พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คอนเฟิร์มเศรษฐกิจ ปี"51เผาหลอก-ปีนี้เผาจริง
    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBd09TMHdNUzB3TVE9PQ==


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    จําเลยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยในปี"51 และปี"52 ถูกเชิญขึ้นสู่เมรุเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนฌาปน กิจ บ้างก็ว่าปี"51 อาจเพียงแค่เผาหลอก ปี"52 หนักกว่าเพราะถึงขั้นเผาจริง

    ที่หนักกว่านั้นคือคงลุกลามไปขั้นเก็บกระดูกกันเลยทีเดียว

    จำเลยดังกล่าวไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นสิ่งที่คนไทยและทั่วโลกรับทราบเป็นอย่างดีนั่นคือ วิกฤตการเงินโลกที่เริ่มแผลงฤทธิ์มาตั้งแต่กลางปีที่แล้วจากปัญหาสินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ของสหรัฐ

    ต้นเหตุนี้ยืนยันได้ดีจากคำเล่าของพอล ครุกแมน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี"51 ซึ่งพูดไว้นานแล้วว่า ภาวะฟองสบู่ในราคาบ้านของสหรัฐจะเป็นต้นกำเนิดของปัญหาอันเลวร้าย

    และเขาได้ยืนยันให้ชัดอีกครั้งเมื่อเขายอมรับในต้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาว่า จากการเห็นขนาดขอบเขตของวิกฤตการเงินที่กำลังแผ่ลามไปทั่วโลกเวลานี้แล้ว สร้างความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก

    "สิ่งที่ผมพลาดไป และคนอื่นๆ ก็พลาดไปด้วย คือความรุนแรงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับระบบการธนาคารที่สหรัฐมีอยู่ ซึ่งโดยปกติแล้วได้รับการปก ป้องอย่างดี แต่ภาคการเงินที่คู่ขนานไปกับระบบการธนาคาร คือสถาบันการเงินต่างๆ ที่ทำหน้าที่เหมือนกับธนาคาร แต่ไม่มีการดูแลอย่างเข้มงวดเท่า กลับกลายเป็นต้นกำเนิดแห่งปัญหาทั้งปวง" ครุกแมนกล่าว



    แต่แน่นอนการเดินหน้าสู่พิธีกรรมเผาจริงกระทั่งถึงเก็บกระดูก วิกฤตการเงินโลกคงไม่ใช่เพียงจำเลยเดียว

    ปัญหาความวุ่นวายของการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิป ไตยบุกปิดล้อมสนามบินนานาชาติทั้งสุวรรณภูมิและดอนเมือง

    โดยใช้คำอ้างต่อสู้ขับไล่รัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนจร จนทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งรายได้หลักของประเทศต้องชะงักลงในฉับพลันทันที ก็เป็นอีกจำเลยหนึ่ง

    ส่วนความรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยระหว่างจำเลยทั้งสองฝ่ายจะมีสัดส่วนเป็นเท่าใด และภาวะเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ขั้นตอนฌาปนกิจจริงหรือไม่ เหตุปัจจัยที่มาเป็นอย่างไร อยากชวนให้ร่วมกันใคร่ครวญ



    คงยังจำกันได้เมื่อสถาบันการเงินใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐอย่างเลห์แมน บราเธอร์ส ซึ่งถือครองหลักทรัพย์มูลค่า 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ได้ออกแถลงการณ์หลังช่วงเที่ยงคืนตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 11.00 น. ของวันที่ 15 ก.ย. 51 ตามเวลาในไทยว่า บริษัทจะยื่นเรื่องขอพิทักษ์ทรัพย์สินภายใต้กฎหมายล้มละลายของสหรัฐ

    โดยการล้มละลายเกิดขึ้นหลังจากบริษัทประสบปัญหาจากวิกฤตซับไพรม์ มีการขาดทุนเป็นวงเงินมหาศาล

    การล้มละลายของวาณิชธนกิจแห่งนี้ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบการเงินโลก เพราะมีธนาคารหลายแห่งทั่วโลกที่เข้าไปทำธุรกรรมทางการเงินข้องเกี่ยวกับเลห์แมนฯ การล้มเป็นโดมิโนจึงเกิดขึ้น

    เช่น บริษัท เมอร์ริล ลินซ์ วาณิชธนกิจ บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินชั้นนำของสหรัฐ ที่ขาดทุนมหาศาลจากซับไพรม์เช่นเดียวกันก็ได้ตกลงขายกิจการให้กับธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา

    ไม่กี่วันต่อมา บริษัทอเมริกันอินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป หรือ "เอไอจี" กลุ่มบริษัทประกันภัยและ ให้บริการทางการเงินชั้นนำของโลก ต้องขอกู้เงินจากธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องวงเงิน 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 80% ของทุนจดทะเบียน เพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาดการเงิน มิให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    แม้การลงทุนโดยตรงต่อเลห์แมนของสถาบันการเงินไทยจะเล็กน้อย หากฟังจากคำบอกเล่าของนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ระบุ สถาบันการเงินของไทยเข้าไปซื้อตราสารหนี้และปล่อยสินเชื่อให้กับเลห์แมนฯ มีมูลค่า 6.4-6.7 พันล้านบาท หรือมีสัดส่วนเพียง 0.0009% ของการปล่อยสินเชื่อทั้งระบบของธนาคารพาณิชย์จำนวน 7 ล้านล้านบาท

    ส่วนบริษัทอเมริกันอินเตอร์ แนชชั่นแนล แอส ชัวรันส์ จำกัด หรือเอไอเอ ในเมืองไทย บริษัทลูกของเอไอจี ก็ยืนยันสถานะการเงินแข็งแกร่งมาก และวงเงินที่เกี่ยวเนื่องกับบริษัทแม่ก็น้อยมาก



    แต่ปัญหาที่เห็นได้ชัดและเกิดขึ้นต่อภาคการผลิตจริงนี่สิสำคัญ และกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตทั้งของชาวไทยและเทศทั่วโลก

    นั่นคือ กิจการการค้า การผลิตหลายประเภทประกาศล้มละลาย เลิกจ้างพนักงานเป็นแสนเป็น ล้านคน

    เพียงแค่เดือนต.ค.51 ก็มีชื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายออกประกาศดังนี้ สเตอร์ลิง แอร์เวย์ส สายการบินต้นทุนต่ำในเดนมาร์ก ประกาศล้มละลาย หลังจากที่เจ้าของกิจการอย่าง ฟอนส์ กลุ่มลงทุนยักษ์ใหญ่จากไอซ์แลนด์ ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก เนื่องจากพิษวิกฤตการเงินโลก

    เวิร์ลพูล คอร์ป ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อดังจากสหรัฐ ประกาศปลดพนักงาน 5,000 อัตรา หรือคิดเป็น 6.8% ของพนักงานทั้งหมด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บริษัทต้องประสบปัญหากำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 3 ลดลง 6.9% มาอยู่ที่ 163 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5,656.1 ล้านบาท)

    ไทมส์ อิงก์ บริษัทสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของโลกจากสหรัฐ จ่อลอยแพพนักงานซึ่งไม่ได้ระบุจำนวนไว้ ภายใต้แผนปรับโครงสร้าง เพื่อลดต้นทุน และผนวกรวมธุรกิจในเครือเหลือเพียง 3 ธุรกิจ

    ด้านบีพี บริษัทน้ำมันชื่อดังของยุโรป มีแผนปลดพนักงานเพิ่มเติมจากเดิมที่ประกาศไว้ 5,000 อัตรา หลังจากที่อุตสาหกรรมพลังงานต้องเผชิญกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความต้องการน้ำมันที่เกิดขึ้น

    ส่วนเจเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) บริษัทผลิตรถยนต์อันดับ 1 ในสหรัฐ แม้ได้ขอความช่วยเหลือเป็นเงิน 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากรัฐบาลสหรัฐ เพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการผลิตรถยนต์ระหว่างจีเอ็มกับไครสเลอร์ โดยเงินช่วยเหลือดังกล่าวอยู่ในรูปเงินทุน และการที่รัฐบาลเข้าไปซื้อหนี้เสียของสินเชื่อเพื่อการซื้อรถยนต์ แต่ต่อมาก็หนีไม่พ้นต้องประกาศปลดพนักงานกว่า 30,000 คน



    ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา พอล ครุกแมน ยังออกมาชี้ชัดๆ ว่า บิ๊กทรีแห่งดีทรอยต์ ทั้ง จีเอ็ม, ฟอร์ด, ไครสเลอร์ ที่มีปัญหาการเงินอย่างหนักจะเป็นเหยื่อของกระแสความล้มเหลวระยะยาว

    และคาดว่าบรรดาสมาชิกรัฐสภาและทำเนียบจะมีความช่วยเหลือระยะสั้นออกมา ท่ามกลางเศรษฐกิจ ที่เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว แม้ว่าในที่สุดแล้ว บริษัทเหล่านี้จะต้องล้มหายตายจากไป

    สิ่งนี้กระทบโดยตรงต่อประเทศไทย โดยนายยงยุทธ เม่นตะเภา ประธานสหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย ออกมาเปิดเผยช่วงกลางเดือน พ.ย.51 ว่า จากการรวบรวมข้อมูลสถานการณ์และแนวโน้มการเลิกจ้างแรงงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ เบื้องต้นพบว่ารถยนต์ค่ายสหรัฐ เช่น ฟอร์ด มีการประกาศรับสมัครให้ลาออก และมีแผนให้พนักงานหยุดงานแต่จ่ายเงินเดือนให้ 75% ตามกฎหมายแรงงานตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค. 51 - 7 ม.ค. 52 เนื่องจากบริษัทแม่มีปัญหา <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ในส่วนค่ายอื่นๆ เช่น โตโยต้า มีแผนจะลดกำลังการผลิตลงตั้งแต่เดือน ธ.ค. 51 - พ.ค. 52 ประมาณ 30% หรือ 40,000 คัน อีซูซุตั้งแต่เดือน ธ.ค. 51 - มี.ค. 52 จะลดกำลังการผลิตลง 10-20% หรือ 30,000 คัน ซึ่งทั้งโตโยต้าและอีซูซุก็มีมาตรการให้พนักงานสมัครใจลาออก

    นอกจากนี้ อีซูซุมีมาตรการให้พนักงานหยุดงานและจ่ายค่าจ้าง 75% ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค. - 7 ม.ค.

    ส่วนจีเอ็มประเทศไทย ได้ออกประกาศภายในบริษัท เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 51 เพื่อแจ้งกับพนักงานว่า บริษัทได้เปิดโครงการสมัครใจลาออก เนื่องจากยอดการผลิตลดลงอย่างมากทั้งสายการผลิตรถเก๋งและรถกระบะ จากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ บริษัทจึงต้องลดกำลังการผลิต มีผลตั้งแต่เดือนธ.ค.51 เป็นต้นไป

    ส่งผลให้บริษัทจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานลง ในระดับ Team Member จำนวน 156 คน และหัวหน้างานระดับ Team Leader จำนวน 102 คน รวม 258 คน เปิดรับสมัครแล้วจนถึงวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา

    พนักงานที่สมัครใจลาออกนอกจากจะได้รับเงินช่วยเหลือตามกฎหมายแรงงานแล้ว จะได้รับเงินช่วยเหลือพิเศษอีก 2 เดือน แต่หากพ้นกำหนดมีพนักงานสมัครใจลาออกต่ำกว่าที่ต้องการ บริษัทจะปรับลดพนักงานตามความเหมาะสมต่อไป



    ขณะที่ธุรกิจอื่นก็มีทยอยเลิกจ้างออกมาต่อเนื่อง

    นายชาลี ลอยสูง เลขาธิการสหพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สมาชิกของสหพันธ์ 20 แห่งได้เลิกจ้างไปแล้ว 2 แห่ง ลูกจ้างกว่า 1,000 คน และมีสถานประกอบการผลิตแอร์ปรับอากาศ (มูจิสึ) ลดพนักงาน 400 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานเหมาช่วง โดยสถาน การณ์วันนี้อาจยังไม่รุนแรง แต่อนาคตหากยอดการสั่งซื้อลดลง ก็จะได้รับผลกระทบอย่างมาก

    ด้านบริษัท กระจกไทยอาซาฮี จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายกระจกทั้งในและส่งออกได้ออกประกาศเปิดให้พนักงานระดับหัวหน้าแผนกขึ้นไป และพนักงานระดับวิศวกร เจ้าหน้าที่ สมัครใจเข้าโครงการลาออก ภายในวันที่ 30 พ.ย. 51 โดยจะจ่ายเงินชดเชยตั้งแต่ 9-21 เท่าของเงินเดือนตามอายุงาน เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้นและเศรษฐกิจถดถอยส่งผลต่อการดำเนินงานอย่างรุนแรง

    แม้ที่ผ่านมาบริษัทจะปรับตัวด้านต่างๆ แต่เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในหสรัฐและยุโรป ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง

    ส่วนผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอียังไม่มีการรวมตัวเลขแน่ชัด แต่โดยหลักธุรกิจเอสเอ็มอีจะรับงานเหมาช่วงจากธุรกิจหลักในประเทศที่เกี่ยวเนื่องโดย ตรงกับธุรกิจต่างประเทศ ฉะนั้นเมื่อธุรกิจโลกทรุดหนัก เอสเอ็มอีในไทยจะเหลืออะไร

    ข้อมูลการว่างงาน "ล่าสุด" ของสำนักงานประกันสังคมในช่วงเดือน ม.ค.-ส.ค.51 พบว่ามีลูกจ้างทั่วประเทศถูกเลิกจ้างงานแล้ว 127,238 คน จากสถานประกอบการ 11,598 แห่ง หรือเฉลี่ยมีคนว่างงานเดือนละ 15,905 คน



    ส่วนสถานการณ์การเลิกจ้างในปี"52 น่าหวั่นใจเป็นที่ยิ่ง จากการประเมินของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่าในช่วงไตรมาส 2 ปี"52 สถานประกอบการจะต้องปลดคนงานทั่วประเทศออกอีก 1.1 ล้านคน จากจำนวนแรงงานทั้งหมด 9 ล้านคน

    ทั้งนี้ จากการสำรวจเบื้องต้นยังมีผู้ประกอบการ ที่ยังไม่แน่ใจจะปลดแรงงานหรือไม่ 50% หรือประมาณ 4.5 ล้านคน

    ที่น่ากังวลแทนพ่อแม่ผู้ปกครองคือ หากผู้จบการศึกษาใหม่ช่วงเดือนมี.ค. 52 ราว 7 แสนคน ไม่มีงานทำอาจทำให้ตัวเลขคนว่างงานขยับไปสูงขึ้นไปอีก

    สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ ออกรายงานล่าสุดระบุว่า ตัวเลขว่างงานของปี"51 อยู่ที่ 5-6 แสนคน แต่ในปี"52 คาดว่าจะเพิ่มไปถึง 9 แสนคน

    นี่คือผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกเท่านั้น ไม่นับรวมผลจากการปิดสนามบิน

    ตัวเลขความเสียหายล่าสุด นายสันติชัย เอื้อจงประสิทธิ์ รองผู้ว่าการด้านการตลาดต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินว่า จากการปิดล้อมสนามบินเป็นเหตุให้ต้นปีหน้าเริ่มตั้งแต่ ธ.ค. 51 - เม.ย. 52 จำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลง 40-50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือนักท่องเที่ยวจะหายไปราว 2.3 ล้านคน รายได้หายไป 8.6 หมื่นล้านบาท ถึง 1.3 แสนล้านบาท

    ดังนั้น จำนวนนักท่องเที่ยวปี"52 ทั้งปีอาจเหลือประมาณ 14 ล้านคน เท่ากับจำนวนนักท่องเที่ยวเมื่อปี"50 จากเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ 16 ล้านคน

    เม็ดเงินที่สูญหายไปถึง 1.3 แสนล้านบาทถือเป็น 10% ของงบประมาณประเทศ



    ตัวเลขเหล่านี้น่าจะเป็นสัญญาณว่าปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเป็นเพียงการเผาหลอก

    แต่ปี"52 การเผาจริงจะเกิดขึ้นพร้อมไปกับการเก็บกระดูก

    เป็นการวัดฝีมือรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าจะพลิกฟื้นชีพจรเศรษฐกิจได้แค่ไหน



    ประมาณการจีดีพีปี2552

    ความเสียหายทั้งจากวิกฤตการเงินโลกและการปิดล้อมสนามบินนานาชาติ จึงนำมาสู่การประมาณการจีดีพีหรืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี"52 ใหม่

    โดยสภาพัฒน์ยืนยันก่อนหน้าการปิดล้อมสนามบินว่าเศรษฐกิจปี"52 จะขยายตัวต่ำกว่า 3% แต่หลังปิดสนามบิน แม้ยังไม่ได้ปรับเป้าใหม่แต่ได้รายงานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่าส่งผลเสียหายต่อ จีดีพีมากถึง 0.5-0.7% เพราะทำให้รายได้ที่จะเกิดในช่วง พ.ย. - ธ.ค. 51 หายไป 146,800 ล้านบาท

    ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีเป้าจีดีพีก่อนปิดล้อมสนามบินที่ 3.8-5% และภายหลังปรับลดลง 1% เหลือ 2.8-4%

    ส่วนสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจปี"52 เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 51 ไว้ที่ 0.9-1.9% ซึ่งยังไม่คิดถึงความเสียหายจากการปิดล้อมสนามบิน

    มาถึงกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังก็ปรับลดประมาณการจากเป้าเดิมที่ 4-5% ลงเช่นกัน เหลือ 0-2% แต่อาจขยายตัวได้ 2% โดยรัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังอย่างต่อเนื่อง

    นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ระบุว่า หากเศรษฐกิจปีหน้าขยายตัว 0-2% ถือเป็นภาวะร้ายแรงในรอบ 10 ปีมาตรการใดที่จะช่วยเยียวยาได้จะเร่งทำทันที
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตั้งสติต้านพิษเศรษฐกิจ ข้อคิดจากผู้หญิงถึงผู้หญิง

    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNeE5BPT0=&day=TWpBd09TMHdNUzB3TVE9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ทุกครั้งที่ภาวะเศรษฐกิจพ่นพิษ นอกจากบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งปิดตัวลงพร้อมลอยแพพนักงาน ผู้ได้รับผลกระทบใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือกลุ่มสตรี ทั้งที่ทำงานแบ่งเบาภาระการเงินของครอบครัวและดูแลภาวะจิตใจของสมาชิกในบ้าน โดยเฉพาะผลกระทบต่อเด็ก

    การเตรียมตัวและเตรียมใจให้เข้มแข็ง จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาลงได้ ดังที่ผู้หญิงหลายๆ คนให้ข้อคิด



    ดร.จรรย์สมร วัธนเวคิน

    ประธานมูลนิธิธนาคารเกียรตินาคิน ประธานก่อตั้งโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ หัวหิน และเดอะ บาราย เจ้าของรางวัลเกียรติยศ "Badge of Honour Awards 2008" ของสหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพสากล (BPW International)

    ดร.จรรย์สมรกล่าวถึงวิธีผ่าฟันวิกฤตว่า "อย่าทำให้ทีมงานของเราเสียกำลังใจ นี่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าคนตื่นตระหนกจะไม่ค่อยคิด แต่หากเรามีสติจะให้กำลังใจซึ่งกันและกัน อย่าท้อแท้"

    นักธุรกิจหญิงเก่งแนะว่า ในการแก้ไขสถานการณ์ทีมงานต้องประสานงานเป็นอย่างดี แก้ไขให้ทันเวลา ต้องมีแผน 1 แผน 2 และแผน 3 และต้องสร้างความเชื่อมั่นให้คนของเราว่า อนาคตเรามีทางออก โลกพัฒนาไปเรื่อยๆ คนต้องมีทางออก จะทำให้ความ เครียดลดน้อยลง

    "ที่สำคัญมากเราต้องมีความเชื่อมั่นและกล้าแสดงออก โดยหนึ่งเราต้องเข้มแข็ง สองเชื่อมั่นว่าฝ่าฟันไปได้ และสามเคารพตัวเองอย่าดูถูกตัวเราซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แล้วเราก็จะมีสติ เมื่อมีสติจะทำให้เกิดปัญญาและจะฝ่าฟันอุปสรรค รวมถึงต้องมีแผนระยะยาวในการฟื้นฟูด้วย"



    กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร

    ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ทายาทท่านผู้หญิงนิรมล-ดร.กร สุริยสัตย์

    "หากเราเปิดใจและมีสติ วิกฤตมีข้อดี บังคับให้เราเปลี่ยน ณ ตอนนี้ไม่ทำไม่รอด ซึ่งนักธุรกิจทุกคนกลับมาดูการทำงานและการบริหารงานและในความเป็นจริง อะไรที่ไม่เคยทำ ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ เราเคยผ่านวิกฤตต้มยำกุ้งมาแล้ว จะทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดชีวิต มันจะเป็นบทพิสูจน์เราในการก้าวผ่านไป"

    นักบริหารหญิงชั้นแนวหน้าที่ยึดหลักการทำงานตามคุณพ่อว่า "ใจสู้ พากเพียร ประหยัด" กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือ การสร้างมาตรฐานคนไทย คนรุ่นใหม่ต้องมีคุณภาพ ต้องมีความรู้และต้องรู้อย่างถ่องแท้ มีอินโนเวชั่น (ริเริ่ม) มีจุดยืนของตัวเองไม่ไหลตามคนอื่น เช่นกันในแง่ธุรกิจต้องหาจุดขายของธุรกิจของเราเอง ต้องมีการสร้างสรรค์ใหม่ๆ ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานและหันกลับมาดูแลผลักดันคนของเราให้มีประสิทธิภาพ



    แสงเดือน ชัยเลิศ

    ผู้ก่อตั้งโครงการรถพยาบาลช้าง บรรพบุรุษรักษ์ป่า ดอยสีเขียว และปลูกบ้านให้ช้าง เจ้าของบริษัทท่องเที่ยวเจมส์ ทราเวลล์ และผู้ก่อตั้งศูนย์บริบาลช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

    เล็ก-แสงเดือน วัย 47 ปี กล่าวถึงผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองว่า เหตุยึดสนามบินปีก่อนช็อกวงการท่องเที่ยวมาก ทั้งที่ช่วงนี้เป็นไฮซีซั่นแต่ยอดต่ำกว่าโลว์ซีซั่น ร้อยละ 80 ลูกค้าที่จองขอยกเลิก ก็พยายามช่วยกันแก้ปัญหา เช่นเดียวกับการดูแลช้างที่ถูกทารุณ 37 เชือก ที่ส่วนใหญ่เป็นช้างพิการ ตาบอด ขาเป๋ หากินในป่าไม่ได้ วิธีเดียวคือ รัดเข็มขัดและช่วยให้ลูกค้าเก่าประชาสัมพันธ์ให้ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    "เศรษฐกิจแบบนี้ต้องประหยัดการจับจ่าย ไม่จำเป็นไม่ซื้อ เช่น เสื้อผ้าจะเลี่ยง วิกฤตสอนคนว่า ถึงน้ำมันถูก แต่ถึงเวลาที่ทุกคนต้องประหยัดจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น เรามีรายจ่ายคงที่ทุกเดือนต้องจ่าย ค่าอาหารของคนประหยัดได้ แต่ของช้างยังเหมือนเดิม ซึ่งก็ยังกังวลเศรษฐกิจอีก 6 เดือนข้างหน้าจะทำอย่างไร แต่ต้องช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด อะไรทำได้ ต้องทำ ถือเป็นช่วงคลื่นลมแรงโดยเฉพาะการท่องเที่ยวเหมือนเรือที่จะแตกหรือไม่แตก แต่เรือบรรทุกช้างแตกไม่ได้ ต้องฝ่าไปให้ได้ จะนั่งปลงไม่ได้ ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ถ้าไม่ไหวขอให้ทุกคนเสียสละ บางคนยอมไม่รับเงินเดือน เราพยายามเต็มที่ เพราะเลี้ยงช้างเราเปลี่ยนไม่ได้ แต่คนในองค์กรเสริม-ลดได้"



