พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เห็นมั้ยครับ ตกหล่น ท่านปาทาน กับ ผมอีกล่ะ หุ หุ
     
  2. gnip

    gnip สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +14
    โมทนาบุญกับพี่เหมียวด้วยค่ะ
     
  3. gnip

    gnip สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +14
    สงสัยไม่ได้ตกหล่นหรอกค่ะ(ทำเป็นลืมๆๆไปก็ได้ค่ะ)
    แหม...คุณน้องนู๋กินเก่งซะ......................ขนาดนี้
    คราย...จะกล้าอะคะ...อิอิ
     
  4. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    สวัสดีคะคุณนิว ตอนนี้ก็ร้อนจนตัวจะละลายแล้วคะ
     
  5. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    อนุโมทนาคะพี่เหมียว
    นึกว่าคุณพี่ไปเที่ยวแล้วซะอีกคะ
     
  6. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ยังตกหล่นคุณเพชร อีกท่าน ครับ
    ถ้าท่านปาทานไปด้วย คงต้องบุฟเฟ่ต์ ครับ หุ หุ
     
  7. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ร้อนอย่างนี้ คุณอุ้มต้องอยู่ตามห้างจะเย็นหน่อย ประหยัดค่าแอร์ที่บ้าน ครับ
    ถ้าไปแถวพารากอน อย่าลืมแวะศาลาพระราชศรัทธาด้วย ครับ
     
  8. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    ได้เลยคะ แต่ไว้รอไปพร้อมคุณนิวและ พี่เหมียวเลยดีกว่าคะ เพราะปกติไม่ค่อยได้เข้าไปพารากอนเท่าไหร่คะ ไปแต่ JJ (เอ่อ ร้อนกว่าเดิมอีกนะคะเนี่ย)
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ newcomer [​IMG]
    newcomer, dragonlord

    สวัสดีครับคุณอุ้ม ปรับตัวเข้ากับอากาศร้อน ได้รึยัง ครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เหอๆๆๆ ตัวจะละลาย หรือไขมัยละลายแล้ว

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมไปก็ไปเป็นตัวกวาดให้ครับ

    ปกติก็ เป็นตัวกวาดอยู่แล้ว
     
  11. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    สวัสดีครับ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้โผล่มา เพราะงานแยะ วันก่อนอยู่เวร กว่าจะได้นอน 6 โมงเช้า
    แล้วยังต้องทำ CPG เก็บของที่บ้าน แต่ก็มาตามซุ่มอ่านอยู่ตลอดนะครับ
     
  12. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    555 คุณหนุ่ม ถ้าเล่นบอลต้องเป็น Sweeper (ตัวกวาด) ครับ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มองธรรมถูกทางมีสุขทุกที่ (9)
    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09TMHdOQzB4T0E9PQ==




    พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.9)



    ให้ระลึกถึงว่า คำสอนของพระพุทธศาสนานี้ จะครบทั้งหมด ต้องเป็นพระธรรมวินัย คือ ต้องประกอบด้วยธรรมและวินัย ครบทั้งสองอย่างจึงจะเป็นพระพุทธศาสนา วินัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับวัตถุ จึงเป็นส่วนหนึ่งหรือด้านหนึ่งในหลักใหญ่ 2 อย่างของพระพุทธศาสนา

    วินัยนั้น ก็ว่าด้วยเรื่องที่ว่ามานี่แหละ คือ การจัดสรรในด้านวัตถุหรือรูปธรรม เรื่องระเบียบชีวิต และระบบกิจการ ทั้งของบุคคล ชุมชน และสังคมทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องความเป็นอยู่ และสภาพแวดล้อม เริ่มตั้งแต่เรื่องปัจจัยสี่เป็นต้นไป

    ทีนี้ ที่ว่าสำคัญมากแต่ไม่ใช่ทั้งหมดนั้น อยากให้ชัดหน่อยว่า สำคัญแค่ไหน บางคนอาจบอกว่าเท่าที่จำเป็น แต่คำว่า "จำเป็น" นั้น ก็สื่อไม่ชัด

    ที่จริง สำคัญแค่ไหน ก็บอกชัดเจนอยู่แล้วในคำว่า "ปัจจัย" นั่นเอง และยิ่งกว่านั้น ในวินัยของพระ ยังมีคำเฉพาะสำหรับเรียก ปัจจัย 4 สำหรับพระอีกว่านิสสัย 4

    ทั้ง "ปัจจัย" และ "นิสสัย" สื่อความหมายชัดให้เรารู้ว่า ท่านถือเรื่องวัตถุว่าสำคัญแง่ไหน เท่าใด

    "ปัจจัย" แปลว่า ตัวหนุนให้เกิดผล ตัวเอื้อ เงื่อนไข เครื่องเกื้อหนุน

    "นิสสัย" แปลว่า ที่อาศัย สิ่งที่ต้องพึ่งพา เครื่องค้ำจุน

    หมายความว่า เรามีจุดหมาย เรามีกิจมีหน้าที่ หรือมีสิ่งที่จะทำให้สำเร็จ วัตถุเหล่านี้ ก็มาเป็นที่ซึ่งเราจะได้พึ่งพา ได้อาศัย ซึ่งจะช่วยเกื้อหนุนให้เราสามารถทำสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จ จนบรรลุจุดหมายที่ตั้งไว้

    สำหรับพระสงฆ์ ก็ชัดเลยว่า ท่านได้อาศัยวัตถุเหล่านี้แล้ว ก็จะได้มีกำลัง มีความพร้อม มีเครื่องช่วยให้สามารถศึกษา ดำเนินชีวิตแห่งการฝึกฝนพัฒนาตนในไตรสิกขา ปฏิบัติขัดเกลาตน ตลอดจนจาริกไปแสดงธรรมสั่งสอนประชาชน

    พูดง่ายๆ ว่า วัตถุทั้งหลายนั้น เป็นปัจจัย มิใช่เป็นจุดหมาย เป็น means ไม่ใช่เป็น end

    เมื่อมันเป็นปัจจัย ก็เท่ากับมันบอกขอบเขต เช่นปริมาณเสร็จไปด้วยเลยว่า แค่ไหนจะ "พอดี" คือ พึงใช้พึงมีเท่าที่เพียงพอที่จะเกื้อหนุนให้เราได้อาศัยมันแล้ว สามารถก้าวหน้าหรือก้าวขึ้นไปถึงจุดหมายได้ด้วยดี

    ตรงข้ามกับพวกที่เอาวัตถุเป็นจุดหมาย หรือพวกที่อยู่อย่างเลื่อนลอยเหมือนกับว่าชีวิตและสังคมจบที่วัตถุ ซึ่งหาจุดพอดีไม่ได้ ไม่มีขอบเขต แล้วไปๆ มาๆ ก็ฟุ้งเฟ้อ หลงระเริงมัวเมา มีแต่เสื่อมลงไป (ปัจจุบันนี้ ก็ดูเหมือนอาจจะไม่รู้ตัวว่า กำลังพากันยึดเอาวัตถุเป็นจุดหมาย)

    บอกแล้วว่า สำหรับพระสงฆ์นั้น ชัดว่าวัตถุแค่ไหนเพียงพอ เท่าไหนพอดี ที่จะเป็นปัจจัยให้อาศัยก้าวไปสู่จุดหมาย

