ปรึกษาดวงแม่นๆ ชีวิตเปลี่ยนภานในภายใน 7 วัน กับคุณกฤช

ในห้อง 'ร้องเรียนและปัญหา' ตั้งกระทู้โดย kichprapan1, 24 พฤศจิกายน 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    เครื่องหมายโอม สัญลักษณ์แห่งศาสนาพราหมณ์ <table cellpadding="5" cellspacing="5" width="850"> <tbody><tr> <td align="left" valign="middle" width="35%"> [​IMG]
    </td> <td class="middledetails" align="left" valign="middle" width="65%">ในบทสวดมนต์ของเทพทุกองค์ในศาสนาพราหมณ์ จะขึ้นต้นด้วยคำว่า "โอม..."
    และในรูปวาดมหาเทพเกือบทุกรูป จะปรากฏเครื่องหมาย "โอม" อยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งในภาพ ซึ่งคำว่า โอม นี้เป็นหัวใจหลักของศาสนาเลยทีเดียว!!

    โอม...เป็นพยางค์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำที่ถูกเอ่ยถี่ที่สุด ในการสวดมนต์ทุกบทของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

    คำว่า โอม มีลักษณะดังที่เห็นในรูป สังเกตุได้จากลักษณะเด่น คือ
    - มีเครื่องหมายคล้ายเลข 3 นำหน้า
    - มีเครื่องหมายคล้าย ง. งู ต่อท้าย
    - มีถ้วยและหยดน้ำ (เครื่องหมายจุดพินทุ) อยู่ด้านบน

    (นอกจากโอมแบบมาตรฐานนี้แล้ว ยังมีอีกหลายลักษณะ ตามแต่ละท้องถิ่นและภาษาของอินเดีย ผู้เขียนจะนำมาเล่าในโอกาสต่อไป) </td> </tr> </tbody></table> <table class="middledetails" cellpadding="5" cellspacing="5" width="850"> <tbody><tr> <td align="left" height="228" valign="middle" width="69%"> อักขระ โอม เกิดจากการเรียกพระนามของพระตรีมูรติทั้ง 3 รวมกันเป็นคำเดียว ซึ่งแยกได้ดังนี้
    อะ - มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระศิวะ (อะ)
    อุ - มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระวิษณุ (อุ)
    มะ - มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระพรหมมะ (มะ)

    อะ อุ มะ....เมื่ออ่านออกเสียงให้ต่อเนื่องกัน จึงเกิดเป็นคำว่า "โอม" หมายถึงการเรียกขานพระนามของ 3 มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ ในหนังสือบางเล่ม จะสลับความหมายไปมา บ้างก็ว่า อะ คือพระวิษณุ บ้างก็ว่า มะ คือพระศิวะ สลับไป สลับมา แต่ละเล่มก็เลยเขียนไม่เหมือนกันเลย ขอผู้อ่านได้โปรดจำให้ขึ้นใจ จะได้ไม่สับสนนะครับ
    </td> <td class="middledetails" align="center" bgcolor="#FFFFFF" valign="middle" width="31%"> [​IMG]
    </td> </tr> </tbody></table> <table bgcolor="#CCCCCC" cellpadding="5" cellspacing="5" width="850"> <tbody><tr> <td class="middledetails" align="center" bgcolor="#FFFFFF" valign="middle">[​IMG]</td> <td class="middledetails" align="left" height="193" valign="middle"> คำว่า โอม ยังสามารถแยกออกเป็นคำๆ ซึ่งมีที่มาโดยการเปล่งเสียงแต่ละคำของมหาเทพได้อีกดังนี้
    1. ตัว อะ - ออกจากพระพักตร์ทางทิศเหนือของมหาเทพ
    2. ตัว อุ - ออกจากพระพักตร์ทางทิศตะวันตกของมหาเทพ
    3. ตัว มะ - ออกจากพระพักตร์ทางทิศใต้ของมหาเทพ
    4. ตัว . (พินทุ) - ออกจากพระพักตร์ทางทิศตะวันออกของมหาเทพ
    5. เสียง นาท (เสียงที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยินและเข้าใจได้) - ออกจากกลางพระพักตร์ของมหาเทพ

