พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    วันที่ : 30 ธันวาคม 2549
    http://www.dailynews.co.th/dailynew...ault.aspx?Newsid=112402&NewsType=1&Template=1
    [​IMG]

    <TABLE id=Table9 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left height=118><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff height=32><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>การบิดเบือนและคุณลักษณะ เพื่อเพิ่มราคาขาย ‘พระเครื่อง’


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left width="100%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left>การสะสม “พระเครื่อง” ในสมัยก่อนมักจะพบว่ามีการตั้ง “ชื่อพิมพ์-ชื่อรุ่น” และ “ชื่อพระเครื่อง” เพื่อเป็นการ “กำหนดพิมพ์-แยกพิมพ์” ซึ่งเป็นการง่ายต่อการจดจำและนำไปถ่ายทอดให้แก่อนุชนรุ่นหลังซึ่งการกำหนดชื่อนั้นมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์อย่างเช่น “พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่, พิมพ์ทรงเจดีย์, ฐานแซม, พิมพ์บัวตูม, พิมพ์ปรกโพธิ์” หรือ “พระสมเด็จบางขุนพรหม” ก็มีชื่อเรียกขานจำแนกพิมพ์เป็น “พิมพ์ใหญ่, เส้นด้าย, เจดีย์, ฐานแซม, ฐานคู่, สังฆาฏิ, พิมพ์อกครุฑ, ปรกโพธิ์” อีกทั้ง “พระรอดวัดมหาวัน” ก็จำแนกเป็น “พระรอดพิมพ์ใหญ่, พิมพ์กลาง, พิมพ์เล็ก, พิมพ์ต้อ” ส่วน “พระผงสุพรรณ” ก็จำแนกเป็น “พิมพ์หน้าแก่, หน้ากลาง, หน้าหนุ่ม” รวมทั้ง “พระนางพญาพิษณุโลก” ก็จำแนกเป็น “พิมพ์เข่าตรง, พิมพ์เข่าโค้ง, พิมพ์สังฆาฏิ, พิมพ์เทวดา” เป็นต้น

    แต่ในยุคปัจจุบัน “วงการพระเครื่อง” มีการให้บูชา (ซื้อ-ขาย) เป็นล่ำเป็นสันจนกลายเป็น “พาณิชย์” ไปแล้วจึงมีการพัฒนาการทาง “ความเชื่อ” เพิ่มขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการให้บูชาโดยให้ผู้ที่มีความเชื่อ “พระเครื่อง” ได้ซาบซึ้งซึ่งถือเป็นการเพิ่มแรงกระตุ้นให้เกิดความอยากที่จะบูชาซึ่งก็เพื่อให้ “คนบูชาสุขใจ” ส่วน “คนให้บูชากระเป๋าตุง” ซึ่งความเชื่อที่ว่าก็จะอาศัยชื่อของพิมพ์ทรงองค์พระแทรกเข้าไปอย่างเช่น “พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่” ก็มีการสร้างความเชื่อว่าหาก “นำไปห้อยคอจะได้เป็นใหญ่เป็นโต” หรือ “หากรับราชการก็จะได้เป็นใหญ่ระดับอธิบดี” สำหรับ “นักธุรกิจก็จะได้เป็นมหาเศรษฐี” อะไรทำนองนั้นและถ้าเป็น “พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ทรงเจดีย์” ก็จะ “ได้ดี” ตามชื่อ “เจดีย์” และหากเป็น “พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ฐานแซม” ก็จะมีหลักฐาน “อันมั่นคง” (เพราะมีฐานมาแซมทำให้มีหลักฐานมั่นคง) ทางด้าน “พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ปรกโพธิ์” ก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุขเหมือนอยู่ภายใต้ “ร่มโพธิ์” รวมทั้ง “พระสมเด็จบางขุนพรหม” ก็มีการจัดความนิยมเป็น ๓ พิมพ์คือ “ใหญ่-ได้-ดี” ที่ประกอบด้วยพระสมเด็จบางขุนพรหม “พิมพ์ใหญ่, พิมพ์เส้นด้าย, พิมพ์ทรงเจดีย์” นั่นเอง

    ที่ยกมานี้เป็น “ตัวอย่าง” ของการนำความเชื่อตามความหมายของ “ชื่อพิมพ์พระ” พร้อมทั้งมีการเพิ่มเติมเข้าไปอีกด้วยเพื่อสร้าง “ความเชื่อ” ให้เกิดขึ้นประกอบกับนักสะสมในยุคหลัง ๆ ก็มีความเชื่อเหล่านี้อย่างกรณี “เหรียญหลวงปู่ทวดรุ่นเลื่อนสมณศักดิ์” ของ “พระครูวิสัยโสภณ” หรือ “พระอาจารย์ทิมวัดช้างให้” ที่สร้างเมื่อปี ๒๕๐๕ ก็มีความนิยมมาก สูงกว่า “เหรียญหลวงปู่ทวดรุ่นเก่า ๆ” หลาย ๆ รุ่นเสียอีกเพราะนักสะสมมีความเชื่อหากนำไปบูชาถ้าเป็นข้าราชการก็จะได้ “เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง” เป็นเศรษฐีก็ได้ “เลื่อนฐานะเป็นมหาเศรษฐี” ซึ่งความเชื่อที่เกี่ยวพันกับ “รุ่นพระ” ยังมีอีกมากมายที่คิดว่าท่าน “ผู้อ่านความจริง...อ่านเดลินิวส์” คงพอจะทราบและได้ยินมาแล้วซึ่งการนำ “ความเชื่อ” เหล่านี้มาผนวกกับองค์พระก็เป็นการเสริมคุณค่าให้มากขึ้นและแม้ว่าจะมีเจตนาเพื่อ “เพิ่มราคา” ให้สูงกว่าปกติบ้างก็ไม่ได้ “น่าเกลียด” อะไรนัก

    แต่ในปัจจุบันการให้บูชาพระเครื่องโดยอาศัย “สื่อแขนงต่าง ๆ” เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ซึ่งมีผลโดยตรงต่อนักสะสมก็หนีไม่พ้นจากบทบาทของ “หนังสือพิมพ์และนิตยสารพระเครื่อง” รวมทั้ง “อินเทอร์เน็ต” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากในปัจจุบันจึงมักมีการ “บิดเบือนข้อมูล” หรือ “การอุปโลกน์” ที่ผู้เขียนขอยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “พระกริ่ง ภ.ป.ร.ปี ๒๕๐๘” ซึ่งตามข้อเท็จจริงของ “พระกริ่ง ภ.ป.ร.ปี ๒๕๐๘” สร้างโดยวิธีการ “ปั๊ม” ไม่ใช่การ “หล่อ” และทางวัดที่สร้างคือ “วัดบวรนิเวศวิหาร” ได้แนวคิดมาจากการจัดสร้าง “พระพุทธรูป ภ.ป.ร.” ขนาดหน้าตักกว้าง “๙ นิ้ว” และ “๕ นิ้ว” โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เสด็จฯประกอบพิธีเททองเป็นปฐมฤกษ์ ณ ลานหน้าพระอุโบสถวัดรังสีสุทธาวาส โดยนำ “เนื้อชนวน” ที่สร้าง “พระพุทธรูปบูชา” ซึ่งเหลือมาจากการประกอบพิธีเททองหล่อแล้วนำไปสร้างต่อที่โรงงานของ กองกษาปณ์กรมธนารักษ์ โดยมิได้มีการ “ปั๊มนำฤกษ์” แต่ประการใดเพราะ “เครื่องจักร” ที่ใช้สำหรับปั๊มพระมี
    “ขนาดใหญ่” ไม่สะดวกที่จะนำมาปั๊มพระเป็น “ปฐมฤกษ์” ที่วัดบวรฯและจากคำบอกเล่าของพระผู้ใหญ่ในวัดบวรฯที่ทราบถึงการสร้าง “พระกริ่ง ภ.ป.ร.” ก็ได้เล่าว่าเมื่อ “กองกษาปณ์” (ปัจจุบันเป็นสำนักกษาปณ์กรมธนารักษ์) ได้ทำการปั๊ม “พระกริ่ง ภ.ป.ร.” เสร็จแล้วก็จะส่งมอบให้แก่วัดบวรฯที่มี “คณะกรรมการ” ทำการตรวจสอบความเรียบร้อยก่อน ซึ่งหากพระองค์ใดไม่เรียบร้อยก็จะส่งกลับโรงงานนำไปแก้ไขใหม่อีกทีและจากที่ “พระกริ่ง ภ.ป.ร. ๒๕๐๘” สร้างด้วยวิธีการปั๊มเมื่อ “การปั๊มพระ” ออกมาจากแม่พิมพ์ก็จะมี “ปีก (เนื้อ) เกิน” ก็ต้องตัดออกและหลังตกแต่งองค์พระแล้วจึงมีการ “เจาะรูเพื่อบรรจุเม็ดกริ่ง” ตามขั้นตอน

    แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ระหว่างที่กระแส “พระกริ่ง ภ.ป.ร.” ยังแรงได้มี “นิตยสารพระเครื่อง” ประเภทฝากซื้อฝากขายนำภาพ “พระกริ่งภ.ป.ร.” ที่ปั๊มแต่ยังไม่ได้ “ตัดปีกด้านข้างออก” มาทำการ “โฆษณาขาย” ที่พร้อมมีข้อความใต้ภาพว่า “พระกริ่ง ภ.ป.ร. ๐๘ ไม่ตัดช่อ (นำฤกษ์) สวยแชมป์” แถมด้วยราคาบอกไว้ที่ “เลขหกหลัก” อีกด้วยซึ่งจากข้อความที่ว่าเป็น “พระกริ่งไม่ตัดช่อ (นำฤกษ์)” นั้นก็คือการ “บิดเบือน” หรือ “อุปโลกน์” เพื่อเพิ่มราคาขายให้สูงขึ้น ซึ่งถือเป็นการ “ไม่รับผิดชอบ” ของ “สื่อพระเครื่อง” เป็นอย่างดี เพราะเทียบเท่ากับเป็นการให้ความร่วมมือในการ “บิดเบือน” หรือ “อุปโลกน์” ให้นักสะสมที่ไม่ถ่องแท้ “หลงเชื่อ” เพราะหน้าที่ของ “สื่อที่ดี” น่าจะมีการตรวจสอบและรับผิดชอบต่อ “ผู้อ่าน” ให้มากกว่านี้จะเป็นการสร้างให้ “วงการพระเครื่อง” ไม่ตกต่ำนะท่านทั้งหลายเอย.
    “นายรู้สึก แสนรู้ชัด”
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left width="100%">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    วันที่ : 16 ธันวาคม 2549
    http://www.dailynews.co.th/dailynew...ault.aspx?Newsid=110896&NewsType=1&Template=2


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD class=headline-normal>กระเบื้องลายมังกร สมบัติจักรพรรดิ</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD class=messageblack> คนโบราณเชื่อกันว่ามังกรเป็นสัตว์อันทรงพลัง และศักดิ์ สิทธิ์แห่งฟ้า และดิน ความเชื่อเหล่านี้เป็นความเชื่อเก่าแก่โบราณ อาจจะเป็นความเชื่อของเหล่ามนุษย์ ตั้งแต่มนุษย์รู้จักสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ยักษ์ และให้ความยำเกรงประดุจเทพเจ้า ความเชื่อเช่นนี้มีอยู่ทั่วไปในเกือบจะทุกชนชาติที่มีประวัติศาสตร์ความเก่าแก่ นับตั้งแต่ยุคอียิปต์ กรีก โรมัน อินเดีย และจีน เป็นต้น โลกโบราณมีความเชื่อเรื่องพญางูใหญ่ยักษ์นี้ ติดต่อสืบเนื่องมายาวนานตราบที่มีมนุษย์บนโลก โดยเฉพาะประเทศจีน

    คติฝ่ายจีนเชื่อว่าน้ำลายจากมังกร จะทำให้เกิดลูกทรงกลมวิเศษ ซึ่งเรียกว่า “ไข่มุกแห่งพลังดวงจันทร์ และไข่แห่งความอุดมสมบูรณ์” เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวกับเรื่อง ลูกแก้วพญานาคของชาวอีสานบ้านเราบ้าง เพราะมีความเชื่อคล้าย ๆ กัน และยังเชื่อต่อไปอีกว่า เมื่อเลือดของมังกรจีนซึมซาบเข้าไปในแผ่นดิน มันจะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นอำพัน

    เมื่อมังกรลอกคราบเป็นเหตุให้เขาเรืองแสง มีพลังอย่างมากในความมืด คล้าย ๆ คติความเชื่อเรื่องต้นโสมเป็นยาอายุวัฒนะ อาหารของมังกรท่านว่าชอบกินนกนางแอ่นย่าง จึงมีการพลีถวายให้มังกรก่อนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อเอาใจมังกรและเพื่อให้การเดินทางปลอดภัยตามคติความเชื่อของนักเดินเรือท่องสมุทรแต่โบราณ

    ว่ากันว่ามังกรกลัวใบสนไหม ๕ สีขี้ผึ้ง เหล็ก และตะขาบ สำหรับไหม ๕ สีนี้คงจะเป็นคติความเชื่อมาช้านานที่ก่อนออกเดินเรือ มักใช้ “ผ้าแพรไหม” ห้าสีผูกที่หัวเรือ ซึ่งต่อมามีความเชื่อเรื่อง แม่ย่านาง ซึ่งเป็นอมนุษย์เทพองค์เล็กประจำท้องถิ่นที่มีความเชื่อถือกันเกี่ยวกับการแต่งกายของ “แม่ย่านาง” หรือ เจ้าแม่ทับทิม (เทพยดาหม่าโจว ในลัทธิเต๋าที่นักเดินเรือนับถือกันนักกันหนา โดยเฉพาะ นายพลเรือ เจิ้งเห่อ หรือแต้ฮั้ว ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์หมิง สมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ) ก็ไม่ทราบชัด

    และความเชื่อแบบแปลกประหลาดว่า ในบางครั้งมังกรจีนเกิดนึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา อยากลองของแปลกจะมีกิ๊กเป็นสัตว์ต่าง ๆ เช่น ช้าง หมู และม้าศึก ซึ่งก็เชื่อว่าเป็นเชื้อสายของมังกรเช่นกัน (ม้ามังกรในวรรณคดีไทยและเขมร) ส่วนช้างและหมูทางภาคเหนือของไทยนี่ นับปีเป็นสิบสองนักษัตร เช่น ถือปีชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน นั้น ทางภาคเหนือใช้กุญชร คือช้าง ไม่ใช้หมูเป็นสัญลักษณ์ จีนใช้มังกรแทนปีมะโรง ส่วนคนไทยเป็นพญานาค สำหรับลายนักษัตรนั้น จีนเป็นคนคิดแรกเริ่มตั้งยุคฤดูกาล คือ ราว ๒,๗๐๐ ปีมาแล้ว หรือหลังราชวงศ์โจตะวันออกเล็กน้อย หลักฐานดังกล่าวนี้มีอยู่บนแจกันสำริดที่จัดแสดงอย่างถาวรอยู่ในพิพิธภัณฑสถาน พระราชวังแห่งชาติไทเป ไต้หวัน ในห้องสำริดโบราณ

