ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    :cool::cool::cool: ณ ตอนนี้ก็ยังอยู่เมืองฝรั่งอยู่ค่ะ สมัยเริ่มรินั่งสมาธิใหม่ๆ ย้ายบ้านมาใหม่ หลายปีแล้ว ห้าหกปี ตอนบ่ายอยู่บ้านคนเดียว ประตูหน้าต่างปิดสนิทหมด เพราะอากาศข้างนอกเย็น ตอนนั้นนั่งอยู่ที่โซฟาคนเดียวบ้านเงียบสนิทจริงๆ ผ้าม่านฝรั่งก็เป็นแบบคลื่นๆ สมัยนั้นยังไม่ได้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงใดๆ เลย จู่ๆ เห็นผ้าม่านเหมือนโดนปัดไม่ได้ปัดด้านล่าง แต่ปัดด้านบนห่างเพดานลงมาสักศอกนึง ตรงนี้ไม่ได้เป็นหน้าต่าง เป็นแบบกระจกฝาบ้านบานใหญ่ไม่มีช่องลม วูบนั้นขนลุก ผีฝรั่งจะสื่อสารเราหรือ หรือกลัวเราหรือ ผีฝรั่งคงงง ผู้หญิงหัวดำมานั่งทำอะไรในห้องนั้น คง งง อีก ไม่เคยเห็นคนทำสมาธิ แต่มา ณ ตอนนี้คงได้บุญเยอะไปผุดไปเกิดที่ไหนแล้วก็ไม่รู้
    จากวันนั้น มา วันนี้ ยังไม่เห็นใครแสดงฝีมือปัดผ้าม่านให้ดูอีกเลย แต่มีแต่เสียงลั่นเปรี้ยะของไม้ ชอบดังตอนทำสมาธิ ดังอย่างโดนปาบ้าน แต่จริงๆ แล้วคงดังเบาๆ แหละ แต่หูดันดีไปหน่อยตอนทำสมาธิ สมัยตอนริเริ่มใหม่ๆ แม้แต่เสียงนาริกาข้อมือเดินที่วางห่างไปอีกสองเมตร ยังได้ยิน แต่ตอนนี้ไม่ค่อยสนใจสิ่งเหล่านั้นแล้วละ:boo::boo:
     
  2. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    เหมือนกันเลยค่ะเคสนี้เรื่องผ้าม่านของหนูเมื่อเดือนกว่าๆนี่เองปิดบ้านหมดไม่มีลมเข้าแต่ผ้าม่านสะบัดเอง ก็เลยมองไปเฉยๆคือกลัวอยู่แต่พยายามไม่สนใจ.

    พี่ธรรมชาติคะหนูสงสัยเรื่องเพื่อนคนนึงเหมือนเค้ามีวิญญาณมาอยู่ด้วยต้องกินเจตลอด ช่วงกินเจต้องไปร่วมขบวนด้วยหรือต้องนั่งสมาธิอะไรบ้างล่ะ หรือเค้าต้องเห็นวิญญาณตลอดรู้สึกตลอดบางครั้งก็ทักเราเช่นตัวเหม็นบ้าง เป็น(ช่วงที่เรายังไม่ปฏิบัติจริงจังน่ะค่ะ) แล้วบอกว่าเมื่อกี้เค้าไม่ได้พูดนะ คือเหมือนเค้าจะเห็นเจ้ากรรมนายเวรคนอื่นถ้าไม่ไหวจริงๆเค้าถึงจะบอกเพราะจะไปรับกรรมเค้ามาว่างั้น เคยแซวเล่นๆว่ามันดีหรือเป็นกรรมเป็นเวรน่ะ เค้าบอกว่าน่าจะเป็นกรรมนะ 555 เคยชวนเค้าไปหาหลวงปู่ด้วยกันแต่เค้าไม่ไป คุยเรื่องพระ เค้าก็เฉยๆหรือจะไม่ใช่แนวของเค้า เค้าเคยทายใจคนอื่นด้วยว่าคิดอะไร แต่เค้าทายหนูไม่ถูก เคยถามคนที่เค้าทาย คนนั้นบอกว่าถ้าไม่อยากให้เค้ารู้ก็ปิดสิ เราก็งง ปิดไงหว่า แต่พอรู้จากพี่ธรรมชาตินี่แหละค่ะ เมื่อวานตอนนั่งรถมาสกลนครพูดเรื่องอุบัติเหตุคนตายจากข่าว ซักพักเค้าบอกหยุดพูดเถอะเค้าร้อนกลางอกมาก เมื่อตอนช่วงเสื้อเหลือง-แดงยิ่งร้อนมาว่างั้น (ถ้าหนูเอารถมาเองคงแวะกราบวัดครูบาอาจารย์ที่พรรณานิคม จากถนนใหญ่ 5 กิโลเอง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 ตุลาคม 2014
  3. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ขอบคุณพี่จิตวิญญาณมากคะ สำหรับคำแนะนำ พี่ธรรม-ชาติเลยบอกวิธีการแบบจัดเต็มให้เลย ^_^

    พี่คะ สมมติว่าเราจะ "แตะ" อาจจะแตะแรงไปกลายเป็นตรึงแทนจะเกิดอะไรขึ้นคะ
    มันจะเป็น แย๊บ ๆ แต่เผลอชก อะป่าว -_-

    "การมองระดับ 3 แบบหลับตา" ทำไงอะคะ ตามความเข้าใจคือก็มองระดับ 3 แบบ ลืมตา แล้วหลับตาลง หรือเปล่าคะ แล้วไงต่อ
    การมองในทุกวันนี้ก็ส่วนใหญ่จะเป็นระดับ 3 อยู่แล้วคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2014
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ปกติแล้วเขาจะมา "Say hi" ในคืนแรก ไม่ปล่อยให้นานเป็นเดือนอะไร "น่าจะเป็นธรรมเนียมของผีฝรั่ง" มากกว่า การอยู่เมืองฝรั่งหากสังเกตุก็คงรู้ได้ว่าการ "Say hi" ของคนนั้นเป็นเรื่องธรรมดามากกว่าคนไทยแยะ

    +++ อีกครั้งหนึ่งก็คือ ตอนที่ผมย้ายออกจากบ้านน้า ไปนอนคอนโดที่ผมซื้อเองคืนแรก เขาก็มา "Say hi" เลย แถมมา "Say hi" แบบมีปริศนาธรรมพ่วงติดมาด้วย และเป็นปริศนาธรรมของ "กาลามสูตร" (10 ไม่ต้องเชื่อ) และการแสดงธรรมของเขานั้น "พิสดารมาก" เริ่มต้นแบบเป็น "แท่นอาสนะหินกลางป่า" แต่ดันมีกล่อง "จูมันจี้" (แบบหนังเรื่อง Jumanji) ตั้งไว้ตรงกลาง พอผมเข้าไปดูใกล้ ๆ ตาน้ำวนกลางกล่องก็เริ่มหมุนทันที แล้วก็เป็น "อักขระโบราณ" (ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน) ลอยออกมาจากตาน้ำวนกลางกล่องนั้น แต่ตัวพูดมากของผมมันอ่านออกมาว่า "อย่าเชื่อเรื่องเล่า" แล้วตัวอักษรก็หายไป ตัวอักษรชุดใหม่ก็ออกมาอีกหลายครั้ง สรุปออกมาว่า "อย่าเชื่อเรื่องเล่า อย่าเชื่อข่าวลือ อย่าเชื่อความคิด อย่าเชื่อคนอื่น" ต่าง ๆ ซึ่งเนื้อหาตรงกับ "กาลามสูตร" เลย