    วาสนา รุ่งแสงทอง ลาทูรัส

    เจ้าของธุรกิจกระเป๋าผ้านารายา วัย 55 ปี เริ่มต้นจากเป็นแม่ค้าในตลาด สู่ไกด์นำเที่ยวและพบกับคู่ชีวิตชาวกรีก

    "อยากให้ทุกคนให้กำลังใจตัวเองด้วย เพราะการทำธุรกิจเมื่อเราเป็นหลักของบริษัทแล้ว ถ้ามีอาการเหนื่อยลูกน้องจะฝ่อ ซึ่งในปี 2552 นี้นักธุรกิจต้องเหนื่อยกันทุกคนแน่ จึงขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน และธุรกิจเราเป็นงานหัตถกรรมที่ค่อยๆ โต ซึ่งการจะทำธุรกิจต้องรู้จักสินค้า กลุ่มลูกค้าและตลาด ต้องวิเคราะห์วิจัยไปเรื่อยและเรามองไปข้างหน้า ส่วนตัวก็กังวลในสถานการณ์ในประเทศ แต่จะแปรความกังวลออกมาเป็นการวางแผน ทำอย่างไรให้ลูกน้องมีกินมีใช้ แม้เราไม่ค่อยเดือดร้อนเพราะไม่ได้ใช้อะไรมาก กินแค่อิ่ม แต่ต้องนั่งคิด วางแผน ทุกคนต้องประหยัดทั้งตัวเองและองค์กร ทุกวันนี้เราโชคดีที่มีงานทำ มีทีมที่ดีอยู่ใต้ร่มนารายา เรารักและช่วยเหลือกันเต็มที่อยู่กันแบบครอบครัวและเมื่อไหร่ได้ทีมดีจะมีชัยกว่าคนอื่น"



    นวลพรรณ ล่ำซำ

    กรรมการผู้จัดการ บริษัทเมืองไทยประกันภัย

    สาวสังคมคนดังกล่าวว่า ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้บริษัทประกันภัยเองก็ได้รับผลกระทบบ้างไม่มากก็น้อย แต่ธุรกิจประกันภัยนั้นเป็นปัจจัยที่ 5 ซึ่งเป็นที่ต้องการของทุกคนอยู่แล้ว แต่เบี้ยประกันภัยรถยนต์ของรถใหม่ป้ายแดงอาจมียอดขายลดลงและมีการแข่งขันเรื่องราคามาก เชื่อว่าธุรกิจทุกประเภทต้องรัดเข็มขัดให้มากขึ้น ตั้งแต่พนักงาน โฆษณา การประชาสัมพันธ์ ต้องนำกลับมาดูอีกครั้ง

    "เศรษฐกิจแบบนี้การทำงานคงต้องลำบาก ต้องประหยัดให้มากขึ้น การใช้จ่ายเองต้องระมัดระวังให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน และอยากจะฝากไว้ว่า การจะฝ่าฟันให้ผ่านพ้นไปได้นั้นเชื่อว่าต้องพอเพียง ซึ่งตรงกับพระราชดำรัสของในหลวงที่ใช้ได้ดีกับทุกธุรกิจ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ทิชา ณ นคร

    ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก "ผู้หญิงแห่งปี 2551" จากการคัดเลือกของสถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนาร่วมกับสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี

    "ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ จริงๆ ทุกคนต้องปรับตัวและอยู่บนพื้นฐานความรู้สึกที่มั่นใจว่าสุข ทุกข์ไม่ได้ยั่งยืนอยู่กับเรา สุขกับทุกข์ผ่านเข้ามา เพื่อเป็นแบบทดสอบในชีวิตของเราให้เข้มแข็งขึ้น ตรงนี้อาจเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่พ่อ แม่ ลูกได้คุยกันว่า สิบแปดฝน สิบแปดหนาวคืออะไร ทุกข์ครั้งนี้อาจเป็นแบบทดสอบให้ทั้งครอบครัวเติบโตและมีความสัมพันที่ดีขึ้นก็ได้ เหมือนครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราได้เสพทุกข์สุขด้วยกัน อาจเป็นประสบการณ์ดีๆ ร่วมกันของครอบครัว ไม่ได้แปลว่าเรื่องร้ายๆ จะร้ายตลอด เรื่องร้ายๆ อาจจะเป็นต้นทุนที่ดีก็ได้ เมื่อครั้งหนึ่งเราอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากและเราก็ร่วมกันฝ่าฟันไปได้ เหลียวมาดูคราวไหนก็ชื่นใจคราวนั้นทุกครั้ง" ทิชากล่าว

    ในฐานะผู้ที่ดูแลศูนย์ฝึกและอบรมเด็กบ้าน กาญจนาภิเษก ทิชายังขอให้เด็กๆ เรียกร้องให้น้อยลงพ่อแม่จะได้ไม่กดดัน เพราะมีรายจ่ายเยอะ แต่ด้วยลูกถูกควบคุมตัว บางครั้งพ่อแม่เองก็ไม่ค่อยสบายใจ ตอบสนองอะไรได้ก็อยากทำ

    "เรามีเด็ก 19 คน รับเช็ดรถในมอเตอร์เอ็กซ์โป ได้ค่าตอบแทนวันละ 250 บาท ทำงาน 10.30-20.00 น. เด็กๆ บอกว่าเหนื่อยมาก จึงเป็นโอกาสดีที่เราชักชวนให้เขาเห็นภาพอันหนักหนาสาหัสของพ่อแม่ และเมื่อจบงานนี้เขามาเล่าให้เพื่อนๆ อีกร้อยกว่าคนฟัง ผ่านเสียงของเขา ความคิดของเขาและด้วยคลื่นอันเดียวกันคือ คลื่นของวัยรุ่นมันจะชัดกว่าที่เราพูด" นางทิชากล่าว



    พ.ญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล

    จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต

    พ.ญ.พรรณพิมลแนะว่า คนที่มีอาชีพอิสระรายได้อาจลดน้อยลง เป็นความไม่แน่ นอน หากเกิดสถานการณ์แบบนี้อย่าได้ตกใจเกินไป ส่วนผู้ที่มีครอบครัวไม่ว่าพ่อหรือแม่ก็ต้องหาทางหนีทีไล่ เมื่อรายได้ลดจะทำอย่างไร เพื่อลดค่าใช้จ่ายและไม่สร้างค่าใช้จ่ายใหม่

    เช่นกันกับโรงงานที่ปิดตัวลงไป รวมถึงตลาดแรงงานก็มีข้อจำกัด ถ้าทำงานอะไรอยู่และมีการเปลี่ยนงานใหม่ เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ต้องตั้งหลัก และต้องปรับมุมมองใหม่ ถ้าปรับตัวได้เร็วจะแก้ปัญหาได้ไว คนในครอบครัวต้องร่วมแรงร่วมใจกันและเป็นที่ปรึกษากันและกัน รวมถึงต้องไม่กดดันกันและกัน ต้องคุยกันและระมัดระวังในการใช้จ่าย และแบ่งบางส่วนไว้เป็นการออมในอนาคต

    "ผู้ชายเองมีความเครียดด้วยความที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ขณะเดียวกันผู้หญิงก็มีแนวโน้มที่มีความเครียดง่ายในแบบผู้หญิง ถ้าให้กำลังใจกันและกันจะทำให้ผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปได้ และถือเป็นโอกาสอันดีต่อลูก เมื่อเงินในกระเป๋าลดลงต้องบอกให้ลูกรู้ว่ามีรายจ่ายอะไร เพราะเด็กต้องฝึกการเรียนรู้และทำให้เขารู้ว่าการที่ไม่มีเงินหรือลดค่าใช้จ่ายไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าอาย พ่อแม่เองต้องไม่หน้าใหญ่กับลูก เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เด็กเรียนรู้ชีวิต จะได้มีภูมิ รู้ร้อน รู้หนาว"



    พ.ญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์

    ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

    พ.ญ.อัมพรเห็นว่า ผลกระทบที่ทยอยเกิดขึ้นกับประเทศต่างๆ และไม่ว่าอะไรที่กระทบต่อพ่อแม่ย่อมมีผลสืบเนื่องถึงเด็ก จึงต้องให้ความสำคัญในแง่นี้ด้วย และวิเคราะห์ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในแต่ละครอบครัว

    ปัญหาแรกคือ การเงิน บางครอบครัวรายได้น้อยลงหรือต้องหารายได้เสริม ดังนั้นการวางแผนการจัดการเป็นเรื่องสำคัญ บางครอบครัวอาจตกงานก็ต้องเตรียมใจ ไม่เพียงผลกระทบเรื่องการเงิน เวลาก็เป็นวิกฤตที่จะเกิดกับเราว่าได้ดูแลความเพียงพอเรื่องเวลาให้กับครอบครัวหรือไม่ เพราะเมื่อเงินเข้ามาน้อยเราใช้เวลาในการดิ้นรนหาเงินจนเทสมดุลไปที่เงิน จนละเลยความสำคัญของเวลา

    นอกจากนี้ความเครียดจากเรื่องเงินทองที่รุมเร้า อาจทำให้พ่อแม่ทะเลาะกันหรือดุว่าลูกด้วยอารมณ์ที่ไม่คงเส้นคงวา ทำให้เกิดความรุนแรง และพ่อแม่จะเป็นภาพที่นำไปสู่ความล้มเหลวของครอบครัว และยิ่งกว่านั้นถ้าผู้ใหญ่หันไปหาอบายมุข ดื่มสุรา เล่นการพนัน จึงเป็นอีกข้อที่พึงระวัง

    ขณะเดียวกันต้องระแวดระวังปัจจัยทางสังคมที่เข้ามาคุกคามลูก แม้ว่าเราจะดูแลลูกได้ดีในระดับหนึ่งแล้ว แต่ปัญหาอารมณ์และพฤติกรรมของเด็กต้องมีความละเอียดอ่อนในการดูแลและนำพาให้เขาพ้นภัย เพราะในวิกฤตหลายคนมองเห็นเด็กเป็นเหยื่อของการบริโภค จึงต้องสอนให้เด็กรู้จักเท่าทัน

    "พ่อแม่ต้องมีสติ รับรู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลง รู้เท่าทัน เข้าใจและยอมรับ อย่าตีโพยตีพายนั่งโกรธโชคชะตาต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพราะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีหรือเป็นปัญหา ถ้ายอมรับได้จะดูแลตัวเองและมองเห็นความหวังที่จะดูแลตัวเองได้ อย่างน้อยจะฟันฝ่าได้ทีละขั้น โดยมองเห็นความรักความผูกพันของครอบครัวเป็นแรงใจ และในบางขณะการขอคำแนะนำจากการปรึกษาหรือเพื่อนที่ไว้วางใจจะทำให้เรารู้สึกได้ว่าไม่โดดเดี่ยว"

    "ชีวิตมีความหวังเสมอ และวิกฤตทำลายครอบครัวได้ถ้าจัดการไม่ดี ในทางกลับกันวิกฤตที่ผ่านเข้ามาอาจทำให้ลูกๆ มองเห็นพ่อแม่เป็นต้นแบบที่ดีของความแกร่งและเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ชีวิตได้ ลูกๆ หลายคนจะเห็นจากพ่อแม่ จึงอยากให้กำลังใจพ่อแม่ก้าวผ่านมันไป"
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เริ่มแล้วถ่ายภาพ
    'รถซิ่ง' ฝ่า 'ไฟแดง'

    เริ่มแล้วถ่ายภาพ 'รถซิ่ง' ฝ่า 'ไฟแดง'
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=186699&NewsType=1&Template=1

    30 ทางแยก ตร.ส่งใบสั่งให้ถึงบ้าน
    เริ่มแล้วถ่ายรูปรถฝ่าไฟแดง 30 ทางแยก ชัดเตอร์จับช็อตเด็ดพวกไม่เคารพกฎจราจรตำรวจเอาจริงส่งใบสั่งถึงบ้าน ลั่นใครเบี้ยวเจอปรับเพิ่มข้อหาไม่มารายงานตัวตามกำหนดด้วย เผยแค่ 3 ชั่วโมง ได้ภาพโชเฟอร์ฝ่าฝืนเพียบ โดยเฉพาะแท็กซี่มากสุด

    ที่ศูนย์ควบคุมสั่งการจราจร (บก.02) วันที่ 30 ธ.ค. พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. ดูแลงานจราจร เปิดเผยว่า บช.น. เริ่มดำเนินการใช้ระบบตรวจจับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร (เรด ไลท์ คาเมร่า) ตั้งแต่เวลา 00.01 น. วันที่ 30 ธ.ค. โดยผลการตรวจสอบในช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการเรียกข้อมูลในเซิร์ฟเวอร์ที่บันทึกไว้ขึ้นมาตรวจสอบ หมายเลขทะเบียน และพิมพ์หมายเรียกส่งไปตามที่อยู่เจ้าของผู้ครอบครองรถ ซึ่งพบว่ามีการฝ่าฝืนมากในช่วงเวลาประมาณ 01.00-03.00 น. มีทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ รถจักรยานยนต์ โดยรถที่ทำผิดส่วนใหญ่เป็นรถแท็กซี่ และเป็นรถจดทะเบียนในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กำลังรวบ รวมข้อมูล โดยจะมีการสรุปครบรอบ 1 วัน ในเวลา 08.00 น. ของวันถัดไป

    รอง ผบช.น. กล่าวต่อว่า การใช้ระบบตรวจจับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟ โดยมีกล้องบันทึกภาพรถที่กระทำความผิดทั้ง 30 ทางแยกนั้น จะมีป้ายติดแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบว่ามีกล้องจับภาพอยู่ โดยเมื่อพิมพ์รูปภาพทะเบียนรถคันที่ฝ่าฝืนสัญญาณไฟ พร้อมทั้งหมายเรียกส่งไปยังผู้ครอบครองรถ จะต้องมาดำเนินการจ่ายค่าปรับภายใน 7 วันนับจากได้รับหมายเรียก ที่หน่วยงานของกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) กระจายทั่วกรุงเทพฯ 10 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน เช่นที่สำนัก งาน กองบังคับการตำรวจจราจร (ถนนวิภาวดี) สำนักงานขนส่งพื้นที่ 1 (บางขุนเทียน)

    สำนักงานขนส่งพื้นที่ 2 (ตลิ่งชัน) สำนักงานขนส่งพื้นที่ 3 (พระโขนง) อาคารทางด่วน 2 (อโศก-ดินแดง) สน.คู่ขนานลอยฟ้า งานสายตรวจ 5 (ถนนตรีเพชร) เป็นต้น นอกจากนี้หากเป็นรถที่มีทะเบียนต่างจังหวัดสามารถไปชำระค่าปรับได้ที่ที่ทำการไปรษณีย์ได้ด้วย โทษขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟปรับไม่เกิน 1,000 บาท แต่ได้สั่งให้ปรับ 500 บาททุกราย หากไม่มาชำระค่าปรับภายในกำหนด จะแจ้งอายัดการต่อทะเบียนไปยังขนส่งฯ และเมื่อเจ้าของรถไปต่อทะเบียนนอกจากจะถูกปรับตามข้อหาฝ่าฝืนสัญญาณไฟแล้ว ยังถูกปรับเพิ่มในข้อหาไม่มารายงานตัวตามกำหนด

    พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวต่อว่า สรุปยอดการจับกุมรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจากกล้องเรดไลท์คาเมร่า ถึงเวลา 14.00 น. มีกว่า 1,200 ราย คาดว่าในวันแรกนี้จะมีผู้ฝ่าฝืนรวมประมาณ 2,000 ราย สำหรับรถรายแรกที่ถูกจับกุม เป็นรถแท็กซี่ ทะเบียน ทร 59 ฝ่าฝืนสัญญาณไฟที่แยกอโศก-สุขุมวิท เวลาประมาณ เที่ยงคืนครึ่ง โดยจาก 30 ทางแยกที่มีการถ่ายภาพพบว่าแยกที่มีการฝ่าฝืนมากที่สุดคือ แยกรัชดา-พระราม 4 รองลงมา เป็นแยกประชานุกูล และแยกอุรุพงษ์.
     
  4. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,310
    สาระธรรมควรคิด

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    สาระธรรมควรคิด โดย ว.วชิรเมธี



    มนุษย์์เกิดมาในโลกอย่างมีความหมาย
    ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่าหรือเกิดมาเพื่อจะถูกลืม
    ยกเว้นคนที่พยายามจะทำให้คนอื่นลืมตนเอง
    ไม้ทุกต้น หญ้าทุกชนิด
    ก็เช่นเดียวกับน็อตทุกตัว
    ที่ถูกผลิตมาเพื่อเหมาะสมกับภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเสมอ


    คนที่เข้าใจโลก
    ถึงขั้นจะมองเห็นอะไรๆ ที่คนอื่นเขาเครียดกันเป็นเรื่องขำขันได้
    จะมีอายุยืน
    อยู่ในโลก แต่ไม่หลงโลก
    อยู่ในโลกเพื่อเหยียบโลกเล่น ไม่ใช่แบกโลกไว้บนบ่า
    คนอย่างนี้หายาก
    แต่มีอยู่ที่ไหน คนอยู่ใกล้ก็มีความสุข


    มีความจริงทั้งสองด้านรวมอยู่ในตัวมันเองเสมอ
    ต่างแต่ว่าเราจะเลือกหยิบด้านใดขึ้นมาประยุกต์ใช้
    ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่านั้น


    คนที่คิดทางบวกเป็นคนที่โชคดีและได้กำไรเสมอ
    ส่วนคนที่คิดในทางลบ
    แม้เรื่องดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
    ก็ยังไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์กับตน
    วิธีคิดบ่งบอกอนาคต กำหนดชะตากรรม
    เราคิดอย่างไรก็จะกลายเป็นคนอย่างนั้น
    คิดบวก ชีวิตก็เป็นบวก คิดลบ ชีวิตก็ติดลบ


    ที่ใดมีปัญหา ที่นั่นย่อมมีทางออก
    ปัญหาและทางออกจึงเป็นเสมือนสองด้าน
    ของเหรียญกษาปณ์อันเดียวกัน
    เพียงมีสติรู้จักพลิกปัญหา
    ก็จะพบว่ามีภูมิปัญญาอันเลิศล้ำ
    รอให้ค้นพบอยู่อย่างท้าทาย


    หากแอปเปิ้ลที่อยู่ในมือมันช้ำเพียงบางส่วน
    แทนที่เธอจะโยนทิ้งไปทั้งหมด
    เธอก็ควรจะเลือกเฉือนเอาด้านที่ช้ำนั้นออกเสีย
    แล้วเลือกรับประทานส่วนที่ดี
    เพียงแค่นี้เธอก็ได้ลิ้มโอชารสอันหอมหวาน มัน กรอบ อร่อย
    ของแอปเปิ้ลลูกที่อยู่ในมือของเธอแล้ว


    ความสุขหรือความทุกข์
    บางครั้งอยู่ที่ 'ท่าที' ในการเผชิญของเราเป็นสำคัญ
    ถ้า 'รู้เท่าทัน' สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างมีสติ
    ทุกข์อาจกลายเป็นสุข
    ปัญหาอาจกลายเป็นปัญญา
    วิกฤติอาจถูกแปรเป็นโอกาส


    ชื่อเสียงที่แท้จริงซึ่งเกิดขึ้นจากความดีงามอันบริสุทธิ์
    แม้ใครจะพยายามลบล้างให้มัวหมอง
    แต่เมื่อมรสุมแห่งความเท็จผ่านพ้นไป
    ก็จะกลับแวววาวพราวพรายขึ้นมาได้อีกเสมอ


    หากป่วยกายอยู่แล้ว
    อย่าให้ใจต้องมาป่วยซ้ำลงไปอีก
    ถ้าป่วยกาย แต่ใจไม่ป่วย โอกาสหายป่วยย่อมมีมาก
    แต่ถ้าป่วยกายด้วย ป่วยใจด้วย
    บางทีโรคกายไม่ร้ายแรง
    แต่ก็อาจทุกข์ทรมานเพราะโรคใจคอยแทรกซ้อน

    ๑๐
    ขออย่าได้ท้อถอยในการที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่
    คนเรายามที่เป็นปุถุชนก็มีโอกาสผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น
    แต่คนโง่จะปล่อยให้ผิดพลาดแล้วผิดพลาดเลย
    ส่วนคนที่มีปัญญาเมื่อรู้ว่าผิดพลาดไปแล้ว
    จะรีบถอนตนออกมาอย่างทันท่วงที
    แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มี่ซ้ำรอยเดิม

    ๑๑
    น้ำเน่าอาจระเหยกลายเป็นเม็ดฝนหล่อเลี้ยงผืนโลก
    กรวดทรายต่ำต้อยอาจถูกหล่อหลอมเป็นศิลป์สถาปัตย์
    ทรงคุณค่าระดับสากล
    ข้าวเปลือกในนาอาจกลายเป็นกระยาหารของพระมหาจักรพรรดิ
    ลูกกุลีอาจกลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน ฯลฯ

    ขอเพียงมนุษย์ไม่ดูถูกตัวเอง
    ตระหนักรู้ถึงศักยภาพพิเศษที่ซุกซ่อนอยู่ในตน
    แล้วเพียรเจียระไนชีวิตให้แวววาวพราวพรายด้วยการศึกษาเรียนรู้
    ซึมซับเก็บรับบทเรียนจากการงานและการใช้ชีวิตอย่างสุขุม
    ก็ย่อมจะมีชีวิตที่คุ้มค่า สงบ ร่มเย็น
    และเป็นสุขได้โดยไม่ยากเย็น

    ๑๒
    มือของผู้ให้ อยู่สูงกว่ามือของผู้รับ
    ชื่อของผู้ให้ น่าจดจำกว่าชื่อของผู้ขอ
    เกียรติของผู้ให้
    กรุ่นหอมอยู่เหนือกาลสมัย
    ยิ่งกว่าเกียรติศักดิ์ของนักรบและปวงวีรบุรุษ

    ๑๓
    การให้
    แค่เพียงคิดจะทำ ใจก็ยังเป็นสุข
    ครั้นได้ให้แล้ว จิตใจก็แช่มชื่นเบิกบาน
    เมื่อวันเวลาผ่านไป
    หวนกลับไปรำลึกถึงดวงหน้าอันเปี่ยมสุขของผู้รับ
    ความปีติสุขก็ย้อนกลับมาทำให้หัวใจอิ่มเอม

    ๑๔
    การให้
    จึงเป็นความสุขแท้ทั้งเวลาก่อนให้
    ขณะที่ให้
    และหลังจากได้ให้ไปแล้ว

    ๑๕
    การเสียสละ แบ่งปัน
    เป็นทั้งความ 'สมาน'
    คือ ความสามัคคีปรองดองระหว่างกันและกัน
    และเป็นกุศโลบายในการสร้างความ 'เสมอ'
    คือ ให้คนทุกคนมองเห็นหัวอกของคนอื่น

    เมื่อมนุษย์รู้จักแบ่งปันแก่กันและกัน
    อันมีพื้นฐานมาจากการมีอัชฌาศัยกว้างขวางเอื้ออารีเช่นนี้
    ศานติภาพท่ามกลางความแตกต่าง ก็จะเกิดมีได้อย่างไม่ยากเย็น
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  5. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,310
    สรุปบุญกิริยาวัตถุ ๑0 ที่ผมได้ทำ
    1 ทาน
    ให้โดยแบ่งขนมแก้เด็กๆข้างบ้าน ทำบุญสร้างวัดสร้างวิหาร ทำบุญกับขอทาน
    2.อารธนาศีลหลังสวดมนต์
    3.นั่งสมาธิก่อนเวลานอนก็ทำสมาธิจนหลับ
    4.เคารพพระรัตนะตรับครูบาอาจารย์และพ่อแม่เป็นที่ที่ปรึกษา
    5.ขวนขวายบเรื่องการเรียนและศึกษาคำสอนผมชอบอยู่แล้วชอบอ่านหนังสือประวัติคุณงานความดีของพระต่างๆ
    6.แผ่ส่วนกุศลให้สรรพสัตว์ต่างๆ
    7.อนุโมบุญในเวปอนุโมทนาบุญกับคนที่ตอนเช้าไปตักบาตรกับแม่แล้วเห็นเขากำลังใส่บาตร
    8.ฟังธรรมทั้งจากคลิปวิดีโอหลวงพ่อฤาษีในเว็ปพลังจิตหรือหรือนั่งดูนั่งฟังธรรมะบนทีวี
    9.นำคติธรรมมาพิมพ์เผยแผ่สอนน้องสอนแม่เรื่องบาปบุญต่างวิธีสร้างบุญกุศลโทษของบาปกรรมที่เราทำ
    10.วิเคราะห์คำสอนของพระพุทธเจ้าและสิ่งที่เราทำถูกหรือสมควรอย่างไรนำไปปฏิบัติอย่างไรในชีวิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2009
  6. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ผมทำสมาธิ แล้วหลับไปเลย ครับ
    ขอบคุณ คุณหนุ่ม ที่ทำให้ทุกท่านได้รับสิ่งที่ดีๆ ครับ
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ฮุบรอบปี'51 ฮิฮ่าสาระขัน
    [31 ธ.ค. 51 - 00:45]
    http://thairath.co.th/news.php?section=international&content=117198

