พระพุทธศาสนา...พระโบราณ...พระในตำนาน...

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย บรรพชนทวา, 12 กันยายน 2012.

แท็ก: แก้ไข
  1. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ฐานะ ๕ อย่างอันใครๆในโลกนี้ย่อมไม่ได้x

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ (อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ๒๒/๖๒) อย่างอันใครๆในโลกนี้ มีสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม ย่อมไม่พึงถือได้ ฐานะ ๕ ประการนี้เป็นไฉน คือ
    ๑. ฐานะว่าขอสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราจงอย่าได้แก่เลย
    ๒. ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของเราจงอย่าได้เจ็บไข้เลย
    ๓. ขอสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาของเราจงอย่าได้ตายเลย
    ๔. ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของเราจงอย่าได้สิ้นไปเลย
    ๕. ขอสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของเราจงอย่าได้มีความฉิบหายไปเลย

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้แล อันสมณะ หรือพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆในโลกไม่พึงได้
    น โสจนาย ปริเทวนาย
    อตฺโถ อิธ ลพฺภติ อปิ อปฺปโกปี
    โสจนฺตเมน° ทุกฺขิต° วิทิตฺวา
    ปจฺจตฺถิกา อตฺตมนา ภวนฺติ
    ยโต จ โข ปณฺฑิโต อาปทาสุ
    น เวธติ อตฺถวินิจฺฉยญฺญู
    ปจฺจตฺถิกาสฺส ทุกฺขิตา
    ภวนฺติ ทิสฺวา มุข° อวิการ° ปุราณ°
    ชปฺเปน มนฺเตน สุภาสิเตน
    อนุปฺปทายน ปเวณิยา วา
    ยถา ยถา ยตฺถ ลเภถ อตฺถ°
    ตถา ตถา ตตฺถ ปรกฺกเมยย
    สเจ ปชาเนยฺย อลพฺภเนยฺโย
    มยา วา อญฺเญน วา เอส อตฺโถ
    อโสจมาโน อธิวาสเยยฺย
    กมฺม° ทฬฺห° กินฺติ กโรมิทานิฯ(อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ๒๒/๖๒)
    ประโยชน์แม้เล็กน้อยในโลกนี้อันใครๆไม่พึงได้ เพราะการเศร้าโศก เพราะการคร่ำครวญ เมื่อพวกอมิตรทราบว่าเขาเศร้าโศกเป็นทุกข์ย่อมดีใจ คราวใดบัณฑิตผู้พิจารณารู้เนื้อความ ไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหมด คราวนั้นพวกอมิตรเห็นหน้าอันไม่ผิดปกติของบัณฑิตนั้น ผู้แย้มยิ้มตามเคย ย่อมเป็นทุกข์ บัณฑิตพึงได้ประโยชน์ในที่ใดๆด้วยประการใดๆ เพราะการสรรเสริญ เพราะความรู้ เพราะกล่าวคำสุภาษิต เพราะการบำเพ็ญทาน หรือเพราะประเพณีของตน ก็พึงบากบั่นในที่นั้นๆด้วยประการนั้นๆ ถ้าพึงทราบว่า ความต้องการอย่างนี้อันเราหรือผู้อื่นไม่พึงได้แล้วไซร้ ก็ไม่ควรเศร้าโศก ควรตั้งใจทำงานโดยเด็ดขาดว่า บัดนี้เราทำอะไรอยู่ดังนี้


    ฐานะ ๕ ประการที่ทุกคนควรพิจารณาเนืองๆ

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ (อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ๒๒/๘๑) ประการนี้อันสตรี บุรุษคฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ คือ
    ๑. สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ บรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
    ๒. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
    ๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
    ๔. เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น
    ๕. เรามีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งพาอาศัย เราทำกรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม เราจะต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น


    ประโยชน์ที่พิจารณาฐานะ ๕ ประการ

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สตรี บุรุษ ฐานะ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ความมัวเมาในความเป็นหนุ่มเป็นสาว มีอยู่แก่หมู่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เมื่อเขาพิจารณาดังนี้แล้วอยู่เนืองๆ เขาย่อมละความมัวเมาในความเป็นหนุ่ม เป็นสาวนั้นได้โดยสิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร จึงควรพิจารณาเนืองๆว่าเรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ความมัวเมาในความไม่มีโรค มีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย ความมัวเมาในชีวิตมีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย ความพอใจ ความรักใคร่ในของรัก มีอยู่แก่หมู่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้หมู่สัตว์ทั้งหลาย ประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ ย่อมละความมัวเมาในความไม่มีโรค ย่อมละความมัวเมาในชีวิต ย่อมละความพอใจ ความรักใคร่นั้นได้โดยสิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจอะไร จึงควรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง เราทำกรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม เราจะต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต มีอยู่แก่หมู่สัตว์ทั้งหลาย เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ ย่อมละทุจริตได้โดยสิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้(อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ๒๒/๘๑)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2013
  2. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    กุลบุตรผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมมีแต่ความความเจริญส่วนเดียวไม่มีเสื่อมx

    ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสแก่มหานามะว่า ธรรม ๕ ประการนี้มีอยู่แก่กุลบุตรผู้ใดแล้วจะเป็นขัตติยราชได้รับมูรธาภิเษกแล้วก็ตาม เป็นผู้ปกครองรัฐ หรือได้รับมรดกจากบิดามารดาก็ตาม เป็นอัครเสนาบดีก็ตาม เป็นผู้ปกครองหมู่บ้านก็ตาม เป็นหัวหน้าพวกก็ตาม เป็นใหญ่เฉพาะตระกูลก็ตาม กุลบุตรนั้นย่อมได้รับความเจริญส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม ธรรม ๕ ประการนั้นเป็นไฉน

    ๑. ดูก่อนมหานาม กุลบุตรในโลกนี้ย่อมสักการะเคารพนับถือบูชามารดาบิดาด้วยโภคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความหมั่น ความขยันสะสมขึ้นด้วยกำลังแขนของตน ได้มาโดยอาบเหงื่อต่างน้ำชอบธรรม ได้มาโดยธรรม มารดาบิดาผู้ได้รับสักการะ เคารพนับถือบูชาแล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรนั้นด้วยน้ำใจอันงามว่า ขอจงมีชีวิตยืนนาน มีอายุยืนนาน กุลบุตรผู้อันมารดาบิดาอนุเคราะห์แล้วย่อมได้รับความเจริญส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม

    ๒. อีกประการหนึ่ง กุลบุตรย่อมสักการะเคารพนับถือบูชาบุตรภริยาทาส กรรมกร และคนใช้ด้วยโภคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความหมั่น ความขยันสะสมขึ้นด้วยกำลังแขนของตน ได้มาโดยอาบเหงื่อต่างน้ำชอบธรรม ได้มาโดยธรรม บุตรภริยาทาส กรรมกร และคนใช้ผู้ได้รับสักการะ เคารพนับถือบูชาแล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรนั้นด้วยน้ำใจอันงามว่า ขอจงมีชีวิตยืนนาน มีอายุยืนนาน กุลบุตรผู้อันบุตร ภรรยา ทาส กรรมกร คนใช้อนุเคราะห์แล้วย่อมได้รับความเจริญส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม

    ๓. อีกประการหนึ่ง กุลบุตรย่อมสักการะเพื่อนชาวนา และคนที่ร่วมงานด้วยโภคทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน เพื่อนชาวนา และคนที่ร่วมงานผู้ได้รับสักการะ เคารพนับถือบูชาแล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรนั้นด้วยน้ำใจอันงามว่า ขอจงมีชีวิตยืนนาน มีอายุยืนนาน กุลบุตรผู้อันเพื่อนชาวนา และคนที่ร่วมงานอนุเคราะห์แล้วย่อมได้รับความเจริญส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม

    ๔. อีกประการหนึ่ง กุลบุตรย่อมสักการะเคารพนับถือบูชาเทวดาผู้รับพลีกรรมด้วยโภคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความหมั่น ความขยันสะสมขึ้นด้วยกำลังแขนของตน ได้มาโดยอาบเหงื่อต่างน้ำชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เทวดาผู้รับพลีกรรม ครั้นได้รับสักการะ เคารพนับถือบูชาแล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรนั้นด้วยน้ำใจอันงามว่า ขอจงมีชีวิตยืนนาน มีอายุยืนนาน กุลบุตรผู้อันเทวดาอนุเคราะห์แล้วย่อมได้รับความเจริญส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม

    ๕. อีกประการหนึ่ง กุลบุตรย่อมสักการะเคารพนับถือบูชาสมณะพราหมณ์ด้วยโภคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความหมั่น ความขยันสะสมขึ้นด้วยกำลังแขนของตน ได้มาโดยอาบเหงื่อต่างน้ำชอบธรรม ได้มาโดยธรรม สมณะพราหมณ์เมื่อได้รับสักการะ เคารพนับถือบูชาแล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรนั้นด้วยน้ำใจอันงามว่า ขอจงมีชีวิตยืนนาน มีอายุยืนนาน กุลบุตรผู้อันสมณะพราหมณ์อนุเคราะห์แล้วย่อมได้รับความเจริญส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม(อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ๒๒/๘๘) แล้วตรัสว่า

    มาตาปิตุกิจฺจกโร...................ปุตฺตทารหิโต สทา
    อนฺโตชนสฺส อตฺถาย..............เย จสส อนุชีวิโน
    อุภินฺนญฺเญว อตฺถาย.............วทญฺญู โหติ สีลวา
    ญาตีน° ปุพฺพเปตาน°.............ทิฏฺเฐ ธมฺเม จ ชีวิต°
    สมณาน° พฺราหฺมณาน°.........เทวตานญฺจ ปณฺฑิโต
    วิตฺติสญฺชนโน โหติ...............ธมฺเมน ฆรมาวส°
    โส กริตฺวาน กลฺยาณ°...........ปุชฺโช โหติ ปส°สิโย
    อิเธว น° ปส°สนฺติ.................เปจฺจ สคฺเค ปโมทติฯ(อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ๒๒/๘๙)
    กุลบุตรผู้โอบอ้อมอารี มีศีล ย่อมทำการงานแทนมารดาบิดา บำเพ็ญประโยชน์แก่บุตรภริยา แก่คนภายในครอบครัว แก่ผู้อาศัยเลี้ยงชีพ แก่ชนทั้งสองประเภท กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตเมื่ออยู่ครองเรือนโดยธรรม ย่อมยังความยินดีให้เกิดขึ้นแก่ญาติ ทั้งที่ล่วงลับไปแล้ว ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ทั้งสมณะพราหมณ์ และเทวดา กุลบุตรนั้นครั้นได้บำเพ็ญกัลยาณธรรมนี้แล้วเป็นผู้ควรบูชา ควรสรรเสริญ บัณฑิตย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้ เขาละโลกนี้ไปแล้วย่อมบันเทิงใจในสวรรค์


    ภิกษุบวชเมื่อแก่หาคุณธรรม ๕ ประการนี้ยาก

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบวชเมื่อแก่ ผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ (อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ๒๒/๙๐) ประการนี้หาได้ยาก ธรรม ๕ ประการนี้เป็นไฉน ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบวชเมื่อแก่ ที่จะเป็นคนละเอียดนั้นหาได้ยากยิ่ง ๑ เป็นผู้มีมรรยาทสมบูรณ์หาได้ยาก ๑ ที่จะเป็นพหูสูตรก็หาได้ยาก ๑ ที่เป็นธรรมกถึกก็หาได้ยาก ๑ เป็นวินัยธรก็หาได้ยาก ๑

    อีกประการหนึ่ง ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบวชเมื่อแก่เป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการหาได้ยาก ธรรม ๕ ประการนี้เป็นไฉน ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบวชเมื่อแก่เป็นผู้ว่าง่าย หาได้ยาก เป็นผู้คงแก่เรียน หาได้ยาก เป็นผู้รับโอวาทด้วยการเคารพ หาได้ยาก เป็นธรรมกถึก หาได้ยาก เป็นวินัยธร หาได้ยาก

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบวชเมื่อแก่จักประกอบด้วยธรรม ๕ ประการเหล่านี้หาได้ยาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2013
  3. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ความเจริญ ๕ ประการเป็นสิ่งประเสริฐx

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้เจริญด้วยธรรม อันเป็นเหตุแห่งความเจริญ ๕ ประการได้ชื่อว่า เจริญด้วยธรรมเป็นเหตุ คือความเจริญอย่างประเสริฐชื่อว่าเป็นผู้ถือสาระ และยึดสิ่งที่ประเสริฐแห่งกาย ธรรมอันเป็นเหตุแห่งความเจริญนั้นเป็นไฉน คือย่อมเจริญด้วยศรัทธา ด้วยศีล สุตตะ จาคะ และปัญญา พระองค์ทรงตรัสว่า

    สทฺธาย สีเลน จ โย ปวฑฺฒติ
    ปญฺญาย จาเคน สุเตน จูภย
    โส ตาทิโส สปฺปุริโส วิจกฺขโณ
    อาทียติ สารมิเธว อตฺตโนฯ(อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ๒๒/๙๑)
    อริยสาวกผู้ใดย่อมเจริญด้วยศรัทธา ศีล สุตตะ จาคะ ปัญญา ทั้งสองฝ่าย อริยสาวกผู้เช่นนั้นเป็นสัปบุรุษ มีปรีชาเห็นประจักษ์ ชื่อว่าเป็นผู้ยึดถือเอาสาระแห่งตนในโลกนี้ไว้ได้ทีเดียว


    อิทธิบาทที่เจริญดีแล้วย่อมได้รับผล ๒ ประการ

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ และภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่งย่อมเจริญ ย่อมทำให้มาก ซึ่งธรรม ๕ ประการ ภิกษุ และภิกษุณีรูปนั้นพึงหวังได้ผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คืออรหัตผล หรือเมื่อมีอุปาทานขันธ์เหลืออยู่ย่อมเป็นพระอนาคามีในปัจจุบันชาตินี้เทียว ธรรม ๕ ประการนั้นเป็นไฉน คือ

    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเจริญอิทธิบาท ประกอบด้วยฉันทะสมาธิ และปธานสังขาร ๑ ย่อมเจริญอิทธิบาทที่ประกอบด้วยวิริยะสมาธิ และปธานสังขาร ๑ ย่อมเจริญอิทธิบาทประกอบด้วยจิตสมาธิ และและปธานสังขาร ๑ ย่อมเจริญอิทธิบาทที่ประกอบด้วยวิมังสาสมาธิ และปธานสังขาร ๑ ย่อมเจริญวิริยะอย่างยิ่งเป็นที่ ๕

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ หรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่งย่อมเจริญ ทำให้มากซึ่งธรรม ๕ ประการนี้แล้วภิกษุ หรือภิกษุณีรูปนั้นพึงหวังได้ผล ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คืออรหัตผล หรือเมื่อมีอุปาทานขันธ์เหลืออยู่ย่อมเป็นพระอนาคามีในปัจจุบันชาตินี้เทียว


    ธรรม ๕ ประการเมื่อเจริญแล้วย่อมยังอาสวะให้สิ้นไป

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ ธรรม ๕ ประการนั้นเป็นไฉน
    ๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่งามในกาย
    ๒. มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล
    ๓. มีความสำคัญว่าไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง
    ๔. พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง
    ๕. เข้าไปตั้งมรณะสัญยาไว้ในภายใน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2013
  4. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ที่ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรมนั้นอย่างไรx

    ครั้งหนึ่งพระภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญที่เรียกว่าผู้อยู่ในธรรม ผู้อยู่ในธรรมดังนี้ ภิกษุที่ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรมด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ย่อมเรียนธรรมะคือ สุตตะ เคยย เวยยากรณ์ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ เธอย่อมปล่อยให้วันคืนล่วงไปละจากการหลีกเร้น ไม่ประกอบความสงบในภายใน เพราะการเรียนธรรมนั้น ภิกษุนี้เรียกว่าเป็นผู้มากด้วยการเรียน ไม่ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรม

    ภิกษุย่อมแสดงธรรมตามที่ได้สดับมาแล้ว ตามที่ได้เรียนมาแล้วแก่ผู้อื่น โดยพิสดาร เธอย่อมปล่อยให้วันคืนล่วงไป ละเว้นจากการหลีกเร้นอยู่ ไม่ประกอบความสงบใจ เพราะการแสดงธรรมนั้น ภิกษุนี้เรียกว่าเป็นผู้มากด้วยการแสดงธรรม ไม่ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรม

    ภิกษุย่อมกระทำการสาธยายธรรมตามที่ได้สดับมาแล้ว ตามที่ได้เรียนมาแล้วโดยพิสดาร เธอย่อมปล่อยให้วันคืนล่วงไป ละเว้นจากการหลีกเร้น ไม่ประกอบความสงบใจในภายใน เพราะการสาธยายธรรมนั้น ภิกษุนี้เรียกว่าเป็นผู้มากด้วยการสาธยาย ไม่ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรม

    ภิกษุย่อมตรึกตาม ตรองตาม เพ่งตามด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้สดับมาแล้ว ตามที่ได้เรียนมาแล้ว เธอย่อมปล่อยให้วันคืนล่วงไป ละเว้นจากการหลีกเร้น ไม่ประกอบความสงบใจในภายใน เพราะการตรึกธรรมนั้น ภิกษุนี้เรียกว่าเป็นผู้มากด้วยการตรึกธรรม ไม่ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรม

    ส่วนภิกษุใดในธรรมวินัยนี้ย่อมเล่าเรียนธรรมะคือ สุตตะ เคยย เวยยากรณ์ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ เธอย่อมไม่ปล่อยให้วันคืนล่วงไป ไม่ละเว้นจากการหลีกเร้น หมั่นประกอบความสงบใจในภายใน เพราะการเล่าเรียนธรรมนั้น ภิกษุนี้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ในธรรมอย่างนี้แล

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราแสดงภิกษุผู้มากด้วยการเล่าเรียนธรรม แสดงภิกษุผู้มากด้วยการแสดงธรรม แสดงภิกษุผู้มากด้วยการสาธยายธรรม แสดงภิกษุผู้มากด้วยการตรึกธรรม แสดงภิกษุผู้อยู่ในธรรมด้วยประการฉะนี้

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย กิจอันใดพระศาสดาผู้หวังประโยชน์เกื้อกูลอนุเคระห์ อาศัยความเอ็นดู พึงกระทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจอันนั้นเราได้ทำแก่เธอทั้งหลายแล้ว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนต้นไม้ นั่นเรือนว่าง เธอจงเพ่งญานอย่าประมาท อย่าเป็นผู้มีความเดือดร้อนใจในภายหลัง นี้เป็นอนุสาสนีของเราเพื่อเธอทั้งหลาย


    ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ชื่อว่ายังความเสื่อมแก่ชนเป็นอันมาก

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นผู้ปฎิบัติในสิ่งที่มิใช่ประโยชน์ มิใช่เพื่อความสุข เพื่อความฉิบหายแก่คนเป็นอันมาก มิใช่เพื่อความเกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนั้นเป็นไฉน คือ
    ๑. ภิกษุผู้เถระเป็นรัตตัญญู บวชนาน
    ๒. เป็นผู้มีชื่อเสียง มียศ มีชนหมู่มากเป็นบริวาร ทั้งพวกคฤหัสถ์ และบรรพชิต
    ๓. เป็นผู้ได้จีวรบิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานะปัจจัยเภสัชชะบริขาร
    ๔. เป็นพหูสูตรทรงไว้ซึ่งสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับตรับฟังมามาก ทรงจำไว้คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดี ด้วยทิฏฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง
    ๕. เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริต เธอย่อมยังชนหมู่มากให้ห่างเหินจากสัทธรรม ให้ตั้งอยู่ในอสัทธรรม ชนหมู่มากทั้งหลายเหล่านั้นย่อมยึดถือทิฏฐานุคติของเธอว่าเพราะเธอเป็นภิกษุผู้เถระรัตตัญญู บวชนาน ดังนี้บ้าง เพราะเธอเป็นภิกษุผู้เถระมีชื่อเสียง มียศ มีชนหมู่มากเป็นบริวาร ทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิต ดังนี้บ้าง เพราะเธอผู้เถระได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานะปัจจัยเภสัชชะ บริขาร ดังนี้บ้าง เพราะเธอเป็นภิกษุผู้เถระ เป็นพหูสูตร ทรงไว้ซึ่งสุตะ สะสมสุตะ ดังนี้บ้าง

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เถระผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แลย่อมเป็นผู้ปฎิบัติเพื่อสิ่งที่มิใช่ประโยชน์ มิใช่เพื่อความสุข แต่เพื่อความฉิบหายแก่ตนเป็นอันมาก มิใช่เพื่อเกื้อกูล แต่เกิดทุกข์แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก


    ทรงตรัสยกย่องพระสารีบุตร

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พระสารีบุตรประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือย่อมยังธรรมจักรชั้นเยี่ยมที่ตถาคตได้เป็นไปแล้วให้เป็นไปตามโดยชอบเทียว ธรรมจักรนั้นย่อมเป็นจักรอันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆในโลกนี้จักคัดค้านไม่ได้ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
    ๑. อตฺถญฺญู พระสารีบุตรในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้รู้จักผล
    ๒. ธมฺมญฺญู รู้จักเหตุ
    ๓. มตฺตญฺญู รู้จักประมาณ
    ๔. กาลญฺญู รู้จักกาล
    ๕. ปริสญฺญู รู้จักบริษัท

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พระสารีบุตรประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมยังธรรมจักรชั้นเยี่ยมที่ตถาคตได้เป็นไปแล้วให้เป็นไปตามโดยชอบทีเดียว ธรรมจักรนั้นย่อมยังจักรอันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆในโลกจะคัดค้านไม่ได้


    พระสัทธรรมเสื่อมเพราะเหตุ ๕ ประการ

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือน เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ธรรม ๕ ประการนั้นเป็นไฉน
    ๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไม่ศึกษาเล่าเรียนธรรมะคือ สุตตะ เคยย เวยยากรณ์ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ
    ๒. ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่แสดงธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร
    ๓. ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่บอกธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร
    ๔. ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่ทำการสาธยายธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร
    ๕. ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่ตรึกครอง ไม่เพ่งดูด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาโดยพิสดาร

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แลย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือนเสื่อม เสื่อมสูญแห่งสัทธรรม


    ธรรมที่ระงับความอาฆาตได้มี ๕ ประการ คือ

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเป็นที่ระงับความอาฆาตซึ่งเกิดขึ้นแก่ภิกษุโดยประการทั้งปวง ๕ ประการนั้นเป็นไฉน คือ
    ๑. เมื่อความอาฆาตบังเกิดขึ้นแก่บุคคลใด พึงเจริญเมตตาในบุคคลนั้น
    ๒. ความอาฆาตบังเกิดขึ้นแก่บุคคลใด พึงเจริญกรุณาในบุคคลนั้น
    ๓. ความอาฆาตบังเกิดขึ้นแก่บุคคลใด พึงเจริญอุเบกขาในบุคคลนั้น
    ๔. ความอาฆาตบังเกิดขึ้นแก่บุคคลใด ไม่พึงนึกถึง ไม่พึงใฝ่ใจในบุคคลนั้น
    ๕. ความอาฆาตบังเกิดขึ้นแก่บุคคลใด พึงนึกถึงความเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตนให้มั่นในบุคคลนั้น ว่าท่านผู้นี้เป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง เขาทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2013
  5. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ลักษณะคำพูดที่เป็นสุภาษิตx

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ (อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ๒๒/๗๗๑) ประการนี้แลเป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต และเป็นวาจาที่ไม่มีโทษ วิญญูชนไม่ติเตียน
    ๑. กาเลน จ ภาสิตา โหติ วาจานั้นย่อมเป็นวาจาที่กล่าวถูกกาล
    ๒. สจฺจา จ ภาสิตา โหติ เป็นวาจาที่จริงคือกล่าววาจาสัตย์
    ๓. สญฺหา จ ภาสิตา โหติ กล่าววาจาที่อ่อนหวาน
    ๔. อตฺถสญฺหิตา จ ภาสิตา โหติ วาจาที่กล่าวนั้นประกอบด้วยประโยชน์
    ๕. เมตฺตจิตฺเตน จ ภาสิตา โหติ เป็นวาจาที่กล่าวด้วยเมตตาจิต


    ธรรมะสำหรับภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาส

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเจ้าอาวาสประกอบด้วยธรรม ๕ ประการย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจ ที่เคารพ และเป็นที่สรรเสริญของพวกพรหมจรรย์ ธรรม ๕ (อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ๒๒/๒๙๐) ประการนี้เป็นไฉน คือ
    ๑. เป็นผู้มีศีล มีความสำรวมในปาฏิโมกข์ถึงพร้อมด้วยอาจาระ และโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเป็นประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
    ๒. เป็นพหูสูตร ทรงไว้ซึ่งสุตตะ สั่งสมสุตตะ เป็นผู้ได้สดับตรับฟังมามาก จำทรงไว้มาก ขึ้นปากคล่องใจ แทงตลอดด้วยดี ด้วยทิฏฐิซึ่งธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
    ๓. เป็นผู้มีวาจาไพเราะ กระทำถ้อยคำให้ไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมือง สละสรวยไม่มีโทษ ทั้งให้ทราบข้อความได้ชัด
    ๔. เป็นผู้ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
    ๕. ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่


    เจ้าอาวาสประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้ต้องตกนรก

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาสประกอบด้วยธรรม ๕ (อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ๒๒/๒๙๓) ประการเหมือนถูกนำมาเก็บไว้ในนรก คือ
    ๑. ไม่ใคร่ครวญให้รอบคอบ ไม่พิจารณาเสียก่อน แล้วกล่าวสรรเสริญผู้ควรตำหนิ
    ๒. ไม่ใคร่ครวญให้รอบคอบเสียก่อน ไม่พิจารณาเสียก่อน แล้วกล่าวตำหนิผู้ควรตำหนิ
    ๓. ไม่ใคร่ครวญให้รอบคอบเสียก่อน ไม่พิจารณาเสียก่อน แล้วกล่าวแสดงความเลื่อมใสให้ปรากฎในที่อันไม่ควรเลื่อมใส
    ๔. ไม่ใคร่ครวญให้รอบคอบเสียก่อน ไม่พิจารณาเสียก่อน แล้วแสดงความไม่เลื่อมใสให้ปรากฎในที่ควรเลื่อมใส
    ๕. ย่อมยังศรัทธาทัยให้ตกไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2013
  6. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    อนุสติ ๕ ประการ x

    ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสถามพระอุทายีว่า อนุสติมีเท่าไหร่ ครั้นพระพุทธองค์ทรงตรัสถามเช่นนี้ พระอุทายีไม่สามารถตอบได้ จึงตรัสแก่พระอานนท์ว่า

    ดูก่อน อานนท์ เราได้รู้แล้วว่า อุทายีภิกษุนี้เป็นโมฆบุรุษ ไม่เป็นผู้ประกอบอธิจิตอยู่ แล้วตรัสถามพระอานนท์ต่อไปว่า ดูก่อน อานนท์ อนุสติมีเท่าไร พระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อนุสติมี ๕ ประการ ๕ ประการนี้เป็นไฉน คือ
    ๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นอนุสติข้อที่ ๑ ซึ่งภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
    ๒. อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมทำอาโลกสัญญาไว้ในใจ ตั้งสัญญาว่า เป็นกลางวัน เธอกระทำอาโลกสัญญาว่ากลางวันไว้ในใจฉันใด กลางคืนก็กระทำฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เธอมีใจปลอดโปร่ง อันนิวรณ์ไม่พัวพัน ย่อมเจริญกิจที่มีความสว่างด้วยประการฉะนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นอนุสติซึ่งภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ฌานทัสสนะ
    ๓. อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้เบื้องบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำตั้งแต่ปลายผมลงมา มีหนังห่อหุ้มเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่สะอาดมีประการต่างๆว่า ในกายนี้มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเปลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นอนุสติซึ่งภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อละกามราคะ
    ๔. อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเห็นสรีระเหมือนถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ตายแล้ววันหนึ่ง สองวัน หรือสามวัน พองขึ้นมีสีเขียวพราว มีหนองไหลออก เธอย่อมน้อมซึ่งกายนี้เข้าไปเปรียบเทียบอย่างนี้ว่า กายนี้แลย่อมเป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้ อนึ่ง พึงเห็นสรีระเหมือนถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ถูกฝูงกา นกตระกรุม แร้ง สุนัข สุนัขจิ้งจอก หรือสัตว์ปานะชาติต่างๆกำลังกัดกิน เธอย่อมน้อมกายนี้เข้าไปเปรียบเทียบอย่างนี้ว่า กายของเรานี้ย่อมมีอย่างนั้นเป็นธรรมดา ย่อมเป็นอย่างนั้น ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้
    อนึ่ง พึงเห็นสรีระเหมือนถูกทิ้งไว้ในป่าช้า มีแต่โครงกระดูก มีเนื้อ และเลือด มีเอ็นเป็นเครื่องผูก มีแต่โครงกระดูก ไม่มีเนื้อ และเลือด มีเอ็นเป็นเครื่องผูก มีแต่โครงกระดูก ปราศจากเนื้อ และเลือด มีเอ็นเป็นเครื่องผูก เป็นท่อนกระดูก ปราศจากเครื่องผูก เรี่ยไรไปตามทิศต่างๆคือ กระดูกมือไปทางหนึ่ง กระดูกเท้าไปทางหนึ่ง กระดูกแข้งไปทางหนึ่ง กระดูกขาไปทางหนึ่ง กระดูกเอวไปทางหนึ่ง กระดูกสันหลังไปทางหนึ่ง กระโหลกศีรษะไปทางหนึ่ง เธอย่อมน้อมกายนี้เข้าไปเปรียบเทียบอย่างนี้ว่า กายของเรานี้ก็ย่อมมีอย่างนั้นเป็นธรรมดา ย่อมเป็นอย่างนั้น ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้
    อนึ่ง พึงเห็นสรีระเหมือนถูกทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นกระดูกมีสีขาวเหมือนสีสังข์ เป็นท่อนกระดูกเรี่ยราดเป็นกองเกินหนึ่งปี เป็นท่อนกระดูกผุ เป็นจุล เธอย่อมน้อมกายนี้เข้าไปเปรียบเทียบอย่างนี้ว่ากายของเรานี้ ย่อมมีอย่างนั้นเป็นธรรมดา ย่อมเป็นอย่างนั้นไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นอนุสติซึ่งภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อถอนอ้สมิมานะ
    ๕. อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆได้ มีอุเบกขาให้บริสุทธิ์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นอนุสติซึ่งภิกษุทำให้มากแล้ว อย่างนี้ย่อมเป็นไปเพื่อแทงตลอด ซึ่งธาตุหลายประการ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อนุสติมี ๕ ประการฉะนี้แล


    พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดีแล้วๆอานนท์ ถ้าเช่นนั้นเธอจงจำอนุสติข้อที่ ๖ แม้นี้คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีสติก้าวไป มีสติถอยกลับ มีสติยืนอยู่ มีสตินั่งอยู่ มีสตินอน มีสติประกอบการงาน ดูก่อน อานนท์ นี้เป็นอนุสติซึ่งภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ(อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ๒๒/๓๖๑)

    อนุตตริยะมี ๖ ประการ

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย อนุตตริยะมี ๖ (อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ๒๒/๓๖๓) ประการนั้นเป็นไฉน คือ
    ๑. ทัสสนานุตตริยะ
    ๒. สวนานุตตริยะ
    ๓. ลาภานุตตริยะ
    ๔. สิกขานุตตริยะ
    ๕. ปาริจริยานุตตริยะ
    ๖. อนุสสตานุตตริยะ


    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย “ทัสสนานุตตริยะ” เป็นไฉน ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมไปเพื่อดูช้างแก้วบ้าง ม้าแก้วบ้าง แก้วมณีบ้าง ของใหญ่ของเล็ก หรือสมณะพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ทัสสนะเหล่านั้นมีอยู่ เราไม่ได้กล่าวว่าไม่มี แต่ว่าทัสสนะเหล่านี้เป็นกิจเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบเพื่อประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมไปเห็นตถาคต หรือสาวกพระตถาคต การเห็นนี้ยอดเยี่ยมกว่าการเห็นทั้งหลาย ย่อมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศก และความร่ำไร เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์ และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่นเป็นต้นดังนี้แล เราเรียกว่าทัสสนานุตตริยะ

