###พระกริ่ง vs หลวงพ่อทวด นารายณ์รุ่งเรือง .....เสกครบตำนาน###

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย jummaiford, 19 เมษายน 2010.

  1. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    เมื่อพระโพธิสัตว์สวดคาถาแคล้วคลาด

    หลักฐานในพระไตรปิฏกอีกประการหนึ่ง ซึ่งระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่า แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระนกยูงทองโพธิสัตว์ ก็ทรงสวด"คาถาแคล้วคลาด"(โมรปริต)ด้วยเช่นกัน ดังปรากฏความใน"โมรชาดก"ความว่า
    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภภิกษุผู้กระสัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
    ภิกษุทั้งหลายนำภิกษุนั้นไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า เธอกระสันจริงหรือ ภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้าเมื่อตรัสถามว่า เธอเห็นอะไรจึงกระสัน กราบทูลว่า เห็นมาตุคามคนหนึ่งซึ่งประดับตกแต่งกาย พระศาสดารับสั่งกะภิกษุนั้นว่าดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่ามาตุคามทำไมจักไม่รบกวนจิตคนเช่นเธอ แม้บัณฑิตแต่ก่อน พอได้ยินเสียงมาตุคาม กิเลสที่สงบมาเจ็ดร้อยปีได้โอกาสยังกำเริบได้ทันที สัตว์ทั้งหลายแม้บริสุทธิ์ ยังเศร้าหมองได้ แม้สัตว์ผู้เปี่ยมด้วยยศสูง ยังถึงความพินาศได้ จะกล่าวไปทำไมถึงสัตว์ผู้ไม่บริสุทธิ์ แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า ความว่า
    "ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดนกยูง ในเวลาเป็นฟอง มีกระเปาะฟองคล้ายสีดอกกรรณิการ์ตูม ครั้นเจาะกระเปาะฟองออกมาแล้ว มีสีดุจทองคำ น่าดู น่าเลื่อมใส มีลายแดงพาดในระหว่างปีก นกยูงนั้นคอยระวังชีวิตของตน อาศัยอยู่ ณ พื้นที่เขาทัณกหิรัญแห่งหนึ่ง ใกล้แนวเขาที่สี่เลยแนวเขาที่สามไป ตอนสว่างนกยูงทองจับอยู่ที่ยอดเขา มองดูพระอาทิตย์กำลังขึ้น เมื่อจะผูกมนต์อันประเสริฐ เพื่อรักษาป้องกันตัว ณ ภูมิภาคที่หาอาหาร จึงกล่าวคาถาเป็นต้นว่า :
    อุเทตะยันจักขุมา เอกราชา หริสวัณโณ ปฐวิปปภาโส ตํ ตํ นมัสสามิ หริสสวัณณํ ปฐวิปปภาสํ ตยัชชะ คุตตา วิหเรมุ ทวิสํ เย พราหมณา เวทคุสัพพธัมเม เต เม นโม เต จ มํ ปาลยันตุ นมัตถุ พุทธานํ นมัตถุ โพธิยา นโม วิมุตตานํ นโม วิมุตติยา

    คำแปล:
    "พระอาทิตย์เป็นดวงตาของโลก เป็นพระราชาองค์เอก มีสีดังสีทอง ทำพื้นดินให้สว่าง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์ ซึ่งมีสีดังทอง และทำให้พื้นดินให้สว่างนั้น เพราะว่าท่านได้ปกครองให้ข้าพเจ้าอยู่เป็นสุขในวันนี้ตลอดวัน"
    นกยูงนั้นเจริญพระปริตรนี้แล้วจึงเที่ยวไปแสวงหาอาหาร
    อธิบายว่า
    พราหมณ์ผู้บริสุทธิ์ลอยบาปเสียเหล่าใด กระทำสังขธรรมและอสังขธรรมทั้งปวงที่ตนรู้แล้ว ปรากฏแล้ว ทำลายยอดมารทั้งสาม ยังหมื่นโลกธาตุให้บันลือ บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณที่ควงไม้โพธิล่วงฝั่งแห่งสงสารได้แล้ว ขอพราหมณ์เหล่านั้นจงรับความนอบน้อมนี้ของข้าพเจ้า อนึ่งขอท่านผู้เจริญเหล่านั้นที่ข้าพเจ้านอบน้อมแล้วอย่างนี้ จงรักษา ดูแลคุ้มครองข้าพเจ้า
    ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้านี้ จงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเสด็จปรินิพพานล่วงไปแล้ว ขอจงมีแด่พระปรีชาตรัสรู้อันได้แก่ ญาณในมรรคสี่ ผลสี่ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น อีกอย่างหนึ่ง ขอจงมีแด่พระองค์ผู้หลุดพ้นแล้วด้วยความหลุดพ้น คือพระอรหัตตผลของพระองค์ และความหลุดพ้นห้าอย่างของพระองค์ คือ ตทังควิมุติ พ้นชั่วคราว ๑ วิกขัมภนวิมุติ พ้นด้วยการข่มไว้ ๑ สมุจเฉทวิมุติ พ้นด้วยออกไป ๑ ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้านี้ จงมีแก่ความหลุดพ้นห้าอย่างของพระองค์เหล่านั้นทั้งหลาย
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นกยูงนั้นครั้นเจริญปริตรนี้คือการป้องกันนี้แล้ว จึงเที่ยวไปแสวงหาอาหารนานาชนิดเพื่อต้องการดอกไม้ผลไม้เป็นต้นในที่หาอาหารของตน
    นกยูงครั้นเที่ยวไปตลอดวันอย่างนี้แล้ว ตอนเย็นก็จับอยู่บนยอดเขามองดูดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังตก ระลึกถึงพระพุทธคุณเมื่อจะผูกมนต์อันประเสริฐอีก เพื่อรักษาคุ้มกันในที่อยู่จึงกล่าวคำมีดังนี้
    ความว่า :
    ดวงอาทิตย์นี้เป็นดวงตาของโลก เป็นเจ้าแห่งแสงสว่างเอก
    มีสีทองส่องแสงสว่างไปทั่วปฐพีแล้วอัสดงคตไป
    เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจักขอนอบน้อมดวงอาทิตย์นั้น
    ซึ่งมีสีทองส่องแสงสว่างไปทั่วปฐพี
    ข้าพเจ้าอันท่านคุ้มครองแล้วในวันนี้ พึงอยู่เป็นสุขตลอดคืน
    พราหมณ์เหล่าใด ผู้ถึงฝั่งแห่งเวท ในธรรมทั้งปวง
    ขอพราหมณ์เหล่านั้น จงรับและจงคุ้มครองข้าพเจ้าด้วย
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    แด่พระโพธิญาณ แด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว
    แด่วิมุติธรรมของท่าน ผู้หลุดพ้นแล้ว
    นกยูงนั้น ครั้นเจริญพระปริตรนี้แล้วจักพักอยู่

