พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมถึงย้อนถามไงครับ ว่าแล้วทำไมต้องมาค้นกระเป๋าเอาเงินจากเพื่อนที่ไม่เกินจำนวน 100บาทล่ะครับ น่าคิดจริงๆ
     
  2. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    เป็นแค่แมวเชื่องๆหรอกครับท่านปาทาน เมี๊ยว
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post1499870 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">15-9-2551, 08:36 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #21151 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ในวันที่นัดพบกัน ผมจะนำไม้ครูไปด้วย เผื่อท่านใดที่ไม่เคยเห็น ก็จะได้ชม และท่านใดที่ไม่เคยขอพระบารมีองค์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร จะได้ขอพระบารมีกัน

    ผมจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า ไปถวายพระอาจารย์นิล เพื่อบรรจุในพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ขอเชิญพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน ไปร่วมกันถวายโดยพร้อมเพรียงกันด้วยครับ

    และผมจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1 (สมเด็จองค์ปฐม) ,พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามพระกุกุธสันโธ ,พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ,พระนามพระโกนาคมนะ ,พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม ไปให้ทุกๆท่านได้สักการะบูชาและชมพระบารมีกัน ส่วนพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม ผมจะอัญเชิญไปมอบให้กับทุกๆท่านด้วยครับ

    การที่คนเราจะมีบารมีสูงสุดนั้น ต้องเกิดจากการปฎิบัติตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม ที่พระองค์ท่านได้มีพระเมตตาสั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลาย เพื่อความหลุดพ้น และมีความตั้งใจที่จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อโปรดผู้คนทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ต่างๆ ความตั้งใจนั้น เป็นการสร้างบุญ ,สร้างบารมีจนบารมีเต็มครับ

    ---------------------------------

    ผู้ปฎิบัติธรรมเป็นผู้มีบุญสูงสุด
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    เว็บลานธรรมจักร
    โพสโดย p.somchai - ตอบเมื่อ: 23 มกราคม 2008, 2:28 pm

    ผู้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่ง แต่ผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนา คือปฏิบัติให้จริงตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเป็นผู้มีบุญสูงสุด

    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประเสริฐสุด ไม่มีที่เปรียบได้ เพราะพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะพาไปให้รู้จักพลังพิเศษ คือความคิดที่สามารถทำลายความทุกข์ได้ ตั้งแต่ทุกข์น้อย จนถึงทุกข์ทั้งปวง จนถึงเป็นผู้ไกลทุกข์สิ้นเชิง ไม่มีเวลากลับมาให้เป็นทุกข์อีกเลย ตลอดไป

    ผู้มีพลังพิเศษพาหนีทุกข์ได้ พาดับทุกข์ได้ พาพ้นทุกข์ได้ คือผู้มีความคิดพิเศษ และความคิดพิเศษนี้เกิดได้จากความรู้จักปฏิบัติพระพุทธศาสนาเท่านั้น

    พลังแห่งความคิดพิเศษ หรือความคิดพิเศษนั่นเอง ที่เป็นผู้ช่วยยิ่งใหญ่ พร้อมที่จะช่วยทุกคนที่รู้ค่าของความพิเศษ ที่ยอมรับยอมเชื่อ ว่าความคิดพิเศษนั้นมีอำนาจใหญ่ยิ่งจริง อาจพาให้พ้นทุกข์ได้จริง ทั้งทุกข์น้อยทุกข์ใหญ่ จนถึงทุกข์สิ้นเชิง

    จะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดของตนเองนี้เป็นสัจจะ คือเป็นความจริงแท้ ไม่ว่าผู้ใดจะเชื่อหรือจะไม่เชื่อก็ตาม ก็เป็นความจริง ผู้ใดจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดของผู้นั้น

    ไม่มีผู้ใดที่ไม่ปรารถนาความไม่มีทุกข์ ทุกคนล้วนปรารถนาความไม่มีทุกข์ แต่ไม่ทุกคนที่ยอมรับความจริง ว่าการที่หนีความทุกข์ไม่พ้นนั้นเป็นเพราะคิดไม่เป็น ถ้าคิดให้เป็นจะไม่มีความทุกข์ใดใกล้กรายได้เลย เพราะความคิดนั้นแหละคือกำลังสำคัญที่สามารถทำไม่ให้ทุกข์เกิดได้

    ความคิดไม่เป็น หรือความคิดไม่ถูก ของตนเองเท่านั้น ที่ทำให้ความทุกข์กลุ้มรุมใจตน ไม่มีการกระทำคำพูดของผู้ใดอื่นจะอาจทำให้ความทุกข์กลุ้มรุมใจใคร ถ้าใครนั้นเป็นผู้รู้จักคิดให้เป็น รู้จักคิดให้ถูก ความคิดจึงสำคัญนัก ความคิดจึงมีพลังนัก มีอิทธิพลนัก ต่อชีวิตจิตใจผู้คนทั้งปวง ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ ไม่เลือกสูงต่ำ ร่ำรวยหรือยากดีมีจนเพียงใดก็ตาม

    ผู้ปรารถนาความเบิกบานสำราญใจไม่เศร้าหมองร้อนรนด้วยความทุกข์ พึงเห็นความสำคัญของความคิดให้มาก เห็นให้จริงใจว่า ความคิดของใครก็ตามที่ถูกต้องเป็นธรรมจะนำไปสู่ความเบิกบานสบายใจแน่นอน สมดังที่ปรารถนาอยู่ทุกเวลานาที

    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    : แสงส่องใจ วัดบวรนิเวศวิหาร ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๗


    ---------------------------------

    บุญ,กุศล,กรรมดี,ธรรม,บารมี

    โดย อปากฏนาม [ 16 ส.ค. 2545 / 10:41:21 น. ]
    [ IP Address : 203.113.34.239 ]

    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/006067.htm
    ศัพท์เหล่านี้ใช้แทนกันได้(อย่างเดียวกัน)คือ
    ๑. บุญ
    ๒. กุศล
    ๓. กรรมดี
    ๔. ธรรม (ธรรมฝ่ายขาว)
    ๕. สุกต
    ๖. สุกฺก
    ๗. สุจริต
    ทุกศัพท์ที่กล่าวมานี้ใช้แทนกันได้ เพราะศัพท์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นศัพท์ที่มีความหมายกว้างครอบคลุม และเป็นศัพท์ที่มีความหมายไปในทางดี บุญกับกุศลนั้นเคยอธิบายไปแล้วว่าต่างกันอย่างไร ไม่อยากอธิบายอีกเดี๋ยวจะซ้ำซาก แต่จะขออนุญาตนำคำตอบที่ดีตรงประเด็นของเพื่อนลานธรรมท่านหนึ่งมาทวบทวนเรื่องบุญกุศลอีกครั้งว่า
    : (praves)
    บุญ ทำให้มีความสุข (มนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ)
    กุศล ทำให้เกิด สัมมาทิฏฐิ (กุสลจิตนำสู่วิมุตติ)
    วาสนา (นิสัย) คือ ลักษณะทำให้สั่งสมในจิต คือ สันดานในใจ เช่น กิริยา สุภาพ หรือกระด้าง ชอบคบปราชญ์ หรือ คบอบายมุข
    บารมี คือ อุปกรณ์ให้เกิดความสำเร็จในสิ่งที่ใจปรารถนา เช่น
    - (ทางที่ถูก) พระโพธิสัตว์บางท่าน เจริญบารมี 30 ทัศ (10 บารมี ๆ 3 ระดับ) มี ทาน วิริยะ เนกขัมมะ ฯลฯ สี่อสงไขยแสนมหากัปป์ เพื่อช่วยพาสัตว์ดลกออกจากองทุกข์ การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
    - (ทางที่ผิด) เจ้าพ่อนักเลงใช้ "บารมี !?!" ทางโลก (เงิน อำนาจ ความกลัว ความรุนแรง) ในทางทำลายผู้อื่น นักการเมืองสร้างปัญหาให้บ้านเมืองเพื่อเรียก "บารมี !?! "
    จะให้เกิดวาสนาบารมีในทางธรรมะ ต้องเจริญไตรสิกขา (กระบวนการเรียนรู้ทางจิต) ทาน ศีล ภาวนา (ทาน ศีล ภาวนา คือ ปัจจัยแห่งความพ้นทุกข์ มิใช่เส้นชัย)
    จากคุณ : praves [ 15 ส.ค. 2545 / 23:04:04 น. ]
    ได้ความหมายของคำว่า "วาสนา"และ ความหมายของคำว่า "บารมี" แถมไปด้วยครับ
    ********************
    บารมี

    ส่วนความว่า "บารมี"นั้นก็กว้างเช่นกัน อาจจะเรียกได้ว่าครอบคลุมอีกที สิ่งใดที่เราทำให้ยิ่ง ทำให้เต็ม ทำให้สมบูรณ์ ทำให้พรั่งพร้อม ความยิ่ง ความเต็ม ความสมบูรณ์ ความพรั่งพร้อม นั่นแหละ เรียกว่า บารมี
    บารมีนั้น มีการอธิบายกันได้หลายนัยมาก ขอให้ดูเพิ่มเติมจากหนังสือ "ทศบารมีในพระพุทธศาสนาเถรวาท" นะครับ ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะอธิบายบารมีไว้อย่างละเอียดพิสดารมาก
    หนังสือเล่มนี้เขียนโดยสมเด็จพระเทพฯ พระองค์นับว่าเป็นปราชญ์ทางศาสนาพระองค์หนึ่ง พระองได้รวบรวมบารมีที่ปรากฏในพระพุทธศาสนามารวมไว้อย่างครอบคลุมและครบถ้วน นับว่าเป็นหนังสือที่สมบูรณ์แบบมาก หาซื้อมาอ่านเพิ่มเติมนะครับ