    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 10px">ฮุบรอบปี'51 ฮิฮ่าสาระขัน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    <TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    หว่างกลางความทุกข์ก็ยังแทรกซ้อนไปด้วยความสุข หุ...หุ...เมื่อดาวพฤหัสฯนัดดาวศุกร์แต้มสองตาใกล้จันทร์เสี้ยว โอ้ว...ยิ้มยั่วกลางหาว เหมือนจะบอกว่า พ่อขวานไทยเอย...เป็นหนี้ท่วมแผ่นดินมัลติๆ ล้านบาท เพิ่มประวัติศาสตร์ดัชนีเสี่ยงภัยโลก ไม่เป็นไรเนาะ โฮะโฮะ!! เฮ้อ...เครียดไปก็งั้น ในเมื่อท้องฟ้าเปิด ความฉิบหายเกิดไปแล้ว คงต้องมองเหมือนน้ำในแก้ว จะเห็นหมดไปตั้งครึ่ง หรือยังเหลืออีกตั้งครึ่ง!! อา...ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจนะพ่อแม่พี่น้องนะ

    วันนี้หน้า 2 ต่างประเทศ​
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ตลาดคอนซูเมอร์ปี 2551 “เหนื่อย-หนัก-ทุนหาย-กำไรหด”
    http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153579
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>31 ธันวาคม 2551 10:12 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ประมวลภาพตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคปีชวด หรือปี 2551 จัดเป็นปีที่เหนื่อยหนักทีเดียว สำหรับซัปพลายเออร์ เพราะต้องผจญกับวิกฤตต้นทุนการผลิตพุ่ง เพราะราคาน้ำมันทะยานพุ่งถึง 138 เหรียญต่อบาร์เรล ส่งผลให้เม็ดพลาสติก วัตถุดิบ และค่าขนส่ง ปรับเพิ่มขึ้นชนิดที่ว่า ซัปพลายเออร์ ไม่สามารถกัดฟันแบกรับภาระ ดังนั้นจึงเป็นปีที่ก้าวสู่ยุคแห่งข้าวยากหมากแพง กำลังการซื้อหด สำหรับผู้บริโภคตาดำ ต้องเผชิญกับราคาที่แพงขึ้น

    ช่วงครึ่งปีแรกของ 2551 ตั้งแต่ต้นปีซัปพลายเออร์ก็วิ่งกันฝุ่นตลบ ยื่นต่อกรมการค้าภายใน เพื่อขอปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ตัวเลขคร่าวๆ มีผู้ประกอบการ 73 ราย ใน 19 กลุ่มสินค้า 1,439 รายการ ได้ขอปรับราคาสินค้าต่อ อาทิ น้ำมันพืช นมพร้อมดื่ม ปลากระป๋อง น้ำปลา ผักกาดกระป๋อง น้ำยาซักฟอก น้ำมันพืช กาแฟผงและกาแฟสำเร็จรูป เส้นหมี่อบแห้ง อาหารกึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น

    แต่ทว่ามีสินค้าเพียงบางรายการเท่านั้น กรมการค้าภายในไฟเขียวให้สามารถขึ้นราคาได้ อาทิ น้ำมันพืช นมพร้อมดื่ม กาแฟสำเร็จรูป เป็นต้น แต่ปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คือ ราคาน้ำมันพืชสูงที่สุดเกือบทะลุขวด 50 บาท พ่อค้าแม่ค้า หรือกระทั่งแม่บ้านแห่กันซื้อน้ำมันกักตุนกันไว้ กระทั่งต้องจำกัดการจำหน่าย ส่วนด้านนมพร้อมดื่มยูเอชที ขนาด 200 ซีซี ก็มีการปรับราคาขึ้น 1 บาท และนมเปรี้ยวพร้อมดื่มก็มีการปรับราคาขึ้น ส่งผลให้ตลาดมีอัตราการเติบโตลดลงทันที และคนหันไปดื่มนมถั่วเหลืองแทน

    ส่วนสินค้ากลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มผงซักฟอก แชมพู ครีมนวดผม ปลากกระป๋อง หรือสินค้าของใช้ประจำวัน มาจากค่ายสหพัฒน์ ยูนิลิเวอร์ จอห์นสัน และไอซีซี ซึ่งครอบคลุมสินค้ากว่า 1 หมื่นชนิด ภาครัฐให้ตรึงราคาไว้จนถึงสิ้นปี จึงต้องงัดสารพัดกลยุทธ์ อาทิ ลดปริมาณราคาเท่าเดิม ไซซ์ซิ่ง หรือกระทั่งการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ซึ่งมีผลต่อการเนรมิตรราคาใหม่ เป็นต้น

    **สินค้าเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจปี 51 **

    สภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย ด้วยปัจจัยลบต่างๆ นานา ทำให้ปีชวดเป็น ”ปีชวด”สมชื่อ เพราะ ผู้ประกอบการหลายราย ผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เริ่มตั้งแต่ธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่น อย่าง บริษัท ไอซีซี ผลประกอบการสิ้นปี 2551 เติบโต 2% ต่ำกว่าเป้าหมายซึ่งตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 10% ทั้งนี้นับว่าเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี เมื่อเทียบกับวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540

    หรือกระทั่งตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างเบียร์ซึ่งมูลค่า 1 แสนล้านบาท ก็ยังไม่เติบโต โดยภาวะตลาดเบียร์ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ติดลบ 2.8% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ซึ่งเมื่อเทียบกับภาวะปกติตลาดมีอัตราการเติบโต 8-14% โดยสิ้นปีค่ายเบียร์สิงห์คาดว่ามีรายได้เติบโตเล็กน้อย หรือไม่เติบโตเลย ยังไม่รวมถึงธุรกิจโมเดิร์นเทรด ห้างสรรพสินค้า ที่ตัวเลขการเติบโตลดลง วิกฤตเศรษฐกิจยังกระทบไปถึงตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นสินค้าใช้ในชีวิตประจำวัน อย่าง ตลาดน้ำหอม โลชั่นการขยายตัวลดลงเช่นกัน

    **แห่ทำซีเอสอาร์-กรีนคอนเซปต์**

    ปีชวดจัดเป็นอีกปีหนึ่ง ที่ผู้ประกอบการแห่ทำกลยุทธ์ซีเอสอาร์ หรือ ความรับผิดชอบทางสังคมของธุรกิจ (Corporate Social Responsibility (CSR) เพราะต้องการสร้างความผูกพันธ์ทางใจระหว่างองค์กรหรือระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่มาแรงมาก ทุกองค์กรจะต้องจัดงบประมาณในส่วนนี้เอาไว้เลยทีเดียว

    ทั้งนี้พบว่า บริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดิอาจิโอฯ ได้ปรับกลยุทธ์การทำซีเอสอาร์หรือการทำตลาดอย่างรับผิดชอบสังคมใหม่ หลังจากเน้นการทำในเชิงคอร์ปอเรตมาสู่การรูปแบบแบรนด์ดิ้ง มาร์เก็ตติ่ง ภายใต้ดิอาจิโอ สมาร์ท ทัช โดยใช้งบ 80-90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 100% เครื่องดื่มชูกำลังเรดบูลเปิดตัวโครงการ “เรดบูล สปิริต เชื่อมโยงใจอาสา เป็นพลังสร้างอนาคต” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นำแบรนด์เรดบูลมาดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม หลังจากก่อนหน้านี้จะใช้ในนามเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง หรือกระทั่งบริษัทไทยเบฟเวอเรจ ก็หันมาพูดถึงซีเอสอาร์กันทั้งนั้น เป็นต้น

    ขณะเดียวกันปี 2551 ก็ถือว่าเป็นปีที่คนตื่นตัวสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สินค้าหลากหลายตัว ชู”กรีน คอนเซปต์” เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ ทัพสินค้าต่างพากันรณรงค์ให้ผู้บริโภคใช้ถุงผ้าเป็นจำนวนมาก โดยมีคำพูดสื่อสารที่ว่า “I’m not a plastic bag” มาเพียบ เพื่อรณรงค์ลดโลกร้อน และมีสินค้าหลายแบรนด์ทำแคมเปญมอบส่วนลดสำหรับผู้ที่ไม่ใช้ถุงพลาสติก ขณะที่ตามห้างสรรพสินค้าเป็นจำนวนมาก จัดดิสเพลย์หรือแคมเปญกรีนคอนเซปต์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์การมีส่วนร่วมในการณรงค์ ด้านกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า “โตชิบา” จัดแคมเปญ "นวัตกรรมสีเขียวเพื่อโลกสีขาว"l หรือกระทั่งครีมกันแดดก็พยายามทำการตลาดอิงกระแสโลกร้อนขึ้น เพื่อให้คนใช้ครีมกันแดดเพิ่มขึ้น เป็นต้น

    **สารเมลามีนพ่นพิษวิกฤตอุตฯ นม**

    ปลายปีชวด แม้ว่าราคาน้ำมันเริ่มคลีคลาย เรียกว่าได้ทยอยกลับสู่ภาวะปกติ แต่อุตสาหกรรมนมก็ต้องช็อกกับข่าวร้าย การปนเปื้อนสารเมลามีนนมผงจากประเทศจีน ส่งผลให้ระบบทางเดินปัสสาวะของทารกทำงานผิดปกติ และตายเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้หลายผู้ประกอบการที่นำเข้านมผงจีน อย่าง ดัชมิลล์ นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม ถึงกับกระอักกระอ่วน เพราะมีผลเสียต่อแบรนด์แน่นอน ส่วนนมข้นจืดมะลิ ก็ตรวจพบว่าสินค้ามีสารปนเปื้อนเป็นบางล็อต และตบท้ายด้วยคุ๊กกี้เอสแอนด์พี ที่มีสารปนเปื้อนเช่นกัน

    การปนเปื้อนสารเมลามีนนมผงจากจีน นับเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้อุตสาหกรรมนมโดยรวม 3 .3 หมื่นล้านบาท ชะงักไประยะหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะนมวัวมูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท ไม่มีอัตราการเติบโตแล้วยังติดลบอีกต่างหาก ขณะที่ตลาดนมเปรี้ยวพร้อมดื่มมูลค่า 8,800 ล้านบาท หดตัว 5.6% โดยผู้ที่ได้รับอานิสงส์ ก็คือ ผู้ประกอบการนมถั่วเหลือง โดยตลาดโตถึง 9% จากมูลค่า 8,800 ล้านบาท แต่งานนี้ผู้ประกอบการไทย อย่างดัชมิลล์ นมข้นจืดตรามะลิ เอสแอนด์พี ต้องออกมาทำงานอย่างหนักปิดท้ายปลายปี เพื่อเรียกความมั่นใจฟื้นคืนมา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>มุมมอง เจ้าสัว – CEO ปีหน้าเผาทั้งเป็นจริงหรือ? จะรับมือกันอย่างไร
    http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9510000152943
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 มกราคม 2552 11:41 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ในปี 2551 นี้ต้องยอมรับว่า เป็นปีที่สาหัสสำหรับภาคธุรกิจไทย เพราะตั้งแต่ต้นปีก็ต้องเจอกับปัจจัยลบทางเศรษฐกิจในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจนทะลุ 100 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล (แต่โชคดีที่ตอนนี้ปรับลดลงมาแล้ว)

    การแข็งค่าของเงินบาทที่เกือบแตะระดับ 30 บาท/ดอลลาร์ ทำให้ภาคส่งออกได้รับผลกระทบอย่างหนัก (ตอนนี้ค่าเงินอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ประมาณ 35 บาท/ดอลลาร์แล้ว)

    ถัดมาก็เป็นปัญหาซับไพร์มที่เป็นต้นเหตุทำให้สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาล้ม ลามไปยังยุโรป และเอเชีย ส่งผลให้ภาคการเงินของโลกปั่นป่วน จึงคาดกันว่าในปีหน้าโลกจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างแน่นอน

    ไม่เพียงเท่านั้น เพราะภาคธุรกิจไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบภายในประเทศ อย่างปัญหาทางด้านการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และการชะลอกำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังมองไม่เห็นทางออกว่าจะจบเมื่อไหร่ และอย่างไร

    ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้รู้ในแวดวงธุรกิจไทยต่างออกมาฟันธงกันว่า ในปี 2552 จะเป็นปีแห่งการเผาจริงของภาคธุรกิจไทย

    แต่จะเป็นปีเผาจริง เผาหลอก หรือเผาทั้งเป็นหรือไม่นั้น สิ่งสำคัญ คือ ผู้ประกอบการจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้น

    ทั้งนี้ ได้รวบรวมมุมมองของบรรดาบุคคลระดับนำทั้งในภาคการเงิน การตลาด และการผลิต เพื่อเป็นแนวทางให้ภาคธุรกิจใช้ในการปรับตัวต่อไป

    ********************************************

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=251 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=251>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บัณฑูร ล่ำซำ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ปีหน้าเจอ 2 เด้ง ทั้งเศรษฐกิจ – การเมือง

    ไปเริ่มกันที่ “บัณฑูร ล่ำซำ’ นายใหญ่แบงก์กสิกรไทย

    บัณฑูร กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกมีความรุนแรงมากกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งเสียอีก และปีนี้น่าจะเป็นคริสต์มาสของความโศกเศร้าในซีกโลกตะวันตก ซึ่งยังไม่จบ เพราะตอนนี้เริ่มเห็นบริษัทรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐอเมริกามีปัญหาแล้ว

    “ในรอบนี้จะบอกว่าไทยไม่โดนผลกระทบก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะการค้ามันเกี่ยวโยงกันหมด คนที่เคยซื้อของจากเรา เขาก็หมดกำลังซื้อ ก็คงกระทบกันโดยถ้วนหน้า

    แต่จะล้มระเนระนาดก็คงไม่ใช่ เพราะประเทศไทยในรอบนี้ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่ามีฟองสบู่ ส่วนหนึ่งถือเป็นการเรียนรู้บทเรียนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตัวสถาบันการเงินเอง หรือธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำกับเข้มในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินต่างๆในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา”

    แต่อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกไทยคงได้รับผลกระทบบ้างในส่วนของสินค้าที่เกินความจำเป็น เช่น รถยนต์, เสื้อผ้า, ของตกแต่งบ้าน เป็นต้น แต่สินค้าที่มีความจำเป็น อย่างอาหารที่มีราคาไม่แพง เช่น ปลากระป๋อง กุ้งกระป๋อง นอกจากการส่งออกไม่ถดถอยแล้ว ยังน่าจะส่งออกได้มากขึ้นอีกด้วย

    ขณะที่ผู้ประกอบการที่มองเห็นแนวโน้มดังกล่าว และได้ปรับตัวไปบ้างแล้ว ด้วยการหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนตลาดหลักที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้

    “ผมคิดว่า 10 ปีที่ผ่านมาเราได้เห็นความก้าวหน้าของสังคมธุรกิจไทยในระดับหนึ่ง นั่นคือ ไม่ทำอะไรเกินตัว อาจเป็นเพราะเราได้ซึมซับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงไว้ ฉะนั้นเวลามีคลื่นลูกใหญ่มา เราจึงถูกกระทบบ้าง แต่ไม่ถึงกับล้ม”

    ส่วนที่หลายฝ่ายเกรงกันว่า นักลงทุนต่างชาติจะโยกย้ายเงินลงทุนระยะยาวไปที่อื่น บัณฑูร กลับมองว่า ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นที่ยังคงเลือกประเทศไทยเป็นเป้าหมายการลงทุนรถยนต์ แต่อาจจะเลื่อนการลงทุนไปก่อน เนื่องจากต้องการรอให้สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศนิ่งก่อน

    “คือ ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ประเทศไทยยังถือว่าน่าสนใจลงทุนในระยะยาว”

    อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวในภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ คือ 1. ต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพอยู่ตลอดเวลา 2. ต้องทบทวนสินค้าและบริการว่ามีคุณสมบัติเป็นที่ต้องการของตลาดหรือไม่ และ 3. ต้องกระจายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ ให้มากขึ้น
    และเนื่องจากในปีหน้า สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของโลกจะมีความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้สถาบันการเงินต้องเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ดังนั้น SMEs จะต้องมีหน้าที่พิสูจน์ให้สถาบันการเงินเห็นว่า รูปแบบธุรกิจของตัวเองไปได้

    “ระหว่างวิกฤตเศรษฐกิจโลกกับการเมืองในประเทศ ถามว่าอย่างไหนมีความเสี่ยงมากกว่ากัน มันก็เสี่ยงคนละแบบกันนะ เศรษฐกิจโลกมันฉุดกำลังซื้อ และประเทศไทยก็อยู่ได้ด้วยการขายของให้กับโลก ฉะนั้นเมื่อไม่มีกำลังซื้อ ก็ทำให้ผลประกอบการบริษัทต่างๆไม่ดี

    ส่วนปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่แพร่ไปทั่วโลกนั้น ทำให้นักลงทุนหลายประเทศมีการชะลอการลงทุนในไทย ถึงแม้ว่าไม่ได้เปลี่ยนใจที่จะมาลงทุนในระยะยาวก็ตาม ขณะเดียวกันก็จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลไม่เป็นไปตามปกติ มันก็เสียหายอีกแบบหนึ่ง”

    สรุปว่า นายใหญ่แบงก์กสิกรไทย ชี้ว่า ปีหน้าประเทศไทยจะเจอ 2 เด้ง ทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลก และปัญหาการเมืองในประเทศ แต่ธุรกิจคงไม่ถึงกับตาย ถ้า...(โปรดย้อนกลับไปอ่านตอนต้น)

    ***********************

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=270 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=270>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ณรงค์ชัย อัครเศรณี</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ฟันธงรอด – ไม่รอดอยู่ที่ฝีมือรัฐบาล

    ขณะที่ ‘ณรงค์ชัย อัครเศรณี’ ประธาน EXIM BANK (ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย) ฟันธงเลยว่า “การเมืองเฮงซวย” เป็นเงื่อนไขชี้เป็นชี้ตายของประเทศไทย

    “วิกฤตการเงินโลกที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินไทยยังไม่มี หนี้ต่างประเทศระยะสั้นเราก็ต่ำ ประกอบกับเรามีรัฐบาลขิงแก่ ที่บอกว่าไม่อยากทำอะไรเลยมาปีกว่า มันก็เลยไม่เกิดหนี้ เกิดภาระการใช้จ่ายใดๆ ตอนนี้ก็ต้องขอบคุณเขา

    นอกจากนั้นที่มีคนวิจารณ์กันเยอะว่า คุณทักษิณ ชินวัตร ทำให้การเมืองวุ่นวาย เลยไม่มีความมั่นใจในการลงทุน เมื่อไม่เกิดการลงทุน ก็ต้องขอบคุณเขาเหมือนกันที่ทำให้การเมืองวุ่นวาย เราก็เลยไม่เป็นไร

    ฉะนั้นเราพูดได้ว่าการเมืองที่ผมใช้คำว่า การเมืองเฮงซวย ก็ช่วยเศรษฐกิจไทยเอาไว้ได้ เพราะถ้าการเมืองเรารุ่งเรืองเหมือนเกาหลีเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนนี้เราก็คงลำบากเหมือนกัน”

    นี่คือมุมมองของณรงค์ชัย ที่สรุปได้สะใจว่า ประเทศไทยรอดพ้นวิกฤตเศรษฐกิจโลกมาได้ก็เพราะความวุ่นวายทางการเมืองนั่นเอง

    อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตในครั้งนี้ไม่น้อย โดยเฉพาะภาคการส่งออก กลุ่มสินค้าที่พึ่งพิงสหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นตลาดหลักจะได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป, กุ้งแช่แข็ง, เฟอร์นิเจอร์, อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น

    ส่วนกลุ่มสินค้าที่มีตลาดส่งออกอยู่ในเอเชีย แต่ประเทศคู่ค้าจะส่งสินค้าไปขายต่อให้กับตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปอีกทอดหนึ่ง ก็จะได้รับผลกระทบทางอ้อมเช่นกัน

    “ผู้ส่งออกจะเจอปัญหาหลายๆ เรื่อง สมัยก่อนผู้ส่งออกจะเจอแค่ปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ย แต่เดี๋ยวนี้สิ่งที่เพิ่มเข้ามา คือ ตลาดเงินมีสภาพตึงตัว ผู้ซื้อไม่ชำระค่าสินค้า เข้าถึงแหล่งทุนยากขึ้น คำสั่งซื้อลดลง

    ฉะนั้นสิ่งที่เห็นในตอนนี้ ทุกคนต่างพยายามปรับตัวเพื่อความอยู่รอด หาวิธีประกันการส่งออก ดูแลระดับการผลิต บริหารความเสี่ยง ก็ต้องทำกันไป

    นอกจากนี้ ยังต้องไปหาตลาดใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ไม่มากนัก และต้องสร้างโอกาสในขณะที่จีนมีปัญหา อันนี้ก็เป็นโอกาสที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤต”

    แล้วณรงค์ชัยก็ฟันธงว่า นโยบายภาครัฐถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประทศ อาทิ มาตรการด้านภาษี การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล, ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

    มาตรการด้านการเงิน การลดอัตราดอกเบี้ย, การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนให้มีความเหมาะสม

    มาตรการด้านการลงทุน การเพิ่มประเภทกิจการที่จะส่งเสริม

    รวมถึงการเร่งขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ (เมกะโปรเจ็กต์) เป็นต้น

    “จริงๆแล้วภาครัฐอยู่ในฐานะที่จะทำมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจนเกินไป คือ มีทั้งฐานะและช่องทางที่จะทำได้ด้วย ส่วนรัฐบาลจะทำได้แค่ไหน อย่างไร ก็ต้องติดตามกันต่อไป”

    ตรงประเด็นจริงๆ
    *****************************


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ชาตรี โสภณพนิช</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> วิกฤตโลกไม่น่าห่วงเท่าการเมือง

    ‘ชาตรี โสภณพนิช’ เจ้าสัวแบงก์กรุงเทพ เป็นอีกคนที่ไม่อ้อมค้อม ชี้ว่า ปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวลมากที่สุดในขณะนี้ คือ ปัญหาทางการเมือง เพราะปัญหาเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลก และวิกฤตสถาบันการเงินโลกครั้งนี้ก็ส่งผลกระทบต่อไทยไม่มาก

    “ประเทศไทยโชคดีที่มีการกู้เงินจากต่างประเทศในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาถือว่าน้อยมาก ทำให้วิกฤตที่มาถึงเมืองไทยไม่มีความรุนแรงมากนัก ปีหน้าคงไม่ใช่ปีที่ดี อาจจะเหมือนปีนี้หรือเลวร้ายกว่าปีนี้ด้วยซ้ำ

    ดังนั้น ภาคการเมืองต้องสงบและมีนโยบายที่ชัดเจน

    ส่วนปัญหาวิกฤตทางการเงินโลกครั้งนี้คงไม่ถึงเรา สภาพคล่องของไทยก็ยังไม่มีปัญหา ที่มีปัญหาคือการเมืองภายในมากกว่า”

    ชาตรี ย้ำอีกว่า ในปี 2552 ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร จะขึ้นอยู่กับการเมืองเป็นหลัก เพราะหากปัญหาการเมืองมีข้อยุติและสงบลงได้ หากรัฐบาลมีนโยบายที่ดีและสามารถนำพาเศรษฐกิจให้มีการลงทุนต่อไปได้ เศรษฐกิจไทยก็เติบโตต่อไปได้