    </td> </tr> </tbody></table> <table cellpadding="5" cellspacing="5" width="850"> <tbody><tr> <td align="left" bgcolor="#FFFFFF" valign="top" width="48%"> [​IMG]
    </td> <td class="middledetails" align="left" valign="middle" width="52%">เมื่อท่านผู้ศรัทธาเดินผ่านเทวาลัยพระพิฆเนศวร หรือมหาเทพองค์ใดๆ ควรพนมมือขึ้นเพื่อทำความเคารพ และให้เอ่ยคำว่า "โอม..." สั้นๆเพียงคำเดียวในกรณีที่จำบทสวดเทพองค์นั้นๆไม่ได้ และไม่ใช่เอ่ยคำว่า "สาธุ" นะครับ ต้องเป็นคำว่า "โอม" เท่านั้น จะสวดมนต์ จะขอพร จะกราบ หรือกระทำสิ่งใดก็ตามแต่ ให้เอ่ยคำว่า "โอม" เสมอ

    ฉะนั้นนับแต่นี้ไป หากท่านได้พบเห็นเทวรูปพระพิฆเนศ หรือเทพองค์อื่นของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประดิษฐานอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ให้เอ่ยคำว่า "โอม" แทนคำว่า "สาธุ" ก็จะถูกต้องตามหลักปฏิบัติมากกว่าครับ
    </td> </tr> </tbody></table>
    ท่านผู้ศรัทธาควรหมั่นสวดบูชาเครื่องหมายโอมนี้ด้วยเสมอ
    หลังจากที่สวดบูชาเทพทุกองค์เสร็จแล้ว มีคำสวดดังนี้

    โอม การัม พินทุสัมยุกตัม
    นิตยัม ธยายันติ โยคินา
    กามะทัม โมกะสะทัม ไจวะ
    โอม การายะ นะโม นะมะ ฯ
    ความหมายของบทสวด :
    เครื่องหมาย โอม อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ปรากฏคู่กับเครื่องหมาย พินทุ เสมอ
    อันจะเป็นเครื่องหมายที่นำความปรารถนา สุขสมหวังมาให้
    สามารถขจัดอุปสรรคทั้งหลายให้หมดสิ้น และชี้นำเหล่าโยคีไปสู่ปรีชาญาณ
    ข้าพเจ้าขอน้อมสักการะเครื่องหมายโอมอันศักดิ์สิทธิ์นี้....
     
  2. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    คนเราเกิดมามีกรรมติดตัว และต้องชดใช้กรรมไปจนหมดวาระของชีวิต ไม่มีใครช่วยให้เราพ้นกรรมได้ มนุษย์ควรยอมรับในกรรมที่สร้างขึ้น เมื่อผลกรรมส่งผลแก่ตัวเราในปัจจุบัน จะเล็กน้อยหรือร้ายแรงก็ตาม ก็ขอให้ยอมรับสภาพ และอดทนก้าวผ่านไปให้ได้ จากนั้นให้เริ่มสั่งสมบุญด้วยการตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร มีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง หมั่นทำบุญ ทำทาน ไม่สร้างกรรมชั่วเพิ่มขึ้นอีกในชาตินี้ และสวดมนต์ต่อมหาเทพ มหาเทวี ตลอดจนสวดมนต์ต่อพระพุทธเจ้า เราเชื่อว่าบุญบารมีที่ทุกท่านได้สะสม จะส่งผลดีให้เกิดขึ้นในชีวิตของท่านอย่างแน่นอน


    อาจารย์ กฤช
     
  3. nonlawat

    nonlawat Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +41
    สวัสดีค่ะ อาจารย์กฤชค่ะ

    ยินดีนะค่ะที่ได้รู้จักอาจารย์ค่ะ ดีใจมากเลยที่อาจารย์กฤชดูดวงไห้ค่ะ รู้สึกว่าคุยกับอาจารย์แล้ว สบายใจมากเลยค่ะ อาจารย์เก่งมากเลยค่ะ อาจารย์ทักมาเลยคำแรก โดนหลอกมาไช่ใหม่ หนูรู้สึกว่าแม่นมากเลยค่ะ เลยมาขอบคุณอาจารย์ค่ะ เพราะว่าแม่นมากค่ะ เดี่ยวจะนำหลักคำสอนของอาจารย์ ไปทำนะค่ะ