    +++ อีกช่วงหนึ่งตอนนั้นอากาศหนาวมาก snow ลงจัดจนไม่มีใครออกจากบ้าน ผมกำลังจับไข้อยู่ ขณะนอนหลับ "เขา" ก็มายืนเฝ้าไข้อยู่ตรงปลายเท้าผม เป็นลักษณะยืนกับพื้นดิน อีกครึ่งตัวชำแรกแฝงอยู่กับพื้น เห็นชัดทั้งตัวทั้งบนพื้นและใต้พื้นห้อง ตอนนั้นยังหลับอยู่ ตอนรุ่งเช้าก่อนเขาจะไป ก็ปลุกผมโดยจับที่ปลายหัวแม่เท้าผมเบา ๆ จนผมตื่น จึงเห็น เครื่องแบบการแต่งกายของเขา ว่าเป็น uniform แปลก ๆ รวมทั้งสะพายปีนที่ยาวมาก ตอนหลังได้ถามเพื่อนบ้านฝร้่งที่อยู่ติด ๆ กันถึง uniform ประหลาดนี้ เขาก็บอกว่า "ครั้งหนึ่ง ทหารของ state นี้ เคยใส่ uniform แบบนี้มาก่อน" รวมทั้งปืนที่ยาวมากนั้น ทั้งหมดน่าจะมีมาก่อนสมัย "สงครามกลางเมือง" และน่าจะก่อน "สงครามประกาศเอกราช" ด้วยซ้ำ

    +++ เรื่องของ ผีฝรั่ง คงพอแค่นี้นะ คนดีผีคุ้มไปที่ไหนก็มาเอง ไม่ต้องไปร้องขออะไร ปฏิบัติให้ "ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง" (อุชุปะฏิปันโน) ก็แล้วกัน "เราไม่ต้องไป หลง ภพภูมิอะไร" แต่ปล่อยให้ "ภพภูมิ ชื่นชม การปฏิบัติธรรมของเรา" ก็พอแล้ว

    +++ ในยามจิตสงบและ "อายตนะ" (perception) เปิดกว้าง ย่อม "ได้เห็น" "ได้ยิน" สิ่งที่ละเอียดกว่า ตรงนี้ "เป็นเรื่องธรรมดา" นะครับ
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ จิตเรามีได้ จิตเขาก็มีได้ เช่นกัน และในตอนต้น ๆ ของการฝึก "มหาปัฏฐาน" ภาคขากลับนี้ ผมเคยกล่าวไว้แล้วว่า "ขันธ์ เป็นของ สาธารณะ"

    +++ เรื่องเพื่อนของคุณ jsso นั้น น่าจะมี "จิตอื่น" มาขอ "แบ่งขันธ์ใช้บ้าง" อะไรทำนองนี้้ อะนะ ก็ยังดีที่เป็นพวก "ไม่กินเนื้อสัตว์" ก็พอจะมั่นใจได้ว่าไม่ใช่ "ปอบ" อะไร

    +++ เรื่องที่เขา "ทาย หรือ อ่าน" เราไม่ออกนั้น เป็นเรื่องธรรมดา "ใครก็ตามที่ได้ กายเวทนา แล้ว" พวกชาน พวกยาน โทงเทง อะไรก็ทำได้แค่ "นั่งเดา" เท่านั้นแหละ ยิ่ง "อยาก" ดูเรามากเท่าไร "กิเลส" ข้างในก็ยิ่งปรุงมากขึ้นเท่านั้น (นึกเอาเองว่า ตน เก่งมาก ที่มองเราออก) แต่จะยิ่งทำให้ "ยิ่งมายิ่งวิปลาส" มากขึ้นไปเรื่อย ๆ เอง ตรงนี้ "เขาทำตัวเขาเอง" เราไม่ได้ไปรู้เรื่องอะไรด้วย และเรื่องการปรุงนั้น "ยิ่งดูก็ยิ่งผิด" และนี่คือ "ต้นเหตุแห่ง ฌาน เสื่อม" หากมาก (เก่ง) ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ ก็จะถึงขั้น "ปิดมรรค ปิดสวรรค์ นิพพาน" ได้ไม่ยากเลย

    +++ เรื่องเพื่อนของคุณ jsso นั้น ทางเดินของเขากับเรา เดินกันคนละทาง คบหาพูดคุยกันได้ แต่อย่าไปก้าวก่าย "ทางเดิน" ซึ่งกันและกัน เท่านั้นเอง นะครับ
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การแตะคือ "ดูแค่เห็น แว๊ปเดียว" แล้วถอน ทันที ตรงนี้เป็น แย๊บ

    +++ แต่ถ้า "ดูแล้ว ตรึง จิตของเขาเลย" ตรงนี้มีค่าเท่ากับ KO = Knock Out ไปเลย ขั้นต่อไปคือ "ชันสูตร" ตามสบาย

    +++ คงจำในช่วงฝึก "เจโตปริยะญาณ" ได้นะ ที่ให้ "ดูแบบแตะแผ่ว ๆ" ก็รู้ว่า "ใคร" นั่นแหละ ตรงนี้เป็น แย๊บ

    +++ ถ้าดูแบบ ไม่เกรงใจ ก็คือ ดู "ตรง ๆ แล้ว ไม่ถอน" ตรงนี้เป็น "ชก"

    +++ แต่ถ้า ดูแล้วตรึง ตรงนี้เป็น หยุดและ freeze อยู่ตรงนั้น ตรงนี้เป็นช่วงที่ "เมิล" กะลังจะเข้า "สิง" ผีตัวนั้นอะดิ หุหุหุ

    +++ "ตามความเข้าใจคือก็มองระดับ 3 แบบ ลืมตา แล้วหลับตาลง" ตรงนี้ "เกือบถูก" เพียงแต่เปลี่ยนภาษาจาก "หลับตาลง" มาเป็น "ปิดเปลือกตาลง" เฉย ๆ

    +++ ทำตามนี้แล้วจะ "ชัดเจนได้เองว่า" ภาษาของ "การปฏิบัติ" นั้น ให้ผลต่างจาก "ภาษาของตำรา" อย่างไร และ ให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างไร

    +++ หลังจาก "ปิดเปลือกตาลง" แล้ว perception จะ "กวาดรวบ" ไปครบ 360 องศา โดยมี "ตัวดู ถูกรู้" อยู่ตรงกลาง เหมือน "ไข่แดง" ยังไงยังงั้นเลย

    +++ ลองทำดูสัก 3-4 รอบ ไม่น่าเกิน 2 นาที ก็จะ "รู้แจ้ง" ในอาการนี้ได้เอง นะครับ
     
  7. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ดูสิว่า “ ใครสิงใครกันแน่ “

    ขำเลยค่ะ กับบักพรายดำก็เคยลองเข้าไปเป็นตัวดูของมันมาแล้ว มันมาอนอัว ก็เลยทำปัฎฐาน ที่แรกก็แปลกใจ มันเป็นพลังกามารมณ์ ก็ยัง ฮ่วย ผู้ได๋มาเอ็ดอิหยังอี๊ก ดีที่มันไม่วิ่งแว๊ปๆให้เห็นทางหางตา เอ อย่างนี้เข้าข่าย ถูกมันสิง หรือ สิงมันหว่า ก็ไม่รู้ซินะ อิอิ

    ปล. ถามเป็นความรู้ค่ะ ที่บอกว่า "ห้ามใช้ ตัวดู เป็นใส้เทียน" สมมุติว่าถ้าใช้ตัวดูเป็นไส้เทียน ก็จะถูกพลังมันครอบงำ จนกลายเป็นภพภูมิมัน อย่างนั้นหรือเปล่าคะ
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ หุหุ คุณ จิตวิญญาณ มีขีดความสามารถในการ "สิง" ได้แล้ว ไม่นานก็จะสามารถ "ไขปริศนา" ในเรื่องของ "การลงทรง" ได้ไม่ยาก เพราะมันเป็น "กระบวนการเดียวกัน" และจะสามารถแยกแยะได้ทันทีเลยว่า "ใครทรงใคร" รวมทั้ง "เจตนาในการลงทรง" มุ่งชี้ไปทางไหนกันแน่ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่อง "รู้ไว้ใช่ว่า" และ "รู้ย่อมดีกว่าไม่รู้" เพราะมันสามารถสืบสาวโยงใยไปจนถึง "กฏแห่งกรรม" ในระดับ "พหุภาคี" หลากหลายซับซ้อน ได้ไม่ยาก กิจส่วนตนก็ไม่มีปัญหาแล้ว ทั้งหมดก็ "อยู่ไปตามความเป็นจริง" และเรียนรู้ไป "ตามความเป็นจริง" เพียงแต่ว่า ความจริงที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ ที่เรียนรู้ได้นี้ "มีความซับซ้อนจน ยิ่งคิดยิ่งผิด" จะเรียนรู้ได้ก็ต้อง "ไม่คิด และเดินจิตตามความเป็นจริง" เท่านั้น

    +++ ตรงนี้เป็นคำถามที่ดี "ตัวดู" ตามสภาวะธรรมของมันแล้ว มันก็คือ "ธรรมารมณ์" ตัวจริง ซึ่งมีสภาพเป็น "สนามพลัง" สนามหนึ่ง

    +++ สนามพลังแห่ง ธรรมารมณ์ นี้แปรปรวนได้เป็นนิจ ในทุกขณะของความแปรปรวนที่เกิดขึ้น มันก็จะ "จูนคลื่น" เข้ากันกับสิ่งที่เรียกว่า "ภูมิ" ต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ผู้ใดที่ไม่สามารถ ควบคุมตัวดูได้ ก็จะ random ไปเกิดยังภูมิต่าง ๆ แล้วแต่ "ความแปรปรวน" ในขณะจิตนั้น ๆ ตรงนี้เรียกว่า "ตามแต่ยถากรรม" จะพาไป หรือ "อาสัญกรรม ส่งผลก่อน" เป็นต้น

    +++ ทุกขณะที่ "ความแปรปรวน แปรเปลี่ยน" อยู่นี้ สนามพลังสนามนี้ ก็จะดึง สภาวะที่อยู่รอบ ๆ ของมันเข้ามา "ผสมโรง" ลงไปในตัวมันด้วย สภาวะ random ที่ถูกดึงเข้ามาผสมโรงนี้ หากสังเกตุให้ดี และละเอียดจริง ๆ แล้ว ก็จะรู้ได้ว่า มันตรงกับสิ่งที่เรียกว่า "พลังแห่งวิบาก" นั่นเอง

    +++ ตรงนี้แหละ ผมจึงระบุไว้ว่า "ห้ามใช้ ตัวดู เป็นใส้เทียน" เพราะ "สนามพลังแห่งวิบาก" จะเกิดการผสมกันได้แล้วก็จะกลายเป็นว่า "เราเข้าไปแทรกแซง วิบากกรรม ของผู้อื่น" รวมทั้ง "อาจโดน วิบากกรรมของผู้อื่น ติดตัวมาด้วย" ดังนั้นสิ่งที่เรียกกันว่า "ไปแบกกรรมของเขามานั้น" ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน หากเราไม่รอบคอบพอ

    +++ ดังนั้น "การศึกษา" ตรงนี้จึง "ให้ใช้ สภาวะรู้ เป็นใส้เทียนเท่านั้น" เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด "การแทรกแซง ระหว่างสนามพลัง" อันสามารถเกืดขึ้นมาได้ตามธรรมชาติของพลังงาน นะครับ
     
  9. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    "นักศึกษาในกระทู้นี้" ไม่ได้อยู่ในฐานะของ "ผู้งอมืองอเท้า" ที่จะต้อง "ร้องขอ" อะไรจากภพภูมิไหน ผมฝึกให้ "ทุกคน พึ่งตัวเองได้ ทางจิต" (คำสอนในทาง พระพุทธศาสนา และ ครูบาอาจารย์ในสาย พระป่า ทุกองค์ ไม่เคยถูกฝึกให้ "ร้องขอ" หรือต้อง "พึ่งพา" พวกภพภูมิ แต่ได้รับการฝึกแบบ "ตนเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งแห่งตนได้") ในทุกกรณี ตรงนี้ให้ "สังเกตุ" ให้ดีก็แล้วกัน

    อ่านแล้วชอบตรงนี้มากๆ ตอนย้ายเข้าบ้านใหม่มีแต่คนถามว่าไม่นิมนต์พระมาเหรอ เราก็บอกว่าไม่ดีกว่า จะไปนิมนต์หลวงปู่คิดแล้วไม่ดีกว่า ทรมานธาตุขันธ์ท่านสู้เราไปหาท่านบ่อยๆดีกว่า เมื่อเดือนสองเดือนที่แล้วเองค่ะ ช่วงที่รู้สึกบ่อยๆถึงพลังงาน ฝันว่ามีรอยเจิมตรงประตูห้องนอนเป็นรอยสีทองสว่างๆ แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำค่ะ แต่นับจากวันนั้นมาไม่รู้สึกว่าจะมีอะไรวนเวียนอยู่รอบตัวในบ้านอีกเลย ก็แปลกดี