    แต่หากนโยบายภาครัฐไม่ชัดเจน คนที่ต้องการลงทุนก็ต้องคิดหนัก

    ***************************

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>วิรไท สันติประภพ’ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> คัมภีร์ฝ่าวิกฤต – อย่าเล่นกับไฟ

    ‘วิรไท สันติประภพ’ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ แบงก์ไทยพาณิชย์ กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจโลกว่า เศรษฐกิจกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว ส่วนกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะเติบโตในอัตราที่ชะลอลง

    ภาวะดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุน ซึ่งวิกฤตการณ์ที่ได้เกิดขึ้นกำลังเปลี่ยนจากวิกฤตการณ์การเงินไปเป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่ขยายวงกว้าง

    อย่างไรก็ดี โครงสร้างของเศรษฐกิจไทย และระบบสถาบันการเงินไทยในขณะนี้ มีความเข้มแข็งกว่าเมื่อปี 2540 มาก

    ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตในปัจจุบัน ภาคธุรกิจควรจะเตรียมตัวรับมือกับความผันผวนด้านต่างๆ ด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ รัดกุม โดยจะต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสภาพคล่องและความเสี่ยงของธุรกิจ เช่น การจัดสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอย่างเหมาะสม, การดูแลฐานะเงินสดของกิจการให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ, การกระจายความเสี่ยง และการประกันความเสี่ยง

    ตลอดจนให้ความสำคัญต่อเรื่องเอกสารการค้า และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจอย่างแท้จริง เช่น การเก็งกำไรในตลาดเงิน หรือการเก็งกำไรราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น

    ***********************************

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=265 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=265>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ตัน ภาสกรนที</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> โตบนซากเศรษฐกิจ แนวคิดหาโอกาสของ ‘ตัน โออิชิ’

    ถ้าไปฟัง ‘ตัน ภาสกรนที’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โออิชิ กรุ๊ป พูดในงานสัมมนา CEO Forum ซึ่งจัดโดยฐานเศรษฐกิจ ก็จะอีกอารมณ์หนึ่ง

    ตันยอมรับว่า ปีนี้ปัจจัยลบที่น่ากังวลมากที่สุดมาจากนอกประเทศ โดยเฉพาะวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย และเชื่อว่าจะลามถึงเศรษฐกิจไทยที่ยังมีปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองรุมเร้าอยู่ในขณะนี้

    “ผมว่าปีนี้แย่มากๆ และปีหน้าก็แย่ยิ่งกว่านี้อีก และต่อไปก็จะแย่ลงเรื่อยๆ คือ ตั้งแต่ทำธุรกิจ ผมยังไม่เห็นปีไหนที่ดีเลย สรุปแล้ว คือ ปีหน้าเขาบอกว่า เผาทั้งเป็น

    แต่ถ้าถามผมว่ากลัวอะไร การเมืองในประเทศ หรือเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งหมดนี้ผมไม่กลัว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ความเชื่อในใจเรา

    เพราะผมเห็นอยู่เสมอเลยว่า ทุกวิกฤตมีคนประสบความสำเร็จ ในสงครามก็มีคนประสบความสำเร็จ อย่างเมื่อกี้ผมโทรกลับไปเช็คยอดขาย ปรากฏว่าเดือนตุลาคมปีนี้เป็นเดือนที่มียอดขายสูงสุดในรอบ 10 ปี ฉะนั้นในปีนี้ก็เป็นปีที่มียอดกำไรมากสุดในรอบ 10 ปีเหมือนกัน”

    สรุปว่า ตันบอกว่า ปีหน้ามีปัญหาแน่ แต่ในวิกฤตก็มีโอกาส

    ตัน บอกอีกว่า หากธุรกิจต้องการลดต้นทุน (ซึ่งหลายๆคนก็บอกว่า ปีหน้าต้องลดต้นทุนรับวิกฤต) บริษัทส่วนใหญ่มักใช้วิธีการตัดงบโฆษณา ซึ่งสวนทางกับวิธีการทำธุรกิจของเขา ดังนั้น ที่มาของยอดขายสูงสุดในรอบ 10 ปี ก็มาจากการทุ่มงบโฆษณาทำหนัง 10 เรื่องพร้อมๆ กันในช่วงนี้นั่นเอง

    ขณะที่แนวทางการทำธุรกิจในปีหน้า ตันบอกว่า จะยังคงใช้งบการทำตลาด 12% จากยอดขายเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา และพยายามปรับรายได้กลุ่มอาหารเพิ่มขึ้นในสัดส่วนใกล้เคียงกับเครื่องดื่มเป็น 50 ต่อ 50

    ตัน ขยายหลักคิดในการทำธุรกิจในภาวะวิกฤตของเขาว่า

    “ผมเปรียบการทำธุรกิจเหมือนการชกมวย ถ้าผมขึ้นเวที ผมจะเป็นมวยที่ขึ้นไปแล้วไม่ต่อย ให้คุณต่อยก่อน แต่ผมพยายามป้องกันตัวให้เต็มที่ แต่เมื่อไหร่ที่คุณหมดแรงปุ๊บ ผมชกคุณเลย คือเป็นมวยรับ ไม่ใช่มวยรุก แต่ถ้ารุกนี่ต้องชกให้เขาลงเลย

    ตอนที่เศรษฐกิจดี มันจะเป็นการแข่งขันกันแบบเงินเยอะ พวกที่มีความเชื่อมั่นแบบนี้จะมา แต่พอวิกฤตปุ๊บ บางคนเขาจะหยุด ผมจะถนัดทำตอนที่คนอื่นเขาหยุด

    ฉะนั้น ถามว่าปีหน้าจะเป็นอย่างไร ผมมองว่าต้มยำกุ้งมันเฉพาะเมืองไทย ใกล้ตัวเรา เพราะว่าจริงๆแล้วเราไม่ได้อยู่ด้วยเศรษฐกิจของเราเอง แต่เราอยู่ด้วยเงินต่างประเทศ ฉะนั้นเที่ยวนี้น่ากลัวมากๆ แต่มันจะเป็นโอกาสทองของบางคนที่มีความเชื่อมั่นนะครับ”

    ทั้งนี้ จากบทเรียนการเป็นหนี้เมื่อ 10 ปีก่อน ทำให้ทุกวันนี้ตันหันมาทำธุรกิจด้วยเงินสด มีเงินเท่าไหร่ก็ลงทุนเท่านั้น จึงทำให้เขาเป็นนักธุรกิจอีกคนหนึ่งที่ไหวตัวทัน เมื่อเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์

    “ตอนนี้กลายเป็นผมไม่มีความเสี่ยง แต่คำถามต่อไป คือ เราควรจะอยู่แบบไหน จะปรับตัวอย่างไร ปีที่แล้วผมซื้อของเซ็นสัญญา 6 เดือนถึงปีเลย แต่ตั้งแต่กลางปี 2551 ที่ผ่านมา ผมซื้อเดือนต่อเดือน วันต่อวันได้ยิ่งดี

    ปีที่แล้วผมได้กำไรจากการจัดซื้อล่วงหน้า ซึ่งผมเซ็นสัญญากับซีพีตอนหมูราคา 100 กว่าบาท ผมซื้อ 60 บาทเอง บางทีนักธุรกิจต้องเปลี่ยนเร็ว เพราะบางทีธุรกิจจะได้กำไรหรือขาดทุนก็ช่วงวิกฤตนี่แหละ ถ้าเรายุ่งๆ ก็พลาดโอกาส เงินอยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด เพียงแต่เราอย่าเบลอ มีสติหน่อยก็จะเห็น”

    ดังนั้น ต้องบอกว่า จังหวะ หรือ Timing คือ สิ่งที่ตันยืนยันว่าสำคัญที่สุด ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้จากการอ่านหนังสือ การร่วมงานสัมมนา หรือพูดคุยกับคนเก่งๆ

    “สำหรับผมๆสนใจเรื่องความล้มเหลวมากกว่าความสำเร็จเสียอีก เวลาผมคุยกับนักธุรกิจ ถ้าผมสนใจธุรกิจอะไร ผมมักจะถามเลย

    สมมติตอนนี้ผมจะทำเรียลเอสเตท ผมต้องการรู้ว่าวิกฤตของธุรกิจนี้ ปัญหาจริงๆ ตอนที่เสียหายมาจากอะไร เราต้องรู้ว่าเมื่อไหร่มันจะล้ม เมื่อไหร่ที่อันตราย ซึ่งสำคัญกว่าเมื่อไหร่มันจะรวย อันนั้นคุณเลียนแบบเขาไม่ได้หรอก แต่ล้มเหมือนกันหมดเลย วิกฤตมาเหมือนกันเป๊ะ ลงทุนเกินตัว เหมือนกันหมดเลย” ตัน กล่าวทิ้งท้าย

    หมายความว่า ตันกำลังบอกว่า ต้องตื่นตัวกับวิกฤต แต่อย่าตระหนก ถ้าเล่นเป็น ก็ยังอยู่ได้ และบางทีโตต่อได้อีกด้วย

    *********************************

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>สมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> จ่ายช้า – เก็บเร็ว – ลดสต็อก

    ‘สมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล’ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย และประธานอำนวยการประเทศไทย บริษัท ดีทแฮล์ม ผู้ทำตลาดและกระจายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ บอกว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจประเทศไทยในภาพรวมจะเข้าสู่ยุคถดถอย ซึ่งต่อเนื่องมาจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในปีนี้

    แต่เจ้าของสินค้าที่ยังมีทุนมากอยู่ ควรดำเนินกิจกรรมตลาดปกติ ไม่ควรตัดลดงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ทำตลาดแต่อย่างใด โดยเฉพาะผู้มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับต้นๆ เพื่อรักษายอดขายไว้

    ขณะที่เจ้าของสินค้ารายอื่นที่มีทุนไม่มากพอ และอาจหยุดการทำตลาดไปมากกว่า 50% จากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น พร้อมกันนี้เจ้าของสินค้าหรือนักการตลาดต้องจับกลุ่มเป้าหมายของสินค้าแต่ละกลุ่มให้ชัดเจนมากขึ้น

    ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องบริหารการเงินเพื่อสร้างเงินหมุนเวียนในธุรกิจ ประกอบด้วย 3 สูตร คือ 1.จ่ายเงินช้าลง 2.เก็บเงินเร็วขึ้น และสุดท้าย 3.ลดสินค้าคงคลัง (สต๊อก) โดยถือให้น้อยลง เพื่อประกันการกู้เงินลดลงจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า

    “แนวโน้มปีหน้า คาดว่าจะเห็นความชัดเจนจากธนาคารพาณิชย์เอกชนที่จะปล่อยสินเชื่อเงินกู้ยากขึ้น แต่สถาบันการเงินภาครัฐจะถูกบังคับให้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวแทนซึ่งเริ่มผลักดันอยู่ รวมถึงมีโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจ็กต์) เกิดขึ้นจำนวนมากในปีหน้า เพื่อนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ”

    *************************************

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=280 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=280>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เจ้าสัวฟันธง 2 จุดตาย รัฐบาล – การเมือง

    ขณะที่ ‘บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา’ เจ้าสัวเครือสหพัฒน์ มองว่า วิกฤตการเงินโลกไม่ใช่ปัญหาหลักของไทย ในทางกลับกัน ไทยจะหาประโยชน์จากวิกฤตโลกได้ด้วยซ้ำ ถ้าหาเป็น

    วิกฤตการณ์ที่เป็นปัญหาทั่วโลกนั้น บุณยสิทธิ์ บอกว่า มีอยู่ 3F คือ F – การเงิน, F – อาหาร, และ F – น้ำมัน

    ถ้าเป็น F – การเงิน ในปี 2540 หรือยุคต้มยำกุ้ง ประเทศไทยได้ผ่านพ้นมาแล้ว คล้ายๆ กับว่าไทยมีวัคซีนอยู่ในตัวแล้ว จึงไม่มีปัญหาในส่วนนี้

    ส่วน F – อาหาร ประเทศไทยมีอาหารเยอะ ได้เปรียบในเรื่องนี้

    แต่ F – น้ำมัน ทั่วโลกมีปัญหาเหมือนกันหมด เรากระทบ คนอื่นก็กระทบด้วย เพียงแต่ว่าประเทศไทยกระทบหนักหน่อย เพราะคนไทยใช้น้ำมันทำทุกอย่าง แต่โชคดีที่เมืองไทยสามารถผลิตไบโอดีเซลขึ้นมาทดแทนน้ำมันได้ ฉะนั้นก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตในครั้งนี้มากนัก

    “ผมมองว่าในช่วง 2-3 ปีที่แล้ว อาจจะเป็นโอกาสของเราด้วยซ้ำ ไม่น่าจะเป็นปัญหา ถ้าเราแก้ได้ตรงจุด เพราะแต่ละตัวไม่ได้หนักหนา เหมือนเรามีวัคซีนติดตัวอยู่แล้ว คนอื่นอาจจะเพิ่งเริ่ม ซึ่งบางประเทศอาจติด F 2 ตัว และ F 3 ตัวบ้าง หรือบางประเทศก็ติดแค่ F ตัวเดียว

    แต่เมืองไทยเราโชคดี เราติด F ตัวเดียว และเราก็มีทางแก้ จึงไม่น่าห่วงมากนัก

    ส่วนการค้าขายนั้น ต้องมีขึ้นมีลงอยู่แล้ว เรื่องลำบากเป็นเรื่องเล็ก แต่อย่าล้มลงไปเท่านั้นเป็นพอ ถ้าไม่ล้มก็คือความสำเร็จแล้ว การค้าขายก็เหมือนกับการวิ่งมาราธอน เราแข่งกัน ใครล้มก่อนก็จะแพ้ ถ้าเราไม่ล้มในที่สุดก็จะชนะ ฉะนั้นเราไม่ควรที่จะไปกลัว อดทนไว้”

    บุณยสิทธิ์ กล่าวถึงความรุนแรงระหว่างวิกฤตต้มยำกุ้งกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ว่า วิกฤตต้มยำกุ้งเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เป็นเรื่องไกลตัว ซึ่งจะแตกต่างกัน คือไม่หนักเท่าไหร่ ถ้าแก้ไขได้ถูกจุดกลับจะเป็นโอกาสของประเทศไทยด้วยซ้ำไป

    ฉะนั้นการที่หลายคนห่วงว่าปีหน้าจะมีคนตกงานถึง 2 ล้านคน ก็ไม่คิดว่าจะรุนแรงถึงขนาดนั้น

    “ถ้าเรามองว่าตลาดมันตก เราก็ต้องชะลอ ไม่ใช่ไปยัดเยียด เพราะถ้ายิ่งไปยัดเยียดทุกอย่างก็ยิ่งขายไม่ได้ ถ้าเรายอมที่จะถอยนิดหนึ่ง ตั้งหลักใหม่ อาจจะเป็นโอกาสสำหรับเราก็ได้

    ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มสหพัฒน์ปีนี้ถ้าทำไม่ถึงเป้า ก็ไม่ต้องไปห่วงเท่าไหร่ อันนี้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะว่าข้างนอกเขาแย่กว่าเรา เราถอยนิดหนึ่งก็ยังได้อยู่ แล้วต้องฝึกให้เราเหนือกว่าคนอื่นนิดหนึ่งก็พอ อย่าให้คนอื่นไปไกล แล้วเรายังเฉยๆ อยู่ ไม่ใช่”

    สุดท้าย บุณยสิทธิ์ กล่าวฝากว่า ภาครัฐควรดำเนินนโยบายที่ไม่สวนกระแส อย่างเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงนี้ควรจะอ่อน กลับไปทำให้แข็งอย่างนี้ก็สวนกัน ซึ่งจริงๆแล้วหากค่าเงินบาทอ่อนค่ากว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอื่นในแถบนี้ 10% ก็จะช่วยภาคการส่งออกได้เยอะ

    ส่วนเรื่องดอกเบี้ยก็ต้องต่ำ และต้องลดภาษีนิติบุคคลให้อยู่ที่ 20-25% เพราะไม่เช่นนั้นจะกระตุ้นไม่ขึ้น

    แต่ถ้าภาครัฐทำตรงกันข้าม คือ เงินบาทแข็ง ดอกเบี้ยขึ้น ภาษีเก็บเพิ่ม ธุรกิจไทยก็จะลงเหวไปเลย

    บุณยสิทธิ์ กำลังบอกว่า เงื่อนไขชี้เป็นชี้ตายของประเทศไทย อยู่ที่รัฐบาลและการเมือง ไม่ใช่เศรษฐกิจโลก
    ******************************

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=270 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=270>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ศุภจี สุธรรมพันธุ์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ใช้นวัตกรรมรับวิกฤตแทนลดคน

    ‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ รองประธานประจำภูมิภาคอาเซียน กลุ่มธุรกิจทั่วไป บริษัท ไอบีเอ็ม คอปอเรชั่น กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น บริษัทไม่ได้มองเรื่องลดค่าใช้จ่ายหรือการลดพนักงาน กลับมองไปที่การใช้นวัตกรรมรับวิกฤตมากกว่า เช่น การจัดสรรงบและคนที่เดิมกระจัดกระจายให้มีโฟกัสไปในตลาดที่ชำนาญ แตกต่างจากคู่แข่ง และเป็นตลาดใหม่ที่เติบโต

    ล่าสุดก็การนำเสนอโซลูชั่นที่ช่วยให้องค์กรลูกค้าลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และการปรับปรุงกระบวนการทำงาน

    ที่สำคัญเสนอโมเดลใหม่ๆ ที่ไอบีเอ็มจะลงทุนเทคโนโลยีให้ก่อนและคิดค่าใช้จ่ายกับลูกค้าตามธุรกรรมที่ใช้จริง ผ่านบริการ “แมนเนจ บิสิเนส โพรเซส เซอร์วิส (MBPS)” ที่เสนอบริการการจัดซื้อ งานบริหารบุคคล งานบัญชี และคอลเซ็นเตอร์ให้กับลูกค้าองค์กร เพื่อให้ลูกค้ามุ่งใช้เวลาและการลงทุนไปด้วยความชำนาญหลักของตัวเอง

    อย่างไรก็ตาม การฝ่าวิกฤตให้ได้ ต้องมีหลักการที่สำคัญ ก็คือ องค์กรต้องมีกระแสเงินสดหมุนเวียนที่ดี การลงทุนยังทำได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานข้อมูลและมีประสบการณ์ และผู้บริหารต้องมีความรู้สึกที่ฉับไวและตอบสนองรวดเร็ว ทั้งต้องสื่อสารกับพนักงานอย่างต่อเนื่องถึงทิศทางของบริษัท
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. gnip

    gnip สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +14
    อ่า...เสียดายค่ะ
    เผอิญเป็นไข้ทั้งวันเลยค่ะ นอนตั้งแต่ช่วงเย็นยาว...เลยไม่ได้เข้ามาดู

    [​IMG]

    เมื่อกี้เพิ่งเข้ามาดูเอง...งานนี้เสียดายค่ะ
    แต่ก็ดีใจและขอบคุณท่านสิทธิพงศ์นะคะ ที่มีสิ่งดีๆมอบให้แก่พวกเราเสมอมา
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพุทธศาสนา

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    พระพุทธศาสนา หรือ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มุ่งเน้นเรื่องการพ้นทุกข์ และสอนให้รู้จักทุกข์และวิธีการดับทุกข์ ให้พ้นจากอวิชชา (ความไม่รู้ความจริงในธรรมชาติ) อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จากกิเลสทั้งปวงคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เน้นการปฏิบัติด้วยปัญญา การทำความเข้าใจ และพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง จนมองเห็นเหตุและผล และความเป็นไปตามธรรมชาติที่หมุนเวียนเป็นวัฏจักร จนสามารถนำตัวเองออกจากวัฏจักรที่ทำให้เกิดทุกข์ หรือวัฏสงสาร เข้าถึงพระนิพพาน ประเทศที่มีพุทธศาสนิกชนมากที่สุดคือประเทศจีน
    สรณะ (ที่พึ่ง) อันประเสริฐของพระพุทธศาสนาเรียกว่า พระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ โดย "พระพุทธเจ้า" ทรงตรัสรู้ "พระธรรม" แล้วทรงสั่งสอนให้พระภิกษุได้รู้ธรรมจนหลุดพ้นตามในที่สุด ทรงจัดตั้งชุมชนของพระภิกษุให้อยู่ร่วมกันเพื่อศึกษา และฝึกฝนตนเองให้หลุดพ้น เรียกว่า "พระสงฆ์" (สงฆ์ แปลว่าหมู่, ชุมนุม) แล้วทรงมอบหมายให้พระสงฆ์ทั้งหลายเผยแพร่พระธรรม เพื่อประโยชน์สุขของสัตว์โลกทั้งปวง
    หลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา ในยุคก่อนจะบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เรียกว่า "พรหมจรรย์" และเรียกว่า "พระธรรมวินัย" หลังจากที่ทรงบัญญัติวินัยในการปกครองคณะสงฆ์แทนศีล๑๐แต่เดิม ประกอบด้วย "พระธรรม" คือความรู้ในสัจธรรมต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วและได้นำมาแสดงแก่ชาวโลก กับ "พระวินัย" คือกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ทรงบัญญัติไว้สำหรับผู้ที่ออกบวช เพื่อให้ผู้บวชสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีกฏเกณฑ์เป็นคณะสงฆ์ อันเป็นชุมชนตัวอย่างที่ดำเนินชีวิตเพื่อความพ้นทุกข์ โดยมีหมวดอภิธรรมไว้อธิบายคำจำกัดความของศัพท์ในหมวดพระธรรม และมีหมวดอภิวินัยไว้อธิบายคำจำกัดความคำศัพท์ในส่วนพระวินัย จนมาถึงยุคสังคายนาครั้งที่ ๓ ได้มีการบันทึกพระธรรมและพระวินัยเป็นลายลักษณ์อักษร เรียกว่า "พระไตรปิฏก" แปลว่าตะกร้าสามใบ ซึ่งหมายถึง คัมภีร์หรือตำราสามหมวดหลักๆ ได้แก่ ๑. วินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี ๒. สุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมทั่วไป และเรื่องราวต่างๆ ๓. อภิธัมมปิฎก ว่าด้วยธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ธรรม หรือธรรมะที่แสดงถึงสภาวะล้วน ๆ ไม่มีการสมมุติ วินัยปิฎก จัดเป็นรากของพระศาสนา (ถ้าพระภิกษุประพฤติไม่น่าเลื่อมใสศาสนาก็จะล่มจม) สุตตันตะปิฎก จัดเป็นกิ่ง ใบ ผล ร่มเงาของพระศาสนา (ธรรมะต่างๆย่อมมีประโยชน์หลายอย่างต่างๆกันไปแต่ละคน สามารถพลิกแพลงเพื่อประโยชน์แก่คนหมู่มาก ให้ความร่มเย็น เกิดศาสนาทายาท) อภิธรรมปิฎกจัดเป็นลำต้นของพระศาสนา (ธรรมะที่พลิกแพลงหลากหลายเพื่อนำไปใช้ต่างๆกันไป ย่อมจะทำให้เกิดความแตกแยกทางความคิดได้ต้องมีอภิธรรม ยึดเป็นหลักเทียบเคียงความถูกต้องของหลักการในพระศาสนา)
    พระพุทธเจ้าได้ทรงเริ่มออกเผยแผ่คำสอนในภูมิภาคที่เป็นประเทศอินเดียในปัจจุบัน ตั้งแต่เมื่อ 45 ปีก่อนพุทธศักราช ปัจจุบันศาสนาพุทธได้เผยแผ่ไปทั่วโลก โดยมีจำนวนผู้นับถือส่วนใหญ่อยู่ใน ทวีปเอเชีย ทั้งในเอเชียกลาง เอเชียตะวันออก และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชน
    ผู้นับถือศาสนาพุทธที่ได้บวชเพื่อศึกษา และฝึกฝนตามคำสอนเพื่อความหลุดพ้น เรียกว่า พระภิกษุสงฆ์ (ชาย) และ พระภิกษุณีสงฆ์ (หญิง) ส่วนผู้นับถือที่ไม่ได้บวชจะเรียกว่าฆราวาส หรือ อุบาสก (ชาย) / อุบาสิกา (หญิง) โดยเมื่อรวมบุคคลสี่ประเภทคือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จะเรียกว่า พุทธบริษัท 4 อันหมายถึง พุทธศาสนิกชน พุทธมามกะ พุทธสาวก อันเป็นกลุ่มผู้ร่วมกันนับถือ ร่วมกันศึกษา และร่วมกันรักษาพุทธศาสนาไว้

    ประวัติ

    <DL><DD>ดูที่ ประวัติพุทธศาสนา </DD></DL>
    [แก้] หลักการสำคัญของพุทธศาสนา

    [​IMG] [​IMG]
    พระพุทธรูปในวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย


    • ความกตัญญูกตเวที คือการรู้จักบุญคุญและตอบแทน
    • พรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมประจำใจเพื่อให้ตนและสังคมดำรงชีวิตได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ ประกอบด้วยหลักปฏิบัติ 4 ประการ คือ เมตตา (ความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นมีความสุข) กรุณา (ความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์) มุทิตา (ความยินดีที่ผู้อื่นประสบความสุขในทางที่เป็นกุศลหรือประกอบเหตุแห่งสุข) อุเบกขา (การวางจิตเป็นกลาง การมีเมตตา กรุณา มุทิตา เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าตนไม่สามารถช่วยเหลือผู้นั้นได้ จิตตนจะเป็นทุกข์ ดังนั้น ตนจึงควรวางอุเบกขาทำวางใจให้เป็นกลาง และพิจารณาว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมที่ได้เคยกระทำไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม กรรมนั้นย่อมส่งผลอย่างยุติธรรมตามที่เขาผู้นั้นได้เคยกระทำไว้อย่างแน่นอน รวมถึงการให้อภัยผู้อื่น)
    • หลักคำสอนสำคัญของศาสนา ได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ คือ " การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญแต่ความดี การทำจิตให้ผ่องใส" และการดำเนินทางสายกลางโดยมรรค 8
    พุทธศาสนา สอน "อริยสัจ 4" หรือความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ที่ทำให้เราเข้าใจปัญหาและความทุกข์ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ สมุทัย ความดับแห่งทุกข์ หรือ นิพพาน นิโรธ และวิถีทางอันประเสริฐที่จะนำให้ถึงความดับทุกข์ มรรค ซึ่งความจริงเหล่านี้เป็นสัจธรรมอันจริงแท้ของชีวิตและกฎธรรมชาติที่ตั้งอยู่โดยเหตุปัจจัยปรุงแต่งที่ทำให้เกิดทุกข์ ดังนั้นคำสอนสำคัญโดยลำดับตามแนวอริยสัจ
    1. ลักษณะของความทุกข์ ได้แก่ ไตรลักษณ์ พุทธศาสนาได้สอนให้เข้าใจถึงเหตุลักษณะสากลแห่งสรรพสิ่งที่เป็นไปตามกฎ ไตรลักษณ์ อันได้แก่ อนิจจัง (ความไม่เที่ยงแท้ มีอันต้องแปรปรวนไป) ทุกขัง (ความทนอยู่อย่างเดิมไม่ได้) อนัตตา (ความไม่มีแก่นสารอะไรให้ถือเอาเป็นตัวตนของใครๆ ได้อย่างแท้จริง) และได้ค้นพบว่า นอกจากการ แก่ เจ็บ และตาย เป็นทุกข์(ซึ่งมีในหลักคำสอนของศาสนาอื่น) แล้ว ยังสอนว่า การเกิดก็นับเป็นทุกข์
    2. เหตุแห่งทุกข์ ได้แก่ อวิชชา ปฏิจจสมุปบาท สังสารวัฏ กรรม และ กฎแห่งกรรม พุทธศาสนา สอนว่า ความทุกข์ ไม่ได้เกิดจากสิ่งใดดลบันดาล หากแต่มีรากเหง้ามาจากความไม่รู้หรือ อวิชชา ทำให้มี การเกิด ของสรรพสิ่ง และมีความเชื่อมโยงของการเกิด อุปาทาน กรรม เหตุ และผล ต่อเนื่องกันไป ตามหลัก ปฏิจจสมุปบาท กล่าวโดยย่อว่า สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ต่างมีเหตุให้เกิด เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นผลก็เกิดขึ้นตาม เมื่อเหตุนั้นไม่มีอีกแล้วผลก็ดับไป ส่วนการเวียนว่ายตายเกิดของจิตวิญญาณทั้งหลายนับชาติไม่ถ้วน ผ่านไประหว่าง ภพภูมิ (มิติต่างๆ ตั้งแต่เลวร้ายที่สุดไปจนถึงสุขสบายที่สุด) นี้เรียกว่า สังสารวัฏ สำหรับการเวียนว่ายของจิตวิญญาณมีเหตุมาจาก "อวิชชา" คือความที่จิตไม่รู้ถึงความเป็นจริง ไปหลงยึดเอาว่าสิ่งต่างๆ มีตัวตน ซึ่งเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งหลาย กำลังที่ส่งผลให้เกิดสิ่งต่างเหล่านี้เป็นไปตาม กฎแห่งกรรม - กรรม คือการกระทำทุกอย่างทั้งทางกาย วาจา และใจ ที่มีเจตนาสั่งการโดยจิตของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าเป็นการกระทำที่ดี (บุญ/กุศล) หรือไม่ดี (บาป/อกุศล) หรือกลางๆ อันทำให้มีผลของการกระทำตามมา โดยผลของการกระทำจะไม่สูญหายไปไหน แต่รอเวลาที่จะให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับการกระทำนั้นๆ สะท้อนกลับมาหาผู้กระทำเสมอ โดยไม่สามารถนำบุญกับบาปมาหักล้างกันได้โดยตรง กฎแห่งกรรมนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่กำหนดความเป็นไปของแต่ละจิตวิญญาณในสังสารวัฏ
    3. ความดับทุกข์ (นิโรธ) คือ นิพพาน อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา หรือ แก่นของพระพุทธศาสนา คือ นิพพาน หรือ ความหลุดพ้นแห่งใจอันกิเลสไม่กลับกำเริบ พ้นไปจากสังสารวัฏ พ้นจากความทุกข์ เป็นอิสระจากพันธนาการทุกอย่าง เป็นความสุขสูงสุด เนื่องธรรมดาของสัตว์โลกมีปกติทำความชั่วมากโดยบริสุทธิใจในความเห็นแก่ตัว ทำดีน้อยซึ่งไม่บริสุทธิใจซ้ำหวังผลตอบแทนจึงมีปกติรับทุกข์มากกว่าสุข ดังนั้นถ้าเป็นผู้มีปัญญาหรือเป็นพ่อค้าที่ฉลาดยอมรู้ว่าขาดทุนมากกว่าได้กำไร และสุขที่ได้เป็นเพียงมายา ย่อมปรารถนาในพระนิพพาน

    4. วิถีทางดับทุกข์ คือ ทางออกไปจากสังสารวัฏมีทางเดียว คือการดำเนินตามเส้นทางอริยมรรค โดยยึดทางสายกลาง มัชฌิมปฏิปทา และโอวาทปาติโมกข์ มาใช้ 3 ประการคือ
    1. ละเว้นอกุศล (ความไม่ฉลาด) ทางกาย วาจา จิตใจ โดยการรักษา ศีล
    2. หมั่นสร้างกุศล (ความฉลาด) ทางกาย วาจา จิตใจ โดยการเจริญ พรหมวิหาร เป็นต้น
    3. ฝึกจิตให้หลุดพ้น (จากความไม่รู้สัจจธรรม ที่พันธนาการจิตไว้) โดยการเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นต้น
    สติปัฏฐาน 4 เป็นวิธีฝึกฝนจิตเพื่อให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ โดยเฉพาะเจาะจงแล้วหมายถึงมรรคองค์ที่ 7 คือสัมมาสติ

    อีกนัยหนึ่งเมื่อจำแนกตามลำดับขั้นตอนคือ
    1. ศีล (ฝึกกายและจิตให้ละเว้นจากการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น)
    2. สมาธิ (ฝึกความตั้งมั่นของจิต และทำสติให้รับรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง)
    3. ปัญญา (ให้จิตพิจารณาตามความเป็นจริง จนกระทั่งทำลายอวิชชาความไม่รู้ และทำจิตให้เป็นอิสระจากมายาของโลก)
    [แก้] ลักษณะเด่นของพุทธศาสนา

    พระพุทธศาสนานับเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นเพื่อปรับปรุง และแก้ไขสังคมอินเดียในยุคนั้นให้ดีขึ้นจากสภาพการณ์หลายอย่าง เช่น จากการกดขี่ทางชนชั้นวรรณะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ชัดเจน การถือชั้นวรรณะอย่างเข้มงวด การใช้สัตว์เป็นจำนวนมากเพื่อบวงสรวงบูชายัญ ตลอดจนการกดขี่สตรี พุทธศาสนาจึงเสมือนน้ำทิพย์ชโลมสังคมอินเดียโบราณให้ขาวสะอาดมากกว่าเดิม คำสอนของพุทธศาสนาทำให้สังคมโดยทั่วไปสงบร่มเย็น

    [แก้] ศาสนาแห่งความรู้และความจริง

    พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรู้ เพราะเป็นศาสนาแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธองค์เอง จากปัญญาของพระองค์ และธรรมที่พระองค์ตรัสรู้คือ อริยสัจ 4 ก็เป็นความจริงอย่างแท้จริง ทรงตรัสรู้โดยไม่มีใครสั่งสอน และไม่อ้างว่าเป็นทูตของพระเจ้า นักปราชญ์ทั้งหลายทั้งในอดีต และปัจจุบันจึงกล่าวยกย่องว่าเป็นศาสนาที่ประกาศความเป็นอิสระของมนุษย์ให้ปรากฏแก่โลกยิ่งกว่าศาสนาใดๆที่มีมา

    [แก้] ศาสนาแห่งอิสระเสรีภาพ

    [​IMG] [​IMG]
    ภาพของท่านโพธิธรรม กำลังนั่งสมาธิ ซาเซน.


    พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่ผูกติดกับพระผู้ดลบันดาล หรือพระเจ้า ไม่ได้ผูกมัดตนเองไว้กับพระเจ้า ไม่พึ่งพาอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า เชื่อในความสามารถของมนุษย์ว่ามีศักยภาพเพียงพอ โดยไม่ต้องพึ่งอำนาจใดๆภายนอก เชื่อว่ามนุษย์เองสามารถปลดเปลื้องความทุกข์ได้โดยไม่รอการดลบันดาล พุทธศาสนาไม่มีการบังคับให้คนศรัทธา หรือเชื่อ แต่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง แต่หากจะเปรียบเทียบกับศาสนาอื่นที่มีพระเจ้า ชาวพุทธทุกคนคือพระเจ้าของตัวเอง เนื่องจากตัวเองเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ว่าจะมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตหรือมีความตกต่ำในชีวิต จากการประพฤติปฏิบัติของตัวเอง ดังคำพุทธพจน์ที่ว่าตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ซึ่งต่างกับศาสนาที่มีพระเจ้า ที่ชะตาชีวิตทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดมาแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ว่าจะเจอเรื่องดีหรือร้ายก็ต้องทนรับชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    [แก้] ศาสนาอเทวนิยม

    ในทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเองจากกฎแห่งธรรมชาติอันมี ๑.กฎแห่งสภาวะ หรือมีธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม และ ไฟ ที่เปลี่ยนสถานะเป็นธาตุต่างๆกลับไปกลับมา ที่เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ๒. กฎไตรลักษณ์ และ ๓.กฎแห่งเหตุผล เช่น ทุกขลักษณ์ทำให้สิ่งทั้งปวงหยุดนิ่งมิได้เหมือนจะต้องระเบิดอยู่ตลอดเวลา อย่างแสงอาทิตย์ต้องวิ่งมาชนโลก โลก จักรวาล แกแล๊คซี่ต้องหมุน ลมต้องพัด เปลือกโลกต้องเคลื่อน ทำให้มีกฎแห่งสมตา(ปรับสมดุล)เช่นเรานอนเฉยๆต้องขยับ หรือวิ่งมากๆต้องหยุด เช่นความร้อนย่อมต่องการสลายตัวไปที่เย็นกว่า ไฟฟ้าในเมฆพายุฝนที่มีมากทิ้งมาที่พื้นโลกจนเกิดฟ้าผ่า ที่ๆเป็นสุญญากาศย่อมดึงให้สิ่งที่มีอยู่เข้ามา ความทุกข์ทำให้เกิดการวิวัฒนาการของสัตว์ พืช เช่นพืชที่ปลูกถี่ๆกันย่อมแย่งกันสูงเพื่อแย่งแสงอาทิตย์ในการอยู่รอด หรือ อนิจจลักษณ์(ความไม่แน่นอน)ทำให้สิ่งทั้งปวงย่อมต้องเปลี่ยนแปลงสถานะเดิม อย่างธาตุดิน(ของแข็ง)เปลี่ยนเป็นธาตุน้ำ(ของเหลว)เปลี่ยนเป็นธาตุลม(แก๊ส)และเปลี่ยนเป็นธาตุไฟ(แสง ความร้อน พลังงาน)และเปลี่ยนไปไม่สิ้นสุด แม้จะเปลี่ยนแปลงแต่การเปลี่ยนแปลงก็มีขีดจำกัดทำให้เกิดกฎแห่งวัฏจักร โลก จักรวาล กาแล็กซี ย่อมหมุนเป็นวงกลม สิ่งมีชีวิตเริ่มต้นถึงที่สุดก็กลับมาตั้งต้นใหม่ ความไม่แน่นอนทำให้สัตว์ พืช ไม่เหมือน พ่อแม่ของตนได้นิดหน่อยเพราะกฎแห่งเหตุผลทำให้ลูกต้องมาจากปัจจัยพ่อแม่ของตน เช่นหมูที่เขี้ยวยาวกว่าจะเอาตัวรอดในสถานที่นั้นๆได้ดีกว่า นานๆ เข้าตัวที่เขี้ยวยาวกว่าพ่อแม่ของตนรอดมากๆเข้าก็ทำให้หมูป่าในปัจจุบันเขี้ยวยาวขึ้น อนัตตลักษณ์(สิ่งทั้งปวงไม่มีตัวตนอยู่เองโดยไม่เกี่ยวเนี่ยวกับใครมีตัวตนเพราะอาศัยปัจจัยต่างๆประกอบกันขึ้น เช่น ต้นไม้ย่อมอาศัยแสง ดิน น้ำ แร่ธาตุ ราก ใบ กิ่ง แก่น ลำต้น อากาศ ทำให้ดำรงอยู่ได้) สิ่งทั้งปวงย่อมเกี่ยวเนี่องซึ่งกันและกันทำให้เกิดการผสมผสาน ทำให้เกิดความหลากหลายยิ่งขึ้น อย่างร่างกายของเราย่อมเกิดจากความเกี่ยวข้องกันเล็กๆน้อยและเพิ่มขึ้นซับซ้อนขึ้น เมื่อสิ่งต่างมีผลกระทบต่อกันในด้านต่างๆทำให้เกิดกฎแห่งหน้าที่(ชีวิตา)เช่น ตับย่อมทำงานของตับ ไม่ได้ทำงานเป็นกล้ามเนื้อหัวใจ และถ้าธาตุทั้งสี่ไม่ทำหน้าที่ของตน ร่างกายของย่อมแตกสลายไปราวกับอากาศธาตุ สรุป กฎไตรลักษณ์เป็นสิ่งที่ทำให้มีการสร้าง ดำรงรักษาอยู่ และทำลายไปของทุกสรรพสิ่ง ทุกขลักษณ์ทำให้สิ่งทั้งปวงอยู่นิ่งมิได้ อนิจจลักษณ์เปลี่ยนแปลงธาตุต่าง อนัตตลักษณ์ทำให้เกี่ยวเนื่องผสมผสานกันทำให้ซัยซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเหตุว่าพระพุทธศาสนาไม่เชื่อในอำนาจการดลบันดาลของพระเจ้า จึงจัดอยู่ในศาสนาประเภท อเทวนิยม ในความหมายที่ว่าไม่เชื่อว่า พระเจ้าบันดาลทุกสรรพสิ่ง ไม่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก และปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า แต่ไม่ปฏิเสธการมีอยู่ของจิต

    [แก้] ศาสนาแห่งสันติภาพ

    ในกระบวนการนักคิดของโลกศาสนา พุทธศาสนาได้รับการยกย่องจากทั่วโลกว่า เป็นศาสนาแห่งสันติภาพอย่างแท้จริง เพราะไม่ปรากฏว่ามีสงครามศาสนาเกิดขึ้นในนามของศาสนา หรือเผยแผ่ศาสนาโดยการบังคับผู้อื่นให้มานับถือ<SUP class=noprint title=ข้อความส่วนนี้ต้องการแหล่งอ้างอิง>[ต้องการแหล่งอ้างอิง]</SUP> ให้เสรีภาพในการพิจารณาให้มีปัญญาเหนือศรัทธา ในขณะที่บางศาสนาสอนว่าศาสนิกชนต้องมีศรัทธามาก่อนปัญญาเสมอ และต้องมีความภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด ผู้นับถือจะสงสัยในพระเจ้าไม่ได้

    [แก้] นิกาย

    [​IMG] [​IMG]
    พระพุทธรูปในถ้ำซ็อกคูรัม ประเทศเกาหลีใต้



    ศาสนาพุทธ แบ่งออกเป็นนิกายใหญ่ได้ 2 นิกายคือ เถรวาท หรือ หินยาน และ มหายาน นอกจากนี้แล้วยังมีการแบ่งที่แตกต่างออกไปและไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายในประเทศไทยคือ การแบ่งเป็น 3 นิกายคือ
    [แก้] สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา

    วัด ซึ่งเป็นสถานที่อยู่อาศัย หรือ ที่จำพรรษา ของ พระภิกษุ สามเณร เพื่อใช้ประกอบกิจกรรมประจำวันของพระภิกษุสงฆ์ เช่น การทำวัตรเช้า การทำวัตรเย็น อีกทั้ง ยังใช้ประกอบพิธีกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธศาสนิกชน อีกด้วย

    [แก้] อ้างอิง

    [แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

    <!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 96/1000000Post-expand include size: 6673/2048000 bytesTemplate argument size: 563/2048000 bytesExpensive parser function count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:934-0!1!0!!th!2 and timestamp 20081230073831 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2".
    หมวดหมู่: พุทธศาสนา
    หมวดหมู่ที่ซ่อนอยู่: บทความที่รอการตรวจสอบรูปแบบ | บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วน
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติพุทธศาสนา

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม และเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากศาสนาหนึ่งของโลก รองจาก ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และ ศาสนาฮินดู ประวัติความเป็นมาของศาสนาพุทธเริ่มตั้งแต่สมัยพุทธกาล ผู้ประกาศศาสนาและเป็นศาสดาของศาสนาพุทธคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนวิสาขะหรือเดือน 6 ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ปัจจุบันสถานที่นี้ เรียกว่า พุทธคยา อยู่ห่างจากเมืองคยาประมาณ 11 กิโลเมตร ประวัติความเป็นมาของพุทธศาสนาหลังจากการประกาศศาสนา เริ่มจากการแพร่หลายไปทั่วอินเดีย หลังพุทธปรินิพพาน 100 ปี จึงแตกเป็นนิกายย่อย โดยนิกายที่สำคัญคือ เถรวาทและมหายาน
    นิกายมหายานได้แพร่หลายไปทั่วเอเชียกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก เมื่อศาสนาพุทธในอินเดียเสื่อมลง พุทธศาสนามหายานในเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เสื่อมตามไปด้วย ยังคงเหลือในจีน ทิเบต ญี่ปุ่น เวียดนาม ส่วนนิกายเถรวาทได้เฟื่องฟูขึ้นอีกครั้งในศรีลังกา และแพร่หลายไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พุทธศาสนาได้แพร่หลายไปยังโลกตะวันตกตั้งแต่ครั้งโบราณ แต่ชาวตะวันตกหันมาสนใจพุทธศาสนามากขึ้นในยุคจักรวรรดินิยมและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

    ชาติกำเนิดของพระพุทธเจ้า
    [​IMG] [​IMG]
    พระพุทธรูป รูปเคารพแทนพระพุทธเจ้าของชาวพุทธ



    <DL><DD>ดูบทความหลักที่ พระโคตมพุทธเจ้า

    </DD></DL>พระโคตมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน มีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ และ พระนางสิริมหามายา ประสูติในราชตระกูลศากยวงศ์ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ พระองค์ทรงออกผนวชเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา บำเพ็ญเพียรอยู่ 6 ปี จึงตรัสรู้เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา และทรงประกาศพระศาสนาอยู่ 45 ปี จึงเสด็จปรินิพพานเมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP> ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการนับปีพุทธศักราช

    [แก้] พุทธศาสนาสมัยพุทธกาล

    หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี พระองค์ตรัสธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ เมื่อจบพระธรรมเทศนา ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลีมลทิน จึงเกิดขึ้นแก่พระโกณฑัญญะ จนทำให้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พระโกณฑัญญะจึงกราบทูลขออุปสมบทในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งนับเป็นพระสงฆ์องค์แรกในโลก<SUP class=reference id=cite_ref-1>[2]</SUP> และพระรัตนตรัยจึงเกิดขึ้นในโลกเช่นกันในวันนั้น ต่อมา พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมอื่น ๆ เพื่อโปรดพระปัญจวัคคีย์ที่เหลืออีก 4 องค์ จนบรรลุเป็นพระโสดาบันทั้งหมด หลังจากพระปัญจวัคคีย์บรรลุเป็นพระโสดาบันหมดแล้ว พระองค์ทรงแสดงธรรมอนัตตลักขณสูตร ซึ่งทำให้พระปัญจวัคคีย์บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
    ต่อจากนั้น พระองค์ได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดพระยสะและพวกอีก 54 ท่าน จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ในครั้งนั้นจึงมีพระอรหันต์รวมทั้งพระองค์ด้วยทั้งสิ้น 61 พระองค์ พระพุทธเจ้าจึงพระดำริให้พระสาวกออกประกาศศาสนา โดยมีพระปฐมวาจาในการส่งพระสาวกออกประกาศศาสนาว่า
    <TABLE style="BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-TOP: 10px" vAlign=top width=20>[​IMG]</TD><TD style="PADDING-TOP: 10px">ดูก่อนพระภิกษุทั้งหลาย เราหลุดพ้นจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ และของมนุษย์ แม้พวกเธอได้หลุดพ้นจากบ่วงทั้งปวงทั้งของทิพย์และของมนุษย์เช่นกัน พวกเธอจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์ และความสุขแก่มหาชน เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ พวกเธออย่าไปทางเดียวกัน 2 รูป จงแสดงธรรมให้งามในเบื้องต้น ในท่ามกลางและในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะให้ครบถ้วนบริบูรณ์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีธุลี คือ กิเลส ในจักษุเพียงเล็กน้อยมีอยู่ แต่เพราะโทษที่ยังไม่ได้สดับธรรม จึงต้องเสื่อมจากคุณที่พึงจะได้รับ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้รู้ทั่วถึงธรรมมีอยู่ แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม<SUP class=reference id=cite_ref-2>[3]</SUP></TD><TD style="PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-LEFT: 10px" vAlign=bottom width=20>[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 20px; FONT-SIZE: 90%; PADDING-BOTTOM: 10px; TEXT-ALIGN: right" colSpan=3></TD></TR></TBODY></TABLE>
    จึงทำให้พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง และแผ่ขยายไปในชมพูทวีปอย่างรวดเร็ว ชาวชมพูทวีปพากันละทิ้งลัทธิเดิม แล้วหันมานับถือเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้นโดยลำดับ

    [แก้] พุทธศาสนาหลังพุทธปรินิพาน

    เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว พระพุทธศาสนายังเจริญในอินเดียสืบมา ความเจริญของพุทธศาสนาขึ้นกับว่าได้รับการส่งเสริมจากผู้มีอำนาจในสมัยนั้นหรือไม่ ถ้ามีก็มีความรุ่งเรืองมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลากาลล่วงไป ความขัดแย้งอันเกิดจากการตีความพระธรรมคำสอนและพระวินัยไม่ตรงกันได้เกิดขึ้นในกหมู่พระสงฆ์ จึงมีการแก้ไขโดยมีการจัดทำสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยที่ถูกต้องไว้เป็นหลักฐานสำหรับยึดถือเป็นแบบแผนต่อไป

    [แก้] การสังคายนาครั้งที่ 1

    การสังคายนาครั้งที่ 1 กระทำขึ้น หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ 3 เดือน ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา กรุงราชคฤห์ โดยพระมหากัสสปะเป็นประธาน พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์อุปถัมภ์ พระอานนท์เป็นผู้ให้คำตอบเกี่ยวกับพระธรรม และพระอุบาลีเป็นผู้ให้คำตอบเกี่ยวกับพระวินัย มีพระอรหันต์เข้าร่วมในการสังคายนา 500 รูป กระทำ 7 เดือนจึงแล้วเสร็จ <SUP class=reference id=cite_ref-3>[4]</SUP>
    การสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะพระสุภัททะกล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยหลังพุทธปรินิพพานเพียง 7 วัน ทำให้พระมหากัสสปะ ดำริจัดสังคายนาขึ้น ในการสังคายนาครั้งนี้ พระอานนท์ได้กล่าวถึงพุทธานุญาตให้สงฆ์ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ แต่ที่ประชุมตกลงกันไม่ได้ว่าสิกขาบทเล็กน้อยคืออะไร พระมหากัสสปะจึงให้คงไว้อย่างเดิม
    เมื่อสังคายนาเสร็จแล้ว พระปุราณะพร้อมบริวาร 500 รูป จาริกมายังแคว้นราชคฤห์ ภิกษุที่เข้าร่วมสังคายนาได้แจ้งเรื่องสังคายนาให้พระปุราณะทราบ พระปุราณะแสดงความเห็นคัดค้านเกี่ยวกับสิกขาบทบางข้อและยืนยันปฏิบัติตามเดิม ซึ่งแสดงให้เห็นเค้าความแตกแยกในคณะสงฆ์<SUP class=reference id=cite_ref-4>[5]</SUP>

    [แก้] การสังคายนาครั้งที่ 2 : การแตกนิกาย

    เมื่อพุทธปรินิพพานล่วงไป 100 ปี ภิกษุชาววัชชี เมืองเวสาลี ได้ตั้งวัตถุ 10 ประการ ซึ่งผิดไปจากพระวินัย ทำให้มีทั้งภิกษุที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนเกิดการแตกแยกในหมู่สงฆ์ พระยสกากัณฑบุตร ได้จาริกมาเมืองเวสาลี และทราบเรื่องนี้ ได้พยายามคัดค้าน แต่ภิกษุชาววัชชีไม่เชื่อฟัง ภิกษุที่สนับสนุนพระยสกากัณฑบุตรจึงนำเรื่องไปปรึกษาพระเถระผู้ใหญ่ในขณะนั้นได้แก่ พระเรวตะ พระสัพกามีเถระ เป็นต้น จึงตกลงให้ทำการสังคายนาขึ้นอีกครั้ง
    ภิกษุชาววัชชีไม่ยอมรับและไม่เข้าร่วมการสังคายนานี้ แต่ไปรวบรวมภิกษุฝ่ายตนประชุมทำสังคายนาต่างหาก เรียกว่า มหาสังคีติ และเรียกพวกของตนว่า มหาสังฆิกะ<SUP class=reference id=cite_ref-5>[6]</SUP> ทำให้พุทธศาสนาในขณะนั้นแตกเป็น 2 นิกาย คือ ฝ่ายที่นับถือมติของพระเถระครั้งปฐมสังคายนาเรียก เถรวาท ฝ่ายที่ถือตามมติของอาจารย์ของตนเรียก อาจาริยวาท<SUP class=reference id=cite_ref-6>[7]</SUP> <SUP class=reference id=cite_ref-7>[8]</SUP>
    อีกราว 100 ปีต่อมา สงฆ์ทั้ง 2 ฝ่ายมีการแตกนิกายออกไปอีก หลักฐานฝ่ายภาษาบาลีว่าแตกไป 18 นิกาย หลักฐานฝ่ายภาษาสันสกฤตว่า แตกไป 20 นิกาย ได้แก่<SUP class=reference id=cite_ref-8>[9]</SUP>

    <TABLE class="" style="WIDTH: 100%; BACKGROUND-COLOR: transparent" cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width="50%">[แก้] หลักฐานฝ่ายบาลี

    </TD><TD vAlign=top align=left width="50%">[แก้] หลักฐานฝ่ายสันสกฤต
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [แก้] การสังคายนาครั้งที่ 3

    [​IMG] [​IMG]
    การแพร่กระจายของพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช


    เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เพื่อกำจัดพวกเดียรถีย์ปลอมบวชในพระพุทธศาสนา มีพระโมคคัลลีบุรติสสะเป็นประธาน ใช้เวลา 9 เดือนจึงสำเร็จในการสังคายนาครั้งนี้ พระโมคคัลลีบุรติสสะ ได้แต่งกถาวัตถุขึ้น เพื่ออธิบายธรรมให้แจ่มแจ้ง<SUP class=reference id=cite_ref-9>[10]</SUP>

    หลังจากการสังคายนาสิ้นสุดลง พระเจ้าอโศกฯได้ส่งสมณทูต 9 สายออกเผยแผ่พุทธศาสนา คือ
    1. คณะพระมัชฌันติกเถระ ไปแคว้นแคชเมียร์และแคว้นคันธาระ
    2. คณะพระมหาเทวะ ไป มหิสกมณฑล ซึ่งคือ แคว้นไมซอร์และดินแดนลุ่มแม่น้ำโคธาวารี ในอินเดียใต้ปัจจุบัน
    3. คณะพระรักขิตะ ไปวนวาสีประเทศ ได้แก่ แคว้นบอมเบย์ในปัจจุบัน
    4. คณะพระธรรมรักขิต ไป อปรันตกชนบท แถบทะเลอาหรับทางเหนือของบอมเบย์
    5. คณะพระมหาธรรมรักขิต ไปแคว้นมหาราษฎร์
    6. คณะพระมหารักขิต ไปโยนกประเทศ ได้แก่แคว้นกรีกในเอเชียกลาง อิหร่าน และเตอร์กิสถาน
    7. คณะพระมัชฌิมเถระ ไปแถบเทือกเขาหิมาลัย คือ เนปาลปัจจุบัน
    8. คณะพระโสณะ และพระอุตตระ ไปสุวรรณภูมิ ได้แก่ ไทย พม่า มอญ
    9. คณะพระมหินทระ ไปลังกา
    [แก้] กำเนิดมหายาน


    <DL><DD>ดูบทความหลักที่ มหายาน

    </DD></DL>พระพุทธศาสนามหายานเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 6-7 โดยเป็นคณะสงฆ์ที่มีความเห็นต่างจากนิกายเดิมที่มีอยู่ 18 - 20 นิกายในขณะนั้น แนวคิดของมหายานพัฒนามาจากแนวคิดของนิกายมหาสังฆิกะและนิกายที่แยกไปจากนิกายนี้ จุดต่างจากนิกายดั้งเดิมคือคณะสงฆ์กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับการเป็นพระโพธิสัตว์และเน้นบทบาทของคฤหัสถ์มากกว่าเดิม<SUP class=reference id=cite_ref-10>[11]</SUP> จึงแยกออกมาตั้งนิกายใหม่ เหตุที่มีการพัฒนาลัทธิมหายานขึ้นนั้นเนื่องจาก
    1. แรงผลักดันจากการปรับปรุงศาสนาพราหมณ์ มีการแต่งมหากาพย์รามายณะและมหาภารตะเพื่อดึงดูดใจผู้อ่านให้ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า กำหนดให้มีพระเจ้าสูงสุด 3 องค์ คือพระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร ประกอบกับได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์ ศาสนาพราหมณ์จึงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ฝ่ายพุทธศาสนาจึงจำเป็นต้องปรับตัว
    2. แรงบันดาลใจจากบุคลิกภาพของพระพุทธองค์ ฝ่ายมหายานเห็นว่าพระพุทธองค์เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ไม่ควรสิ้นสุดหลังจากปรินิพพาน ทำให้เหมือนกับว่าชาวพุทธขาดที่พึ่ง จึงเน้นคุณความดีของพระองค์ ในฐานะที่เป็นพระโพธิสัตว์ เน้นให้ชาวพุทธปรารถนาพุทธภูมิ บำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ช่วยเหลือผู้อื่น ภายหลังจึงเกิดแนวคิดตรีกายของพระพุทธเจ้า
    3. เกิดจากบทบาทของพุทธบริษัทที่เป็นคฤหัสถ์ เพราะลัทธิมหายานเน้นที่การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ ซึ่งพระโพธิสัตว์เป็นคฤหัสถ์ได้ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้คฤหัสถ์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น
    คณาจารย์ที่สำคัญของนิกายมหายานคือ พระอัศวโฆษ พระนาคารชุน พระอสังคะ พระวสุพันธุ เป็นต้น หลังจากการก่อตัว พุทธศาสนามหายานซึ่งมีจุดเด่นคือสามารถปรับตัวให้เข้ากับความเชื่อดั้งเดิมที่แตกต่างไปในแต่ละท้องถิ่นได้ง่ายกว่าพุทธศาสนาเถรวาทซึ่งเป็นแบบดั้งเดิมได้แพร่กระจายออกจากอินเดียไปในทวีปเอเชียหลายประเทศ<SUP class=reference id=cite_ref-11>[12]</SUP>

    [แก้] การแพร่กระจายของมหายาน

    [​IMG] [​IMG]
    การแพร่กระจายของมหายานระหว่างพุทธศตวรรษที่ 6 -15



    [แก้] อินเดียและความเสื่อมของพุทธศาสนา

    พุทธศาสนามหายานในอินเดียได้รับการสนับสนุนโดยราชวงศ์กุษาณ เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์กุษาณ พุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์โดยราชวงศ์คุปตะ มีการสร้างศูนย์กลางการศึกษาพุทธศาสนา คือ มหาวิทยาลัยนาลันทาและมหาวิทยาลัยวิกรมศิลา ในอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ มีอาจารย์ที่มีชื่อเสียง เช่น พระนาคารชุน พุทธศาสนาในสมัยนี้ได้แพร่หลายไปยังจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนกระทั่ง การสิ้นสุดอำนาจของราชวงศ์คุปตะจากการรุกรานของชาวฮั่นในพุทธศตวรรษที่ 11<SUP class=reference id=cite_ref-12>[13]</SUP>
    บันทึกของหลวงจีนอี้จิงที่มาถึงอินเดียในพุทธศตวรรษที่ 12 กล่าวว่า พุทธศาสนารุ่งเรืองในอันธระ ธันยกตกะ และ ฑราวิฑ ปัจจุบัน คือรัฐอันธรประเทศและทมิฬนาดู<SUP class=reference id=cite_ref-13>[14]</SUP> ยังมีชาวพุทธในเนปาล และสสันภะ ในอาณาจักรคังทา (รัฐเบงกอลตะวันตกในปัจจุบัน) และ หรรษวรรธนะ เมื่อสิ้นสุดยุคอาณาจักรหรรษวรรธนะ เกิดอาณาจักรเล็กๆขึ้นมากมาย โดยมีแคว้นราชปุตให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนา
    จนกระทั่ง ยุคจักรวรรดิปาละในเบงกอล พุทธศาสนามหายานรุ่งเรืองอีกครั้ง และได้แพร่หลายไปยังสิกขิมและภูฏาน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 13-17 เมื่อจักรวรรดิปาละปกรองด้วยกษัตริย์ราชวงศ์เสนะที่นับถือศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธจึงเสื่อมลง
    ศาสนาพุทธในอินเดียเริ่มเสื่อมลงอย่างช้า ๆ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา ความเสื่อมในอินเดียตะวันออกเริ่มตั้งแต่จักรวรรดิปาละหันไปส่งเสริมศาสนาฮินดูไวษณพนิกาย ส่วนในอินเดียเหนือเริ่มเสื่อมตั้งแต่ พ.ศ. 1736 เมื่อชาวเติร์กที่นับถือศาสนาอิสลาม นำโดยมูฮัมหมัด คิลญี บุกอินเดียและเผามหาวิทยาลัยนาลันทา ตั้งแต่ พ.ศ. 1742 เป็นต้นไป ศาสนาอิสลามแพร่เข้าสู่พิหาร ทำให้ชาวพุทธโยกย้ายไปทางเหนือเข้าสู่เทือกเขาหิมาลัยหรือลงใต้ไปที่ศรีลังกา นอกจากนั้น ความเสื่อมของศาสนาพุทธยังเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของศาสนาฮินดู ภายใต้การนำของขบวนการต่าง ๆ เช่น อัธไวตะ ภักติ และการเผยแพร่ศาสนาของนักบวชลัทธิซูฟี<SUP class=reference id=cite_ref-14>[15]</SUP>

    [แก้] พุทธศาสนาในเอเชียกลาง


    <DL><DD>ดูบทความหลักที่ พุทธศาสนาในซินเจียงอุยกูร์ และเอเชียกลาง

    </DD></DL>ดินแดนเอเชียกลางได้รับอิทธิพลพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีกล่าวในเอกสารของฝ่ายเถรวาทว่าพ่อค้าสองคนจากแบกเทรีย คือ ตปุสสะและภัลลิกะ ได้พบพระพุทธเจ้าและปฏิญาณตนเป็นอุบาสก เมื่อกลับไปบ้านเมืองของตนได้สร้างวัดในพุทธศาสนาขึ้น<SUP class=reference id=cite_ref-15>[16]</SUP>
    เอเชียกลางเป็นดินแดนสำคัญในการติดต่อระหว่างจีน อินเดีย และเปอร์เซีย การุกรานของชาวฮั่นโบราณใน พ.ศ. 343 ไปทางตะวันตกเข้าสู่ดินแดนที่ได้รับอารยธรรมจากกรีกโดยเฉพาะอาณาจักรแบกเทรียทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมขึ้น<SUP class=reference id=cite_ref-16>[17]</SUP> การขยายตัวของพุทธศาสนาขึ้นสู่ทางเหนือทำให้เกิดอาณาจักรพุทธในเอเชียกลาง เมืองบนเส้นทางสายไหมหลายเมืองเป็นเมืองพุทธที่ต้อนรับนักเดินทางทั้งจากตะวันตกและตะวันออก
    พุทธศาสนาเถรวาทแพร่หลายเข้าสู่ดินแดนของชาวเติร์กก่อนที่จะผสมผสานกับนิกายมหายานที่แพร่หลายเข้ามาภายหลัง ดินแดนดังกล่าว คือ บริเวณที่เป็นประเทศปากีสถาน รัฐแคชเมียร์ อัฟกานิสถาน อิหร่านตะวันออกและแนวชายฝั่ง อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และทาจิกิสถาน อาณาจักรโบราณในสมัยนั้น คือ แคว้นคันธาระ แบกเทรีย พาร์เทีย และซอกเดีย ศาสนาพุทธในบริเวณนี้ได้แพร่ต่อไปยังจีน อิทธิพลของความเชื่อท้องถิ่นทำให้ศาสนาพุทธในบริเวณนี้แตกเป็นหลายนิกาย นิกายที่โดดเด่น คือ นิกายธรรมคุปตวาทและนิกายสรวาสติวาทิน<SUP class=reference id=cite_ref-17>[18]</SUP>
    ศาสนาพุทธในเอเชียกลางเสื่อมลงเมื่อศาสนาอิสลามแพร่หลายเข้ามาในบริเวณนี้ มีการทำลายสถูปจำนวนมากในสงครามในพุทธศตวรรษที่ 12 ศาสนาพุทธมีท่าทีว่าจะฟื้นตัวขึ้นอีกเมื่อเจงกีสข่านรุกรานเข้ามาในบริเวณนี้ มีการจัดตั้งดินแดนของอิลข่านและชะกะไตข่าน เมื่อพุทธศตวรรษที่ 18 แต่อีก 100 ปีต่อมา ชาวมองโกลส่วนใหญ่หันไปนับถือศาสนาอิสลาม ทำให้ศาสนาอิสลามแพร่หลายไปทั่วเอเชียกลาง

    [แก้] พุทธศาสนาในพาร์เทีย

    ศาสนาพุทธแพร่ไปทางตะวันตกถึงพาร์เทียอย่างน้อยถึงบริเวณเมิร์บในมาร์เกียนาโบราณ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเติร์กเมนิสถาน ชาวพาร์เทียจำนวนมากมีบทบาทในการแพร่กระจายของพุทธศาสนาโดยนักแปลคัมภีร์ชาวพาร์เทียจำนวนมากแปลคัมภีร์พุทธศาสนาเป็นภาษาจีน

    [แก้] พุทธศาสนาในที่ราบตาริม

    บริเวณตะวันออกของเอเชียกลาง (เตอร์เกสถานของจีน ที่ราบตาริม และมณฑลซินเจียง) พบศิลปะทางพุทธศาสนาจำนวนมาก ซึ่งแสดงอิทธิพลของอินเดียและกรีก ศิลปะเป็นแบบคันธาระ และจารึกเขียนด้วยอักษรขโรษฐี<SUP class=reference id=cite_ref-18>[19]</SUP>
    ดินแดนเอเชียกลาง เป็นตัวเชื่อมสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาพุทธไปทางตะวันออก ผู้แปลคัมภีร์เป็นภาษาจีนรุ่นแรกๆ เป็นชาวพาร์เทีย ชาวกุษาณ หรือชาวซอกเดีย การติดต่อแลกเปลี่ยนพุทธศาสนาระหว่างเอเชียกลางกับเอเชียตะวันออกพบมากในพุทธศตวรรษที่ 15 ทำให้ศาสนาพุทธเข้าไปตั้งมั่นในจีนจนปัจจุบัน

    [แก้] พุทธศาสนาในจีน


    <DL><DD>ดูบทความหลักที่ พุทธศาสนาในประเทศจีน

    </DD></DL>คาดว่าพุทธศาสนาเข้าสู่จีนเมื่อพุทธศตวรรษที่ 6 โดยผ่านเอเชียกลาง (แม้จะมีเรื่องเล่าว่ามีพระภิกษุเข้าไปถึงประเทศจีนตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช) จนในพุทธศตวรรษที่ 13 จีนจึงกลายเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของพุทธศาสนา
    ใน พ.ศ. 610 มีการก่อตั้งศูนย์กลางการเผยแพร่พุทธศาสนาในจีนโดยพระภิกษุสององค์ คือพระกาศยปะมาตังคะ และ และพระธรรมรักษ์<SUP class=reference id=cite_ref-19>[20]</SUP> ใน พ.ศ. 611 พระเจ้าหมิงตี้แห่งราชวงศ์ตงฮั่นได้สร้างวัดม้าขาวซึ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน อยู่ใกล้กับเมืองหลวง คือ เมืองลั่วหยาง คัมภีร์ทางพุทธศาสนามหายานแปลเป็นภาษาจีนครั้งแรกโดยพระภิกษุจากกุษาณ โลก๊กเสมา ในเมืองลั่วหยาง ระหว่าง พ.ศ. 721- 732<SUP class=reference id=cite_ref-20>[21]</SUP>ศิลปะทางพุทธศาสนายุคแรก ๆ ได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบคันธาระ
    พุทธศาสนาในจีนรุ่งเรืองมากในยุคราชวงศ์ถัง<SUP class=reference id=cite_ref-21>[22]</SUP> ราชวงศ์นี้ได้เปิดกว้างต่อการรับอิทธิพลจากต่างชาติ และมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับอินเดีย มีพระภิกษุจีนเดินทางไปอินเดียมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ 9-16 เมืองหลวงในสมัยราชวงศ์ถัง คือ ฉางอาน กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของพุทธศาสนาและเป็นแหล่งเผยแพร่ศาสนาต่อไปยังเกาหลีและญี่ปุ่น
    อย่างไรก็ตาม อิทธิพลจากต่างชาติกลายเป็นผลลบในตอนปลายของราชวงศ์ถัง ใน พ.ศ. 1388 จักรพรรดิหวู่ซุง ประกาศให้ศาสนาจากต่างชาติ ได้แก่ ศาสนาคริสต์ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ และศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ผิดกฎหมาย หันไปสับสนุนลัทธิเต๋าแทน ในสมัยของพระองค์มีการทำลายวัด คัมภีร์และบังคับให้พระภิกษุสึก ความรุ่งโรจน์ของพุทธศาสนาจึงสิ้นสุดลง พุทธศาสนานิกายสุขาวดีและนิกายฌานยังคงรุ่งเรืองต่อมา และกลายเป็นนิกายเซนในญี่ปุ่น นิกายฌานในจีนมีอิทธิพลในสมัยราชวงศ์ซ้อง

    [แก้] พุทธศาสนาในเกาหลี

    พุทธศาสนาเข้าสู่เกาหลีเมื่อราว พ.ศ. 915 เมื่อราชทูตจากจีนนำคัมภีร์และภาพวาดไปยังอาณาจักรโคกูรยอ<SUP class=reference id=cite_ref-22>[23]</SUP> ศาสนาพุทธรุ่งเรืองในเกาหลีโดยเฉพาะนิกายเซนในพุทธศตวรรษที่ 12 จนกระทั่ง ถึงยุคของการฟื้นฟูลัทธิขงจื๊อในสมัยราชวงศ์โชซอนตั้งแต่ พ.ศ. 1935 ศาสนาพุทธจึงเสื่อมลง

    [แก้] พุทธศาสนาในญี่ปุ่น


    <DL><DD>ดูบทความหลักที่ พุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น

    <DD>ดูบทความหลักที่ เซน

    </DD></DL>ญี่ปุ่นได้รับพุทธศาสนาเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 11 โดยพระภิกษุชาวเกาหลีนำคัมภีร์และศิลปะทางพุทธศาสนาเข้าสู่ญี่ปุ่น เมื่อสิ้นสุดยุคของเส้นทางสายไหม พร้อมๆกับการเสื่อมของพุทธศาสนาในอินเดีย เอเชียกลางและจีน ญี่ปุ่นยังคงรักษาความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนาไว้ได้ ตั้งแต่ พ.ศ. 1253 เป็นต้นมา มีการสร้างวัดและรูปเคารพจำนวนมากในเมืองหลวงคือเมืองนารา พุทธศิลป์แบบญี่ปุ่นรุ่งเรืองในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เตือนยิงปืนรับปีใหม่อันตราย สธ.เผยทุกปีพบผู้บาดเจ็บหลายราย
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153830
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 มกราคม 2552 15:06 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=143 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=143>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เตือนประชาชนที่นิยมยิงปืนเคาท์ดาวน์ ต้อนรับปีใหม่ อันตรายสุด ๆ มีชาวบ้านเป็นเหยื่อแล้วหลายราย ส่วนผลการให้บริการผู้บาดเจ็บฉลองปีใหม่ 2 วันแรก หน่วยแพทย์กู้ชีพวิ่งนาทีละ 2 ทีม มีประชาชนโทรใช้บริการ 1669 ทั้งหมด 6,372 ครั้ง เกือบครึ่งเป็นสายจากมือมืดโทรป่วนเจ้าหน้าที่ มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท

    นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมจุดตรวจวัดความสุข ที่ อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เพื่อให้บริการฟรีประชาชนที่ที่เดินทางในช่วง 7 วันอันตรายฉลองเทศกาลปีใหม่ ป้องกันและลดปัญหาการเกิดอุบัติเหตุจราจร และเยี่ยมให้กำลังใจแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลในสังกัด ในการรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บและผู้ป่วยฉุกเฉินทุกประเภท พร้อมกล่าวว่าจากการตรวจเยี่ยมพบว่า ที่จังหวัดเพชรบุรีปีนี้ จำนวนผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรลดลง ในรอบ 2 วัน ตั้งแต่วันที่ 30 -31 ธันวาคม 2551 มีผู้บาดเจ็บนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลทั้งหมด 10 ราย มีอาการหนัก 1 ราย รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเพชรรัตน์ จ.เพชรบุรี มีปัญหาปอดแตกทั้ง 2 ข้าง เนื่องจากไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ขณะนี้อยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ส่วนการปฏิบัติของทีมกู้ชีพซึ่งมีทั้งหมด 63 ทีม พบว่าปฏิบัติงานอย่างรวดเร็ว เดินทางไปถึงจุดเกิดเหตุใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที ได้มากถึงร้อยละ 90 ทำให้ผู้บาดเจ็บได้รับการดูแลรักษาได้อย่างรวดเร็ว มีความปลอดภัยสูงขึ้น

    ในด้านการปฏิบัติงานดูแลผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรในภาพรวมทั่วประเทศ ในรอบ 2 วัน ตั้งแต่วันที่ 30 -31 ธันวาคม 2551 หน่วยแพทย์กู้ชีพทั่วประเทศ ออกปฏิบัติการทั้งหมด 6,577 ครั้ง เฉลี่ยออกนาทีละ 2 ทีม ในจำนวนนี้ประมาณ 1 ใน 10 เป็นผู้บาดเจ็บที่มีอาการสาหัส โดยประชาชนโทรแจ้งหน่วยรับแจ้งเหตุทางหมายเลข 1669 ทั้งหมด 6,372 ครั้ง ในวันที่ 30 ธันวาคม โทร 2,784 ครั้ง วันที่ 31 ธันวาคม 3,588 ครั้ง เฉลี่ยนาทีละ 2 ครั้ง ในจำนวนนี้เป็นการโทรแจ้งเหตุจริง ร้อยละ 60 อีกร้อยละ 40 เป็นการโทรก่อกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุ โดยในวันที่ 30 ธันวาคม มีโทรป่วนทั้งหมด 753 ครั้ง วันที่ 31 ธันวาคม มี 1,786 ครั้ง มีทั้งโทรมือถือ โทรจากตู้สาธารณะ ส่วนใหญ่เป็นเด็ก

    “อยากวิงวอนประชาชน โดยเฉพาะพ่อแม่ ขอให้ตักเตือนลูกหลาน อย่าใช้สายดังกล่าวก่อกวน ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อผู้เจ็บป่วยจริงที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ถือเป็นนาทีแห่งชีวิต และโทรศัพท์หมายเลข 1669 มีระบบบันทึก สามารถตรวจสอบเบอร์โทรได้ว่าโทรจากแหล่งใด และจะดำเนินการทางกฎหมาย มีโทษปรับ ไม่เกิน 5,000 บาท ตามพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551” นายวิทยา กล่าว

    ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งประชาชนจะนิยมจุดพลุ ดอกไม้ไฟฉลองต้อนรับปีใหม่ เป็นสัญญาณเริ่มต้นการเข้าสู่ศักราชใหม่ แต่ในบางจังหวัด ประชาชนยังนิยมใช้ปืนยิงแทนพลุ ต้อนรับปีใหม่แทน ซึ่งเป็นเรื่องที่มีอันตรายมาก เนื่องจากลูกกระสุนปืนซึ่งเป็นโลหะมีน้ำหนัก อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ จากการตรวจเยี่ยมที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี พบว่าหลังเที่ยงคืน เมื่อคืนนี้ (31 ธ.ค. ) ภายในเวลา 1 ชั่วโมง มีประชาชนบาดเจ็บจากลูกกระสุนปืนที่ยิงต้อนรับปีใหม่ เข้ารักษาที่ห้องฉุกเฉินจำนวน 6 ราย เป็นหญิง 3 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุ 4 ขวบ 1 ราย ชาย 3 ราย โดย 4 ราย ถูกกระสุนปืนที่น่อง ข้อมือ ศีรษะ และนิ้วเท้า ขณะที่พักผ่อนอยู่ในบ้าน ส่วนเด็กถูกลูกกระสุนปืนที่นิ้วเท้าแตก ลูกปืนฝังใน แพทย์ผ่าตัดออกและเย็บแผลให้ อีก 2 ราย มีบาดแผลที่มือ เนื่องจากถูกปืนลูกซองกระแทก แพทย์เย็บแผล และให้นอนรักษา 1 ราย รอผ่าตัดดามกระดูก เนื่องจากกระดูกนิ้วมือแตก

    ทั้งนี้ ในเวลาประมาณ 00.40 น. มีลูกปืน 2 ลูก หล่นใส่หลังคาของโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จนทะลุ แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ จึงขอเตือนประชาชนขอให้ต้อนรับวันปีใหม่ด้วยวิธีที่ปลอดภัยและทุกคนมีความสุขอย่างถ้วนหน้า เช่น กล่าวคำว่าสวัสดีปีใหม่กับญาติ เพื่อน หรือคำว่าไชโย พร้อมกันก็ได้ ไม่ควรนำอาวุธปืนมาใช้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 53 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 51 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, ake7440+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ่า พี่กับน้องหมอ พาบุคคลทั่วไปมา 51 คนแหนะครับ

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หากท่านใดไม่ได้ไปเที่ยวปีใหม่ ที่ต่างจังหวัด รู้ว่าชื่นชอบประเภทมีเส้น แนะนำนะครับ

    เด็ดสะระตี่ 15 ร้านมีเส้น จากกระทู้เด็ดสะระตี่ 15 ร้านมีเส้น ที่เว็บพลังจิต หรือกระทู้รวมก๋วยเตี๋ยว ที่ไม่ธรรมดาครับ

    ---------------------------------------------------------------------

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เด็ดสะระตี่ 15 ร้านมีเส้น
    http://www.manager.co.th/Travel/View...=9510000151688
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 มกราคม 2552 20:51 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บะหมี่เกี๊ยวหรูหราก้ามปูอันน่ากินของร้าน "โอเดียน"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>วันเวลาผ่านพ้นไปรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวห้วงเวลาแห่งปีเก่าก็พ้นผ่านไปแล้ว ก้าวเข้าสู่ "ปีใหม่ 2009" ซึ่งพอปีใหม่มาถึงหลายๆ คนคงจะไปเฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุขกันเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตามในปีวัวที่มาถึงนี้ ถือว่าเป็นปีที่เราทุกคนต่างจะต้องช่วยกันทำดี ทำให้ประเทศชาติของเราสามัคคี และรู้จักประหยัดอดออม พอเพียงกับเรื่องของการใช้จ่ายกันมากขึ้นสักหน่อย เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>นั่งกินก๋วยเตี๋ยวในบรรยากาศสบายๆ ที่ "บะหมี่มังกรคู่ (ซังเล้ง)" </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ดังนั้นเรื่องของการใช้จ่ายทั้งอุปโภคและบริโภค หากช่วยกันประหยัดก็จะเป็นการดี ฉะนั้นในปีใหม่นี้เราจึงอยากจะชวนทุคนไปฉลองแบบอิ่มท้องและประหยัดเงินกัน โดยเรามีร้านอาหารจากคอลัมน์ "ผ่านมาแวะกิน" มานำเสนอ โดยขอคัดเลือกเอาร้านก๋วยเตี๋ยวรสเด็ด และอีกหลายร้านอาหารที่ขายเมนูจานเส้นมาแนะนำ ซึ่งล้วนแล้วแต่ชวนกินทั้งนั้น ซึ่งจะมีร้านไหนและเมนูอะไรบ้างนั้น เชิญทัศนากันได้ตามสบาย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=270 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=270>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บะหมี่เกี๊ยวหมูทอด(บน)เกี๊ยวกุ้งหมูรวม(ล่าง) จากร้าน "บะหมี่มังกรคู่ (ซังเล้ง)" </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>รวมเด็ดร้านก๋วยเตี๋ยว

    "โอเดียน" ร้านนี้โด่งดังในเรื่องบะหมี่เกี๊ยวปู ที่มีก้ามปูทะเลแท้ๆ ก้ามโตๆ ให้เลือกกินกันอย่างจุใจ ใส่มาแบบก้ามใหญ่ๆ ไม่ใช่เศษเนื้อปูหรือวิญญาณปูแบบบะหมี่ปูบางร้าน อีกทั้งบะหมี่ของที่นี่ก็ทำเองเส้นเล็กเหนียวนุ่มกินเข้ากันกับปูสดเนื้อแน่นหวาน ส่วนเกี๊ยวนั้นก็เป็นเกี๊ยวกุ้งลูกโตรสกลมกล่อม และนอกจากบะหมี่เกี๊ยวปูแล้ว ก็ยังมีเมนูอื่นๆ ที่ชวนกินอีก ไม่ว่าจะเป็น บะหมี่เกี๊ยวกุ้งหมูแดง บะหมี่เกี๊ยวหน้าไก่ ข้าวผัดปู หอยจ้อปู ข้าวหน้าไก่ ขนมจีบกุ้งสด กระเพาะปลาน้ำแดง ร้านตั้งอยู่ตรงวงเวียนโอเดียน (ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ) เยื้องรพ.เทียนฟ้า ข้างประตูเล็กวัดไตรมิตร เปิดทุกวัน (หยุดทุกวันอังคารสุดท้ายของเดือน) เวลา 08.30-21.00 น. โทร. 08-6888-2341, 08-4703-4042

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=270 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=270>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>อิ่มกับบะหมี่ที่ร้าน "บะหมี่จับกัง" แถวตั้งฮั่วเส็ง </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"บะหมี่มังกรคู่ (ซังเล้ง)" เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวรสเด็ดที่ถ้าใครผ่านมาแถว ม.หอการค้าไทย ไม่ควรพลาดแวะมาฝากท้องอิ่มกับก๋วยเตี๋ยวรสเด็ด ที่มีให้เลือกกินอย่างหลากหลาย อย่างบะหมี่เกี๊ยวหมูทอด เมนูแปลกไม่เหมือนร้านไหน มีบะหมี่ที่ทางร้านทำเองเส้นเล็กเหนียวนุ่ม มาพร้อมกับหมูชุปแป้งทอดกรอบนอกนุ่มใน หรือจะลิ้มรส เมนูอื่นๆ ก็ชวนกินไม่แพ้กัน อาทิ บะหมี่หมูแดง บะหมี่เกี๊ยวต้มยำ เส้นเล็กต้มยำพริกเผา ข้าวหมูแดงหมูกรอบ ข้าวหมูทอด+ซุปกระดูกหมู ร้านตั้งอยู่ซ.วิภาวดีรังสิต 2 (ซ.หน้าม.หอการค้าไทย) ดินแดง กรุงเทพฯ ร้านบะหมี่มังกรคู่(ซังเล้ง)อยู่ทางขวามือติดกับร้าน 7/11 เปิดทุกวัน เว้นวันอาทิตย์ เวลา 07.00-19.00 น. โทร.08-1116-6886, 08-1777-6996


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=270 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=270>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เย็นตาโฟน้ำและเย็นตาโฟเส้นใหญ่แห้งจากร้าน "เย็นตาโฟปักกิ่ง"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"ก๋วยเตี๋ยวชาติหน้า" เห็นชื่อแล้วอย่าเพิ่งตกใจว่าจะชวนไปกินกันชาติหน้า ขอบอกว่ากินกันที่ชาตินี้แหละ เพราะที่จริงแล้วก๋วยเตี๋ยวชาติหน้าร้านนี้ ก็คือร้าน"ก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ เย็นตาโฟ" รสเด็ดอันเลื่องชื่อแถวม.หอการค้าไทย ที่เหล่านักศึกษาและลูกค้าเขาตั้งให้ เพราะบ่อยครั้งเวลามากินก๋วยเตี๋ยวที่นี่ ต้องรอนานเพราะร้านมีลูกค้าเยอะ สำหรับก๋วยเตี๋ยวรสเด็ดที่ชวนชิมของที่นี่มีมากมาย อาทิ เส้นเล็กต้มยำ เกี้ยมอี๋ต้มยำเย็นตาโฟ เซี่ยงไฮ้ไข่มุกหมูแดงต้มยำน้ำข้น บะหมี่เกี๊ยวหมูแดงต้มยำ ต้มยำลูกชิ้นทะเล หมี่หยกเกี๊ยวต้มยำ เย็นตาโฟน้ำ-แห้ง ต้มยำเครื่องเย็นตาโฟ และอีกสารพัดเมนูชวนกินซึ่งแต่ละเดือนทางร้านจะคิดค้นหาเมนูใหม่ๆมากำนัลแด่ลูกค้า ร้านตั้งอยู่ที่ซอยวิภาวดีรังสิต 2 ดินแดง กรุงเทพฯ หรือซอย ม.หอการค้าไทย เปิดทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ (จะเปิดจันทร์เว้นจันทร์) เวลา 08.00-19.00 น. โทร.08-1570-4299

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>"ก๋วยเตี๋ยวชาติหน้า" ก๋วยเตี๋ยวรสเด็ดขายอยู่ที่ข้างม.หอการค้าไทย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"บะหมี่จับกัง" ข้างตั้งฮั่วเส็ง ร้านนี้เหมาะมากสำหรับนักกินที่ชอบแบบอิ่มท้องคุ้มค่ากับเงินในกระเป๋าอันน้อยนิด เพราะร้านบะหมี่จับกัง ที่ร้านนี้เขาจะขายก๋วยเตี๋ยวแบบให้ปริมาณเยอะเป็นพิเศษ คือให้เส้นเยอะกว่าปกติที่เขาขายกันแบบว่าสั่งมาชามเดียวก็เล่นเอาอิ่มแปล้เลย และเมนูก๋วยเตี๋ยวอันชวนลิ้มรสของที่นี่ก็มี บะหมี่แห้ง ที่ให้บะหมี่ถึง 3 ก้อน คลุกเคล้าปรุงรสใส่แต่หมูแดงที่ทางร้านทำเอง และพิเศษตรงที่มีน้ำหมูแดงจากหมูที่อบราดมาในชามด้วย แล้วถ้าสั่งแบบแห้งทางร้านจะมีน้ำซุปกระดูกหมูเสิร์ฟมาให้ซดน้ำแก้ฝืดคอด้วย และเมนูอื่นก็มี บะหมี่น้ำ บะหมี่เกี๊ยวน้ำ เกี๊ยวแห้ง เกี๊ยวน้ำ ร้านตั้งอยู่ที่ 293 ถ.สิรินธร แขวงบางบำรุ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ด้านข้างห้างตั้งฮั่วเส็ง เปิดวันจันทร์-เสาร์ เวลา 10.00-18.00 น. โทร.08-7999-6533

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=270 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=270>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บะหมี่เกี๊ยวหมูแดงต้มยำและเกี้ยมอี๋ต้มยำเย็นตาโฟจากร้าน "ก๋วยเตี๋ยวชาติหน้า"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"เย็นตาโฟปักกิ่ง" แค่ชื่อร้านก็บอกได้แล้วว่าถ้ามาที่ร้านนี้ก็จะได้ลิ้มรสกับก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟรสเด็ด ที่ถือว่าเป็นสูตรมาจากปักกิ่งเลยทีเดียว ที่นี่ขายแต่เย็นตาโฟอย่างเดียว เย็นตาโฟของร้านนี้มีเครื่องมากมาย มีทั้งลูกชิ้นปลาที่ทางร้านทำเอง ฮือก๊วย ลูกชิ้นแบนที่มีเห็ดหอมด้วย ปลาหมึกกรอบ เลือด เต้าหู้ เกี๊ยวทอด มีเผือกทอดกรอบใส่มาด้วย และความพิเศษของเย็นตาโฟร้านนี้ก็อยู่ตรงที่ซอสเย็นตาโฟ ที่เน้นใช้เต้าหู้ยี้นำมาปรุงรสชาติและใส่พริกขี้หนูสวนบดลงไป เคี่ยวจนได้ที่เป็นซอสเย็นตาโฟที่มีความเข้มข้น สีสันสวยโดยไม่ได้ใส่สีผสมอาหาร มากินเย็นตาโฟที่ร้านนี้จะสั่งแบบน้ำหรือแบบแห้งก็สั่งได้ตามใจชอบ ร้านตั้งอยู่ที่ 25/47 ถ. บางขุนนนท์ แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม. จุดสังเกตอยู่ตรงข้ามกับวัดศรีสุดาราม เปิดทุกวัน เวลา 08.00-15.00 น. โทร. 0-2424-9489

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ร้าน "ก๋วยเตี๋ยวหมูมะนาวเจ๊แอ๊ด" มีก๋วยเตี๋ยวต้มยำสูตรมะนาวให้ชิมกัน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"ก๋วยเตี๋ยวหมูมะนาวเจ๊แอ๊ด" เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ อันร่มรื่นที่ซ่อนตัวลึก แต่ไม่ลับอยู่ภายในซอยจรัญสนิทวงศ์ 13 ซึ่งที่นี่มีก๋วยเตี๋ยวต้มยำสูตรมะนาวรสเด็ด เป็นเมนูของดีอันชวนให้มาลิ้มลองรสชาติ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำสูตรมะนาว ของที่นี่เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำน้ำใส โดดเด่นตรงที่ทางร้านจะปรุงรสชาติต้มยำแบบจัดจ้าน ใช้มะนาวคั้นสดๆ พริกขี้หนูป่นทำเอง ใส่ถั่วลิสงที่คั่วใหม่ๆ ปรุงรสชาติแบบชามต่อชาม และเครื่องก็ใส่มาหลากหลาย มีทั้งหมูสับ หมูหมักลวกสุก ลูกชิ้นหมู และนอกจากก๋วยเตี๋ยวต้มยำรสเด็ดแล้วก็ยังมีเมนูอาหารจานเด็ดอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น ก๋วยเตี๋ยวซี่โครงหมูตุ๋น ซี่โครงหมูตุ๋นราดข้าว ยำหนังปลาแซลมอน ยำหมูมะนาว ร้านตั้งอยู่ภายในซอยวัดมะพร้าวเตี้ย บนถ.จรัญสนิทวงศ์ ซ. 13 เปิดทุกวัน เวลา 10.00-16.00 น. (หยุดทุกศุกร์สุดท้ายของสิ้นเดือน) โทร. 08-6786-4071


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=270 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=270>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาอันชวนกินของร้าน "ลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ" </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"ลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ" เป็นหนึ่งในร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเก่าแก่ลือชื่อแห่งย่านบางขุนนนท์ ที่นี่ขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลารสดีและมีคุณภาพ เพราะทางร้านเลือกใช้เนื้อปลาล้วนๆ ถึง 3 ชนิดนำมาผสมรวมกัน คือมีปลาดาบยาว ปลาหางเหลือง และปลาอินทรี ทำเป็นลูกชิ้น และลูกชิ้นของที่นี่ใช้มื้อปั้นล้วนๆ และไม่ได้ใส่สารแต่อย่างใด ลูกชิ้นปลาของที่นี่มีหลายอย่าง มีลูกชิ้นกลม ลูกชิ้นรักบี้ ลูกชิ้นเหลี่ยมใส่เห็ดหอมกับกุ้งแห้ง ฮือก๊วย ลูกชิ้นกุ้ง เกี๊ยวปลา เส้นปลา และที่นี่ก็มีหลายเส้นให้เลือกสั่งมากิน มีทั้งเส้นใหญ่ เส้นเล็ก เส้นหมี่ขาว บะหมี่ เกี้ยมอี๊ ร้านตั้งอยู่ที่ 61/46 ถ.บางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม. เปิดทุกวัน (หยุดเฉพาะช่วงสงกรานต์) เวลา 9.00-18.00 น. โทร. 0-2433-2092, 0-2424-8767, 08-4676-5556 และมีอีก 1 สาขา ตั้งอยู่ที่ถ.พุทธมณฑลสาย 4 โทร. 0-2441-0655, 0-2888-9010

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ร้านก๋วยเตี๋ยว "ลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ" ตั้งอยู่ที่ย่านบางขุนนท์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูเจ๊หมวยฯ" หากใครผ่านไปแถววัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน เป็นต้องแวะไปฝากท้องอิ่มกับก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ที่มีลูกชิ้นหมูรสเด็ดให้กินกัน ลูกชิ้นหมูของที่นี่เขาทำเอง ลูกโตเนื้อเนียนแน่นเด้งดึ๋ง โดยไม่ต้องพึ่งสารบอแรกซ์ มีให้เลือกกินทั้งแบบลูกชิ้นหมูธรรมดาและลูกชิ้นเอ็นหมู ซึ่งเมื่อนำมาใส่ในก๋วยเตี๋ยวช่างชวนกิน เพราะว่าเด็ดทั้งก๋วยเตี๋ยวแห้ง ถ้าเป็นและน้ำก็จะได้ซดน้ำซุปกระดูกหมูหอมกรุ่น รสกลมกล่อมโดยไม่ต้องปรุงเพิ่ม และใช่ว่าจะมีแต่ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูเท่านั้น ที่นี่ยังมีเมนูอื่นๆ ให้สั่งมากินอีก อาทิ ลูกชิ้นปิ้ง พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด ยำลูกชิ้น เกี๊ยวทอด มีของหวาน อย่าง ซ่าหริ่ม ลอดช่อง ข้าวเม่า-ข้าวตอก ร้านตั้งอยู่ใกล้กับวัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน อยู่ริมถนนตรงหน้าปากซอยพหลโยธิน 55 เปิดจันทร์-เสาร์ (หยุดวันอาทิตย์) เวลา 08.30-20.00 น. โทร. 08-9920-5568

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=270 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=270>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เมนูก๋วยเตี๋ยวของร้าน "ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูเจ๊หมวย ฯ"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"ก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยา ชินเขต2/8" ใครที่ชื่นชอบกินก๋วยเตี๋ยวร้านแบบรสชาติจัดจ้าน โดนใจ มาที่ร้านนี้ขอบอกว่าไม่ผิดหวัง เพราะก๋วยเตี๋ยวเรือของร้านนี้ปรุงได้ถึงรส ถึงเครื่อง โดยไม่ต้องปรุงเพิ่มเลย เมนูเด่นๆ ที่ชวนกินก็มี เส้นหมี่เนื้อแห้ง ที่เส้นหมี่ถูกลวกจนเหนียวนุ่มพอดี ใส่ทั้งลูกชิ้น เนื้อสดที่เหนียวนุ่ม เนื้อและเนื้อเปื่อยที่ใช้เวลาตุ๋นนานกว่า 3 ชม. หากใครไม่กินเนื้อ ที่นี่ก็ยังมี ก๋วยเตี๋ยวน้ำตกหมูเป็นอีกตัวเลือก อย่างเส้นใหญ่หมูแห้ง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>อิ่มท้องกับ "ก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยา ชินเขต2/8"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>และถ้าใครกังวลว่าที่นี่จะปนหมูกับเนื้อ หายห่วงได้ เพราะก๋วยเตี๋ยวที่นี่จะแยกเป็นสองหม้อ คือหม้อเนื้อกับหม้อหมู เพื่อให้ลูกค้าเลือกกินได้ตามใจไม่ปะปนกัน ร้านตั้งอยู่ที่ 117/151 อยู่ตรงปากซอยชินเขต 2/8 ถ.งามวงศ์วาน แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. เปิดทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ หยุดทุกวันจันทร์ เวลา 08.30-15.00น. โทร.08-5845-5241, 08-1291-2340

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ร้อนๆ จากร้าน "ชลธิชา"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"ชลธิชา" ร้านนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักในเรื่องก๋วยเตี๋ยวคั่วอันหลากหลาย หากใครเป็นแฟนก๋วยเตี๋ยวคั่วร้อนๆ หอมๆ แล้วล่ะก็ต้องไม่พลาดที่จะมาที่ร้านนี้ เพราะว่ามีก๋วยเตี๋ยวคั่วให้เลือกสั่งมากินมากมาย อาทิ ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ คั่วหมู หรือว่าคั่วทะเล ก๋วยเตี๋ยวคั่วรวมมิตร ความเด่นของก๋วยเตี๋ยวคั่วที่ร้านนี้เห็นจะอยู่ตรงที่รสชาติอันลูกลิ้น เป็นก๋วยเตี๋ยวคั่วเส้นใหญ่ที่คั่วได้แห้งเหนียวนุ่ม ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ และพิเศษตรงที่ ก๋วยเตี๋ยวคั่วของที่นี่จะใส่ปาท่องโก๋ทอดกรุบกรอบมาให้กินแกล้มคู่กันด้วย และนอกจากก๋วยเตี๋ยวคั่วแล้วที่นี่ยังมี สุกี้ที่มีทั้งแห้งและน้ำเป็นอีกเมนูเด็ด มีกระเพาะปลา ผัดพริกหมูราดข้าว ผัดขี้เมาเส้นใหญ่ ราดหน้าเส้นใหญ่ และยังมีเต้าทึงร้อนและเย็น ให้กินกันอีกด้วย ร้านตั้งอยู่ที่ 63/8-9 ถ.อำนวยสงคราม ดุสิต บางกระบือ กทม. เปิดทุกวัน เวลา 10.00-21.00 น. โทร. 0-2244-8887, 0-2244-8777, 08-1372-2115