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นกยูงครั้งนั้นเจริญพระปริตร คือการป้องกันนี้แล้ว จึงพักอยู่ ณ ที่อยู่นั้น ด้วยอานุภาพแห่งพระปริตรนี้ นกยูงมิได้มีความกลัว ความสยดสยองตลอดคืนตลอดวัน
    ลำดับนี้พราหมณ์ชาวบ้านเนสาทคนหนึ่ง อยู่ไม่ไกลกรุงพาราณสีท่องเที่ยวไปในหิมวันตประเทศ เห็นนกยูงโพธิสัตว์จับอยู่บนยอดเขาทัณฑกหิรัญ จึงกลับมาบอกลูก อยู่มาวันหนึ่งพระนางเขมาพระเทวีของพระเจ้ากรุงพาราณสี ทรงสุบินเห็นนกยูงสีทองแสดงธรรม ขณะตื่นพระบรรทมได้กราบทูลสุบินแด่พระราชาว่า ขอเดชะข้าแต่พระองค์หม่อมฉันประสงค์จะฟังธรรมของนกยูงสีทองเพคะ
    พระราชาจึงมีพระดำรัสถามพวกอำมาตย์ พวกอำมาตย์กราบทูลว่า พวกพราหมณ์คงจะทราบพ่ะย่ะค่ะ พราหมณ์ทั้งหลายสดับพระราชปุจฉาแล้ว จึงพากันกราบทูลว่า ขอเดชะนกยูงสีทองมีอยู่แน่ พระเจ้าข้า
    พระราชาตรัสถามว่ามีอยู่ที่ไหนเล่า จึงกราบทูลว่า พวกพรานจักทราบพระเจ้าข้า
    พระราชารับสั่งให้ประชุมพวกพราหมณ์แล้วตรัสถามครั้นแล้วบุตรพราหมณ์คนนั้นก็กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่มหาราชนกยูงสีทองมีอยู่จริงอาศัยอยู่ ณ ทัณฑกบรรพต พระเจ้าข้า
    พระราชารับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงไปจับนกยูงนั้นมาอย่าให้ตาย พรานจึงเอาบ่วงไปดักไว้ที่ ณ ที่นกยูงหาอาหาร แม้ในสถานที่ที่นกยูงเหยียบ บ่วงก็หาได้กล้ำกรายเข้าไปไม่ พรานไม่สามารถจับนกยูงได้ ท่องเที่ยวอยู่ถึงเจ็ดปี ได้ถึงแก่กรรมลง ณ ที่นั้นเอง แม้พระนางเขมาราชเทวี เมื่อไม่ได้สมพระประสงค์ก็สิ้นพระชนม์ พระราชาทรงกริ้วว่า พระเทวีได้สิ้นพระชนม์ลงเพราะอาศัยนกยูง จึงให้จารึกอักษรไว้ในแผ่นทองว่า ในหิมวัตตประเทศมีภูเขาลูกหนึ่งชื่อทัณฑกบรรพต นกยูงสีทองตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น ผู้ได้กินเนื้อของมัน ผู้นั้นไม่แก่ไม่ตาย จะมีอายุยืนแล้วเก็บแผ่นทองไว้ในหีบทอง
    ครั้นพระราชาสวรรคตแล้วพระราชาองค์อื่นครองราชสมบัติ ทรงอ่านข้อความในสุพรรณปัฏมีพระประสงค์จะไม่แก่ไม่ตาย จึงทรงส่งพรานคนอื่นไป ให้เที่ยวแสวงหา เมื่อพรานนั้นไปถึงที่นั้นแล้วก็ไม่สามารถจะจับพระโพธิสัตว์ได้ ได้ตายในที่นั้นเอง โดยทำนองนี้พระราชาสวรรคตไปหกชั่วพระองค์ ครั้นถึงองค์ที่เจ็ดครองราชสมบัติจึงทรงส่งพรานคนหนึ่งไป พรานนั้นไปถึงแล้วก็รู้ถึงภาวะที่บ่วงมิได้กล้ำกรายแม้ในที่ที่นกยูงโพธิสัตว์เหยียบ และการที่นกยูงโพธิสัตว์เจริญพระปริตรป้องกันตนก่อนแล้ว จึงบินไปหาอาหาร
    พรานนั้นจึงขึ้นไปยังปัจจันตชนบท จับนางนกยูงได้ตัวหนึ่ง ฝึกให้รู้จักฟ้อนด้วยเสียงปรบมือ และให้รู้จักขันด้วยเสียงดีดนิ้ว ครั้นฝึกนางนกยูงจนชำนาญดีแล้ว จึงพามันไป เมื่อนกยูงทองยังไม่เจริญพระปริตรปักโคนบ่วงดักไว้ในเวลาเช้า ทำสัญญาณให้นางนกยูงขัน นกยูงทองได้ยินเสียงมาตุคาม ซึ่งเป็นข้าศึกแล้ว ก็เร่าร้อนด้วยกิเลสไม่อาจเจริญพระปริตรได้ จึงบินโผไปติดบ่วง พรานจึงจับนกยูงทองไปถวายพระเจ้าพาราณสี พระราชาทอดพระเนตรเห็นรูปสมบัติของนกยูงทอง ก็ทรงพอพระทัยพระราชทานที่ให้จับ นกยูงทองโพธิสัตว์จับอยู่เหนือคอนที่เขาจัดแต่งให้จึงทูลถามว่า ข้าแต่มหาราชเพราะเหตุไรจึงมีรับสั่งให้จับข้าพเจ้า