    แต่ชาวบ้าน มีจุดหมายกิจหน้าที่ต่างจากพระสงฆ์ เพราะฉะนั้น จุดเพียงพอหรือพอดีจึงไม่เท่ากับพระ และชาวบ้านเอง ก็มีความแตกต่างหลากหลาย เป็นชาวเมือง เป็นชาวนา เป็นแพทย์ เป็นนายกเทศมนตรี ฯลฯ

    แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ว่าใคร เมื่อได้หลักแล้ว การจะบอกว่าเราควรพึ่งอาศัยวัตถุแค่ไหน ก็ไม่ยากอะไรนัก ขอให้มันช่วยให้ทำกิจหน้าที่บำเพ็ญคุณความดีมีชีวิตที่สร้างสรรค์ร่มเย็นเป็นสุขกับครอบครัวในสังคมได้ก็แล้วกัน

    ชีวิตและสังคมไม่ใช่จะอยู่แค่กับวัตถุ แต่จะต้องอาศัยวัตถุนั้น ก้าวขึ้นไปในความดีงามหรือคุณค่าทางจิตใจและทางปัญญา ในนามแห่งวัฒนธรรม และอารยธรรม เป็นต้น

    เมื่อวัตถุพร้อมพอแล้ว ทางที่จะเดินไปข้างหน้าก็ยังอีกยาวไกล กว่าจะได้สัมฤทธิ์ภาวะซึ่งเรียกว่าประเสริฐ ที่สมกับความเป็นมนุษย์

    เป็นอันว่า ชาวพุทธจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องวัตถุ ว่าเราจะดำเนินการกับปัจจัยสี่ จัดสรรมันอย่างไร เพื่อทำให้เป็นฐานอันมั่นคง ที่เราจะได้ก้าวต่อไปด้วยดี พัฒนาสูงขึ้นไปในด้านจิต และในด้านปัญญา

    พูดภาษาพระก็ได้ว่า เอาวินัยมาจัดการช่วยให้มนุษย์ก้าวไปในธรรม เพื่อความมีชีวิตที่ดีงามประเสริฐ แม้กระทั่งถึงขั้นมีชีวิตที่สมบูรณ์
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "ข้าวพันธุ์พื้นบ้าน" สมบูรณ์ด้วยสารอาหารป้องกันโรค ทั้งวิตามิน-แร่ธาตุ-เบต้าแคโรทีน-ลูทีน
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1240018931&grpid=01&catid=02


    "ข้าว" คืออาหารหลังของคนไทย เป็นสุดยอดอาหารที่อุดมไปด้วยโภชนาการล้นเหลือ โดยเฉพาะข้าวพันธุ์พื้นบ้านที่ถูกลืมเลือนกันไปช่วงระหว่างเวลาหนึ่ง แต่ตอนนี้ได้เริ่มมีคนลุกขึ้นมาคิดที่จะพยายามอนุรักษ์ไว้แล้ว...

    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>วิธีหนึ่งที่จะทำให้คนไทยเห็นคุณค่าของข้าวพันธุ์พื้นบ้านคือ การเปิดเผยข้อมูลสำคัญเรื่องสรรพคุณที่แสนวิเศษให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะ โดยแผนงานฐานทรัพยากรอาหาร สสส. ได้ร่วมมือกับมูลนิธิชีววิธี มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกและโครงการข้าวปลาอาหารอีสานมั่นยืน ได้รวบรวมพันธุ์ข้าวพื้นบ้านที่ชาวบ้านเชื่อกันว่า สามารถป้องกันและรักษาโรคได้ จากนั้นได้นำข้าวดังกล่าวไปวิเคราะห์หาคุณค่าทางการอาหาร ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล




    สารอาหารชนิดต่างๆ ที่พบในข้าวพันธุ์พื้นบ้าน


    1. เบต้าแคโรทีน พบมากใน "ข้าวก่ำ"


    "เบต้าแคโรทีน" คือสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันมะเร็งบางชนิด ถือเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีนจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ เมื่อถูกดูดซึมเข้าร่างกายแล้ว โดยตามปกติแล้ว คนไทยผู้ใหญ่ควรได้รับวิตามินเอวันละ 800 ไมโครกรัม


    ข้าวที่มีเบต้าแคโรทีนมาก ได้แก่ ข้าวเหนียวก่ำเปลือกดำ โดยใน 100 กรัมจะมีเบต้าแคโรทีนถึง 11.75 ไมโครกรัม รองลงมาได้แก่ ข้าวหน่วยเขือและข้าวเล้าแตก ที่มีอยู่ 5.17 และ 4.93 ไมโครกรัมตามลำดับ ขณะที่ข้าวกล้องทั่วไปจะไม่มีเบต้าแคโรทีนแต่อย่างใด


    2. วิตามินอี พบมากใน "ข้าวหน่วยเขือ"


    "วิตามินอี" เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการหัวใจวาย ช่วยขยายหลอดเลือด เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใสและช่วยสมานผิว ที่เป็นแผลให้หายเร็วขึ้น ตามปกติแล้วคนไทยผู้ใหญ่ควรได้รับวิตามินอีวันละ 10 มิลลิกรัม


    ข้าวที่มีวิตามินอีมา ได้แก่ ข้าวหน่วยเขือ โดยใน 100 กรัมจะมีวิตามินอี 787.31 ไมโครกรัม รองลงมาคือ ข้าวมะลิดั้งเดิม 376.58 ไมโครกรัม ข้าวโสมาลี 382.60 ไมโครกรัม ข้าวหอมมะลิแดง 336.62 ไมโครกรัม และข้าวเล้าแตก 309.10 ไมโครกรัม ขณะที่ข้าวขัดขาวทั่วไป แทบไม่มีวิตามินอีอยู่เลย


    3. ลูทีน พบมากใน "ข้าวก่ำเปลือกดำ"


    "ลูทีน" สามารถช่วยป้องกันโรคต้อกระจก ที่มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ ข้าวที่มีลูทีนมาก ได้แก่ ข้าวก่ำเปลือกดำ ซึ่งใน 100 กรัม จะมีลูทีน 240.09 ไมโครกรัม รองลงมาคือ ข้าวหน่วยเขือ 14.37 ไมโครกรัม ข้าวช่อขิง 10.29 ไมโครกรัม ข้าวมะลิดั้งเดิม 9.48 ไมโครกรัม และข้าวเล้าแตก 8.51 ไมโครกรัม


    นอกจากข้าวพื้นบ้านแล้ว ลูทีนยังพบได้ในผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า หรือในผลไม้ที่มีสีส้ม/สีเหลือง เพราะลูทีนจะอยู่ในผักและผลไม้กลุ่มเดียวกับที่มีเบต้าแคโรทีน


    4. ธาตุเหล็ก พบมากใน "ข้าวหอมมะลิแดง"


    "ธาตุเหล็ก" มีความสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง เสริมระบบภูมิคุ้มกันและมีผลต่อระดับสติปัญญาด้วย ทั้งนี้ ร่างกายต้องการธาตุเหล็กไม่มาก วันละประมาณ 15 มิลลิกรัมเท่านั้น แต่ก็สำคัญมากจนขาดไม่ได้เช่นกัน