    ก็ “สวนานุตตริยะ” นั้นเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมไปเพื่อจะฟังเสียงกลองบ้าง เสียงพิณบ้าง เสียงเพลงขับบ้าง หรือเสียงสูงๆต่ำๆ ย่อมไปเพื่อฟังธรรมของสมณะ หรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย การฟังนี้มีอยู่ เราไม่กล่าวว่าไม่มี แต่ว่าการฟังนี้เป็นกิจเลว

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมไปฟังของตถาคต หรือพระสาวกของพระตถาคต การฟังนี้ยอดเยี่ยมกว่าการฟังทั้งหลาย ย่อมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่นเป็นต้นนี้แล เราเรียกว่าสวนานุตตริยะ ดังนี้

    ก็ “ลาภานุตตริยะ” เป็นอย่างไร ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมได้ลาภคือบุตรบ้าง ภรรยาบ้าง ทรัพย์บ้าง หรือลาภมากบ้าง น้อยบ้าง หรือได้ศรัทธาในสมณะ ในพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ลาภเหล่านี้มีอยู่ เรามิได้กล่าวว่าไม่มี แต่ว่าลาภเหล่านี้เป็นของเลว

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคต การได้นี้ยอดเยี่ยมกว่าการได้ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่าลาภานุตตริยะ

    ก็ “สิกขานุตตริยะ” เป็นอย่างไร ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมศึกษาศิลปะเกี่ยวกับช้างบ้าง ม้าบ้าง รถบ้าง ธนูบ้าง ดาบบ้าง หรือศึกษาศิลปะชั้นสูงชั้นต่ำ แต่ย่อมศึกษาต่อสมณะ หรือพราหมณ์ผู้หลงผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย การศึกษาอย่างนี้มีอยู่ เรามิได้กล่าวว่าไม่มี แต่เมื่อการศึกษานี้นั้นเป็นการศึกษาที่เลว

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมศึกษาอธิศีล อธิจิตบ้าง อธิปัญญาบ้าง ในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว การศึกษานี้ยอดเยี่ยมกว่าการศึกษาทั้งหลาย ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่าสิกขานุตตริยะ

    ก็ “ปาริจริยานุตตริยะ” เป็นอย่างไร ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้บำรุงกษัตริย์บ้าง พราหมณ์บ้าง คฤหบดีบ้าง บำรุงคนชั้นสูงชั้นต่ำ บำรุงสมณะพราหมณ์ผู้เห็นผิด ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย การบำรุงนั้นมีอยู่ เรามิได้กล่าวว่าไม่มี แต่ว่าการบำรุงนี้เป็นการบำรุงที่เลว

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมบำรุงพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคต การบำรุงนี้ยอดเยี่ยมกว่าการบำรุงทั้งหลาย ย่อมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน นี้เราเรียกว่าปาริจริยานุตตริยะ

    ก็ “อนุสสตานุตตริยะ” เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมระลึกถึงการได้บุตรบ้าง ได้ภริยาบ้าง ทรัพย์บ้าง หรือทางได้มากบ้างน้อยบ้าง ระลึกถึงสมณะ หรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย การระลึกนี้มีอยู่ เรามิได้กล่าวว่าไม่มี แต่ว่าการระลึกเช่นนี้เป็นกิจอันเลว

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว คือความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมระลึกถึงพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคต การระลึกถึงนี้ยอดเยี่ยมกว่าการระลึกถึงทั้งหลาย ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศก และความร่ำไร เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์ และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่าอนุสสตานุตตริยะ

    ทสฺสนานุตฺตริย° ลทฺธา.........สวนญฺจ อนุตฺตร°
    ลาภานุตฺตริย° ลทฺธา............สิกฺขานุตฺตริเย รตา
    อุปฏฺฐิตา ปาริจริเย...............ภาวยนฺติ อนุสฺสติ
    วิเวกปฏิสญฺฺญุตฺต°.................เขม° อมตคามินิ°
    อปฺปมาเท ปมุทิตา...............นิปกา สีลส°วุตา
    เตเว กาเลน ปจฺจนฺติ.............ยตฺถ ทุกฺข° นิรุชฺญติ°ฯ(อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ๒๒/๓๖๘)
    ภิกษุเหล่าใดได้ทัสสนานุสตตริยะ สวนานุตตริยะ ลาภานุตตริยะ ยินดีในสิกขานุตตริยะ เข้าไปตั้งการบำรุง เจริญอนุสติที่ประกอบด้วยวิเวกเป็นแดนเกษม ให้ถึงอมตธรรมผู้บันเทิงในความไม่ประมาท มีปัญญารักษาตน สำรวมในศีล ภิกษุเหล่านั้นแลย่อมรู้ชัดซึ่งธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์โดยกาลอันสมควร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2013
  7. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ความจนเป็นทุกข์ของผู้บริโภคกามx

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นคนจนเป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจยากไร้ย่อมกู้ยืมแม้การกู้ยืมนั้นก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจยากไร้กู้ยืมแล้วย่อมรับใช้ดอกเบี้ย แม้การรับใช้ดอกเบี้ยก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจยากไร้รับใช้ดอกเบี้ย แต่ไม่รับใช้ดอกเบี้ยตามกำหนดเวลา เจ้าหนี้ทั้งหลายย่อมทวงเขา แม้การทวงก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจยากไร้ถูกเจ้าหนี้ทวงแล้วไม่ให้ เจ้าหนี้ทั้งหลายย่อมติดตามเขา แม้การติดตามก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจยากไร้ถูกเจ้าหนี้ติดตามทัน เพราะไม่ให้ทรัพย์ ทั้งหลายย่อมจองจำเขา แม้การจองจำก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย แม้ความเป็นคนจนก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก การกู้ยืมนั้นก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก การรับใช้ดอกเบี้ยก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก แม้การทวงก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก แม้การติดตามก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก แม้การจองจำก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก ด้วยประการฉะนี้(อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ๒๒/๘๙๕)

    ความเป็นคนจน และการกู้ยืมเรียกว่าเป็นทุกข์ในโลก คนจนกู้ยืมเลี้ยงชีวิตย่อมเดือดร้อน เจ้าหนื้ทั้งหลายย่อมติดตามเขา เพราะไม่ใช้หนี้นั้น เขาย่อมเข้าถึงแม้การจองจำ การจองจำนั้นเป็นทุกข์ของคนทั้งหลายผู้ปรารถนาการได้กาม

    ในวินัยของพระอริยเจ้า ผู้ใดไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ พอกพูนบาปกรรม กระทำกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต ย่อมดำริว่าคนเหล่าอื่นอย่ารู้จักเรา พอกพูนบาปกรรมในที่นั้นๆอยู่บ่อยๆด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เราตถาคตย่อมกล่าวว่าเป็นทุกข์เหมือนอย่างนั้น เขาผู้มีบาปกรรม มีปัญญาทราม ทราบความชั่วของตนอยู่ว่าเป็นคนจน มีหนี้สิน เลี้ยงชีวิตอยู่ย่อมเดือดร้อน ลำดับนั้นความดำริที่มีในใจ ความเป็นทุกข์ย่อมเกิดขึ้นเพราะความเดือดร้อนของเขา และย่อมติดตามเขาไปแม้ที่บ้านหรือที่ป่า เขาผู้มีบาปกรรม มีปัญญาทราม ทราบความชั่วของตนอยู่ ย่อมเข้าถึงกำเนิดเดรัจฉานบางอย่าง หรือถูกจองจำในนรก ก็การจองจำนั้นเป็นทุกข์ที่นักปราชญ์หลุดพ้นไปได้ บุคคลผู้ยังใจให้เลื่อมใสให้ทานด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายที่ได้มาโดยชอบธรรม ย่อมเป็นผู้ยึดถือชัยชนะไว้ได้ในโลกทั้งสอง ของผู้มีศรัทธาอยู่ครองเรือน ถือประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบัน และเพื่อความสุขในสัมปรายภพการบริจาคของคฤหัสถ์ดังกล่าวมานั้นย่อมเจริญบุญ ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีใจประกอบด้วยหิริ มีโอตตัปปะ มีปัญญา และสำรวมในศีล ในวินัยของพระอริยเจ้า ผู้นั้นแลเราเรียกว่ามีชีวิตเป็นสุข

    ในวินัยของพระอริยเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน เขาได้ความสุขที่ไม่มีอามิสยังอุเบกขาในจตุถฌานให้ดำรงมั่น และนิวรณ์ ๕ ประการเป็นผู้ปรารถนาความเพียรอยู่เป็นนิจ บรรลุฌานทั้งหลาย มีเอกกัคคตาจิตปรากฎ มีปัญญารักษาตัว มีสติ จิตของเขาย่อมหลุดพ้นโดยชอบ เพราะทราบเหตุในนิพพาน เป็นที่สิ้นสังโยชน์ทั้งปวงตามความเป็นจริง เพราะไม่ถือมั่นในประการทั้งปวง หากว่าเขาผู้มีจิตหลุดพ้นโดยชอบ คงที่อยู่ในนิพพาน เป็นที่สิ้นไปแห่งกิเลส เป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าความหลุดพ้นของเราไม่กำเริบแล้วไซร้ ญาณนั้นแลเป็นญาณชั้นเยี่ยม ญาณนั้นเป็นสุข ไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่า ญาณนั้นไม่มีโศก หมดความมัวหมอง เป็นญาณเกษมสูงสุดกว่าความไม่มีหนี้


    พระขีณาสพย่อมมไม่นำตนเข้าไปเปรียบเทียบ

    ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
    นุ อุสฺเสสุ น โอเสสุ.........สมตฺเถ โนปนิยฺยเร
    ขีณา สญฺชาติ..................พฺรหฺมจริย จรนฺติ(อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ๒๒/๔๐๒)
    พระขีณาสพทั้งหลาย ไม่น้อมตนเข้าไปเปรียบบุคคลที่ดีกว่า ไม่น้อมตนเข้าไปเปรียบบุคคลที่เลวกว่า ไม่น้อมตนเข้าไปเปรียบบุคคลที่เสมอกัน เพราะมีชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ประพฤติเป็นผู้หลุดพ้นจากสังโยชน์


    ภิกษุสนทนาอภิธรรมกัน

    สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันใกล้เมืองพาราณสี

    เตน โข ปน สม เยน สมฺพหุลา เถรา ภิกฺขุ ปจฺฉาภตฺต° ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺตา มณฺฑลมาเฬ สนฺนิสินฺนา สนฺนิปติตา อภิธมฺมกถ° กเถนฺติฯ (มีบางท่านไม่ได้ค้นคว้าทั้งในพระสูตร และพระอภิธรรมพระวินัย เข้าใจผิดไปว่าอภิธรรมมิใช่พุทธพจน์ ความจริงนั้นอภิธรรมเป็นพุทธพจน์ ตามหลักฐานที่มานี้แสดงให้เห็นแล้วว่า การศึกษาอภิธรรมนั้นในสมัยพุทธกาลได้ศึกษากันมากทีเดียว ๒๒/๔๓๙)

    ในสมัยนั้น ภิกษุผู้เถระหลายรูปกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัตร นั่งประชุมสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ที่โรงกลม ลำดับนั้นในที่ประชุมนั้น ท่านพระจิตตะหัตถิสารีบุตร เมื่อภิกษุผู้เถระกำลังสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ก็พูดสอดขึ้นในระหว่างนั้น ลำดับนั้นท่านมหาโกฏิฐิตะได้กล่าวกะท่านฐิตะ ได้กล่าวกะท่านจิตตะหัตถิสารีบุตรว่า ท่านพระจิตตะหัตถิสารีบุตรเมื่อภิกษุผู้เถระกล่าวสนทนาอภิธรรมกถากันอยู่ ท่านอย่าเพิ่งพูดสอดขึ้นในระหว่าง ขอให้ท่านจงรอคอยจนกว่าภิกษุผู้เถระสนทนากันให้จบเสียก่อน


    บุคคลผู้ประกอบกรรม ๖ ประการย่อมไม่ได้บรรลุมรรคผล

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยกรรม ๖ ประการ ถึงแม้จะฟังธรรมอยู่ ก็เป็นผู้ไม่ควรเพื่อก้าวลงสู่ความแน่นอน ความเห็นชอบในกุศลทั้งหลาย กรรม ๖ ประการนั้นเป็นไฉน คือ เป็นผู้ฆ่ามารดา ๑ เป็นผู้ฆ่าบิดา ๑ ฆ่าพระอรหันต์ ๑ ยังพระโลหิตของพระตถาคตให้ห้อขึ้นด้วยจิตประทุษร้าย ๑ เป็นผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ๑ เป็นผู้มีปัญญาทราม ใบ้ บ้าน้ำลาย ๑

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยกรรม ๖ ประการ ถึงแม้ฟังธรรมอยู่ ก็เป็นผู้ไม่ควรเพื่อก้าวลงสู่ความแน่นอน ความเห็นชอบในกุศลทั้งหลาย(อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ๒๒/๔๘๗)


    ของที่หาได้ยากในโลก ๖ อย่าง

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ความปรากฎขึ้นแห่งเหตุ ๖ ประการ เป็นของหาได้ยากในโลก คือ
    ๑. ตถาคตสฺส อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปาตุภาโว ทุลฺลโภ โลกสฺมิ° ความปรากฎขึ้นแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นของหาได้ยากในโลก
    ๒. ตถาคตปฺปเวทิตสฺส ธมฺมวินยสฺส เทเสตา ปุคฺคโล ทุลฺฺลโภ โลกสฺมิ° บุคคลผู้แสดงธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว เป็นของหาได้ยากในโลก
    ๓. อริยายตเน ปจฺจาชาโต ทุลฺลโภ โลกสฺมิ° ความเกิดขึ้นในมัชฌิมประเทศที่มีพระอริยเจ้า เป็นของหาได้ยากในโลก
    ๔. อินฺทฺริยาน° อเวกลฺวตา ทุลฺลโภ โลกสฺมิ° ความเป็นผู้มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง เป็นของหาได้ยากในโลก
    ๕. อชฬตา อเนฬมูคตา ทุลฺลโภ โลกสฺมิ° ความไม่เป็นใบ้บ้าน้ำลาย เป็นของหาได้ยากในโลก
    ๖. กุสลธมฺมจฺฉนฺโท ทุลฺลโภ โลกสฺมิ° ความพอใจในกุศลธรรม เป็นของหาได้ยากในโลก
    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ความปรากฎขึ้นแห่งเหตุ ๖ ประการนี้แลเป็นของหาได้ยากในโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2013
  8. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    การทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลมีอานิสงส์ ๖ ประการ คือx

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ๖ (อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ๒๒/๔๙๐) ประการ คือ
    ๑. สทฺธมฺมนิยโต โหติ บุคคลนั้นย่อมเป็นผู้แน่นอนในพระสัทธรรม
    ๒. อปริหานธมฺโม โหติ ย่อมเป็นผู้มีความไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
    ๓. ปริยนฺตกตสฺส ทุกฺข° โหติ เขาผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้แล้ว ย่อมไม่มีทุกข์ต่อไป
    ๔. อสาธารเณน ญาณเน สมนฺนาคโต โหติ เป็นผู้ประกอบด้วยอสาธารณญาณ
    ๕. เหตุจสฺส สุทิฏโฐ เขาเห็นเหตุแล้วด้วยดี
    ๖. เหตุสมปปนฺนา จ ธมฺมา และเห็นธรรมที่เกิดขึ้นแก่เหตุด้วยดี