    พระราชาตรัสว่า ข่าวว่าผู้ใดกินเนื้อเจ้า ผู้นั้นจะไม่แก่ไม่ตาย ข้าพเจ้าต้องการกินเนื้อเจ้าจะได้ไม่แก่ไม่ตายบ้าง จึงให้จับเจ้ามา
    นกยูงทองทูลว่า ข้าแต่มหาราช คนทั้งหลายกินเนื้อข้าพเจ้าจะไม่แก่ไม่ตายก็ช่างเถิด แต่ข้าพเจ้าจักตายหรือ
    รับสั่งว่าจริงเจ้าต้องตาย
    กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเมื่อข้าพเจ้าต้องตาย ผู้ที่กินเนื้อข้าพเจ้าแล้วทำอย่างไรจึงไม่ตายเล่า
    รับสั่งว่า เจ้ามีตัวเป็นสีทอง เพราะฉะนั้นมีข่าวว่า ผู้ที่กินเนื้อเจ้าแล้วจักไม่แก่ไม่ตาย
    กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพเจ้ามีสีทองเพราะไม่มีเหตุหามิได้ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าจักพรรรดิ์ในนครนี้แหละ ทั้งตนเองก็รักษาศีลห้า แม้ชนทั้งหลายทั่วจักรวาฬก็ให้รักษาศีล ข้าพเจ้าสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ดำรงอยู่ในภพนั้นจนตลอดอายุ จุติจากนั้นแล้ว จึงมาเกิดในกำเนิดนกยูง เพราะผลแห่งอกุศลกรรมอื่น อีกอย่างหนึ่งแต่ตัวมีสีทองก็ด้วยอานุภาพศีลห้าที่รักษาอยู่ก่อน
    รับสั่งถามว่าเจ้าพูดว่า เจ้าเป็นเจ้าจักรพรรดิ์รักษาศีลห้า ตัวมีสีเป็นทองเพราะผลของศีล ข้อนี้ข้าพเจ้าจะเชื่อได้อย่างไร มีใครเป็นพยาน
    กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช มี
    รับสั่งถามว่า ใครเล่า
    กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อครั้งเป็นเจ้าจักรพรรดิ์ ข้าพเจ้านั่งรถสำเร็จด้วยแก้วเจ็ดประการ เที่ยวไปในอากาศ รถของข้าพเจ้านั้นจมอยู่ภายใต้ภาคพื้นสระมงคลโบกขรณี โปรดให้ยกรถนั้นขึ้นจากสระมงคลโบกขรณีเถิด รถนั้นจักเป็นพยานของข้าพเจ้า
    พระราชารับสั่งว่า ดีละแล้วให้วิดน้ำออจากสระโบกขรณี ยกรถขึ้นได้จึงทรงเชื่อคำของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์แสดงธรรมถวายพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ธรรมที่ปรุงแต่งทั้งหมดที่เหลือนอกจากพระอมตมหานิพพานแล้ว ชื่อว่าไม่เที่ยง มีความสิ้นและความเสื่อมเป็นธรรมดา เพราะมีแล้วกลับไม่มี ดังนี้แล้วให้พระราชาดำรงอยู่ในศีลห้า พระราชาทรงเลื่อมใสบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยราชสมบัติ ได้ทรงกระทำสักการะเป็นอันมาก นกยูงทองถวายราชสมบติคืนแด่พระราชา พักอยู่ ๒ - ๓ วัน จึงถวายโอวาทว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงไม่ประมาทเถิด แล้วบินขึ้นอากาศไปยังภูเขาทัณฑกหิรัญ ฝ่ายพระราชาดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์แล้ว ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้นเสด็จไปตามยถากรรม
    พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันตั้งอยู่ในพระอรหัต แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้นได้เป็นอานนท์ในบัดนี้ ส่วนนกยูงทองได้เป็นเราตถาคตนี้แล
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    การสวดมนต์รักษาโรค(โพชฌงคปริตร)ในสมัยพุทธกาล

    "โพชฌงค์"เป็นหลักธรรมหมวดหนึ่งที่อยู่ในบทสวดมนโพชฌังคปริตร ถือเป็นพุทธมนต์ที่ช่วยให้คนป่วยที่ได้สดับตรับฟังธรรมบทนี้แล้วสามารถหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ ที่เชื่ออย่างนี้เพราะมีเรื่องในพระไตรปิฎกเล่าว่า
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหากัสสปะที่อาพาธ พระองค์ทรงแสดงสัมโพชฌงค์แก่พระมหากัสสปะ พบว่าพระมหากัสสปะสามารถหายจากโรคได้ อีกครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมบทนี้แก่พระโมคคัลลานะซึ่งอาพาธ หลังจากนั้น พบว่า พระโมคคัลลานะก็หายจากอาพาธได้
    ในที่สุด เมื่อพระพุทธองค์เองทรงอาพาธ จึงตรัสให้พระจุนทะเถระแสดงโพชฌงค์ถวาย ซึ่งพบว่าพระพุทธเจ้าก็หายประชวร

    พุทธศาสนิกชนจึงพากันเชื่อว่า โพชฌงค์นั้น สวดแล้วช่วยให้หายโรค ซึ่งในพระไตรปิฎกกล่าวว่า ธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นธรรมเกี่ยวกับปัญญา เป็นธรรมชั้นสูง ซึ่งเป็นความจริงในเรื่องการทำใจให้สว่าง สะอาดผ่องใส ซึ่งสามารถช่วยรักษาใจ เพราะจิตใจมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับร่างกาย เนื่องจากกายกับใจเป็นสิ่งที่อาศัยกันและกัน
    หลักของโพชฌงค์เป็นหลักปฏิบัติทั่วไปซึ่งไม่จำกัดเฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น เพราะโพชฌงค์แปลว่าองค์แห่งโพธิหรือองค์แห่งโพธิญาณเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ซึ่งเป็นเรื่องของปัญญา


    โพชฌังคปริตร
    โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา
    วิริยัมปีติ ปัสสัทธิ โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร
    สะมาธุเปกขะโพชฌังคา
    สัตเตเต สัพพะทัสสินา มุนินา สัมมะทักขาตา
    ภาวิตา พะหุลีกะตา
    สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
    โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
    เอกัสมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง คิลาเน ทุกขิเต ทิสวา
    โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ
    เต จะ ตัง อะภินันทิตวา
    โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
    โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
    เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต
    จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปตวานะ สาทะรัง
    สัมโมทิตวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
    โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
    ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง
    มัคคาหะตะกิเลสาวะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
    โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา



    -คำแปล-
    โพชฌงค์ ๗ ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้ เป็นธรรมอันพระมุนีเจ้า ผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน
    ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้า ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะ และพระมหากัสสปะเป็นไข้ ได้รับความลำบาก จึงทรงแสดงโพชฌงค์ ๗ ประการ ให้ท่านทั้งสองฟัง ท่านทั้งสองนั้น ชื่นชมยินดียิ่ง ซึ่งโพชฌงคธรรม โรคก็หายได้ในบัดดล
    ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ในครั้งหนึ่ง องค์พระธรรมราชาเอง (พระพุทธเจ้า) ทรงประชวรเป็นไข้หนัก รับสั่งให้พระจุนทะเถระ กล่าวโพชฌงค์นั้นนั่นแลถวายโดยเคารพ ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายจากพระประชวรนั้นได้โดยพลัน
    ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ก็อาพาธทั้งหลายนั้น ของพระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ทั้ง ๓ องค์นั้น หายแล้วไม่กลับเป็นอีก ดุจดังกิเลส ถูกอริยมรรคกำจัดเสียแล้ว ถึงซึ่งความไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ.
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    อานุภาพของพระปริตรในมิลินทปัญหา
    ครั้งหนึ่ง "พุทธวงศ์"ได้ไปร่วมพิธีอธิษฐานจิตใหญ่ของหลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปาง โดยหลังจากที่หลวงพ่ออธิษฐานจิตวัตถุมงคลเสร็จแล้ว หลวงพ่อเกษมก็จะเทศน์โปรดญาติโยมทั้งหลายทางไมโครโฟน โดยครั้งหนึ่ง ท่านได้เทศน์เรื่องอานุภาพพระปริตรจากมิลินทปัญหา โดยหลวงพ่อเกษมจะ "ดัดเสียง"เหมือนกับกำลังแสดงละครวิทยุ โดยเมื่อถึงบทของพระนาคเสน หลวงพ่อเกษมก็จะทำเสียงในระดับหนึ่ง และเมื่อถึงบทของพระยามิลินทน์ หลวงพ่อเกษมก็จะแปลงเสียงให้เป็นอีกโทนหนึ่ง ซึ่งลีลาการเทศน์ปัญหาพระยามิลินทน์ของหลวงพ่อเกษมในครั้งนั้น น่าฟังน่าประทับใจอย่างมากๆถึงมากที่สุด สะกดให้ทั้ง"พุทธวงศ์"และผู้ร่วมพิธีต่างพากันพนมมือฟังด้วยความเพลิดเพลินเจริญใจรื่นรมย์อย่างยิ่ง เหมือนหนึ่งมีผู้หลักผู้ใหญ่มาเล่านิทานให้"เด็กตัวโตๆ"ฟังก็ไม่ปานไปตามๆกัน ดังมีความโดยพิศดารว่า
    “ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ผู้ที่อยู่ในอากาศ ในท่ามกลางมหาสมุทร ในกลางภูเขา หรือไปอยู่ในที่ใดๆก็ตาม ที่จะพ้นจากความตาย ไม่มี สถานที่ที่ความตายจะครอบงำไม่ได้ ก็ไม่มี
    แต่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงพระปริตร คือ พระพุทธมนต์ อันเป็นเครื่องป้องกันความตายไว้ คือ รัตนปริตร เมตตาปริตร ขันธปริตร ธชัคคปริตร อาฏานาฏิยปริตร โมรปริตร ถ้าผู้ที่อยู่ในอากาศ ในท่ามกลางมหาสมุทร หรือกลางภูเขา ไม่พ้นจากอำนาจความตายแล้ว พระปริตรนั้นก็ผิดไป ถ้าพ้นจากความตายด้วยพระปริตร คำว่า สถานที่ที่ความตายไม่ครอบงำไม่มีนั้น ก็ผิดไป ปัญหานี้เป็นความซับซ้อนลึกซึ้ง ขอพระคุณเจ้าช่วยแก้ไขให้เห็นได้ง่ายด้วยเถิด”
    พระเถระได้มีเถรวาทีวิสัชนาว่า
    “ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้อย่างนั้นจริง และพระองค์ได้ทรงแสดงพระปริตรไว้เป็นอันมาก พระพุทธวจนะไม่ได้ขัดแย้งกันเลย เพียงแต่มหาบพิตรทรงสับสนไปเองต่างหาก พระปริตรนั้น ย่อมป้องกันได้เฉพาะผู้มีอายุยังเหลืออยู่ ทั้งไม่มีบุพกรรมมาตัดรอนเท่านั้น ส่วนผู้ที่สิ้นอายุแล้ว ไม่มีความพยายาม หรือการกระทำอย่างใดที่จะให้มีอายุสืบต่อไปได้ เหมือนดังต้นไม้ที่ตายแล้ว แห้งผุแล้ว ไม่มียาง มีเปลือกกระพี้ร่วงไปหมดแล้ว ถึงจะตักน้ำมารดวันละพันโอ่ง ต้นไม้แห้งนั้นไม่อาจกลับสด เขียวขึ้นได้อีก ผู้ที่หมดอายุ คือ มีอายุสิ้นแล้ว จะทำให้มีชีวิตอยู่ด้วยยาหรือด้วยพระปริตรก็ไม่ได้ จะขนเทวดามาหมดภพเพื่อช่วยต่ออายุให้ยืนยาวก็ไม่ได้…

    ยาทั้งสิ้นในแผ่นดิน ไม่มีประโยชน์แก่ผู้มีอายุสิ้นแล้ว มีประโยชน์แก่ผู้มีอายุยังเหลืออยู่เท่านั้น พระปริตรทั้งหลายย่อมรักษาคุ้มครองเฉพาะผู้ยังไม่ถึงที่ตาย ผู้ไม่มีบุพกรรมตามมาทันเท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงพระปริตรไว้ เพื่อผู้มีอายุยังเหลืออยู่ ทั้งไม่มีบุพกรรมเท่านั้น ชาวนาเมื่อข้าวกล้าแก่แล้ว ย่อมกั้นน้ำไม่ให้ไหลเข้าไปในนา ส่วนข้าวกล้าที่ยังไม่แก่ ย่อมงอกงามด้วยน้ำที่มีอยู่ ฉันใด ยากับพระปริตร ย่อมมีไว้สำหรับผู้ที่ยังมีอายุเหลืออยู่ ฉันนั้น”
    พระเจ้ามิลินท์ยังไม่คลายความสงสัย จึงตรัสถามต่อว่า
    “ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าผู้มีอายุสิ้นแล้ว ย่อมตายไป ผู้ที่อายุยังเหลืออยู่ ก็ยังมีชีวิตอยู่เป็นธรรมดา แสดงว่าพระปริตรกับยา ก็ไม่มีประโยชน์อันใดน่ะสิ”