    โมทนาบุญด้วยนะค่ะ
     
  4. nonlawat

    nonlawat Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +41
    ขอบพระคุณนะค่ะอาจารย์


    ที่แนะนำสิ่งดีๆ ไห้สำหรับดิฉั้น จะนำสิ่งที่อาจารย์แนะนำไปปฏิบัตินะค่ะ เดี่ยวจะแนะนำญาติดิฉั้น ปรึกษาอาจารย์นะค่ะ เพราะดิฉั้นดูแล้วอาจารย์แม่นมากเลยค่ะ เดี่ยวยังไงจะโทรไปหาอาจารย์อีกครั้งนะค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ
     
  5. nonlawat

    nonlawat Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +41
    ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ


    แม่นมากเลยค่ะ จะนำคำแนะนำไปไช้นะค่ะ และจะแนะนำเพื่อนๆๆ ปรึกษาอาจารย์นะค่ะ เพราะว่าแม่นมากค่ะ เจอกับตัวเองแล้วก็เลยอยากแนะนำสิ่งดีๆๆ ไห้กับคนที่เรารู้จักค่ะ

    ขอบคุณค่ะ โมทนาบุญด้วยนะค่ะ
     
  6. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    อยากดูดวงทิ้งข้อมูลไว้นะครับ เดี๋ยวมาตอบ
     
  7. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    <table cellpadding="2" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td>
    </td> <td>ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัว การเรียน การทำงานจะเป็นผู้ที่มีพลังใจในตนเอง ซึ่งเป็นแรงจับที่คอยกระตุ้นให้มีความพยายามที่จะทำในสิ่งที่ต้องการจนสำเร็จบรรลุเป้าหมายอย่างไม่ท้อต่อ อุปสรรคใด ๆ พลังใจที่กล่าวถึงนี้ก็คือ ความมุ่งมั่น ตั้งใจอันแน่วแน่เป็นความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของเรานั้น เอง </td></tr> <tr> <td colspan="2">การที่จะมีพลังใจในชีวิตได้ จะต้องเริ่มต้นที่การรู้จักตนเองก่อน ว่าอะไรเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นที่ต้องการมาก ที่สุดในชีวิตของเรา แล้วนำสิ่งนั้นมาตั้งเป็นจุดหมาย เช่น ในเรื่องของการเรียนก็ต้องมีเป้าหมายของการที่จะนำ เอาความรู้ ความสำเร็จในการศึกษาไปใช้ในการดำรงชีวิตซึ่งจะทำให้เรามีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น นำความต้องการนั้นมาเป็นเป้าหมาย บวกกับความมั่นใจในตนเอง เห็นคุณค่าของตนเองว่าเราสามารถที่จะทำได้ สามารถเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีทำให้ชีวิตมีประสิทธิภาพได้ด้วยตัวเราเอง เรามาเสริมสร้างพลังใจให้มีขึ้นในตัว เราได้ตามแนวทาง 5 ประการ ดังนี้

    ประการแรก เป็นตัวของตัวเอง มีความเชื่อมั่นและมีเหตุผล เป็นผู้นำด้านความคิดให้แก่ตัวเอง สามารถ ตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเอง

    ประการที่สอง พึ่งตนเอง ดังคำกล่าวที่ว่า " ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน " ยังนำมาใช้ได้ไม่ล้าสมัย พยายามทำ สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง ไม่ควรพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา

    ประการที่สาม กล้าเผชิญปัญหา ต่อสู้กับอุปสรรค ยอมรับได้ทั้งความสำเร็จและความผิดหวัง คิดว่า ปัญหาเป็นสิ่งท้าทาย จะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสดังนักปราชญ์กล่าวไว้ว่า " ปัญหามาปัญญาเกิด "

    ประการที่สี่ ทำทุกอย่างเต็มความสามารถ ใช้ความสามารถของตนเองให้เต็มที่ มีความรับผิดชอบ ตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จ ทำให้ดีที่สุดทั้งกำลังกาย กำลังความคิด และกำลังใจเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมาย

    ประการที่ห้า พัฒนาตนเอง พยายามแข่งขันกับตนเองอยู่เสมอ โดเฉพาะการพัฒนาจิตให้บริสุทธิ์เปิดใจ มองโลกให้กว้าง รู้จักให้รวมถึงการให้อภัยด้วย

    ดังนั้น เมื่อเรามีพลังใจแน่วแน่สามารถทำได้อย่างไม่ย่อท้อ ความภาคภูมิใจความมีคุณค่าในตนเอง ก็เป็นสิ่งที่ตามมา ความสำเร็จย่อมอยู่ในมือของเรา แม้ดวงใจดวงน้อยนิดพิชิตอุปสรรคได้ ถ้าใส่พลังใจเต็มเปี่ยม
    </td></tr></tbody></table>
     
  8. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    อยากปรึกษา โทรมานะครับ
    [FONT=&quot]บ้าน พรหมชินนะคุรุ พยากรณ์[/FONT]
    [FONT=&quot]เปิดพลังดวงแม่นๆ พลิกพลังชีวิต ด้วยไพ่พยากรณ์ เทพอินเดีย [/FONT]
    [FONT=&quot]ปรึกษาพยากร์ดวง คุณกฤช โทร [/FONT][FONT=&quot]083-7663-882[/FONT]
     
  9. piralrat

    piralrat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +927
    วันอังคาร เกิดประมาณเวลา 04-06 น.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2011
  10. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    อยากดูดวงทิ้งข้อมูลไว้นะครับ
     
  11. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    [FONT=&quot]บ้าน พรหมชินนะคุรุ พยากรณ์[/FONT]
    [FONT=&quot]เปิดพลังดวงแม่นๆ พลิกพลังชีวิต ด้วยไพ่พยากรณ์ เทพอินเดีย [/FONT]
    [FONT=&quot]ปรึกษาพยากร์ดวง คุณกฤช โทร [/FONT][FONT=&quot]083-7663-882[/FONT]
     
  12. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    คนเราเกิดมามีกรรมติดตัว และต้องชดใช้กรรมไปจนหมดวาระของชีวิต ไม่มีใครช่วยให้เราพ้นกรรมได้ มนุษย์ควรยอมรับในกรรมที่สร้างขึ้น เมื่อผลกรรมส่งผลแก่ตัวเราในปัจจุบัน จะเล็กน้อยหรือร้ายแรงก็ตาม ก็ขอให้ยอมรับสภาพ และอดทนก้าวผ่านไปให้ได้ จากนั้นให้เริ่มสั่งสมบุญด้วยการตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร มีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง หมั่นทำบุญ ทำทาน ไม่สร้างกรรมชั่วเพิ่มขึ้นอีกในชาตินี้ และสวดมนต์ต่อมหาเทพ มหาเทวี ตลอดจนสวดมนต์ต่อพระพุทธเจ้า เราเชื่อว่าบุญบารมีที่ทุกท่านได้สะสม จะส่งผลดีให้เกิดขึ้นในชีวิตของท่านอย่างแน่นอน


    อาจารย์ กฤช
     
  13. นาคะวงศ์

    นาคะวงศ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +166
    ชื่อณัฐปิยะ อันภักดี เกิด 17 ธ.ค 2521 อาทิตย์ ปีมะเมีย เวลาประมาณ 1ทุ่ม-2ทุ่ม ที่ขอนแก่น
    ชีวิตจะดีขึ้นกว่านี้ไหมครับ จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างครับ
     
  14. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    [FONT=&quot]บ้าน พรหมชินนะคุรุ พยากรณ์[/FONT]
    [FONT=&quot]เปิดพลังดวงแม่นๆ พลิกพลังชีวิต ด้วยไพ่พยากรณ์ เทพอินเดีย [/FONT]
    [FONT=&quot]ปรึกษาพยากร์ดวง คุณกฤช โทร [/FONT][FONT=&quot]083-7663-882[/FONT]
     
  15. nonlawat

    nonlawat Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +41
    สวัสดีค่ะดิฉั้นชื่อ ชนันลักษณ์ จังหวัดสงขลาค่ะ