    สำหรับคำถามที่มีคนถามว่า"แล้วความต่อเนื่องของบุญกุศลกับวาสนาบารมีคืออะไร เป็นอย่างไร" นั้น พออ่านกระทู้ผมเสร็จแล้ว ก็คงจะพอมองภาพออกแล้วนะครับ หรือคงจะพอได้คำตอบแล้ว อย่างไรอย่าลืมส่งข่าวด้วยนะครับ
    เมื่อได้อธิบายมาแล้วก็อยากจะลอง ๆ โยงกันดูระหว่างบุญ,กุศล,วาสนา,บารมีว่ามีความเกี่ยวเนื่องหรือสัมพันธ์กันอย่างไร ผิดถูกก็ช่วย ๆ กันบ้างก็แล้วกันนะครับ
    อันดับแรกกุศลกับบุญนั้นอย่างเดียวกัน แล้วแต่จะปรารถนาหรือตั้งใจอย่างไร ถ้าทำความดีแล้วตั้งใจจะเกิดอีกอย่างรวย ก็แสดงว่าสร้างสังขารตัวตนอีก อย่างนี้ก็เป็นแค่บุญ แต่กุศลนั้นคือพอเราทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วปรารถนาจะทำลายขันธ์ คือปรารถนาจะละโลบโกรธหลงไป หรือปรารถนาบรรลุพระนิพพาน ถ้าอย่างนี้เรียกว่าเราได้ทำกุศล นี่คือความแตกต่าง ของ"บุญกุศล"

    กิริยาที่เราทำบุญกุศลจนเคยชินเป็นกิริยา เป็นนิสัย หรืออนุสัยติดตัว (ทานานุสัย อุปนิสัยชอบทำทาน สีลานุสัย อุปนิสัยชอบรักษาศีล ภาวนานุสัย อุปนิสัยขอบเจริญภาวนา) อย่างนี้น่าจะ(ใช้คำว่าน่าจะ)เรียกว่า "วาสนา"

    สิ่งใดที่เราทำให้ยิ่ง ทำให้เต็ม ทำให้สมบูรณ์ ทำให้พรั่งพร้อม ความยิ่ง ความเต็ม ความสมบูรณ์ ความพรั่งพร้อม นั่นแหละ เรียกว่า "บารมี"

    เมื่อนำความหมายของคำว่าของทั้งหมดมาต่อกันก็คงจะได้ประมาณว่า "บุญกุศสลที่บำเพ็ญจนเป็นนิสัยอย่างพรั่งพร้อม อย่างยิ่ง อย่างสมบูรณ์ที่สุด" นี่คือความหมายที่คิดว่าน่าจะเกี่ยวเนื่องกันได้ ถ้าเป็นศัพท์ก็คงจะได้ประมาณว่า "ปารมีวาสนปุญญกุสลํ" (ปาระมีวาสนะปุญญะกุสะลัง) ทั้งนี้ต้องมีภพชาติมารองรับอีก ในกรณีที่เป็นได้แค่บุญ ส่วนกุศลนั้นตัดภพชาติ ตัดสังขาร ตัดกิเลสตัณหาทั้งหมด หยุดการสร้างภพชาติอีก
    *****วาสนาบารมีใช้ได้กับบุญและกุสลครับ ความตั้งใจที่จะไปต่างกัน สถานที่ไปจึงต่างกัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    พี่แอ๊วแจ้งมาแล้วครับว่า พี่แอ๊วจะมาร่วมงาน และได้นิมนต์พระอาจารย์นิล มาฉันเพลด้วยครับ

    มาทำบุญกันนะครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ท่านใดที่จะไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม อย่าลืมนำเจดีย์ไปด้วยนะครับ

    จะปิดทองหรือไม่ปิดทอง จะติดเพชรหรือไม่ติดเพชรก็ได้ แต่ขอเป็นเจดีย์ในลักษณะนี้ครับ ส่วนผอบ(ที่ไม่ใช่เจดีย์)ผมใช้ในการบรรจุพระธาตุพระอรหันต์ครับ

    [​IMG]
    โมทนาสาธุครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อืมมม.. การขึ้นลงของตลาดเป็นไปโดยกลไกธรรมชาติของเศรษฐกิจทั้งโลกที่มีน้ำหนักการลงทุนของสหรัฐอเมริกา หากเพ่งเฉพาะตลาดอย่างประเทศไทย ต้องยอมรับว่ามีศึกหลายด้าน ทั้งภายใน และภายนอก หรืออเมริกา ก็มีปัญหาไม่ต่างจากเรา แต่เขาไม่มาดูประเทศไทย แต่ประเทศไทยต้องไปดูเขา เท่ากับว่า ตลาดไทยขึ้นลงตามกลไกตลาดต่างประเทศมีน้ำหนักมากที่สุด

    ในด้านของผมเอง ผมมีแผนรับมือตลาดช่วงนี้ไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะขึ้น หรือลงล้วนมีความสุข การขาย 30% ออกไป ในจุดต่ำสุด ผมถือว่าเป็น buffer stock คล้ายการวางหมากล่อ หากยังไม่ต่ำกว่าจุดเดิมที่ขายออกไปนี้ ก็ยังคงถืออีก 70% อยู่หาก หากตลาดขึ้น อีก 70% ก็ทำเงินให้ ส่วนอีก 30% เปลี่ยนจากกองหน้า มาเป็นกองหลังแทน หากมีลูกเตะโด่งมาให้เป็นเหตุให้หลุดเกินกว่าที่วางหมากล่อไว้ ก็พร้อมจะเอาคืนในจำนวนเงินเท่าเดิม โดยไม่กระทบเงินสดในมือ เท่ากับว่า ส่วนของผู้ถือหุ้นจะโตขึ้นอีกราว 8-10% แม้จะลงกว่านี้อีกเท่าตัวก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะแผนการขาย และซื้อถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าทั้งหมดแล้ว...อิ...อิ...

    หากตลาดพรุ่งนี้บวกถึงบวกสุดๆ ผมก็ดีใจมากถึงดีใจสุดๆ เพราะ port มันโตขึ้นแน่นอน แม้ว่าจำนวนหุ้นจะเหลือ 70% ก็ตาม แต่หากจะลงมาผมก็ยินดีมาก เพราะจะได้สมาชิกใหม่เพิ่มทันทีอีก 3-5% เล่นได้ทั้งขึ้น และลงครับ สบายๆ..
     
  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137

    อืมม อันนี่น่าคิด สรุปว่า ท่านโดควรเอาตังค์มาฝากผมจะเป็นการดีที่สุด ผมสัญญาว่าจะดูแลเงินของท่านโดให้เหมือนเงินของผมเลย อิ...อิ...
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“พระมหาสมปอง” แนะธรรมะ สู้ ทุนนิยม
    http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9510000109842
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>16 กันยายน 2551 14:07 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=200>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ด้วยกระแสทุนนิยมแบบผูกขาด ที่นักการเมืองขี้ฉ้อรุ่นเเล้ว รุ่นเล่า เป็นผู้กำหนดทิศทางการศึกษา จนเป็นเหตุให้นิสิต นักศึกษา ขาดการเรียนรู้อย่างเข้าใจ คงเหลือแต่เพียงการเรียนรู้ที่ใช้การท่องจำจากตำรา และมุ่งที่จะทำเกรดให้ได้สูงที่สุด เพื่อที่เรียนจบแล้วจะได้ไปทำงาน “รับใช้” ระบอบทุนนิยมตามที่นักการเมืองมุ่งหวัง โดยละเลยธรรมะซึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้คนปฏิบัติดี ประพฤติดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนประเทศชาติเพื่อหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง

    วันนี้ไลฟ์ ออน แคมปัส ขอสนทนาธรรมกับพระมหาสมปอง ตาลปุตโต ถึงเรื่องธรรมะสำหรับวัยรุ่น ในยุคทุนนิยมแบบผูกขาดเช่นนี้

    พระมหาสมปองกล่าวว่าเด็กวัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังแสวงหาตัวตนของตนเอง พ่อแม่ควรที่จะเป็นแสงสว่างนำทางให้กับลูกนะคุณโยม เด็กบางคนก็ถูกพ่อแม่เลี้ยงด้วยเงินจนเคยตัว อยากได้อะไรก็ต้องได้ กลายเป็นว่าไม่เห็นค่าของสิ่งของ ไม่รู้ว่ากว่าที่จะได้อะไรสักอย่างนั้น พ่อแม่ต้องลำบากหาเงินมาเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น ตัวพ่อแม่เองก็อย่าเลี้ยงลูกด้วยเงิน จนทำให้ลูกเสียคนก่อนที่ลูกจะได้สิ่งที่เขาเรียกร้องต้องการลองให้เขาทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งจะทำให้เขาเห็นถึงคุณค่าของเงินและความเหน็ดเหนื่อยที่กว่าจะได้สิ่งนั้นมา

    เนื่องจากในยุคทุนนิยมเช่นนี้ พิษภัยอันตรายต่าง ๆ มากขึ้นทุกที ยิ่งภัยอันตรายของวัยรุ่นด้วยแล้ว มากันหลายรูปแบบ ดังนั้นนอกจากจะให้พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นหูเป็นตาอย่างเดียวแล้ว พระมหาสมปองยังกล่าวเตือนสติให้เด็ก ๆ ทุกคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นจะต้องมีสติอยู่กับตัวให้มาก ๆ

    “อาตมาอยากจะบอกว่า ‘เด็กในยุคใหม่จะต้องมีสติในสต๊อก ถ้าเราไม่มีสติในสต๊อก ระวังเราจะช็อกและน็อกก่อนหมดสติ’ ที่สำคัญมีอาวุธเพิ่มขึ้นด้วยการเอาธรรมะไปคิดไปปฏิบัติตาม ในทางพระพุทธศาสนาได้แบ่งชีวิตออกเป็น 4 วัน และแต่ละวัยก็มีหน้าที่ของตนเองทั้งสิ้น เราเรียกว่าอาศรม 4 ซึ่งประกอบด้วย

    พรหมจารี คือวัยเรียน วัยศึกษา มีหน้าที่ในการศึกษาหาความรู้
    คฤหัสถ์ คือ วันครองเรือน ทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดี เป็นสามีที่ดี ทำหน้าที่เป็นบุตรที่ดีต่อบิดามารดา
    วานปรัสถ์ คือ วัยออกบวช เมื่อผ่านวัยเบื้องต้นมาแล้ว ต้องเข้าป่าเพื่อหาความสงบ ฝึกจิตให้สงบ
    สันยาสี คือ วัยชรา เป็นวัยเพื่อสู่การบรรลุ


    วัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยแรกของชีวิต เป็นวัยแห่งการศึกษาหาความรู้ ก็จะต้องทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่มีประโยชน์เพื่อนำไปใช้ในการทำงาน และใช้ในช่วงชีวิต ต่อ ๆ ไป มีเด็กชายคนหนึ่งพูดไว้อย่างน่าประทับใจว่า เขาไม่ได้อยากเป็นอนาคตของชาติ แต่เขาอยากเป็นปัจจุบันของชาติ อยากทำวันนี้ให้ดี อยากช่วยพ่อแม่ในวันนี้ อยากเรียนเก่งในวันนี้ อยากทำสิ่งดี ๆ ในวันนี้ ไม่ต้องรอวันหน้า เพราะไม่รู้ว่าวันหน้าจะได้อยู่หรือเปล่า จึงขอเป็นปัจจุบันที่ดี”

    ในส่วนการเลี้ยงดูของครอบครัว ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการหล่อหลอมให้เด็กเป็นผู้ใหญ่ พระมหาสมปองกล่าวว่า สถาบันครอบครัวถือว่าเป็นสถาบันพื้นฐานที่สำคัญมากของไทย และเชื่อว่าถ้าพื้นฐานของครอบครัวมีปัญหา ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้เด็ก ๆ หรือลูกหลานในครอบครัวนั้นมีปัญหาตามไปด้วย

    “วัยที่แตกต่างกันของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ลูกหลาน มักจะทำให้เกิดช่องว่างและความไม่เข้าใจกัน ซึ่งถ้าหากไม่เกิดช่องว่างก็จะไม่เกิดปัญหา แต่จะทำยังไงได้ล่ะคุณโยม ในเมื่อคนแต่ละวัยมีอายุและประสบการณ์ชีวิตไม่เท่ากัน อาตมาขอแนะนำให้ใช้หลัก สังคหวัตถุ 4 ซึ่งเป็นหลักครองตนและครองใจคน ได้แก่

    1. ทาน คือ การให้ ให้อาหาร ให้ทุนการศึกษา ให้กำลังใจ และที่สำคัญ คือให้อภัยลูกหลานเสมอ 2. ปิยวาจา คือ การพูดจาไพเราะอ่อนหวาน 3. อัตถจริยา คือ การบำเพ็ญประโยชน์ และ 4. สมานัตตา คือ ความคิดในสิ่งต่าง ๆ เสมอกัน”

    ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคทุนนิยมเช่นนี้นอกจากจะส่งผลให้วัยรุ่นวัยเรียนหลงใหลไปกับวัตถุแล้ว ในเรื่องของความรักก็เช่นเดียวกัน ทั้งวัยรุ่น วัยทำงาน ดูจะแยก “รัก” กับ “หลง” ไม่” ออก พระมหาสมปองกล่าวว่าหลายคนยังไม่เข้าใจคอนเซปต์ของความรักที่แท้จริง ไม่รู้ว่า “รัก” และ “หลง” ต่างกันอย่างไร และเชื่อแน่นอนว่าในช่วงเวลาที่โลกเป็นสีชมพู ถ้ามีใครมาทักว่าเรากำลังเป็นอยู่นั้นคือ “หลง” คงได้เถียงกันจนลูกกระเดือกโผล่เลยว่า ‘ไม่ใช่ นี่มันเป็นความรักต่างหาก’

    “ความรักที่หลงทางมันไม่ได้ทำร้ายแค่เพียงตัวเราเอง แต่ยังทำร้ายคนรอบตัวที่รักเราด้วย พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อนพ้อง ก็ต้องเสียใจไปกับการกระทำแบบโง่เขลา การกระทำที่เราเป็นผู้ทำร้ายจิตใจคนอีกมากมายที่รักเรา

    อาตมาอยากให้คุณโยมที่เอาชนะความหลงนั้นได้ด้วย “สติ” ใช้สติพิจารณา และรู้จักตั้งคำถามกับความรักเสียบ้าง รักเพราะอะไร เพื่ออะไร รักได้เท่าไร รักแบบไหน ถึงจะมีความสุข และไม่ทำร้ายกันทั้งสองฝ่าย ความตื่นเต้นท้าทายของความรัก มันชวนให้หลงใหล หลงไปไกลจนเราลืมมองว่าเรากำลังเดินไปไหน เดินมาถึงไหนแล้ว

    ความรักไม่ใช่เรื่องผิวเผินจนลมพัดก็ปลิวหาย และไม่ใช่เรื่องลึกสุดโต่งจนขุดเท่าไรก็ไม่เจอ แต่เป็นสิ่งที่คุณโยมมองเห็น เรียนรู้ และพิจารณาได้เสมอว่าจะเอาตัวเข้าไปอยู่ตรงจุดไหนของความรักได้อย่างมีสติ”

    นอกจากนี้พระมหาสมปองยังแนะนำหลักธรรมะเพื่อให้คนทำงานได้นำไปใช้อีกด้วย โดยพระมหาสมปองกล่าวว่าการนำธรรมะมาใช้กับการทำงาน ไม่ใช่การยกตัวธรรมะเข้มข้นมาใช้ แต่เป็นการประยุกต์เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์และปัญหาหลากหลายรูปแบบ

    “ธรรมะไม่ใช่เครื่องทุ่นแรงที่ทำให้คุณโยมทำงานไวขึ้น หรือทำให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ธรรมะจะช่วยให้ทำงานได้อย่างมีความสุข และขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานที่มักจะมารบกวนจิตใจ ฉะนั้น การนำธรรมะมาใช้กับการทำงานจึงเป็นเหมือนการเยียวยาที่จิตใจ เป็นการทำจิตเราให้สงบเสียก่อน มีคำบาลีกล่าวไว้ว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ ก็คือหวังในสิ่งที่ไม่ดีได้เลย

    ธรรมะที่เป็นหัวใจของคนทำงานมีมากมาย คุณโยม ธรรมะข้อแรกที่อาตมาขอนำเสนอ คือ “อริยมรรค 8”

    มรรค หมายถึง หนทางดับทุกข์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอริยสัจ 4 ที่ประกอบไปด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค นับเป็นหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยหนทาง 8 ประการ ได้แก่ สัมมาทิฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ สัมมากัมมันตะ คือ ทำการงานชอบ สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีพชอบ สัมมาวายามะ คือ เพียรชอบ สัมมาสติ คือ ระลึกชอบ และสัมมาสมาธิ คือ ตั้งใจชอบ

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสสอนหนทางแห่งความสำเร็จสำหรับผู้ทำงานว่า ควรยึดหลักอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ มีความพอใจในการงาน มีความรู้ความสามารถ ความถนัดในการงานนั้น วิริยะ มีความเพียรในการงานนั้น จิตตะ มีใจจดจ่อเอาใจใส่กับงานที่เราทำ และ วิมังสา มีปัญญาหมั่นพิจารณาตรึกตรองในการงานนั้น

    ทศพิธราชธรรม ธรรมสำหรับนักปกครอง 10 ประการ ประกอบไปด้วย

    1. ทาน (ทาน)หมายถึง การให้ การเสียสละ นอกจากเสียสละทรัพย์สิ่งของแล้ว ยังหมายถึงการให้น้ำใจแก่ผู้อื่นด้วย 2. ศีล (ศีล) คือ ความประพฤติที่ดีงามทั้งกาย วาจา และใจ ให้ปราศจากโทษทั้งในการปกครอง อันได้แก่ กฎหมายและนิติราชประเพณี และในทางศาสนา 3. บริจาค (ปริจจาค) คือ การเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อความสุขส่วนรวม

    4. ความซื่อตรง (อาชวะ) คือ ความซื่อตรงในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ดำรงอยู่ในสัตย์สุจริต 5. ความอ่อนโยน (มัททวะ) คือ การมีอัธยาศัยอ่อนโยน เคารพในเหตุผลที่ควร มีสัมมาคารวะ ต่อผู้อาวุโส และอ่อนโยนต่อบุคคลที่เสมอกันและต่ำกว่า

    6. ความเพียร (ตปะ) คือ มีความอุตสาหะในการปฏิบัติงาน โดยปราศจากความเกียจคร้าน 7. ความไม่โกรธ (อโกธ) คือ การไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ไม่มุ่งร้ายผู้อื่นแม้จะลงโทษผู้ทำผิดก็ทำตามเหตุผล

    8. ความไม่เบียดเบียน (อวิหิงสา) คือ การไม่เบียดเบียนหรือบีบคั้น ไม่ก่อทุกข์หรือเบียดเบียนผู้อื่น 9. ความอดทน (ขันติ) คือ การมีความอดทนต่อสิ่งทั้งปวง รักษาอาการทางกาย วาจา ใจให้เรียบร้อย 10. ความยุติธรรม (อวิโรธนะ) คือ ความหนักแน่น ถือความถูกต้องเที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคำพูด อารมณ์ หรือลาภสักการะใด ๆ”

    สุดท้ายพระมหาสมปองยังกล่าวอีกด้วยว่า เมื่อไม่ได้พัฒนาที่จิตใจ จะพัฒนาด้านใด ๆ ก็ไร้ผล การพัฒนาจริงต้องเริ่มที่ใจคน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นการพัฒนาคนที่ถาวร
    “ตอนที่ทำหนังสือธรรมะเดลิเวอรี่ นั้น อาตมาเคยได้ยินคนหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วพูดว่า หนังสืออะไร แพงกว่าเหล้าอีก ตั้ง 175 บาท แต่ตอนนี้ สำนักพิมพ์บิสซี่เดย์ได้จัดพิมพ์หนังสือธรรมะเดลิเวอรี่ Happy 24 ชม. เเล้วขาย 49 บาทเท่านั้น ทำให้เข้าไปยังคนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพได้ง่ายขึ้น และเปิดโอกาสให้สามารถเป็นเจ้าของหนังสือธรรมะดีดีสักเล่ม ติดไว้เป็นหลักธรรมประจำครอบครัว และอ่านได้ทุกคน..”
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>น้ำกัดเท้า...มันมากับความอับชื้น / เอมอร คชเสนี
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000109634
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย เอมอร คชเสนี</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>16 กันยายน 2551 09:46 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>โรคน้ำกัดเท้า เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราที่เท้า อาจรับเชื้อโดยตรงจากการเดินลุยน้ำสกปรก หรือเดินเท้าเปล่าตามพื้นดินแฉะๆ หรือรับเชื้อทางอ้อมจากการใช้ของร่วมกับผู้อื่นก็ได้ เช่น ถุงเท้า รองเท้า ผ้าเช็ดตัว หรือการใช้ห้องน้ำร่วมกัน

