วมทำบุญ 3,000 บาท(สามพันบาทถ้วน) มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 1 องค์ ส่วนสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าที่สมัครหลังจากวันที่ 20 กรกฎาคม 2552 ให้ร่วมทำบุญ 6,000 บาท(หกพันบาทถ้วน) มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 1 องค์ ขอสงวนสิทธิ์ให้สมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าร่วมทำบุญได้ท่านละ 1 องค์เท่านั้น

    หมายเหตุ 1.1 การทำบุญในข้อที่ 1 และ ข้อที่ 2 สามารถจองไว้ก่อนได้ และต้องโอนเงินร่วมทำบุญ(โดยโอนเงินร่วมทำบุญและเข้าบัญชีบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ) ก่อนหรือภายในวันที่ 29 สิงหาคม 2552 เท่านั้น

    รายนามผู้จอง ข้อที่ 1.
    1.คุณpsombat โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน .......... บาท วันที่ ..................
    2.คุณchantasakuldecha โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน 3,000 บาท วันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ยังไม่ได้ส่งพระพิมพ์
    3.คุณแหน่ง โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน .......... บาท วันที่ ..................
    4.คุณพี่เบิ้ม โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน .......... บาท วันที่ ..................
    5.คุณมูริญโญ่ โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน .......... บาท วันที่ ..................
    6.คุณMEA โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน 3,000 บาท วันที่ 25 กรกฎาคม 2552 ยังไม่ได้ส่งพระพิมพ์
    7.คุณพรสว่าง_2008 โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน 3,000 บาท วันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ยังไม่ได้ส่งพระพิมพ์
    8.คุณ
    9.คุณ
    10.คุณ
    11.คุณ
    12.คุณ
    13.คุณ

    ข้อที่ 2.ขอมอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 5 องค์ ให้กับท่านที่เคยร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาก่อนแล้ว โดยร่วมทำบุญ 20,000 บาท(สองหมื่นบาทถ้วน) มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 1 องค์ ขอสงวนสิทธิ์ให้ท่านที่เคยร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาก่อนแล้ว ร่วมทำบุญได้ท่านละ 1 องค์เท่านั้น

    หมายเหตุ 2.1 การทำบุญในข้อที่ 1 และ ข้อที่ 2 สามารถจองไว้ก่อนได้ และต้องโอนเงินร่วมทำบุญ(โดยโอนเงินร่วมทำบุญและเข้าบัญชีบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ) ก่อนหรือภายในวันที่ 29 สิงหาคม 2552 เท่านั้น

    รายนามผู้จอง ข้อที่ 2.
    1.คุณ
    2.คุณ
    3.คุณ
    4.คุณ
    5.คุณ
    6.คุณ
    7.คุณ

    ข้อที่ 3.ขอมอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 5 องค์ ให้กับท่านที่ไม่เคยร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาเลย โดยร่วมทำบุญ 2,000,000 บาท(สองล้านบาทถ้วน) มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 1 องค์ ขอสงวนสิทธิ์ให้ท่านไม่ที่เคยร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาเลย ร่วมทำบุญได้ท่านละ 1 องค์เท่านั้น และทำบุญ(โดยโอนเงินร่วมทำบุญและเข้าบัญชีบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ) ก่อนวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 เท่านั้น

    ปัจจุบัน วันที่ 4 สิงหาคม 2552 ได้หมดเขตการจองและร่วมทำบุญในข้อที่ 3 แล้ว
    หมายเหตุ 3.1 หากการทำบุญในข้อที่ 3 ไม่มีท่านไหนมาร่วมทำบุญภายในกำหนดระยะเวลาที่กำหนด ผมจะยกพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) ดังกล่าวไปมอบให้ท่านที่ร่วมทำบุญในข้อที่ 1. และ ข้อที่ 2 แทน

    หมายเหตุ 3.2 หากการทำบุญในข้อที่ 3 มีท่านที่ทำบุญ 5 ท่าน ซึ่งจำนวนเงินที่ร่วมทำบุญมา เกินกว่ายอดเงินที่ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ ผมจะขออนุญาตพระอาจารย์นิล ,พี่แอ๊ว และท่านที่เกี่ยวข้อง นำเงินดังกล่าวทั้งหมดไปทำบุญในสถานที่อื่นๆ ตามที่พระอาจารย์นิล ,พี่แอ๊ว และผมเห็นสมควร

    รายนามผู้จอง ข้อที่ 3.
    1.คุณ - 2.คุณ - 3.คุณ - 4.คุณ - 5.คุณ -

    เนื่องจากในข้อที่ 3 ไม่มีผู้ที่จองและร่วมทำบุญ ผมขอยกยอดจำนวนพระสมเด็จ (กลักไม้ขีด) ไปไว้ที่ ข้อ 1.(จำนวน 3 องค์) และ ข้อ 2.(จำนวน 2 องค์) ครับ

    การจองและการร่วมทำบุญ สามารถจองไว้ก่อนได้ ท่านใดจองก่อน มีสิทธิ์ก่อน และการรับจองต้องโอนเงินร่วมทำบุญตามกำหนดระยะเวลาที่ได้แจ้งไว้แล้ว

    พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง - PaLungJit.com
    .16/08/2552 , 08:30 PM โพสที่ #33053
    สำหรับงานผ้าป่าในวันที่ 29 นี้ ผมมีเรื่องมาแจ้ง 2 เรื่องครับ

    เรื่องแรก วันนี้ผมไปหาพี่ใหญ่มา ผมนำพระพิมพ์ต่างๆไปให้พี่ใหญ่ดู มีอยู่รุ่นนึงที่พี่ใหญ่เห็นแล้วตกใจและเซอร์ไพรส์ ก็คือ พิมพ์หลวงปู่ (พิมพ์มาตรฐาน 15 พิมพ์) แต่เนื้อนั้น เป็นเนื้อตะกั๋ว