    หนูคิดว่าเรื่องดวงก็ถือว่าสำคัญนะค่ะ เพราะสิ่งที่เกิดอยู่กับหนู ก็เกี่ยวเนื่องทั้งหมดค่ะ หนูเคยไปดูหมดดุมา หลายท่านนะค่ะ เป็นคนชอบลอง ท้าทายค่ะ แต่ไม่ลบหลู่ค่ะ เพราะสิ่งที่เรามองไม่เห็น น่ากล้ว และสำคัญมากคือ คนที่จะดูดวงไห้เราได้คนนั้น ก็ต้องมีเทพประจำตัว เทวดารักษา หรือมีพลังบางอย่างอยู่กับตัวเค้า หนูเลยไม่กล้าลบหลู่หรอกค่ะ หนู่ไม่โทษนะค่ะ บางครั้งหนูไปดูหมด แต่ไม่แม่นนะค่ะ อาจจะเป็นเพราะ เจ้ากรรมนายเวรไม่อยากไห้รู้มั้งค่ะ ก็เลยไม่แม่น ก็ถือว่าโทษ หมูดูไมได้ เพราะว่าเราอยากลองเอง แต่คนที่หนูจะพูดถึงนิ ที่แรกหนู่ก็คิดเหมือนเดิม ปกติ เหมือนทุกๆครั้งที่ไปดูมา ไมได้ คิดไรมาก อยากลอง หนูก็โทรไป หาอาจารย์ คุยได้สักพัก ก้เลยขอดูดวง แต่หนูยังไม่โอนเงินนนะ เพราะหนูอยากรู้ว่าจะดูไห้รึปล่าว ปรากฏว่าท่านดูไห้ ท่านก็ไห้ เรา ของอนุญาติเทพประจำตัว เจ้ากรรทนายเวร ท่านก็พาหนูพุด ไห้หนูพูดตามค่ะ สักพักท่านก็ทาย ออกมา สิ่งแรกที่ท่านทัก หนูถึงกับอืึ้ง เลย ค่ะ ท่านทักว่าหนูมีของดี มีองค์เทพคุ้มครอง อยู่กับหนู ทั้งๆๆที่หนูไม่เคยบอกเลยนะค่ะ คุยกันครั้งแรกค่ะ แล้วท่านก็บอกต่อว่า ถ้าไม่จริงไม่ต้องจ่ายค่าครู อาจารย์จะโอนไห้คุณกลับคืนถ้าไม่ตรง อาจารย์เลยบอกว่า คุณเคยฝันเห็นผู้หญิงผิวขาวชุดขาว ในฝันคุณ ได้คุยกับเค้าด้วย ผู้หญิงคนนี้สวย แล้วหน้าเหมือนคุณด้วย ไช่ใหม แคนั้นแหละหนูขนลุก แบบบอกไม่ถูกอ่ะค่ะ พูดแบบไม่รู้เรื่องเลยค่ะ และสิ่งที่ทักมา แบบว่า สุดๆๆ จนหนูไม่รู้จะพุดยังไง ถึงได้มาบอกคนที่เป็นเหมือนหนูนะค่ะ ที่แรกคิดว่าลองเล่นๆ ไปๆๆมาๆๆ ไม่เล่นเลย นี่ขนาดดูทางโทรศัพท์นะ ถ้าเจอตัวเป็นๆๆ คงร้องเลยอ่ะ ลองโทรไปปรึกษานะค่ะ เชื่อหนู เจอมาแล้ว ชื่ออาจารย์ กฤช
    0837663882 ค่าบูชาครู 159 บาท ต้องขอโทษอาจารย์ที่ไม่ได้บอก ว่าจะเอามาเขียนกระทู้ ต้องขอโทษอาจารย์นะค่ะ

    [FONT=&quot]<ins></ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
     
  16. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    ผู้ที่เข้าถึงจิต
    ผู้ที่รวมจิต
    ผู้ที่รู้จักจิต ผู้ที่เข้าใจจิต
    ก็คือผู้เข้าใจโลกและมัจจุราช