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ๖ ประการนี้แล


    อานิสงส์ผู้ยังอนิจจสัญญาให้ปรากฎ

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายผู้พิจารณาเห็นอานิสงส์ ๖ (อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ๒๒/๔๙๓) ประการ ย่อมเป็นผู้สามารถเพื่อไม่กระทำเหตุจำกัดในสังขารทั้งปวง แล้วยังอนิจจสัญญาให้ปรากฎ อานิสงส์ ๖ ประการเป็นไฉน คือ
    ๑. ภิกษุพิจารณาเห็นว่า สังขารทั้งปวงจักปรากฎโดยความเป็นของมั่นคง
    ๒. ใจของเราจักไม่ยินดีในโลกทั้งปวง
    ๓. ใจของเราจักออกไปจากโลกทั้งปวง
    ๔. ใจของเราจักน้อมไปสู่นิพพาน
    ๕. สังโยชน์ทั้งหลายของเราจักถึงกาละได้
    ๖. เราจักเป็นผู้ประกอบด้วยสามัญธรรมชั้นเยี่ยม


    อานิสงส์ของผู้ยังทุกข์สัญญาให้ปรากฎ

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นอานิสงส์ ๖ (อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ๒๒/๔๘๑) ประการเป็นผู้สามารถเพื่อไม่กระทำเหตุจำกัดในสังขารทั้งปวงแล้วยังทุกข์สัญญาให้ปรากฎ อานิสงส์ ๖ ประการนั้นเป็นไฉน คือ
    ๑. ภิกษุพิจารณาเห็นอยู่ว่า นิพพานะ สัญญาในสังขารทั้งปวงจะปรากฎแก่เราเหมือนเพชฌฆาตผู้เงื้อดาบขึ้นอยู่
    ๒. ใจของเราจักออกไปจากโลกทั้งปวง
    ๓. เราจักเป็นผู้มีปกติเห็นสันติในพระนิพพาน
    ๔. อนุสัยของเราจักถึงการเพิกถอน
    ๕. เราจักเป็นผู้กระทำตามหน้าที่
    ๖. เราจักบำรุงพระศาสดาด้วยความบำรุงอันประกอบด้วยเมตตา


    อานิสงส์ผู้ยังอนัตตสัญญาให้ปรากฎ

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นอานิสงส์ ๖ (อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ๒๒/๔๘๑) ประการ เป็นผู้สามารถเพื่อให้กระทำเหตุจำกัดในธรรมทั้งปวง แล้วยังอนัตตสัญญาให้ปรากฎ อานิสงส์ ๖ ประการเป็นไฉน คือ
    ๑. ภิกษุพิจารณาเห็นอยู่ว่า เราเป็นผู้ไม่มีตัณหา และทิฏฐิในโลกทั้งปวง
    ๒. ทิฏฐิอันเป็นเหตุให้กระทำความถือตัวว่าเรา และของเราจักดับไป
    ๓. ตัณหาอันเป็นเหตุให้กระทำการยึดถือตัวว่าของเราๆจักดับไป
    ๔. เราจักเป็นผู้ประกอบด้วยอสาธารณญาณ
    ๕. เราจักถึงเหตุด้วยดี
    ๖. เราจักเห็นธรรมที่เกิดขึ้นแก่เหตุด้วยดี

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นอานิสงส์ ๖ ประการนี้แล เป็นผู้สามารถเพื่อให้กระทำเหตุจำกัดในธรรมทั้งปวงแล้วยังอนัตตสัญญาให้ปรากฎ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2013
  9. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหัตผลโดยลำดับx

    ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน ใกล้พระนครสาวัตถี ครัสแก่พระอานนท์เถระว่า

    อานนฺท กุสลานิ สีลานิ อวิปฺปฏิสารตฺถานิ อวิปฺปฏิสารานิ ส°สานิ อวิปฺปฎิสาโร ปามุชฺชตฺโถ ปามุชฺชานิส°โส ปามุชฺช° ปีตตฺถ° ปีตานิส°ส° ปีติ ปสฺสทฺธตฺถา ปสฺสทฺธานิส°สาปสฺสทฺธิ สุขตฺถา สุขานิส°สาสุข° สมาธตฺถ° สมาธิ ยถาภูตญาณทสฺสนตฺโถ ยถาภูตญาณทสฺสนาพิส°โส ยถาภูตญาณทสฺส สมาธานิส°ส°น° นิพฺพิทาวิราคตฺถ นิพฺพิทาวิราคานิส°ส° นิพฺพิทาวิราโค วิมุตฺติญาณทสฺสนตฺโถ วิมุตฺติญาณทสฺสนานิส°โส(อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ๒๒/๔๘๑)

    ดูก่อน อานนท์ ศีลที่เป็นกุศลมีอวิปฏิสารเป็นผล มีอวิปฏิสารเป็นอานิสงส์ อวิปฏิสารมีปราโมทย์เป็นผล มีประโยชน์เป็นอานิสงส์ ปราโมทย์มีปิติเป็นผล มีปิติเป็นอานิสงส์ ปิติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิอานิสงส์ สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนเป็นอานิสงส์ ยถาภูตญาณทัสสนมีนิพพิทาวิราคะเป็นผล มีนิพพิทาวิราคะเป็นอานิสงส์ นิพพิทาวิราคะมีวิมุติญาณทัสสนทัสสนเป็นผล มีวิมุติญาณทัสสนทัสสนเป็นอานิสงส์ด้วยประการดังนี้

    อิติ โข อานนฺท กุสลานิ สีลานิ อนุปุพฺเพน อรหตฺตาย ปูเรนฺติ
    ดูก่อน อานนท์ ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหัตผลโดยลำดับด้วยประการฉะนี้แล


    ตรัสถึงเรื่องกาม

    กาม° กามยมานสฺส..........ตสฺส เจ ต สมิชฺฌติ
    อทฺธา ปิติมโน โหติ.........ลทฺธา มจฺโจ ยทิจฺฉติฯ(ขุททกนิกาย มหานิเทส ๒๙/๑)
    เมื่อสัตว์ปรารถนากามอยู่ ถ้ากามนั้นสำเร็จแก่สัตว์นั้น สัตว์นั้นได้กามตามปรารถนาแล้วย่อมเป็นผู้อิ่มใจแน่นอน

    ตสฺส เจ กามยมานสฺส......ฉนฺทชาตสฺส ชนฺตุโน
    เต กามา ปริหายนฺติ.........สลฺลวิทฺโธว รูปฺปติฯ(ขุททกนิกาย มหานิเทส ๒๙/๔)
    เมื่อสัตว์นั้นปรารถนากามอยู่ เมื่อสัตว์มีฉันทะเกิดแล้ว ถ้ากามเหล่านั้นเสื่อมไป สัตว์นั้นย่อมกระสับกระส่าย เหมือนสัตว์ที่ถูกลูกศรแทงเข้าฉะนั้น

    โย กาเม ปริวชฺเชติ..........สปฺปสฺเสว ปทา สิโร
    โสม° วิสตฺติก° โลเก........สโต สมติวตฺตติฯ(ขุททกนิกาย มหานิเทส ๒๙/๖)
    ผู้ใดย่อมเว้นขาดจากกามทั้งหลาย เหมือนบุคคลเว้นขาดหัวงูด้วยเท้า ผู้นั้นเป็นผู้มีสติ ย่อมล่วงพ้นตัญหาอันชื่อว่าวิสัตติกานี้ในโลกเสียได้


    นักปราชญ์ย่อมเป็นผู้ฉลาดในการใช้ทรัพย์

    โจรา หรนฺติ ราชาโน.......อคฺคิ ฑหติ นสฺสติ
    อโถ อนฺเตน ชหติ...........สรีร° สปริคฺคห°
    เอตทญฺญา ย เมธาวี.......ภุญฺเชถ จ ทเทถ จ(ขุททกนิกาย มหานิเทส ๒๙/๕)
    ทตฺวา จ ภูตฺวา จ ยถานุภาว°
    อนินฺทิโต สคฺคมุเปติ ฐาน°ฯ
    โภคทรัพย์ทั้งหลายถูกโจรลักไป ถูกพระราชาริบไป ถูกไฟไหม้เสียหาย อนึ่งบุคคลผู้เป็นเจ้าของย่อมละทิ้งสรีระกาย กับทั้งข้าวของเพราะความตาย นักปราชญ์ทราบเหตุนี้แล้วพึงใช้สอยบ้าง พึงให้ทานบ้าง ครั้นให้ทานแล้วใช้สอยตามสมควรแล้วย่อมไม่เป็นผู้ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงสัคคะสถานคือสวรรค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2013
  10. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    มลทินภายในจิตx