    ช่วงนี้ฝนตกติดต่อกันทุกวัน หลายคนต้องเดินลุยน้ำฝน บางพื้นที่มีน้ำท่วมขัง จึงมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ โรคนี้ยังพบได้บ่อยในกลุ่มอาชีพที่ต้องสวมรองเท้าทำงานทั้งวัน ทำให้เกิดความอับชื้น เนื่องจากอากาศไม่ถ่ายเท โดยเฉพาะหลายคนที่ใส่รองเท้าคู่เก่งอยู่คู่เดียวทุกวันไม่เคยเปลี่ยน จึงเป็นบ่อเกิดของเชื้อรา ซึ่งเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น

    อาการ

    เริ่มด้วยอาการคันตามซอกนิ้วเท้า เมื่อเกาไปเรื่อยๆ ผิวหนังจะลอกเป็นขุย สามารถเกิดขึ้นได้ทุกซอกนิ้วเท้า แต่ที่เป็นมากและพบบ่อยจะเกิดตรงซอกนิ้วนางและนิ้วก้อย เนื่องจากโดนรองเท้าบีบรัดมากที่สุด บางครั้งก็เป็นที่ส้นเท้า ฝ่าเท้า และอาจลุกลามไปถึงเล็บได้

    นอกจากนี้ยังอาจมีอาการในลักษณะอื่นๆ ได้อีก เช่น ผื่นเปียกยุ่ยสีขาวที่ซอกนิ้วเท้า ผิวหนังที่เท้าพุพอง นิ้วเท้าหนาและแตก มีตุ่มน้ำขึ้นตามด้านข้างของนิ้วเท้าหรือฝ่าเท้า บางครั้งมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ก็จะเกิดการอักเสบเป็นหนอง


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>การรักษา

    แพทย์มักให้ยาฆ่าเชื้อราชนิดรับประทาน และยาทาร่วมด้วย โดยมากจะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 6-8 สัปดาห์ และต้องทำการฆ่าเชื้อราที่ยังอาจติดอยู่ตามถุงเท้ารองเท้าด้วย โดยการนำไปผึ่งแดดนานๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะเป็นๆ หายๆ หากจะให้หายขาด นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว ยังต้องดูแลรักษาความสะอาดเท้า ตลอดจนถุงเท้ารองเท้าด้วย

    การป้องกัน

    - หากต้องทำงานที่ต้องลุยน้ำเป็นเวลานาน ควรสวมรองเท้าบูทกันน้ำให้มิดชิด
    - ล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่ และเช็ดให้แห้งโดยเฉพาะซอกเท้า อาจโรยแป้งฝุ่นที่เท้าเพื่อดูดความชื้น
    - สำหรับผู้ที่ต้องใส่ถุงเท้ารองเท้าติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ควรถอดรองเท้าออกบ้าง โดยสวมแต่ถุงเท้าหรือรองเท้าแตะในโอกาสที่อยู่ส่วนตัว เช่น นั่งที่โต๊ะทำงาน
    - ใส่ถุงเท้าและรองเท้าที่สะอาด แห้ง ไม่เปียกชื้น
    - ไม่ควรสวมถุงเท้าที่หนาและคับเกินไป และเลือกรองเท้าที่โปร่ง ระบายอากาศได้ดี
    - ซักถุงเท้าให้สะอาดและตากแดดทุกครั้ง
    - ไม่ควรใส่รองเท้าคู่เดิมทุกวัน ควรมีรองเท้าอย่างน้อย 2 คู่ ใส่สลับกัน และควรนำรองเท้าไปผึ่งแดดทุกสัปดาห์
    - ไม่ใช้ถุงเท้า รองเท้าร่วมกับผู้อื่น

    หากดูแลรักษาความสะอาดได้ดังที่กล่าวมา นอกจากจะไม่เกิดเชื้อราที่เท้าแล้ว ยังช่วยตัดปัญหาเรื่องกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาด้วยค่ะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    <TABLE class=tborder id=post1499870 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">15-9-2551, 08:36 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#21151 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ในวันที่นัดพบกัน ผมจะนำไม้ครูไปด้วย เผื่อท่านใดที่ไม่เคยเห็น ก็จะได้ชม และท่านใดที่ไม่เคยขอพระบารมีองค์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร จะได้ขอพระบารมีกัน

    ผมจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า ไปถวายพระอาจารย์นิล เพื่อบรรจุในพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ขอเชิญพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน ไปร่วมกันถวายโดยพร้อมเพรียงกันด้วยครับ

    และผมจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1 (สมเด็จองค์ปฐม) ,พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามพระกุกุธสันโธ ,พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ,พระนามพระโกนาคมนะ ,พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม ไปให้ทุกๆท่านได้สักการะบูชาและชมพระบารมีกัน ส่วนพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม ผมจะอัญเชิญไปมอบให้กับทุกๆท่านด้วยครับ

    การที่คนเราจะมีบารมีสูงสุดนั้น ต้องเกิดจากการปฎิบัติตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม ที่พระองค์ท่านได้มีพระเมตตาสั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลาย เพื่อความหลุดพ้น และมีความตั้งใจที่จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อโปรดผู้คนทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ต่างๆ ความตั้งใจนั้น เป็นการสร้างบุญ ,สร้างบารมีจนบารมีเต็มครับ

    ---------------------------------

    ผู้ปฎิบัติธรรมเป็นผู้มีบุญสูงสุด
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    เว็บลานธรรมจักร
    โพสโดย p.somchai - ตอบเมื่อ: 23 มกราคม 2008, 2:28 pm

    ผู้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่ง แต่ผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนา คือปฏิบัติให้จริงตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเป็นผู้มีบุญสูงสุด

    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประเสริฐสุด ไม่มีที่เปรียบได้ เพราะพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะพาไปให้รู้จักพลังพิเศษ คือความคิดที่สามารถทำลายความทุกข์ได้ ตั้งแต่ทุกข์น้อย จนถึงทุกข์ทั้งปวง จนถึงเป็นผู้ไกลทุกข์สิ้นเชิง ไม่มีเวลากลับมาให้เป็นทุกข์อีกเลย ตลอดไป

    ผู้มีพลังพิเศษพาหนีทุกข์ได้ พาดับทุกข์ได้ พาพ้นทุกข์ได้ คือผู้มีความคิดพิเศษ และความคิดพิเศษนี้เกิดได้จากความรู้จักปฏิบัติพระพุทธศาสนาเท่านั้น

    พลังแห่งความคิดพิเศษ หรือความคิดพิเศษนั่นเอง ที่เป็นผู้ช่วยยิ่งใหญ่ พร้อมที่จะช่วยทุกคนที่รู้ค่าของความพิเศษ ที่ยอมรับยอมเชื่อ ว่าความคิดพิเศษนั้นมีอำนาจใหญ่ยิ่งจริง อาจพาให้พ้นทุกข์ได้จริง ทั้งทุกข์น้อยทุกข์ใหญ่ จนถึงทุกข์สิ้นเชิง

    จะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดของตนเองนี้เป็นสัจจะ คือเป็นความจริงแท้ ไม่ว่าผู้ใดจะเชื่อหรือจะไม่เชื่อก็ตาม ก็เป็นความจริง ผู้ใดจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดของผู้นั้น

    ไม่มีผู้ใดที่ไม่ปรารถนาความไม่มีทุกข์ ทุกคนล้วนปรารถนาความไม่มีทุกข์ แต่ไม่ทุกคนที่ยอมรับความจริง ว่าการที่หนีความทุกข์ไม่พ้นนั้นเป็นเพราะคิดไม่เป็น ถ้าคิดให้เป็นจะไม่มีความทุกข์ใดใกล้กรายได้เลย เพราะความคิดนั้นแหละคือกำลังสำคัญที่สามารถทำไม่ให้ทุกข์เกิดได้

    ความคิดไม่เป็น หรือความคิดไม่ถูก ของตนเองเท่านั้น ที่ทำให้ความทุกข์กลุ้มรุมใจตน ไม่มีการกระทำคำพูดของผู้ใดอื่นจะอาจทำให้ความทุกข์กลุ้มรุมใจใคร ถ้าใครนั้นเป็นผู้รู้จักคิดให้เป็น รู้จักคิดให้ถูก ความคิดจึงสำคัญนัก ความคิดจึงมีพลังนัก มีอิทธิพลนัก ต่อชีวิตจิตใจผู้คนทั้งปวง ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ ไม่เลือกสูงต่ำ ร่ำรวยหรือยากดีมีจนเพียงใดก็ตาม

    ผู้ปรารถนาความเบิกบานสำราญใจไม่เศร้าหมองร้อนรนด้วยความทุกข์ พึงเห็นความสำคัญของความคิดให้มาก เห็นให้จริงใจว่า ความคิดของใครก็ตามที่ถูกต้องเป็นธรรมจะนำไปสู่ความเบิกบานสบายใจแน่นอน สมดังที่ปรารถนาอยู่ทุกเวลานาที

    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    : แสงส่องใจ วัดบวรนิเวศวิหาร ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๗


    ---------------------------------

    บุญ,กุศล,กรรมดี,ธรรม,บารมี

    โดย อปากฏนาม [ 16 ส.ค. 2545 / 10:41:21 น. ]
    [ IP Address : 203.113.34.239 ]