    คติความเชื่อว่ามังกรของจีนแต่โบราณแบ่งออกเป็น ๙ ชนิด มีการผูกลายกันมากมาย ตั้งแต่พระราชวัง วัด และเคหสถาน ตลอดจนสิ่งของเครื่องใช้ในงานมงคลต่าง ๆ ก็ตามแต่มังกรก็มีศักดิ์ มีศรี มีชั้นวรรณะ มีกาลเทศะและวาสนา มังกรก็มีแตกต่างกันไปตามความเชื่อและคตินิยมของคนแต่ละยุคแต่ละสมัย ว่ากันมีมังกร ๙ ท่า ๙ สี

    มังกรสวนนิ สลักบนบัลลังก์ขององค์พระประติมากรรม และใช้แทนฐานรูปสิงโต (ฐานสิงห์)

    มังกรเฉาฟง สลักบนสถาปัตยกรรมชายคาโบสถ์

    มังกรฟูเหลา จะใช้ประดับบนยอดระฆัง และกลอง ซึ่งเป็นเครื่องเสียงสำหรับต่อสู้หรือประกอบในพิธีสำคัญ ๆ

    มังกรไยสู สลักบนฝักดาบ บนกระบังดาบ และใบดาบ และใบง้าว

    มังกรฉีเหวิน ใช้ประดับบนชื่อสะพาน เพราะเป็นมังกรน้ำ และยังใช้สลักบนหลังคาอาคารสถาปัตยกรรม เพื่อป้องกันไฟ บางครั้งก็ย่อให้เหลือแต่หางเป็นปลามังกรหางปลา

    มังกรปาเซียน สลักที่ส่วนล่างของสถาปัตยกรรม เชื่อว่าจะสามารถพยุงน้ำหนักได้ สยามใช้ยักษ์และคนแคระคนทางภาคใต้ เรียกตัวแม่แรงบางครั้งก็ใช้สิงห์แบก

    มังกรฉิวนิว ใช้สลักบนลูกปิดของ “ซอ” มังกรชนิดนี้ชอบฟังเพลง

    มังกรปิกัน สลักบนประตูคุก ป้องกันการทะเลาะวิวาทกัน และรักที่จะใช้พละกำลัง เป็นการแสดงความดุร้าย ซึ่ง “นักเลง” มักสักชนิดนี้ไว้ที่แขน หน้าอก และกลางหลัง บางคนก็สักไว้ที่หน้าขาและที่อื่น ๆ พวกนี้มักจะเป็นมังกร “คุก” และเรียกขานกันว่า พวกตั้วหลักเล้งใช้เป็นสัญลักษณ์

    ลักษณะของมังกรมีสถานภาพแตกต่างกันตามคติความเชื่อ และการประดิษฐ์ในเชิงช่างของแต่ละสกุลช่าง และยุคสมัยของพระราชนิยม และความเชื่อของกลุ่มชน แต่ก็จะมีลักษณะใหญ่ ๆ แตกต่างกันไม่มากนัก

    ลักษณะของมังกร หรือ หลง ในภาษาจีนกลางดังนี้

    ๑. มังกรมีเขา หรือหลง มีลักษณะของเขากวางดาว ซึ่งญี่ปุ่นก็ถือว่าเป็นกวางจากฟากฟ้าแดนสวรรค์ อินเดียนแดงถือว่ากวางเป็นสัตว์อมตะนิรันดร์กาล แต่คนสยามชอบกินเนื้อเรียกว่า “เนื้อ” ในความหมายคือ เนื้อกวาง ไม่ใช่เนื้อ “วัว” อย่างที่เข้าใจกัน ส่วนหนังญี่ปุ่นรับซื้อเอาไปเป็นซับในของเสื้อเกราะญี่ปุ่น ส่วนหนังกระเบนนั้นนำไปเป็นส่วนประกอบด้ามดาบญี่ปุ่นหรือดาบซามูไรนั่นเอง หนังทั้งสองอย่างเป็นสินค้าสำคัญของสยามมานานแล้ว ตั้ง แต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

    ๒. มังกรมีปีก มังกรชนิดนี้หนังฝรั่งชอบนำมาประกอบฉากเป็นพาหนะของผู้ร้าย แต่สมัยราชวงศ์หมิง ชอบทำลายบนถ้วยข้าวต้ม (หว่านซี่ฟ่าน)

    ๓. มังกรสวรรค์หรือมังกรฟ้า เรียกว่า เทียนหลง เป็นมังกรในหาดสวรรค์ บางครั้งก็เป็นพาหนะของเทพเทวาในลัทธิเต๋า เชื่อกันว่ามังกรเทียนหลงนี้ เป็นเทพผู้ปกป้องปราสาทราชวังของเทพเจ้าบนสวรรค์

    ๔. มังกรวิญญาณเฉียนหลง ชื่อคล้ายพระเอกหนังจีน เฉียนหลงหรือหลีเฉี่ยวหลง ก็คือบุชลี นักเตะแดนมังกรนั่นเอง เป็นมังกรทำให้เกิดลมฝน เพื่อประโยชน์ต่อการเกษตร และมนุษยชาติ และยังเป็นสัญลักษณ์ของจักรราศีอีกด้วย

    ๕. มังกรเฝ้าทรัพย์ หรือฟูแซง หรือฟัดซ์หลง มังกรบาดาล มังกรนี้น่าจะเป็นคติของอินตู้ หรืออินเดียมากกว่าของจีน ซึ่งชาวกรีกเองก็เชื่อเรื่อง “มังกรบาดาล” เช่นกัน ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นคติที่เก่าแก่มาก

    ๖. มังกรขด ไม่มีฝอย ก็คงเป็นมังกร “หด” ธรรมดานี่เอง

    ๗. มังกรเหลือง เป็นมังกรปัญญา คอยหาข้อมูลให้จักรพรรดิฟูใฉ่ (Fu Shi) ที่เป็นตำนาน

    ๘. มังกรบ้าน หรือลี่หลง เป็นมังกรอยู่ในมหาสมุทร เป็นมังกรอยู่ในทะเลมหาสมุทร บางตำนานเรียกว่าไซโอ๊ะ มีเกล็ดปกคลุม และมักอาศัยอยู่ในหนองน้ำใกล้ ๆ ถ้ำมืด ๆ อันอับชื้น

    เรื่องราวตำนานโบราณของจีนมียาวนานกว่า ๔,๐๐๐ ปี รูปแบบของมังกรก็สุดแต่นักวาดรูปขายฝัน ขายจินตนาการ จะเขียนโดยยึดรูปลักษณะที่เล่าต่อ ๆ กันมา ส่วนมังกรจริง ๆ ก็คือซาก ไดโนเสาร์ เป็นหิน และไข่ไดโนเสาร์นี้พบในหลายพื้นที่ในจีน ซึ่งโบราณชาวจีนใช้ประกอบเป็นยาสมุนไพร เรียก “ยากระดูกมังกร” ส่วนไข่มังกรในสมัยเฉียนหลงถือเป็นเครื่องลางประจำราชสำนัก พระราชวังปักกิ่ง

    ต่อเมื่อกรุงจีนแตก ไข่มังกรก็ได้ตกทอดมาอยู่ในสยาม โดยเล่าขานเป็นตำนานกันว่า เมื่อทูตหรือคณะผู้แทนจีน ใช้เรือไฮจี่ โดยการนำของยังซีขีมีผู้ติดตาม ๔๔๙ คน ทหารประจำเรือ ๒๗๙ คน เข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระที่นั่งอภิเศกดุสิต เมื่อเวลาบ่าย ๕ โมงของวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๕๐ โดยมีพระยาบริบูรณโกษากรเข้าเฝ้าฯ และมอบหมายให้พระยาบริบูรณโกษากร (ฮวด โชติกะพุกกณะ) หรือเจ้าคุณกิมกึ๋งจัดการประสานงาน และเลี้ยงต้อนรับในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามลักษณะที่ผู้ใหญ่บอกกันมานั้น ใช้ไข่มังกรเป็นลักษณะคล้ายลูกแก้วหินผลึกทำนองลูกแก้วของหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดบ้านเรานี่เอง แต่ตกแต่งด้วยการเลี่ยมหุ้มคล้ายลูกอมแก้วนั่นเอง เรื่องแก้วมังกรเป็นเรื่องฮือฮากันพอสมควรในยุคนั้น เพราะในช่วงเวลา พ.ศ.๒๔๐๐-๒๔๔๐ เป็นยุคฝรั่งบุกเอเชีย โดยใช้กำลังทางอาวุธที่เหนือกว่าเบียดเบียน ย่ำยีบีฑาไม่ว่าจะเป็นจีน พม่า และสยาม ก็เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน จึงมีคำที่จีนเรียกว่า “ฝรั่งอั้งม้อ” หรือปีศาจผมแดง โจรผมแดง เป็นต้น จนกลายเป็น กบฏนักมวย แท้ที่จริงวีรชนเหล่านี้หลั่งเลือดชโลมดิน เพื่อแผ่นดินมังกรแท้ ๆ แต่แพ้ลูกปืนฝรั่ง จึงกลายเป็น “กบฏ” ไปในที่สุด!.
    ภุชชงค์ จันทวิช
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-copyright vAlign=top align=middle height=10></TD></TR><TR><TD style="HEIGHT: 2px" vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR><TR><TD class=message-normal vAlign=top align=middle height=10><SCRIPT>// URLs of slidesvar slideurl = new Array('http://ads.dailynews.co.th/news/images/2006/variety/12/16/110896_42805.jpg','http://ads.dailynews.co.th/news/images/2006/variety/12/16/110896_42806.jpg','http://ads.dailynews.co.th/news/images/2006/variety/12/16/110896_42808.jpg') ;// Comments displayed below the slidesvar slidecomment = new Array('','','');var picNo = new Array('0','1','2');var i;var j;var picturecontent=''function poppic(ncId,NewsType,picNum){window.open('/dailynews/pages/front_th/popup_news/popup_news_popuppic.aspx?ncId=' + ncId + '&NewsType=' + NewsType + '&picNum='+picNo[picNum],'','menubar=no,toolbar=no,location=no,directories=no,status=no,scrollbars=yes,resizable=yes,dependent,,');}function createtable(){picturecontent ='<table width=100% cellSpacing=5 cellPadding=0 border=0>' ;for (i=0;i<=(slideurl.length-1);i++) {picturecontent +='<tr>' ;picturecontent +='<td vAlign=top align=center>' ;picturecontent += '';picturecontent += '[​IMG]' ;picturecontent += '</td>' ;picturecontent +='</tr>' ;picturecontent +='<tr>' ;picturecontent += '<td bgcolor=#fbe5f2 class=messageblack vAlign=middle align=center height=20>' ;picturecontent+=slidecomment ;picturecontent +='</td>' ;picturecontent +='</tr>' ;}picturecontent+='</table>' ;hlblTable.innerHTML=''+picturecontent+'';}</SCRIPT>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
     
  3. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ระเบิดทั่วกรุงเทพแล้ว ก่อนฉลองเค้าท์ดาวน์

    <!-- currently active users -->http://www.palungjit.org/board/showt...591#post435591
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ขอบคุณครับ

    ผมกลัวที่สยามพารากอนกับเวิลด์เทรดจังเลย คนคงเยอะมากๆ ท่านใดที่ออกไปข้างนอก ให้ระมัดระวังกันด้วยครับ

    ผมว่าคงไม่ได้อ่านกันนะเนี่ย ผมเองพึ่งเข้าบ้านมาก็รู้ข่าว คนที่ออกไปข้างนอกบ้าน ถ้าไม่เปิดวิทยุฟังก็คงไม่รู้

    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดจงช่วยปกปักษ์รักษาทุกๆคนให้ปลอดภัยด้วยเทอญ

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“สุขใจอย่างง่ายงาม”
    โครงการสุดหรู…ปีหมูอ้วน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ถนอมจิต คงจิตต์งาม</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>29 ธันวาคม 2549 13:42 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>thanomjit8@yahoo.com

    ช่วงปีใหม่ทุกปี เรามักอดวาดฝัน วางแผนว่าปีหน้าจะทำอย่างนั้น อย่างนี้สักทีไม่ได้

    จำได้ว่าฝันแต่ละปีเป็นชนิดอลังการงานสร้าง เช่นจะต้องทำโครงการนั้น โครงการนี้ อยากได้โน่นได้นี่ ต้องเขียนหนังสือให้เสร็จ รวมเล่มให้ได้อย่างน้อยเท่านั้นเท่านี้ จะส่งประกวด จะไปเรียนเรื่องนั้นเรื่องนี้ ต้องไปเที่ยวนานาประเทศที่เรียงไล่รายชื่อมา

    ทุกเรื่องต้องวิ่งไปหาจากข้างนอก เรื่องเสียเงินไม่ต้องพูดถึง หาเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะโลกยุคนี้ ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีฟรี

    แปลกใจตัวเองว่า อาจเป็นเพราะอายุเริ่มมากขึ้นมาอีกปี ความเข้าใจระหว่างความจริงกับความใฝ่ฝันเลยเริ่มกระเถิบตัวมาใกล้กันอีกนิด ปีนี้แปลกใจว่า โครงการหรูที่ตั้งไว้ เป็นแค่ความฝันเล็กๆ ที่อยู่บนความตั้งใจอันยิ่งใหญ่แทน

    ปีเต็มๆ ที่ย้ายจากบ้านเก่าในกรุงเทพฯ มาอยู่ที่บ้านใหม่ชลบุรี วันเว้นวัน บางทีก็เว้นสองวัน จะมีคุณยายแก่หง่อม หลังค่อม ใส่รองเท้าแตะคนละสี เวลาเดินจะโน้มตัวต่ำไปข้างหน้า เพราะต้องแบกถุงปุ๋ยใส่ข้าวของมีค่าที่เพิ่งไปคุ้ยขึ้นมาจากถังขยะที่คนในหมู่บ้านเอามาทิ้งเดินผ่านหน้าบ้านเสมอ
    นึกภาพไม่ออก ก็ลองนึกถึงอุ๊ยคำในเพลงของจรัล มโนเพชรเอาก็แล้วกัน

    ที่บ้านเราเองก็มีคุณยายเหมือนกัน แม้วัยจะไล่เลี่ยกัน แต่ดูเหมือนว่าคนแก่สองคนจะมีสภาพต่างกันเราวกับฟ้ากับดิน

    สิ่งที่เราไม่เคยสนใจมาก่อนจนวันหนึ่งเห็นกับตาก็คือ คุณยายที่บ้านจะเก็บสิ่งที่บ้านเราเรียกว่า “ขยะ” ไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำพลาสติก กระป๋อง กล่องกระดาษแข็ง ที่ต้องการกำจัดแยกใส่ถุงผูกไว้อย่างดี ทำกับข้าวไป อีกตาคอยเฝ้าชำเลืองดูคุณยายอีกคนที่จะเดินผ่านบ้าน

