พยากรณ์กรรม โดยยึดหลักธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'บริการรับดูดวง' ตั้งกระทู้โดย รัตนชาติ, 7 มีนาคม 2011.

  1. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    บุพกรรมของเปรตกินลูกคราวละ ๕ คน

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘
    ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา



    ๖. ปัญจปุตตขาทิกเปตวัตถุ
    ว่าด้วยบุพกรรมของเปรตกินลูกคราวละ ๕ คน
    พระสังฆเถระถามว่า
    [๙๑] ท่านเปลือยกาย มีผิวพรรณเลวทราม มีกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งไป หมู่แมลง
    วันพากันตอมเกลื่อนกล่น ท่านเป็นใครหนอมายืนอยู่ในที่นี้?
    หญิงเปรตนั้นตอบว่า
    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรต ถึงทุคติ เกิดในยมโลก เพราะทำ
    กรรมอันลามกจึงต้องจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก เวลาเช้าคลอดบุตร ๕ คน
    เวลาเย็นอีก ๕ ตน แล้วกินลูกเหล่านั้นหมด ถึงบุตร ๑๐ คนเหล่านั้น
    ก็ยังไม่อาจบรรเทาความหิวของดิฉัน หัวใจของดิฉันเร่าร้อนอยู่เป็นนิจ
    เพราะความหิวดิฉันไม่ได้ดื่มน้ำที่ควรดื่ม ขอท่านจงดูดิฉันผู้ถึงความ
    พินาศเช่นนี้เถิด.
    พระเถระถามว่า
    เมื่อก่อน ท่านได้ทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ หรือท่านกินเนื้อ
    บุตรทั้งหลาย เพราะวิบากแห่งกรรมอะไร?
    หญิงเปรตนั้นตอบว่า
    เมื่อก่อน หญิงร่วมสามีของดิฉันคนหนึ่งมีครรภ์ ดิฉันคิดชั่วต่อเขา มีใจ
    ประทุษร้าย ได้ทำให้ครรภ์ตกไป เขามีครรภ์ ๒ เดือนเท่านั้น ไหลออก
    เป็นโลหิต ครั้งนั้น มารดาของเขาโกรธ เชิญพวกญาติของดิฉันมา
    ประชุมซักถาม ให้ดิฉันทำการสบถและขู่เข็ญให้กลัว ดิฉันได้กล่าวคำ
    สบถและมุสาวาทอย่างแรงว่า ถ้าดิฉันทำชั่วอย่างนี้ ขอให้ดิฉันกินเนื้อ
    บุตรเถิด ฉันมีกายอันเปื้อนด้วยหนองและโลหิต กินเนื้อบุตรทั้งหลาย
    เพราะวิบากแห่งกรรม คือ การทำให้ครรภ์ตกและการพูดมุสาทั้งสองนั้น
    จบ ปัญจปุตตขาทิกเปตวัตถุที่ ๖.
     
  2. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก

    กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : หิวน้ำแต่ไม่มีน้ำให้กิน

    ชีวิตของคนเราจะเป็นไปอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับกรรมที่ตนเองกระทำไว้
    หากทำกรรมไว้ดี ก็ย่อมจะได้พบแต่ความสุขความเจริญ
    หากกระทำกรรมชั่วไว้ ย่อมพบแต่ความทุกข์ยากลำบาก
    ไม่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แต่กรรมที่เรากระทำจะส่งผลต่อไปถึงชาติหน้าด้วย

    คนที่รักสุขเกลียดทุกข์ จึงไม่ควรกระทำความชั่วโดยประการทั้งปวง
    ไม่ว่าจะเป็นที่ลับหรือที่แจ้ง เพราะกฎเกณฑ์ของธรรมชาตินั้นเที่ยงตรง
    ไม่มีใครที่จะสามารถโกงกฎของธรรมชาติได้
    มีทางเดียวที่จะทำได้คือปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรู้จักสร้างเหตุปัจจัย
    ที่จะส่งผลให้เราได้พบแต่ความสุข
    หากทำชั่วหรือสร้างเหตุปัจจัยที่จะทำให้ตนเองทุกข์
    เราก็จะต้องได้รับความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    ดังเรื่องของเปรตต่อไปนี้