    ถึงแม้ว่าเราจะปฏิเสธการเรียนรู้เรื่องจิต แต่ทุกคนมีพลังจิต แต่ไม่ได้พัฒนา ถึงแม้ว่าเราจะบอกว่าเรา ไม่รู้จักพลังจิต แต่ทุกคนมีพลังชนิดนั้นอยู่ แต่ไม่รู้จักวิธีใช้ ถึงแม้ว่าเราจะบอกกับใครๆ ว่าเราไม่รู้ว่าอะไรคือจิต อะไรคือพลังแห่งจิต แต่จริงๆแล้วเราใช้มันแบบฟุ่มเฟือย และไม่รู่จักรักษาเพิ่มเติม สะสม เพราะฉะนั้นพระศาสดาจึงสอนให้พวกเราเข้าถึงจิตของตน และพระองค์ก็ทรงชี้ประโยชน์แห่งการเข้าถึงจิตของตนว่า คนๆนั้น สัตว์ประเภทนั้น ท่านเหล่านั้น จะดับและเย็นนั่นคือนิพพาน ซึ่งผู้มีบุ_ไม่มีนิพพาน พลังงานอนันต์ไม่สามารถผลักดันให้ถึงนิพพานอันแปลว่าดับและเย็นได้ มีพลังงานชนิดเดียวเท่านั้น ที่ทำให้เข้าถึงนิพพานได้ นั่นคือ... พลังแห่งจิต ซึ่งต้องได้รับการฝึกปรือ ขัดเกลาพัฒนา ได้มาจากอัตภาพร่างกายและวาจาใจแห่งนี้ พลังงานวิเศษซึ่งเป็นพลังงานอมตะนั้น ไม่ใช่ได้มาจากที่อื่น ไม่ใช่ได้มาจากครูคนใด ไม่ใช่ได้มาจากพระพุทธเจ้าประทานให้ แต่ได้มาจากหัวใจที่เอื้ออารีย์ แต่เต็มเปี่ยมด้วยคุณงามความดี ที่เราเรียกขานกันว่าผู้มีบุ_ และมันก็ได้มา จากการทำกรรมดี ที่เรียกว่าทำบุ_ สุดท้ายไม่ยึดติดในคำว่าบุ_ ทิ้งบุ_ ไม่หลงใหลในบุ_ จนกระทั่งถึงคำว่า สุ__ากาศ และก็ยกระดับไปสู่คำว่า สุ__ตา อันแปลว่าว่างและไม่มีอะไร

    กระบวนการฝึกจิตต้องเริ่มต้นมาจากการดัดกาย วาจา ใจของตน ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยคำว่าบุ_เพราะบุ_เป็นอาหารแห่งจิต เรากำลังจะนำร่างกายไปออกรบ เรากำลังจะนำร่างกายไปอดตาหลับขับตานอน ไปฝึกปรือไปทำกิจกรรมใดๆ แต่ถ้าร่างการยเราขาดสารอาหาร เราก็มิอาจนำเอาร่างกายและอัตภาพนี้เดิน ทางไกล หรือไปทำอะไรๆ รบแล้วไปเอาชนะใครได้เลย
     
  17. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="694"><tbody><tr><td bgcolor="#FFFFFF">
    10 วิธีที่สร้างความสุข ​
    </td> </tr> <tr> <td bgcolor="#FFFFFF">