    ข้าวที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ ข้าวหน่วยเขือและข้าวหอมมะลิแดง ใน 100 กรัม มีธาตุเหล็กถึง 1.2 มิลลิกรัม รองลงมาได้แก่ ช้าวเหนียวก่ำเปลือกดำ 0.95 มิลลิกรัม และข้าวเล้าแตก 0.91 มิลลิกรัม ขณะที่ข้างกล้องทั่วไปมีธาตุเหล็กเพียง 0.42 มิลลิกรัมเท่านั้น


    5. ธาตุทองแดง พบมากใน "ข้าวหน่วยเขือ"


    "ธาตุทองแดง" เป็นส่วนประกอบสำคัญของเอนไซม์ในร่างกาบ จะทำงานควบคู่ไปกับธาตุเหล็กในการสร้างเม็ดเลือดแดง สร้างเนื้อเยื่อระบบประสาท เสริมภูมิคุ้มกันและเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระด้วย ปกติแล้วเราต้องการธาตุทองแดงเพียงวันละ 2 มิลลิกรัมเท่านั้น


    ข้าวที่พบธาตุทองแดงมาก ได้แก่ ข้าวหน่วยเขือ ซึ่งใน 100 กรัมมีธาตุทองแดง 0.5 มิลลิกรัม รองลงมาได้แก่ ข้าวหอมมะลิแดง 0.43 มิลลิกรัมและข้าวเหนียวหอมทุ่ง (ขัดขาว) 0.38 มิลลิกรัม ขณะที่ข้าวกล้องทั่วไปจะมีธาตุทองแดงเพียง 0.1 มิลลิกรัมเท่านั้น




    ศักยภาพในการป้องกันและรักษาโรค


    - "ข้าวหอมมะลิแดง" เหมาะสุดกับคนเป็น "เบาหวาน"


    ข้าวหอมมะลิแดงที่หุงสุกแล้ว จะมีการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลกลูโคสในช่วงเวลา 20 นาทีแรกค่อนข้างช้า หรือเพียง 10.60 กรัมต่อ 100 กรัมเท่านั้น และหากถูกย่อยแล้วผ่านไป 120 นาที จะมีค่าของน้ำตาลกลูโคสเพียง 8.59 กรัมต่อ 100 กรัม จึงเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2


    - "ข้าวพื้นบ้าน" มี "สารต้านอนุมูลอิสระ" มากกว่าข้าวทั่วไป


    หากรับประทานข้าวพื้นบ้านร่วมกับอาหารธรรมชาติอื่นๆ เราแทบไม่จำเป็นต้องซื้ออาหารเสริมมารับประทานเลย เพราะข้าวพื้นบ้านล้วนมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากตามรายละเอียดข้างต้น




    สถานที่หาซื้อ "ข้าวพื้นเมือง" (ใกล้ที่ไหนก็ไปที่นั่น)


    - เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก จ.ยโสธร โทร. 081-470-0864
    - เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก จ.สุรินทร์ โทร. 081-718-4220
    - เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก จ.พัทลุง โทร. 084-748-9204
    - กลุ่มหวันอ้อมข้าว โทร.089-657-0718 หรือ 084-583-6127
    - เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก จ.ฉะเชิงเทรา โทร. 081-437-6690
    - มูลนิธิข้าวขวัญ จ.สุพรรณบุรี โทร. 084-646-5908
    - มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) นนทบุรี โทร.02-591-1195 - 6



    **********************

    คลิกอ่าน วิธีทำ "ข้าวงอก" ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ....เติมพลังชีวิตจากเมล็ดข้าว มากประโยชน์ต่อร่างกาย


    ติดตามอ่านบทความดีๆ จากนิตยสาร "ฉลาดซื้อ" ได้ที่หมวด คอลัมน์พิเศษ



    **********************



    ที่มา นิตยสาร "ฉลาดซื้อ" ฉบับที่ 97 เขียนโดยมูลนิธิชีววิธี มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกและโครงการข้าวปลาอาหารอีสานมั่นยืน


    (ติดต่อ "ฉลาดซื้อ" ได้ที่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 4/2 ซ.วัฒนโยธิน แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400 โทรศัพท์ 0-2248-3734-7 โทรสาร 0-2248-3733 อีเมล webmaster@consumerthai.org)

     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สัญญาก่อนสมรส

    คอลัมน์ ฎีกาชีวิต

    โดย รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01lad03180452&sectionid=0115&day=2009-04-18

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ฐานรายได้ของชนชั้นกลางมีความต่างกันตามความรู้ความสามารถของคนจบจากรั้วมหาวิทยาลัยพื้นเพเดิมของแต่ละคนจะเป็นตัวกำหนดฐานะทางสังคมและความเป็นอยู่ส่วนตัว คนหนุ่มสาวหลายคนมองย้อนหลังจากอดีตพบว่าขณะที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยมีจำนวนไม่น้อยวิ่งหางานทำไปเรียนไปด้วย ความอดทนน่าชื่นชมยกย่องไว้เป็นแบบอย่างที่ดี

    เมื่อเริ่มต้นชีวิตคู่ต่างต้องแข่งขันทำงานสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงเพื่ออนาคตของตัวเองและลูก ที่กำลังจะคลอดมาดูโลกภายนอกอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ความเป็นครอบครัวเริ่มมีพันธะชีวิตมากขึ้นพร้อมกับพันธะอื่นตามมา ติดตามด้วยการขยายการลงทุนทางธุรกิจหรืออาจเริ่มลงทุนกู้เงินบางส่วน คนกินเงินเดือนอาจสร้างบ้านซื้อที่ดินและปัจจัยอื่นที่จำเป็น อาจเป็นหนี้ธนาคารสุดแต่พื้นฐานครอบครัวเดิม

    ความเป็นครอบครัวขึ้นอยู่กับว่าชายหรือหญิงมาจากครอบครัวคนมีเงินหรือไม่ แต่ความเป็นเจ้าของทรัพย์สินเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ ในทางกฎหมายให้สิทธิชายหรือหญิงทำสัญญาก่อนสมรสที่ทำถูกต้องตามแบบภายหลังจะผูกมัดเมื่อทั้งสองฝ่ายจดทะเบียนสมรสกัน ถ้าฝ่ายใดจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิกถอนหรือทั้งสองฝ่ายจะมีการตกลงเปลี่ยนแปลงทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ จะต้องให้ศาลพิจารณาและได้รับอนุญาตเสียก่อน

    หลักคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินเป็นที่รู้กันดีของครอบครัวเศรษฐีทั้งหลาย กฎหมายเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายก่อนจดทะเบียนสมรสและยังพูดภาษาดอกไม้กันอยู่ ฝ่ายใดต้องการจะรักษาประโยชน์ในทางทรัพย์สินมากน้อยแค่ไหนให้เป็นเรื่องของฝ่ายนั้นอีกฝ่ายอย่ามายุ่งเกี่ยว แต่ต้องทำตามแบบสัญญาที่กฎหมายกำหนดไว้ ถ้าทำอวดดีไม่ทำตาม แบบสัญญานั้นเป็นโมฆะจะบอกให้ เดี๋ยวจะว่าไม่บอกไม่เตือนกันก่อน ส่วนจะมีกี่แบบให้ไปถามนายทะเบียนที่เขตเอง

    ภายหลังแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว ถ้ามีเหตุอันใดเกิดพูดภาษาดอกไม้ไม่ได้ใช้ภาษาพ่อขุนแทนก็เป็นเรื่องของคนสองคน จะใช้กำลังข่มขู่หรือบีบบังคับโดยวิธีอื่นใดไม่ได้ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่กล่าวข้างต้นมาแล้ว จึงเป็นการป้องกันรักษาสิทธิของฝ่ายหญิงไว้ล่วงหน้า

    กรณีเช่นนี้อาจเกิดเป็นปัญหาน้อยกว่า "สัญญาระหว่างสมรส" ซึ่งกฎหมายเปิดโอกาสให้เปลี่ยนแปลงได้ไม่เข้มงวดเหมือนกับสัญญาก่อนสมรส

    ในประเด็นสัญญาก่อนสมรส หากเกิดมีการเปลี่ยนแปลงภายหลังตามที่กฎหมายบัญญัติไว้จะไม่กระทบแก่บุคคลภายนอกหรือ เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ผู้ใดจะสมัครใจเป็นคนนอกฟังให้ดี กฎหมายบัญญัติไว้ว่า

    "ข้อความในสัญญาก่อนสมรสไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกโดยสุจริต ไม่ว่าจะได้เปลี่ยนแปลงเพิกถอนโดยคำสั่งศาลหรือไม่ก็ตาม"

    เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นได้เสมอเพราะจะให้คนนอกไปรับรู้เรื่องของสามีภริยาใดได้อย่างไรกัน แต่ถ้ารู้แล้วไม่ว่าเป็นการเสือกรู้สอดเห็น กฎหมายไม่คุ้มครองนะครับ

    ขอยกปัญหาคุ้มครองบุคคลภายนอกผู้สุจริตเข้าไปรับจำนองที่ดินแปลงหนึ่งของชายผู้เป็นสามีวงเงินเจ็ดหลัก เจ้าหนี้ทราบว่ามีสัญญาก่อนสมรส แต่ไม่ทราบว่ามีคำสั่งศาลให้เพิกถอนสัญญาไปแล้วไปทำสัญญากับสามีเข้ากฎหมายก็ยังให้การคุ้มครองแก่ผู้เป็นสามี ดังเรื่องที่เกิดขึ้นในศาล

    "แม้ว่าทั้งสองฝ่ายทำสัญญาก่อนสมรสว่าสามีจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของภริยาที่มีมาก่อนสมรสก็ตาม แต่ภริยายินยอมให้สามีลงชื่อในใบไต่สวนเพื่อขอออกโฉนดว่าเป็นของสามีและสามีเอาไปจำนองผู้อื่น เพื่อนำเงินไปลงทุนธุรกิจของครอบครัวเช่นนี้ จะไปพาลงอแงกับผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและได้กระทำการโดยสุจริตโดยรับจำนองที่ดินแปลงนั้นของสามีได้อย่างไรกัน สัญญานี้ย่อมผูกพันภริยาด้วย"

    สวัสดี
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ‘ออแกไนซ์งานศพ’ อีกหนึ่งอาชีพร่วมสมัย

    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=72629&NewsType=2&Template=1


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    อาชีพหรือธุรกิจรับจัดงานต่าง ๆ หรือที่เรียกว่าออแกไนซ์ มีการทำกันแพร่หลายในเมืองไทยมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง งานเลี้ยง งานเปิดตัว ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ที่ยังเป็นเรื่องใหม่ ที่อาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีได้ในหลายพื้นที่ เพราะยังมีคนทำไม่มากนัก ก็คือ “รับจัดงานศพ” หรือ “ออแกไนซ์งานศพ”
    วิทย์-วิทย์ณเมธา เกตุแก้ว เป็นหนึ่งในทีมงานที่ทำธุรกิจออแกไนซ์งานศพ โดยรับจัดงานลักษณะนี้เป็นอาชีพเสริม โดยเขาเล่าว่า ความเป็นมาของการมาจับธุรกิจนี้ก็มาจากการที่ได้เห็น อาจารย์ศุภวรรณ ด้วงสุวรรณ ผู้ชื่นชอบในงานศิลปะ เพนท์โลงศพ ดูแล้วสวยงาม จึงเกิดไอเดียว่าน่าจะจัดงานศพแบบสวยงาม
    อาศัยว่ามีประสบการณ์การทำงานออแกไนซ์มาหลายงาน ที่สำคัญธุรกิจด้านนี้ยังไม่ค่อยมีคนทำกันเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องคู่แข่ง คิดว่าธุรกิจด้านนี้น่าจะไปได้ด้วยดี โดยทีมงานที่มาร่วมกันทำตกลงใจทำก็เพราะมีความเห็นตรงกันว่า ต้องการที่จะทำให้บรรยากาศงานศพเป็นเรื่องที่ไม่เศร้าหมอง โดยออแกไนซ์งานศพนี้ก็ทำแบบครบวงจร ตั้งแต่รับศพ จนถึงลอยอังคาร เป็นทางเลือกให้กับเจ้าภาพที่ไม่ค่อยมีเวลา
    “การบริการนั้น มีการจัดพิธีกรรมตามความเชื่อของแต่ละศาสนา การทำตามข้อกฎหมายโดยการแจ้งเจ้าหน้าที่เขตว่ามีผู้เสียชีวิตในครอบครัว การจัดหาโลงศพ การหาวัดเพื่อสวดบำเพ็ญกุศล การจัดอาหารเลี้ยงแขก การหาของชำร่วย โกศ ดอกไม้จันทน์ ดอกไม้ประดับ พิมพ์การ์ด จัดทำพรีเซนเทชั่น การทำหนังสือชีวประวัติผู้ตาย ตลอดจนการประกาศผ่านทางสื่อต่าง ๆ เพื่อส่งข่าวไปถึงญาติพี่น้องเพื่อนฝูง”
    ผู้ที่ทำธุรกิจนี้บอกว่า ก่อนลงมือทำธุรกิจนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการศึกษาขั้นตอนวิธีการจัดงานศพของทุกศาสนาให้เข้าใจก่อน และต้องมีทีมงานจัดทำอย่างน้อย 2 ทีม มีคอนเน็คชั่นติดต่อกับหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นทางวัด ร้านอาหาร ร้านขายโลง ร้านดอกไม้ และอื่น ๆ ซึ่งการทำออแกไนซ์งานศพเป็นงานที่ยาก เพราะเป็นงานที่ต้องทำแข่งกับเวลา ต้องเป็นคนกระตือรือร้น ต้องมีความพร้อมทำงานอยู่ตลอดเวลา
    วิทย์บอกอีกว่า การรับงานจะเริ่มเมื่อมีการติดต่อให้มีการจัดงานศพให้ ก็จะเริ่มดำเนินการทันที จะมีการคุยกับญาติผู้เสียชีวิตว่าต้องการรูปแบบงานแบบไหน รวมถึงให้ญาติให้ข้อมูลผู้เสียชีวิตเพื่อนำไปใช้ทำงาน
    “สำหรับแพ็กเกจในการจัดงานศพ ก็จะมีให้ลูกค้าเลือก 3 แบบ ราคาก็มีตั้งแต่ 100,000-500,000 บาท ซึ่งความถูกแพงนั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่าง ๆ เช่นการเลือกโลงศพ เพราะโลงเพนท์อย่างเดียวก็มีราคาอยู่ที่หลักหมื่นถึงแสนบาท หรือถ้าเจ้าภาพมีโลงอยู่แล้วราคาก็จะลดลงจากราคาแพ็กเกจ”
    หลังจากทีมหนึ่งไปจัดการพูดคุยเก็บประวัติผู้เสียชีวิตจากญาติ อีกทีมหนึ่งก็จะต้องเข้าไปดูสถานที่เพื่อตระเตรียมการจัดงาน โดยเลือกวัดที่อยู่ใกล้หรืออยู่ย่านเดียวกับบ้านของเจ้าภาพ เพื่อความสะดวกเจ้าภาพ
    เมื่อเตรียมสถานที่เรียบร้อย ก็มาถึงดอกไม้ ที่เลือกใช้ก็จะเป็นพวกดอกกุหลาบ กล้วยไม้ สีดอกไม้ที่ใช้ก็หลากสีตามรูปแบบที่วางไว้หรือตามเจ้าภาพต้องการ แต่จะใช้สีเขียวและสีขาวเป็นหลักเพื่อเน้นธรรมชาติ
    ดอกไม้ประดับหน้าศพนั้นจะทำการเปลี่ยนทุก 3 วัน ส่วนรูปแบบการจัดจะมีให้ลูกค้าเลือก 8 แบบ ซึ่งทุกแบบจะออกแบบให้สวยงามแตกต่างกันไป เฉพาะราคาค่าจัดดอกไม้ก็มีตั้งแต่ 30,000-60,000 บาท
    นอกจากงานที่แจกแจงมาแล้ว ที่เหลือก็จะเป็นงานอื่น ๆ เช่น การเตรียมอาหาร การเตรียมของชำร่วย การถ่ายภาพในงานทั้งภาพนิ่งและเคลื่อนไหว การจัดเตรียมดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างจนงานเสร็จเรียบร้อย
    “ออแกไนซ์งานศพนี้ ก็ต้องจัดทำให้เป็นแบบธุรกิจ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องคิดว่าเป็นงานบุญด้วย โดยในเรื่องของรายได้นั้นจะไม่สูง เฉลี่ยแล้วจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 10% ของราคาแพ็กเกจ” วิทย์ระบุ
    “ออแกไนซ์งานศพ” เจ้านี้มีรายละเอียดใน www.sirimongkon.com เบอร์โทรฯติดต่อคือ 08-9075-2772, 08-1613-7145 ซึ่งธุรกิจนี้-อาชีพนี้มีกลุ่มลูกค้าหลักคือกลุ่มคนเมือง คนทำงานที่ไม่ค่อยมีเวลาในการตระเตรียมงานพิธีศพให้กับผู้เสียชีวิต ก็ถือเป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่ร่วมสมัย.
    บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์
    กัลยภรณ์ พูลเกษ/หทัยทิพย์ ทรัพยพล : รายงาน
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เริ่มแล้ว ประเพณี"อุ้มสาวลงน้ำ" ที่เกาะสีชัง
    http://palungjit.org/threads/เริ่มแล้ว-ประเพณี-อุ้มสาวลงน้ำ-ที่เกาะสีชัง.183250/