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>"กวยจั๊บอ้วนโภชนา" กวยจั๊บเจ้าดังย่านเยาวราช</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>รวมมิตรเมนูเส้น จากหลายร้านเด็ด

    หลังจากแนะนำร้านก๋วยเตี๋ยวรสเด็ดกันไปหลายร้าน และหลายเมนูก๋วยเตี๋ยวที่ชวนกินมากมายแล้ว คราวนี้มากินเมนูจานเส้นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวกันบ้าง มาดูกันดีกว่าว่าจะมีเมนูเส้นๆ จากร้านไหนที่ชวนไปกินกันบ้าง

    "กวยจั๊บอ้วนโภชนา" เป็นร้านรถเข็นเล็กๆ ที่ตั้งอยู่หน้าโรงหนังไชน่าทาวน์ราม่า ตรงเยาวราช มีชื่อเสียงมานานในเรื่องของกวยจั๊บน้ำใส ที่ถ้าใครชื่นชอบกินกวยจั๊บร้อนๆ หอมกรุ่นพริกไทย มาที่นี่แล้วจะได้สมใจปาก เพราะที่นี่ขายกวยจั๊บน้ำใสอย่างเดียวที่ชวนกินแบบสุดๆ ซึ่งกวยจั๊บน้ำใสของที่นี่ใช้เส้นใหญ่อย่างดีทำให้เส้นเหนียวนุ่มไม่เกาะกัน ไม่เละแฉะ ในชามมีหมูกรอบที่หนังกรอบเนื้อนุ่ม มีเครื่องในสารพัดอย่างทั้งกระเพาะหมู ลิ้นหมู หัวใจหมู ตับหมู ปอดหมู กระดูกหมูอ่อน และโดดเด่นที่น้ำซุปซดร้อนๆ รสเข้มข้น เผ็ดร้อนพริกไทย และยังมีอีกหนึ่งความพิเศษ คือมีปาท่องโก๋กรอบตัวเล็กไว้ให้ใส่กินคู่กวยจั๊บด้วย การเดินทางมาที่ร้านตรงจากวงเวียนโอเดียนมาเรื่อยๆร้านจะอยู่ซ้ายมือ ตรงข้ามห้างขายทองเลี่ยงเซ่งเฮง ร้านอยู่หน้าโรงหนังไชน่าทาวน์รามา (นิวแหลมทอง) เปิดทุกวัน เวลา 18.00-03.00 น. วันหยุดไม่แน่นอน โทร.08-6508-9979

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>อิ่มกับกวยจั๊บญวนร้อนๆ ของร้าน "แดงก๋วยจั๊บญวน"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"แดงก๋วยจั๊บญวน" ร้านนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกินกวยจั๊บญวน หรือที่เรียกอีกชื่อว่า "ข้าวเปียก" เพราะว่าที่ร้านนี้มีกวยจั๊บญวนรสเด็ดให้ได้ลิ้มชิมรสชาติกัน ซึ่งกวยจั๊บญวนของที่นี่มีความพิเศษโดดเด่นกว่าร้านอื่นๆ ก็ตรงที่เครื่องที่ใส่มาในกวยจั๊บญวนนั้นมีมากมายหลายอย่าง จนเรียกได้ว่าเป็นกวยจั๊บญวนทรงเครื่องก็ว่าได้ ที่สำคัญกวยจั๊บญวนของที่นี่เขาให้เส้นกวยจั๊บญวนสดๆ ที่สั่งมาจากอุบลราชธานี ส่วนเครื่องที่ใส่มาก็มีให้เลือกมากมาย (สามารถเลือกได้ตามใจชอบ) มีหมูยอเนื้อพริกไทยดำจากอุบลราชธานี มีหมูตุ๋น หมูเด้ง ไข่นกกระทา เห็ดหอม หอมใหญ่ ผักชีฝรั่ง ต้มหอม และหอมเจียวหอมๆ ร้านตั้งอยู่ที่ 32 ถ.พระสุเมรุ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. จุดสังเกตร้านอยู่เยื้องกับปั๊มปตท. เปิดทุกวันเวลา 11.00-22.00 น. โทร. 08-5246-0111

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=270 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=270>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>กวยจั๊บน้ำใสและเกาเหลาหมู ที่ร้าน"เฮียเล็ก เกาเหลาหมู 3 อย่าง"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"เฮียเล็ก เกาเหลาหมู 3 อย่าง" เห็นแค่ชื่อก็คงจะเดาได้ว่าที่ร้านนี้ต้องมีเกาเหลาหมูรสเยี่ยมให้ได้กินกัน แต่ว่าที่นี่ก็มีเมนูเส้นๆ อย่าง กวยจั๊บน้ำใส ที่มีรสชาติเด็ดที่ชวนกินไม่แพ้กัน เพราะเส้นกวยจั๊บของที่นี่เนื้อเนียนนุ่ม ใส่เครื่องมาสารพัดอย่างสั่งมากินแล้วอิ่มท้องกันไป และสำหรับเมนูเกาเหลาหมู 3 อย่างที่เป็นเมนูชูโรงของที่นี่ ก็มีความเด่นอยู่ตรงที่เครื่องทั้ง 3 อย่าง ที่มีหมูชิ้น หมูสับ และหมูกรอบ ที่ทางร้านทำเองทุกอย่าง และมีน้ำซุปใสๆ ร้อนๆ ที่ซดแล้วรสเผ็ดร้อนพริกไทย และส่งกลิ่นหอมพริกไทยอ่อนๆ ขึ้นจมูก และถ้าใครชอบกินเครื่องใน ที่ร้านนี้ก็มีเครื่องในให้กินกัน มีกระเพาะ เลือด ปอด ไส้ ตับ หัวใจ ลิ้น ม้าม และเซี่ยงจี๊ ร้านตั้งอยู่กลางตลาดพาหุรัด เข้าทางซ.การไฟฟ้า และเลี้ยวซ้ายเข้ามาในตลาด จากนั้นก็ถามทางไปร้านเฮียเล็กได้เลยเพราะคนส่วนใหญ่รู้จักหมด เปิดทุกวัน (หยุดเฉพาะวันพุธ) เวลา 07.30-17.00 น. โทร. 08-9663-7063


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=270 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=270>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ราดหน้ารสดีของร้าน "ราดหน้ายอดผักวัชรพล"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"ราดหน้ายอดผักวัชรพล" เป็นอีกหนึ่งร้านราดหน้าชื่อดังในกรุงเทพฯ ที่ผู้คนที่อยู่อาศัยแถววัชรพล ต่างรู้จักกันดีว่าที่นี่มีราดหน้า รสกลมกล่อมที่ชวนกิน ราดหน้าของที่นี่จะทำแบบจานต่อจานไม่ได้ทำแบบหม้อใหญ่ๆ และมีให้เลือกกินทั้งเส้นใหญ่ เส้นหมี่ หรือว่าหมี่กรอบ ทางร้านจะผัดเส้นก๋วยเตี๋ยวคั่วด้วยไฟแรงๆ จนได้ที่สุกหอมและเหนียวนุ่ม แล้วก็มีน้ำราดหน้ารสกลมกล่อมเหนียวหนืดกำลังดีราดมา สำหรับราดหน้าที่น่าลองลิ้มรสก็มี ราดหน้าทะเล ราดหน้าใส่ไข่ ราดหน้าหมู ราดหน้ารวมมิตร แล้วก็ยังมีเมนูอื่นนอกจากราดหน้าที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอให้ชิมกันอีก อาทิ ผัดซีอิ้ว หมูแดง-หมูหรอบ เปาะเปี๊ยะสด ร้านตั้งอยู่ที่ 126/82-83 ถ.รามอินทรา ซ.วัชรพล แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. จุดสังเกตอยู่ตรงข้ามกับเสถียรธรรมสถาน เปิดทุกวัน เวลา 08.30-21.00 น. โทร. 0-2945-5144

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=270 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=270>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บ๊วยเกี้ยเย็นๆ กินแล้วชื่นใจ ที่ร้าน "บ๊วยเกี้ยสูตรไหหลำ เจ๊น้อย"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"บ๊วยเกี้ยสูตรไหหลำ เจ๊น้อย" เห็นชื่อร้านอาจจะงงหรือสงสัยว่าร้านนี้ขายอะไร ที่จริงแล้วร้านนี้เขาขาย "โบ๊กเกี้ย" "โบ๊ะเกี๊ย" หรือ"บ๊วยเกี้ย" เป็นขนมหวานชนิดหนึ่งของคนจีนไหหลำ ที่ค่อนข้างจะหากินได้ยากแล้วในบ้านเรา แต่ว่าถ้ามาที่ร้านนี้รับรองว่าจะได้กินบ๊วยเกี๊ย ขนมหวานที่มีลักษณะเป็นแป้งปั้นเป็นตัวเส้นสั้นๆ คล้ายลอดช่องแต่ว่ามีสีขาว ซึ่งที่นี่ทำแป้งบ๊วยเกี้ยเอง และปั้นเองด้วยมือแบบสดใหม่ทุกวัน และบ๊วยเกี๊ยนั้นก็ยังมีเครื่องอย่างอื่นใส่มาด้วย ไม่ว่าจะเป็นมันเชื่อม ถั่วแดงต้มเม็ดเล็ก แปะก๊วย เฉาก๊วย ลูกชิด ถั่วลิสงคั่ว แล้วก็ราดด้วยน้ำเชื่อมที่มีให้เลือก 2 แบบคือ น้ำเชื่อมที่ทำจากน้ำตาลทรายแดง หรือที่เรียกว่าโอทึ้งเคี่ยวใส่ใบเตย และน้ำเชื่อมน้ำตาลทรายขาว แล้วก็ใส่น้ำแข็งป่น ได้ลิ้มรสบ๊วยเกี้ยหอมหวานเย็นชื่นใจ ร้านตั้งอยู่ที่ 267/3 ถ.เจริญกรุง 67 (หรือตลาดแสงจันทร์) แขวงยานนาวา เขตสาทร กทม. เปิดทุกวัน เวลา 12.00-22.00 น. โทร.0-2211-4812, 08-7823-1884

    และทั้งหมดนี้ก็ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่จากใจ ที่เราอยากมอบให้มิตรรักกินนักกินทั้งหลาย ได้เลือกไปอิ่มอร่อยกับนานาเมนูอาหารจานเส้นที่ชวนกินมากมาย ขอให้อิ่มหนำสำราญปากกันเต็มที่ ต้อนรับปีวัว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    555 ไม่น่าจะเกี่ยวกับผมนะครับ ผมว่าท่านปาทานล้วนๆละครับงานนี้
     
  17. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    น่ากินมากกกกก
     
  18. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,310
    ธรรมมะนี้เกิดจากใจ


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    ธรรมนี้เกิดที่ใจ


    แสดงออกมาจากใจให้เป็นความร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน
    แล้วยิ่งต่างคนต่างมีธรรมภายในใจ
    ก็ฉายแสงออกมาด้วยความดีงามนี้
    โลกจะชุ่มเย็นไปทั่วหน้ากัน
    เพราะอำนาจแห่งธรรมไม่เคยทำใครให้เดือดร้อนเลย

    นอกจากกิเลส มีมากมีน้อยก่อกวนทุกอย่าง
    เป็นไปได้ไม่มีประมาณสำหรับกิเลส
    นี้เกิดขึ้นจากใจด้วยกันนะ
    กิเลสก็เกิดขึ้นจากใจ
    แสดงฤทธิ์ออกมาจากใจ
    ทำลายตนเองแล้วก็ทำลายผู้อื่น


    แล้วธรรมก็ออกลวดลายหรือออกฤทธิ์ขึ้นมาจากใจ
    ทำความร่มเย็นเป็นมงคลแก่ตนเองและให้ความร่มเย็นและเป็นสิริมงคลแก่ส่วนรวมทั่วๆ ไป ก็คือธรรมที่เกิดขึ้นจากใจ นี่ละให้พากันจำเอาไว้ เวลาศึกษาเล่าเรียนแล้วให้ไปปฏิบัติ

    : หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน



    ขอบคุณบทความจากหลวงตาดอทคอม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ส่งท้ายปลายปีแห่งเหตุวิกฤต รวมมิตรสัตว์พิสดาร-ชวนหัว
    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153089
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 มกราคม 2552 04:59 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ที่ญี่ปุ่น นกแก้วหลงทางถูกส่งคืนเจ้าของอย่างปลอดภัย เพราะความแสนรู้และความช่างพูดของมัน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เอเอฟพี – ปีที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นปีแห่งวิบากกรรมทางเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกแล้ว 2008 ยังเป็นปีที่รวบรวมเรื่องราวประหลาดพิสดารของสัตว์ต่างๆ ที่คัดมาเป็นตัวอย่างพอสังเขปดังนี้

    - เด็บบี้ ที่ว่ากันว่าเป็นหมีขั้วโลกที่แก่ที่สุด ตายเมื่ออายุ 42 ปี หลังจากให้ความบันเทิงแก่นักท่องเที่ยวที่เยี่ยมชมสวนสัตว์แคนาดามานานนม ทั้งนี้ เด็บบี้เป็นลูกหมีกำพร้าที่มีคนไปพบและจับมาจากทางเหนือของรัสเซีย

    - ลูกวาฬหลงทางแถมหลงเข้าใจผิดคิดว่าเรือยอชต์ลำหนึ่งในน่านน้ำออสเตรเลียเป็นแม่ และพยายามจะดูดนมให้ได้ จนคนต้องช่วยพามันกลับสู่ธรรมชาติ

    - ช้างซิกวงเลิกเฮโรอีนสำเร็จ หลังเข้ารับการบำบัดที่ศูนย์แห่งหนึ่งบนเกาะทางใต้ของจีนอยู่สามปีเต็ม ช้างวัยสี่ขวบที่น่าสงสารตัวนี้ต้องกลายเป็นขี้ยา หลังผู้ลักลอบค้าสัตว์แอบยัดเฮโรอีนในกล้วยเพื่อล่อลวงช้างโขลงเดียวกับซิกวงไปขาย

    - หญิงสาวคนหนึ่งในแอริโซนา วิ่งเป็นระยะทางหนึ่งไมล์โดยมีหมาจิ้งจอกที่เป็นโรคกลัวน้ำขย้ำแขนติดหนึบมาด้วย เมื่อมาถึงรถ สาวใจเด็ดจัดการจับหมาจิ้งจอกใส่กระโปรงหลัง และขับรถพาตัวเองไปโรงพยาบาล

    - ลูกจิงโจ้สะเดาะกุญแจหนีออกมาจากกรงในเมืองหนึ่งของเยอรมนี โดยมีเจ้าหน้าที่บรรเทาเหตุฉุกเฉินไล่ตามจับ สุดท้ายพนักงานดับเพลิงสามารถใช้ตาข่ายเหวี่ยงจับลูกจิงโจ้สูง 70 เซนติเมตรกลับไปส่งสวนสัตว์จนได้

    - สนัปปี้ ตูบโคลนนิ่งตัวแรกของโลก กลายเป็นพ่อหมา หลังจากคลุกคลีตีโมงอยู่กับหมาโคลนนิ่งด้วยกันมาพักหนึ่ง

    - ปีศาลล็อกเนสส์เวอร์ชันสวีเดน หรือ Storsjoe ถูกจับภาพได้โดยกล้องวิดีโอตรวจการณ์ ทั้งนี้ จากการเปิดเผยของสมาคมซึ่งเป็นผู้ติดตั้งกล้องดังกล่าว

    - ตำรวจบอสเนียจับนกพิราบขังยาว หลังพบว่านกน้อยถูกนักโทษหัวเสธใช้เป็นนางนกต่อขนยาเสพติดไปส่งในคุกที่ได้ชื่อว่ามีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ

    - เฮนรี ทัวทารา หรือสัตว์เลื้อยคลานที่รูปร่างหน้าตาคล้ายกิ้งก่าและเป็นสัตว์หายากของนิวซีแลนด์ ได้เป็นพ่ออีกครั้งเมื่ออายุ 111 ปี หลังจากกลับมาสนใจการผสมพันธุ์อีกหน โดยครั้งแรกที่เฮนรีมีลูกคือเมื่อ 38 ปีที่แล้ว

    - เจ้าของบ้านชาวอังกฤษตัดสินใจตบรางวัลนกแก้ว หลังจากสัตว์เลี้ยงประจำบ้าน ช่วยชีวิตคนทั้งครอบครัวไว้จากการถูกไฟคลอกด้วยการส่งเสียงร้องเตือนภัยดังลั่น

    - แอ็บบี้ ฮอว์กินส์ สาวน้อยเมืองผู้ดีวัย 19 ปี ตกใจขนาดหนักเมื่อพบลูกค้างคาวในเสื้อชั้นใน โดยตลอดเวลาสี่ชั่วโมงนั้น ฮอว์กินส์รู้สึกเหมือนมีอะไรยุกยิกแถวหน้าอกเหมือนกัน แต่คิดว่าโทรศัพท์มือถือสั่น

    - ศาลสวิสสั่งให้จับเจ้าไก่ตัวหนึ่งขังไว้ในกล่องเก็บเสียงทุกคืน เพื่อให้เพื่อนบ้านละแวกนั้นได้นอนหลับพักผ่อนเต็มอิ่ม

    - นกแก้วหลงทางได้กลับมาหาเจ้าของในญี่ปุ่น หลังพูดชื่อและที่อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในคลินิกรักษาสัตว์ที่มีคนพบและส่งตัวไปให้

    - เจ้าหมาตัวหนึ่งถูกนำส่งคลินิกรักษาสัตว์ในออสเตรเลีย เมื่อมีผู้พบว่ามันแทบยืนไม่ติด แถมเนื้อตัวยังคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า เรื่องมีอยู่ว่าเจ้าหมาผู้หิวโหยแอบไปขโมยกินแป้งที่ทำจากยีสต์ครึ่งกิโลกรัม และยีสต์เข้าไปหมักบ่มเสร็จสรรพในกระเพาะของมัน

    - สัตว์แพทย์ต้องผ่าตัดฉุกเฉินให้งูเหลือมตาฟางที่กินลูกกอล์ฟเข้าไปสี่ลูกเพราะเข้าใจว่าเป็นไข่ไก่
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บริหารเงินผ่าน "ประกันชีวิต" คุ้มครอง-คุ้มค่า-มั่นคง
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02fin01010152&day=2009-01-01&sectionid=0206

    ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2552 ทุกฝ่ายประเมินตรงกัน "ไม่ง่าย" เพราะวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ฟาดหัวฟาดหางมาโดนประเทศไทยไม่น้อย ทำให้กรอบอัตราการขยายตัวของจีดีพีเหลือเพียง 0-2% เท่านั้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะลดลงไปมาก และผู้บริโภคต้องมีการบริหารจัดการเงินให้มากขึ้นด้วย เพื่อรับกับภาวะที่ยังผันผวนและมีความเสี่ยงอยู่ซึ่งที่ผ่านมา "ประกันชีวิต" ถือเป็นหนึ่งในช่องทางสำคัญที่จะช่วยผู้บริโภคในการบริหารความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี

    "สาระ ล่ำซำ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด และนายกสมาคมประกันชีวิตไทย เล่าให้ "ประชาชาติธุรกิจ" ฟังว่า ปี 2552 ผู้บริโภค ยังมีเงินอยู่ แต่จะ "กอดเงิน" เอาไว้มากขึ้น ไม่กล้าใช้จ่ายหรือลงทุนมากนัก ซึ่งเชื่อว่าโจทย์การบริหารเงินสำหรับผู้บริโภค ควรเน้นไปที่ "ความอนุรักษนิยม" (conservative) ก่อน เพราะตอบโจทย์เรื่องความเชื่อมั่นและมั่นคงได้ ส่วน"ผลตอบแทน" ควรเป็นเรื่องรองลงไป

    "การบริหารเงินต้องดูทั้งความมั่นคงและผลตอบแทนควบคู่กัน ยิ่งเมื่อเห็นสถานการณ์การลงทุนในปี 2551 ยิ่งทำให้ ผู้บริโภคต้องเน้นช่องทางลงทุนที่มั่นคงมั่นใจเป็นหลักเอาไว้ก่อน และรอให้ผ่านไป 1-2 ปี สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย อัตราดอกเบี้ยอาจเปลี่ยนจังหวะมาเป็นขาขึ้น ค่อยหันมาหาช่องทางที่ให้ผลตอบแทน มากขึ้นก็ได้"

    ส่วนการบริหารความเสี่ยงผ่านช่องทาง "ประกันชีวิต" สาระบอกว่ายังเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่ประกันชีวิตมีให้แก่ผู้เอาประกันและถือเป็นจุดขายสำคัญก็คือ "ความคุ้มครอง" ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่องทางการลงทุนด้านอื่นๆ ไม่มี และทุกวันนี้ ผู้บริโภคมองเรื่องนี้ในมุมที่เป็นบวกมากขึ้น รวมถึงจุดเด่นด้านความคุ้มครองยังตอบโจทย์ด้านความมั่นคง มั่นใจให้แก่ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีด้วย

    ด้านอัตราผลตอบแทน ขณะนี้ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ส่วนใหญ่ยังการันตี ผลตอบแทนที่ประมาณ 4% แต่ดอกเบี้ย เงินฝากลดลงไปแล้ว และมีแนวโน้ม จะลดลงอีกในช่วงครึ่งปีแรก โดยมองว่าดอกเบี้ยคำนวณผลตอบแทนกรมธรรม์น่าจะยืนอยู่ระดับปัจจุบันไปอีกระยะหนึ่ง ก่อนจะปรับตัวลดลงตามผลตอบแทนของตลาด ดังนั้นผลตอบแทนของประกันชีวิตจะยังน่าสนใจกว่าเงินฝากค่อนข้างมากในช่วงนี้จนถึงกลางปี และเป็นทางเลือกการออมที่น่าสนใจอีกทางหนึ่งในยามนี้ เช่นกัน

    สาระบอกอีกว่า โจทย์สำหรับผู้บริโภค อีกอย่างหนึ่งในปี 2552 ก็คือ "ความประหยัด" ซึ่งต้องบริหารต้นทุนด้านต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างเรื่องสุขภาพ ทั้งจากความเจ็บป่วยและอุบัติเหตุ ซึ่งค่าใช้จ่ายด้านการดูแลรักษาสุขภาพในทุกวันนี้ค่อนข้างแพง ดังนั้นอนุสัญญาต่างๆ เช่น ประกันสุขภาพ และประกันอุบัติเหตุ สามารถช่วยแบ่งเบาภาระส่วนนี้ได้มาก

    ไม่เพียงเท่านี้ ในปี 2551 ถือว่า แบบประกันโรคมะเร็ง รวมถึงประกัน โรคร้ายแรงต่างๆ ได้รับความสนใจมาก ซึ่งสาระเชื่อว่า แนวโน้มความสนใจต่อแบบประกันนี้จะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2552 ต่อไป เพราะเรื่องโรคร้ายแรงต่างๆ ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่และเมื่อไหร่ แต่ถ้าเกิดขึ้นมาจริงๆ ก็ต้อง แบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก ซึ่งการมีประกันชีวิตก็สามารถบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้เช่นกัน

    "ต้องยอมรับว่าประกันชีวิตในวันนี้ตอบโจทย์ได้ครบถ้วนทั้งความคุ้มครอง,ออมทรัพย์ การบริหารต้นทุนด้านดูแลสุขภาพ และผู้บริโภคเองก็มองว่าเงินที่ออมผ่านประกันชีวิตไม่ได้สูญหายไปไหน แต่เป็นการบริหารเงินระยะยาวที่คุ้มค่า มั่นคงและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจำเป็นมาก โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบากเช่นปีนี้" สาระทิ้งท้าย
     

แชร์หน้านี้

Loading...