    ความสุข เป็นยอดปรารถนาของมนุษย์ที่สามารถแสวงหาได้ ซึ่งแนวทางในการทำตัวให้มีความสุข มีดังต่อไปนี้
    1. การรักษาสุขภาพทางกายให้แข็งแรง สุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิตมีอิทธิพลต่อกันและกัน คนที่มีสุขภาพกายดีย่อมส่งผลให้มีจิตใจร่าเริงเข้มแข็ง
    2. มีความสุขกับการทำงาน การ เลือกทำงานที่ชอบหรือการสร้างความพึงพอใจในงานที่ทำ หาวิธีการทำงานให้มีความสุข พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายหลายอย่างภายในขอบเขตที่สังคมยอมรับ ตามความสามารถของตนเอง
    3. รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง ควร ได้สำรวจตัวเองว่าเป็นคนอย่างไร ต้องยอมรับว่าคนเรามีทั้ง ส่วนดีและส่วนเสีย เราต้องมองหาส่วนดี เห็นคุณค่า ชื่นชม พยายามพัฒนาส่วนดี พร้อมทั้งยอมรับในข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้
    4. มีอารมณ์ขัน มอง โลกในแง่ดี ควรมองหาความสุข ความเพลิดเพลิน เพื่อช่วยลดความตึงเครียดต่างๆ ทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย การหัวเราะทำให้จิตใจเบิกบาน มีการกระเพื่อมของหน้าท้อง เวลาจะทำอะไรต้องหาจุดดีของเรื่องนั้นให้พบ เมื่อพบแล้วทำความพอใจและชื่นชม ก็จะเกิดแต่ความดีงาม
    5. ไม่ควรเก็บอารมณ์ขุ่นมัว ต้องคิดไว้เสมอว่าเหนื่อยก็พัก หนักก็วาง วุ่นก็ให้ว่าง ทุกอย่างก็สบาย
    6. ควรมีงานอดิเรกและการพักผ่อนหย่อนใจ ควร หาอะไรที่ชอบและพอใจทำ ทำในเวลาว่างที่เหลือจากกิจวัตรประจำวัน การทำอะไรในสิ่งที่พึงพอใจย่อมเกิดความสุขเพลิดเพลิน ทำให้ไม่มีเวลาว่าง ที่จะคิดกังวลเรื่องต่างๆ เป็นการฝึกการใช้เวลาว่างนั้นๆให้มีสมาธิในการทำสิ่งที่พอใจ ซึ่งจิตมีสมาธิจะเป็นจิตที่เข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวง่าย
    7. หาสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ แต่ละชีวิตย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป เราจึงควรหาเพื่อนหรือใครสักคนที่สามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขได้ ค้นหาคนที่คุณรักและเขารักคุณ ช่วยเหลือเกื้อกูล ปลอบขวัญ บำรุงจิตใจซึ่งกันและกัน สามารถที่จะระบายทุกข์ ปรึกษาขอความคิดเห็น และแก้ไขปัญหาต่างๆ
    8. พร้อมที่จะเผชิญปัญหาและความกังวลใจ เมื่อพบอุปสรรค พึง พิจารณาปัญหาอย่างใช้เหตุและผล โดยค้นหาข้อเท็จจริง มองปัญหานั้นๆและหาวิธีการต่างๆในการแก้ปัญหา ทำการตัดสินใจ แล้วปฏิบัติตามที่ได้ตัดสินใจไว้ หรือถ้าปัญหารุมเร้ามากจนต้องการหลีกให้พ้น "จงใช้ชีวิต อยู่เพื่อวันนี้เท่านั้น"
    9. ใช้เวลาเป็นยารักษาความเจ็บปวด เมื่อพบกับความผิดหวังจงใช้เวลาเป็นเครื่องช่วยเยียวยา เมื่อพลาดหวังแล้วจงอดทน และมีความหวังต่อไป ความหวังเป็นพลังหรือแรงจูงใจ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต เมื่อประสบความผิดหวัง ไม่ควรใช้วิธีถอยหนีหรือเลี่ยงปัญหา ควรคิดเสมอว่า "ท้อแท้-หงอย ท้อถอย-แพ้"
    10. ค้นหาเป้าหมายของชีวิต การ คิดฝันไม่ ใช่เรื่องเสียหาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมีความคิดฝันที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ซึ่งความคิดฝันจะทำให้เรามีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ มีแรงจูงใจ มีการตั้งเป้าหมายในชีวิตใกล้เคียง กับความสามารถที่แท้จริงและสอดคล้อง กับความเชื่อและอุดมคติ แล้วทำการลงมือปฏิบัติเพื่อไปสู่เป้าหมาย การทำตัวให้มีความสุขได้เพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ ต้องอาศัยการเรียนรู้ และหาวิธีการ แล้วนำไปดัดแปลง ปรับปรุงให้เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพการของผู้ต้องการแสวงหาความสุขนั่นเอง​
    </td></tr></tbody></table>
     