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD align=middle height=10>เริ่มแล้ว ประเพณี"อุ้มสาวลงน้ำ" ที่เกาะสีชัง

    </TD></TR><TR><TD align=middle height=10>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=10>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    ที่บริเวณเกาะขามใหญ่ อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี มีการจัดงานสงกรานต์ ขึ้น โดยในช่วงเช้าเป็นประเพณีทำบุญเลี้ยงพระฉลองการก่อพระทรายของชาวบ้านหลังจากนั้นเป็นประเพณีอุ้มสาวลงน้ำหรืออุ้มสาวโยนน้ำ ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ ที่ชาวอำเภอเกาะสีชังต้องการธำรงความเป็นเอกลักษณ์ไว้ จึงได้จัดขึ้นทุกปี เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้เห็นถึงคุณค่าของประเพณีที่เก่าแก่ และร่วมกันอนุรักษ์ประเพณีให้คงอยู่สืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน
    โดยประเพณีสงกรานต์อุ้มสาวลงน้ำ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันที่ 18 เม.ย. สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยชาวเกาะสีชัง นั้นจะไม่นิยมเล่นสาดน้ำกันมาตั้งแต่ดั้งเดิม เนื่องจากมีปัญหาการขาดแคลนน้ำจืด ซึ่งการเล่นจะมีลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น “อุ้มสาวลงน้ำ” หรือ “จูงมือลงทะเล” ที่บริเวณชายหาดเกาะขามใหญ่ ทางตอนเหนือของเกาะ เป็นที่สนุกสนานของหนุ่มสาวชาวเกาะทั้งสองเกาะ ภายในงานมีกิจกรรมมากมายเช่น พิธีทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ พิธีกองข้าวบวงสรวง รดน้ำดำหัว การก่อพระเจดีย์ทราย การละเล่นพื้นบ้าน แข่งขันเรือกระทะ ชักกะเย่อ มวยตับจาก ปืนเสาน้ำมัน และประเพณีอุ้มสาวลงน้ำ
    [​IMG]
    เนื่องจากชาวเกาะสีชังจะมีอาชีพประมงเป็นอาชีพหลักต้องออกทะเลอยู่เป็นประจำ ดังนั้นในช่วงประเพณีสงกรานต์จึงเหมือนเป็นวันที่พวกเขาได้หยุดพัก ไม่ออกทะเลแต่จะพาครอบครัวและรับประชาชนนักท่องเที่ยวและจะพาเดินทางจากเกาะสีชังมารวมตัวกันที่เกาะขามใหญ่ รวมทั้งชาวท้องถิ่นหรือลูกหลานที่ไปทำงานที่อื่นๆ ก็จะกลับมายังบ้านเกิดที่เกาะสีชังในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทุกปี ทำให้หนุ่มสาว และครอบครัวได้มีโอกาสได้พบเจอกัน ขอขมาลาโทษในสิ่งที่ผิดข้องใจกันชายหนุ่มหรือผู้สูงวัยก็จะเลือกสาวที่ชอบแล้วขออนุญาตอุ้มลงเล่นน้ำทะเล ในระหว่างที่อุ้มลงน้ำก็จะอวยพรซึ่งกันและกัน
    [​IMG]
    นอกจากหนุ่มสาวแล้ว ผู้สูงอายุก็จะถูกลูกหลานอุ้มลงเล่นน้ำเช่นกัน เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีโอกาสได้สนุกสนานร่วมกับครอบครัวและลูกหลานและเป็นการขอพรในวันสงกรานต์ ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและเทศที่เป็นผู้หญิงที่ไม่ใช่คนพื้นที่เข้ามาท่องเที่ยวในงานประเพณีอุ้มสาวลงน้ำที่เกาะขามใหญ่นี้ก็จะไม่มีการถือเนื้อถือตัวจะยอมให้ชายหนุ่มหรือผู้สูงวัยอุ้มลงน้ำกัน ซึ่งในงานประเพณีนี้ชาวต่างประเทศหลายชาติหลายภาษาต่างเดินทางมาท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมากแล้วมาร่วมเล่นอุ้มสาวลงน้ำกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งประเพณีนับเป็นประเพณีที่แปลกมีมาตั้งแต่สมัยโบราณที่ชาวอ.เกาะสีชังยังได้อนุรักษ์ไว้เพื่อให้ลูกหลานได้ปฏิบัติตามรวมทั้งเป็นเรื่องแปลกและทึ่งแก่ชาวต่างชาติที่ได้พบเห็นจนเดินทางมาท่องเที่ยวกันจนโด่งดังไปทั่วโลกหลายปีแล้ว
    </TD></TR><TR><TD height=10></TD></TR><TR><TD align=right>
    วันที่ 18/4/2009​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีแก้เมื่อลืมกินยาตามเวลา
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=72646&NewsType=2&Template=1

    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>ใครเคยลืมกินยาตามเวลาบ้าง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีแก้มาบอกเพราะยาบางตัวอาจออกฤทธิ์ไม่เหมือนกัน....

    - ถ้าลืมกิน...ยาก่อนอาหาร
    วิธีแก้ : ยาจำพวกนี้จะดูดซึมได้ดีขณะที่ห้องว่าง ดังนั้นหากลืมกินก่อนอาหารให้กินหลังอาหารอีกทีเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 2 ชั่วโมง กระเพาะจะใช้เวลาในการย่อยอาหารประมาณ 2 ชั่วโมง
    หลักการที่ถูก : ควรกินก่อนอาหาร ประมาณ 30-60 นาที

    - ถ้าลืมกิน...ยาหลังอาหาร
    วิธีแก้ : รีบกินทันทีที่นึกได้ แต่หากเลยหลังอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง ให้หาของว่างรองท้อง แล้วกินยามื้อที่ลืม แต่ถ้าใกล้เวลากินมื้อต่อไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไปเลย ไม่ควรกินยาเป็น 2 เท่า เด็ดขาด!
    หลักการที่ถูก : ควรรับประทานหลังอาหาร ประมาณ 15-20 นาที

    - ถ้าลืมกิน...ยาหลังอาหารทันที/ยากินพร้อมอาหาร
    วิธีแก้ : ยาประเภทนี้มีฤทธิ์กัดกระเพาะ อาจทำให้ท้องอืดแน่นหรือคลื่นไส้อาเจียน ถ้ากินตอนท้องว่าง ดังนั้นควรทำเหมือนกรณีลืมกินยาหลังอาหารทุกประการ
    หลักการที่ถูก : ควรกินทันทีหลังอาหารคำสุดท้าย

    - ถ้าลืมกิน...ยาก่อนนอน
    ทางแก้ : ลืมแล้วก็ปล่อยให้ลืมไป ไม่ต้องกินซ้ำอีกครั้งในตอนเช้า หรือตามไปกินซ้ำ 2 เท่า ในช่วงก่อนเข้านอนของอีกวัน
    หลักการที่ถูก : กินแล้วควรเข้านอนทันที (ยาประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นยาคลายประสาท ทำให้ง่วงนอน จึงอาจเกิดอุบัติเหตุได้ถ้าไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง)

    ครั้งหน้าถ้าลืมกินยาเมื่อไหร่ อย่าลืมนำวิธีแก้ที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หมั่นตรวจสุขภาพ...ดูแลร่างกาย ห่างไกล"มะเร็งเม็ดเลือดขาว"
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=196640&NewsType=1&Template=1

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ในร่างกายของคนเรามีเม็ดเลือด ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด แต่เมื่อใดที่ร่างกายมีการสร้างเม็ดเลือดขาวมากผิดปกติ อาจคาดคะเนได้ว่า “โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว” กำลังมาเยือน

    ศ.พญ.แสงสุรีย์ จูฑา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยาและหัวหน้าโครงการเปลี่ยนถ่าย ไขกระดูก โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายลักษณะของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวให้ฟังว่า สามารถแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ ๆ 2 ชนิด คือ ชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง นอกจากนี้มะเร็งเม็ดเลือดขาวทั้ง 2 ชนิดข้างต้นยังแบ่งออกตามลักษณะของเซลล์ได้เป็น 2 แบบ คือ แบบไมอีลอยด์ (myeloid leukemia) และ แบบลิมฟอยด์ (lymphoid leukemia) ซึ่งใน ปัจจุบันพบ ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยพบแบบไมอีลอยด์มากกว่าแบบลิมฟอยด์

    “สาเหตุของมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบไมอี ลอยด์ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่การฉายรังสีเป็นปัจจัยเดียวที่ยืนยันได้ว่าอาจทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยที่เคยได้รับการฉายรังสีเพื่อการรักษาโรคข้อบางชนิดและผู้ที่รอดชีวิตจากการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิที่ได้รับสารกัมมันตรังสี พบว่า มีอัตราการเกิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบไมอีลอยด์สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า”

    โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวส่วนใหญ่จะพบในอายุระหว่าง 15-50 ปี อายุเฉลี่ยในต่างประเทศประมาณ 39-48 ปี แต่ในประเทศไทยจากการศึกษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดีพบว่า อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยอยู่ระหว่าง 36-38 ปี ร้อยละ 89 ของผู้ป่วยในประเทศไทยจะมีอายุต่ำกว่า 50 ปี พบในผู้ชายบ่อยกว่าผู้หญิงเล็กน้อย บางรายไม่มีอาการอะไรแต่ทราบว่าเป็นโรคนี้โดยบังเอิญ อาจจะไปตรวจร่างกายประจำปีแล้วตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ หรือไม่สบายเป็นอย่างอื่น ไปพบแพทย์แล้วตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ นอกจากนั้น อาจจะมีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ผอมลง ทานอาหารแล้วแน่นท้องหรือคลำพบก้อนเนื้อในท้อง ผู้ป่วยชายบางรายอาจพบแพทย์ด้วยอาการอวัยวะเพศแข็งตัวไม่ยอมหด รวมทั้งตรวจเลือดพบว่าเป็นโรคนี้ ประมาณร้อยละ 80-90 ของผู้ป่วยมีม้ามโต คลำได้ชัดเจน ขนาดของม้ามขึ้นอยู่กับระยะเวลาของโรคยิ่งเป็นมานานม้ามยิ่งโต

    ผู้ป่วยโรคนี้มีความผิดปกติทางเลือดที่พบจำเพาะโรคนี้คือ บางส่วนของแขนยาวของโครโมโซมคู่ที่ 9 ถูกย้ายไปอยู่บนแขนยาวของโครโมโซมคู่ที่ 22 และบางส่วนของแขนยาวของโครโมโซมคู่ที่ 22 ถูกย้าย ไปอยู่บนแขนยาวของโครโม โซมคู่ที่ 9 สลับที่กัน โดยเรียกโครโมโซมคู่ที่ 22 ที่มีส่วนของคู่ที่ 9 อยู่ด้วยว่า ฟิลาเดลเฟียโครโมโซม ซึ่งพบฟิลาเดลเฟียโครโมโซมในผู้ป่วยโรคนี้ประ มาณร้อยละ 95

    สำหรับความผิดปกติ ทางเลือดที่ตรวจพบ คือ ผู้ป่วยจะมีโลหิตจางเล็กน้อยถึงปาน กลาง เม็ดเลือดขาวจะสูงกว่าปกติ โดยขึ้นอยู่กับว่าเป็นมานานเท่าไรแล้ว ม้ามโตมากเท่าไร ยิ่งเป็นมานาน ม้ามโตมาก เม็ดเลือดขาวจะยิ่งสูงมาก บางรายสูงถึง 4-5 แสน ต่อ ลบ.ซม. โดยคนปกติจะมีเม็ดเลือดขาวประมาณ 5,000-10,000 ต่อ ลบ.ซม. ส่วนจำนวนเกล็ดเลือดมักปกติหรือสูงกว่าปกติ มีบางรายที่อาจมีเกล็ดเลือดต่ำได้

