พระพุทธศาสนา...พระโบราณ...พระในตำนาน...

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย บรรพชนทวา, 12 กันยายน 2012.

แท็ก: แก้ไข
  1. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล420

    บรรพชนทวา
     
  2. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล421

    บรรพชนทวา
     
  3. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล422

    บรรพชนทวา
     
  4. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล423

    บรรพชนทวา
     
  5. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล424

    บรรพชนทวา
     
  6. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล425

    บรรพชนทวา
     
  7. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล426

    บรรพชนทวา
     
  8. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล427

    บรรพชนทวา
     
  9. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล428

    บรรพชนทวา
     
  10. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล429

    บรรพชนทวา
     
  11. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล430

    บรรพชนทวา
     
  12. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    คาถา "เย ธัมมา..." หัวใจหลักของพระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ

    มีเรื่องเล่ามาว่า ที่ใกล้กรุงราชคฤห์ มีหมู่บ้านพราหมณ์อยู่ 2 หมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านทั้งสองได้เป็นมิตรสหายสนิทสนมกันมาช้านาน และต่างก็มีบุตรชาย หัวหน้าพราหมณ์ หมู่บ้านหนึ่ง มีบุตรชายชื่อ อุปติสสะ อีกหมู่บ้านหนึ่งหัวหน้าพราหมณ์ก็มีบุตรชายเหมือนกัน ชื่อ โกลิตะ

    อุปติสสะ และ โกลิตะ ได้คบหากันเป็นเพื่อนสนิท เล่าเรียนวิชาทางลัทธิพราหมณ์มาด้วยกัน แต่ก็มีความรู้สึกว่าแนวทางสั่งสอนของสำนักพราหมณ์ต่างๆ นั้น หาใช่ทางแห่งความหลุดพ้นอย่างแท้จริงไม่

    ทั้งสองคนจึงต่างออกแสวงหาศาสดา ที่สอนโมกขธรรมคือธรรมที่เป็น เครื่องหลุดพ้น โดยให้คำมั่นสัญญากันว่า เมื่อฝ่ายใดสามารถได้พบศาสดาที่สอนธรรมเช่นนั้นได้ก่อน ก็ต้อง กลับมาบอกอีกฝ่ายหนึ่งให้ทราบด้วย จะได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์พร้อมกัน

    วันหนึ่ง อุปติสสะมาณพ ได้ไปพบ พระอัสสชิ ซึ่งเป็นภิกษุองค์หนึ่งในปัญจวัคคีย์ ซึ่งเป็นปฐมสาวกของพระพุทธองค์

    ขณะนั้นพระอัสสชิกำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในกรุงราชคฤห์ อุปติสสะเห็นกิริยาสำรวม และสงบของพระอัสสชิ ก็เกิดความสนใจและเลื่อมใส

    อุปติสสะจึงเดินตามพระอัสสชิ จนท่านบิณฑบาตเสร็จ กลับไปฉันเรียบร้อยแล้ว จึงได้ช่องเข้าไปถามว่า ท่านบวชกับใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน

    พระอัสสชิตอบว่า พระศาสดาของท่านคือพระสมณโคดม ซึ่งอยู่ในวงศ์ศากยะ ได้เสด็จทรงผนวชจนตรัสรู้โดยพระองค์เอง อุปติสสะจึงถามต่อไปว่า พระสมณโคดม ศาสดาของท่าน สอนธรรมอะไรเป็นสำคัญ ขอให้แสดงธรรมะนั้นให้ฟัง

    พระอัสสชิกล่าวถ่อมตนว่า ท่านเพิ่งเข้ามาบวช ยังไม่อาจแสดงหลักธรรมได้กว้างขวางมากนัก ได้แต่กล่าวอย่างย่อๆ อุปติสสะ ก็บอกว่าไม่ต้องแสดงหลักธรรมให้ยืดยาวเยิ่นเย้อหรอก เอาแต่แค่ใจความก็พอแล้ว! พระอัสสชิ จึงกล่าวเป็นคาถาสั้นๆ รวมสี่บาท ความว่า :

    เย ธัมมา เหตุปัปภวา ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ
    เตสัง เหตุ ตถาคโต พระตถาคตเจ้า ตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้น
    เตสัญจะ โย นิโรโธ จะ และความดับของธรรมเหล่านั้น
    เอวัง วาที มหาสมโณ ติ พระมหาสมณะ มีวาทะตรัสไว้ดังนี้

    พระอัสสชิถ่อมตนว่าบวชใหม่ รู้น้อย แต่สามารถสรุปหัวใจของอริยสัจได้ในคาถาเพียงสี่บาทเท่านั้น แสดงว่าพระปัญจวัคคีย์รูปนี้เป็นผู้รู้จริง รู้ลึกถึงแก่นของหลักอริยสัจทีเดียว

    ฝ่ายอุปติสสะ ได้ฟังคาถาที่พระอัสสชิกล่าวแล้ว ก็เกิดดวงตาเห็นธรรม(บรรลุเป็นพระอริยะโสดาบัน) มองเห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลายมีความเกิดเป็นธรรมดา แต่สรรพสิ่งเหล่านี้ล้วนมีความดับสูญเป็นธรรมดาเช่นกัน

    อุปติสสะจึงกลับไปหาเพื่อนที่ชื่อ โกลิตะ ตามที่สัญญากันไว้ บอกเพื่อนว่าได้พบศาสดาผู้ล่วงรู้อมตธรรมแล้ว

    มาณพทั้งสองจึงพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แถมยังพาบริวารของตนมีจำนวน 250 คนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วย ทั้งหมดได้ทูลขออุปสมบท พระพุทธเจ้าก็ประทานให้อุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา คืออุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธองค์

    มาณพทั้งสองรวมทั้งบริวาร เมื่อได้อุปสมบทแล้ว และได้บำเพ็ญเพียร ไม่ช้านักก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด

    พระอุปติสสะ รู้จักในวงการพระพุทธศาสนาว่า พระสารีบุตร คือเรียกขานท่านตามชื่อของมารดา คือเป็นบุตรของนางสารีพราหมณี จึงชื่อว่าสารีบุตร หรือผู้เป็นบุตรของนางสารีนั่นเอง

    ส่วนพระโกลิตะ ก็เช่นเดียวกันในทางพระพุทธศาสนาเรียกท่านว่า พระโมคคัลลานะ ตามชื่อของมารดาท่านเช่นกัน แปลว่าบุตรของนางโมคคัลลีพราหมณี

    พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ว่า เป็นอัครสาวก พระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ทรงยกย่องว่าเป็นเลิศในทางมีปัญญามาก ส่วนพระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ทรงยกย่องว่าเป็นเลิศในทางมีฤทธิ์มาก

    ในสมัยต่อมาเมื่อสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ อย่างเช่นพระประธานในพระอุโบสถ หรือในพระวิหาร จึงนิยมสร้างรูปพระอัครสาวกทั้งคู่ ให้ยืนหรือให้นั่งอยู่สองข้างพระประธานด้วยกัน พระอัครสาวกที่ สร้างขึ้นนั้นมีสองรูป คือพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ แต่ทั้งสองรูปมีร่างเหมือนกัน

    การสังเกตว่าพระอัครสาวกเป็นรูปใด ก็ให้สังเกตว่าเบื้องขวาของ พระประธาน คือพระสารีบุตรเถระ ส่วนด้านซ้ายของพระประธานคือพระโมคคัลลานะเถระ ต้องสังเกตด้วย ว่าเมื่อเราหันหน้ากราบพระประธานนั้น ก็ต้องกลับกัน ด้านซ้ายของตัวเราคือพระสารีบุตร ส่วนด้านขวาของเราคือพระโมคคัลลานะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2012
  13. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ส่วนคาถา เย ธมฺมา ซึ่งพระอัสสชิ กล่าวแก่ อุปติสสะมาณพนั้น เป็นการกล่าวสรุปในหลักธรรมสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา คือ อริยสัจ

    อริยสัจมีสี่ประการ ประการแรก ได้แก่ ทุกข์ ซึ่งเป็น ผล ประการที่สอง ได้แก่ สมุทัย ได้แก่ เหตุให้เกิดทุกข์ จึงเป็น เหตุ ที่ทำให้เกิด ผล คือ ทุกข์ ในประการแรก ประการที่สาม คือ นิโรธ คือความดับทุกข์ ซึ่งเป็น ผล ทำให้ทุกข์นั้นดับสิ้นไป และประการที่สี่ซึ่งเป็นประการสุดท้าย คือ มรรค เป็นข้อปฏิบัติให้เกิดความดับทุกข์ นับว่าเป็น เหตุ อีกเหมือนกัน

    เมื่อนำหลักอริยสัจสี่ประการนี้ เข้ามาพิจารณาตัวคาถา เย ธมฺมา จะเป็นดังนี้

    คาถาบาทที่หนึ่ง เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา มีความว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ ก็หมายถึง ทุกข์ ซึ่งเป็น ผล อันเกิดจาก เหตุ ดังกล่าว

    คาถาบาทที่สอง เตสํ เหตุ ตถาคโต มีความว่า พระตถาคตตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้น นี่ก็คือเรื่อง สมุทัย ซึ่ง เหตุ เป็นอริยสัจข้อที่สอง

    คาถาบาทสาม เตสญฺจ โย นิโรโธ จ มีความว่า และความดับของธรรมเหล่านั้น ก็คือพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเรื่อง นิโรธ และ มรรค ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติอันเป็น ผล นำไปสู่ให้ถึงความดับทุกข์ในที่สุด

    ส่วนคาถาบาทสุดท้าย เอวํ วาที มหาสมโณ ติ ความว่า พระมหาสมณะมีวาทะไว้อย่างนี้ ก็คือ พระพุทธองค์ได้ ตรัสสั่งสอนไว้เช่นนี้

    อันที่จริง คาถา เย ธมฺมา ซึ่งพระอัสสชิกล่าวนี้ มิได้หมายเฉพาะแต่เรื่องอริยสัจสี่เท่านั้น แต่ยังหมายถึงหลักธรรมทั่วไปของพระพุทธศาสนาอีกด้วย

    หลักธรรมของพระพุทธศาสนาโดยทั่วไป ได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง เหตุ กับผล ผล ที่ดีต่างๆ ล้วนเกิดจาก เหตุ ที่ดีทั้งนั้น ซึ่งจะเรียกว่า บุญ หรือกุศลกรรมก็ได้ ส่วน ผล ที่ไม่ดีต่างๆ ก็ล้วนเกิดจาก เหตุ ที่ไม่ดี คือบาป หรืออกุศลกรรมนั่นเอง

    พระพุทธองค์จึงได้ทรงชี้ให้เห็นว่า เหตุ ที่ดี คือ บุญหรือกุศลกรรมย่อมมี ผล ในทางที่ดี ส่วน เหตุ ที่ไม่ดี คือ บาปหรืออกุศลกรรม ก็ย่อมมี ผล ในทางตรงข้าม

    นอกจากนั้นยังตรัสชี้ เหตุคือทำความดี คือทำบุญหรือกุศลกรรม เพื่อให้เกิดผลที่ดีแก่ตัวผู้ปฏิบัติเอง ในทำนองเดียวกัน เหตุคือทำความไม่ดี คือทำบาปหรืออกุศลกรรม ก็ย่อมนำผล ร้ายมาสู่ชีวิตของผู้ปฏิบัติเองเช่นกัน

    พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่ไม่ได้สอน ให้คนหวังความช่วยเหลือเอื้ออำนวยจากพลังภายนอก หรือพลังเหนือ ธรรมชาติ ในรูปใดๆก็ตาม

    แต่สอนให้เชื่อมั่นในหลัก “กรรม”คือการกระทำของตนเอง ถ้าทำดี ก็ย่อมได้ผลที่ดี ตรงกันข้าม ถ้าทำชั่วทำเลว ก็ย่อมได้รับผลร้ายหรือผลไม่ดีเอง!

    คาถา เย ธมฺมา ซึ่ง พระอัสสชิ กล่าวนั้น จึงเป็นการกล่าวคาถาสรุป รวมยอดของพุทธธรรมเดียว(หัวใจพุทธศาสนา)

    ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงโปรดให้สลักแท่งศิลาจารึกคาถาบทนี้ไว้มากมาย ต่อมามีผู้ขุดค้นพบหลักศิลาจารึกดังกล่าวนี้อยู่ทั่วไปในชมพูทวีป แสดงว่าพระเจ้าอโศกมหาราชทรงเลื่อมใสในคาถา เย ธมฺมา บทนี้ ว่าเป็นคาถาซึ่งสรุปหัวใจพระพุทธศาสนาไว้อย่างรัดกุมทีเดียว

    ต่อมาในสมัยทวารวดีได้ขุดพบธรรมจักร พระพิมพ์ มีการจารึก คาถา เย ธมฺมา เป็นการสร้างอุทิศเพื่อมรรคผล และสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา(หม่อมเจ้าภัทรดิส ดิสกุล:ประวัติศาสตร์ศิลป์)

    มีเกร็ดเล่า เมื่อก่อสร้างโรงแรมอินทรา ที่บริเวณประตูน้ำ ผู้ลงทุนได้มาปรึกษาท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่าจะสร้างศาลพระพรหมอย่างโรงแรมอื่นเขาบ้างจะดีไหม?

    ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ได้แนะนำว่า ไม่ควรสร้างเทวรูปตามลัทธิพราหมณ์ แต่ควรสร้างเป็นศาลประดิษฐานรูปธรรมจักร ที่ฐานสลัก คาถา เย ธมฺมา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญทางพุทธศาสนาจะเหมาะสมกว่า! เชื่อว่าศาลที่มีรูปธรรมจักร และจารึกคาถาบทนี้ ก็คงยังตั้งอยู่ที่โรงแรมแห่งนั้น


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2012
  14. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    หนังสือ"ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น(ฌาน)" เล่ม ๒ ตีพิมพ์เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๑๕ จำนวน ๔,๐๐๐ เล่ม แปล และเรียบเรียงโดย "ธีรทาส"

    หลายท่านอาจจะมีความสงสัยว่า ทำไมคณะทำงานบรรพชนทวา ถึงหยิบเอาหนังสือเล่มนี้มาบรรจุไว้ในความเห็นของกระทู้"พระพุทธศาสนา...พระโบราณ...พระในตำนาน..."นี้ จึงขออธิบายด้วยการหยิบเอาคำนิยมของบุคคล ๒ ท่านในนิกายเซ็น คือนายแพทย์ ตันม่อเซี้ยง และคุณเสถียร โพธินันทะ มาให้ความกระจ่าง

    "นิกายเซ็น(ฌาน) เป็นสุญญตา คือโลกุตรธรรมมุ่งสอนแต่เรื่องจิตใจโดยตรง จะทำอย่างไร?ให้พ้นทุกข์ในดวงจิต เร็วที่สุดเท่าที่จะมีวิธีสอนให้ลัดตรงไปสู่จุดที่ต้องการทันที เท่านั้นเอง"...นายแพทย์ ตันม่อเซี้ยง

    "นิกายเซ็น(ฌาน) ก็คือ สุญญตา เป็นหลักธรรมที่สูงที่สุดในมหายาน คือตรงกันกับในพระไตรปิฎก เถรวาทเราก็คือ อนัตตา นั่นเอง"...คุณเสถียร โพธินันทะ

    ในคัมภีร์ลังกาวตารสูตร ได้กล่าวไว้ว่า
    "จิตเกิด สภาวะธรรมทั้งหลายก็เกิด
    จิตดับ สภาวะธรรมทั้งหลายก็ดับ"

    คัมภีร์วิมลเกียรตินิสเทศสูตร ก็ได้กล่าวไว้ว่า
    "จะไปเกิดในดินแดนบริสุทธิ์นั้น
    จิตจะต้องบริสุทธิ์ด้วย
    ถ้าผู้ใดจิตบริสุทธิ์
    พุทธเกษตรก็บริสุทธิ์"