    พอเห็นก็ลุกขึ้นร้องเรียก หยิบถุงส่งให้ “อุ๊ยคำ”มาเอาไป

    นอกจาก “ขยะ”จากบ้านเราแล้ว บางทีมีผ้าถุง เสื้อเก่า เงินนิดหน่อยพอซื้อข้าวแกงได้ไม่กี่อิ่มแถมให้อีกนิด

    “แก่แล้ว ไปคุ้ยถังแย่งกับคนอื่นก็ไม่ทัน ยิ่งปีนี้หมู่บ้านกั้นรั้วไว้ ยิ่งเดินเข้ามายาก สงสารแก” คุณยายของเราให้เหตุผล

    คนแก่ดูแลคนแก่ …

    ถ้าเป็นสมัยก่อนเราคงนึกไปถึงเรื่องนักสังคมสงเคราะห์ของจังหวัด หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้นักข่าวมาทำข่าวสกู๊ปชีวิต แต่ตอนนี้เรานึกถึงในสิ่งที่เราทำได้ด้วยตัวเอง เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทำได้ง่ายๆ

    แม้จะถูกโฆษณากรอกหูเรื่องให้แยกขยะ เรื่องรีไซเคิล บางครั้งความมักง่าย ความขี้เกียจก็ทำให้เราแอบมั่วปนๆกันไปบ้าง

    จำได้ว่า นับตั้งแต่รู้เรื่องราวของยายสองคน และรู้ว่าของบางอย่างมีค่าสำหรับแกมาก บางทีเผลอทิ้งขยะที่ขายได้ลงไปปนกับขยะอื่น ก็ยังอุตส่าห์ควานเอาขึ้นมาใหม่

    คุณยายเป็นพรีเซ็นเตอร์ตัวจริง ให้เราคิดทุกครั้งก่อนทิ้งของที่ไม่ใช้ เตือนสติเราเรื่องการแยกขยะอย่างได้ผล

    อากาศปีนี้หนาวเย็นเยือกกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ท่าทางจะหนาวนานเสียด้วย
    จำได้ว่ามีเสื้อกันหนาวใหม่ๆ ที่ไม่เคยใช้ เพราะไม่เคยหนาวจริงจังสักที ยังอยู่ในสภาพดี แต่คงใส่ไม่ได้แล้ว
    เก็บเสื้อผ้าที่ว่าใส่ถุงไว้ ตื่นแต่เช้านั่งรอคุณยายมาหลายวันแล้ว ตั้งใจจะแบ่งปันความอบอุ่นที่เรามีเหลือเฟือให้กับคนที่หนาวเหน็บที่เห็นชัดๆ กับตา อยู่ใกล้ตัวอย่างคุณยาย

    ความรู้สึกความนี้แตกต่างจากทุกคราว ไม่ใช่เป็นการกำจัดของ แต่เป็นความตั้งใจแบ่งของที่มีเกินพอ ให้ผู้อื่น
    เป็นเรื่องเล็กๆ เท่านั้นแต่ไม่รู้ทำไม คำอนุโมทนาสาธุ ขอบคุณยืดยาว เท่าที่หญิงชราแก่หง่อมคนหนึ่งพึงจะนึกสรรหาออกมาได้ เป็นคำพูดง่ายๆ แต่ฟังแล้วไพเราะและยิ่งใหญ่เหลือเกินในความรู้สึก

    ปีใหม่ปีนี้ เลยขอเปลี่ยนแปรความฝัน ความตั้งใจจากสิ่งยิ่งใหญ่มาสู่เรื่องเล็กๆ จะพาใจกลับบ้านเสียทีหลังจากตะลอนและเตลิดไปอยู่กับโลกภายนอกมาเนิ่นนาน หันมาสนใจเรื่องราวของคนใกล้ตัวให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่บ้านหรือเพื่อนที่ทำงาน คุยกับลูกให้มากขึ้น เก็บบ้านให้สะอาด ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือที่อยากอ่าน เขียนงานที่ตั้งใจ

    โลกรอบตัวใกล้ๆ มีงานยิ่งใหญ่มากมายไม่ต่างจากงานทางสังคมหรูหรา ห้อมล้อมด้วยคนมีชื่อเสียงมากมาย แต่เราจะทำในสิ่งที่เราทำได้ให้ดีที่สุด

    สัญญากับตัวเองว่า จะกลับมาดูแลและทำสิ่งที่แม้ใครจะเห็นว่าเป็นแค่เรื่องราวเล็กๆ ไม่สำคัญ แต่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับตัวเราเอง บนหลักการ “สุขใจอย่างง่ายงาม” ในปีหมูอ้วนนี้

    ชีวิตมนุษย์จะต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    บางคนเรียกว่าของที่ไม่ใช้แล้ว
    บางคนเรียกว่า ของที่ต้องกำจัด
    แต่คุณยายเรียกมันว่า “ของมีค่า”
    เพราะมีของเหล่านี้ ชีวิตจึงอยู่มาได้
    ของไม่มีค่าสำหรับบางคน
    อาจมีค่ามหาศาลสำหรับอีกคน​

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>อยู่อย่างไร?
    เมื่อเกิดวิกฤตศรัทธาในตัวเจ้านาย</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ถนอมจิต คงจิตต์งาม</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>25 พฤศจิกายน 2549 11:37 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>thanomjit8@yahoo.com

    1 วันมี 24 ชั่วโมง
    แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือน ต้องบอกว่า เกือบ 24 ชั่วโมงนั้นยกให้ที่ทำงาน ยิ่งถ้านับเวลาเดินทางเข้าไปด้วย ต้องใช้เวลาอยู่กับที่ทำงานมากกว่าครอบครัวเสียอีก

    ถึงจะเป็นมนุษย์ที่ขี้เกียจเป็นที่สุด แต่เช้าขึ้นมาก็ต้องตะเกียกตะกายออกไปทำงาน เพราะขืนไปไม่ทันเดี๋ยวโดนไล่ออกได้ บางคนพ่อแม่จะตายยังต้องภาวนาให้ประวิงเวลาสิ้นลมไว้ก่อน เพราะยังทำงานให้บริษัทไม่เสร็จ

    คนที่โชคดีที่สุดในยุคนี้คือ ได้อยู่ในที่ทำงานที่แวดล้อมด้วยตัวการงานที่พอใจ มีเพื่อนร่วมงานที่ดี มีเจ้านายที่มีคุณสมบัติให้ลูกน้องรักใคร่ศรัทธา คืออยู่ในที่ทำงานแล้วมีความสุข

    ในที่ทำงาน “เจ้านาย”เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรามาอยากทำงานหรือไม่ เพราะเป็นผู้มีอิทธิพลที่ดลบันดาลให้สถานที่ทำงานอันใหญ่โตหรูหรากลายเป็นโรงงานนรกและสามารถแปรเปลี่ยนลูกน้องให้มีสภาพเป็นทาสได้ภายในพริบตา

    ดิฉันได้ฟังเรื่องราวประเภทลูกน้องนินทานายมาโดยตลอด เป็นการพาดพิงแบบครบรส มีทั้งชื่นชม ชิงชัง ออกแนวขบขัน ผสมขมขื่น มากน้อยต่างกันไปตามแต่ละองค์กร

    น้องๆ ในแวดวงสื่อมวลชนแอบนินทาหัวหน้าข่าว ว่าไม่เคยสั่งงาน ไม่เคยอ่านข่าวฉบับอื่น มาสายเป็นประจำ ไม่เคยรู้เลยว่าชาวบ้านเขาไปถึงไหนกันแล้ว ไม่เคยช่วยพัฒนาทั้งงานเขียน ทั้งตัวนักข่าว ไม่เคยสนใจว่าคนที่อยู่ในพื้นที่เดือดร้อนเพราะการเขียนข่าวแบบเอามันส์ของหัวหน้า

    เพื่อน ๆ พี่ ในแวดวงข้าราชการสุดเซ็งกับเจ้านายที่ได้ตำแหน่งมา เพราะมีคุณสมบัติแค่อาวุโส เข้าทำนอง แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน อยู่ในวังวนของความเฉื่อยชา เชื่องช้า แล้วเรียกตัวเองว่าเป็นคนสุขุม ไปประชุมที่ไหน ลูกน้องแทบจะเอาปี๊บคลุมหัว อับอายวิสัยทัศน์แต่ละอย่างที่เอ่ยเอื้อนออกมา นั่งเป็นหลับ ขยับเป็นกิน

    ส่วนความยุติธรรมไม่ต้องพูดถึง เกิดมาไม่เคยรู้จัก รู้แต่รักใคร ชอบใคร ดีจริงหรือไม่ ไม่สำคัญ ลื่อนขั้นให้ไว้ก่อน

    ส่วนพวกภาคเอกชนก็ยอมน้อยหน้า เอาแต่ดัชนีเคพีไอขึ้นสมอง คิดแต่ตัวเลขขาดทุน กำไร มองเห็นคนเป็นแค่เครื่องจักรปั๊มเงิน ไม่เคยเรียนรู้คำอื่นนอกจากการตั้งคำถามไล่บี้ลูกน้องว่าทำไม ทำไม แต่ไม่เคยถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกัน

    ออกกฎกติกามารยาทนับร้อย นับพันข้อให้ปฎิบัติ ราวกับอยู่กันในยุคที่มนุษย์ยังใช้หัวคิดเองไม่เป็น

    มาสายเพราะน้ำท่วมซอย กินข้าวเที่ยงกลับช้าไม่กี่นาทีถูกตัดเงิน แต่พอถึงปีบอกโบนัสคิดไม่ทัน ส่วนเงินเดือนเศรษฐกิจไม่ดีปีนี้ให้รอก่อน

    บริษัทจน ผู้บริหารรวยเอา รวยเอา ถอยป้ายแดงเป็นว่าเล่น ลูกน้องบริษัทประเภทนี้ เลยมีบุคลิกเหมือนกันคือต้องแลบลิ้นเลียปาก อาศัยน้ำลายช่วยป้องกันเหงือกแห้ง ปากแห้ง

    ในบรรดาประเภทที่ว่ามา มนุษย์เงินเดือนสรุปกันว่ายังไม่ร้ายเท่ากับ เจ้านายที่เห็นลูกน้องเป็นคู่แข่งของตัวเอง

    สมัยโบราณ เมื่อมีการทำศึก แม่ทัพก็ต้องมีขุนพลคู่ใจที่เชี่ยวชาญด้านต่างๆ คือต้องเก่งกาจชนิดหาจับยาก รบร้อยครั้งถึงจะชนะร้อยครั้ง

    รู้ว่ามีนักปราชญ์ราชบัณฑิต คนดี มีปัญญาอยู่ที่ไหน จะต้องส่งเทียบเชิญมาไว้เป็นที่ปรึกษา จะได้ไม่ต้องไปตั้งต้นเรียนด้วยตนเองทุกเรื่อง แค่รู้จักใช้คนให้เป็นก็เพียงพอแล้ว

    โลกเปลี่ยนไป วิธีคิดของคนกับผู้ใต้บังคับบัญชาก็เปลี่ยนไปด้วย

    ให้สังเกตดูว่า เจ้านายสมัยนี้ มีหน้าที่หลักอยู่ 2 อย่างคือคอยจับผิด กับคอยโยนความผิดให้ลูกน้อง

    มีลูกน้องเก่งๆ ระดับดอกเตอร์ชั้นหัวกะทิกลับกลัวจะดังกว่า คอยนั่งจับผิด ไปไหนทำอะไร ขอดูตารางเวลาให้ละเอียด จะพูดอะไรที่ไหนห้ามเด็ดขาด กลัวพูดแล้วดีกว่า เดี๋ยวเข้าตากรรมการมากกว่า

    แทนที่จะเรียนรู้วิธีสร้างต้นรักให้ลูกน้องจงรักภักดี ยอมเอาความรู้ที่มีมาทำงานให้ตัวเอง มัวแต่เอาเวลาไปคอยจับผิด เข้าทำนองเห็นลูกน้องนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ส่งเอ็มเอสเอ็น ก็หาว่าอู้งาน แทนที่จะคิดว่าเขาฉลาดรู้จักเรียนรู้โลกภายนอก รู้จักใช้การสื่อสารที่ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา

    แทนที่จะคิดทางบวกจะใช้เขาให้เหมาะกับงานอย่างไร กลับใช้อำนาจวาสนาบารมีคอยเหยียบย่ำทำลายให้ย่อยยับ

    ในชีวิตแต่ละคนล้วนต้องมีลูกน้องทั้งนั้น จะเป็นยาม เป็นภารโรงก็ยังต้องมีผู้ช่วยในสังกัดซึ่งคือลูกน้อง

    การเป็นเจ้านายให้เป็นจึงต้องอาศัยทั้งศาสตร์คือ ความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ตนเองเป็นเพื่อให้ลูกน้องยอมรับในความรู้ และมีศิลปะในการผูกใจลูกน้อง

    นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน ขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้บริหารที่จะประสบความสำเร็จต้องมีทีมงานเบื้องหลังที่เป็นกระบี่มือหนึ่งในแต่ละสาขา ถึงจะทำอะไรได้สำเร็จ

    ใจต้องซื้อด้วยใจ ใจต้องแลกด้วยใจเท่านั้น เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียงที่หาให้นั้น ได้มาก็ดี แต่ดีที่สุดคือต้องให้ได้ใจ

    ดิฉันโชคดีได้ทำงานใกล้ชิด คนที่มีวุฒิภาวะเพียงพอ เลยมีโอกาสได้เห็นตัวอย่างดีดี ได้วิธีคิดที่ไม่มีสอนในตำรามากมาย เช่น เมื่อมีข้อผิดพลาดในองค์กร คนแรกที่ต้องผิดคือเจ้านาย ถ้าเป็นภาคเอกชน ภาคธุรกิจ เจ้าของคือคนแรกที่ผิด แค่ลูกน้องพูดไม่ดีกับลูกค้า เจ้าของก็ผิดแล้ว คือผิดที่ไม่รู้จักสั่งสอนเด็ก

    ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง เจ้านายต้องเป็นฝ่ายผิดเสมอ ต้องคิดแบบเจ้าของ ไม่ใช่ลูกน้องทำผิดก็กล่าวหาว่าเป็นเพราะเรียนน้อย ด้อยสติปัญญา ต้องจับดองไว้ใต้ถุนแผนก

    หน้าที่ของเจ้านายคือช่วยอำนวยความสะดวกในทุกวิถีทางให้ลูกน้องทำงานได้สำเร็จ ติดขัดตรงไหนต้องช่วยจัดการ ไม่ใช่มองข้อเสนอของลูกน้องเป็นข้อกล่าวหา

    แทนที่จะมองเป็นการแสดงความเห็น กลับกลายเป็นมองว่าพูดเพื่อเรียกร้อง

    คำสามคำที่ดิฉันจำแม่น และถูกฝังหัวมาตลอดให้ปฎิบัติกับคนอื่น คือ น้ำใจ น้ำคำ น้ำเงิน
    ต้องมีน้ำใจกับลูกน้อง ถามไถ่ทุกข์สุข ครอบครัวเขาเป็นอย่างไร มีลูกกี่คน ลำบาก หรือสับสนในชีวิตแค่ไหนต้องใส่ใจ

    มีน้ำใจอย่างเดียวไม่พอ ถ้าเป็นลูกหลานในบ้านคิดแค่ครั้งสองครั้งก็พูดได้ แต่ก่อนพูดกับลูกน้อง ต้องคิดสามตลบ ชมเชยต้องให้คนอื่นได้ยิน ตำหนิต้องเชิญมาให้คำแนะนำกันสองต่อสอง อาศัยฐานของความเมตตาเป็นที่ตั้ง

    เหนือสิ่งอื่นใด ต้องดูแลเรื่องน้ำเงิน ไม่ใช่เอาแต่พูดจาดีหลอกล่อใช้งานจนหัวปักหัวปำ เป็นทาสในเรือนเบี้ย ทำงานมาหลายสิบปีจนแก่งั่ก ที่นอนยังไม่มีให้ซุกหัว เจ็บป่วยเป็นไข้เงินจะรักษาตัวยามตกทุกข์ก็ยังไม่มี

    แต่ละปีคุยอวดสื่อกำไรเป็นร้อยล้านพันล้าน กะอีแค่จะเอาเศษเงินหลักล้านมาแบ่งให้ลูกน้องบ้างเถียงกันเป็นปี กลัวสบายน้อยลง

    ศาสตร์แห่งการใช้คน ต้องยกให้นักการเมือง สังเกตไหม แม้จะแก่เฒ่า เรียนต่ำเรียนสูงไม่สำคัญ แต่เก่งในเรื่องศิลปะการครองใจคน มีที่ปรึกษาระดับดอกเตอร์ชั้นหัวกะทิ เดินตามหลังเต็มไปหมด

    การมีคนหนุ่มที่ยอมซูฮกคนแก่ด้วยความนับถือในประสบการณ์ ศรัทธาในคุณธรรม นั่นแหละคือศิลปะการใช้คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

    ฟังความแล้วเลยสงสาร เพื่อนพ้องน้องพี่ที่ต้องอยู่ในวังวนของคนที่สักแต่ว่า มีตำแหน่งให้เรียกว่า เจ้านาย จะว่าเป็นเจ้านายป้ายแดง ประเภทมือใหม่หัดขับก็ไม่ใช่ เพราะตัวเลขอายุก็ไม่ใช่น้อย มีประสบการณ์ผ่านงานกันมาแล้วทั้งนั้น

    แต่เป็นเจ้านายมือไม่ถึงเสียมากกว่า ไม่ถึงทั้งศาสตร์ทั้งศิลป์ และคุณธรรมเบื้องต้น รู้ว่าควรทำอะไรก็ไม่สนใจศึกษา แต่ดิฉันว่า การศึกษายังน้อยกว่า คุณธรรมเบื้องต้นที่มีอยู่ในตัว

    คนเราไม่มีหลักธรรมนำทาง คิดเท่าไหร่ ก็เดินเป๋ไปเป๋มา เหมือนแม่ปู ทำอะไรก็เป็นไม้หลักปักเลน เป็นแก่นให้ใครเกาะไม่ได้ ขืนใครไปยึดเข้าก็พากันซวนเซไปหมดอย่างเดียว ขาดภาวะผู้นำอย่างรุนแรง

    หากเราเป็นลูกน้อง ก็คงยากจะไปจัดการ ต้องให้เป็นการบ้านของผู้บริหารที่สูงกว่า เขาอยากได้องค์กรปู คือเป๋ไปเป๋มา ก็เรื่องของเขา ส่วนเราคนตัวเล็กๆ ก็ต้องหัดคิดเพื่อสุขภาพจิตที่ดีของตัวเองว่า

    เจอเจ้านายไม่ดี ถือว่าเรามีโอกาสให้แสวงหา ให้เรียนรู้ ดูเป็นตัวอย่าง
    แต่ถ้าเจอเจ้านายเข้าท่า ให้ถือว่ามีครูดี


    ทุกคนต้องเป็นทั้งเจ้านายคนอื่นและเป็นเจ้านายตัวเองทั้งสิ้น

    ท่านพุทธทาสสอนไว้ ไม่ให้ยึดติดกับสิ่งที่เป็น แต่เมื่อถึงคราวต้องเป็นอะไรก็แล้วแต่ “ต้องเป็นให้เป็น”

    เมื่อศรัทธาเจ้านายไม่ได้ ก็อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้ความหมาย คนอื่นจะเป็นอย่างไรเรื่องของเขา หันมาทำตัวเองให้น่าศรัทธาก็พอ

    เวลาของคนเรามีน้อย อย่าต่อสู้และต่อต้านในสิ่งที่เสียเวลา ตัวอย่างมีให้เห็น เลือกเป็นในแบบที่เราศรัทธา

    วันหนึ่ง เมื่อเราเป็นเจ้านาย ประวัติศาสตร์จะได้ไม่ซ้ำรอยให้ลูกน้องมานั่งนินทาลับหลัง...
    ...แบบที่เรากำลังว่าเขานี่ไง


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    เกิดเป็นไม้ใหญ่ ร่มรื่น
    ให้เหล่านกกาได้อาศัย
    หลบฝน หลบร้อน คุ้มภัย
    แสนอุ่นใจเมื่อได้พักพิง ….
    ใช่ยืนนิ่ง เป็นซากไม้…ที่ใกล้ตาย


    เคปทาวน์ อาฟริกาใต้​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ในหลวง"พระราชทานพรแก่ปวงชนชาวไทยเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>31 ธันวาคม 2549 20:28 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000160047
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>คลิกที่นี่ เพื่อฟังพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานพรแก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2550 ความว่า "ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ เป็นเวลาที่เราควรจะระลึกถึงกัน และอวยพรแก่กัน เพื่อเป็นนิมิตหมายอันดีของปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน

    ในปีที่แล้วบ้านเมืองของเรามีเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายอย่าง บางเรื่องก็กระทบกระเทือนถึงฐานะทางเศรษฐกิจ การคลัง การเมือง ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่และความมั่นคงปลอดภัย สมควรที่เราชาวไทยจะร่วมมือกันแก้ไขให้คลี่คลายไปโดยเร็ว แต่เรื่องที่ควรแก่การชื่นชมก็มีอยู่มิใช่น้อย

    ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอย่างมาก ที่จัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ให้อย่างงดงาม ยิ่งใหญ่ และในคราวที่เจ็บป่วย ก็พากันแสดงความวิตก ห่วงใย อย่างจริงใจ ข้าพเจ้ายังรู้สึกประทับใจอยู่ ที่ได้เห็นท่านทั้งหลาย ไม่ว่าเพศใด วัยใด อยู่ในฐานะหน้าที่ใด พร้อมเพรียงกัน มาให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้า กำลังใจนี้เป็นพลังอย่างสำคัญที่ทำให้คนเรากล้าเผชิญกับปัญหาและอุปสรรค สามารถดำเนินชีวิตและประกอบกิจการงานให้ประสบผลสำเร็จที่ดีได้

    ในปีใหม่นี้ ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งจิตตั้งใจให้มั่นอยู่ในความเมตตา ปรารถนาดี ให้กำลังใจแก่กันและกัน เพื่อแต่ละคนจะได้มีกำลังใจ กำลังกาย กำลังความคิด สร้างสรรค์ความเจริญมั่นคงให้แก่ตน แก่ชาติบ้านเมือง ได้ดั่งที่ตั้งใจปรารถนา

    ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยเคารพบูชา จงอภิบาลรักษาท่านทุกคน ให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย ให้มีความสุขกาย สุขใจ และประสบแต่สิ่งที่พึงประสงค์ ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน"



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    และ
    http://www.managerradio.com/Radio/D...012&mmsID=1012/1012-1204.wma+&program_id=4520

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2006
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ในหลวงพระราชทาน ส.ค.ส. ปี พ.ศ. 2550 แก่พสกนิกรชาวไทย</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>31 ธันวาคม 2549 20:50 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>




    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ส.ค.ส. พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในปี พ.ศ. 2550 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในฉลองพระองค์พระกรยาวสีเหลือง ปักตราสัญลักษณ์งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ประทับบนพระเก้าอี้ ทรงฉายกับคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง และลูกสุนัขที่เป็นเหลนของคุณทองแดงอีก 9 สุนัข พระกรหนึ่ง ทรงอุ้มลูกสุนัข 1 สุนัข อีกพระกรหนึ่งทรงถือกล้องถ่ายภาพ ที่พื้นแทบพระบาท มีลูกสุนัขอีก 8 สุนัข พร้อมด้วยคุณทองแดงหมอบเฝ้าอยู่

    มุมบนด้านซ้าย มีตราสัญลักษณ์และตัวหนังสือสีเหลืองทอง ข้อความว่า ส.ค.ส. พ.ศ. 2550 สวัสดีปีใหม่ มุมบนด้านขวา มีตราสัญลักษณ์ พร้อมข้อความภาษาอังกฤษ ว่า HAPPY NEW YEAR 2007 ด้านล่างมีข้อความว่า ขอจงมีความสุขความเจริญ และมีตัวเลขสีแดง ระบุวัน เดือน ปี ที่ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ ว่า 2006 12 28 1800 ด้านล่างสุดมีข้อความ กส. 9 ปรุง 29 23 05 พ.ค. 49 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ช.พรหมบุตร ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at The Suwannachaad Publishing C.Phrombutr Publisher

    กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานแผ่นนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ ทุกใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม










    </TD></TR></TBODY></TABLE>****************************************
    และ
    [​IMG]
    http://www.dailynews.co.th/dailynew...ault.aspx?Newsid=112601&NewsType=1&Template=1



    <TABLE id=Table9 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left height=118><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff height=32><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>
    กำลังใจคือพลังสำคัญ










    </TD></TR></TBODY></TABLE>








    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left width="100%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left>
    • พรปีใหม่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2007
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE id=Table9 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left height=118><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff height=32><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>ต้อนรับปีใหม่ด้วยการปลูกไม้สิริมงคล
    http://www.dailynews.co.th/dailynew...ault.aspx?Newsid=112591&NewsType=1&Template=4

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left width="100%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left>
    [​IMG]
    ใครที่ตื่นขึ้นมาในวันนี้คงรู้แล้วว่าวันนี้เป็นวันแรกของปีพุทธศักราช 2550 วันแรกหรือวันเริ่มต้นของสิ่งต่าง ๆ นี่น่าจะประเดิมด้วยการทำอะไร ๆ ที่ดีงามให้เป็นสิริมงคลกับชีวิต อย่างนี้ของมันแน่เหมือนแช่แป้งอยู่แล้วคือ “คิดดี ทำดี ย่อมได้รับผลดี” ดังที่พุทธภาษิตว่าไว้ “การไม่ทำชั่ว ทำให้เกิดสุข” หรือที่ได้ยินอยู่บ่อย ๆ ที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”...รู้อย่างนี้แล้วเลือกเอาสิ่งที่อยากได้ดีหรือชั่ว...สุดแท้แต่ใจจะเลือกเดินไป....

    “ไม้สิริมงคล” คงเคยได้ยินมานาน วันนี้วันแรกของปี การปลูกต้นไม้นับเป็นสิ่งที่ดี นอกจากจะช่วยในเรื่องระบบนิเวศ ทำให้โลกเกิดความสมดุลแล้วยังทำให้ผู้ปลูกมีจิตใจที่ผ่อนคลายลง สำหรับการปลูกไม้มงคลตามความเชื่อของคนไทยนั้น คนไทยมีความเชื่อที่หลายหลาก แม้แต่การปลูกต้นไม้ในบ้านยังต้องมีความเชื่อต่าง ๆ นานาสารพัด เชื่อว่าปลูกต้นชนิดนั้นจะดี จะมีลาภยศสรรเสริญเจริญสุข ต้นไม้บางชนิดปลูกเพื่อเสริมดวง บางชนิดปลูกเสริมวาสนา ปลูกชนิดนั้นไม่ดีมีแต่อัปมงคล ทำให้ชีวีอับเฉา ทำให้คนในบ้านมีเคราะห์ เจ็บไข้ได้ป่วย มิใช่แค่นำต้นไม้ที่มีชื่อดีเป็นสิริมงคลมาปลูกในบ้านเท่านั้น การที่จะปลูกต้นอะไรนั้น ต้องดูทิศทางด้วย มิใช่สักแต่ว่าปลูกไปเฉย ๆ มุมไหนก็ได้ภายในบ้านภายในสวนตามใจคนปลูก แล้วก็ต้องดูวันที่จะปลูกด้วย ต้นอะไรปลูกวันอะไรถึงจะดี เช่น วันอาทิตย์ให้ปลูกพืชที่มีลักษณะหัวหรือเหง้า พวกขิง ข่า ตะไคร้ ว่าน เป็นต้น หรือการที่ใครจะปลูกต้นอะไรนั้นต้องดูปีเกิดด้วยถึงจะเป็นสิริมงคล หรือต้นไม้บางชนิดก็ห้ามนำมาปลูกในบ้าน เช่น ต้นตะเคียน ไม่ควรปลูกเพราะความเชื่อที่ว่า ภายในต้นตะเคียนมีสิ่งเร้นลับสิงสถิตอยู่ หรือ ต้นดอกทอง มีความเชื่อว่า หากบ้านใดปลูกต้นดอกทองไว้ในบ้านจะทำให้คนในบ้านเกิดคดีความเกี่ยวกับการผิดประเวณี (ข้อมูลจากหนังสือไม้สิริมงคล โดยบุษบา จังพานิชย์ กุล) ชบา ก็เป็นต้นไม้อีกชนิดหนึ่ง ที่มีผู้นิยมนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านมากพอสมควรเลยทีเดียว เพราะชบา มักจะออกดอกบานสะพรั่ง อยู่ตลอดเวลา และสีของดอกก็ยังมีให้เลือกมากมาย ทั้งสีแดงสีเหลือง ขาว ชมพู ส้ม ดูเพลินตายิ่งนัก แต่ในสมัยโบราณนั้น ไม่นิยมปลูกต้นชบาเอาไว้ในบริเวณบ้าน เพราะดอกชบานั้น มักจะถูกนำไปใช้เมื่อเกิดเรื่องที่ร้าย ๆ ขึ้น เช่น นำดอกชบามาร้อยเป็นพวง แล้วนำไปสวมคอหญิง-ชาย ที่เป็นชู้ หรือลักลอบได้เสียกัน รวมทั้งนำพวงมาลัยดอกชบา ไปสวมคอนักโทษ ที่กำลังจะถูกประหารอีกด้วย จึงเชื่อกันว่า ดอกชบา เป็นสัญลักษณ์การเล่นชู้ หากจะปลูกก็ควรไว้นอกรั้วบ้าน (ที่มา : www.paisarn.com)

    เรื่องนี้เป็นความเชื่อ ใครไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่...แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ปลูกต้นอะไรก็ดีทั้งนั้นเพราะพืชพรรณทุกชนิดมีประโยชน์มากมายมหาศาล อย่างน้อยก็ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ดิน จริงไหม?