    ผู้ป่วยจะมีอยู่ 3 ระยะด้วยกัน คือ ระยะเรื้อรัง ส่วนใหญ่ตอนที่มาพบแพทย์ครั้งแรก มักจะอยู่ในระยะนี้เมื่อได้รับการรักษาแล้ว ผู้ป่วยมักเข้าสู่ระยะที่โรคสงบ ตับ ม้ามมักจะยุบหมด เม็ดเลือดกลับมาปกติ ผู้ป่วยมักจะมีชีวิตอยู่ประมาณ 3-5 ปี จากนั้นจะเข้าสู่อีกระยะหนึ่ง

    ต่อมาเป็น ระยะลุกลาม เมื่อรักษาไปสักระยะหนึ่งผู้ป่วยบางคนเข้าสู่ระยะลุกลามทำให้เริ่มไม่ได้ผลจากการรักษา เริ่มมีอาการซีด อาจต้องให้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือด บางรายเกล็ดเลือดต่ำ ถ้าต่ำมากก็อาจทำให้มีจุดเลือดออกตามตัว หรือเลือดออกตามไรฟันได้ เม็ดเลือดขาวสูงขึ้น ม้ามเริ่มโตขึ้นทำให้แน่นท้องมากขึ้น

    สุดท้าย คือ ระยะเฉียบพลัน ถือว่าเป็นระยะสุดท้ายของโรค มีอาการคล้าย ๆ กับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันคือ มีไข้ ซีดมาก เพลีย มีอาการเลือดออกง่ายหรือ มีจุดเลือดออกตามตัว หรือแขน ขา เลือดออกตามไรฟัน เป็นต้น ระยะนี้ถือว่าเป็นระยะสุดท้ายของโรค การรักษาส่วนใหญ่มักไม่ได้ผลดี

    “การวินิจฉัยของโรคนี้ ทำได้โดยการตรวจหาค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดที่เรียกว่า ซีบีซี (Complete Blood Count : CBC) เพื่อตรวจดูจำนวนเม็ดเลือดทั้งหลาย ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด และวิธีพิสูจน์ว่า เป็นโรคนี้หรือไม่นั้นทำได้โดย การตรวจไขกระดูก เพื่อดูว่ามีโครโมโซมที่ผิดปกติที่เรียกว่า ฟิลาเดลเฟียโครโมโซม อยู่หรือไม่ ถ้ามีก็ชัดเจนว่าเป็นโรคนี้แน่นอน”

    ด้านทางการรักษา ทำได้โดย ยาเคมีบำบัด ส่วนใหญ่จะ ใช้วิธี เคมีบำบัดชนิดรับประ ทานยา ที่มีใช้กันแพร่หลาย คือ บูซัลแฟน (Busulfan) และไฮดรอกซียูเรีย (Hydroxyurea) ยาทั้ง 2 ตัวสามารถจะควบคุมให้จำนวนเม็ดเลือดขาวที่สูงในโรคนี้ ลงมาอยู่ในระดับปกติได้ถือว่าอยู่ในระยะโรคสงบ แต่ถึงแม้ว่าเม็ดเลือดขาวจะกลับมาปกติ โลหิตจางหายไปได้ แต่ตัวฟิลาเดลเฟียโครโมโซมก็ยังมีอยู่ ดังนั้นจึงหมายความว่าโรคยังอยู่ไม่ได้หายขาดจากโรค และการให้เคมีบำบัดชนิดต่าง ๆ ก็ไม่สามารถจะทำให้จำนวนฟิลาเดลเฟียโครโมโซมหายไปได้ เคมีบำบัดเหล่านี้จึงเป็นเพียงยาที่ควบคุมให้โรคสงบลงเท่านั้น แต่ไม่ได้รักษาให้หายขาดได้ รวมทั้งการใช้ยาฉีดอินเทอร์เฟียรอน (interferon) เป็นยาฉีดที่ราคาค่อนข้างสูง ต้องฉีดทุกวันและมีผลข้างเคียงของยามาก เช่น เพลีย เป็นไข้สูง ปวดเมื่อยคล้าย ๆ เป็นไข้หวัดใหญ่ คนไข้ไทยไม่ค่อยตอบสนองกับยาเท่าที่ควรมีเพียง 18 เปอร์เซ็นต์ที่ได้ผล

    “การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นอีกวิธีหนึ่งในการรักษา ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยมีข้อจำกัดอยู่ว่า ผู้ป่วยที่จะทำการปลูกถ่ายไขกระดูกได้จะต้องมีอายุไม่เกิน 55 ปี เพราะร่างกายจะทนการใช้ยาเคมีบำบัดไม่ไหวและมีปัญหาแทรกซ้อนจากการปลูกถ่ายไขกระดูกมากกว่าคนที่อายุยังน้อย

    รวมทั้งต้องมีพี่น้องพ่อแม่เดียวกันที่มีเนื้อเยื่อเข้ากันได้ โดยดูจากการตรวจ เอช แอล เอ ว่าเข้ากันได้หรือไม่ โดยพี่น้องพ่อแม่เดียวกันมีโอกาสที่จะมี เอช แอล เอ เหมือนกันประมาณร้อยละ 25 ทำให้มีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 15-20 เท่านั้นที่ทำได้

    นอกจากนี้ การทำการ ปลูกถ่ายไขกระดูกภายใน 1 ปีแรกหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้จะได้ผลดีกว่าการทำการปลูกถ่ายไขกระดูกหลังจากวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้เกิน 1 ปีไปแล้ว ตลอดจนมีค่าใช้จ่ายสูง และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง มีการต่อต้านกันในร่างกายระหว่างช่วงการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกได้ด้วยเช่นกัน”

    หลังจากมีการศึกษาวิจัยพบว่า ยาที่มีชื่อว่า ทาร์เก็ต เธอร์ราปี เป็นยาที่ส่งผลเฉพาะจุด ทำลายเฉพาะส่วนที่เป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน ที่ได้ผลดี โดย 85 เปอร์เซ็นต์ ของคนไข้ที่กินยาตัวนี้ตรวจไม่พบฟิลาเดลเฟียหรือพบฟิลาเดลเฟียเหลือศูนย์ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดี

    ศ.พญ.แสงสุรีย์ แนะ นำเพิ่มเติมว่า “เคล็ดลับการป้องกันโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง คือ หมั่นตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดเพื่อดูความผิดปกติของเม็ดเลือดเป็นประจำทุกปีอย่างสม่ำเสมอ ด้วยวิธี ซีบีซี เป็นประจำทุกปี เพราะยิ่งตรวจพบเร็ว ได้รับการรักษาเร็วก็จะยิ่งทำให้อัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น”

    หมั่นตรวจเช็กร่างกายเป็นประจำ...เพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไป.
    เคล็บลับสุขภาพดี
    ร้อนนี้หลายคนคิดถึงความอบอุ่นของไอแดด ภายใต้ท้องฟ้าและน้ำทะเลสีคราม ในวันหยุดยาวและการท่องเที่ยว ถือว่าฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของปีช่วงหนึ่งที่หลายคนตั้งตารอ แต่อย่าปล่อยให้บรรยากาศความสนุกในฤดูร้อนพาเพลิดเพลินจนลืมปกป้องผิวจากแสงแดดที่ร้อนระอุ อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังกันนะคะ

    รังสียูวีจากแสงแดดแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ ยูวีเอ ยูวีบี และยูวีซี แต่ที่ร้ายแรงต่อผิวเราคือ ยูวีเอและยูวีบี พญ.ธิดากานต์ รัตนบรรณางกูร แพทย์จากสถาบันสุขภาพผิวพรรณ รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ ให้ความรู้ว่า ยูวีเอ เป็นตัวการสำคัญก่อให้เกิดอนุมูลอิสระเข้าทำลายคอลลาเจน อิลาสตินและเซลล์ผิวหนังภายใน ส่งผลให้ผิวขาดความยืดหยุ่นและอ่อนแอลง ผิวเหี่ยว หมองคล้ำ แก่ก่อนวัย ต่างจาก ยูวีบี ที่ทั้งทำลายผิวให้เห็นด้วยตาภายนอก คือไหม้และดำ ทำลายคอลลาเจนและเซลล์ผิวหนังโดยตรงอันเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง

    ดังนั้นจึงต้องเลือกครีมกันแดดเพื่อปกป้องทั้งสองยูวี โดยค่าเอสพีเอฟ (SPF) ที่เราเคยได้ยินเป็นประจำเป็นค่าที่บ่งถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี ซึ่ง ยูวีบีค่าที่เหมาะสำหรับแสงแดดบ้านเราอยู่ที่ SPF 15 เป็นต้นไป แต่หากต้องไปตากแดดตามชายทะเล สนามกอล์ฟ ต้องเลือกครีมกันแดดมีค่า SPF 30 เป็นต้นไป ส่วนยูวีเอยังไม่มีการกำหนดหน่วยวัดเป็นมาตรฐานแต่มีเทคนิคง่าย ๆ คือ เลือกครีมที่มีส่วนประกอบของ ไทเทเนียมออกไซด์ ซิงค์ออกไซด์ หรือ เอโวเบนโซน เป็นสารที่สามารถปกป้องได้ทั้ง 2 ยูวี โดยต้องทาก่อนออกแดด 30 นาทีและทาซ้ำอีกครั้ง จะช่วยให้เนื้อครีมกระจายตัวปกป้องผิวได้ทั่ว หากมีเหงื่อออกหรือเล่นน้ำ ควรทาซ้ำอีกหลังจากเช็ดตัวให้แห้งแล้ว

    นอกจากนี้ควรใส่หมวกปีกกว้างหรือกางร่มป้องกันด้วย ซึ่งร่มชนิดกันแสงยูวีจะกรองรังสียูวีได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เมื่อรู้จักปกป้องผิวจากภายนอกแล้วควรปกป้องผิวจากภายในด้วย โดยผู้ที่อยู่กลางแดดนาน ๆ จะเสียเหงื่อมาก จึงควรดื่มน้ำทดแทนหากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจะเสี่ยงต่ออาการมึนศีรษะ หน้ามืด อ่อนเพลีย ส่งผลให้ผิวแห้งเหี่ยวขาดความชุ่มชื้น การรับประทานผลไม้อย่างส้ม แอปเปิ้ล องุ่น เบอรี่ มังคุด ทับทิม ฝรั่ง เป็นผลไม้มีวิตามินซี เบต้า แคโรทีน ซีแซนทีนและวิตามินบีรวม จะช่วยให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยมีพลังงาน

    หากเราลืมหรือหลีกเลี่ยงแสงแดดไม่ได้ มีวิธีแก้ไขคือ พยายามดื่มน้ำสะอาดเพื่อทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป ไม่ควรตากแดดเพิ่ม หมั่นทาครีมบำรุงเพื่อให้ความชุ่มชื้นกับผิวหรือครีมที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการผิวไหม้แดดได้ บริเวณผิวที่แสบแดงมากอาจใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นประคบ หากอาการเป็นมาก มีตุ่มน้ำพุพองหรือเป็นไข้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์จัดยาทาและยารับประทานบรรเทาอาการ

    ร้อนนี้หลีกเลี่ยงผิวจากแสงแดดและควรปกป้องผิวด้วยการทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เพื่อสุขภาพผิวที่ดี สวยใส ไร้ริ้วรอย ชะลอผิวไม่ให้แก่ก่อนวัย ที่สำคัญไม่เป็นโรคมะเร็งผิวหนังด้วยค่ะ.
    สรรหามาบอก
    - คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล จัดกิจกรรมวันคล้ายวันพระราชทานกำเนิด โรงพยาบาลศิริราช 121 ปี เพื่อเฉลิมพระเกียรติ ร.5 องค์พระราชทานกำเนิดโรงพยาบาล ภายในงานชมสื่อผสมเฉลิมพระเกียรติ “ทวาทศวรรษศิริราช...ปฐมบทโรงพยาบาลของแผ่นดิน” นิทรรศการ “รู้จัก เข้าใจ ห่วงใยผู้ป่วยมะเร็ง” และขอเชิญผู้สนใจร่วมฟังเสวนาสุขภาพเรื่อง “ทำอย่างไร! เมื่อมะเร็งอยู่ในตัว” และ “อยาก...สุขภาพดีไม่มีโรค” โดยผู้ป่วยจริงจะมาร่วมพูดคุยกับทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมให้คำปรึกษาสุขภาพ ฟรี ระหว่างวันที่ 22-24 เมษายน 2552 เวลา 09.00-15.00 น. ณ ศาลาศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช

    - ศูนย์สมองและระบบประสาทกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ ขอเชิญประชาชนทุกท่านร่วมฟังสัมมนาในหัวข้อ “อยู่อย่างไร...ห่างไกลอัมพาต” รับฟังสาระความรู้เกี่ยวกับ “สัญญาณเตือน...โรคหลอดเลือดสมองตีบ” “เส้นเลือดในสมองแตกป้องกันได้” และ “เป็นอัมพาตแล้วจะลดความพิการได้อย่างไร” พร้อมรับบริการตรวจวัดความดันโลหิต อัลตราซาวด์หลอดเลือดคอเบื้องต้น (เฉพาะ 100 ท่านแรกที่ลงทะเบียนหน้างาน) และบริการให้คำปรึกษาโรคหลอดเลือดสมองโดยทีมแพทย์และเภสัชกรด้านสมอง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2552 ตั้งแต่เวลา 07.00-11.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 7 อาคารเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลกรุงเทพ สอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ โทร. 1719

    - โรงพยาบาลไทยนครินทร์ ร่วมกับ นิตยสารรักลูก เชิญผู้สนใจชมการสาธิตและแนะวิธีปฏิบัติ ในหัวข้อ “เจาะกลยุทธ์...สร้างลูกสมองดี ตอน พัฒนาสมองลูกด้วยการเล่านิทาน อ่านหนังสือ” พร้อม เวิร์กช็อป เพื่อการพัฒนาสมองลูก ในวันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2552 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 4 โรงพยาบาลไทยนครินทร์ สำรองที่นั่งโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0-2361-2727 ต่อ 3042, 3056
     

แชร์หน้านี้

Loading...