    เรื่องผีเฝ้าไข้ทำให้นึกถึงตอนมหาลัยปี 1 ตอนนั้นอยู่หอในเป็นหอหญิงล้วนมีเรื่องเล่าสยองขวัญมากมายใครทำอะไรไม่ดีเจอหมด เช่น พาเพื่อนมาเสียงดังในหอ แอบไปข้างนอกตอนกลางคืน รุ่นคนนึงเจอแบบมายืนมองหน้าสักพักเหมือนมีคนคุมมาลากตัวไป เพราะหอของมหาลัยเก่ามากๆ เป็นป่าช้า คุกเก่า ที่ประหารนักโทษ ตอนกลางคืนไม่มีใครกล้าลุกมาฉี่หรอกค่ะ ห้องนำ้อยู่ชั้นล่าง วันนั้นหนูไม่สบายเลยกลับมาที่หอตอนบ่ายๆกินยาแล้วนอน วันนั้นไม่มีคนอยู่หอ หอจะเป็นแบบไม่มีห้องส่วนตัว โล่งทั้งหมดมีแค่ตู้เสื้อผ้ากั้น มีล็อคซ้าย ขวา ตรงกลางเป็นทางเดิน นอนล็อคละ 2 เตียง นอนเตียงละ 2 คน เตียงจะเป็น 2 ชั้นค่ะ หนูนอนชั้นบน สักพักกำลังเคลิ้มจะหลับเพราะพิษไข้ เห็นเพื่อนถือถังนำ้มาตั้งบิดผ้า ปีนขึ้นมาเช็ดตัวให้ เราก็ปล่อยให้เค้าเช็ดไปเรื่อยๆจนหลับไป ตื่นขึ้นมาตอนเย็นหายไข้ เลยไปถามเพื่อนเค้าบอกว่าไม่ได้มาเช็ดให้นะ ถามทั้งหอก็ไม่มีคนมาเช็ดให้เพราะปกติธรรมเนียมหอต้องไปขอบคุณเค้าหรือรุ่นพี่ที่มาทำอะไรให้เรา แต่ปกติไม่มีใครมาเช็ดตัวให้ขนาดนี้แม้จะสนิทกันก็ตาม นี่เช็ดเหมือนแม่เช็ดให้เราเลย แต่ไม่รู้สึกกลัวนะคะขอบคุณเค้ามากกว่า พูดให้พ่อฟังพ่อก็บอกให้ทำบุญให้เค้า งงมาจนถึงทุกวันนี้เพราะตอนนั้นก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ตุลาคม 2014
  10. jadeprawit

    jadeprawit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +117
    +++ "หลับลึก" ตรงนี้ หากเป็นการ "นอนช่วงสั้น ๆ" แล้วตื่นมาเหมือน "นอนเต็มอิ่มเต็มที่" ถือว่า "เป็นการนอนในสมาธิ" ตรงนี้ "ห้ามแก้ไข" เพราะว่า ถูกต้องแล้ว และหากแก้เมื่อไร ก็จะ "ผิดเมื่อนั้น


    อาจาร์ยคะ นอน 4-5 ทุ่ม ตื่นตี 5 เลย นอนยาวเลยอะค่ะ

    ถ้ามีฟืนไฟ โจรขโมยเข้าบ้าน ไม่แย่หรอคะ เสียงประตูบ้าน

    เป็นเหล็กฝืดๆตอนกลางวันดังมากเลย แต่เราไม่รู้เรื่อง ไม่

    ได้ยินอะไรเลย จะดีหรอคะ กลัวตรงนี้ค่ะ
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ นั่นแหละ ปฏิบัติให้ถูกต้อง "ตรงตามความเป็นจริง" พวกเขาก็จะมาเอง แล้วเราก็จะรู้เองโดยไม่ต้อง "โฆษณา" แต่ประการใดทั้งสิ้น หน้าที่ของเราคือ "เร่งความเพียร ฝึกให้มันจบ" ก็เท่านั้นเอง

    +++ ถูกแล้ว การปฏิบัติ หากทำได้ถูกต้องทุกอย่างก็จะมาเอง แม้กระทั่งในยามที่กระหายน้ำ ก็จะปรากฏมี "น้ำทิพย์" มาให้ดื่มเอง น่าจะเคยโพสท์ไว้ในกระทู้ หูดับ หรือ ตามรอยพระพุทธบาท แถว ๆ นั้นแหละ ลองค้น ๆ ดูนะ
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ต้องดูด้วยว่า สุขภาพเราดีหรือไม่ เวลานอนอากาศถ่ายเทเป็นยังไง มีกระถางต้นไม้ในห้องมากไปหรือไม่ (ต้นไม้แย่งออกซิเจน ในเวลากลางคืน) ต่าง ๆ เหล่านี้ พยายามหาสาเหตุให้เจอด้วย

    +++ นอน 4-5 ทุ่ม ตื่นตี 5 ถือว่ามีเวลา "นอน 6 ชั่วโมง" หลับได้นั่นแหละ "ดีแล้ว" หากมัวแต่กลัวขโมยจนนอนไม่หลับ สุขภาพจะแย่มาก "ไม่กลัวหมอในยุคนี้หรอกเหรอ" แต่ละโรงพยาบาล เสียตังมากกว่าโดนขโมยซะอีก เห็นเพื่อนแต่ละคนบอกราคามาแล้ว อยู่แถว ๆ 2 วันแสน ถ้าโดนเป็นเดือน รับรองว่า "ขายบ้าน ยังไม่พอค่าหมอ ในยุคนี้เลย"

    +++ ปัจจัย 4 มี 2 ตัวโดดไปจนเกินเหตุแล้ว คือ ที่อยู่อาศัย กับ การรักษาโรค 2 ตัวนี้ ล้านขึ้น ยังเหลืออีก 2 ตัว คือ อาหาร กับ เครื่องนุ่งห่ม คิดว่า อีกนานหรือไม่ กว่ามันจะโดดตามติดขึ้นไป จนถึงระดับ เกินเหตุ

    +++ หาก 4 ตัวนี้ถึงระดับ เกินเหตุ เมื่อไรก็เมื่อนั้น "มหาวิบัติ" ก็จะมาจาก น้ำมือมนุษย์ด้วยกันนี่แหละ หากยังฝึก กรรม-ฐาน ไม่ดีพอ ระวังจะต้องมาเกิดในตอนที่ ปัจจัย 4 อยู่ในระดับ เกินเหตุ ก็แล้วกัน รีบ ๆ เร่งความเพียรซะดีกว่า เรื่องขโมยโจรนั้นมันห้ามไม่ได้หรอก มันมีมาตั้งแต่สมัย พระพุทธเจ้า ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่เลย และก่อนหน้านั้นอีก เพียงแต่ให้ "ตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท" ก็แล้วกัน ทำให้ดีที่สุด แค่ไหนก็แค่นั้น นะครับ
     
  13. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    พี่ธรรมชาติคะ บางครั้ง แต่เป็นบ่อยๆค่ะ จะเห็นพลังงานวูปเข้ามาที่ตัวเรา หรือสิ่งที่เรามองดู เช่น ทีวี โทรศัพท์ บางครั้งจะเป็นกลุ่มสีขาว แต่จะเป็นสีดำส่วนใหญ่ หรือหนูจะฟุ้งไปเอง เลยถามเพื่อความแน่ใจค่ะ แหะๆ น่าจะเป็นเดือนกว่าๆแล้วนะคะที่สังเกตุมา
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ รู้ทีละ step ก่อนจะไปถึงการสรุป ขั้นแรก ในยามที่เรากำหนดเข้า "กายเวทนา" เรารู้การ "เข้า-ออก" ของ "เวทนา ที่ เป็นกาย" หรือไม่

    +++ หากรู้ ในยามปกติ เราได้ "กายในกาย" แล้วหรือไม่ มันจะเป็น "ตัวเรา อยู่ใน ตัวเรา" เหมือนกับ กายหนึ่ง "เป็นเปลือกหุ้้มอีกกายหนึ่ง" แบบนั้น

    +++ หากได้ "กายในกาย" แล้ว เราชำนาญเพียงพอ จน "รู้ กลายเป็น เห็น" อีกกายหนึ่งของเรา หรือยัง

    =========================================================================

    +++ หาก "เห็น" กายที่เป็น "กายเวทนา" ของเราแล้ว ก็จะสามารถ "รู้" ได้ว่า ยามใดที่มันเป็น "พลังงานสี ขาว-ดำ" ยามใดที่มัน "รวมตัว-กระจายตัว" ยามใดที่มัน "ปริวัติเป็น กายจิต" ยามใดที่มัน "เปล่งแผ่ซ่าน พลังงาน" ยามใดที่มัน "แปรรูป" ยามใดที่มัน "แปรนาม" ยามใดที่มัน "แปรภพ" ยามใดที่มัน "แปรภูมิ"

    +++ ยามใดที่ "เราเป็นมัน" ยามใดที่ "เราย้ายออกจากมัน" ยามใดที่มัน "แปรเป็น กายธรรมารมณ์" ยามใดที่มัน "เป็นพลังจิตใน กามาวจร" ยามใดที่มัน "เป็นพลังจิตใน รูปาวจร" ยามใดที่มัน "เป็นพลังจิตใน อรูปาวจร"

    +++ ยามใดที่ "พลังจิต ก่อกำเนิด จิต" ยามใดที่ "พลังจิต หล่อเลี้ยงจิต ให้ตั้งอยู่" ยามใดที่ "พลังจิต ตัดการหล่อเลี้ยง ทำให้จิต ดับไป" (หมดสภาพ)

    +++ ถึงสุดท้าย ก็จะสามารถทำให้ "เราออกพ้นมาจาก พลังจิต" และเรา "สลายพลังจิต" รวมทั้งสิ้นสุด "กระบวนการ ภายใน พลังจิต" จนถึง สิ้นสุดยุติสภาวะของ "ภพภูมิ" ทั้งหมดไปด้วยกัน

    =========================================================================

    +++ จุดที่เน้นตรงนี้คือ เราต้องอยู่ในขั้นตอนที่ "เห็น" กายเวทนาของเราก่อน จึงจะตัดสินได้ว่า "กลุ่มสีขาว - ดำ" นั้น เป็นอะไรกันแน่

    +++ สำหรับผู้ที่ มีขีดความสามารถ ในการ "รวมกายเวทนา" ได้ในทุกขณะ เช่น "กำลังดูหนังโรง หรือดูทีวี" หากเกิดมี "สิ่งเร้า" จากหนัง หรือ เหตุการจริงในประจำวัน ก็ตาม

    +++ ให้สังเกตุว่า "ในบางครั้ง" ที่ "กายเวทนา รวมตัวจาก ภายนอก" นั้น "มีสภาพเป็นอย่างไร" ต่อเมื่อ "คุ้นเคย" แล้วเท่านั้น จึงจะตอบได้ "ถูกต้องตรงกับอาการ"

    +++ ตรงนี้เดี๋ยวให้ "นักศึกษา ภาคสนาม" (เมิล หรือ คุณ จิตวิญญาณ ก็ได้ทั้งคู่) ให้ทำการตรวจสอบดู และ "ฝึกใช้ภาษาที่ ตรงกับอาการ" มา "ทดลอง" อธิบายในกระทู้นี้ด้วย

    =========================================================================

    +++ สำหรับ เมิล หรือ คุณ จิตวิญญาณ ในเวลาทดสอบตรงนี้ "ห้ามเข้าฐาน ห้ามทำปัฏฐาน ห้ามอยู่ใน กายเวทนา" ให้ทำตนแบบ "คนที่ไม่เคยฝึกอะไรเลย"

    +++ ให้สังเกตุ ในยามที่มีเหตุการณ์ ตกกระทบ "จากภายนอก" จะเกิด "ปรากฏการณ์" ที่มี "การรวมตัว ผนึกเป็นสภาพ" ที่พุ่งวาปเข้ามาหา "ตน"

    +++ ตรงนี้ให้ดูให้ดี ๆ ว่า มันเกิดจาก "อัตตาจิต หรือ ตัวดู" สร้างให้ "มันเกิดขึ้น" มาหรือเปล่า

    +++ 1. หาก "ตัวดูสร้าง" แต่ไม่ยึด มันจะเป็นเหมือน "กายของจิตอื่น" (ผี) หรือไม่

    +++ 2. หาก "ตัวดูสร้าง" แล้วยึด และ "ส่งออก" มันจะเป็นเหมือน "การ teleport ของตัวดู" หรือไม่

    +++ 3. หาก "ตัวดูสร้าง" แล้วยึด และ "ดึงเข้า" มันจะเป็นเหมือน "มารเข้ามาโจมตี" หรือไม่

    +++ 4. หาก "ตัวดูสร้าง" แล้วยึด และ "ดึงเข้า" ในขณะที่ สติ ต่ำมาก มันจะเป็นเหมือน "ลมเพ ลมพัด โดนของ" หรือไม่

    +++ 5. หาก "ตัวดูสร้าง" แล้วยึด และ "ดึงเข้า" โดยในที่ "สติขณะดึง" ไม่มี แต่ "สติเกิด" ในขณะที่ "สภาพพลังงาน" ตกกระทบ ตรงนั้นเรียกว่า "เรียกสติ" หรือไม่

    +++ 6. หาก "ตัวดูสร้าง" แล้วยึด และ "ดึงเข้า" โดยในที่ "สติขณะดึง" ไม่มี แม้กระทั่งตกกระทบ สติก็ "ไม่มี" ตรงนั้นเรียกว่า "สดุ้งหรือตกใจ" หรือไม่

    +++ 7. หาก "ตามทัน" อาการ "สดุ้ง หรือ ตกใจ" ตรงนั้น "กายเนื้อ" เอาพลังงานจากการ "ตกใจ" มาจากไหน เช่น "คนแบกตุ่มในขณะ ไฟใหม้" ต่าง ๆเหล่านี้

    +++ กรณีสุดท้ายคือ "หากตัวดูของเรา ไม่ได้สร้าง" แต่ละคน จะใช้วิธีอะไร "ที่ดีที่สุด" ตรงนี้ให้สังเกตุสิ่งที่เรียกว่า "สัญชาติญาณ จากการฝึก" มาด้วย

    =========================================================================

    +++ ใน 7 ข้อนั้น "ทันแค่ไหน" ก็ให้ "ทำแค่นั้น" ไปก่อน แล้วพยายาม "ฝึก" ให้ตัวพูดมากมันแปล "ปรากฏการณ์ของจิต" ให้ออกมาเป็น "ภาษาที่เข้าใจง่าย" (สำหรับคุณ jsso)

    +++ ตรงนี้ให้ถือว่า "เป็นการฝึก ภาคลงสนาม" ของนักศึกษาระดับ 9 เพื่อ "แจงปรากฏการณ์ทางจิต" ที่คุณ jsso ถามมานะครับ
     
  15. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    สวัสดีคะ เมิลเพิ่งกลับจากเที่ยวที่น่านมาคะ
    เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่วัดสวยมาก ศิลปะล้านนาเขาช่างวิจิตรจริง ๆ
    อากาศร้อนมาก ถ่ายรูปสวย ท้องฟ้าสีสดจริง ๆ

    แต่ที่เมิลติดใจมีอยู่อย่างหนึ่งคือ ของคู่เมืองน่าน อยู่ที่พิพิธภัณฑ์น่าน เป็นงาข้างสีดำ ตอนที่เมิลยืนมองดูเมิลก็รู้ว่างาช้างอันนี้ไม่ธรรมดา เมิลสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ยืนอยู่ข้างหลังเมิลเยื้องมาทางด้านซ้าย แต่ยังไม่ทันได้ลองเย๊บดูขบวนอื่นๆ ก็เข้ามา ก็เลยจบแต่เพียงเท่านี้

    ส่วนการบ้านขอแป๊ะไว้ก่อนนะคะ ต้องให้เวลาตัวพูดมากนิดหนึ่ง

    เมื่อวานเย็นได้ข่าวว่าพี่ที่เคยทำงานที่เดียวกันเสียชีวิตแล้ว เมิลเพิ่งไปเยี่ยมได้ประมาณ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา พี่เขารู้ตัวว่าเป็นมะเร็งก็ประมาณเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ตอนนั้นก็ขั้นที่ 3 แล้ว เมื่อตอนไปเยี่ยมล่าสุดพี่เขากระสับกระส่ายมาก พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง จิตอยู่กับอาการทางกายเต็มที่ ทำให้รู้ว่าในขณะที่ยังดี ๆ อยู่แล้วไม่ฝึกจิต พอถึงเวลามันก็สายไปแล้วจริง ๆ ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ตอนที่ไปเยี่ยมก็รู้ว่าไม่น่าเกินเดือนตุลาคม ตั้งใจไว้ว่าตอนนี้ช่วยไม่ได้แล้ว ค่อยไปช่วยในงานศพแล้วกัน คำถามคือขอคำแนะนำด้วยคะพี่ว่าต้องทำยังไงเวลาไปงานศพ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ข้อ 1-4 และ 6 เคยผ่านประสบการณ์มาแล้ว ยังไม่เคยมีประสบการณ์ข้อ 5.
    ส่วนข้อ 7 นี่ไม่แน่ใจ เคยย้ายตู้เย็น 20 คิว คนเดียว ไม่รู้สึกเหนื่อย คนที่บ้านไม่มีใครเชื่อว่าทำคนเดียว อาการเหมือนกายเวทนามีพลังเต็มที่ อะไรประมาณนี้ ตอนนี้ยังสามารถยกถังแก็สเต็ม ยกถังน้ำเต็ม ได้สบายๆ แบบว่า เล็กพริกขี้หนูค่ะ อิอิ

    การบ้าน .. สงสัยต้องให้ครูบาอาจารย์ช่วยคุณ jsso ไปก่อน เพราะลูกศิษย์ตอนนี้ก็จะรอดแหล่ไม่รอดแหล่ ช่วงนี้พยายามดับตัวพูดมากค่ะ แล้วจะนิ่งอยู่กับสภาวะรู้ คอยจอบเบิ่งอาการที่เกิดขึ้นภายในกาย เมื่อคืนหลังเที่ยงคืน โดนเพ่งโทษมาอย่างหนักหน่วง นานเป็นชั่วโมงเลย แถมมีภพภูมิช่วยเขาด้วย ลองแมบแล้ว มาจากจิตที่ร้อนรุ่มเหมือนไฟสุมทรวง คงกะจะให้เราเดี้ยง สงสัยจะแอบพิศวาสเรามากไป ฮ่าๆๆ
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ งาช้างดำทุกอัน ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว มีพลังอยู่ในตัวทุกอัน ที่จะต่างกันก็คือ มีจิตอื่นถือเอางานี้ "เป็นกาย" หรือไม่เท่านั้น

    +++ เป็นตัวพญาครุฑ ที่รักษางาอยู่ เขาไม่เคยเห็น ฆราวาสที่มีจิตในลักษณะนี้มาก่อน ต่อไปก็จะค่อย ๆ รู้เองว่า จิตมนุษย์กับจิตภพภูมิ ก็เหมือนกันทุกอย่าง เจออะไรแปลกใหม่ ก็ "ชวนกันมาดู" เหมือนกับ "ไทยมุง" อะไรพันนั้น อันนี้เรียกว่า "ภพภูมิมุง" ไปพลาง ๆ ก่อนก็แล้วกัน ตอนผมไปเที่ยว ชเวดากอง กับ พระธาตุอินแขวน ก็เหมือนกัน เจอ "ภพภูมิมุง" บานเพียบ แต่ผมเฉย ๆ ไปเดินจงกรม ทักษิณาวัตร รอบเจดี ชเวดากอง 3 รอบ เพื่อถวายเป็น "พุทธปฏิบัติบูชา" เท่านั้น

    +++ แรก ๆ ก็เป็นเหมือนคล้าย ๆ เอ๋ะใจว่าอะไร ก็เลยตัดสิ่งบดบังสภาวะรู้ออก จึงรู้ว่าไอ้อาการเอะใจนั้น "ไม่ใช่ของเรา" และ "ละเอียดกว่าจิตมนุษย์ ตรงนี้ แยกชั้นออกจากกันได้ชัดเจน" แป๊ปเดียวก็ปรากฏเป็น "คลื่นของความตื่นเต้น ปนกันมากับ คลื่นของความยินดี" ปรากฏมารอบทิศ รวมทั้งในอากาศด้วย สูงปกคลุมยอดเจดีย์ พูดได้คำเดียวว่า "เพียบ" หลายแสน มากกว่าหลายแสนขึ้นไป

