พบปะ พูดคุย ประสาเพื่อนพ้องน้องพี่ แบบกันเอง

ลักษณะของการเข้าประทับทรง แบบต่างๆ

ลักษณะของจิตวิญญาณในระดับต่างๆ ที่ลงมาประทับทรงหรือเข้าทรงมนุษย์นั้น หากเรารู้จักสังเกตให้ดี ก็พอจะแยกได้ว่าเป็นเทพ หรือเป็นผี โดยอาศัยหลัก พิจารณา ดังนี้

1. ประทับทรงจากส่วงล่าง จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากปลายเท้าขึ้นมามักจะเป็นพวกสัมภเวสี หรือวิญญาณมนุษย์ที่ตายไปแล้ว

2. ประทับทรงจากด้านหลัง จิตวิญญาณใดประทับทรงจากด้านหลัง มักจะเป็นวิญญาณทั่วไปที่มีฤทธิ์อำนาจ ซึ่งมักจะเรียกขานกันว่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เป็นต้น

3. ประทับทรงจากด้านหน้า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากด้านหน้า มักจะเป็นวิญญาณของมนุษย์ที่ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์

4. ประทับทรงจากทางบ่า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากทางบ่า มักจะเป็นเทพ หรือดาบสที่มีฤทธิ์ในระดับกลางๆ

5. ประทับทรงจากกลางกระหม่อม จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากส่วนศีรษะหรือกระหม่อม มักจะเป็นเทพในระดับสูง

ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ว่าเราจะถูกทักว่ามีองค์หรือไม่ก็ตาม ถ้าหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงครูบาอาจารย์ องค์เทพเทวาที่คุ้มครองรักษาตนเองและทำบุญอุทิศบุญไปให้ท่านก็น่าจะเพียงพอ เพราะการที่เทพมาอยู่กับเรา ก็ด้วยปราถนาจะได้ร่วมสร้างบารมีและช่วยเหลือผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน พาร่างสร้างบารมีทำบุญไหว้พระ
สร้างแต่กรรมดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
เพราะองค์เทพทั้งหลายนั้น เป็นผู้ที่มีจิตเมตตา ประกอบด้วยธรรมชั้นสูง อย่างหิริโอตตัปปะ คือ ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ย่อมไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้กับร่างที่มาอยู่ด้วย เพราะองค์เทพท่านก็กลัวบาป การที่จะทำให้เจ็บป่วยหนักหนาแสนสาหัส หรือลงโทษอะไรหนักหนา คงไม่มี นอกจากท่านจะมาให้ความช่วยเหลือเท่านั้น

แต่การที่คนเราเจ็บป่วยหรือมีปัญหากันในด้านต่างๆ มันเป็นเรื่องของ "วิบากกรรม" หรือผลของกรรมของแต่ละคนเองที่ก่อขึ้นมา ไม่มีใครจะเข้าไปแก้ไขได้ แต่ละคนต้องแก้ไขเองทั้งสิ้นด้วยการกระทำความดีให้มากๆ เป็นการเจือจางกรรมหนักๆ ทั้งหลายให้เบาลง ส่วนในด้านองค์เทพ ฉันท่านเพียงช่วยประคับประคอง หรือดลจิตดลใจให้คนที่กำลังมีความทุกข์ได้มีกำลังพอที่จะทำความดีให้มากๆ เท่านั้นเอง

การที่คนคนหนึ่งจะสามารถติดต่อสื่อสารกับองค์เทพได้หรือไม่นั้น คนคนนั้นจะต้องมีญาณบารมีให้ถึงพร้อมเสียก่อน จึงจะสามารถติดต่อกับองค์เทพได้จริงๆ หรือเป็นผู้ที่มีความสามารถเข้าถึงองค์เทพต่างได้อย่างบริสุทธิ์

 

จัดหนัก รับปีใหม่ครับ





<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

 

" การประทับร่างทรงของเทพนั้นมีสาระสำคัญที่เป็นจุดเน้นคือ ให้มนุษย์ทุกคนละเว้นจากกิเลส สิ่งชั่วร้าย ทั้งหลายเพื่อขจัดความสับสนวุ่นวาย ความเสื่อมของสังคมให้หมดไป เพื่อมนุษย์จะได้อยู่อย่างสงบสุข ให้ทุกคนทำความดีช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ศรัทธาในศาสนาเพื่อความสุขในชีวิต "

 

พระเจ้าตากงามมากค่ะ..