    โศลกในคัมภีร์เซ็น(สุญญตา)ต่างๆนั้น ได้บันทึกไว้ว่า
    "บาปเกิดขึ้นที่ดวงจิต
    จะดับก็ต้องดับที่จิต
    บาปบุญมาจากจิต
    ฉะนั้นจิต คือพุทธะ"

    ทั้งนี้คณะทำงานบรรพชนทวาได้เลือกหยิบเอาเนื้อหาบางส่วนในหนังสือเล่มนี้ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยพระคัมภีร์ต่างๆจากประเทศอินเดียนั้นมีบันทึกจาก"ศิลาจารึกโศลก ปริศนาธรรมของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์" ซึ่งเป็นศิลาจารึกโศลกที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และหาอ่านได้ยากมาก หากเห็นว่าน่าสนใจคงต้องเสาะแสวงหามาอ่านกันในรายละเอียดอีกครั้ง...

    [​IMG]

    ศิลาจารึกแผ่นที่ ๑
    โศลก พระพุทธเจ้า วิปัสสิน

    "กายตามไม่มีลักษณะในเวทนาเกิด
    ดุจดังมายาแสดงออกทุกๆรูปภาพ
    มายาชนจิต และวิญญาณเดิมมาไม่มี
    บาป และบุญทั้งปวงว่าง ไม่มีที่อยู่"
    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2012
  15. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ศิลาจารึกแผ่นที่ ๒
    โศลก พระพุทธเจ้า สิขิน

    "เริ่มทุกๆกุศลกรรม เดิมเป็นมายา

    สร้างทุกๆอกุศลกรรม ก็เป็นมายา
    กายเหมือนฟองน้ำ จิตเหมือนลม
    มายาแสดงออกไม่มีราก ไม่มีสัจนิสัย"

    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2012
  16. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ศิลาจารึกแผ่นที่ ๓
    โศลก พระพุทธเจ้า เวสสภู

    "อาศัย ๔ มหาภูตรูป ใช้ทำกาย

    จิตเดิมไม่มีเกิด เหตุสภาวะจึงมี
    ปัจจุบันสภาวะถ้าไม่มี จิตก็ไม่มี
    บาป และบุญเหมือนมายา เกิดก็ดับ"
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2012
  17. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ศิลาจารึกแผ่นที่ ๔
    โศลก พระพุทธเจ้า กกุสันธ

    "เห็นกายไม่มีแท้ เป็นพุทธกาย

    รู้จิตเหมือนมายา เป็นพุทธมายา
    รู้ได้ว่ากาย และจิตเดิมนิสัยว่าง
    บุคคลนี้กับพุทธะ อะไรแตกต่างกัน"


    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2012
  18. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ศิลาจารึกแผ่นที่ ๕
    โศลก พระพุทธเจ้า โกนาคมน

    "พุทธะไม่เห็นกาย รู้เป็นพุทธะ
    ถ้าหากว่ามีรู้ ต่างก็ไม่มีพุทธะ
    ปัญญาที่สามารถรู้บาปนิสัยว่าง
    ฉะนั้นไม่หวาดกลัวต่อเกิดตาย"
    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2012
  19. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ศิลาจารึกแผ่นที่ ๖
    โศลก พระพุทธเจ้า กัสสป

    "ทั้งปวงสรรพสัตว์จิตบริสุทธิ์
    ตามเดิมไม่เกิดไม่ได้ดับ
    คือกาย และจิตเป็นมายาเกิด
    มายาเปลี่ยนแปลงในนั้นไม่มีบาปบุญ
    "

    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2012
  20. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ศิลาจารึกแผ่นที่ ๗
    โศลก พระพุทธเจ้า ศากยมุนี

    "ธรรม เดิมธรรม ไม่มีธรรมะ
    ไม่มีธรรม ธรรม ก็ธรรมะ
    ปัจจุบันนี้ให้ไม่มีธรรมกาลเวลา
    ธรรม ธรรม อย่างไหนธรรมะ?"

    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...