    ทิศทั้งแปดทิศนั้นจะปลูกต้นอะไรดี มีข้อมูลจาก “ไพศาลดอทคอม” เขาว่าไว้ดังนี้......

    ทิศเหนือ ให้ปลูกต้นพุทรา ต้นว่าน ต่าง ๆ ต้นมะตูม ต้นทุเรียน ต้นหว้า จะเสริมดวงให้เจริญก้าวหน้า มีวาสนาบารมี ปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัยีผู้ใดมาคิดร้ายรังแกไม่ได้ ทิศใต้ ให้ปลูกต้นมะพลับ ต้นมะม่วง ต้นมะปราง ต้นโตนด และต้นหว้าจะเสริมดวงให้รุ่งเรือง มีความมั่งคั่งร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ทิศตะวันออก ให้ปลูกต้นไผ่ ต้นมะพร้าว ต้นกุ่ม ต้นสารภี จะเสริมดวงชะตาให้แข็งแรงไม่มีเรื่องทุกข์ใจ ไม่เจ็บป่วยทุกข์ร้อน มีแต่ความรุ่งเรืองอยู่ดีมีสุข ทิศตะวันตก ให้ปลูกต้นมะขาม ต้นมะยม ต้นพุทรา จะเสริมดวงให้แคล้วคลาดจากเภทภัยคดีความและเรื่องอื้อฉาวทั้งปวง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ให้ปลูกต้นทุเรียน ต้นสวาด ไม้ดอกนานาชนิดที่บูชาพระ เช่น ดาวเรือง บัว มะลิ จะเสริมดวงให้มีความสุขสบายร่มเย็นตลอดไป ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนวุ่นวายในบ้าน ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ให้ปลูกต้นยอ ต้นสารภี ต้นกุ่ม ต้นไผ่ จะเสริมดวงให้เจริญก้าวหน้ามีลาภยศสูงส่ง ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง สำเร็จในอาชีพ มีเกียรติมีคนเคารพนบนอบ และป้องกันสิ่งชั่วช้าทั้งปวง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ให้ปลูกต้นมะนาว ต้นมะกรูด ต้นสมป่อย ต้นมะงั่ว จะเสริมดวงให้มีผู้คนมาชื่นชมรักใคร่ ใคร ๆ ก็เกรงใจและมีแต่ความสุขความราบรื่นในทุกทาง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ (คูน) ต้นขนุน ต้นสะเดา ต้นพิกุล จะเสริมดวงให้ชีวิตมีความคงมั่น ปราศจากความผิดพลาดและคดีความใด ๆ ทำกิจใดจะสำเร็จไร้อุปสรรค ดึงให้ไกลจากอบายมุขและสิ่งชั่วร้ายให้โทษแก่ชีวิต

    สำหรับไม้มงคลที่นิยมปลูกกันมีดังนี้ กระดังงา ไผ่ กระบองเพชร พิกุลทอง กล้วยไม้ พุทธรักษา กวนอิมเงินกวนอิมทอง พู่ระหง กุหลาบ เฟื่องฟ้า แก้ว มรกตแดง โกสน มะขาม ขนุน มะลิ ข่อย โมก เข็ม ราชินีหินอ่อน คล้า (พุทธรักษาน้ำ) วาสนาราชินี วาสนาอธิษฐาน เงินไหลมา สนฉัตร ทรงบาดาล สักทอง ทองหลาง แสงจันทร์ ทองอุไร หมากนวล ธรรมรักษา หมากผู้หมากเมีย บอนสี ออมเงินออมทอง บัว โป๊ยเซียน กระดังงา ไผ่
    ขอยกตัวอย่างไม้มงคลและวิธีการปลูกดังนี้....(ข้อมูลจาก www.yodtip.com).
    • พุทธรักษา
    ชื่อของพรรณไม้ชนิดนี้มีความหมายที่ดีมาก เพราะหมายถึง การมีพระพุทธเจ้าคุ้มครองรักษาให้อยู่เย็นเป็นสุข ดังนั้นจึงเกิดความเชื่อว่าหากครอบครัวใดปลูกต้นพุทธรักษาครอบครัวนั้นก็จะมีแต่ความสุขโดยที่ไม่มีเรื่องร้าย ๆ เข้ากล้ำกรายให้ได้รับความเดือดร้อนเลย ต้นพุทธรักษานั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองมิให้มีภยันตรายกับสมาชิกภายในบ้าน รวมทั้งคอยปกป้องดูแลบ้านเรือนให้ร่มเย็นปลอดภัย และไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใด ๆ ขึ้นเลย

    เคล็ดปฏิบัติ การปลูกต้นพุทธรักษานั้น สมาชิกภายในบ้านสามารถปลูกได้ทุกคนหรืออาจจะช่วยกันปลูกคนละไม้คนละมือก็ได้เช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้สัมพันธภาพในครอบครัวแน่นแฟ้นขึ้น วันพุธเป็นวันที่เหมาะสำหรับการปลูกต้นไม้ชนิดนี้มากที่สุด เพราะคนโบราณเชื่อว่าหากต้องการปลูกต้นไม้เพื่อช่วยส่งเสริมสิริมงคลก็ควรจะปลูกวันพุธ เพื่อต้นไม้นั้นจะได้ออกดอกบานสะพรั่งอยู่เสมอและเป็นสิริมงคล ส่งเสริมดวงชะตาให้ผู้ ปลูกเจริญรุ่งโรจน์
    • เงินไหลมา
    ต้นเงินไหลมานี้มีใบที่มีสีสันสวยงาม ตรงกลางใบมีเส้นคล้ายสีเงิน และยังช่วยเพิ่มความสวยงามได้เป็นอย่างดี เงินไหลมาถือว่าเป็นนามที่เป็นมงคลยิ่งเพราะเงินทองที่ไหลมาเทมาสู่บ้านเรือนและสมาชิกทุกคนในบ้านจะทำให้ครอบครัวนั้นมีฐานะดี มั่งมีศรีสุข และร่ำรวยโดยทั่วหน้า คนโบราณเชื่อว่าหากบ้านใดปลูกต้นเงินไหลมาไว้ภายในบริเวณบ้าน ก็จะมีเงินทองไหลมาเทมา ร่ำรวย จนเป็นเศรษฐี เช่นเดียวกับชื่อของต้นไม้เลยทีเดียว

    เคล็ดปฏิบัติควรจะปลูกไม้มงคลนี้ในวันอังคารจึงจะดีที่สุด เพราะคนโบราณเชื่อกันว่าต้นไม้ที่ให้ใบสีสันสวยงามจะมีพลังมาก ในวันนี้ต้นเงินไหลมานั้นเหมาะที่จะปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตัวบ้าน เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพลังของต้นไม้ ผู้คนในบ้านจึงได้รับสิริมงคลจากต้นไม้ชนิดนี้อย่างเต็มที่
    • ออมเงินออมทอง
    ต้นออมเงิน ออมทองนี้ เป็นต้นไม้ที่เหมาะกับการปลูกในยุคที่เศรษฐกิจกำลังซบเซาเช่นนี้ ต้นไม้ชนิดนี้มีชื่อที่เป็นมงคล การออมเงิน ออมทอง ก็คือการเก็บหอมรอมริบ การสะสมเงินทอง หรือมัธยัสถ์รู้จักใช้จ่ายเงินทอง คนโบราณเชื่อว่าหากบ้านใดปลูกต้นออมเงิน ออมทอง เอาไว้ในบริเวณบ้านก็จะทำให้สมาชิกภายในบ้านรู้จักใช้เงินอย่างประหยัดจึงมีเงินทองเก็บออมไว้มากมาย และเงินทองก็ไม่รั่วไหลอีกด้วย

    เคล็ดปฏิบัติต้นออมเงิน ออมทองนั้นเหมาะที่จะปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเพราะเชื่อกันว่าจะช่วยเพิ่มพลังความเป็นสิริมงคลได้มากกว่าในทิศอื่น ควรจะปลูกต้นไม้ชนิดนี้ในวันอังคาร เพราะคนโบราณเชื่อว่าต้นไม้ที่มีใบสวยงามเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจนั้น ถ้าได้ปลูกในวันอังคารก็จะสมบูรณ์แข็งแรง มีใบสดสวยไว้ให้เชยชมและยังเสริมโชคชะตาให้อีกด้วย
    • ธรรมรักษา

    ชื่อของต้นไม้ชนิดนี้มีความหมายดี เพราะธรรมรักษาก็มาจากธรรมะ คือการรักษาสิ่งดีงาม หรือมีคุณธรรมซึ่งควรเคารพบูชา ดังนั้นธรรมรักษาจึงหมายถึงการช่วยคุ้มครองรักษาให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง และคนในบ้านก็จะมีคุณธรรมอันดีงาม คนโบราณเชื่อกันว่าหากบ้านใดที่ปลูกต้นธรรมรักษา สมาชิกทุกคนในบ้านก็จะได้รับการปกป้องคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากอันตราย และมีความสงบสุข

    เคล็ดปฏิบัติ ควรปลูกต้นธรรมรักษาในวันพุธ เพราะคนโบราณเชื่อว่าต้นไม้ที่ให้ดอกสวยงามนั้น ถ้าหากปลูกในวันพุธดอกจะบานสะพรั่งเต็มต้นเลยทีเดียว ทิศที่เหมาะจะปลูกต้นธรรมรักษาก็คือทิศใต้หรือทิศตะวันออกของบ้าน เลือกทิศใดทิศหนึ่งที่คุณคิดว่าเหมาะจากนั้นลงมือปลูกได้ ต้นธรรมรักษาก็จะเจริญเติบโตพร้อมทั้งคอยปกป้องรักษาสมาชิกในบ้านให้พบแต่ความสงบสุข
    • ทรงบาดาล
    ต้นทรงบาดาลนั้นจะผลิดอกสีเหลืองบานสะพรั่งตลอดทั้งปี จนทั่วต้นกลายเป็นสีเหลืองเรืองรองราวกับทองคำเปล่งประกายเลยทีเดียว ทรงบาดาลก็คือผู้เป็นใหญ่แห่งนาคพิภพในชั้นบาดาล หรือผู้เป็นใหญ่ในโลกบาดาลนั่นเอง ดังนั้นคนโบราณจึงเชื่อกันว่าหากบ้านใดปลูกต้นไม้ชนิดนี้ ก็จะช่วยส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงในชื่อเสียงและฐานะให้เกรียงไกรเป็นที่รู้จักกว้างขวาง และได้รับการยกย่องจากผู้คนทั่วไป นอกจากนี้ยังเชื่ออีกว่าต้นทรงบาดาลจะช่วยให้สมาชิกในบ้านนั้นร่ำรวยเงินทอง เพราะประกายทองสุกใสของดอกจะช่วยเพิ่มโชคลาภและทรัพย์สินให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น

    เคล็ดปฏิบัติควรปลูกต้นไม้ชนิดนี้ในวันเสาร์ เพราะคนโบราณเชื่อว่าต้นไม้ที่ช่วยเสริมสิ่งดี ๆ ที่เป็นมงคลให้แก่บ้าน ถ้าได้ปลูกในวันเสาร์ก็จะช่วยเสริมพลังให้แก่ต้นไม้อีกทางหนึ่ง การปลูกไม้มงคลไว้ในบ้าน เชื่อกันว่าจะเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่อยู่ในบ้าน อย่างไรก็ตามอย่าลืมเตือนสติตนเองด้วยสำนวนที่ว่า “จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเรา”

    สวัสดีปีใหม่ 2550.
    สุโขสโมสร

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE id=Table9 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left height=118><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff height=32><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>‘ชำระชีวิต’ ศักราชใหม่ ‘คาถา 6 คำถาม’ วิธีสร้างสุข ‘สู้ปีหมูไฟ’
    [​IMG]
    http://www.dailynews.co.th/dailynew...ult.aspx?ColumnId=33067&NewsType=2&Template=1
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left width="100%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left>
    ตามการนับปีแบบสากล...เมื่อถึงวันที่ 1 ม.ค. 2550 ก็หมายความว่าล่วงเข้าสู่ “ปีใหม่” เป็นที่เรียบร้อย หรือต่อให้นับกันแบบไทยโบราณหรือแบบจีน...ในอีกไม่ช้าก็ต้องเป็นปีใหม่อยู่ดี ซึ่งปี 2550 นี้เป็น “ปีกุน-ปีหมู” และในทางโหรระบุว่าเป็น “ปีหมูไฟ” ที่ทั้งด้านการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม-ชีวิตส่วนตัว “ต้องระวังเป็นพิเศษ !!”

    แต่อันที่จริงจะ “หมูไฟ-หมูดุ-หมูบ้า” ชีวิตก็มีสุขได้

    ขอเพียงเรารู้จักที่จะ “สร้างสุขให้เป็น” ให้ถูกทาง !!

    และสำหรับเมืองไทยที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ ในทางพุทธศาสนาก็มีคำสอนในการ “สร้างสุขอันเป็นมงคลต่อชีวิต” อยู่มากมาย หรือหากใครยังไม่รู้ว่าจะเลือกวิธีไหนดีก็อาจจะลองวิธีหนึ่งวิธีนี้ วิธีที่ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ศิษย์ ท่านพุทธทาส ได้แนะนำชาวพุทธไว้ในหนังสือชื่อ “วิธีสร้างความสุขสดใสให้ชีวิต”

    ทั้งนี้ วิธีการสร้างความสุขสดใสให้ชีวิต ในแนวทาง “บริสุทธิ์สุขสดใสด้วยพระรัตนตรัยคุ้มครอง” ของหลวงพ่อปัญญา หลักใหญ่ใจความคือท่านแนะนำให้ “หยุดสำรวจตรวจสอบตัวเอง” เพื่อให้รู้-ให้ตระหนักถึงตัวตนของเราในช่วงที่ผ่าน ๆ มา เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนทำให้ชีวิตตนเองสดใส สดชื่น เยือกเย็น ตลอดปี
    หยุดสำรวจตรวจสอบตัวเองโดยใช้สิ่งที่ “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ขอเรียกว่า “คาถา 6 คำถาม” ดังนี้.....

    1.ชีวิตเราที่ผ่านมานี้ เป็นอย่างไร ?

    2.สุขภาพกาย สุขภาพจิต เป็นอย่างไร ?

    3.เศรษฐกิจส่วนตัวเรา ในครอบครัวเรา เป็นอย่างไร ?

    4.เราได้รับใช้ประเทศชาติ อย่างไร ?

    5.เราทำงานด้วยความเสียสละ ซื่อสัตย์ ขนาดไหน ?

    6.เราทำด้วยความสำนึกในหน้าที่ อย่างไร ?