    “ขอถวายพระพร ผู้ที่หายจากโรคด้วยยา มหาบพิตรเคยเห็นหรือไม่”
    “เคยเห็นหลายราย พระคุณเจ้า”
    พระเถระจึงมีเถรวาทีต่อไปว่า
    “ถ้าอย่างนั้น คำที่มหาบพิตรว่า ยากับพระปริตร ไม่มีประโยชน์ก็ผิดไป โรคจะหายเพราะการเยียวยาของหมอ ฉันใด คนไข้บางคนย่อมหาย เพราะสวดพุทธมนต์ ฉันนั้น

    บางคนถูกงูกัดปางตาย แต่หายเพราะอำนาจมนต์ งูที่จะฉกกัดผู้มีพระปริตรแต่อ้าปากไม่ขึ้น พวกโจรที่คิดร้ายต่างมีอาวุธหลุดมือ ช้างที่ดุร้ายครั้นเข้าใกล้ก็หยุด ไฟที่กำลังลุกโหมก็ดับลง ผู้คิดจะฆ่ากลับยอมตัวเป็นทาส บ่วงหรือแร้วที่เขาดักไว้ก็ไม่ลั่น
    เหมือนพญานกยูงได้เจริญพระปริตรทุกวัน นายพรานไม่อาจจับได้ตลอดถึง ๗ปี แต่เนื่องจากวันหนึ่ง พญานกยูงได้ยินเสียงนกยูงตัวเมีย ทำให้เช้าวันนั้นลืมเจริญพระปริตร จึงต้องไปติดบ่วงของนายพรานอย่างง่ายดาย หรือวิทยาธรตนหนึ่งลอบเป็นชู้กับพระอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี ขณะกำลังจะถูกจับก็ทำตัวหายวับไปด้วยกำลังมนต์ วิทยาธรสามารถพ้นจากการถูกจับ ด้วยกำลังพระปริตรที่ตนท่องไว้จนขึ้นใจ”
    พระเจ้ามิลินท์ถามต่อว่า
    “พระคุณเจ้า พระปริตรรักษาได้ทุกคนหรือ”
    พระเถระตอบทันทีว่า
    “ไม่ทุกคน บางพวกก็รักษาได้ บางพวกก็รักษาไม่ได้ เหมือนอาหารรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะพวกที่กินมากไปแน่นท้องตายไปก็มี บางคนธาตุไฟสำหรับย่อยอาหารอ่อนเกินไปก็ตายได้ อาหารแม้สามารถทรงอายุไว้ได้ แต่ก็ทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน
    พระปริตรมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ พระปริตรรักษาบุคคลได้เป็นบางจำพวก ไม่ได้รักษาทุกคน พระปริตรรักษาไม่ได้ ด้วยเหตุ ๓ประการ คือ ผู้มีบุพกรรมกางกั้น มีกิเลสกางกั้น และบุคคลนั้นไม่เชื่อถือในพระปริตร ผู้ที่มีเหตุประการใดประการหนึ่งใน ๓ประการนี้ พระปริตรก็รักษาไม่ได้ อุปมาเหมือนมารดาที่คอยเลี้ยงดูบุตรธิดาผู้อยู่ในครรภ์ของตน เมื่อลูกเกิดมาแล้ว เจ็บไข้ไม่สบาย มารดาก็เอาใจใส่รักษา ล้างเช็ดมูตรคูถ น้ำลาย น้ำมูก โดยไม่รู้สึกเกลียดชัง แล้วหาของหอมมาลูบไล้ให้
    ต่อมาภายหลัง เมื่อลูกไปด่าว่าฆ่าตีลูกของคนอื่น และถูกเจ้าหน้าที่จับได้ ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง ผู้เป็นมารดาจะมารับแทน ด้วยการถูกจองจำหรือถูกประหารแทนลูกก็ไม่ได้ ลูกต้องรับกรรมตามที่ตนทำ ฉันใด พระปริตรย่อมไม่รักษาผู้ได้ทำความผิด ฉันนั้น เพราะในเนื้อพุทธมนต์ได้สอนให้ผู้สวดพระปริตรเป็นคนดี มีเมตตาจิต ไม่ให้คิดประทุษร้ายผู้อื่น และพระปริตรก็ป้องกันผู้มีบุพกรรมไม่ได้”
    พระเจ้ามิลินท์ได้ฟังวิสัชนาเช่นนี้ ทรงให้สาธุการ ๓ครั้ง พร้อมยอมรับว่า
    “พระเถระ แก้ได้ถูกต้องดีแล้ว”

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> k.gif </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    อันพระเครื่องทั้งหลาย แม้จะศักดิ์สิทธิ์อย่างไร ก็ไม่ได้ช่วยให้รอดพ้นจากอันตรายได้ทุกครั้ง เพราะอภินิหารนั้นถึงอย่างไรก็ไม่อยู่เหนือกฏแห่งกรรมไปได้"

    เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    "พระเครื่องทั้งหลายนั้น กันคุณไสยไม่ได้เต็มร้อยเปอร์เซนต์หรอก เพราะถึงอย่างไร พระเครื่องรางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงก็ยังเป็นของภายนอกอยู่นั่นเอง หากจะให้กันได้จริงๆ เราต้องสร้างจากภายในตัวของเราเองด้วยการไหว้พระสวดมนต์แผ่เมตตาเสริมด้วย จึงจะได้ผลเต็มที่.!!?!"

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> puth23.jpg </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    เมื่อครั้งที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) ที่สุดแห่งพระบริสุทธิสงฆ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานครกระทำการอธิษฐานจิตวัตถุมงคลใดๆ ท่านจะไม่ยินยอมที่จะรับปัจจัยไทยทานที่เจ้าภาพถวายเลยแม้แต่น้อยเดียว ด้วยเหตุว่า
    "เป็นอามิส รับไม่ได้ เพราะจะทำให้การอธิษฐานจิตนั้นไม่บริสุทธิ์..!!!!!!"
    ด้วยเหตุนี้ อย่างมากที่สุดที่ท่านธมฺมวิตกฺโกรับเพื่อบรรเทาธาตุขันธ์ในการอธิษฐานวัตถุมงคลครั้งใหญ่ๆก็คือ"น้ำปานะ" อันควรแก่วิกาลนอกภัตรอย่างเดียวเท่านั้น
    สาธุ...............
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    สมเด็จพระวันรัต(นิรันตร์ นิรันตโร)พระอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐสุดอีกองค์หนึ่งของวัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร ท่านจึงสั่งกับศิษย์ใกล้ชิดไว้อย่างเข้มงวดเลยว่า
    "การไปให้พระลงอักขระเลขยันต์(หรือเสกพระ)นั้น ไม่ควรไปถวายปัจจัยให้ท่าน เสมือนหนึ่งไปจ้างให้ท่านเขียนท่านทำให้ โบราณนั้นเขาไม่ทำกัน เพราะมันไม่บริสุทธิ์ การสร้างพระนั้นต้องทำด้วยใจ หากองค์ใดไม่รับปัจจัย องค์นั้นใช้ได้.." <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    หลวงปู่สิมกับพระเครื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการพุทธาภิเษก
    1. หลวงปู่สิมเคยพูดถึงการสร้างพระสร้างเหรียญว่า "เหมือนกับการที่คนเราตกปลา หากมีแต่เบ็ดแต่ไม่มีเหยื่อ ปลามันก็ไม่กิน จึงได้สร้างพระเสกเหรียญขึ้น เพื่อล่อให้คนมาสนใจก่อน เมื่อคนสนใจในพระในเหรียญอันเปรียบเสมือนปลามาติดเบ็ดที่มีเหยื่อแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของพระที่จะสอดแทรกธรรมะเข้าไปพร้อมกับการแจกเหรียญแจกพระด้วย นับเป็นประโยชน์หลายสถาน"
    2. เรื่องพระเครื่องรางสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น หลวงปู่สิมว่าเป็นของเก่าแก่มีมาแต่โบร่ำโบราณ สำหรับป้องกันภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นแก่รูปธรรมขันธ์ 5 สำหรับอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยภยันตราย 108 ก็พอช่วยให้รอดพ้นอันตรายได้บ้างเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้พ้นภัยในวัฏสงสารจริงๆ ก็ต้องเป็นการภาวนานั่นแหละ
    3. เคยกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า เคยได้ยินว่า การปลุกเสกนั้น เหนื่อยเหมือนวิ่งรอบสนามหลวง2-3 รอบ จริงหรือไม่ หลวงปู่สิมตอบว่า
    “ทำด้วยจิต ไม่เหนื่อยหรอก”
    4. เกี่ยวกับเรื่องสายสิญจน์นั้น หลวงปู่สิมก็เคยพูดไว้เช่นกันว่า
    จิตไม่จำเป็นต้องวิ่งไปตามสายสิญจน์เสมอไปหรอก อยู่ที่กำหนดต่างหาก หาไม่แล้ว หลวงปู่อยู่เชียงใหม่ จะมาเสกพระที่กรุงเทพได้หรือ.???”(คาดว่า น่าจะเป็นพระแก้วมรกต 2525 ฉลอง 200 ปีกรุงรัตนโกสินทร์)

    5. แต่ในบางกรณี หลวงปู่ก็จะกำหนดจิตตามสายสิญจน์เช่นกัน โดยมีครั้งหนึ่ง มีคนเอาพระพุทธรูปมาให้ปลุกเสก แต่พอดีท่านจะไปพุทธาภิเษกที่วัดบวรนิเวศพอดี หลวงปู่สิมก็บอกว่า เอาไปโยงสายสิญจน์ที่วัดบวรที่หลวงปู่กำลังจะไปนั่งปรกก็ได้ คนที่นำพระมาก็ถามว่า จะได้หรือ หลวงปู่ก็ตอบว่า
    “สายสิญจน์ไปถึงไหน จิตก็ไปถึงนั่นนั่นแหละ”
    6. หลวงปู่สิมเคยบอกว่า “พระแก้วมรกตศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ในโบสถ์วัดพระแก้วนั้นมีเทวดาอยู่เป็นหมื่น ภาวนาให้ดีๆแล้วจะเห็นเอง”
    7. อีกครั้ง หลวงปู่สิมท่านเคยว่าตรงเอาไว้ว่า พระพุทธรูปทั้งหลายที่ศักดิ์สิทธิ์ ขออะไรก็ได้นั้น ไม่ใช่เป็นพระพุทธเจ้ามาประทานให้ เพราะจิตของพระพุทธเจ้าเข้านิพพานไปแล้ว ไม่มาวุ่นวายอะไรแบบนี้หรอก แต่เกิดจากอำนาจของเทวดาที่รักษาพระพุทธรูปนั้นๆต่างหาก”
    8. “จิตที่ฝึกดีแล้ว เป็นของมีฤทธิ์มีอำนาจมาก เหมือนกับกระแสน้ำที่ตกลงมาจากน้ำตกใหญ่ๆนั่นแหละ”
    9. "หลวงพ่อโสธร"นั้น บูชาให้ดีๆแล้วจะรวย เพราะเทวดาที่รักษาองค์หลวงพ่อโสธรเด่นทางลาภมาก
    10. ครั้งหนึ่งที่เคยตามหลวงปู่สิมไปพิธีพุทธาภิเษกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ท่านนั่งปรกไปได้ประมาณ 3 จบ เกรงว่างหลวงปู่จะเหนื่อย เพราะอายุมากแล้ว เลยกราบเรียนถามท่านว่า หลวงปู่จะกลับแล้วหรือไม่ แต่หลวงปู่ตอบว่า
    “มาแล้ว ก็นั่งให้เขาให้ครบๆจนจบนั่นแหละ”
    11. เกี่ยวกับเซียนพระที่ซื้อขายพระเครื่องเป็นอาชีพ หลวงปู่สิมก็ไม่เคยตำหนิ พร้อมกับยังกล่าวอีกด้วยว่า อย่าไปว่าเขา เพราะคนเหล่านี้ มีจิตใจที่ผูกพันอยู่กับศาสนา จึงมาสนใจในเรื่องพระเรื่องเจ้า และคนเหล่านี้ ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนาแผ่กว้างออกไป(ในส่วนแห่งรูปธรรม) นับว่ามีประโยชน์เหมือนกัน อย่าได้ไปว่าเขา ส่วนจะมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายเอากำรี้กำไรอะไรนั้น ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาโลก เป็นเรื่องของคนที่ยังมีกิเลสอยู่ แต่หากเป็นพระเป็นสงฆ์แล้ว กลับมาขายพระเสียเอง หาเป็นการที่สมควรไม่ เพราะเมื่อบวชมาเป็นพระแล้ว ก็พึงจะต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และระวังรักษาในศีลวินัยให้จงหนัก”
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> DSC00333.gif </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. ฌาน999

    ฌาน999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +222
    สลิปการโอนเงินร่วมทำบุญครับ ...ขออภัย ช้าไปนิดครับ :cool: ขอบคุณมากครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1399.jpg
      IMG_1399.jpg
      ขนาดไฟล์:
      274.8 KB
      เปิดดู:
      94
  10. คชบุตร

    คชบุตร ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,637
    ค่าพลัง:
    +4,388
    วันนี้ได้โอนเงิน แล้ว 7,000 บาท สำหรับ พระกริ่ง เบอร์ 14 ครับหมอ
     
  11. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    อนุโมทนาบุญด้วยนะครับพี่
     
  12. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    :cool::cool::cool::cool::cool:
     
  13. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    อนุโมทนานะครับ:cool::cool::cool:
     
  14. พี่อาร์ม

    พี่อาร์ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +812
    :cool::cool::cool::cool:
     
  15. ธรรมศิล

    ธรรมศิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +800
    โอนเงินแล้วค่าบูชาหลวงปู่ทวดพิมพ์กลักไม้ขีด 1 องค์ พิมพ์ใหญ่ 1 องค์ รวม 4,009.-บาท ผมขอรับพร้อมพระกริ่งนารายณ์ก้นเงิน องค์ที่ 39 ครับ
     
  16. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    อนุโมทนานะครับ:cool::cool::cool:
     
  17. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    เรื่องน้ำเต้ากันภัย กันไฟมหาลาภ ตำรับพระสังวราชุ่มนั้น ตอนนี้ผมพิมพ์ประวัติที่เกี่ยวข้องอยู่อีกไม่นานจะเริ่มให้ลงชื่อเข้าจอง เพื่อนำเงินทั้งหมดถวายพระครูวีระเพื่อนำเงินสร้างพระสังวราชุ่มเป็นหุ่นขี้ผึ้งซึ่งยังขาดปัจจัยอยู่อีกเเสนกว่าๆ
     
  18. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 กันยายน 2010
  19. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    เมื่อสักครู่มีคนเเจ้งความจำนงบูชาเเล้ว3องค์นะครับ อนุโมทนาสาธุๆด้วยนะครับ
     
  20. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    อนุโมทนากับทุกท่านด้วยนะครับ เงินทุกบาทถวายพระครูสิทธิสังวร หรือ หลวงพ่อวีระ หรือหลวงพ่อจิ๋ว คณะ5เพื่อ สร้างหุ่นขี้ผึ้ง พระสังวราชุ่ม วัดราชสิทธาราม คณะ5<!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...