    นานมาแล้วในเมืองสาวัตถี มีประชาชนเป็นจำนวนมาก
    ที่เป็นคนไม่มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ไม่มีความเลื่อมใส
    พวกเขาเหล่านี้มีจิตถูกครอบงำด้วยความตระหนี่ถี่เหนียว
    หวงแหนสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ไม่รู้จักแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนอื่น

    ในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่นั้น ไม่พากันทำบุญให้ทาน
    ไม่รู้จักสละทรัพย์สินเงินทองหรือสิ่งของช่วยเหลือคนอื่น
    ทั้งที่ตนเองมีทรัพย์สมบัติพอที่จะช่วยเหลือเจือจุนได้
    เพราะจิตใจเต็มไปด้วยความตระหนี่
    พวกเขาพากันดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความตระหนี่
    จนกระทั่งแก่ชราและตายจากโลกนี้ไปในที่สุด

    หลังจากที่ตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นเปรตอยู่ใกล้ๆเมืองสาวัตถี
    ที่พวกเขาเคยอยู่อาศัยตอนที่ยังมีชีวิต
    ทั้งนี้ก็เพราะผลกรรมคือความตระหนี่ที่พวกเขาสั่งสมไว้ นั่นเอง

    เช้าวันหนึ่งพระมหาโมคคัลลานะได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี
    ขณะที่กำลังเดินอยู่ ก็มองไปเห็นพวกเปรต
    ซึ่งมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวกลุ่มหนึ่ง
    จึงได้ถามพวกเปรตเหล่านั้นว่า เป็นใคร
    ทำไมจึงพากันเปลือยกายและมีรูปร่างผิวพรรณน่าเกลียดน่ากลัว
    ซูบผอม เนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น
    เหลือแต่ซี่โครง และทำไมจึงพากันมาอยู่ที่นี่

    เปรตจึงเล่าให้พระเถระฟังว่า พวกตนเป็นเปรต
    ได้รับ แต่ความทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส
    เพราะเคยกระทำ กรรมชั่วไว้มาก มีจิตใจชั่ว ไม่เคยให้ทาน
    รักษาศีล และเจริญภาวนา
    ไม่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย
    คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย
    พากันทำแต่กรรมชั่ว หลังจากตายจากมนุษยโลกแล้ว
    จึงมาบังเกิดเป็นเปรต

    พระโมคคัลลานะเถระได้ฟังแล้วจึงถามเพิ่มเติมว่า
    ได้พากันทำความชั่วอะไรไว้ หรือทำชั่วด้วยกาย วาจา และใจอย่างไร
    ผลแห่งกรรมจึงส่งให้ต้องมาเกิดเป็นเปรต ได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน

    พวกเปรตจึงได้เล่าเหตุแห่งกรรมชั่ว
    ที่ตนเองเคยกระทำไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ว่า

    ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ถึงแม้จะมีสมณพราหมณ์จำนวนมาก
    ที่เป็นเนื้อนาบุญ เป็นที่พึ่งอันยิ่งใหญ่
    แต่ พวกตนก็ไม่ได้ทำบุญกุศลอะไรไว้เลย ไม่เคยทำบุญให้ทานเลย
    แม้แต่เงินสักสลึงเดียวก็ไม่เคยบริจาค
    ถึงแม้ว่าจะพอมีทรัพย์สินเงินทองอยู่บ้างก็ตาม
    แต่ก็ไม่ได้พากันสร้างที่พึ่งไว้ให้กับตนเอง
    ไม่ได้สะสมเสบียงที่จะเดินทางต่อไปในชาติหน้าเลย

    เพราะเหตุที่ไม่เคยทำบุญกุศลอะไรไว้เลยตลอดชีวิต
    ทำให้ต้องมีแต่ความหิวกระหายน้ำแทบใจจะขาด
    มองเห็นแม่น้ำอยู่ข้างหน้าสายใหญ่ มีน้ำเอ่อล้นเต็มตลิ่ง
    แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้แม่น้ำ กลับพบแต่ความว่างเปล่า
    ไม่มีน้ำแม้สักหยดเดียวให้ได้ดื่มกิน !!