    นอกจาก 6 คำถามนี้ หลวงพ่อปัญญายังใช้ “ฯลฯ” ต่อท้ายไว้ด้วย ซึ่งโดยนัยก็น่าจะหมายถึงเราอาจจะตั้งคำถามอื่นเพิ่มเติมได้ด้วย แต่ก็ คงต้องเป็นคำถามเพื่อการสำรวจตรวจสอบตัวเองในทางสร้างสรรค์-โดยธรรม

    สำรวจตรวจสอบตัวเองด้วยคำถามแล้วอย่างไรต่อ ? หลวงพ่อปัญญาท่านก็ได้ขยายความเอาไว้เพื่อความเข้าใจด้วย อาทิ...ด้านจิตใจ “ธรรม ชาติของจิตมันประภัสสร มันผ่องใส ต่อมาถูกเปลี่ยนไปเป็นความโลภ อยากได้ในสิ่งต่าง ๆ เป็นความโกรธขุ่นเคือง เป็นความหลงมืดมัว แล้วมันก็เกิดอะไรขึ้นต่อมาอีกหลายประการ ทำให้ผิดศีล ผิดธรรม ด้วยประการต่าง ๆ เป็นความทุกข์เกิดขึ้น เราจะอยู่กับความโง่ หรือจะอยู่กับความฉลาด เราจะอยู่กับความโลภ หรือจะอยู่กับความไม่โลภ อยู่กับความโกรธ หรือจะอยู่กับความไม่โกรธ ลองพิจารณาดูให้ดี

    เมื่อพิจารณาแล้วเราเห็นว่า อ้อ ! ความโลภไม่ดี ความโกรธไม่ดี ความหลงก็ไม่ดี เราจะทำอย่างไร ? ไม่อยู่ด้วยความโลภทำอย่างไร ? ก็ต้องพอใจในสิ่งที่เรามีเราได้ ให้รู้ความต้องการของธรรมชาติร่างกาย อย่าได้สร้างความทุกข์เพราะอะไร ๆ ที่เราต้องการเกินขอบเขต”...หลวงพ่อปัญญา ท่านว่าไว้อย่างนี้
    นี่ก็คือปรับจิตให้คิดแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” นั่นเอง !!

    ด้านหน้าที่การงาน หลวงพ่อปัญญาชี้ไว้ตอนหนึ่งว่า...“อย่าทำงานด้วยจิตใจระทมทุกข์ ด้วยความเบื่อหน่ายงาน เพราะถ้าเบื่อแล้วมันก็เป็นทุกข์ ทำงานเป็นทุกข์มันก็ลงโทษตัวเอง ทำร้ายตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องของคนมีปัญญา แต่มันเป็นเรื่องของความโง่ความหลง เราจึงทำในรูปอย่างนั้น

    จงตั้งต้นชีวิตใหม่ ด้วยการถืออุดมการณ์ว่า งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน บันดาลสุข ทำงานให้สนุก เป็นสุขขณะทำงาน แล้วท่านก็จะสบายใจในการทำงานนั้น ๆ”

    ด้านชีวิตครอบครัวที่สดใส เมื่อตั้ง “คาถาคำถาม” สำรวจตรวจสอบตนเองอย่างมีสติแล้ว หลวงพ่อปัญญาบอกว่าก็จะพบว่า...“นับตั้งแต่เป็นหนุ่มเป็นสาวได้เข้าพิธีแต่งงานกัน ได้เซ็นสัญญาว่าจะลงเรือลำเดียวกัน คือชีวิตครอบครัว เราทั้งสองก็ต้องมีความตั้งใจว่า จะอยู่กันด้วยธรรมะ ไม่ อยู่ด้วยกิเลส กิเลสนั่นมันเป็นผลพลอยได้ แต่การอยู่ด้วยธรรมะนั่นเป็นเนื้อแท้ของชีวิตการแต่งงาน

    ผู้อยู่กันโดยธรรมะมีฐานจิตใจอย่างไร ? คืออยู่กันด้วยความเสียสละแก่กันและกัน ผู้ชายก็อยู่ด้วยจิตที่คิดเสียสละเพื่อผู้หญิง ผู้หญิงก็คิดเสียสละเพื่อผู้ชาย ไม่ใช่อยู่เพื่อเอา ถ้าอยู่เพื่อเอามันก็เกิดเป็นปัญหายุ่งยาก ต่างคนต่างจะเอา เกี่ยงงอนกัน เถียงกัน ด้วยเรื่องจะเอาอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้า เราอยู่เพื่อให้ มันก็ไม่มีอะไรที่เราจะเอา”

    “ชีวิตของเราท่านทั้งหลายจะเรียบร้อยมีความสุขเพราะเราทำให้มันเกิดสุข สุขจะไม่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่รู้ว่าความสุขคืออะไร ? ไม่รู้ว่าความทุกข์คืออะไร ? แล้วไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ ในสิ่งที่จะให้เกิดความสุขความสงบทางจิตใจ ไม่เอาศีลธรรมมาเป็นเครื่องประกอบชีวิต ชีวิตก็จะตกต่ำ ดังคำที่ท่านเจ้าคุณพุทธทาสเคยเทศน์ว่า...ศีลธรรมไม่กลับมาโลกาวินาศ ศีล ธรรมกลับมาโลกาสงบเย็น”...หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุชี้ทางสร้างสุข
    “ปีใหม่” เป็นโอกาสเหมาะที่จะ “ตั้งคาถาคำถาม” ตนเอง

    “ตรวจสอบตนเองหาจุดบอด” แล้วเร่ง “ปรับปรุงแก้ไข”

    “ปีหมูไฟ” จะดุ-จะแรงแค่ไหน...ก็ “สร้างสุข” ได้ !!!!.

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. bcbig_beam

    bcbig_beam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +3,246
    สวัสดีปีใหม่สมาชิกทุกๆท่านครับ
    ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายดลบันดาลให้ทุกๆท่านมีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ"
    ปรารถนาสิ่งใดขอให้สมความปรารถนาทุกประการ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา [​IMG]


    แง่คิด ‘ทำกุศล’ ปีใหม่ ‘ขอทาน’ ให้เงิน ‘บุญ-บาป??’
    วันที่ : 30 ธันวาคม 2549
    http://www.dailynews.co.th/dailynew...ult.aspx?ColumnId=33018&NewsType=2&Template=1

    <TABLE id=Table9 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left height=118><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff height=32><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>แง่คิด ‘ทำกุศล’ ปีใหม่ ‘ขอทาน’ ให้เงิน ‘บุญ-บาป??’


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left width="100%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left>เทศกาล “ปีใหม่” หลายธุรกิจ-หลายอาชีพจะได้รับอานิสงส์มีผลกำไร-มีรายได้อู้ฟู่ ซึ่งหนึ่งในธุรกิจ-หนึ่งในอาชีพที่จะ “ฟูเฟื่อง” ในช่วงนี้ด้วยก็คือ “ธุรกิจแก๊งขอทาน-อาชีพขอทาน” เพราะปีใหม่ไม่เพียงเป็นช่วงที่จะมีผู้คนล้นทะลักตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนนิยม “ทำบุญ-ทำทาน-ทำกุศล” ด้วย !!

    ปีใหม่ “แหล่งท่องเที่ยว-ศาสนสถาน” เป็นจุดทำเงิน

    ไม่แปลกที่จะพบเห็น “ขอทาน” หนาตากว่าปกติ !?!

    ว่ากันถึง “ขอทาน” เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เสนอ ครม.ปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมการขอทาน พ.ศ.2484 ที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะกรณี “แก๊งขอทาน-มาเฟียขอทาน” โดยหนึ่งในสาระสำคัญคือเพิ่มเติมบทลงโทษ เช่นมาตรา 22 ระบุว่า... ผู้ใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน ขนส่ง หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีการอื่นใดให้ผู้อื่นขอทาน หรือโดยใช้ผู้อื่นเพื่อประโยชน์ในการขอของตนเอง ต้องระวางโทษทางอาญา จำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท

    และในมาตรา 22 วรรคสอง ระบุว่า หากเป็นการกระทำต่อบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ผู้สูงอายุ ผู้เจ็บป่วย คนพิการ หรือหญิงมีครรภ์ หรือเป็นการกระทำตั้งแต่สองคนขึ้นไป กระทำโดยนำผู้อื่นจากภายนอกราชอาณาจักรให้มาขอทานในราชอาณาจักร กระทำโดยผู้ปกครองดูแลของคนขอทาน หรือกระทำโดยพนักงานเจ้าหน้าที่กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ดูแล หรือกระทำโดยใช้กำลังบังคับต่อคนขอทาน หรือโดยเป็นนายหน้า หรือแสวงหาผลประโยชน์จากการขอทานของบุคคลอื่น มีโทษ จำคุกเพิ่มเป็นไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 1 แสนบาท

    นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.ขอทานใหม่ยังกำหนดด้วยว่า ผู้ใดทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสเพื่อการขอทาน มีโทษ จำคุกตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และปรับไม่เกิน 160,000 บาท หากเป็นการกระทำตามมาตรา 22 วรรคสอง มีโทษเพิ่มขึ้นอีกกึ่งหนึ่ง รวมทั้งในมาตรา 24 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือให้ขอทานหลบหนีระหว่างถูกส่งตัวเข้าสถานสงเคราะห์หรือเป็นผู้รับการสงเคราะห์ตาม พ.ร.บ. มีโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าความผิดดังกล่าวนี้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยมี หรือใช้อาวุธต้อง จำคุกเพิ่มเป็นไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    “ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ใหม่แล้ว และยังแนะนำให้มีการกำหนดโทษเพิ่มขึ้นอีก ส่วนจะเพิ่มเท่าไหร่อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา”...ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รมว.การพัฒนาสังคมฯ ระบุ และว่า... พร้อมกันนี้ได้กำหนดให้มีการว่ากล่าวตักเตือนผู้ที่ขอทานด้วยความจำเป็นเป็นครั้งแรกแล้วปล่อยตัวไป สำหรับขอทานร่างกายและจิตใจปกติหรือคนพิการที่ได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายแล้วจะฝึกอาชีพให้ ขอทานวิกลจริตจิตฟั่นเฟือนให้กรมสุขภาพจิตดูแล และคนขอทานชราหรือคนพิการที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรือผู้ที่ป่วยด้วยโรคติดต่อไม่อันตรายให้ช่วยเหลือตามควรแต่ละกรณี หากเป็นโรคติดต่ออันตรายก็ให้เข้ารับการตรวจรักษา

    ด้าน ขวัญเมือง บวรอัศวกุล รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เสริมว่า... คนพิการที่ร้องรำทำเพลง ดีดสีตีเป่า แสดงตามสาธารณะ ถือว่าเป็น “วณิพก” ซึ่งกฎหมายใหม่จะแยกจากขอทาน โดยการทำงานจะร่วมกันหลายฝ่าย เช่น กระทรวงมหาดไทย แรงงาน สาธารณสุข กทม. อบต. ตำรวจ กรณีขอทานต่างชาติก็จะประสานกระทรวงการต่างประเทศส่งตัวกลับ ทั้งนี้ การแก้ไข พ.ร.บ. ก็เพื่อฟื้นฟูคนด้อยโอกาสที่เคยต้องเป็นขอทาน

    “ผลที่คาดไว้คือขอทานคงน้อยลง แต่จะให้หมดไปเลยคงยาก เพราะคนไทยชอบทำบุญทำทานให้เงินขอทาน ทางแก้คือเราต้องตัดใจไม่ให้ เพื่อไม่ให้เขาเป็นขอทาน” ...รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมฯระบุ

    ว่ากันถึงเรื่องขอทาน แล้วเกี่ยวโยงถึงเรื่องการทำบุญ พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว บอกว่า... คนตั้งใจทำบุญย่อมได้บุญ แต่ “การทำบุญที่ถูกต้องจะต้องไม่สร้างปัญหา หรือความเดือดร้อนให้กับคนอื่น เพราะจะทำให้เราไม่สบายใจ ทุกข์ใจ ไม่มีความสุข”

    “ก็ขอฝากรัฐบาลเรื่องการจัดระเบียบขอทาน อยากให้รัฐบาลจัดโซนนิ่งหรือดูแลเขาให้ดี อาจจะมีการตั้งตู้ทำบุญเพื่อให้เขาเหล่านี้มีรายได้ ไม่ต้องมานั่งขอทานตามถนนหนทางต่าง ๆ ถ้ารัฐบาลทำได้ปัญหาเรื่องแก๊งขอทานหรือมาเฟียขอทานก็จะหมดไป” ...พระพยอมกล่าวในมุมที่จะอย่างไรขอทานคงไม่อาจหมดไปได้ง่าย ๆ

    ขณะที่ พระเทพวิสุทธิกวี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวางแผน มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ก็บอกว่า... แม้แต่การทำบุญกับพระเราก็ต้องเลือกพระดี มีศีลธรรม ซึ่งการทำบุญบางครั้งอาจกลายเป็นการส่งเสริมให้คนทำบาป ถ้าการทำบุญไปสร้างปัญหาและความเดือดร้อนให้กับสังคมหรือบุคคลอื่น เป็นเช่นนี้เราก็ต้องยกเว้น

    “เมื่อเราทำบุญแล้วเกิดภาพลักษณ์ไม่ดี สร้างความเดือดร้อน มีกฎหมายห้าม เหมือนเป็นการทำบุญกับโจร มันไม่ดี ลักษณะเช่นนี้เราก็ต้องหลีกเลี่ยง เราควรทำบุญแบบรู้จักเลือกบุคคลและความเหมาะสม รวมถึงเลือกวัตถุที่จะให้ ตามคำสอนของพระพุทธองค์”...พระเทพวิสุทธิกวีร่วมให้แง่คิด

    เป็นแง่คิดที่ดีสำหรับคนที่จะ “ทำกุศลในเทศกาลปีใหม่”

    “ให้เศษเงินขอทาน” ก็เป็นหนึ่งในวิธีทำกุศลของคนไทย

    คำถามคือ...ให้แล้วได้บุญอันบริสุทธิ์ล่ะหรือ ????.

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    *******************************************

    ‘เคล็ดเด็ด’ ปีหมู2550 ‘12 นักษัตร’ กับ ‘เดือนดี-เลขมงคล
    วันที่ : 29 ธันวาคม 2549
    http://www.dailynews.co.th/dailynew...ult.aspx?ColumnId=32968&NewsType=2&Template=1

    <TABLE id=Table9 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left height=118><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff height=32><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>‘เคล็ดเด็ด’ ปีหมู2550 ‘12 นักษัตร’ กับ ‘เดือนดี-เลขมงคล


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left width="100%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left>เรื่องของดวงชะตาเป็นเรื่องที่คนไทยจำนวนไม่น้อยยังคงให้ความเชื่อ ถือหรืออย่างน้อยก็เป็นประเภทฟังหูไว้หู-รู้ไว้ไม่ประมาท ซึ่งเรื่องปลีก ย่อยที่เกี่ยวพันกับเรื่องของดวงก็มีหลายด้าน รวมถึง “ปีนักษัตร- เดือน” ที่ “เป็นมิตร-เป็นอริ” และ “เลขมงคล” ตลอดจน “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำปีนักษัตร” ซึ่งสำหรับปีกุน-ปีหมู พ.ศ. 2550 ที่กำลังจะมาถึง...หนึ่งในหมอดูดัง หมอนิด-กิจจา ทวีกุลกิจ มีเรื่องเหล่านี้มาชี้แนะให้ลองพิจารณากัน.....