    +++ ให้เมิลลองเปรียบเทียบดูว่า อาการที่เกิดขึ้น "คล้าย" กับที่ผมประสพมาที่ ชเวดากอง หรือไม่ ถ้าคล้าย ๆ กัน ก็ให้รู้ว่า พวกนั้นเป็นจิต "สัมมาทิฐิ" ที่คอยดูแล พระพุทธศาสนา อยู่ หากจะ "แย๊ป แบบ ขอดูนิดหน่อย" ก็ไม่เป็นไร ถือว่าเราทำ "ปฏิสันฐาน" ทักทายกันว่า เราทราบแล้ว ก็พอ "ห้ามเกินกว่านั้น" จากนั้นก็ให้ "อยู่" ในคลื่นแห่งความยินดีนั้น เพื่อเป็นการ "รับอนุโมทนา" แบบมีมารยาท และ เป็นทางการ ของการตอบรับทางจิต ที่มีต่อภพภูมิ ตรงนี้ "เป็นประเพณีที่ดีงาม" เป็น ข้อวัตรปฏิบัติ ที่สมควรต่อภพภูมิ ตรงนี้ให้ค่อย ๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ตามแต่ประสพการณ์ที่จะเกิดขึ้น

    +++ การบ้านที่ให้นั้น "ต้องใช้เวลา" เพราะโอกาสที่เกิดแบบนั้น มีไม่มาก อาจเกิดได้แค่ "บางจังหวะ บางโอกาส" เท่านั้น และ ตรงนี้ "ห้าม map จิต" ให้อยู่กับสถานการณ์ที่เรียกว่า เป็น accident แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และตรงนี้เป็นการฝึกที่เรียกว่า "อยู่ด้วยความไม่ประมาท" และตรงนี้ "ยากที่สุด" เพราะเป็นการ "อยู่กับการไม่ฝึก" แต่ต้อง "พร้อม" ในทุกขณะจิต

    +++ 1. ให้ "เป็น" สภาวะรู้
    +++ 2. ใช้ "มโน" กำหนด "รูป" ของผู้ตาย ให้ "เกิด-ดับ" เป็นระยะ ๆ (ส่งสัญญาน เรียก)

    +++ 3. ในจังหวะที่เรา "ไม่ได้กำหนด มโน" แต่ รูป เกิดขึ้้นมาเอง หรือ ในจังหวะที่เรา "ดับรูป" แต่รูปไม่ดับ ให้ตรวจให้แน่ชัดว่า "ไม่ใช่ผลผลิตจากจิตเรา" ให้แน่นอน (ตัดเรื่อง มโนไปเอง ออกจากเรื่อง จิตสื่อสาร ให้มั่นใจ 100% ตรงนี้ สติระดับ 5 ทำได้ทุกคน รวมทั้งสติระดับ 4 ตอนกลาง ๆ ขึ้นมาด้วย)

    +++ 4. เมื่อแน่นอนแล้ว ให้ "ดึง รูปละเอียด" นั้น ให้เข้ามาอยู่ข้างใน ของสภาวะรู้ จากนั้นให้ยุติ "การกำหนดทั้งปวงลง" ปล่อยให้ "รูปละเอียด" อยู่ในสภาวะรู้เฉย ๆ
    +++ 5. ตรงนี้ "เป็น" การให้ "สติ" ผู้ตาย พร้อมทั้ง "ยุติการแทรกแซง วงจรกรรม" ของรูปละเอียด รูปนั้น จนกว่าเขาจะ "ได้สติและหายไปเอง" ไม่น่าจะเกิน 1 นาที แล้วแต่ระดับ สติ ของรูปละเอียดรายนั้น นะครับ
     
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ข้อ 5 ให้ลอง "อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ฝึก" แล้วให้ "ผนึก กายเวทนาขึ้นมา" แบบดื้อ ๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย ก็จะพอรู้ได้เองไม่ยาก สัก 2-3 ทีก็รู้เรื่องแล้ว

    +++ แสดงว่า "ไม่จำเป็นต้องตกใจ ก็ทำได้อยู่แล้ว" แล้วถ้ารวมกับพลังของความตกใจล่ะ สงสัย "ยกบ้านทั้งหลัง" ได้เลยป่าว อิอิ

    +++ มีอีกวิธีหนึ่งคือการ ให้ตัวพูดมากมันเกิด "นิพพิทาญาณ" (เบื่อ) ขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง แล้วมันจะค่อย ๆ จางคลายหายไปด้วยตัวของมันเอง เพราะตรงนี้อยู่ "เหนือความสามารถของมัน" จนมัน "หาไม่เจอ และ ใช้ภาษาไม่เป็น"

    +++ ให้ "ปฏิสัมภิทาญาณ" หา "ตนที่เป็นตัวจริง" ให้เจอ พอมันเริ่ม "หาตน" เมื่อไร เมื่อนั้น "ตนก็เริ่มหายไปเอง" เมื่อ "ตนเริ่มหาย" ตัวพูดมากก็เริ่ม "จอด" เดี๋ยวเดียว "จอดสนิท ไม่ต้องแจว" กันเลย ตรงนี้ "ให้ลองเล่นดู" เป็นความสนุกไปอีกอย่าง ที่ไม่มีในโลก

    +++ แน่ใจหรือว่าเป็นความ "พิศวาส" เพราะการ "เพ่งโทษ" นั้นมาจากความ "ริษยา" มากกว่า ให้ดูที่ลักษณะการเพ่ง หากมาเป็นจุดที่ "คมชัด" ตรงนั้นเป็น "ริษยา แต่ความอาฆาต ก็มีลักษณะแบบเดียวกัน" ต่างกันที่ ธรรมารมณ์ที่แฝงมา ส่วนการเพ่งโทษที่มาแบบ "แตกพร่า มีความระส่ำระสาย เจือปนอยู่" ตรงนี้เป็นลักษณะของ "พิศวาส แต่ก็เหมือนกับ พยาบาท" มันเป็นอาการเดียวกัน เพียงแต่ต่างกันที่ ธรรมารมณ์ ที่แฝงมาเท่านั้น บางอย่างมี "รูปแบบเดียวกัน แต่ เนื้อหาต่างกัน" ตรงนี้ต้องตรวจทั้ง "รูปและนาม" ในเวลาเดียวกันด้วย

    +++ ไม่น่าจะเป็น "พรายดำรำพัน" นะ เพราะมันเคยโดน "สิง" มาแล้ว หากเกิดมีขึ้นมาอีก ก็ให้ทำ "ชันสูตร" ตัวหัวหน้าที่นำมาก่อนเลย ผมมั่นใจว่า "คน" นี้น่าจะเป็นคนที่ "รู้จักกันดี" ในแวดวงหนึ่งทีเดียว แต่ไม่ได้อยู่แถวบ้านคุณ จิตวิญญาณ แน่ ๆ หรือไม่งั้นให้ลอง map จิต แล้ว "สวน" เข้าไปตรง ๆ ณ ใจกลางของ "การเพ่งโทษ" ของมันดู แล้ว "หยุด" จิตแต่ให้มัน "คาสภาพ เป็น อัมพาต" อยู่อย่างนั้น เมื่อรู้ว่า "ใครเป็นใคร" แล้ว ก็ให้ "ย้ายออกมา" แต่ให้มัน "คาสภาพ" อยู่สักพัก พอให้มัน "ได้สติ" ก็พอ แต่ถ้า "ยังไม่เลิก ริษยา" ก็อาจใช้ "ไม้เรียว" เบอร์ใหญ่กว่านั้น ก็ได้

    +++ ในขณะปกติก็ให้ฝึก "อยู่ด้วยความไม่ประมาท" แบบที่ให้ เมิล ฝึกไปเรื่อยย ๆ

    อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ = ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
    อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมา วาจา = นี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้ายของพระตถาคตเจ้า

    +++ การฝึกที่เรียกว่า "อยู่ด้วยความไม่ประมาท" นี้ "ยากที่สุด" เพราะเป็นการ "อยู่กับการไม่ฝึก" แต่ต้อง "พร้อม" ในทุกขณะจิต ในทุกสถานการณ์

    +++ การที่คุณ jsso ถามมานั้นเป็น "เหตุ" ที่สอดคล้องกับการฝึก "อยู่ด้วยความไม่ประมาท" นี้ พอดี ดังนั้นให้ "เล่น" กับทั้ง 7 ข้อให้ชำนาญ นะครับ

    +++ ส่วนคำถามของคุณ jsso นั้น หากเห็นพลังงานวูปเข้ามาที่ตัว บ่อย ๆ ก็ให้ใช้ตรงนั้นเป็น "เครื่องมือ" ในการฝึกไปเลย อันดับแรก ต้องตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อนว่า "เราทำให้มันเกิด หรือ มันเกิดขึ้นมาเอง" ตรงนี้ให้ละเอียดรอบคอบมาก ๆ และตรงนี้ให้สังเกตุ "ขณะที่พลังงานปรากฏ" ความรู้สึกในใจของเรา "เป็นอย่างไร" ออกมาในลักษณะไหน เช่น "อยากรู้ อยากเข้าใจ" ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นต้น และต้องแยกแยะให้ออกแบบตรง ๆ ว่า สรุปออกมาเป็น "กุศล หรือ อกุศล หรือ อย่างอื่น" ตรงนี้ต้อง "ยุติธรรม และ ไม่ลำเอียง" ต่อ ธรรมารมณ์ ตรงนั้น นะครับ
     
  19. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ใช่แล้วคะพี่เป็นคลื่นของความตื่นเต้นยินดี อาการประมาณดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานนะคะ

    วันนี้ไปรดน้ำศพก่อนพี่โพสต์ก็เลยยังไม่ได้ทำ แต่ครั้งหน้าไปงานสวดจะลองทำดูคะ วันนี้ตอนรดน้ำก้บอกให้พี่เขาอนุโมทนาบุญที่เมิลฝึกจนเป็นสภาวะรู้ พอตอนที่กำลังเดินกลับออกมาเห็นรูปพี่เขาขึ้นมาในหัว พี่เขามาขอบคุณคะ

    อ้อ ตอนอยู่ที่น่าน ระหว่างรอเครื่องบินนกแอร์ระทึกทุกไฟลท์ เมิลก็งีบ เมิลว่าเมิลหลับนะ แต่กลับได้ยินเสียงรอบ ๆ ข้างชัดเจนมาก เสียงเด็กร้องคนเดินไปมา คนคุยกัน โดยมีเมิลซึ่งรับรู้อยู่ตรงกลาง เสียงที่ได้ยินแยกส่วนกันอยู่ ซึ่งเมิลไม่ได้งีบหลับอยู่ตรงกลางเมิลนั่งอยู่ใกล้ๆ ประตูทางออก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2014
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ นั่นแหละคือ "คลื่นอนุโมทนา" ที่มาจากภพภูมิ และจากประสพการณ์นี้ก็จะทำให้รู้ว่า "พวกเขารู้" ว่าเราเป็นใครและฝึกไปถึงไหน และ เราไม่ต้องไปติดต่อเขาหรอก พวกเขาหากมีธุระ ก็จะติดต่อเรามาเองแหละ ตอนนี้ก็คงเข้าใจ "ชัดเจน" แล้วนะว่า ระหว่างการฝึกแบบ มุ่งเข้าหาภพภูมิ กับ มุ่งเข้าหาสภาวะธรรม ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างไร

    +++ อือ... นั่นแหละ ในยามที่ "รูปละเอียด" ปรากฏมาเองโดยที่ เราไม่ได้กำหนด และอยู่ในสภาวะที่ไม่มีการฝึก จึงสามารถนับได้ว่าเป็น "จิตสื่อสาร" ของจริง

    +++ ไอ้คำว่า "ระทึกทุกไฟลท์" นี่มันทะแม่ง ๆ อยู่นะ ต้อง "ลุ้น" กันทุกไฟลท์เลยหรือเปล่า เอาแบบ "สบาย ๆ ทุกไฟลท์" ไม่ต้องลุ้น มีมะ

    +++ การที่เรา "รับรู้อยู่ในใจกลางของ สภาวะธรรม" นั้นมันก็คือ "การทำมหาปัฏฐาน" นั่นแหละ อาการที่เกิดขึ้นที่สนามบินของเมิลนั้น สามารถระบุได้ว่า "เริ่มได้นิสัยใน มหาปัฏฐาน" แล้ว

    +++ อีกอย่างหนึ่งคือ "เมิลซึ่งรับรู้อยู่ตรงกลาง เสียงที่ได้ยินแยกส่วนกันอยู่" ตรงนี้เป็น "มิติใครมิติมัน" แบบเดียวกันกับ "การฝึกบทที่ 1 สัพเพธรรมาอนัตตา" ที่สวนจัตุจักร ใช่หรือเปล่า

    +++ จริง ๆ แล้ว "การฝึกบทที่ 1" ก็คือการฝึก "มหาปัฏฐานด้วย กายเวทนา" เป็นใส้เทียน นั่นเอง แต่ไม่ได้อธิบายอะไรตรงนี้ลงไป เพราะหากอธิบายแล้ว "การอธิบายนั้น จะกลายตัวเป็น อุปสรรคต่อการฝึก" ในขณะนั้น ๆ และจะทำให้การฝึกสะดุดได้

    +++ ดังนั้น การอธิบายอะไรจนฟุ้มเฟือยเกินไปก็เกิดโทษได้เหมือนกัน อีกประการหนึ่ง การอธิบายใด ๆ จะเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง หากผู้ฟัง ไม่สามารถปฏิบัติให้เกิดผลได้ คำว่า "ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ" ตามนัยยะของนักปฏิบัติก็คือ "ปริยัติ คือ การนำเอาหลักปฏิบัติไป ปฏิบัติ เมื่อการปฏิบัติ เกิดผลลัพธ์แล้ว จึงนำเอา ผลลัพธ์นั้น มาอธิบายให้เข้าใจในภายหลัง" แต่ตรงนี้ สวนทางกับทางโลกเขา เท่านั้นเอง นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...