    ในช่วงเวลาเที่ยงวันที่ร้อนจัดแดดจ้าก็ถูกแดดแผดเผา
    ร้อนจวนเจียนจะไหม้ ใจก็แทบขาด
    มองเห็นต้นไม้ชายคาที่มีร่มเงาอยู่ใกล้ๆ อยากจะเข้าไปพักอาศัย
    แต่เมื่อ วิ่งเข้าไปหาร่มไม้เหล่านั้น ต้นไม้กลับหายไปหมด
    มีแต่ความร้อนระอุที่แผดเผาเพิ่มมากขึ้น

    เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีลมที่มีสีเหมือนกับไฟพัดผ่านมาแผดเผา
    ให้เร่าร้อนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา ทั้งลมร้อน
    ทั้งแดดที่ร้อนระอุแผดเผาร่างกายอยู่อย่างนั้น
    ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น

    นอกจากลมและแดดที่แผดเผาแล้ว
    พวกตนยังถูกความหิวแผดเผาให้ทุกข์ทรมานหิวจนกระทั่งท้องกิ่ว
    พากันเดินทางไปแสวงหาอาหารตามที่ต่างๆ มากมาย
    แต่ถึง จะเดินทางไปไกลหลายร้อยหลายพันโยชน์
    ก็ไม่สามารถ หาอาหารได้แม้แต่นิดเดียว
    จึงพากันเดินโซซัดโซเซกลับมาด้วยความหิวอย่างแสนสาหัส
    และพากันสลบล้มลงที่พื้นดิน กลิ้งเกลือกดิ้นรนไปมาอย่างอย่างทุรนทุราย
    ต่างคนต่างเอาศีรษะชนหน้าอกกันและกัน
    ด้วยความทุกข์ทรมานจากความหิว

    “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถึงอย่างนั้นก็ตาม
    ก็เป็นการสมควรแล้วที่พวกข้าพเจ้าได้เสวยทุกข์
    มีความกระหาย ความเร่าร้อน เป็นต้นเหล่านี้
    รวมถึงทุกข์อย่างอื่นอันชั่วช้าหนักหน่วงทั้งหลาย
    เพราะเมื่อทรัพย์สินเงินทองมีอยู่
    พวกข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน ไม่ได้ทำบุญให้ทาน
    ไม่ได้สะสมบุญกุศลอะไรไว้
    หากว่า พวกข้าพเจ้าหลุดพ้นจากผลกรรมนี้ไปแล้ว
    มีโอกาสได้ไปเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง
    พวกข้าพเจ้าจะทำแต่บุญกุศล
    ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา อย่างเต็มที่แน่นอน”

    พระมหาโมคคัลลานะได้ฟังเรื่องที่เปรตเล่าให้ฟังแล้ว
    ก็ได้นำมากราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ
    พระพุทธองค์จึงได้ทรงนำเรื่องนั้นมาเป็นอุทาหรณ์
    แสดงธรรมแก่ชนทั้งหลาย ซึ่งเมื่อได้ฟังธรรมเรื่องนี้แล้ว
    ต่างก็สามารถละมลทินคือ ความตระหนี่ออกไปจากจิตใจได้
    และเป็นผู้มีจิตใจอิ่มเอิบ เลื่อมใสศรัทธา
    ตั้งตนอยู่ในความดี รู้จักให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น

    คนจำนวนมากในปัจจุบันก็เป็นเช่นกับเปรตในเรื่องนี้นั่นเอง
    ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ก็มักจะดำเนินชีวิตไปด้วยความประมาท
    ไม่รีบสั่งสมบุญกุศลไว้ ถึงจะมีทรัพย์สมบัติ
    ก็มักจะนำไปใช้ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์
    เช่น เที่ยวกลางคืน ซื้อสุรามาดื่ม เล่นการพนัน เป็นต้น
    คนที่มีปัญญาเท่านั้นที่รู้จักแสวงหาความสุขอันประเสริฐ
    รู้จักให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา
    เพราะสิ่งเหล่านี้นอกจาก จะทำให้มีความสุขอยู่ในปัจจุบันแล้ว
    ยังส่งผลให้มีความสุขไปถึงโลกหน้าด้วย