    “ปีชวด” หมอนิดบอกว่า...คนเกิดนักษัตรปีที่เป็นมิตรกับคนที่เกิด ปีชวดคือ ปีวอก ฉลู มะโรง, ปีที่เป็นอริคือ ปีมะเมีย มะแม เถาะ ระกา, เดือนที่เป็นมิตรคือเดือน เม.ย. ส.ค. ม.ค., เดือนที่เป็นอริคือ มี.ค. มิ.ย. ก.ค., เลขที่เป็นมงคลคือ 1 2 5 9 สำหรับสถานที่หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชากราบไหว้คือ “พระพิฆเนศ”

    “ปีฉลู” ปีที่เป็นมิตรคือ ปีชวด ระกา มะเส็ง, ปีที่เป็นอริคือ ปีมะแม มะเมีย มะโรง จอ, เดือนที่เป็นมิตรคือ เดือน พ.ค. ก.ย. ธ.ค., เดือนที่เป็นอริคือ มิ.ย. ก.ค. ต.ค., เลขที่เป็นมงคลคือ 0 1 2 6 ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชากราบไหว้คือ “เจ้าพ่อมังกรเขียว” หรือ “แซเล่งเอีย” ในกรุงเทพฯ พำนักอยู่ฝั่งตรงข้ามตลาดปีนัง คลองเตย สิ่งที่ใช้บูชาที่ท่านชอบคือ ไข่ไก่ดิบ 12 ฟอง วางเรียงไว้ในกระถางธูป ไหว้เสร็จแล้วอย่าเอากลับ

    “ปีขาล” ปีที่เป็นมิตรคือปีกุน มะเมีย จอ, ปีที่เป็นอริคือ ปีวอก ขาล มะโรง, เดือนที่เป็นมิตรคือ มิ.ย. ต.ค. พ.ย., เดือนที่เป็นอริ เม.ย. ส.ค. เลขที่เป็นมงคลคือ 3 5 7 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรกราบไหว้คือ “เจ้าพ่อเสือ”

    “ปีเถาะ” ปีที่เป็นมิตรคือ ปีจอ มะแม กุน, ปีที่เป็นอริคือ ปีระกา ชวด มะโรง, เดือนที่เป็นมิตร ก.ค. ต.ค. พ.ย., เดือนที่เป็นอริ เม.ย. ก.ย. ธ.ค., เลขที่เป็นมงคลคือ 1 2 8 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชาคือ “เจ้าแม่ทับทิม”

    “ปีมะโรง” ปีที่เป็นมิตรคือ ปีระกา ชวด วอก, ปีที่เป็นอริคือ ปีจอ มะแม ฉลู, เดือนที่เป็นมิตรคือ มิ.ย. ส.ค. ก.ย. ธ.ค., เดือนที่เป็นอริคือ ก.ค. ต.ค., เลขที่เป็นมงคลคือ 1 7 9 0 สถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชากราบไหว้มีอยู่ 2 แห่งคือ “เจ้าพ่อเห้งเจีย” และเจ้าพ่อมังกรเขียว หรือแซเล่งเอีย ตรงข้ามตลาดปีนัง คลองเตย

    “ปีมะเส็ง” ปีที่เป็นมิตรคือ ปีวอก ระกา ฉลู, ปีที่เป็นอริคือ ปีกุน มะเส็ง มะโรง ส่วนปีมะเมียนั้นมีข้อแม้, เดือนที่เป็นมิตรคือ ส.ค. ก.ย. ม.ค., เดือนที่เป็นอริคือ เม.ย. มิ.ย. พ.ย. เลขที่เป็นมงคลคือ 3 5 6 9 แต่ในปีนี้ท่านที่เกิดในปีมะเส็ง “ไม่ควรเสี่ยงโชคใด ๆ หรือหากได้โชคมาก็มักจะเป็นทุกขลาภ” สถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชากราบไหว้ก็มี 2 แห่งคือ “เจ้าพ่อเห้งเจีย” และ “เจ้าพ่อมังกรเขียว” หรือแซเล่งเอีย

    “ปีมะเมีย” ปีที่เป็นมิตรคือ ปีมะแม ขาล จอ, ปีที่เป็นอริคือ ปีชวด ฉลู มะเมีย, เดือนที่เป็นมิตรคือ ก.พ. ก.ค. ต.ค., เดือนที่เป็นอริคือ พ.ค. ธ.ค. ม.ค., เลขที่เป็นมงคลคือ 3 5 7 9 สถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรไปบูชาคือ “เจ้าพ่อม้า” หรือที่ชาวจีนขนานนามท่านว่า “เบ๊เอี๊ย” อยู่ที่ตลาดเก่า เยาวราชในศาลเดียวกันกับเจ้าพ่อกวนอู หรืออีกที่หนึ่งคือ “เจ้าพ่อตากสินมหา ราช” วงเวียนใหญ่ก็ได้

    “ปีมะแม” ปีที่เป็นมิตรคือ ปีมะเมีย เถาะ กุน, ปีที่เป็นอริคือ ปีฉลู ชวด มะโรง, เดือนที่เป็นมิตรคือ มี.ค. มิ.ย. พ.ย., เดือนที่เป็นอริ เม.ย. ธ.ค. ม.ค., เลขที่เป็นมงคลคือ 0 1 2 7 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรไปกราบไหว้คือ “เจ้าพ่อ ม้า” หรือเบ๊เอี๊ย ที่ตลาดเก่าเยาวราช หรือ “เจ้าพ่อตากสินมหาราช” วงเวียนใหญ่ ก็ได้ เช่นเดียวกับปีมะเมีย

    “ปีวอก” ปีที่เป็นมิตรคือ ปีมะเส็ง มะโรง ชวด, ปีที่เป็นอริคือ ปีขาล, เดือนที่เป็นมิตรคือเดือน เม.ย. พ.ค. ธ.ค., เดือนที่เป็นอริคือ ก.พ., เลขที่เป็นมงคลคือ 1 5 6 8 สถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านควรบูชากราบไหว้คือ “เจ้าพ่อเห้งเจีย” หรือ “เจ้าพ่อพระกาฬ” ที่ จ.ลพบุรี

    “ปีระกา” ปีที่เป็นมิตรคือ ปีมะโรง มะเส็ง ฉลู, ปีที่เป็นอริคือ ปีเถาะ ชวด จอ, เดือนที่เป็นมิตรคือ เม.ย. พ.ค. ม.ค., เดือนที่เป็นอริคือ มี.ค. ต.ค. ธ.ค., เลขที่เป็นมงคลคือ 2 5 6 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชากราบไหว้คือ “เจ้าพ่อมังกรเขียว” และ “พระนเรศวรมหาราช”

    “ปีจอ” ปีที่เป็นมิตรคือ ปีเถาะ ขาล มะเมีย, ปีที่เป็นอริคือ ปีมะโรง ฉลู ระกา, เดือนที่เป็นมิตรคือ มี.ค. ก.พ. มิ.ย., เดือนที่เป็นอริคือ เม.ย. ก.ย. ม.ค., เลขที่เป็นมงคลคือ 3 4 5 8 สถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ควรบูชากราบไหว้คือ “เจ้าพ่อเสือ” หรือจะเป็น “ไต่ฮงกง” มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ก็ได้

    “ปีกุน” คนปีนักษัตรที่ถือว่าเป็นมิตรกับท่านที่เกิดปีกุนคือ ปีขาล เถาะ และมะแม, ปีที่เป็นอริคือ ปีมะเส็ง และวอก, เดือนที่เป็นมิตรคือเดือน ก.พ. มี.ค. ก.ค., เดือนที่เป็นอริคือ เดือน พ.ค. พ.ย., เลขที่เป็นมงคลคือ 3 4 8 0 ส่วนสถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนเกิดปีกุนควรไปบูชากราบไหว้คือ “เจ้าพ่อเสือ”

    พร้อมกันนี้ หมอนิดยังทิ้งท้าย ซึ่งทีม “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ก็ขออนุญาตพ่วงด้วย กล่าวคือ...”ในปี 2550 ขอให้ทุกท่านมีความสุขสมหวังในสิ่งถูกศีลธรรม และแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายต่าง ๆ พร้อมทั้งห่างโรค-ห่างภัย ทั่วทุกคน...”
    ทั้งนี้ “เรื่องดวง-เรื่องเคล็ด” นั้น...ใครเชื่อ-ไม่เชื่อก็สุดแท้แต่

    ใครที่เชื่อ...ข้อมูลที่แจกแจงมาข้างต้นอาจจะพอเป็นแนวทาง

    สร้างสิริมงคล-สร้างความมั่นใจ-สร้างอะไรดี ๆ ในปีใหม่ !!!!.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน


    วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10523​

    ปีใหม่สัญญาใจ 10 ประการ


    โดย ดร.ชลวิทย์ เจียรจิตต์ ภาควิชาสังคมวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ



    เมื่อการเปลี่ยนผ่านกาลเวลา ทฤษฎี คุณค่านิยม (Value Theory) ที่เปรียบเทียบเสมอว่า มนุษย์มีทรรศนะรักดีที่จะเปลี่ยนเสมอ ตัวแปรควบคุมยาก คือ ตัวแปรภายใน คือสภาวะจิตใจ จิตที่มุ่งอยากจะ แต่ตัวแปรภายในต่อต้าน เพราะค้านความรู้สึกกิเลสขั้นหยาบ อยากได้ อยากมี อยากเป็นท่านประธานคณะความมั่นคงแห่งชาติ เล่าถึงฝรั่งมองไทย ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้อวด อื่นๆ ผู้เขียนไม่กังวลใจเพราะฝรั่งหัวแดงนิสัยเช่นนี้ก็ไม่ใช่ย่อย แต่คนไทยฟังไว้ ปรับก็จะดีหาน้อยไม่

    คุณค่านิยมแสดงพลังตามเงื่อนเวลาที่พลังมวลชนขับเคลื่อน บางที ปีใหม่ บางครั้งเข้าพรรษา ใกล้ปีใหม่อยากให้คนในสังคมไทยๆ ลองปรับเปลี่ยนใจ 10 ประการ

    1.มีความพอเพียง พอเพียงเรื่องการดำรงอยู่ ไม่ลดค่านิยมที่สมดุล การกิน การใช้สิ่งของ รวมทั้งอยากได้ อยากมี อยากเป็น ยึดเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริ

    2.มีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ซื่อสัตย์ในการจัดการที่ชัดเจน ให้สัญญากับตนเองต้องจัดการให้เรียบร้อยกับเรื่องที่วางแผนจะดำเนินการ

    3.มีความคิดเชิงบวกเสมอ มองทุกสิ่งในทางดี มีคุณค่า มองโลกอย่างสดใส ตื่นวันใหม่มีแต่ใจที่เบิกบาน ไม่นินทา ว่าร้าย อิจฉา มองน้ำ มีตั้งครึ่งแก้วเสมอ

    4.รักในสิ่งที่ทำ จะให้ความรักในทุกมิติของการกระทำ รักที่จะพูด รักที่จะทำงานของตนเอง รักในการแก้ปัญหาทุกๆ ด้าน รักคนรอบข้าง บอกเสมอ "รักทุกคน" อย่างบริสุทธิ์ใจ

    5.พูดแต่สิ่งดีเป็นมงคล คำพูดที่ดี ส่อสำเนียงเสียงประสานถึงที่มาของชาติตระกูล การพูดแต่คำดี ไม่พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ ย่อมนำมาซึ่งความเป็นมงคลต่อชีวิต

    6.ซื่อสัตย์ต่อสังคมและผู้อื่น เคารพกฎเกณฑ์ จารีต ธรรมเนียมอันดีงามของสังคมไทย ซื่อสัตย์ต่อสิทธิของผู้อื่น ไม่ก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคล เห็นใจ เข้าใจผู้อื่นเสมอ

    7.มีความคิดสร้างสรรค์ พยายามหาทางออกของชีวิตหลายๆ ด้าน สร้างสรรค์สิ่งดีงามมองทุกๆ อย่างรอบด้าน 360 องศา สร้างสรรค์ในการทำงานมีแง่คิดมุมมองที่หลากหลาย

    8.เชื่อมั่นตนเอง หลักสำคัญในการเชื่อมั่นตนเอง คือ ศรัทธาในตนเอง ดำรงตนอย่างเชื่อมั่น อดีตที่ผ่านมา พรุ่งนี้ย่อมดีกว่าวันนี้ มีความสดชื่น เป็นคนสำคัญ มีจุดยืนในการพัฒนาตนเองเสมอ

    9.ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เวลาควรอยู่ในจุดสมดุลคือ ครอบครัว ส่วนตัว และการงาน ทุกคนมีเวลาเท่ากัน ประการสำคัญคือ ใช้ไม่เท่ากัน จึงต้องเปรียบเวลาคือ สิ่งที่มีค่าที่สุด จงรักษายึดถือใช้เวลาในชีวิตนี้ให้มีความสุขและสนุกกับชีวิต

    10.มีเป้าหมายกับทุกช่วงของชีวิต มนุษย์ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตต้องมีการวางแผนที่ดีมีคุณภาพ การวางแผนสูตรสำเร็จคือ ตั้งเป้าหมาย มียุทธศาสตร์ มองพันธกิจให้สมดุล เป้าหมายคือแผนการดำเนินชีวิตที่ไม่ให้ไปในทิศทางอื่น แต่ต้องมีหลายเป้าหมาย เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์

    ปีใหม่เป็นเรื่องของใจที่อยากเปลี่ยน สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ ปล่อยแล้ววางบ้าง อายุเด็กแต่จะสุขคือรักษาใจ หากยังยึดถือก็ทุกข์ทั้งชีวิต การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ขับเคลื่อนโดยคน ตำแหน่งต่างๆ ไม่มีค่า คนในตำแหน่งต่างๆ ทำให้มีคุณค่าทำให้มีค่า บวก ลบ ยิ่งได้คนบ้า บ้านเมืองล่มจม

    อยากให้สิ่งใหม่ๆ เป็นสิ่งสดใสของเมืองไทย สังคมดี เศรษฐกิจมั่นคงยั่งยืน

    คนไทย ไม่โง่ จน เจ็บ

    นักการเมืองมีความละอายชั่ว กลัวบาป

    คนหนุ่มใฝ่รู้คู่คุณธรรม

    คนทำงานมุ่งมั่นสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวม

    อาวุโสชนขอให้อนุชนกราบไหว้ระลึกถึงคุณงามความดี บางครั้งบางทีทว่าให้สังคมอุดมปัญญามากไป ผู้เขียนพาดพิงถึงใคร รำคาญใจบ้าง กราบอโหสิด้วยใจ ทุกอย่างแสดงความเห็นเป็นไปเพื่อแผ่นดินไทย ให้ลูกหลาน สร้างฐานสังคมน่าอยู่ อาวุโสชน คนมีกิเลส เราๆ ท่านๆ โกรธเกลียดไปทำไม? ไม่นานสังขารไปกับอากาศแล้ว

    สวัสดีปีใหม่ 2550 ขอความสมดุล มีกับทุกๆ ท่านตลอดไป



    *********************************************


    วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10523​

    ความสุขปีใหม่ เข้าใจ "สังคมานุภาพ"


    โดย ประเวศ วะสี



    เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่พุทธศักราช 2550 อันเป็นกลางพุทธศตวรรษที่ 26 ผมขออวยพรให้เพื่อนคนไทยทุกคนประสบความสุขสวัสดี อะไรเป็นความดีงาม เป็นมงคล เป็นขวัญ เป็นศรี ขอให้สิ่งดีๆ เหล่านั้นจงอุบัติแก่ท่านทั้งหลายโดยทั่วกัน อวย แปลว่าให้ พร คือ วระหรือสิ่งที่ประเสริฐ อะไรที่เป็นสิ่งที่ประเสริฐท่านพึงให้แก่กันและกัน การให้หรือการมีน้ำใจเพื่อเพื่อนมนุษย์จะทำให้ท่านมีความสุข มีความภูมิใจในตัวเอง มีความปีติ มีความรู้สึกว่ามีศักดิ์ศรี มีความกล้าหาญ เราถูกสอนมาว่าทำอะไรต้องเอาความรู้ เป็นตัวตั้งเสียจนเคยชิน ความรู้มีความสำคัญ แต่ถ้าเอาความรู้เป็นตัวตั้งเราจะมีความกลัว ไม่มั่นใจ กลัวเราจะไม่รู้จริง กลัวคนอื่นจะรู้ดีกว่าเรา ต้องเอาใจเป็นตัวตั้งจึงจะพบความสุข การมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์จะทำให้เกิดความกล้าหาญไม่กลัวอะไร การที่มีน้ำใจต่อคนอื่นทำให้รู้สึกมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีศักยภาพที่จะทำอะไรดีๆ

    ความรู้สึกว่าตัวเองมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีคุณค่าแห่งความเป็นคน มีศักยภาพที่จะทำอะไรดีๆ จะทำให้มีสุขภาวะอย่างยิ่ง มีความปีติและความสุขซึมซ่านทั้งเนื้อทั้งตัว เป็นความสุขที่แท้จริง อันไม่เกี่ยวกับเงิน ตำแหน่ง หรือยศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆ ทั้งสิ้น

    การมีเงิน มีตำแหน่ง มียศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่อาจมีกับคนทุกคน และไม่แน่ว่าจะอวยให้เกิดความสุขที่แท้จริงได้

    แต่ความรู้สึกมีศักดิ์ศรีและมีคุณค่าแห่งความเป็นคนสามารถเกิดขึ้นกับคนทุกคน และทำให้เกิดความสุขอันประณีตลุ่มลึก อันเป็นความสุขที่แท้จริง

    อันที่จริงมนุษย์มีศักยภาพมากที่จะเข้าถึงความจริง ความดี และความงาม ซึ่งจะทำให้มีความสุขและการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ แต่มนุษย์ก็ถูกจำกัดศักยภาพเป็นอย่างมาก ประดุจถูกจองจำไว้ในคุกที่มองไม่เห็น สิ่งที่มาจำกัดศักยภาพของมนุษย์คือจิตสำนึกและความสัมพันธ์ในสังคม จิตสำนึกที่เล็กและความสัมพันธ์ทางดิ่ง เป็นพันธนาการที่จองจำมนุษย์ไว้ไม่ให้มีศักยภาพ

    เราถูกกักขังอยู่ในจิตสำนึกและทรรศนะอันคับแคบ อะไรที่คับแคบก็จะบีบคั้น การบีบคั้นคือความทุกข์ การหลุดพ้นจากความบีบคั้นคืออิสรภาพ คือความสุข ความสุขคือความเป็นอิสระหลุดพ้นจากความบีบคั้น ความคับแคบคือความไม่จริง ความจริงนั้นกว้างใหญ่ไพศาล สรรพสิ่งทั้งหมดเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะจิตเล็กมนุษย์จึงไม่เข้าถึงความจริงที่ใหญ่ ทำให้เห็นและคิดแบบแยกส่วน ทำให้บีบคั้น ขัดแย้งและรุนแรง

    ถ้าต้องการความสุขต้องมีจิตใหญ่ หรือจิตสำนึกใหม่ (New Consciousness) ที่เข้าถึงความจริง เห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งไปสู่ความเป็นทั้งหมด หรือความเป็นหนึ่งเดียวของทั้งหมด ถ้าเข้าถึงความจริงก็จะประสบความงาม และเกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพธรรมชาติทั้งหมด อันเป็นไปเพื่อความสุขและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

    โครงสร้างทางสังคมกำหนดพฤติกรรมทางสังคม

    สัมพันธภาพทางดิ่งระหว่างผู้มีอำนาจที่อยู่ข้างบนกับผู้ไม่มีอำนาจที่อยู่ข้างล่าง เป็นโครงสร้างที่บีบคั้น ทำให้เกิดความทุกข์ มีการเรียนรู้น้อย และพฤติกรรมเบี่ยงเบนต่างๆ เช่น การเฉื่อยงาน การซ่อนข้อมูล การนินทาว่าร้าย การออกใบปลิว การลอบแทงข้างหลัง ในองค์กรทั้ง 5 ประเภท ล้วนมีสัมพันธภาพทางดิ่ง คือ การเมือง ราชการ การศึกษา ธุรกิจ และศาสนา คนทั้งหมดจึงตกอยู่ในสภาพถูกจองจำในโครงสร้างทางดิ่งขององค์กร

    สังคมใดที่มีสัมพันธภาพทางดิ่ง เศรษฐกิจจะไม่ดี การเมืองจะไม่ดี และศีลธรรมจะไม่ดี และจะไม่มีทางดี ตราบใดถ้ายังไม่ปรับเปลี่ยนสัมพันธภาพที่ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน และสามารถรวมตัวร่วมคิดร่วมทำอย่างกว้างขวาง ที่เรียกว่ามีความเป็นประชาสังคม (Civil Society)

    คนไทยจะมีความสุขและมีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจและจัดความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจ 3 ประเภท ได้อย่างถูกต้อง อำนาจ 3 ประเภท คือ

    1.อำนาจรัฐหรือพลานุภาพ อำนาจรัฐอันมีมาแต่เดิม เป็นอำนาจที่ติดอาวุธ คือมีกองทัพและตำรวจ จึงถือเป็นอำนาจที่ใช้พละกำลัง หรือพลานุภาพ

    2.อำนาจเงินหรือธนานุภาพ ในระบบทุนนิยม เงินมีขนาดใหญ่และมีอำนาจมาก เรียกว่าเป็นธนานุภาพ ตามปกติธนานุภาพก็จะพยายามมาใช้อำนาจรัฐให้เป็นประโยชน์แก่ตน แต่บางครั้งก็จะใช้เงินเข้ามายึดอำนาจทางการเมืองเสียเลย เช่น รัฐบาลทักษิณ เมื่ออำนาจรัฐและอำนาจเงินเข้ามารวมกันจะทำให้อำนาจในสังคมเสียดุลอย่างรุนแรง อะไรที่เสียดุลยภาพอย่างรุนแรงก็จะวิกฤต

    ทั้งอำนาจรัฐและอำนาจเงินล้วนเป็นอำนาจทางดิ่ง (ดูรูป) อำนาจทางดิ่งอาจจะใช้แก้ปัญหาในครั้งโบราณได้ เช่น การเก็บภาษี การควบคุมคน และการต่อสู้กับการรุกรานจากภายนอก แต่ปัจจุบันสังคมมีความซับซ้อนและมีปัญหาเชิงโครงสร้างมากมาย เช่น ความยากจน ความอยุติธรรมในสังคม การรุกรานทางเศรษฐกิจจากภายนอก อำนาจทางดิ่งแก้ปัญหาที่ซับซ้อนไม่ได้ ดังที่รัฐบาลทักษิณมีอำนาจมาก แต่แก้ปัญหาหลักๆ ในสังคมไม่ได้เลย เป็นต้น

    3.อำนาจทางสังคม (สังคมานุภาพ) อำนาจทางสังคมเป็นอำนาจทางราบอันเกิดจากการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำด้วยความเสมอภาค มีการเรียนรู้หรืออำนาจทางปัญญา มีอำนาจของความถูกต้องหรือธัมมานุภาพ ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น การอนุรักษ์วัฒนธรรม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคน ใช้สันติวิธีและแนวทางมัชฌิมาปฏิปทา

    สังคมานุภาพ มาจากคำว่า สังคม+อานุภาพ เพื่อให้ล้อกับพลานุภาพ หรืออำนาจของการใช้พละกำลัง และธนานุภาพหรืออำนาจของการใช้เงิน สังคมานุภาพคือประชาธิปไตยที่แท้จริง+ปัญญานุภาพ+ธัมมานุภาพ ด้วยประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือสังคมานุภาพ (+ปัญญานุภาพ+ธัมมานุภาพ) เท่านั้น สังคมจึงจะมีพลังพอที่จะฝ่าฟันความซับซ้อนของสังคมปัจจุบันไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขได้

    สังคมานุภาพไม่ควรคิดทำลายอำนาจรัฐและอำนาจเงิน แต่ดึงเข้ามาทำงานร่วมกัน อำนาจรัฐและอำนาจเงินก็ควรส่งเสริมความเติบโตของอำนาจทางสังคม เพราะจะทำให้เกิดดุลยภาพของอำนาจทั้งสามในสังคมต่อเมื่อมีดุลยภาพของอำนาจในสังคม สังคมจึงจะมีความเป็นปกติและยั่งยืน

    ปี 2550 คงจะมีความผันผวนทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมาก ขอให้เพื่อนคนไทยตั้งสติให้ดี พยายามทำความเข้าใจเรื่องจิตสำนึกใหม่ และ "สังคมานุภาพ" พลังของจิตสำนึกใหม่ และพลังของ "สังคมานุภาพ" อันมหาศาลเท่านั้นที่จะพาเราออกจากวิกฤตการณ์แห่งยุคสมัย

    ขอให้เพื่อนคนไทยมีความสุขสวัสดี
     
  14. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=320 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=320>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. ภาณุ ปัญจะโรทัย

    ภาณุ ปัญจะโรทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +584
    ได้รับพระวังหน้าเรียบร้อย ขอบคุณครับ บรรจุมาดีมากไม่มีการแตกร้าวและสวยมาก ๆ จะนำไปคล้อยคอประจำครับ
    ภาณุ ปัญจะโรทัย / 081-433-7164 / panpa@cementhai.co.th
     
  16. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ลองไฮไลต์ดูนะครับแล้วจะรู้ว่าโพสว่าอะไร
    อนุโมทนา สาธุครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียน
    คุณpeesut (พระสมเด็จเนื้อผงยาวาสนา คะแนนร้อย)
    คุณnongnooo<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_431036", true); </SCRIPT> (พระสมเด็จหลังเบี้ย)
    คุณขุนท้าว... (พระสมเด็จหลังเบี้ย)
    คุณlittlelucky<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_431213", true); </SCRIPT> (พระสมเด็จหลังเบี้ย)
    คุณkaicp<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_431531", true); </SCRIPT> (พระสมเด็จหลังเบี้ย)
    คุณมีนา (เอ็มเค สุกี้) (พระสมเด็จวังหน้าแบบปัดทอง ,สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าคะแนนร้อย รักสีน้ำเงิน)
    ทั้ง 6 ท่าน ผมจะจัดส่งให้ในวันพฤหัสที่ 4 มค.50 นะครับ เนื่องจากว่ากล่องที่จะใส่พระพิมพ์เหลืออยู่กล่องเดียว พรุ่งนี้ผมจะไปซื้อกล่องมาเพิ่มครับ
    โมทนาสาธุครับ

    คุณkhongbeng (พระสมเด็จหลังเบี้ย)
    ส่วนศิษย์น้อง ไปรับที่บ้านท่านอาจารย์ประถมนะครับ
    โมทนาสาธุครับ

    คุณtokey คุณนักเดินทางจะเป็นผู้ส่งพระพิมพ์ให้นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2007
  18. kwok

    kwok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +4,239
    ร่วมบริจาคค่าขุดบ่อบาดาล สนส บ่อเงินบ่อทอง 500 บาท
    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บทกรวดน้ำที่ผมใช้ครับ

    วันนี้ข้าพเจ้าได้........... ขอให้ คุณบิดา มารดา พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้งหมด ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์,พระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ และทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ผู้มีพระคุณ ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวร ปู่ ย่า ตา ยาย เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ ,พระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช,สมเด็จพระเอกาทศรถ,สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ,พระยาพิชัยดาบหัก ,กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ,กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระสยามเทวาธิราช ,พระภูมิ-เจ้าที่ที่บ้านข้าพเจ้า ,แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน ,ท่านผู้เสกทุกท่าน ,เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้าและพระกรุวัดพระแก้วทุกท่าน,ท่านผู้เสกทุกท่าน ,เจ้าของและผู้สร้างวัตถุมงคลของวังหน้า-กรุวัดพระแก้ว-วัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ , เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย แม่พระโพสพ พระภูมิ-เจ้าที่ พระฤาษีทุกๆตน พระพิรุณ พยายมราช นายนิริยบาล ทั้งท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล คุณพระศรีรัตนตรัยและเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา ขอให้มาอนุโมทนาในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ด้วยเทอญ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อิมินาปุญญะกัมเมนะ ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้า,ภรรยา และครอบครัว ได้ .............................. ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่ คุณบิดา มารดา พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้งหมด ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ พระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ,ตัวข้าพเจ้าและทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ผู้มีพระคุณ ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวร ปู่ ย่า ตา ยาย เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ ,พระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช,สมเด็จพระเอกาทศรถ,สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ,พระยาพิชัยดาบหัก ,กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ,กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระสยามเทวาธิราช ,พระภูมิ-เจ้าที่ที่บ้านข้าพเจ้า ,แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน ,ท่านผู้เสกทุกท่าน ,เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้าและพระกรุวัดพระแก้วทุกท่าน, ท่านผู้เสกทุกท่าน เจ้าของและผู้สร้างวัตถุมงคลของวังหน้า-กรุวัดพระแก้ว-วัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ , เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย แม่พระโพสพ พระภูมิ-เจ้าที่ พระฤาษีทุกๆตน พระพิรุณ พยายมราช นายนิริยบาล ทั้งท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล คุณพระศรีรัตนตรัยและเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา ท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านทั้งหลายที่ท่านได้สุข ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้าอุทิศไปให้นี้ จงเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้ถึงพระนิพพานในปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้าโน้นเทอญ ฯ

    พุทธังอนันตัง ธัมมังจัรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจโยโหนตุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...