    อนตฺถชนโน โลโภ..................โลโภ จิตฺตปฺปโกปโน
    ภยมนฺตรโต ชาต°....................ต° ชโน นาวพุชฺฌติ
    ลุทฺโธ อตฺถ° น ขานาติ............ลุทฺโธ ธมฺม° น ปสฺสติ
    อนฺธตม° ตทา โหติ..................ย° โลโภ สหเต นร°
    อนตฺถชนโน โทโส..................โทโส จิตฺตปฺปโกปโน
    ภยมนฺตรโต ชาต°....................ต° ชโน นาวพุชฺฌติ
    กุทฺโธ อตฺถ° น ขานาติ.............กุทฺโธ ธมฺม° น ปสฺสติ
    อนฺธตม° ตทา โหติ..................ย° โลโภ สหเต นร°
    อนตฺถชนโน โมโห...................โมโห จิตฺตปฺปโกปโน
    ภยมนฺตรโต ชาต°....................ต° ชโน นาวพุชฺฌติ
    มูโฬฺห อตฺถ° น ขานาติ.............มูโฬฺห ธมฺม° น ปสฺสติ
    อนฺธตม° ตทา โหติ...................ย° โมโห สหเต นรนฺติฯ(ขุททกนิกาย มหานิเทส ๒๙/๑๘)
    โลภะยังสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ โลภะยังจิตให้กำเริบ โลภะเป็นภัยเกิดขึ้นภายใน แต่คนพาลย่อมไม่รู้สึกในภัยนั้น คนผู้มีความโลภแล้วย่อมไม่รู้จักอัฏฐ คนมีความโลภแล้วย่อมไม่เห็นธรรม ความโลภครอบงำนรชนเมื่อใด ความมืดย่อมเกิดขึ้นแก่นรชนนั้นเมื่อนั้นความโกรธยังสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ให้เกิด ความโกรธยังขิตให้กำเริบ ความโกรธเป็นภัยเกิดขึ้นภายใน คนพาลย่อมไม่รู้สึกในภัยนั้น คนผู้ถูกความโกรธเกิดขึ้นแล้วย่อมไม่รู้จัก คนผู้เกิดความโกรธขึ้นแล้ว ย่อมไม่เป็นธรรม ความโกรธเกิดขึ้นครอบงำนรชนเมื่อใด ความมืดย่อมเกิดขึ้นครอบงำนรชนเมื่อนั้น โมหะยังสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ให้เกิดขึ้น โมหะยังจิตให้กำเริบ โมหะเป็นภัยเกิดขึ้นภายใน แต่คนพาลย่อมไม่รู้สึกในภัยนั้น คนผู้หลงแล้วย่อมไม่รู้จักอรรถ คนผู้หลงแล้วย่อมไม่เห็นธรรม ความหลงครอบงำนรชนเมื่อใด ความมืดย่อมครอบงำนรชนนั้นเมื่อนั้น


    ธรรมที่เป็นอันตราย

    โลโภ โทโส จ โมโห จ............ปุริส° ปาปเจตส°
    หิ°สนฺติ อตฺตสมฺภูตา.................ตจสาร°ว สมฺผล°ฯ(ขุททกนิกาย มหานิเทส ๒๙/๑๘)
    โลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นในตน ย่อมกำจัดบุรุษผู้มีจิตลามกเหมือนขุยไผ่กำจัดไม้ไผ่ฉะนั้น


    กิเลสมีอัตภาพเป็นเหตุให้เกิด

    ราโค จ โทโส จ อิโตนิทานา
    อารตี รติ โลมห°โส อิโต ชาโต
    อิโต สมฺฏฺฐาย มโนวิตกฺกา
    กุมารกา ธงฺกมิโวสฺสชฺชนฺติฯ(ขุททกนิกาย มหานิเทส ๒๙/๑๙)
    ราคะ และโทสะมีอัตภาพนี้เป็นเหตุ เกิดในอัตภาพนี้ ไม่ยินดีในกุศล ยินดีแต่กามสุข ทำให้ขนลุก บาปวิตกในใจตั้งขึ้นแก่อัตภาพนี้ผูกจิตไว้ เหมือนพวกเด็กผูกกาที่ข้อเท้าฉะนั้น


    กิเลสเหมือนน้ำที่ไหลเข้าเรือ

    อพลา น° พลียนฺติ...................มทฺทนฺเต น° ปริสฺสยา
    ตโต น° ทุกฺฺขมเนฺฺวติ................นาว° ภินฺฺนมิโวทก°ฯ(ขุททกนิกาย มหานิเทส ๒๙/๒๑)
    เหล่ากิเลสอันไม่มีกำลัง ย่อมครอบงำนรชนนั้น เหล่าอันตรายย่อมย่ำยีนรชนนั้น เพราะอันตรายนั้น ทุกข์ย่อมติดตามนรชนนั้นไปเหมือนน้ำไหลเข้าสู่เรือที่แตกแล้วฉะนั้น

    ตสฺมา ชนฺตุ สทา สโต.............กามานิ ปริวชฺชเย
    เต ปหาย ตเร โอฆ°.................นาว° สิตฺวาว ปารคูฯ(ขุททกนิกาย มหานิเทส ๒๙/๒๑)
    เพราะเหตุนั้นสัตว์ผู้เกิดมาแล้ว พึงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พึงเว้นขาดจากกามทั้งหลาย ครั้นเว้นขาดจากกามเหล่านั้นแล้ว จึงข้ามโอฆะได้ เหมือนบุคคลวิดน้ำในเรือแล้วไปถึงฝั่งฉะนั้น


    พระขีณาสพไม่มีภพใหม่

    ตสฺสาย ปจฺฉิมโก ภโว..............จริโมย° สมุสฺสโย
    ชาติมรณส°สาโร......................นตฺถิ ตสฺส ปุนพฺภโวฯ(ขุททกนิกาย มหานิเทส ๒๙/๒๕)
    พระขีณาสพนั้นมีภพนี้เป็นที่สุด มีสรีระนี้เป็นที่หลัง มิได้มีชาติ มรณะ สงสาร และภพใหม่อีก


    กามทำให้นรชนไกลจากวิเวก

    สตฺโต คุหาย° พหุนาภิฉนฺโน
    ติฏฺฐ° นโร โมหนสฺมิ° ปคาโฬฺห
    ทูเร วิเวกา หิ ตถาวิโธ โส
    กามา หิ โลเก น หิ สปฺปหายาติ(ขุททกนิกาย มหานิเทส ๒๙/๓๓)
    นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว นรชนนั้นเมื่อตั้งอยู่ก็หยั่งลงในที่หลง นรชนเช่นนั้นย่อมอยู่ไกลจากวิเวก ก็เพราะกามทั้งหลายในโลกไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย

    อิจฺฉานิทานา.............................ภวสาตพุทฺธา
    เต ทุปฺปมุญฺจา...........................น หิ อญฺญโมกฺขา
    ปจฺฉา ปุเร..................................วาปิ อเปกฺขมานา
    อิเมว กาเม................................ปุริเมว ชปฺป°(ขุททกนิกาย มหานิเทส ๒๙/๓๓)
    สัตว์เหล่านั้นผู้ติดพันด้วยความแช่มชื่นในภพ เพราะเหตุแห่งความปรารถนา มุ่งหวังอยู่ในเบื้องหลังบ้างในเบื้องหน้าบ้าง ปรารถนาอยู่เช่นกามเหล่านี้ หรือกามที่มีในก่อน เป็นผู้หลุดพ้นได้ยาก และไม่ยังบุคคลอื่นให้หลุดพ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2013
  11. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล210

    บรรพชนทวา
     
  12. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล211

    บรรพชนทวา
     
  13. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล212

    บรรพชนทวา
     
  14. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล213

    บรรพชนทวา
     
  15. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล214

    บรรพชนทวา
     
  16. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล215

    บรรพชนทวา
     
  17. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล216

    บรรพชนทวา
     
  18. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล217
    บรรพชนทวา
     
  19. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล218

    บรรพชนทวา
     
  20. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียน ทีมผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    <O:p</O:p
    ความเห็นนี้อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมข้อมูล219

    บรรพชนทวา
     

แชร์หน้านี้

Loading...