 

ส่งท้ายวันหยุดยาวยาว

​

 

จัดหนัก รับปีใหม่ครับ





<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

 

จัดหนัก รับปีใหม่ครับ




เอาใจคนรักหลวงปู่ฤทธิ์ (โดยเฉพาะคุณอั๋นวัดสามกับคุณพลศิริ) คริ คริ


<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

ผมขอตัวไปธุระก่อนครับ เดี๋ยวค่ำ ๆ มาใหม่ครับ

 

ส่งท้ายวันหยุดยาวยาว


สมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ ท่าำพระจันทร์
​

 

ส่งท้ายวันหยุดยาวยาว

ชุดนี้ จากอุบลครับ
​

 

ส่งท้ายวันหยุดยาวยาว


​

 

ส่งท้ายวันหยุดยาวยาว


​

 

ส่งท้ายวันหยุดยาวยาว


​

 

ส่งท้ายวันหยุดยาวยาว


กริ่งหน้าตาแปลกแปลก แต่ขลังขนาดครับ กริ่งเขมร หรือกริ่งตั๊กแตน ลพ.เที่ยง เขากระโดง บุรีรัมย์
​

 

ญาณบารมี คือ อะไร
คำว่า "ญาณบารมี" นั้น เกิดจากการสัมผัสและเข้าถึงองค์เทพต่างๆ เพื่อดูว่าแต่ละท่านนั้น มีองค์ใดช่วยอยู่ ในที่นี้ ให้เข้าใจว่า องค์เทพใหญ่ๆ จะไม่ลงมาทั้งองค์ แต่จะแบ่งส่วนบารมี หรือบุญของท่าน ลงมา เรียกว่า ญาณบารมี ของเหล่าองค์เทพ

การจะมีญาณบารมีได้นั้น เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า มนุษย์เรานั้นจะได้รับบุญบารมีของเทพได้ เราต้องเป็นผู้กระทำความดีเสียก่อน หลักของความศักดิ์สิทธิ์ของเทพและมนุษย์นั้น อยู่ที่จิตใจที่บริสุทธิ์และสร้างกรรมดีมากพอ ตัวของเราจึงเหมาะสมที่จะได้รับญาณบารมีจากท่าน

แล้วจะสร้างบารมีขึ้นมาได้อย่างไร ?

วิธีสร้างบารมีในพระพุทธศาสนามีอยู่ 3 ขั้นตอน คือ
การให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา ที่นิยมเรียกกันว่า
"ทาน ศีล ภาวนา"

การให้ทานหรือการทำทานนั้นเป็นการสร้างบุญที่ต่ำที่สุด ได้บุญน้อยที่สุด ไม่ว่าจะทำมากอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากไปกว่าการถือศีลไปได้ และการถือศีลนั้นแม้จะมากอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากเกินไปกว่าการภาวนาไปได้เช่นกัน

การเจริญภาวนานั้น จึงเป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุด ได้บุญมากที่สุด ในทุกวันนี้เรารู้จักกันแต่การให้ทานอย่างเดียว เช่น การทำบุญตักบาตร ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สละทรัพย์สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ส่วน การถือศีล แม้จะได้บุญมากกว่าการทำทาน ก็ยังมีการทำเป็นส่วนน้อย ส่วนอานิสงส์ของสมาธินั้น มีมากกว่าการรักษาศีลอย่างเทียบกันไม่ได้ ซึ่ง พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า

" แม้จะได้อุปสมบทเป็นภิกษุรักษาศีล 227 ข้อ ไม่เคยขาด ไม่ด่างพร้อยมานานถึง 100 ปี ก็ยังได้บุญกุศลน้อยกว่าผู้ที่ทำสมาธิเพียงให้จิตสงบนานเพียงชั่วไก่กระพือปีก ช้างกระดิกหู "

คำว่า จิตสงบ ในที่นี้หมายถึงจิตเป็นอารมณ์เดียงเพียงชั่ววูบ ที่คำพระท่านเรียกกันว่า
"ขนิกสมาธิ" คือ สมาธิเล็กๆ น้อยๆ สมาธิแบบเด็กๆ ที่เพิ่งหัดตั้งไข่คือ หัดยืนแล้วก็ล้มลงแล้วก็ลุกขึ้นยืนใหม่ ซึ่งอารมณ์จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น สงบวูบลงเล็กน้อยแล้วก็รักษาไว้ไม่ได้ ซึ่งยังห่างไกลต่อการที่จิตถึงขั้นเป็นอุปจารสมาธิและฌาน

แต่ถึงจะเป็นการเข้าสมาธิเพียงชั่วแวบเดียว ก็ยังมีอนิสงส์มากมายถึงเพียงนี้ โดยหากผู้ใดทรงจิตอารมณ์อยู่ในขั้นขณิกสมาธิ แล้วบังเอิญตายลงในขณะนั้น อานิสงส์นี้จะส่งผลให้ไปบังเกิดในเทวโลกชั้นที่ 1 คือ ชั้นจตุมหาราชิกา หากจิตยึดไตรสรณคมณ์ มีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันสูงสุด ก็เป็นเทวดาชั้นที่ 2 คือ ชั้นดาวดึงส์

 

ส่งท้ายวันหยุดยาวยาว


​

 

ส่งท้ายวันหยุดยาวยาว


​

 

ส่งท้ายวันหยุดยาวยาว


​

 

ส่งท้ายวันหยุดยาวยาว

สุดยอดเกจิเมืองรัตนบุรี สุรินทร์ฺอีกรูปครับ






​

 

ส่งท้ายวันหยุดยาวยาว








​

 

น้องพลศิริ ยังไม่หมดแรงอีกน้อ