    เราทั้งหลายจงอย่าปล่อยให้โอกาสอันประเสริฐ
    ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หลุดลอยไป
    จงรีบสั่งสมบุญกุศล ก่อนที่จะไม่มีโอกาส
    หากเราตายจากโลกนี้ไปแล้ว
    จะไม่มีโอกาสได้มาสั่งสมบุญกุศลเช่นนี้อีก
    ต้องรอรับผลบุญที่คนอื่นอุทิศไปให้เท่านั้น

    หากเราตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปเกิดเป็นเปรต
    แล้วไม่มีคนอุทิศบุญกุศลไปให้
    ก็ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะสิ้นเวรกรรม
    เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงไม่ควรรอคอยบุญจากคนอื่นเพียงอย่างเดียว
    ต้องสร้างความดีด้วยตัวของเราเองในชาตินี้ตอนนี้
    ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ อย่าปล่อยให้วันเวลา
    ล่วงผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์เลย จงใช้วันเวลาให้มีค่ามากที่สุด
    ให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ
     
  3. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    ขออนุโมทนาด้วยนะคะคุณปัจจัตตัง แต่ละเรื่องที่นำมาบอกกล่าวทำให้ได้คิดดีเหลือเกินค่ะ
     
  4. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    เวลาที่เราได้อ่านหรือได้ฟังธรรม จะทำให้เราได้ปัญญา นำมาพิจารณา ช่วยให้ความคิด จิตใจเราดีขึ้นได้มาก ปล่อยวางได้มากค่ะ
     
  5. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    การได้อ่านหรือการฟังธรรม ทำให้เราสามารถเกิดปัญญา และบรรลุเป็นโสดาบันหรืออรหันต์ได้ ในสมัยพุทธกาล สาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สำเร็จจากการฟังธรรมของท่าน เพราะฉะนั้นเราก็ควรฟังธรรมที่เป็นของพระพุทธเจ้า เพื่ออนาคตข้างหน้า มีโอกาสพบพระพุทธเจ้าได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์และได้สำเร็จ ขอให้ตั้งจิตอธิษฐานเอาแล้วกันค่ะ ว่าปรารถนาสิ่งใด
     
  6. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    ขอให้ทุกท่านตั้งจิตอธิษฐาน ให้หลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด เพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง โดยปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทาน ศีล สมาธิ ภาวนา (กาย วาจา ใจ)
     
  7. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    พูดถึงเรื่องการให้ทาน สำหรับการให้อามิสทาน คือ การบริจารทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของ ส่วนใหญ่จะทำกันได้
    การให้ธรรมทาน ในปัจจุบันก็มีผู้ปฏิบัติธรรม และพระสงฆ์ ที่ให้ธรรมทาน
    ส่วนการให้อภัยทานนั้น ข้อนี้สิสำคัญที่คนส่วนใหญ่ มักจะทำไม่ได้ เพราะเวลาที่เราโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท กับคนที่ไม่ดีกับเรา คือคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีกับเรา ทำให้เราเสียใจ น้อยใจ ผิดหวัง มีความทุกข์ ไม่มีความสุข หรืออิจฉา กลั่นแกล้ง ต่าง ๆ นานา ไม่ยอมความกัน ไม่อโหสิกรรม
    บางคนปากบอกอภัยได้ แต่ใจสิ ทำไม่ได้ ยังไงก็คิดไม่ให้อภัย ไม่อยากเมตตา ถ้าคิดดูดี ๆ ย้อนกลับไป สิ่งเหล่านี้ เราถูกกระทำ แต่ถ้าเป็นผู้อื่นที่ถูกเรากระทำหละ เค้าจะอโหสิกรรม อภัยทานให้เรามั้ย เราต้ืองการให้เค้าทำสิ่งใดถึงจะอโหสิกรรมหรืออภัยทานให้เรา เค้าก็ต้องการสิ่งนั้นเหมือนกัน
    ความเมตตา กรุณา จากจิตอันบริสุทธิ์ ความศรัทธา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ให้อภัยต่อทุกชีวิต ด้วยจิตที่เมตตา กรุณา ไม่เสแสร้ง แกล้งทำ ด้วยกาย วาจา ใจ พร้อมทั้ง 3 สิ่ง ขอให้จิตแน่วแน่ มั่นคง เพียรพยายาม หมั่นสร้างความดี ด้วยจิตที่เป็นกุศล ความสำเร็จต้องเกิดขึ้นในวันหนึ่งอย่างแน่นอน ขอให้เราตั้งใจจริง ไม่สั่นคลอน ท้อถอย ต่ออุปสรรคต่าง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเครื่องพิสูจน์ ในการฝึกกำลังที่จะก้าวไปสู่หนทางแ่ห่งการหลุดพ้น 31 ภพภูมิ
     
  8. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    นมัสการค่ะ พระอาจารย์
     
  9. ทางสายป่าน

    ทางสายป่าน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +6
    ช่วยดูให้ด้วยค่ะวันเกิดส่งทาง PM แล้วค่ะ
     
  10. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    ถามพระอาจารย์หน่อยค่ะ

    ว่าคนเราเกิดมาทำร้ายกันทำไม
     
  11. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    MYBUDHA เรื่องที่คุณถามมานั้น เกิดจากคุณเคยสร้างไว้นะค่ะ เรื่องของการผิดศีล เริ่มจากข้อ 3 จนทำให้ผิดศีลทุกข้อ
    คุณต้องตั้งใจสร้างกุศลอย่างจริงจัง ทาน ศีล ภาวนา แผ่เมตตาให้ตัวเอง คู่คุณ และบุคคลที่ 3 อย่างต่อเนื่องทุกวันและด้วยจิตที่เป็นกุศลจริง ๆ ให้ได้ และขออโหสิกรรมต่อกัน ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เคยทำผิดต่อกัน ด้วยกาย วาจา ใจ และจงระงับสิ่งที่เป็นอกุศลต่าง ๆ ด้วยการมีสติ
    เรื่องการงานก็มีผลสืบเนื่องกัน มักมีคู่แข่ง ศัตรู ที่ไม่ชอบกัน เกี่ยวกับการพูด คุณต้องนิ่ง ใจเย็น ไม่ปากไว สวดมนต์มากๆ มงคลสูตร กรณียเมตสูตร ขันธปริตร แผ่เมตตาให้เทพเทวา คนที่ทำงาน คนทีี่ไม่ถูกกันหรือมีปัญหากัน บ่อย ๆ
     
  12. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    ต้องขอโทษนะค่ะ คือว่า ดิฉันไม่ได้เป็นพระค่ะ
    เรื่องที่คุณถามมา ว่าคนเราเกิดมาทำร้ายกันทำไม นั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เป็นวิบาก ผลของเหตุที่เคยทำร้ายกันมาก่อน ถ้าเราคิดว่าผู้อื่นทำร้ายเรา เราก็ทำร้ายตอบ เหตุและผลแห่งกรรมนั้นก็ไม่จบ ยังคงเวียนว่ายตายเกิดกับเราไปเรื่อย ๆ เกิด-ดับ เกิด-ดับ เหมือนวัฏฏสงสาร ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่จิตของเราคิดปรุงแต่งเองทั้งสิ้น
    ถ้าเรายอมรับ อยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้ ด้วยความสุข ไม่ใช่ด้วยความทุกข์ กับสิ่งที่เกิดขึ้น คิดว่าผู้อื่นทำร้ายเรา มันเ้กิดขึ้น แล้วก็ดับ เป็นเวลาช่วงขณะหนึ่งเท่านั้น ความอดทน การปล่อยวาง การฝึกจิตให้มีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา โดยใช้อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    ในสิ่งที่เราคิดว่าผู้อื่นทำร้ายเรานั้น ถ้าเราคิดว่าเค้าหวังดีกับเรา ฝึกให้เรามีความอดทน ปล่อยวาง มีความเมตตา มากขึ้น และเกิดปัญญาในการแยกแยะผิดชอบชั่วดี และมีเวลาที่จะมองดูตัวเองให้มากกว่ามองดูผู้ือื่น มองดูว่าเรากำลังทำร้ายตัวเราเองอยู่ หรือผู้อื่นที่ทำร้ายเรา
    ขอให้จิตของเราสำรวจตัวเราเองมากกว่า ส่งจิตออกไปสำรวจนอกตัวเรา
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=78AtG4smcNo&feature=related"]?????????????????????????????? 5/8 - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กันยายน 2011
  13. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    ต้องขออภัยค่ะ ดิฉันเข้าใจผิดว่าท่านคือพระอาจารย์รูปหนึ่งที่ดิฉันรู้จัก เลยทักทายมาเช่นนั้น
    อยากถามคณว่า การคิดทำร้ายกันมาจากความอิจฉาเปนพื้นฐานได้ไหม ไม่อยากให้อีกคนหนึ่งได้ดี
    อนุโมทนาสาธุการ
     
  14. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=7xty724-68s"]ประวัติสมเด็จพุทธาจารย์โต http://www.youtube.com/watch?v=7xty724-68s[/ame]
     
  15. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    โลกมนุษย์เป็นที่ที่พระโพธิสัตว์และผู้บำเพ็ญตบะเลือกเป็นที่กำเนิด ไม่ว่าบุคคลผู้จะไปเกิดในสุคติภูมิก็ดี ทุคติภูมิก็ดี ก็ย่อมไปได้ด้วยกำลังแห่งบุญและบาป การได้คบบัณฑิตแลเป็นมงคลยิ่ง การได้คบบาปมิตรแลย่อมเสื่อมจากสมบัติทั้งปวง ดังนั้นบุคคลผู้มีปัญญาพึงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทเป็นนิตย์แล ใคร่ครวญ สาธยายในธรรมประการใดประการหนึ่งให้มาก ทำความเห็นแจ้งตามควรแก่ตน
    คุณปัตจะตัง เป็นผู้ที่มีปัญญาเลือกตอบข้อธรรมสมควรดีแล้วแล สาธุๆๆ
     
  16. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    ในเวลาที่ปากของเราได้พูดกับผู้ใดในเรื่อง ๆ หนึ่งสิ่งที่เราแนะนำเพื่อชี้แนวทางไปนั้น หูของเราก็ฟังเสียงพูดของตนเองเพื่อแนะนำตนเอง และนำสิ่งที่เราแนะนำนั้น มาพิจารณาด้วยปัญญาปรับปรุงตนเอง ระวังตนเอง พยายามมีสติให้เร็วมากขึ้นอย่าปล่อยให้อารมณ์ที่เป็นอกุศลอยู่กับเราได้นาน ให้ปัญญา สติที่เป็นมหากุศลอยู่กับเราบ่อย ๆ นาน ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ที่วิริยะและขันติ ส่วนการอธิษฐานและสัจจะในการตั้งมั่นศรัทธาบำเพ็ญบารมี ให้มีกำลังไม่หวั่นไหวต่อเหตุปัจจัยปรุงแต่งทั้งหลาย ขอคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งทุกภพทุกชาติจนกว่าจะหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิดขอพึ่งร่มโพธิ์พระพุทธศาสนาขอยึดมั่นในพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่ตั้งขอให้ได้พบพระพุทธเจ้าได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบรรลุธรรมตัดตัณหา อุปทาน กิเลส เครื่องที่ทำให้เศร้าหมอง ขอให้ กาย วาจา ใจเป็นกุศล อย่าได้มีเหตุปัจจัยใด ๆ ที่มากระทบให้เกิดอกุศล อายตนะทั้ง6 ได้รับแต่สิ่งที่เป็นกุศล มี ทาน ศีล ภาวนา เป็นเครื่องดับทุกข์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กันยายน 2011
  17. 678wish

    678wish เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +382
    รบกวนด้วยค่ะ วันพุธที่สี่ ธ.ค.สองห้าหนึ่งเจ็ด เวลาเก้านาฬิกาตรง
    -การงาน-อาชีพที่เหมาะ
    -การเงิน
     
  18. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    ในขณะที่คนเราเกิดโทสะ คือ โกรธ โมโห จะขาดสติ และทำให้เกิดอกุศลขึ้น เกิดได้ทาง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม บางคนก็กล่าวคำหยาบคาย ด่าทอ ต่อว่า เสียงดัง ตะคอก กับอีกฝ่าย เมื่อเกิดโทสะ (วจีกรรม-อกุศล) บางคนก็ขว้างปาข้าวของ ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน หรือเวลาเกิดโทสะ หน้าตาจะเหมือนกับยักษ์ น่ากลัว มีเขี้ยว ดุดัน โหดร้าย พร้อมที่จะเข้าทำร้าย กัดกินอีกฝ่ายหนึ่งได้ (กายกรรม-อกุศล) บางคนก็มีความคิดต้องจองล้าง จองผลาญ อาฆาต เครียดแค้น พยาบาท โกรธ เกลียด ไม่พอใจ อีกฝ่ายหนึ่ง แต่ทำอะไรตอนนี้ยังไม่ได้ ก็เก็บไว้ในใจ ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ ก็เอาคืน (มโนกรรม-อกุศลกรรม)
    จุดเริ่มต้นของการที่จะก่อเกิดจิตอกุศล ได้เริ่มจากจุดเล็ก ๆ นี้เอง แม้จะเกิดแค่ช่วงขณะหนึ่ง ก็สามารถสร้างอกุศลได้มากมาย บางคนถึงกับฆ่าแกงกัน จนอีกฝ่ายหนึ่งต้องตายจากกันไป โดยที่เกิดโทสะ และขาดสติ แต่พอโทสะนั้นจางลง ก็ค่อยคิดได้ว่า ไม่ควรทำไปแบบนั้นเลย แต่บางครั้งก็สายเกินแก้ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นผู้ถูกกระทำนั้น ได้รับความเสียหาย เช่น สูญเสีย อวัยวะ หรือเสียชีวิต
    โทสะนี้ เมื่อเกิดขึ้นบ่อย ๆ จะถูกสะสมจนเป็นนิสัย เป็นความเคยชิน
    สิ่งที่ทำให้เกิดโทสะมาจากเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่กระทบอายตนะทั้ง6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรา ทำให้จิตของเราเกิดกุศลก็ได้ เกิดอกุศลก็ได้
    เราต้องฝึกปฏิบัติจิต ให้มีสติ จนเป็นนิสัย ให้มีความเคยชิน ทุก ๆ ลมหายใจเข้า-ออก ฝึกได้ตลอดเวลาที่เรายังมีลมหายใจ เข้า-ออก
     
  19. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    รัก โลภ โกรธ หลง ก็คือ ต้นเหตุของการเกิดทุกข์ ปัญหาที่เกิดกับเราทุกวันนี้ก็มาจากสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น
    คนส่วนใหญ่รักความสะดวก สบาย ต้องการเป็นเจ้าของ ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของตน แข่งขัน แ่ก่งแย่ง ในสิ่งที่ตนต้องการ เพื่อให้เป็นสมบัติของตน ไม่ว่าจะต้องกระทำอย่างไร และสิ่งที่จะทำให้ได้สิ่งนั้นมา ก็คือ เงิน อำนาจ เป็นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ บันดาลได้ทุกอย่างที่ต้องการ ได้รับความสะดวก สบาย ความสุข ความพอใจ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็ค่อย ๆ ตาม ๆ กันมา จิตของเราก็เกิดอกุศลมาเรื่อย ๆ
    อีกสิ่งหนึ่งคือ คนเราไม่รู้จักพอ เช่น มีภรรยา 1 คนไม่พอ มีสามี 1 คนไม่พอ มีสมบัติไม่พอ ต้องมีมากกว่านี้ ทุกอย่างเมื่อไม่พอ ก็เกิดปัญหา ต้องขนขวายให้ได้มามาก ๆ เพื่อให้พอแก่ความต้องการของตน (มงคลสูตร-คำแปล-จะทำให้เราทราบว่า อะไรคือมงคลสูตร ถ้าปฏิบัติได้ตามนี้ จะเป็นมงคลกับตนเองอย่างไร)
     
  20. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    บางครั้งเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราพูด เราทำ กระทบอายตนะของผู้อื่นอย่างไรบ้าง มีทั้งกุศลและอกุศล จึงมีคำสอนว่า ให้ พูดน้อย กินน้อย นอนน้อย ปฏิบัติให้มาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...