    เอ้ เนื้อตะกั่ว พี่ใหญ่จะตกใจได้หรือ

    ได้ครับ เนื่องจากทั้งท่านอาจารย์ประถม และพี่ใหญ่ บอกมาตรงกันว่า เป็นเนื้อตะกั๋วสนิมแดงครับ อายุของพระรูปหล่อรุ่นนี้ ไม่น่าจะน้อยกว่า 5-600 ปี ผมจะนำไปให้ชาวชมรมรักษ์พระวังหน้า และท่านที่ไปร่วมงานผ้าป่า ได้ทำบุญกัน ส่วนจะทำบุญเท่าไหร ไว้ผมแจ้งอีกครั้ง

    ส่วนเรื่องที่สอง ผมได้มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) ให้พี่ใหญ่ พี่ใหญ่บอกมาว่า พี่จะปิดทองที่องค์พระให้ แล้วให้ผมไปรับพระสมเด็จ องค์นี้ ที่พี่ใหญ่ และให้ผมนำไปมอบให้กับท่านที่ร่วมทำบุญในงานผ้าป่านี้ ผมถามพี่ใหญ่ว่า จะให้ผมตั้งราคาเพื่อทำบุญ หรือ ให้ประมูลได้หรือไม่ ผมกลัวเนื่องจากผมเคยโดนดุเรื่องของการประมูลมาแล้ว พี่ใหญ่บอกกับผมว่า สำหรับพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด)องค์นี้ แล้วแต่ผมว่า จะทำอย่างไร ผมก็เลยบอกว่า งั้นผมขอนำไปประมูลนะครับ

    ผมจะตั้งราคาประมูลในครั้งแรก จำนวน 4,999 บาท ให้เพิ่มในการประมูลครั้งละไม่ต่ำกว่า 100 บาท

    เตรียมเงินกันไว้นะครับ ไปประมูลพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด)องค์นี้ ส่วนพิเศษอย่างไร ผมจะไปสอบถามพี่ใหญ่ หากพี่ใหญ่อธิบายให้ฟังแล้ว ผมจะนำมาแจ้งให้ทราบกันอีกครั้งครับ

    ผมเองก็กำลังคิดอยู่ว่า จะส่งเพื่อนเข้าประมูลเช่นกันครับ
    โมทนาสาธุครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2009
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อย่ารังเกียจคนปากอย่างใจอย่าง..นะครับ
    Posted by มะอึก , ผู้อ่าน : 60 , 08:41:50 น.
    วันอังคาร ที่ 4 สิงหาคม 2552

    .
    .
    คนที่ปากอย่างหนึ่งใจอย่างหนึ่ง
    หรือคนที่ปากกับใจไม่ตรงกันนั้น
    เพื่อนฝูงมักจะไม่ชอบคบหาสมาคม
    .
    แต่คนที่ปากอย่างใจอย่าง ตามแนวคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาส
    เป็นคนที่น่าคบหาสมาคมยิ่ง
    .
    ปากอย่างใจอย่าง
    มีปากอย่าง...ใจอย่าง...หนทางสุข
    ไม่เกิดทุกข์...เพราะยึดมั่น...ฉันแถลง
    ว่าคำพระ...พุทธองค์...ทรงแสดง
    อย่าระแวง...ว่าฉันหลอก...ยอกย้อนเลย
    อย่ายึดมั่น...สิ่งใด ๆ ...ด้วยใจตู
    ว่า"ตัวกู"..."ของกู"...อยู่เฉย ๆ
    ปากพูดว่า..."ตัวกู"...อยู่ตามเคย
    ใจอย่าเป็น...เช่นปากเอ่ย...เหวยพวกเราฯ
    [​IMG]
    .
    คำกลอนธรรม..บทนี้
    ไม่มีคำไหนต้องอธิบายเพิ่มเติม
    ชัดเจนด้วยอรรถรสแล้ว
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตัวอย่างของคนปากอย่างใจอย่าง
    posted on 27 Jul 2008 20:48 by dream-lovers

    ตัวอย่างของคนปากอย่างใจอย่าง | Last night, we met in my dream.

    ...เอนทรี่นี้คงจะไม่มีอะไรนอกจากเรื่องบ่นๆปลงๆในความเป็นคน
    ณ วินาทีนี้ ณ ที่ๆไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน ตัวเราเองรู้สึกซาบซึ้งแล้วก็ขอบคุณทุกๆอย่างที่เรามีในวันนี้ ขอบคุณในความรักของป๊ากับม้า ขอบคุณสำหรับญาติๆแลวก็พี่น้องคนอื่นๆ ขอบคุณที่เลี้ยงเรามาอย่างดี ขอบคุณแล้วก็ขอบคุณ


    คนเราพอคบกันไปเรื่อยๆสิ่งที่เรียกว่าสันดานมันก็จะค่อยๆโผล่ออกมาเรื่อยๆ
    แม้แต่ตัวเราเองก็เหมือนกันมีสิ่งที่เรียกว่า "สันดาน" เช่นกัน แต่เราก็เชื่อว่าสันดานของเราไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้าย ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่เอาเปรียบใคร เรามีโลกส่วนตัวของเราแลวก็พึงพอใจกับการทำอะไรด้วยลำแข้งของตัวเอง (ยกเว้นเรื่องหาเงินนะจ๊ะ ตอนนี้ยังคงเกาะที่บ้านรับประทานไปก่อน)

    และตอนนี้เราก็เริ่มเห็นสิ่งที่เรียกว่า "สันดาน" ของคนอื่นๆมากขึ้นเรื่อยๆจนเรารู้สึกกลัวขึ้นมา
    ตัวเราเองมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่สนิทมากันแต่สมัยม.ปลาย แต่พอคิดจริงๆแล้วพวกเราสนิทกันรึเปล่านะ เพราะว่าเราก็แค่สนิทกันแต่ที่โรงเรียน แต่พอวันหยุดเราก็เหมือนไม่เคยที่จะรู้จักกัน ถึงจะเคยนัดไปเที่ยวบ้างแต่ก็นับครั้งได้ โทรศัพท์ก็ไม่ค่อยได้คุยกันเยอะถึงขนาดนั้น ตอนนั้นเธอคนนั้นเป็นเหมือนฮีโร่ของเราเลยหล่ะ คุยสนุก พูดจามีเสน่ห์มากเพราะตลกโปกปากไปหมด ดูมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นไปทั่ว ต่างจากตัวเราคนนี้ที่เป็นคนเรียบๆง่ายๆ เรื่อยๆ เราสนิทกับคนได้ยากแล้วก็ไม่เข้าหาคนก่อนด้วย นอกจากจะรู้สึกคลิกกับคนๆนั้นขึ้นมา เราถึงจะไปคุยก่อน

    และแล้วหลังจากจบม.ปลาย
    เธอคนนั้นก็มาเรียนต่อยังต่างประเทศ...
    ครึ่งปีต่อมา เราก็ตามมาบ้าง

    เรายังคงสนิทกันเพียงเพราะว่าเราเป็นเพื่อนเก่ากันมาก่อน ตัวเราก็ยังสนุกสนานที่ได้อยู่กับเธอ
    จนกระทั่ง...

    เราเริ่มตระหนัก
    ว่าเธอคนนี้ "คิดต่างจากเราเกินไป" เธอไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย ไม่ได้ทำอะไรผิดศีลธรรมรึกฏหมาย แต่เรารู้สึกอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออยู่กับเธอนานๆ
    จากการกระทำของเธอ ทำให้เรารู้ว่าเธอเป็นคนปากอย่างใจอย่าง
    เธอมักจะพูดอยู่เสมอๆว่าเธอยึดมั่นในศีลธรรม แถมชอบพยายามกินเจบ่อยๆ (่เอาเข้าจริงแล้วเธอกินได้ไม่นานหรอกนะ แต่ก็ชอบเอาไปป่าวประกาศว่าเธอกินเจอยู่) ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรไปหรอก... ฉันไม่มีนโยบายเอาเรื่องของใครไปนินทาให้ใครฟัง
    ส่วนที่เธอบอกว่าตัวเองยึดมั่นในศีลธรรมอีก... ฉันว่ามันคงเรียกว่าศีลไม่ได้หรอกนะ ยกตัวอย่างเช่น
    เธอชอบโกงค่ารถโดยสาร
    เมื่อวันก่อนที่ไปกินเนื้อย่างด้วยกัน เธอก็เป็นคนยุยงให้เพื่อนๆขโมยเนื้อกลับบ้าน... เฮ้อ ตัวฉันเองก็ใช่ย่อย ได้แต่กินไปเงียบๆ ไม่ห้ามปราม...
    นอกจากนั้นแล้วฉันก็รู้สึกว่าเธอยังขี้งกในเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วก็ชอบทำอะไรที่มันดูประหลาดแล้วก็เห็นแก่ตัวในสายตาของฉันอีกด้วย ทั้งๆที่ฐานะของบ้านเธอก็ดีกว่าบ้านฉันอีกด้วยซ้ำ เรื่องที่ว่าก็ได้แก่
    เธอไม่ยอมติดอินเตอร์เนทที่บ้านโดยอ้างว่ามัน "แพง" ทำให้รูมเมททั้งสองของเธอค่อนข้างลำบากเลยทีเีดียว เพราะทั้งสองเกรงใจเธอคนนี้เสียเหลือเกิน ดังนั้นเวลามีรายงานทีนึง ไม่ขึ้นไปใช้ที่โีรงเรียนก็ต้องมาใช้ที่บ้านของฉัน ถ้ามาบ้านฉันในเวลาปกติฉันก็คงจะไม่ว่าอะไรหรอก แต่บางครั้งบางคราวเล่นมาเอาห้าทุ่ม เที่ยงคืน คนที่มีโลกส่วนตัวสูงอย่างฉันทำไมจะไม่รำคาญหล่ะ
    เธอทำงานพิเศษหาเงินซื้อแบรนด์และเสื้อผ้าเอง (อันนี้ฉันก็ว่าดีนะ...) แต่เธอทำร้านอาหารกะดึกมากแล้วก็อยู่ไกลจากบ้านด้วย บางทีก็เลิกเที่ยงคืนกว่าๆ ครั้งนึงแทนที่เธอจะกลับมาบ้าน เธอกลับไปเปิดห้องที่โรงแรมแล้วก็นอนค้าง... ช่างประหลาดดีแท้
    ช่วงนี้เธอพยายามที่จะลากเพื่อนๆไปกินร้านอาหารที่สามารถเติมข้าวหรือเส้นได้ฟรี โดยเธอจะไปโดยไม่สั่งอะไร หรือสั่งก็สั่งน้อย แล้วก็กินแต่ผัก ข้าวหรือเส้นจากอาหารชุดที่คนอื่นสั่งมาแทน (ฉันว่ามันแปลกจริงๆนะ หรือเป็นเพราะหนังหน้าของฉันบางเกินไปกันก็มิอาจรู้ได้)
    เธอเคยมาเล่าเรื่องเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งให้ฉันฟังแล้วบอกว่าเขาประหลาด... เพียงเพราะเพื่อนคนนั้นเอาแฮมเบอร์เกอร์ที่หมดอายุหนึ่งวันแล้วมากินเป็นกับข้าว เธอบอกว่าตัวเธอสงสารเค้าก็เลยไปซื้อไก่ทอดมาหนึ่งจาน กินไปหนึ่งชิ้นแล้วก็แกล้งทำเป็นไม่เอาแล้ว แล้วยกให้เขาไป... แล้วก็พูดว่าทำไมเขาต้องทำตัวเองขนาดนี้ บ้านคนนั้นจนเหรอ แต่ฉันกลับไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหาที่จะมาตัดสินกันได้เลยว่ามันไม่ดี เขาไม่ได้ทำให้ใครเืดือนร้อนเสียหน่อย กลับกันฉันว่าตัวเธอคนนั้นต่างหากที่ประหลาดกับการพยายามทำดีของเธอ
    เธอเคยทะเลาะกับเพื่อนสนิทครบทุกคนแล้วหล่ะ ทุกครั้งที่ทะเลาะก็จะว่าเพื่อนคนนั้นเสียๆหายๆบ้าง แล้วก็พยายามผูกมิตรกับเพื่อนคนอื่นเพิ่มขึ้นบ้าง เหลือแค่ตัวเรานี่แหละที่ยังไม่ได้ทะเลาะ...
    ฉันกำลังกลัวอยู่...
    ไม่ได้กลัวทะเลาะหรอกนะ
    กลัว "คนๆนี้" ต่างหาก
    เพราะเธอคนนี้แหละทำให้เรารู้ว่า คนเราน่ากลัวแค่ไหน



    ป.ล. มีอีกอย่างหนึ่งที่เกลียดจริงๆ คือผู้หญิงไทยที่นี่แหละ ทำไมนะที่บ้านก็เลี้ยงมากันดีๆ พ่อแม่มีเงินทองกันทั้งๆ จบมาจากโรงเรียนก็ดีๆ สุดท้ายแล้วก็โลภเพียงเพราะอยากได้เงินไปชอปปิ้งเลยยอมทำงานนั่งผับนั่งบาร์ คุยกับแขก แล้วก็ทำมาเป็นพูดว่า อย่าเอาไปบอกคนอื่นนะ กลัว เหอะ ฉันอยากจะหัวเราะ จะทำหัดยอมรับหน่อยนะ ไม่ต้องมาทำตัวแกล้งว่าตัวเองใสซื่อบริสุทธิ์หรอก
    แต่ว่าก็มีบางคนเหมือนกันที่ทำเพราะว่าทางบ้านส่งไม่ไหว อันนั้นฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก เพราะว่าเธอคนนี้ไม่ได้มานั่งแกล้งทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์ว่า อุ๊ย ฉันไม่ได้ทำงานอย่างนั้น ตรงกันข้ามเรากลับชื่นชมเธอคนนี้ ที่ทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ถึงจะเป็นงานกลางคืนแต่มันก็สุจริต ไม่ผิดศีลธรรมแลวเธอก็สู้ด้วยลำแข้งของตัวเอง

    แต่ว่า...นี่ไงหล่ะ ผู้หญิงไทยในสายตาคนญี่ปุ่นถึงกลายเป็นผู้หญิงไม่ดีไปหมด
    เหอะ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948


    ตาบอด-ตาดี

    <TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG]หมู่นกจ้อง มองเท่าไร ไม่เห็นฟ้า
    ถึงฝูงปลา ก็ไม่เห็น น้ำเย็นใส
    ไส้เดือนมอง ไม่เห็นดิน ที่กินไป
    หนอนก็ไม่ มองเห็นคูต ที่ดูดกิน [​IMG]
    คนทั่วไป ก็ไม่ มองเห็นโลก
    ต้องทุกข์โศก หงุดหงิด อยู่นิจสิน
    ส่วนชาวพุทธ ประยุกต์ธรรม ตามระบิล
    เห็นหมดสิ้น ทุกสิ่ง ตามจริงเอย



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ความอยาก

    <TABLE><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]อันความอยาก จะระงับ ดับลงได้

    นั้นมิใช่ เพราะเรา ตามสนอง
    สิ่งที่อยาก ให้ทัน ดั่งมันปอง
    แต่เพราะต้อง ฆ่ามัน ให้บรรลัย
    [​IMG] ให้ปัญญา บงการ แทนร่านอยาก
    ความร้อนไม่ มีมาก อย่าสงสัย
    ทั้งอาจผลิต กิจการ งานใดๆ
    ให้ล่วงไป ด้วยดี มีสุขเย็น





    [​IMG]



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ปากอย่าง ใจอย่าง

    <TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG] มีปากอย่าง ใจอย่าง หนทางสุข
    ไม่เกิดทุกข์ เพราะยึดมั่น ฉันแถลง
    ว่าคำพระ พุทธองค์ ทรงแสดง
    อย่าระแวง ว่าฉันหลอก ยอกย้อนเลย
    [​IMG] อย่ายึดมั่น สิ่งใด ๆ ด้วยใจตู
    ว่าตัวกู ของกู อยู่เฉย ๆ
    ปากพูดว่า ตัวกู อยู่ตามเคย
    ใจอย่าเป็น เช่นปากเอ่ย เหวยพวกเรา



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    [​IMG]


    บ้าดี

    <TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG] ยิ่งทำดี จะยิ่งมี นรกมาก
    ถ้าใจอยาก ดีเด่น เป็นเจ้าขรัว
    ให้ผู้คน ทั่งผอง ต้องยอมกลัว
    คือยอมตัว อยู่ใต้ ปัญญายุง [​IMG]
    ไม่ต้องการ มรรคผล ดลนิพพาน
    คงต้องการ แต่ให้ เขาช่วยส่ง
    ให้ลอยลม ล่วงไป จมไม่ลง
    ต้องประสงค์ แต่เท่านี้ "บ้าดี"เอย



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​



    <HR width="100%">
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ac568.JPG
      ac568.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.7 KB
      เปิดดู:
      235
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2009
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับพระสมเด็จ (กลักไม้ขีด) ที่สมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า(และท่านอื่นๆ)ที่ได้จองในกระทู้พระวังหน้า ในวันเสาร์หรือวันอาทิตย์นี้ ผมจะนำไปเลี่ยมกรอบสแตนเลสให้ฟรีครับ

    ส่วนท่านที่ไปบูชา(และร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง)ในวันงานผ้าป่า ผมขอไม่เลี่ยมให้นะครับ เนื่องจากว่า ผมไม่ทราบว่า จะมีกี่ท่านที่จะบูชาครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  11. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 22 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 19 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>แหน่ง, sithiphong, psombat </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ดีครับคุณหนุ่ม คุณสมบัติ สบายดีไหมครับ
    ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สบายดีครับ

    ใกล้วันงานผ้าป่า ก็ต้องมีเรื่องราวที่ต้องทำอีกมาก ทั้งการจัดเตรียมพระวังหน้า ไปให้ท่านที่ไปงานได้มีโอกาสร่วมทำบุญและบูชาพระวังหน้าไป และยังต้องเตรียมเรื่องของชมรมรักษ์พระวังหน้าในการประชุมครั้งต่อไปอีกครับ

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    สมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าท่านใดที่ต้องการชม โปรดแจ้งผมมา ผมจะส่งรูปให้ทาง Email แต่ขอความกรุณาอย่าส่ง Email ต่อครับ

    1.องค์จตุคามรามเทพ (สมัยรัชกาลที่ 3)
    2.พระนาคปรก หน้าตัก 30 นิ้ว (พระมหาธรรมราชา (เป็นพระบิดาองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) เป็นผู้ให้สร้าง)
    3.พระนาคปรก หน้าตัก 30 นิ้ว (สมัยทวาราวดี)
    4.พระนารายณ์ทรงสุบรรณ (เคยอยู่ที่หน้าธนาคารแห่งประเทศไทย)
    5.และอื่นๆอีก นิดหน่อย

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    36.2 KB, ดาวน์โหลด 67 ครั้ง
    15-08-2009 08:35 PM
     
  14. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    สวัสดีครับทุกๆท่าน สบายดีกันทุกคนนะครับ วันนี้ ... งานเยอะครับเพราะไม่ได้อยู่ office มา 2 week - คุณหนุ่มรบกวนส่งรูปมาให้ทาง e-mail ด้วยนะครับ :)
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ส่วนรูปที่เป็นบาตรน้ำมนต์ ใบค่อนข้างใหญ่ เนื้อบาตรเป็นเนื้อนาค แล้วแกะสลัก ฝาบาตรแกะสลักในทำนองนี้ ผมจำไม่ได้ละเอียด "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ผู้มีคุณแก่แผ่นดิน" ครับ

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมส่งให้แล้วนะครับ

    พระพุทธรูปที่เป็นเนื้อสัมฤทธิ์ จะเป็นพระพุทธรูปที่สร้างสมัย ทวาราวดี หน้าตัก(ถ้าผมจำไม่ผิด) 30 หรือ 35 นิ้ว องค์พระพรหมที่อยู่ในองค์พระ ท่านเป็นพรหมชั้นผู้ใหญ่ อยู่ชั้นสุทธาวาสครับ

    ส่วนพระนาคปรกอีกองค์ จะเป็นพระพุทธรูป(หน้าตักเท่ากับองค์ที่สร้างสมัยทวาราวดี) พระมหาธรรมราชา (พระราชบิดาองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) เป็นผู้ที่ให้สร้างขึ้น ส่วนองค์พระพรหมที่อยู่ในองค์พระ ท่านเป็นพรหมชั้นผู้ใหญ่ อยู่ชั้นสุทธาวาสเช่นกันครับ

    ส่วนพระบูชาพระเศรษฐีนวโกฏิ หน้าตัก(ถ้าจำไม่ผิด) 20 นิ้ว สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5ครับ

    องค์อื่นๆ ชมเองนะครับ
    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระเศรษฐีนวโกฏิ

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content -->
    พระเศรษฐีนวโกฏิเป็นรูปเคารพแทนมหาเศรษฐีทั้ง 9 ท่านในสมัยพุทธกาล ท่านเหล่านี้เป็นผู้สร้างคุณประโยชน์อเนกอนันต์ให้แก่พระพุทธศาสนา มีความมั่งคั่งในโภคทรัพย์อยู่ในระดับเดียวกับกษัตริย์ ทั้งยังเป็นสัมมาทิฏฐิ และยังเป็นพุทธอุปฐากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงยกย่องว่า ท่านเหล่านี้เป็นผู้เลิศในการทำทาน และเป็นยอดของมหาเศรษฐีทั้งปวง เศรษฐีทั้ง 9 นี้ได้แก่
    1.ธนันชัยเศรษฐี
    2. ท่านยัสสะเศรษฐี
    3. ท่านสุมานะเศรษฐี
    4. ท่านชะฏิกัสสะเศรษฐี
    5. ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี
    6. ท่านเมนฑะกัสสะเศรษฐี
    7. ท่านโชติกะเศรษฐี
    8. ท่านสุมังคะกัสสะเศรษฐี
    9.ท่านวิสาขามหาอุบาสิกา
    ผู้รู้ได้ถือเอาคตินี้มาสร้างเป็นพระนวโกฏิให้มีพระพักตร์ทั้งหมด 9 พระพักตร์ แทนใบหน้าของนวเศรษฐีทั้งเก้าในสมัยพุทธกาล เชื่อว่ามีคุณทางโชคลาภ อำนวยลาภสักการะ และความร่มเย็นเป็นสุขแก่ผู้เลื่อมใสบูชา



    [แก้] ประวัติ

    มหาเศรษฐีทั้ง 9 ท่านนี้ ล้วนสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ทั้งที่ดำรงเพศฆราวาสอยู่ ตามตำนานของชาวล้านนา สมัยหนึ่งเกิดทุกข์เข็ญ ทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง ประชาชนเดือดร้อน บังเกิดความอดอยากขึ้น จึงมีพระภิกษุผู้เป็นอริยะรูปหนึ่ง ได้แนะนำให้สร้างพระเศรษฐีนวโกฏิขึ้น เพื่อทำการสักการบูชาแก้เคล็ดในความทุกข์ยากทั้งหลาย และเมื่อสร้างและทำการฉลองสำเร็จ ก็ปรากฏมีเหตุการณ์ปรากฏขึ้นเป็นอัศจรรย์คือ ความทุกข์ยากอดอยากทั้งหลาย ได้บรรเทาลงและสงบระงับในที่สุด จึงเป็นคติที่เชื่อถือของชาวล้านนาว่า ถ้าผู้ใดได้บูชาพระเศรษฐีนวโกฏิแล้ว จะมีสิริมงคล ทำมาค้าขึ้น ประสบแต่โชคลาภ อยู่เย็นเป็นสุข ด้วยอานิสงส์แห่งบารมีธรรมของเศรษฐีทั้ง 9 ท่าน



    [แก้] การสร้างพระเศรษฐีนวโกฏิ

    [[พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท)]] ยอป่า ราชพฤกษ์ ตะกรุดเงิน ทองคำ ครั่ง ชันนะโรง ขี้ผึ้ง สีวลี คาถา [[ มาขะโยมาวะโย มัยหังมาจะโกจิ อุปัททะโว ธัญญะธารานิเม ปะวัสสันตุ ธนันชัยยัสสะ ยะถาคะเร สุวัณณานิหิรัญญาจะ สัพพะโภคาจะรัตตะนา ปะวัสสันตุเม เอวังคาเร สุมะนะปฏิลัสสะจะ อะนาถะปิณฑิกะ เมณฑะกัสสะโชติกะ มันธาตุเวสสันตะรัสสะ ปะวัสสันติ ยะถาคะเร เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ สัพพะสิทธิ ภะวันตุเม]] ปลุกเสกคาบ คาถาจินดามณีกำลังวัน

    [แก้] อานิสงส์การบูชา

    เชื่อว่าจะอำนวยลาภผลโภคทรัพย์ตามสมควร ปกปักรักษาให้บ้านเรือนร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรือง และป้องกันภยันตรายสิ่งไม่ดีไม่งามต่างๆ ปัจจุบันมีอยู่น้อยมากที่จะสร้างได้อย่างถูกต้องตามตำราดั้งเดิม.
    <TABLE style="CLEAR: both; BORDER-RIGHT: #90a0b0 1px solid; BORDER-TOP: #90a0b0 1px solid; FONT-SIZE: 90%; BACKGROUND: #fcfcfc; MARGIN: 10px 0px 0px; BORDER-LEFT: #90a0b0 1px solid; WIDTH: 100%; BORDER-BOTTOM: #90a0b0 1px solid" cellSpacing=0 cellPadding=3><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=40></TD><TD style="COLOR: #696969" align=left>พระเศรษฐีนวโกฏิ เป็นบทความเกี่ยวกับ ความเชื่อ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหาหรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
    <SMALL>ข้อมูลเกี่ยวกับ พระเศรษฐีนวโกฏิ ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ</SMALL>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 36/1000000Post-expand include size: 3989/2048000 bytesTemplate argument size: 160/2048000 bytesExpensive parser function count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:68654-0!1!0!!th!2 and timestamp 20090817020358 -->ดึงข้อมูลจาก "พระเศรษฐีนวโกฏิ - วิกิพีเดีย".
    หมวดหมู่: ไสยศาสตร์ | บทความเกี่ยวกับ ความเชื่อ ที่ยังไม่สมบูรณ์
    หมวดหมู่ที่ซ่อนอยู่: บทความที่รอการตรวจสอบรูปแบบ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    [​IMG]


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    มาแจ้งข่าวงานบุญขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ

    22-7-2552, 10:43 AM #32262

    ผมได้ขอพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จากคุณnongnooo ไว้จำนวน 5 องค์ จากคุณเพชร จำนวน 5 องค์ และผมจะมอบให้จำนวน 10 องค์ เพื่องานผ้าป่าสามัคคีโดยเฉพาะครับ

    รายละเอียดมีดังนี้ครับ

    ข้อที่ 1.ขอมอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 10 องค์ สำหรับสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า(ที่สมัครก่อนวันที่ 20 กรกฎาคม 2552) ให้ร่วมทำบุญ 3,000 บาท(สามพันบาทถ้วน) มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 1 องค์ ส่วนสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าที่สมัครหลังจากวันที่ 20 กรกฎาคม 2552 ให้ร่วมทำบุญ 6,000 บาท(หกพันบาทถ้วน) มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 1 องค์ ขอสงวนสิทธิ์ให้สมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าร่วมทำบุญได้ท่านละ 1 องค์เท่านั้น

    หมายเหตุ 1.1 การทำบุญในข้อที่ 1 และ ข้อที่ 2 สามารถจองไว้ก่อนได้ และต้องโอนเงินร่วมทำบุญ(โดยโอนเงินร่วมทำบุญและเข้าบัญชีบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ) ก่อนหรือภายในวันที่ 29 สิงหาคม 2552 เท่านั้น

    รายนามผู้จอง ข้อที่ 1.
    1.คุณpsombat โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน .......... บาท วันที่ ..................
    2.คุณchantasakuldecha โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน 3,000 บาท วันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ยังไม่ได้ส่งพระพิมพ์
    3.คุณแหน่ง โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน .......... บาท วันที่ ..................
    4.คุณพี่เบิ้ม โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน .......... บาท วันที่ ..................
    5.คุณมูริญโญ่ โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน .......... บาท วันที่ ..................
    6.คุณMEA โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน 3,000 บาท วันที่ 25 กรกฎาคม 2552 ยังไม่ได้ส่งพระพิมพ์
    7.คุณพรสว่าง_2008 โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน 3,000 บาท วันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ยังไม่ได้ส่งพระพิมพ์
    8.คุณ
    9.คุณ
    10.คุณ
    11.คุณ
    12.คุณ
    13.คุณ

    ข้อที่ 2.ขอมอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 5 องค์ ให้กับท่านที่เคยร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาก่อนแล้ว โดยร่วมทำบุญ 20,000 บาท(สองหมื่นบาทถ้วน) มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 1 องค์ ขอสงวนสิทธิ์ให้ท่านที่เคยร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาก่อนแล้ว ร่วมทำบุญได้ท่านละ 1 องค์เท่านั้น

    หมายเหตุ 2.1 การทำบุญในข้อที่ 1 และ ข้อที่ 2 สามารถจองไว้ก่อนได้ และต้องโอนเงินร่วมทำบุญ(โดยโอนเงินร่วมทำบุญและเข้าบัญชีบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ) ก่อนหรือภายในวันที่ 29 สิงหาคม 2552 เท่านั้น

    รายนามผู้จอง ข้อที่ 2.
    1.คุณ
    2.คุณ
    3.คุณ
    4.คุณ
    5.คุณ
    6.คุณ
    7.คุณ

    ข้อที่ 3.ขอมอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 5 องค์ ให้กับท่านที่ไม่เคยร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาเลย โดยร่วมทำบุญ 2,000,000 บาท(สองล้านบาทถ้วน) มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 1 องค์ ขอสงวนสิทธิ์ให้ท่านไม่ที่เคยร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาเลย ร่วมทำบุญได้ท่านละ 1 องค์เท่านั้น และทำบุญ(โดยโอนเงินร่วมทำบุญและเข้าบัญชีบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ) ก่อนวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 เท่านั้น

    ปัจจุบัน วันที่ 4 สิงหาคม 2552 ได้หมดเขตการจองและร่วมทำบุญในข้อที่ 3 แล้ว
    หมายเหตุ 3.1 หากการทำบุญในข้อที่ 3 ไม่มีท่านไหนมาร่วมทำบุญภายในกำหนดระยะเวลาที่กำหนด ผมจะยกพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) ดังกล่าวไปมอบให้ท่านที่ร่วมทำบุญในข้อที่ 1. และ ข้อที่ 2 แทน

    หมายเหตุ 3.2 หากการทำบุญในข้อที่ 3 มีท่านที่ทำบุญ 5 ท่าน ซึ่งจำนวนเงินที่ร่วมทำบุญมา เกินกว่ายอดเงินที่ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ ผมจะขออนุญาตพระอาจารย์นิล ,พี่แอ๊ว และท่านที่เกี่ยวข้อง นำเงินดังกล่าวทั้งหมดไปทำบุญในสถานที่อื่นๆ ตามที่พระอาจารย์นิล ,พี่แอ๊ว และผมเห็นสมควร

    รายนามผู้จอง ข้อที่ 3.
    1.คุณ - 2.คุณ - 3.คุณ - 4.คุณ - 5.คุณ -

    เนื่องจากในข้อที่ 3 ไม่มีผู้ที่จองและร่วมทำบุญ ผมขอยกยอดจำนวนพระสมเด็จ (กลักไม้ขีด) ไปไว้ที่ ข้อ 1.(จำนวน 3 องค์) และ ข้อ 2.(จำนวน 2 องค์) ครับ

    การจองและการร่วมทำบุญ สามารถจองไว้ก่อนได้ ท่านใดจองก่อน มีสิทธิ์ก่อน และการรับจองต้องโอนเงินร่วมทำบุญตามกำหนดระยะเวลาที่ได้แจ้งไว้แล้ว

    พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง - PaLungJit.com

    [SIZE=4.16/08/2552 , 08:30 PM โพสที่ #[/SIZE]33053
    สำหรับงานผ้าป่าในวันที่ 29 นี้ ผมมีเรื่องมาแจ้ง 2 เรื่องครับ

    เรื่องแรก วันนี้ผมไปหาพี่ใหญ่มา ผมนำพระพิมพ์ต่างๆไปให้พี่ใหญ่ดู มีอยู่รุ่นนึงที่พี่ใหญ่เห็นแล้วตกใจและเซอร์ไพรส์ ก็คือ พิมพ์หลวงปู่ (พิมพ์มาตรฐาน 15 พิมพ์) แต่เนื้อนั้น เป็นเนื้อตะกั๋ว

    เอ้ เนื้อตะกั่ว พี่ใหญ่จะตกใจได้หรือ

    ได้ครับ เนื่องจากทั้งท่านอาจารย์ประถม และพี่ใหญ่ บอกมาตรงกันว่า เป็นเนื้อตะกั๋วสนิมแดงครับ อายุของพระรูปหล่อรุ่นนี้ ไม่น่าจะน้อยกว่า 5-600 ปี ผมจะนำไปให้ชาวชมรมรักษ์พระวังหน้า และท่านที่ไปร่วมงานผ้าป่า ได้ทำบุญกัน ส่วนจะทำบุญเท่าไหร ไว้ผมแจ้งอีกครั้ง

    ส่วนเรื่องที่สอง ผมได้มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) ให้พี่ใหญ่ พี่ใหญ่บอกมาว่า พี่จะปิดทองที่องค์พระให้ แล้วให้ผมไปรับพระสมเด็จ องค์นี้ ที่พี่ใหญ่ และให้ผมนำไปมอบให้กับท่านที่ร่วมทำบุญในงานผ้าป่านี้ ผมถามพี่ใหญ่ว่า จะให้ผมตั้งราคาเพื่อทำบุญ หรือ ให้ประมูลได้หรือไม่ ผมกลัวเนื่องจากผมเคยโดนดุเรื่องของการประมูลมาแล้ว พี่ใหญ่บอกกับผมว่า สำหรับพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด)องค์นี้ แล้วแต่ผมว่า จะทำอย่างไร ผมก็เลยบอกว่า งั้นผมขอนำไปประมูลนะครับ

    ผมจะตั้งราคาประมูลในครั้งแรก จำนวน 4,999 บาท ให้เพิ่มในการประมูลครั้งละไม่ต่ำกว่า 100 บาท

    เตรียมเงินกันไว้นะครับ ไปประมูลพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด)องค์นี้ ส่วนพิเศษอย่างไร ผมจะไปสอบถามพี่ใหญ่ หากพี่ใหญ่อธิบายให้ฟังแล้ว ผมจะนำมาแจ้งให้ทราบกันอีกครั้งครับ

    ผมเองก็กำลังคิดอยู่ว่า จะส่งเพื่อนเข้าประมูลเช่นกันครับ
    โมทนาสาธุครับ<!-- google_ad_section_end -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ------------------------------------------

    มีข่าวดีมาบอกกัน

    แต่ยังไม่บอกในตอนนี้ ในวันงานผมจะแจ้งให้ทราบนะครับ

    อุบไว้ก่อน อิอิ

    ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ คุณnongnooo ,น้องอุ้ม องค์ที่ผมบอกเมื่อกี้นี้ เหอๆๆๆ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ทัวร์ไหว้พระสังเวชนียสถาน 4 อาหารอินเดีย เปิบพิสดาร"
    Travel - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>17 สิงหาคม 2552 17:01 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> โดย : แม่ช้อย นางรำ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>"บันยานี" ข้าวหมกไก่แบบอินเดียแท้</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> "ทำทัวร์อินเดีย...มาเกือบยี่สิบปี
    อีชั้นเป็นเจ้าแรกที่พักโรงแรมสี่-ห้าดาว
    เอาแม่ครัวไปทำอาหารให้เปิบกันทุกมื้อ
    ปีนี้ไปเปิบฝีมือ 'แม่ช้อย นางรำ' เดือนตุลานี้"

    "เมนูแม่ช้อย(นางรำ)"...สัปดาห์นี้

    อีชั้นจะเขียนแนะนำ เมนูอาหารที่ประเทศอินเดีย เพราะว่ากลางเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ อีชั้นและพุทธศาสนิกชนจะเดินทางไป นมัสการสังเวชนียสถาน 4 ที่ประเทศอินเดีย

    ก็อยากจะเขียนเรียนเชิญ ท่านที่สนใจร่วมเดินทางไปกับอีชั้น

    ส่วนที่ต้องเอามาเขียนในคอลัมน์แนะนะอาหารคราวนี้ ก็เพราะว่า เวลาไปอินเดียที คนที่ไม่เคยไปก็มักสงสัยถามไถ่อีชั้นเสมอว่า "อินเดียสกปรกมั้ย อาหารการกินเป็นอย่างไรบ้าง"

    อีชั้นจะต้องตอบไปทุกครั้งว่า

    สกปรก..หรืออร่อยนั้น ที่ไหนๆในโลกก็เหมือนกัน ในอเมริกา ในยุโรปก็มีที่สกปรก มีอาหารไม่อร่อยถูกปาก เรื่องจึงจำเป็นต้องมีผู้นำทางที่รู้ดี..จึงจะรู้ว่าสะอาดที่ไหนอร่อนที่ไหน?

    ขอกราบเรียนพระเดชพระคุณว่า

    อีชั้นจัดทัวร์ไหว้พระที่อินเดีย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบินลงที่พุทธคยา จะไปกันทียุ่งยากสาหัสสากรรจ์

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=247 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=247>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>"ไก่อบทันดูรี" พร้อมนาน...จาปะตีมีให้เปิบ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> จะต้องไปลงเครื่องที่ "กัลกัตตา" แล้วนั่งรถไฟอีกครึ่งหนึ่ง จึงจะถึง "พุทธคยา"

    แล้วถนนหนทางเมื่อเกือบยี่สิบปี ก่อนทารุณทารกรรม เอาแค่จาก "พุทธคยา" ไป "ราชคฤห์" แค่ห้าสิบกว่ากิโล ต้องใช้เวลาเดินทางหนึ่งวัน

    แต่เดี๋ยวนี้สบายมาก ใช้เวลาเพียงชั่วโมง..สองชั่วโมงก็ถึงแล้ว

    จากประสบการณ์ที่อีชั้นทำทัวร์พุทธภูมิที่อินเดีย อีชั้นพูดได้ว่าเป็นคนแรก ที่ไม่ยอมทำทัวร์แบบ "ทุลักทุเลทัวร์"

    เมื่อจะไปทำบุญใจสบายแล้ว ตัวก็ต้องสบายด้วย

    เพราะฉะนั้นบริษัท "พี.โอ.พี ทราเวิล" ของอีชั้นจึงเป็นบริษัทแรกที่ลูกทัวร์จะนอนโรงแรมสี่..ห้าดาวทุกมื้อทุกคราว จะต้องมีแม่ครัวลงไปทำกับข้าวในครัวโรงแรม มีเมนูที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อจะได้มีกำลังวังชา ไปแสวงบุญอิ่มหนำสำราญใจ

    และแม่ครัวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน..."แม่ช้อย นางรำ" อีชั้นลงไปทำเองทุกมื้อเจ้าค่ะ

    นอจากนั้นแล้ว

    "ทัวร์ไหว้พระสังเวชนียสถาน" อีชั้นยังเพิ่มอีกเมือง..สองเมือง ที่ไม่ได้อยู่ในสังเวชนียสถานให้ท่านได้เดินทางกัน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>อาหารบุฟเฟต์ "ออล ยู แคน อีท" (All You Can Eat) มีทั้งอาหารแขก อาหารจีน อาหารฝรั่ง อร่อยทั้งนั้น</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> บางครั้งก็ไปเมือง "สาวัตถี" เมืองที่พระพุทธองค์ทรงประทับนานที่สุดเป็นเมืองที่เกิดเรื่องราวสำคัญๆในพุทธประวัติหลายตอน

    หรือบางครั้งก็ไปเมือง "เวสารี" สถานที่เกิดน้ำพระพุทธมนต์ครั้งแรก

    (แต่คราวนี้แถมเมือง "สาวัตถี" แล้วยังแถมอีกสองเมืองคือ "อัครา" เมืองอนุสรณ์สถานแห่งความรัก "ทัชมาฮาล" กับเมือง "ฟาเตบุรีสิกรี" เมืองของพระเจ้าอักบารมหาราชที่ทรงสร้างให้คนทุกศาสนาอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข)

    สำหรับเรื่องอาหารการกิน นอกจากท่านจะได้เปิบฝีมืออีชั้นทำอาหารไทยด้วยตนเองแล้ว

    ในการเดินทางอีชั้นจะแนะนำให้ท่านได้เปิบอาหารอินเดียสุดยอดแห่งความอร่อยของแต่ละเมืองคือเมืองอินเดียพุทธ เมืองอินเดียที่เป็นฮินดู และเมืองอินเดียที่เป็นมุสลิมรับรองว่าท่านไปเที่ยวนี้ ท่านจะได้รู้จักรสชาติของอินเดียครบครัน

    แต่ขอกราบเรียนท่านอีกครั้งว่า

    การทำทัวร์อินเดียเกือบยี่สิบปีของอีชั้นนั้น รายได้ส่วนหนึ่งนำไปสร้างวัดไทยที่เมืองราชคฤห์ เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น "เมืองกองทัพธรรม" ของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=190 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=190>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เป็นเมืองที่พระสงฆ์ 1,250 รูปมาประชุมกันใน "คืนมาฆะบูชา" เป็นเมืองที่เกิดสังคยนาพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก...เป็นเมืองของ "พระเจ้าพิมพิสาร" "พระเจ้าอชาตศัตรู" และเป็นเมืองที่สำคัญของพุทธศาสนามากมาย

    อีชั้นกับพุทธสาสนิกชนร่วมสร้างวัดนี้ โดยมี "พระมหาวิเชียร วชิรวโส" เป็นผู้ดำเนินการหากท่านได้ไหว้พระคราวนี้ ก็จะได้ทำบุญสร้างวัดร่วมกัน

    ...จึงขอกราบเรียนเชิญท่านมาด้วยความศรัทธาเจ้าค่ะ


    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>


    หลักศิลาจารึกสร้างวัดไทย "สิริราชคฤห์" รัฐพิหาร นครราชคฤห์ ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2546 ขอเชิญท่านผู้สนใจร่วมเดินทางติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ บริษัทพี.โอ.พี ทราเวิล โทรศัพท์ 0-2653-7171 หรือ "สันติ เศวตวิมล" 08-1921-8255

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...