    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/006067.htm
    ศัพท์เหล่านี้ใช้แทนกันได้(อย่างเดียวกัน)คือ
    ๑. บุญ
    ๒. กุศล
    ๓. กรรมดี
    ๔. ธรรม (ธรรมฝ่ายขาว)
    ๕. สุกต
    ๖. สุกฺก
    ๗. สุจริต
    ทุกศัพท์ที่กล่าวมานี้ใช้แทนกันได้ เพราะศัพท์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นศัพท์ที่มีความหมายกว้างครอบคลุม และเป็นศัพท์ที่มีความหมายไปในทางดี บุญกับกุศลนั้นเคยอธิบายไปแล้วว่าต่างกันอย่างไร ไม่อยากอธิบายอีกเดี๋ยวจะซ้ำซาก แต่จะขออนุญาตนำคำตอบที่ดีตรงประเด็นของเพื่อนลานธรรมท่านหนึ่งมาทวบทวนเรื่องบุญกุศลอีกครั้งว่า
    : (praves)
    บุญ ทำให้มีความสุข (มนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ)
    กุศล ทำให้เกิด สัมมาทิฏฐิ (กุสลจิตนำสู่วิมุตติ)
    วาสนา (นิสัย) คือ ลักษณะทำให้สั่งสมในจิต คือ สันดานในใจ เช่น กิริยา สุภาพ หรือกระด้าง ชอบคบปราชญ์ หรือ คบอบายมุข
    บารมี คือ อุปกรณ์ให้เกิดความสำเร็จในสิ่งที่ใจปรารถนา เช่น
    - (ทางที่ถูก) พระโพธิสัตว์บางท่าน เจริญบารมี 30 ทัศ (10 บารมี ๆ 3 ระดับ) มี ทาน วิริยะ เนกขัมมะ ฯลฯ สี่อสงไขยแสนมหากัปป์ เพื่อช่วยพาสัตว์ดลกออกจากองทุกข์ การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
    - (ทางที่ผิด) เจ้าพ่อนักเลงใช้ "บารมี !?!" ทางโลก (เงิน อำนาจ ความกลัว ความรุนแรง) ในทางทำลายผู้อื่น นักการเมืองสร้างปัญหาให้บ้านเมืองเพื่อเรียก "บารมี !?! "
    จะให้เกิดวาสนาบารมีในทางธรรมะ ต้องเจริญไตรสิกขา (กระบวนการเรียนรู้ทางจิต) ทาน ศีล ภาวนา (ทาน ศีล ภาวนา คือ ปัจจัยแห่งความพ้นทุกข์ มิใช่เส้นชัย)
    จากคุณ : praves [ 15 ส.ค. 2545 / 23:04:04 น. ]
    ได้ความหมายของคำว่า "วาสนา"และ ความหมายของคำว่า "บารมี" แถมไปด้วยครับ
    ********************
    บารมี

    ส่วนความว่า "บารมี"นั้นก็กว้างเช่นกัน อาจจะเรียกได้ว่าครอบคลุมอีกที สิ่งใดที่เราทำให้ยิ่ง ทำให้เต็ม ทำให้สมบูรณ์ ทำให้พรั่งพร้อม ความยิ่ง ความเต็ม ความสมบูรณ์ ความพรั่งพร้อม นั่นแหละ เรียกว่า บารมี
    บารมีนั้น มีการอธิบายกันได้หลายนัยมาก ขอให้ดูเพิ่มเติมจากหนังสือ "ทศบารมีในพระพุทธศาสนาเถรวาท" นะครับ ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะอธิบายบารมีไว้อย่างละเอียดพิสดารมาก
    หนังสือเล่มนี้เขียนโดยสมเด็จพระเทพฯ พระองค์นับว่าเป็นปราชญ์ทางศาสนาพระองค์หนึ่ง พระองได้รวบรวมบารมีที่ปรากฏในพระพุทธศาสนามารวมไว้อย่างครอบคลุมและครบถ้วน นับว่าเป็นหนังสือที่สมบูรณ์แบบมาก หาซื้อมาอ่านเพิ่มเติมนะครับ

    สำหรับคำถามที่มีคนถามว่า"แล้วความต่อเนื่องของบุญกุศลกับวาสนาบารมีคืออะไร เป็นอย่างไร" นั้น พออ่านกระทู้ผมเสร็จแล้ว ก็คงจะพอมองภาพออกแล้วนะครับ หรือคงจะพอได้คำตอบแล้ว อย่างไรอย่าลืมส่งข่าวด้วยนะครับ
    เมื่อได้อธิบายมาแล้วก็อยากจะลอง ๆ โยงกันดูระหว่างบุญ,กุศล,วาสนา,บารมีว่ามีความเกี่ยวเนื่องหรือสัมพันธ์กันอย่างไร ผิดถูกก็ช่วย ๆ กันบ้างก็แล้วกันนะครับ
    อันดับแรกกุศลกับบุญนั้นอย่างเดียวกัน แล้วแต่จะปรารถนาหรือตั้งใจอย่างไร ถ้าทำความดีแล้วตั้งใจจะเกิดอีกอย่างรวย ก็แสดงว่าสร้างสังขารตัวตนอีก อย่างนี้ก็เป็นแค่บุญ แต่กุศลนั้นคือพอเราทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วปรารถนาจะทำลายขันธ์ คือปรารถนาจะละโลบโกรธหลงไป หรือปรารถนาบรรลุพระนิพพาน ถ้าอย่างนี้เรียกว่าเราได้ทำกุศล นี่คือความแตกต่าง ของ"บุญกุศล"

    กิริยาที่เราทำบุญกุศลจนเคยชินเป็นกิริยา เป็นนิสัย หรืออนุสัยติดตัว (ทานานุสัย อุปนิสัยชอบทำทาน สีลานุสัย อุปนิสัยชอบรักษาศีล ภาวนานุสัย อุปนิสัยขอบเจริญภาวนา) อย่างนี้น่าจะ(ใช้คำว่าน่าจะ)เรียกว่า "วาสนา"

    สิ่งใดที่เราทำให้ยิ่ง ทำให้เต็ม ทำให้สมบูรณ์ ทำให้พรั่งพร้อม ความยิ่ง ความเต็ม ความสมบูรณ์ ความพรั่งพร้อม นั่นแหละ เรียกว่า "บารมี"

    เมื่อนำความหมายของคำว่าของทั้งหมดมาต่อกันก็คงจะได้ประมาณว่า "บุญกุศสลที่บำเพ็ญจนเป็นนิสัยอย่างพรั่งพร้อม อย่างยิ่ง อย่างสมบูรณ์ที่สุด" นี่คือความหมายที่คิดว่าน่าจะเกี่ยวเนื่องกันได้ ถ้าเป็นศัพท์ก็คงจะได้ประมาณว่า "ปารมีวาสนปุญญกุสลํ" (ปาระมีวาสนะปุญญะกุสะลัง) ทั้งนี้ต้องมีภพชาติมารองรับอีก ในกรณีที่เป็นได้แค่บุญ ส่วนกุศลนั้นตัดภพชาติ ตัดสังขาร ตัดกิเลสตัณหาทั้งหมด หยุดการสร้างภพชาติอีก
    *****วาสนาบารมีใช้ได้กับบุญและกุสลครับ ความตั้งใจที่จะไปต่างกัน สถานที่ไปจึงต่างกัน

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    พี่แอ๊วแจ้งมาแล้วครับว่า พี่แอ๊วจะมาร่วมงาน และได้นิมนต์พระอาจารย์นิล มาฉันเพลด้วยครับ

    มาทำบุญกันนะครับ

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ท่านใดที่จะไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม อย่าลืมนำเจดีย์ไปด้วยนะครับ

    จะปิดทองหรือไม่ปิดทอง จะติดเพชรหรือไม่ติดเพชรก็ได้ แต่ขอเป็นเจดีย์ในลักษณะนี้ครับ ส่วนผอบ(ที่ไม่ใช่เจดีย์)ผมใช้ในการบรรจุพระธาตุพระอรหันต์ครับ

    [​IMG]
    โมทนาสาธุครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อีกเรื่อง พี่ท่านนึง ได้แจ้งผมว่า จะมอบพระธาตุพระสิวลีเถระเจ้า ให้กับผม เพื่อมามอบให้กับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน

    ผมขอความกรุณาให้นำผอบ มาเพื่อบรรจุด้วยนะครับ

    และพี่ท่านนี้ มีความประสงค์ที่จะมอบพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม เพื่อประดิษฐานไว้ที่พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ผมขอเชิญพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านมาร่วมกันถวายพระอาจารย์นิล ด้วยกันนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [/quote]

    โมทนาสาธุครับ
    ส่วนพระพิมพ์ ผมจะนำไปมอบให้ในวันที่นัดพบกันครับ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กินอย่างไร ไม่ให้ขาดวิตามิน

    http://hilight.kapook.com/view/28926

    [​IMG]


    การรับประทานอาหารซ้ำซากอาจทำให้ขาดวิตามินได้ โดยเฉพาะวิตามินเอ และ บี ที่สำคัญยิ่งต่อสุขภาพ ​

    [​IMG] วิตามิน เอ จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต้องพึ่งพาสังกะสี และวิตามินอีซึ่งได้จากไขมัน เพื่อให้ร่างกายดูดซึมวิตามินเอได้ดี นอกจากนี้วิตามินเอยังมีมากในผักใบเขียว ซึ่งมักสูญเสียวิตามินหนึ่งในสาม หากเจอกับออกซิเจนและแดด ​

    อาหารที่มีวิตามินเอ เช่น ตับ ไขแดง ผลิตภัณฑ์จากนม ปลาเนื้อมัน เนื้อ ผักสีเขียว และสีเหลือง ​

    อาการขาดวิตามินเอ จะมีผิวแห้งและหยาบกร้าน เล็บแตกเปราะง่ายและมีจุดขาวๆ หากขาดมากจะมองไม่เห็นในตอนกลางคืน หากขาดนานๆ จะทำให้ตาบอดได้ ​

    [​IMG] วิตามินบี 1 ถูกทำลายได้ง่ายเมื่อเจอความร้อนและออกซิเจน หรือระหว่างการหุงต้มก็ทำให้สูญเสียวิตามินไปประมาณ 30% จึงไม่ควรล้างผักนานและควรใช้วิธีนึ่งจะดีกว่า ​

    วิตามินบี 1มีมากใน ถั่วชนิดต่างๆ ข้าวกล้อง รำข้าว เนื้อหมู ไข่ ​

    อาการขาดวิตามินบี 1 ทำให้การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตไม่ดี เบื่ออาหาร หงุดหงิดง่าย อ่อนเพลีย ขาดสมาธิ หรือคันแขนคันขา หากขาดวิตามินบี 1 มากจะทำให้หัวใจอ่อนแรงและกล้ามเนื้อเป็นแผล ​

    [​IMG] วิตามินบี 2 สูญเสียได้ง่ายในน้ำ ดังนั้จึงควรรับประทานน้ำต้มด้วย แสงไฟเป็นตัวทำลายวิตามินชนิดนี้ ดังนั้นจึงควรเก็บไว้ในที่มืด ​

    วิตามินบี 2 มีมากใน ตับ เนื้อไก่ นม ไข่ ธัญพืช ​

    อาการขาดวิตามินบี 2 มุมปากเป็นแผล ลิ้นและเยื่อปากอักเสบ โรคโลหิตจาง ผู้ที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดและยาต้านโรคซึมเศร้าอาจขาดวิตามินชนิดนี้ ​

    [​IMG] วิตามินบี 3 หรือไนอาซิน หากรับประทานยา L-Dopa พาราเซตามอล หรือ Diazepam อาจทำให้ร่างกายต้องการวิตามินบี 3 เพิ่มสูงขึ้น ​

    วิตามินบี 3 มีมากใน ปลาเนื้อมัน เนื้อไก่ ตับ ถั่ว ​

    อาการขาดวิตามินบี 3 มังสวิรัติ หรือ ผู้ทานโปรตีนน้อย อาจทำให้ขาดวิตามินบี 3 ได้ อาการก็คือ ซึมเศร้า ผิวแห้งแตก อ่อนเพลีย และนอนไม่หลับ ​

    [​IMG] วิตามินบี 5 การทำให้สุกทำให้สูญเสียวิตามินบี 5 ถึง 50% หากแช่แข็งจะทำให้สูญเสียวิตามินบี 80% ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารสดสม่ำเสมอ ​

    วิตามินบี 5 มีมากใน ผักเกือบทุกชนิด ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ปลา ไข่แดง ผักสีเขียว ธัญพืช ​

    อาการขาดวิตามินบี 5 กลุ่มเสี่ยงคือ ผู้ที่ขาดอาหารโรคเบาหวาน นักกีฬา และผู้ที่ใช้แรงงาน อาการก็คืออ่อนเพลีย กล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง คลื่นไส้ ปวดท้อง ปวดศีรษะ ​

    [​IMG] วิตามินบี 6 การรับประทานยาบางชนิดจะทำให้ร่างกายต้องการวิตามินบี 6 เพิ่มขึ้น เช่น ยากันชัก วิธีป้องกันไม่ให้สูญเสียวิตามินชนิดนี้ก็คือ ไม่ให้โดนแสงแดดและถูกความร้อน ​

    วิตามินบี 6 มีมากใน เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ วัว หมู ไข่ ปลา นม ​

    อาการขาดวิตามินบี 6 นอนไม่หลับ ติดเชื้อง่าย อ่อนเพลีย มีปัญหาผิวพรรณ ปากแห้งแตก ลิ้นและปากอักเสบ แต่คนที่มีสุขภาพดีโดยทั่วไปมักไม่ขาดวิตามินชนิดนี้ ​





    ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa
    [​IMG]
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
    ประจำวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
     
  11. ทองอ้วน

    ทองอ้วน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +135
    องค์ที่เป็น 3 เหลี่ยมน่าสนใจมากเลยครับ คุณ nongnooo

    หุ หุ นี่ส่วนหนึ่งเป็นของตาลุงฝากโชว์ในแถวล่างส่วนแถวบนเป็นของคุณตาบ้านตรงข้ามท่านปาทาน หุ หุ เนื้อลับ ลวง พราง ก็มีพิมพ์ 3เหลี่ยมด้วยอ่ะครับ หุ หุ อีกที....
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND></FIELDSET>
     
  12. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่าไม่เป็นไรผมใจดี สำหรับคุณ ทองไว้ถ้าผมบังเอิญเจออีกองค์จาฝากท่านปาทานให้ครับ กากี่นั้ง หุ หุ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>อี๋ว์มู่หุ้นจู(鱼目混珠 ): ตาปลาปลอมปนไข่มุก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000100330
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>16 กันยายน 2551 17:48 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> (yú) อ่านว่า อี๋ว์ แปลว่า ปลา
    (mù) อ่านว่า มู่ แปลว่า ตา
    (hùn) อ่านว่า หุ้น แปลว่า ปะปน
    (zhū) อ่านว่า จู แปลว่า ไข่มุก

    นอดีต มีชายผู้หนึ่งนามว่า “หม่านย่วน” ครั้งหนึ่งเขาได้ซื้อไข่มุกเม็ดใหญ่อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนมาจากร้านแผงลอยที่สุดแสนจะธรรมดาร้านหนึ่ง เมื่อกลับถึงบ้านหม่านย่วนได้ใช้วัสดุที่ดีที่สุดเท่าที่หาได้มาประกอบเป็นกล่องไข่มุก ด้านบนสลักไว้ด้วยลวดลายทั้งทอง-เงินวิจิตรพิศดาร จากนั้นจึงนำมุกเม็ดใหญ่นั้นบรรจุลงกล่องและเก็บรักษาไว้อย่างดี มีเพียงช่วงเทศกาลพิเศษๆ เท่านั้นที่เขาหยิบมันขึ้นมาให้ญาติสนิท มิตรสหายชื่นชมดู

    หม่านย่วนมีเพื่อนบ้านผู้หนึ่ง นามว่า“โซ่วเลี่ยง” เมื่อโซ่วเลี่ยงได้ยินเสียงร่ำลือว่าหม่านย่วนได้ครอบครองไข่มุกเม็ดโตก็นึกอิจฉาอยากจะมีไข่มุกเช่นนั้นเก็บไว้บ้าง วันหนึ่งขณะที่เดินอยู่บนท้องถนน พลันสายตาเหลือบไปเห็นลูกตาปลาลูกใหญ่ตกอยู่ ก็ดีใจนึกว่าเป็นไข่มุกเม็ดยักษ์จึงได้นำมาเก็บไว้ที่บ้านไม่ยอมให้ใครชมดู ได้แต่ป่าวประกาศว่าตนเองก็มีไข่มุกที่ทั้งใหญ่และเลอค่าเช่นเดียวกับหม่านย่วน

    ปรากฏว่าจากนั้นไม่นาน หม่านย่วน และ โซ่วเลี่ยง เกิดล้มป่วยและมีอาการคล้ายกัน ครอบครัวของทั้งสองได้เชิญหมอในหมู่บ้านมารักษา หมอตรวจอาการแล้วแจ้งว่าโรคดังกล่าวต้องใช่ไข่มุกมาบดเป็นผงผสมกับยาจึงจะรักษาได้ หม่านย่วนและโซ่วเลี่ยงต่างคนจึงนำไข่มุกที่ตนเก็บรักษาไว้ออกมา เมื่อหมอเห็นไข่มุกของหม่านย่วนเปล่งประกายงดงามก็ทราบว่าเป็นไข่มุกล้ำค่า ส่วนไข่มุกตาปลาของโซ่วเลี่ยงนั้นไร้ความแวววาว หมอจึงกล่าวว่า “มุกของเจ้าไม่ใช่ไข่มุก หากแต่เป็นเพียงตาปลา หากเอาตาปลามาอวดอ้างเป็นไข่มุกแล้วจะรักษาอาการของเจ้าได้อย่างไร?”

    ต่อมาสำนวน “อี๋ว์มู่หุ้นจู” หรือ “ตาปลาปลอมปนไข่มุก” ถูกใช้ในความหมายทางลบ หมายถึงการนำของปลอมมาปนกับของจริง หรือแอบอ้างว่าเป็นของดีเพื่อเจตนาให้ผู้อื่นสับสนเข้าใจผิด

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"เม็ดบัว" แทะเพลินประโยชน์เกินห้ามใจ
    http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9510000109815
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>16 กันยายน 2551 13:39 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อพูดถึงฝักบัว "108 เคล็ดกิน" ว่าหลายๆคนคงคิดไปถึงฝักบัวที่ใช้อาบน้ำในห้องน้ำ แต่ฝักบัวที่พูดถึงนี้เป็นผลิตผลจากต้นบัว ซึ่งให้เม็ดบัวแสนอร่อยที่ "108 เคล็ดกิน" ชอบซื้อมานั่งแทะเล่นอยู่บ่อยๆ

    ที่ว่านั้นไม่ได้แทะฝักบัว แต่แทะ "เม็ดบัว" ในฝัก โดยฝักบัวนั้นก็คือดอกบัวที่แก่จัดจนกลีบดอกร่วงไปหมดแล้ว เหลือแต่ฝักกลมๆ และมีเม็ดบัวฝังอยู่หลายสิบเม็ดในฝักนั้น เวลาจะกินก็ต้องแงะเม็ดบัวออกจากฝักบัวมาทีละเม็ด แล้วค่อยมาแกะเปลือกออก เพื่อจะกินเม็ดบัวสีขาวๆในนั้น

    บางคนก็กินเม็ดบัวเข้าไปเลยทั้งลูก แต่บางคนต้องผ่าครึ่งเสียก่อนเพื่อเอาต้นอ่อนสีเขียวๆที่อยู่ในเม็ดบัวออกเสีย เพราะเจ้าต้นอ่อนนั้นทำให้มีรสขม หากเม็ดบัวเม็ดไหนยังอ่อนๆ ก็จะไม่ขมเท่าไรนัก แต่ถ้าเม็ดไหนแก่แล้วล่ะก็ ต้นอ่อนก็จะมีรสขมทำให้เสียรสชาติไปไม่น้อย

    ทีนี้มาว่ากันด้วยเรื่องของประโยชน์ในเม็ดบัวกันดีกว่า เม็ดบัวนั้นมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ถึงประมาณ 23% ซึ่งสูงกว่าในข้าวถึง 3 เท่า อีกทั้งยังมีวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และเกลือแร่ ฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงประสาท บำรุงไต และบำรุงสมอง รักษาอาการท้องร่วง บิดเรื้อรัง ส่วนต้นอ่อนในเม็ดบัวที่หลายคนชอบหยิบออกนั้น หากกินเข้าไปแล้วก็จะช่วยลดความดันโลหิต ช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจได้ด้วย

    ว่าแล้วก็ขอตัวไปนั่งแทะเม็ดบัวเพลินๆต่อดีกว่า
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?t=68899&page=74

    <TABLE class=tborder id=post1505115 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 07:25 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1463 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>trayong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1505115", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 07:40 PM
    วันที่สมัคร: Aug 2008
    ข้อความ: 6
    ได้ให้อนุโมทนา: 0
    ได้รับอนุโมทนา 21 ครั้ง ใน 5 โพส
    <IF condition="">
    </IF>พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1505115 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->โอนเงินให้แล้วนะครับ 4000 บาท เวลา 13:25 ครับ
    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    โมทนาสาธุครับ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 15 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, nongnooo+, torr200925, คีตา </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับคุณคีตา

    ไปวัดป่าโนนจ่าหอมมา เป็นอย่างไรบ้าง มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณnongnooo เรื่องหลายๆเรื่อง
    เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรม
    และปล่อยให้เป็นไปตามกรรม

    คนมีเวลาหลงระเริงไม่นานบนโลกมนุษย์ครับ
    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใครว่าควายโง่ อ่านเรื่องนี้ซะก่อน!!!

    http://hilight.kapook.com/view/28918


    [​IMG]


    อาทิตย์อัสดงเย็นย่ำค่ำพลบ นางหลู เฟิงจู อายุ 55 ปี เกษตรกรชาวเมืองเฉิงหนิง มณฑลยูนนาน แดนดินถิ่นมังกรจีน ได้เวลาต้อนฝูงกระบือกลับบ้าน

    ขณะเตรียมตัวคืนสู่เหย้านางโดนหมีดำตัวเบ้อเร่อยืนจังก้าจ้องเล่นงาน เจ้าสัตว์หน้าขนย่างสามขุมเข้าหาอาซิ้มหลู ไม่ต้องบอกย่อมรู้มันหวังดีหรือประสงค์ร้าย "อั๊วกะลังเก็บรวบรวมคันไถและเครื่องมือทำนา อั๊วได้ยินเสียงโฮกฮื่อ ครั้นเงยหน้าขึ้น โอ๊ย!!...พ่อแก้วแม่แก้ว อั๊วเห็นหมีดำปื้อยืนจังก้าตรงหน้า อั๊วแทบช็อกสิ้นสติ" นางหลูบอกนักข่าว นสพ.ฉุนเชง อีฟนิ่ง โพสต์

    เจ้าหมีป่าเงื้ออุ้งตีนตะปบหน้าป้าหลูอย่างแรงจนล้มทั้งยืน เธอพยายามตะเกียกตะกายคลานสี่ตีนหนี ปากร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลยสักคน

    ซ้ำร้ายหมีไล่บี้จี้ประกบติด คร่อมร่างเหยื่อไว้ อุ้งตีนหน้าสองข้างตะครุบขาขวานางหลู มันอ้าปากแยกเขี้ยวขาววับเหมือนประกาศชัยชนะและเตรียมขม้ำ "ตอนนั้นอั๊วคิดว่าตัวเองซี้แหงตายแล้ว แต่ยิ่งกว่าพระเจ้ามาโปรด...ทันใดนั้น กระบือทั้งห้าตัวที่เล็มหญ้าอยู่ใกล้ๆ นำโดยจ่าฝูงวิ่งปุเลงๆ เข้าชาร์จขับไล่หมีแบบแท็กทีม อั๊วรอดพ้นกรงเล็บและเขี้ยวหมีดุจปาฏิหาริย์"

    น่าอัศจรรย์ใจยิ่งคือ คุณทุยตีวงล้อมเจ้าของไว้ จ่าฝูงขวิดหมีเผ่นหนีเข้าป่า แต่ไม่วายส่งเสียงขู่คำรามด้วยความแค้น "ถ้าไม่ได้ฝูงควายช่วยอั๊วซี้ม่องเท่งแน่ อายุ 55 ปี จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนสู้หมี"

    เมื่อชาวบ้านไปพบ ฝูงควายยังตีวงล้อมเจ้านายซึ่งบาดเจ็บเลือดโชก...ใครว่าควายโง่ฮึ!?


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ
    [​IMG]
    โดย ดอย ดอกฝิ่น
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ตไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ความหมายของชีวิตอยู่ที่การเลือก
    http://www.first-mag.com/showstory.php?volume=20&storyid=591



    [​IMG]


    ข่าวสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 15 ก.ค. 2551 ถึง นายนรินทร์ และนางพิมพลักษณ์ อาจารย์โรงเรียนบางบัวหิน พ่อและแม่ของ ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ หรือ หมวดตี้ ซึ่งถูกคนร้ายซุ่มยิงเสียชีวิต ขณะออกลาดตระเวนคุ้มครองครูตามถนนสายเขื่อนบางลาง บ้านสันติ 1 หมู่ 2 ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จ.ยะลา

    ในพระราชหัตถเลขา ได้ทรงกล่าวถึง ร.ต.ต.กฤตติกุล คือลูกไทยผู้มั่นในความซื่อตรง จงรักภักดีต่อประเทศชาติ นับเป็นโชคดีเหลือล้นที่ประเทศไทยมีผู้กล้าหาญที่ไม่คิดหลบหนีเมื่อมีภัยมาถึงบ้าน แต่กลับเลือกที่จะไปเสี่ยงชีวิตอยู่ในดินแดนอันตราย เพื่อให้พี่น้องชาวไทยส่วนใหญ่อยู่รอดปลอดภัย

    เมื่อผมได้อ่านข่าวนี้ ทำให้ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต ว่าจริงๆ แล้วอยู่ที่การกระทำของเรานี่เอง ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ ได้เลือกไปประจำการที่ จ.ยะลา เพื่อปฏิบัติหน้าที่รักษาแผ่นดิน ตามอุดมการณ์ของเขา โดยมิได้หวั่นเกรงต่อภัยอันตราย หมวดตี้ต้องการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีความหมายและมีคุณค่าต่อประชาชนที่ตกอยู่ในพื้นที่อันตราย

    แต่น่าเสียดายอีกเช่นกัน ที่นักการเมืองบ้านเราจำนวนไม่น้อยกลับเลือกที่จะดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เพื่อประโยชน์พวกพ้อง เพื่อประโยชน์ส่วนตนมากกว่าเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ยังบริหารประเทศอย่าง แสวงหา มากกว่า เสียสละ คุณค่าของชีวิตจึงมิได้อยู่ที่ว่า คุณเป็นใคร เขาเป็นใคร เป็นมหาเศรษฐีหรือคนจน เป็นนักการเมืองที่มีอำนาจวาสนา หรือเป็นทหารผู้น้อย เป็นรัฐมนตรีที่มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตหรือประชาชนคนเดินดิน คุณค่าของชีวิตจึงอยู่ที่เราได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับผู้อื่น ให้กับสังคม ส่วนรวมมากน้อยแค่ไหน

    สาว first เช่นกัน หากต้องการให้คนรักเห็นคุณค่า หากต้องการให้เจ้านายยอมรับ อยากให้ลูกน้องนับถือ ความหมายของชีวิตจึงอยู่ที่การเลือก เลือกที่จะคิด เลือกที่จะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อครอบครัวและต่อองค์กรของเรานั่นเอง
    วรพันธ์ โลกิตสถาพร<O:p</O:p
    worapan@first-mag.com<O:p</O:p
    <O:p
    </O:p</O:p
    <O:p
    [​IMG]</O:p
    <O:p
    </O:p
    เคล็ดลับการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง
    <O:p</O:p
    ทุกคนล้วนต้องการให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับจากบุคคลใกล้ชิด จากญาติสนิทมิตรสหาย อยากให้สังคมยกย่องเชิดชู จุดเริ่มต้นต้องรู้จักการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองเสียก่อน สร้างคุณค่าจากภายในสู่ภายนอกด้วยหลักง่ายๆ

    1. ต้องให้ความสำคัญกับเวลา <O:p</O:p
    ทุกคนล้วนมีเวลาเท่ากัน แต่เชื่อเถอะว่า แต่ละคนมักคิดว่าเวลาของเราเป็นของฟรี จึงปล่อยให้เวลาเสียทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่เห็นความสำคัญ คนที่ต้องการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง จำต้องให้ความสำคัญกับเวลา จะใช้เวลาที่มีอยู่เท่าๆ กันให้ได้ประโยชน์มากกว่าผู้อื่นได้อย่างไร และที่สำคัญการตรงต่อเวลาจะบอกว่าคุณเป็นคนมีลักษณะนิสัยเช่นไร ให้คุณค่ากับเวลาของผู้อื่นมากน้อยแค่ไหน

    2. ตั้งใจพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง <O:p</O:p
    ใช้ชีวิตในทางที่ถูกที่ควร มุ่งมั่นทำดีหลีกหนีสิ่งร้าย อย่าเห็นว่า แค่ความดีเพียงเล็กน้อยจึงไม่ลงมือทำ ไม่สะสมก้าวหนึ่งไหนเลยจะถึงพันลี้ ไม่ลงมือฝึกไหนเลยจะทำเป็น

    3. มองโลกในแง่ดี มองเห็นผู้อื่นสำคัญ <O:p</O:p
    หากเราต้องการให้ผู้อื่นเคารพนับถือเรา เราต้องให้ความเคารพนับถือผู้อื่นก่อน เปิดใจให้กว้างรับฟังผู้อื่นทุกความเห็น อาจให้ข้อคิดมองทั้งแง่บวกและแง่ลบ ในอุปสรรคอาจแฝงไว้ด้วยโอกาส

    4. ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น สร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคม <O:p</O:p
    ยิ่งช่วยเหลือผู้อื่นยิ่งมีคุณค่า ทำคุณประโยชน์มากคุณค่าย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ต่างกับคนที่มุ่งหาผลประโยชน์ส่วนตน เอารัดเอาเปรียบสังคม แม้จะร่ำรวยมหาศาล แต่เมื่อความจริงปรากฏ ย่อมเต็มไปด้วยคำนินทาสาปแช่ง
    <O:p</O:p
    อยู่อย่างมีคุณค่า สร้างครอบครัวอบอุ่น<O:p</O:p
    หากจะใช้ชีวิตในบ้านอย่างมีคุณค่า ต้องเอาบ้านเป็นศูนย์กลาง เอาวิถีครอบครัวเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าพื้นฐานอาชีพของครอบครัวที่แตกต่าง จะทำให้ไลฟ์สไตล์แตกต่างกันไป อาทิ ครอบครัวที่มีผู้นำเป็นนักธุรกิจทำการค้า ย่อมแตกต่างกับครอบครัวที่มีรายได้จากการเป็นลูกจ้าง
    ในสมัยที่ผมยังเด็ก ที่บ้านเป็นร้านค้าที่ต้องเปิดค้าขายตั้งแต่เช้าประมาณ 7 โมงเช้า ขณะที่เด็กๆ คนอื่นในบ้านยังไม่ตื่นหรือไม่พร้อม ผมจะตื่นแต่เช้าเสมอทุกวัน ตั้งแต่วันจันทร์ยันวันอาทิตย์ ลุกขึ้นมาทำกิจส่วนตัวให้เรียบร้อย 7 โมงเช้าพร้อมเปิดร้านและช่วยเหลือค้าขาย

    สิ่งที่ผมรู้สึกสนุกมากในเวลานั้นก็คือ การพยายามเรียนรู้สินค้าต่างๆ จดจำเทคนิคการขายของ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับตัวเองด้านการค้า ให้ความสำคัญกับลูกค้าทุกราย แม้บางรายอาจเข้ามาสอบถามราคาเพื่อตรวจสอบราคาจากหลายๆ ร้านค้า แต่ก็ไม่เคยทำกิริยาไม่ดี เพราะเรามองโลกในแง่ดีว่า ลูกค้าย่อมต้องการสินค้าที่คุ้มค่าคุ้มราคา ถ้าเราขายของดีราคาคุ้มค่า ย่อมหมายถึงโอกาสที่เราจะได้ลูกค้าใหม่ๆ

    แม้ช่วงค่ำที่มิได้ช่วยค้าขาย แต่หากมีงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ก็ลงมือช่วยเหลือ เมื่อถึงช่วงเวลาที่มีครอบครัวของตัวเอง ก็ยังถือปฏิบัติตื่นเช้าช่วยงานบ้าน โดยมิได้ถือหลักว่าเป็นผู้นำครอบครัว จะทำงานแม่บ้านไม่ได้
    การช่วยเหลือเกื้อกูลภายในครอบครัว จึงเป็นวิธีการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง และทำให้คนใกล้ชิดเห็นเราสำคัญตลอดมา ที่สำคัญยังเป็นแบบอย่างให้ลูกๆ เด็กรุ่นใหม่ได้เห็นการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเป็นสุข

    <O:p</O:p
    สร้างองค์กรให้ก้าวหน้า ชีวิตก็ก้าวไกล<O:p</O:p
    การทำงานนั้นมีมิติสัมพันธ์ที่ต่างไปจากความสัมพันธ์ในครอบครัว ลูกจ้างทำงานเพื่อหวังค่าตอบแทนจากการทำงาน ในขณะที่การช่วยเหลือเกื้อกูลในครอบครัวผูกพันด้วยสายใยแห่งความรักความห่วงใย
    การอยู่ในองค์กรอย่างมีคุณค่าจึงอยู่ที่เราจะสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้มากน้อยแค่ไหน หากทำได้ดังที่จะกล่าวต่อไป เชื่อว่าผลลัพธ์ที่ได้จะมากทั้งปริมาณและคุณภาพตามที่องค์กรต้องการ

    1. ทำงานด้วยความขยันทุ่มเท <O:p</O:p
    นั่นคือ เวลาทำงานทุกชั่วโมงทุกนาทีนั้นทำงานอย่างเต็มกำลังสุดความสามารถ มิได้ปล่อยให้เวลานั้นเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ และให้ความสำคัญกับการทำงานให้สำเร็จภายในเวลาที่กำหนด

    2. ยกระดับทักษะ<O:p</O:p
    หมั่นเรียนรู้พัฒนาตนเองให้มีความรู้ความชำนาญสูงขึ้นในงานที่ได้รับมอบหมาย ในขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยโอกาสที่จะเรียนรู้งานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพราะจะทำให้เรารู้มากขึ้นทั้งอย่างเจาะลึกและหลากหลาย

    3. ให้เกียรติองค์กร ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน และลูกค้า <O:p</O:p
    ให้เกียรติองค์กรโดยการเชื่อมั่นในองค์กรที่เราอยู่ และประพฤติปฏิบัติตนตามระเบียบข้อบังคับการทำงานที่เปรียบเสมือนกฎการอยู่ร่วมกัน ให้เกียรติผู้บังคับบัญชาด้วยการเชื่อฟังคำสั่ง และปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มใจ และให้เกียรติเพื่อนร่วมงานและลูกค้าด้วยการให้ความช่วยเหลือ แนะนำ บริการด้วยใจ ไม่คิดปฏิเสธหลีกหนี
    <O:p</O:p
    4. เสนอความช่วยเหลือกิจกรรมพิเศษอื่นๆ ที่องค์กรได้จัดขึ้น <O:p</O:p
    ทั้งที่เกี่ยวกับงานและที่ไม่เกี่ยวกับงาน เช่น กิจกรรมสันทนาการทั้งหลาย การฝึกเป็นผู้ให้โดยไม่คาดหวังผลตอบแทนใดๆ จะทำให้จิตใจเรานั้นเบิกบาน ผลแห่งความดีที่สะสมจะทำให้องค์กร ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงานเห็นความสำคัญ เห็นคุณค่าในตัวเรา ก่อให้เกิดการยอมรับ เป็นการสร้างอำนาจบารมีที่สะสมอย่างค่อยเป็นค่อยไป

    <O:p</O:p
    <O:p[​IMG]</O:p
    <O:p</O:p
    Work Tips<O:p</O:p

    11 วิธีทำงานอย่างมีความสุข

     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    10 วิธีถนอมสายตาหน้าจอคอมพิวเตอร์
    http://www.first-mag.com/showstory.php?volume=20&storyid=589



    [​IMG]


    1. ควรเลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา
    วิธีทดสอบง่ายๆ ทำได้โดยลองปิดสวิตช์จอภาพ แล้วเอามือหรือแขนไปจ่อไว้ใกล้ๆ จอภาพให้มากที่สุด จอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่ผิว คือไม่รู้สึกขนลุก

    2. ปรับแสงและความคมชัดของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตา
    รวมทั้งความสว่างภายในที่ทำงาน ลดแสงสะท้อนรบกวน เช่น ปิดไฟดวงที่สะท้อนจ้าลงบนจอคอมพิวเตอร์ หากทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้าและจอภาพมีความสว่างมาก ก็จะยิ่งส่งผลเสียต่อดวงตาได้ง่ายและรวดเร็ว จะรู้สึกว่ามีอาการปวดร้าวดวงตาเร็วและแสบตาอย่างรุนแรง

    3. ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาประมาณ 18-24 นิ้ว
    หรือประมาณช่วงแขนเอื้อม และปรับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15-20 องศา หากระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย

    4. ใช้แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
    แม้ว่าจะช่วยลดการกระจายรังสีจากจอคอมพิวเตอร์ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วแต่คุณภาพของสินค้า แต่อย่างน้อยๆ ก็ช่วยลดแสงจ้าจากจอคอมพิวเตอร์ลงได้

    5. ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ
    เพราะฝุ่นจะทำให้เกิดการสะท้อนแสงมากขึ้น

    6. หยุดพักหรือเปลี่ยนตารางเวลาการทำงานใหม่
    จะช่วยให้สายตาคลายความเมื่อยล้าจากการจ้องเพ่งคอมพิวเตอร์ได้ จงหยุดพักสายตาครั้งละ 15 นาทีทุกๆ 2 ชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็แนะนำว่าควรจะหยุดพักบ่อยๆ โดยแต่ละครั้งใช้เวลาเพียงเล็กน้อย เช่น พักสายตาทุก 30 นาที โดยหลับตาหรือมองไปไกลๆ สัก 5-10 นาที แล้วจึงเริ่มทำงานต่อไป ก็จะช่วยถนอมสายตาได้

    7. อาจใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ วางไว้บนเปลือกตา
    และหลับตาสัก 2-3 นาที หรือจะให้ดีกว่านั้นก็คือ ปิดไฟ นอนพักสักครู่ (ถ้าไม่มีปัญหากับหัวหน้างาน)

    8. ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ อาจจะเกิดอาการตาแห้งเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง
    เพราะห้องที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ก็มักจะมีเครื่องปรับอากาศอยู่ด้วย เมื่อบวกกับความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำให้อากาศแห้ง การหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยได้

    9. ควรกะพริบตาให้บ่อยครั้งกว่าปกติ
    เพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ ภายใน 10 วินาที ลองพยายามกะพริบตาสัก 1-2 ครั้ง จะช่วยลดความอ่อนล้าของสายตาได้มาก

    10. ตรวจสุขภาพตาบ่อยๆ
    ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ และมีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ ควรตรวจเช็กสุขภาพตาบ้าง
     

แชร์หน้านี้

Loading...