  18. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    การเพิ่มพลังบุญแบบไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว

    -เวลาตื่นเช้ามาขณะล้างหน้าหรือดื่มน้ำให้ท่องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อชีวิตในวันใหม่
    -ก่อนกินข้าว ก็ให้นึกถวายข้าวแด่พระพุทธเจ้า
    - ออกจากบ้าน เห็นคนอื่นเค้ากระทำความดี เป็นต้นว่าเห็นเค้าใส่บาตรพระ จูงคนแก่ข้ามถนน ก็ให้นึกอนุโมทนากับเขาด้วย
    - เดินผ่านเห็นดอกไม้บูชาพระวางขายอยู่ ก็ให้เอาจิตนึกอธิษฐานขอถวายดอกไม้เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชา พระรัตนตรัย โดย ระลึกว่า พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ แล้วอย่าลืมอิทิศบุญให้พ่อค้าแม่ค้าดอกไม้นั้นด้วย
    - เวลาไปไหนมาไหน เห็นไฟข้างทางก็ให้นึกน้อมถวายไฟเหล่านั้นบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆบูชา
    2. การเพิ่มพลังบุญด้วยเงินน้อย แต่ได้อนิสงค์ยิ่งใหญ่
    การสร้างบุญที่เป็นมหากุศล อาทิเช่น การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระมหาเจดีย์ สร้างยอดฉัตรหรือสร้างศาสนสถานอื่นใดก็ตาม รวมถึงธรรมทานด้วย เพื่อลดวิบากกรรมหนักๆ สามารถทำได้ แม้แต่ผู้ที่มีเงินน้อย การทำบุญนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมาก เหมือนที่หลายๆ คนในปัจจุบันเข้าใจและติดเป็นค่นิยมกัน การทำบุญทุกอย่าง ไม่ว่จะเป็นบุญเล็ก บุญใหญ่ ให้ทำตามแต่กำลังของเราที่สามารถจะทำได้ และต้องไม่เดือดร้อนตนเอง แม้แต่เงินสลึงเดียวก็สามารถสร้างมหากุศลได้ ขอให้เพียงเงินนั้นบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมาก็พอ และที่สำคัญเจตนาตอนที่ทำ ต้องบริสุทธิ์ มีความยินดีในบุญที่ทำ เกิดความสุขและความอิ่มเอมใจ นั้นแหละมหากุศลทั้งสิ้น
    แต่ถ้าไม่มีเงินจริงๆ ก็ยังสร้างมหากุศงได้ โดยการใช้แรงกายแรงใจในการช่วยก่อสร้าง หรือแม้แต่การไปชักชวน ป่าวประกาศให้คนมาร่วมสร้างบุญ และขออนุโมทนาบุญกับคนเหล่านั้นด้วยทุกครั้ง ก็จะได้บุญมากเช่นเดียวกัน อยู่ที่เจตนาและความต้งใจเป็นที่ตั้ง สรุปสั้นๆ ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใดก็ได้บุญเช่นกัน ยิ่งการทำบุญใดๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมากๆ หรือสังคม บุญนั้นก็จะมากขึ้นทวีคูณ ไม่มีวันหมด อาทิเช่น สังฆทาน สร้างโรงทาน วิหาร อุโบสถ ถนน เป็นต้น จนกว่าสิ่งก่อสร้างหรือศาสนสถานนั้นๆ ที่ร่าวสร้างจะพังทลายไป
    3. การสวดมนภาวนา ให้ได้บุญมากขึ้น
    การสวดภาวนา คาถาศักดิ์สิทธิ์ หรือมนตราอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าได้ทำอย่างถูกวิธีนั้น จะเป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเอง เพราะพลังบุญ พลังอำนาจของพระคาถาและมนตรานั้น จะถูกดึงเข้าสู่ตัวผู้สวดด้วย
    เคล็ดวิธีมีอยู่ว่า โดยก่อนสวดนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิที่พร้อมจะสวดแล้ว ขอให้ตั้งจิตให้มั่นแล้วอุทิศบุญทั้งหมดที่ตนเคยทำมานั้น ส่งให้แต่ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นเจ้าของคาถาหรือมนตรานั้นