ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022


    ขอตอบภาษาบ้านๆ น่ะ

    1. +++ ใครคือ "ผู้สร้างพลัง" ใครคือ "ผู้เคลื่อนย้ายพลัง"---> ใครเป็นผู้สร้าง"??? ---->ตัวกรูเอง

    2. +++ ดังนั้น "พลังจิต พลังงาน พลังเพ่ง พลังกสิณ พลังทั้งหมด" ใคร "ทำ" มันขึ้นมา??? --->ตัวกรูทำเอง

    3.+++ นี่แหละคือ "เงื่อนงำ ของ ตัวดู" ???---->ก็ตัวกรูดูเองอีก

    4.+++ ดูที่ไหน "รู้สึกที่นั่น" ดูที่ไหน "เห็นที่นั่น" ---> อันนี้ใช่เลย ดูที่ไหนรู้สึกที่นั่น ดูหัวรู้สึกที่หัว ดูมือ รู้สึกที่มือ อันนี้ใช้สติตามดู

    5.+++ ให้รู้ "อาการดู" ตลอดเวลา ไม่นาน "ตัวดู จะ ถูกรู้" ได้เอง??? เดี๋ยวต้องทดสอบซ้ำอีก หลายๆ รอบ

    6.+++ ตัวดูตื่น เราตื่น ตัวดูหลับ เราหลับ "เราคือใคร และ ตัวดูคือใคร" นี่แหละ "อัตตาจิต" ก็ตัวกรูนี่เอง ??? จะต้องทำยังไง กับ"อัตราจิต" dannce_
     
  2. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    http://palungjit.org/threads/ผู้ไม่เข้าไปหาย่อมหลุดพ้น.521470/page-5#post8696438

    +++ ผู้ใดก็ตาม ที่รู้การเกิดขึ้นแห่ง ปรากฏการณ์ ของ อารมณ์ (ธรรมารมณ์ ในมหาสติปัฏฐาน 4)(แดนเกิดของ ตัวดู)(อวิชชา) ซึ่งเริ่มเกิดการรวมตัว (การเริ่มต้นของสังขาร)(พลังจิตแห่งตัว ฌาน เริ่มก่อตัว) เป็นหย่อมความกดแล้วเกิดการหมุนวน (สังขารา) เหมือนลักษณะตาน้ำหรือตาพายุ ที่ ณ ใจกลางแห่ง "ตา" นั้น ภาพพจน์และแสงสีก่อกำเหนิดขึ้น (วิญญานขันธ์) ซึ่งตัวพายุและตาพายุ คือ "ตัวดู" (อัตตาจิต)(ตัวกู)(ผู้รู้) นั่นเอง

    +++ ผู้ใดที่เห็นสภาพของการก่อกำเหนิดนี้ ย่อมสลายการก่อกำเหนิดนี้ได้เช่นกัน การเห็นนี้เป็นสติเห็นและการยึดจะเกิดขึ้นไม่ได้ ผู้ใดเห็นตรงนี้ได้แล้วก็ทราบเองนะครับ ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร

    โชคดีจังเคยเห็นมาแล้วจำได้ดี แต่ว่าจะสลายต้นตนแหล่งกำเนิดตาน้ำวนนี้ได้อย่างไรค่ะ
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ลอง "ตรวจ" ข้อความใหม่อีกที ว่าส่งถึงผม จริงหรือเปล่า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษา "ใจกับจิต" ที่มันอยู่ในที่เดียวกับแบบนี้ ผมไม่เคยได้รับทาง pm มาก่อนแน่นอน และอีกประการหนึ่ง ผู้ที่ชอบใช้คำว่า "ใจ" นั้น ควรระบุ "อาการ" ของคำว่า "ใจ" ไว้ให้ "ชัดเจน" ด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่ปะปนมากับคำว่า "จิต" เพราะ 10 คนก็เข้าใจกันไป 10 แบบ เหมือน "พายเรืออยู่ในอ่าง" และอีกประการหนึ่ง คำว่า "ใจ" นี้ไม่ใช่คำในหมวด "สติปัฏฐาน และ ขันธ์ 5" ดังนั้น หากจะถามผมตรงนี้ ก็ควรระบุมาด้วยว่า มันตรงกับภาษาในหมวด "อายตนะ 6" ด้วยหรือไม่
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ สติขั้นที่ 4-7 นี้ใกล้กันมาก และหลาย ๆ ครั้ง มันจะวน loop อยู่ด้วยกัน เพียงแต่ต่าางอาการกันเท่านั้น
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ข้อ 5.+++ ให้รู้ "อาการดู" ตลอดเวลา ไม่นาน "ตัวดู จะ ถูกรู้" ได้เอง??? เดี๋ยวต้องทดสอบซ้ำอีก หลายๆ รอบ
    +++ ตรงนี้แหละ คือ "คำตอบ และ หลักปฏิบ้ติ"
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ข้อ 5 ในโพสท์ข้างบน ต้องทำให้ชำนาญก่อน เมื่อสติถึงระดับ 8. "อยู่กับรู้" เมื่อไร ก็จะจัดการกับ "ตาน้ำวน" ได้ไม่ยาก

    +++ อีกสักพักต้องเดินทางแล้ว ก็อีก 2-3 วัน นะครับ
     
  7. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    อาจจะเป็นความเข้าใจในภาษาที่ไม่ตรงกัน
    ผมใช้ตามที่ผมพอได้ฟังมา แล้วปฏิบัติตาม คำสอนของสมเด็จพระสังฆราช ครับ ลองฟังดูที่ที่สมเด็จพระสังฆราชทรงพระนิพนธ์ไว้ ผมคัดบางส่วนมา ฉบับเต็มดูได้จากลิงค์นะครับ
    ****เพราะฉะนั้น
    จิตที่เป็นธาตุรู้นี้
    จึงน้อมไปรู้รูปทางตา เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก รสทางลิ้น
    โผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องทางกาย
    และเรื่องราวอะไรทั้งหลายทางมโนคือใจ
    คือมโนอันเป็นข้อที่ ๖ นี้
    อาจจะแสดงเป็นนามธรรมก็ได้
    อาจจะแสดงเป็นรูปธรรมก็ได้
    เมื่อเป็นรูปธรรมแล้ว
    ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาซึ่งมีความรู้ถึงวิทยาในปัจจุบัน
    จึงได้ชี้เอามันสมองว่าเป็นตัวมโนที่เป็นรูปธรรม
    เพราะว่า
    จะต้องผ่านมันสมอง
    จึงจะบังเกิดเป็นความรู้ความคิดต่างๆขึ้นได้***
    http://www.oknation.net/blog/Aug-saraporn/2013/10/24/entry-1



    ส่วนตรงนี้คือ ใจ ที่คุณธรรมชาติยกขึ้นมาอธิบาย
    *** หลังจาก อัตตาจิต หรือ "ตัวรู้มากยากนาน" ถูกรู้แล้วมันก็ดับไปตามธรรมชาติของมัน "อุเบกขา ในที่นี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ธรรมารมณ์ หรือ ฌานใด ๆ ทั้งสิ้น" แต่เป็นสภาพที่ "สังขตธรรม" ดับไปไม่ปรากฏ มีอยู่แต่ "อสังขตธรรม" ที่มีมาก่อนการกำเหนิดของจิต เท่านั้น

    *** จากนั้น "ตัวรู้มากยากนาน" ก็ผุดขึ้นมาอีกที ตรงนี้แหละที่ "ตัวรู้มากยากนาน" มัน "ผางขึ้นมาด้วยความเข้าใจในตัวมันเอง" และตรงนี้เป็นเรื่องที่ "ตั้งใจไม่ได้ เพราะ ใจ ในที่นี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นมา" ความตั้งใจจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ มีใจอยู่ก่อนแล้ว (ใจ ในประโยคนี้ชี้ไปที่ อัตตาจิต หรือ ผู้รู้มากยากนาน นั่นแหละ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 ตุลาคม 2014
  8. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ ความ ช้า-เร็ว ตรงนี้ขึ้นอยู่กับ "อณู" ที่ผ่านไปมาในความว่างในบริเวณนั้น ณ ขณะที่ "อณู" ผ่านเข้ามาเมื่อไร ก็ทำ "หย่อมความกด ของอวิชชา" แล้วเกาะมัน "กลับมา" ได้เลย

    ## ช่วงที่มันเริ่มก่อตัว มันเหมือนมีอะไรผ่านซึมเข้ามาทางผิวหนังน่ะค่ะ มันจะค่อยๆซึมเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนลักษณะค่อยๆแทรกซึมเข้ามา จนกระทั่งเป็นเนื้อเดียวกันกับร่างกายน่ะค่ะ พอซึมเข้ามาเต็มที่แล้วจะรู้สึกได้ว่ามีน้ำหนักขึ้น ซึ่งตรงนี้ถ้าไม่สังเกตุอย่างละเอียดจริงๆก็จะไม่รู้ค่ะ อีกอย่าง เราสามารถสังเกตุได้จากธรรมมรรมณ์ในขณะนั้นด้วยน่ะค่ะ ตรงนี้จะเป็นธรรมมารมณ์ที่ละเอียดมากๆ ( ความละเอียด จะคล้ายๆตอนที่เราสามารถสำหรวดตรวจจิตมาร จนรู้ได้ว่าจิตมาร มันอยู่ หรือ ไม่อยู่ น่ะค่ะ )


    +++ เรื่องตรงนี้สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฝึกอยู่ใน "บริเวณนี้" จะเป็นเรื่อง "ใหญ่โตมาก" แต่สำหรับนักศึกษาที่ graduate จากกระทู้นี้แล้ว ก็จะรู้ได้อย่างชัดเจนเองว่า "อวิชชา" ก็เป็นเพียงแค่ "สภาวะธรรม" ประการหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมากมายนัก

    +++ การฝึกเล่นกับตรงนี้ ด้วยวิธีง่าย ๆ คือ "สลายตัวดู" จนมันเล็กที่สุด อย่างต่ำอยู่ในระดับ "ตัวจะ" แล้ว "เกาะมันกลับมา" พอชำนาญแล้ว จึงสลายมันจนอยู่ในระดับ "อนุภาคเคลื่อนที่ หรือ อณู" แล้วจึง เกาะมันกลับมา ให้เล่นกับมันแบบ "มหาสติ 4" และแบบ "ปัฏฐาน" ทั้ง 2 อย่าง ก็จะรู้ในรายละเอียดที่แตกต่างกันของมัน และความแตกต่างตรงนี้ "เป็นอจินไตย" ที่ลึกล้ำพิสดารทั้งคู่ ที่ไม่มีกล่าวไว้ในตำราใดเลย รวมทั้งไม่มีในพระไตรปิฏกอีกด้วย

    ## ตรงนี้ เดี๋ยวยังไงจะค่อยๆลองฝึกเล่นดูค่ะ


    +++ ถูกต้อง แต่ตรงนี้เราควรจะ "map จิตเขา" เสียก่อนว่าอยู่ใน "สติระดับไหน" หาก "ต่ำกว่าระดับ 3 ลงไป" ก็ไม่ควรสอนบนอินเทอร์เนท แต่ ควรสอนแบบต่อหน้าและใช้การ "คุมจิต" โดยเรา "เดินจิตนำ" ให้เราอยู่ใน "สภาวะที่ต้องการสอน" เสียก่อน แบบเดียวกับการ "แผ่เมตตา" คือเรา "ต้องเดินจิตจน เมตตา" ปรากฏในจิตเราเสียก่อน

    ## คือ เวลาอ่านข้อความ หรือเวลาฟังคนอื่นเล่าอาการให้ฟัง มันจะแมปจิตไปด้วยโดยอัตโนมัติเลยค่ะ เหมือนเราจะรู้ว่าเขาติดตรงไหน แต่เรายังไม่มีความสามารถที่จะแนะนำเขาได้ เพราะถ้าเราแนะนำไปแล้วเกินภูมิจิตเขาจะเข้าใจ เขาก็จะไม่เห็นประโยชน์ และละทิ้งมันไปโดยไม่สนใจ อีกกรณี การฝึกการสอนผู้อื่นที่เขาเคยอยู่ในสถานะเป็นผู้สอนผู้แนะนำ จะเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้เขาลดทิฐิลงมารับฟังคำแนะนำจากเราได้

    เมื่อหลายเดือนก่อน เคยออกไปนวดตัว ป้าคนที่นวดให้เรา เพิ่งกลับจากไปปฎิบัติธรรมมา นวดสองชั่วโมงกว่า ป้าเล่าเรื่องการปฎิบัติธรรมให้ฟังตลอดเวลาเลย ป้าบอกอยากให้เราปฏิบัติธรรมเหมือนป้า ช่วงที่ป้าเล่า เหมือนเราแมปจิตไปด้วยโดยอัติโนมัตเลยน่ะค่ะ และรู้ว่าภูมิจิตของป้าสามารถจะขึ้นสู่ธรรมที่ระดับสูงกว่านี้ ก็พยายามแนะนำแวิธีฝึกวิธีปฏิบัติต่อ แต่ดูเหมือนจะไม่รับน่ะค่ะ ก็เลยคิดว่า ถ้ามีใครที่ป้าแกเลื่อมใสศรับธา สอนการฝึกและให้คำแนะนำ ภูมิจิตภูมิธรรมป้าแกจะเลื่อนขึ้นได้สูงกว่านี้แน่นอน


    +++ จากนั้นจึง "แสกนจิตเราเอง" ว่าตรงไหน "เป็นก้าวแรก" ที่เขาจะเดินได้ "ตรงนี้เป็น รู้ทั้งจิต เขาและเรา" (เจโตปริยะญาณ) เมื่อรู้จุดแล้ว ก็ให้ "อยู่" ในสภาวะนั้นไว้ก่อน จากนั้นจึง "ปล่อยให้ตัวพูดมาก" ใช้ภาษาในการ "นำร่องทางจิต" เพื่อให้ "นักเรียน" เดินตามมาได้ โดยไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน การ "map จิตและ สแกนจิต" จะเกิดขึ้นตลอดเวลา จนคล้ายกับ "การผนึกจิต และสภาวะแวดล้อม" ในบริเวณนั้นทั้งหมด "เป็นหนึ่งเดียวกัน ที่ถูกครอบด้วย สภาวะธรรม ที่กำลังเดินจิต สอนอยู่ในขณะนั้น" และตรงนี้เท่านั้นที่เรียกว่า "การคุมจิต"

    +++ เรื่องพวกนี้ อาจต้องใช้เวลาอยู่บ้าง ยิ่งทำมาก ก็จะยิ่งชำนาญมากขึ้นไปเรื่อย ๆ และ "วิธีการสอน" ก็จะแตกต่างและแตกแขนงออกไป ตามสภาพของนักเรียนที่แตกต่างกัน แล้วไม่นานเราก็จะเริ่มรู้ได้ว่า "ผู้ใด ควรเร่งสอน และ ผู้ใด ไม่ควรเสียเวลาด้วย"

    ## ตรงนี้ยังเกินความสามารถของตัวเองค่ะ คิดว่าคงใช้เวลานานพอสมควรก่อนจะออกมาฝึกผู้อื่นได้ ยังไงขอฝึกตนเองให้คล่องดีกว่านี้ก่อนน่ะค่ะ เหมือนกับที่หลวงปู่มั่นท่านว่า “ ฝึกตนดีแล้วค่อยฝึกผู้อื่น”
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ก็อย่างที่ผมว่านั่นแหละ ว่า "คำสอนของสมเด็จพระสังฆราช" นั้นผมไม่เคยได้ pm มาก่อน และสิ่งที่ชัดเจนอีกประการหนึ่งคือ คำว่า "จิตกับใจ" ในที่เดียวกันนั้น เป็นสิ่งที่ผม remark ไว้เป็นพิเศษว่า ไม่ควรอยู่ในที่เดียวกัน เพราะมันจะทำให้ "พายเรือในอ่างได้ตลอดเวลา"

    +++ 10 คนก็ 10 แบบ "จิตคิด หรือ ใจคิด" "จิตรู้ หรือ ใจรู้" "เหมือนกัน หรือ ต่างกัน" ในกระทู้สาธารณะ สำหรับผมแล้ว (โดยส่วนตัว) จะไม่เอาคำว่า "จิตกับใจ" มาไว้ในที่เดียวกันโดยเด็ดขาด เพราะมันจะทำให้ "ชาวบ้าน" ที่เข้ามาอ่าน "มึน" โดยใช่เหตุ และ จะทำให้การปฏิบัติ "ท้อถอย" ได้ง่าย

    +++ ในจุดที่เป็น "คำสอนของสมเด็จพระสังฆราช" นี้

    "เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นธาตุรู้นี้ จึงน้อมไปรู้รูปทางตา เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก รสทางลิ้น โผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องทางกาย และเรื่องราวอะไรทั้งหลายทางมโนคือใจ คือมโนอันเป็นข้อที่ ๖ นี้"

    +++ เอาเฉพาะแค่ตรงนี้ "จิตที่เป็นธาตุรู้" ของสมเด็จพระสังฆราช นั้นคือ "สภาวะรู้" ในกระทู้นี้ แต่ ประโยคต่อมา "น้อมไปรู้รูปทางตา เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก รสทางลิ้น" ตรงนี้เป็น อาการของ "ตัวดู" (ภาษาในกระทู้นี้)

    +++ สำหรับภาษาในกระทู้นี้ ผมจะแยกออกไปเลย การใช้ภาษาของ "สมเด็จพระสังฆราช" ถูกต้อง แต่สำหรับผมแล้ว "หากผมยังอยู่ในช่วง เร่งความเพียร" ภาษาตรงนี้ "จะทำให้ผม เร่ง ไม่ออก" และติดแบบ "พายเรือวนอยู่ในอ่าง" ไปไม่รอด แน่นอน ดังนั้น "ใครเข้าใจ ในภาษาแบบใด ก็ควรฝึกไปตามภาษาแบบนั้น" จะดีที่สุด เพราะหากเอามาปนกันเมื่อไร "ความสับสน" จะเกิดขึ้นเมื่อนั้น

    +++ ถูกแล้ว "ใจ ที่อธิบายข้างบนนั้น อธิบายตามภาษาของ หลวงตามหาบัว" ในกระทู้อื่น ซึ่งคำว่า "ใจในกระทู้นั้น ชี้ไปที่ ตัวดูในกระทู้ผม" คงพอจะเห็นได้คร่าว ๆ แล้วว่า คำว่า "จิต กับ ใจ" หากเอามารวมไว้ในที่เดียวกันแล้ว "อะไรจะเกิดขึ้น"

    +++ สำหรับกระทู้นี้ (กระทู้อื่นไม่เกี่ยว อย่าเอามาปนกัน) คำว่า "ใจ จะเป็นคำที่ ไม่ต้องการใช้มากที่สุด" และโดยส่วนตัวแล้วเห็นว่า "คำว่าใจ" สามารถสร้างปัญหาได้มากที่สุด ดังนั้นกระทู้ "ฝึก" กระทู้นี้ จึงมักใช้คำว่า "ตัวดู กับ สภาวะรู้" เป็นหลัก ส่วนคำว่า "ใจ" นั้น หากจำเป็นที่จะต้องนำมาใช้แล้ว ก็ต้องเป็น "ภาระของผู้อ่าน" ว่าใน "ปัจจุบันขณะ" ของการนำเสนอนั้น ๆ คำว่า "ใจ" บ่งชี้ไปที่ใด แต่ให้ รู้ อย่างหนึ่งว่า "ใจ ในขณะนั้น เป็นสภาวะรู้ หรือ เป็นสภาวะถูกรู้ ซึ่งในกรณีนี้ หมายถึง ตัวดู" นั่นเอง

    +++ สำหรับคุณ jittinon หากคุ้นเคยกับการใช้ภาษาของ สมเด็จพระสังฆราช และสามารถ "ตามรอยท่านได้" ผมก็แนะนำให้คุณฏิบัติตามท่านจะดีกว่า เพราะภาษาของท่านนั้น "ถูกต้องตามหลักการ ทุกประการ" ส่วนภาษาในกระทู้นี้ จะใชัเพื่อให้ "เหมาะต่อการปฏิบัติ ด้วยการเดินจิต" เท่านั้น วัตถุประสงค์มีเพียงอย่างเดียว คือ "การฝึก-กรรม-ฐาน-ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย" เพื่อ การปฏิบัติอย่างง่าย ๆ ไม่เน้นที่อย่างอื่น เน้นที่ "ทำได้" เท่านั้นเอง

    +++ ช่วงนี้ เครื่องคอม "กำลังเจ้ง" อาจเป็นที่ bios หรือ board ก็ได้ เดี๋ยวต้องแกะเครื่องแล้ว นะครับ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ให้สังเกตุ "อาการซึม" ให้ดี โดยเฉพาะในขณะที่มัน "กำลังก่อสภาพ" ตรงนี้แหละที่เป็น "อวิชชาปัจยาสังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณัง" ในจุดนี้ คือ "ความซึมตรงนั้น มีกระบวนการในการสร้าง วิญญาณขันธ์" ซ่อน อยู่ในบริเวณ "ใจกลาง" ของมัน แล้ว "ตัวความซึมเอง" จึงแปรสภาพเป็น "ฌาน" (ธรรมารมณ์ ที่ไม่แปรปรวน) ด้วยตัวมันเอง ต้องสังเกตุให้ดีจริง ๆ จึงเห็นได้

    +++ ตรงนี้หากเกาะแบบ "มหาสติ 4" ก็จะเป็นการไล่ "ปฏิจจะสมุปบาท ลงมาจาก อวิชชา" หากเกาะแบบ "ปัฏฐาน" ก็จะเป็นการเดิน "เหตุปัจจโย" จนแตกฉานได้

    +++ ให้สังเกตุการโพสท์ของผม ในกระทู้ตั้งแต่ "หูดับ" ไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นได้เองว่า "ผมจะโพสท์ ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับผู้ถาม มากที่สุด" จากนั้นจึง "แถมให้อีกเพียงแค่ สเตปเดียว ต่อยอดให้เท่านั้น" และจะไม่พูด "วกวน" ในเรื่อง มรรคผลนิพพาน กับบุคคลที่ "ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น" หรือ "ยังอยู่ในฌาน" หรืออะไรก็ตาม ที่ต้องทำให้ผู้อ่าน "ต้องปรุงแต่ง" โดยใช่เหตุ ผมมักจะ "ชี้อาการให้ตรงก่อน" จากนั้นจึง "แนะสเตปต่อไปในภายหลัง" ไปแบบ "ทีละก้าว" เท่านั้น

    +++ ตรงนี้แหละที่ "การแมปจิตไปด้วยโดยอัติโนมัต" จะเกิดขึ้นตลอดเวลา และจะรู้ว่า "ก้าวต่อไป จะไปทางไหน" (รู้ว่าภูมิจิตของป้าสามารถจะขึ้นสู่ธรรมที่ระดับสูงกว่านี้) ตรงนี้คือ "เห็นวิถีที่จะเดิน"

    +++ แต่การเดินเบื้องต้น คือ "แมปจิตเรา ให้เหมือนกับ สภาวะที่ป้าเป็น" จากนั้น "จึงเห็นรอยต่อ ที่จะเดินต่อไป" แล้วจึง "เดินจิตตน ออกจากรอยต่อนั้น" ตรงนี้ "ต้องใช้ ตัวพูดมาก ให้มันทำงาน ตลอดเวลา" และต้อง "แมปจิตทั้งสองฝ่าย ตลอดเวลา" อีกเช่นกัน ตรงนี้เป็นเรื่องของ "ทักษะ" ที่มาจากการ "ใช้ตัวพูดมาก" จนมันพัฒนามาเป็น "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" ได้ด้วยตัวมันเอง (ในสมัยพุทธกาล ส่วนมากผู้ที่ฝึกจบจะได้ตรงนี้มาเองโดย ไม่ต้องเหนื่อย)

    +++ นั่นแหละคือ "ฝึกตนให้ อยู่กับความเป็นจริงได้แล้ว จึงฝึกผู้อื่น" (ความดีคือ พ้นทุกข์ ส่วน การพ้นทุกข์ มีฐานมาจาก ความเป็นจริง) นั่นเอง

    +++ เพิ่งกลับจากไปดู "บ้องไฟพญานาค" ที่ รัตนะวาปี มา รอให้ ซ่อมคอม เสร็จก่อน แล้วค่อยว่ากัน นะครับ
     
  11. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ++ ให้สังเกตุ "อาการซึม" ให้ดี โดยเฉพาะในขณะที่มัน "กำลังก่อสภาพ" ตรงนี้แหละที่เป็น "อวิชชาปัจยาสังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณัง" ในจุดนี้ คือ "ความซึมตรงนั้น มีกระบวนการในการสร้าง วิญญาณขันธ์" ซ่อน อยู่ในบริเวณ "ใจกลาง" ของมัน แล้ว "ตัวความซึมเอง" จึงแปรสภาพเป็น "ฌาน" (ธรรมารมณ์ ที่ไม่แปรปรวน) ด้วยตัวมันเอง ต้องสังเกตุให้ดีจริง ๆ จึงเห็นได้

    ## ค่ะ สังเกตุเห็นเหมือนกันค่ะ

    +++ ตรงนี้หากเกาะแบบ "มหาสติ 4" ก็จะเป็นการไล่ "ปฏิจจะสมุปบาท ลงมาจาก อวิชชา" หากเกาะแบบ "ปัฏฐาน" ก็จะเป็นการเดิน "เหตุปัจจโย" จนแตกฉานได้

    ## ค่ะ ยังไงจะลองฝึกดูเล่นๆทั้ง 2 อย่างค่ะ

    +++ แต่การเดินเบื้องต้น คือ "แมปจิตเรา ให้เหมือนกับ สภาวะที่ป้าเป็น" จากนั้น "จึงเห็นรอยต่อ ที่จะเดินต่อไป" แล้วจึง "เดินจิตตน ออกจากรอยต่อนั้น" ตรงนี้ "ต้องใช้ ตัวพูดมาก ให้มันทำงาน ตลอดเวลา" และต้อง "แมปจิตทั้งสองฝ่าย ตลอดเวลา" อีกเช่นกัน

    ## อ่านตรงนี้แล้วเพิ่งจะเข้าใจ เวลาตัวพูดมากมันทำงาน มันจะใช้ภาษาต่างกันโดยพูดแปลวนอยู่ประมาณ 2-3 รอบหรือ 2-3 ประโยค แต่ภาษาทั้งหมดที่แปลออกมาแล้วจะเป็นอาการเดียวกัน ถูกไหมคะ

    +++ ให้สังเกตุการโพสท์ของผม ในกระทู้ตั้งแต่ "หูดับ" ไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นได้เองว่า "ผมจะโพสท์ ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับผู้ถาม มากที่สุด" จากนั้นจึง "แถมให้อีกเพียงแค่ สเตปเดียว ต่อยอดให้เท่านั้น" และจะไม่พูด "วกวน" ในเรื่อง มรรคผลนิพพาน กับบุคคลที่ "ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น" หรือ "ยังอยู่ในฌาน" หรืออะไรก็ตาม ที่ต้องทำให้ผู้อ่าน "ต้องปรุงแต่ง" โดยใช่เหตุ ผมมักจะ "ชี้อาการให้ตรงก่อน" จากนั้นจึง "แนะสเตปต่อไปในภายหลัง" ไปแบบ "ทีละก้าว" เท่านั้น

    ## เคยสังเกตุการโพสท์ ทุกโพสท์อย่างละเอียดแล้วค่ะ บางครั้งยังเสียดายแทนผู้ถามเลยค่ะ ที่เขาไม่พยายามฝึกต่อยอดออกไป อาจคงเป็นเพราะเขาไม่เห็นประโยชน์ตรงนั้น

    +++ ตรงนี้แหละที่ "การแมปจิตไปด้วยโดยอัติโนมัต" จะเกิดขึ้นตลอดเวลา และจะรู้ว่า "ก้าวต่อไป จะไปทางไหน" (รู้ว่าภูมิจิตของป้าสามารถจะขึ้นสู่ธรรมที่ระดับสูงกว่านี้) ตรงนี้คือ "เห็นวิถีที่จะเดิน"
    +++ แต่การเดินเบื้องต้น คือ "แมปจิตเรา ให้เหมือนกับ สภาวะที่ป้าเป็น" จากนั้น "จึงเห็นรอยต่อ ที่จะเดินต่อไป" แล้วจึง "เดินจิตตน ออกจากรอยต่อนั้น" ตรงนี้ "ต้องใช้ ตัวพูดมาก ให้มันทำงาน ตลอดเวลา" และต้อง "แมปจิตทั้งสองฝ่าย ตลอดเวลา" อีกเช่นกัน ตรงนี้เป็นเรื่องของ "ทักษะ" ที่มาจากการ "ใช้ตัวพูดมาก" จนมันพัฒนามาเป็น "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" ได้ด้วยตัวมันเอง (ในสมัยพุทธกาล ส่วนมากผู้ที่ฝึกจบจะได้ตรงนี้มาเองโดย ไม่ต้องเหนื่อย)

    ## จริงๆแล้ว สังเกตุเห็นตัวพูดมากมันฝึกปฏิสัมภิทาญาณแบบอัตโนมัติด้วยตัวของมันเองให้เราแล้ว โดยที่เราไม่ต้องฝึกให้มัน เพียงแต่เรายังไม่เข้าใจวิถีการทำงานของมันอย่างละเอียดชัดเจนน่ะค่ะ พักหลังเลยปล่อยให้มันพูด แล้วเราค่อยสังเกตุการทำงานของมันอย่างละเอียดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจวิถีการทำงานของมันอย่างชัดเจนน่ะค่ะ เหมือนเมื่อช่วงบ่าย ตอนเอนหลังหลับตาเงียบๆฟังธรรมะ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงตัวพูดมากพูดว่า” ให้สังเกตุ "อาการซึม" ให้ดี “ ก็เลยรู้ว่าครูบาอาจารย์มาแล้ว พอเข้ามาดูตอนนั้นก็ใช่จริงๆ

    +++ นั่นแหละคือ "ฝึกตนให้ อยู่กับความเป็นจริงได้แล้ว จึงฝึกผู้อื่น" (ความดีคือ พ้นทุกข์ ส่วน การพ้นทุกข์ มีฐานมาจาก ความเป็นจริง) นั่นเอง

    ## ตอนนี้ พ้นทุกข์แล้วค่ะ “ กิเลส ตัณหา ราคะ” “โลภะ โทสะ โมหะ” ไม่กำเริบแล้ว จิตใจสงบเย็นสบาย ก็เลยเหลือด่านสุดท้าย คือ ตัวพูดมาก นี่แหล่ะค่ะ ถ้าฝึกผ่านตรงนี้แล้วก็คงพร้อมที่จะออกมาฝึกผู้อื่นได้ ยังไงจะใช้ความพยายามให้มากกว่านี้น่ะค่ะ ช่วงนี้อาจจะหายเงียบไป ถ้าไม่เข้าใจยังไงแล้วจะเข้ามาโพสท์ถาม หรือไม่ก็ขออนุญาตถามทาง pm นะคะ
     
  12. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ เพิ่งกลับจากไปดู "บ้องไฟพญานาค" ที่ รัตนะวาปี มา รอให้ ซ่อมคอม เสร็จก่อน แล้วค่อยว่ากัน นะครับ

    ไปดู บ้องไปพญานาค น่าสนุกจัง ไม่เล่าสู่กันฟังบ้างเหรอคะ อิอิ
    พูดถึง อ.รัตนวาปี อยู่ห่างจากบ้านเกิดข้าน้อยร้อยกว่ากิโลเมตรเอง
     
  13. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    แถวเดียวกันค่ะพี่จิตวิญญาณ คนอีสานคือกัน อยากฟังเรื่องบั้งไฟพญานาคเหมือนกันค่ะ
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ถูกต้อง และให้สังเกตุดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่า "มันใช้ภาษาไม่ซ้ำกัน" แต่จะชี้ไปที่อาการเดียวทั้งหมด ตรงนี้แหละที่ผมเคยบอกว่า "เป็นการใช้ภาษา ล้อมกรอบ อาการ" ตรงนี้ "เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น" ยังมีการแตกละเอียดย่อยลงไปอีก จะมีการแตกขันธ์บริวาร อยู่-ย้าย ไปตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย

    +++ จะเป็นการทำงานแบบ "รวมทุกอย่างที่ฝึกมา" ยามใดที่ "รู้ข้างนอก มันก็เป็น ปัฏฐาน 4 เต็มตัว" ยามใดที่ "รู้ข้างใน มันก็เป็น มหาปัฏฐาน เต็มตัว" เช่นกัน การ อยู่-ย้าย แตกขันธ์ต่าง ๆ จะเป็นไปตาม "กระบวนการทางธรรมชาติ" ทั้งสิ้น และ "ความปรุงแต่ง ไม่อาจแทรกแซงเข้ามาได้เลย" (หากตัวพูดมาก ใช้ภาษาไม่ทัน มันจะเปลี่ยนมาเป็น การ map จิตเดินจิตเอง โดยอัตโนมัติ โดยไม่มีการฝึกอีกต่อไป)

    +++ "วิบาก วิบาก วิบาก" map จิตเดินจิตไปเรื่อย ๆ "คำศัพท์ตรงนี้" จะค่อย ๆ ชัดเจนมาเอง อาจเห็นได้ช้าหน่อยเพราะ "วงจรของมัน กว้างขวาง ใหญ่โต ลึกล้ำมาก" ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่โพสท์กันไปมาบนเวปนี้ เป็นเพียงแค่ "ขี้ฝุ่นลอยไปมาในอากาศ" ของวงจรกรรมเท่านั้น "ขี้ฝุ่นมีอยู่จริง เข้าตา เข้าจมูก ได้จริง" ในยามที่ "ขี้ฝุ่นเข้าตาเข้าจมูก ในขณะขับรถ อะไรก็เกิดขึ้นได้จริง" (วิบาก เข้ามาทำ อุปฆาต) หลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่าง "คนเรามีกรรมเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นของ ๆ ตน" บทสวดประโยคนี้ กว่าจะเห็นได้ ก็ต้องผ่านการเห็น "วิบาก วิบาก วิบาก" ในระดับ map จิตจนคุ้นเคย เป็นนิสัย และใช้เวลา "พอสมควร" จึงจะเห็น (จริง) ได้

    +++ นั่นยัง "เป็นแค่ส่วนหนึ่งของมัน" เท่านั้น ยังมีอีกหลายส่วนรวมทั้ง "อจินไตย" อีกนับไม่ถ้วน ในนั้นแหละ และตัวมันเองก็เป็น "อนันตนัย" ซึ่งก็เป็น "อจินไตย" อยู่ด้วยตัวมันเอง อยู่แล้ว
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เอาโน๊ตบุคของน้องมาใช้ก่อนชั่วคราว พิมพ์ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร เครื่องประจำ "เข้าอู่" ไปก่อน

    +++ "ปรากฏการณ์" ที่เรียกว่า บ้องไฟพญานาค ที่ไป "เห็นมากับตา" ในปีนี้ ระยะห่างที่มองเห็นในขณะที่ขึ้นต่อหน้า ห่างจากผมราว ๆ 25 เมตร แต่ไม่น่าจะเกิน 100 เมตร (ใกล้สุด ถึง ไกลสุด) พอจะเทียบได้กับ มองข้ามถนน พหลโยธิน ที่สนามเป้า และไม่เกิน มองข้ามถนน ราชดำเนิน ก่อนถึงสนามหลวง (โดยคร่าว ๆ รวมฟุตบาท) ที่ตาลชุม รัตนะวาปี ทั้งหมด 111 ลูก นอกนั้นขึ้นหลังจากที่ผมลุกไปแล้ว มีลักษณะดังนี้

    1. ตัวลูกไฟ มีสีเดียวกันทั้งหมดทุกลูก คือ ชมพูม่วงอมแดง
    2. ขนาดเท่า ๆ กันทั้งหมด

    3. เป็นลูกไฟ "ในอากาศ" เมื่อพ้นจากน้ำแล้วสัก 3-5 เมตร ไม่ได้เป็นลูกไฟ ตั้งแต่อยู่ใต้น้า
    4. ลูกไฟ ในขณะที่พุ่งขึ้น "เป็นลูกโดด" ไม่มีการ "แตกสะเก็ด แบบวัตถุติดไฟ หรือ พลุ หรือ วัสดุเชื้อเพลิง" แต่ความเร็วในการพุ่งขึ้น "จะเร็วกว่า พลุ อยู่บ้าง" ความสูง มากกว่า 20 เมตรขึ้นไป น่าจะอยู่ในระหว่าง 30-50 เมตร โดยคร่าว ๆ และ "ไม่มีเสียง"

    5. ในขณะที่ขึ้นเป็นชุดแบบ 3-5 ลูก จะเรียงลำดับ หน้า-หลัง หรือ ซ้าย-ขวา เป็นระเบียบที่เห็นได้ชัดเจน ไม่แตกแถว ไม่แซงคิว ไม่พลุ่งพล่าน ไม่ขึ้นมั่ว
    6. ในขณะที่ขึ้นเป็นชุด จะเป็นจังหวะที่เท่ากัน แบบ นับ 1-5 หรือ 1-3 ในการนับที่เท่ากัน ไม่มีมั่ว ไม่มีสะดุด

    +++ เสียดายตรงที่ ในขณะที่ดู "ไม่มีลมพัดจัด" จึงไม่สามารถพูดได้ว่า "ลมมีอิทธิพล ต่อบั้งไฟ หรือไม่อย่างไร"

    +++ อย่างหนึ่งที่ชัดเจนมากคือ "ตัดปัญหาเรื่อง ก๊าซติดไฟ ที่ขึ้นมาจากไต้น้ำ ทิ้งไปได้เลย" เพราะลักษณะแบบข้อ 5-6 ตรงนี้เป็นลักษณะแบบ "จงใจ และเป็น pattern ที่ชัดเจน"

    +++ หากว่า "เป็นคนทำ" ผมเองก็มีคำถามง่าย ๆ ว่า "ไปรวยมาจากไหน ถึงทำให้คนดูฟรี เพราะต้องอยู่ใต้น้ำ ท่ามกลางคนจ้องจับผิด นับหมื่น" และหากเป็นการลงทุนที่ดี ในระดับร่วมหัวกันทำ ทำไมไม่ทำทุกเดือนจะได้ "เซ็งลี้ฮ้อ ๆ" และใช้อะไรทำ เพราะมันไม่มีลักษณะของ "การเผาผลาญเชื้อเพลิง ที่ร่อยหลอ แบบธรรมดาของการใช้เชื้อเพลิง" แต่นี่มัน "ลอยสูง แล้ว หาย" ไปเฉย ๆ ซะอย่างนั้น

    +++ ทะเบียนรถที่มาไกลที่สุด "ที่ผมเห็นกับตา" คือ "สตูล" ตรงนี้ต้องยอมรับใน "ความทรหด" ของทั้งรถทั้งคน คันนั้นจริง ๆ

    +++ ปรากฏการณ์นี้ "จะธรรมชาติ หรือไม่อย่างไรก็ตาม" ก็บอกได้คำเดียวว่า "ต้องเห็น ถึงจะคุ้ม" นะครับ
     
  16. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    5555 ทรหดกิงๆ หนูอยู่แถวๆนั้นยังไม่คิดจะไปเลยแม่เคยบอกว่ากว่ารถจะออกมาได้ออกมาห้าทุ่มรถติดมากๆจนถึงอุดร ถึงบ้านสิบโมงเช้า หุหุ เลยไม่คิดจะไปค่ะไม่ชอบคนเยอะด้วย
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ผมออกมาจากวัดตาลชุม สามทุ่ม ถึงตัวจังหวัดหนองคาย แถว ๆ ตีสอง นี่ขนาดตำรวจขยายเลนให้แล้วนะ แต่สรุปแล้ว ออกเร็วรถติด ออกช้าก็ต่อหางแถวที่มันติด แต่จะคล่องตัวกว่า

    +++ แต่เท่าที่รู้ก็คือ มีหลายกลุ่มไปไม่ถึง ต้องจอดหาแวะข้างทาง แล้วเสี่ยงดวงกันเอาเอง ว่าจะเห็นหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ คือ ต้องเห็นใกล้ ๆ จึงจะคุ้ม นะครับ
     
  18. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    เห็นแบบตาเนื้อแล้ว ตาในเห็นเป็นเช่นไรค่ะ:boo::boo::boo:
     
  19. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    อ่าว อยู่แถวเดียวกันติ่ เอื้อยไปทางนคร บ้านติดแม่น้ำโขง คนอีสานคือกั๋น อย่าแตกแถวเด้อ ฟ้าวฝึกฟ้าวปฎิบัติเอา พวมยังมีครูบาอาจารย์อยู่สอน ธรรมบ่ต้องไปหาไกลดอก อยู่ในโตเฮานั่นหล่ะ แล้วที่ว่ากลัวผี เวลานี้ยังกลัวอยู่อีกไหม หาตัวไอ้ที่กลัวผีให้เจอนะ อย่าปล่อยให้ถูกมันหลอกเอาได้ เรื่องบ้องไฟพญานาค ได้ยินแต่เพิ่นเว้ากั๋น แต่บ่เคยไปเบิ่งกับเพิ่นจั๊กเทื่อ บ่มักคนหลายคือกั๋น มันอนอั๋ว อ่านที่ครูบาอาจารย์เล่า สนุกกว่าเยอะ เหมือนเราอยู่ในเหตุการณ์เลย
     
  20. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    มาเล่าให้ฟังค่ะ วันพฤหัสที่ 9 ฝันว่าพระพุทธเจ้ามาทำนายการเกิดของหนูว่าเกิดชาตินี้ 1 ชาติแล้วจะเกิดชาติหน้าอีก 1 ชาติ เราก็มานั่งคิดว่าเอ๊จริงเหรอ เพราะอาจจะนอนมาก แต่มานั่งนึกดูนานมาแล้วฝันเห็นพระองค์นี้นี้บ่อยๆลักษณะจะเป็นอยู่บนภูเขาอันไกลโพ้นขึ้นไปเหนื่อยมากๆไม่ค่อยมีคนไปกัน บางทีก็ไปไม่เจอ ลักษณะท่านจะนั่งอยู่ในกลดทุกครั้ง ส่วนมากเวลาทำอะไรที่ไม่ควรเราจะฝัน ฝันว่าท่านดูเราอยู่ทุกครั้ง แล้วก็มานั่งพิจารณาแล้วเลิกทำ ไม่เคยเจอหน้าท่าน มีครั้งนี้ขึ้นไปอีกครั้งน่ากลัวกว่าทุกครั้งเหนื่อยมากๆ พอไปถึงรู้สึกว่าต้องไปอีก แต่มันอยู่บนเหมือนอากาศหรือสวรรค์แต่เราไปไม่ได้ สักพักมีเต่าหย่อนเชือกลงมาเส้นเล็กนิดเดียวเหมือนสายสิญจน์เราก็เกาะมีคนเกาะเราไปด้วยเป็นผู้ชาย ตอนเหาะไปน่ากลัวมาก แต่ท่านทำนายว่าผู้ชายคนนั้นจะเกิดอีกหลายชาติ ส่วนฝันครั้งแรกนั้นประทับใจมากที่เห็นท่านเหมือนท่านนั่งอยู่บ้านไม้ที่ผุๆพังๆแล้วเราก็แบกบ้านหลังนั้นไว้บนบ่าเดินในนำ้ครึ่งตัวที่มีแต่ป่ากก เราในนั้นทั้งเป็นตัวเราเองและพระ (อีกอย่างหนูจะฝันมาตลอดว่าตัวเองเป็นพระ) คือในฝันเราเต็มใจมีความสุขที่จะทำ มันหนักและเหนื่อย พอแบกไปสักพักน้ำหายไปเบาขึ้นไม่หนักเลย แต่ท่านไม่ได้พูดอะไรแค่มองเราดูเราเฉยๆ รู้สึกว่าทั้งสองฝันบ้านที่ท่านนั่งจะโทรมๆเหมือนศาสนาของเราที่เริ่มเสื่อมลงเรื่อยๆ เคยได้นิมิตรที่ตนเองบวชในสมัยพุทธกาลด้วยค่ะ แบบว่าตอนปฏิบัติจริงจังใหม่ๆเมื่อต้นปีเคยอธิฐานว่าจะสำเร็จในชาตินี้ให้ฝันเห็นพุทธองค์ แต่ไม่ฝันค่ะ เป็นแบบนี้แทนแล้วสะดุ้งตื่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 ตุลาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...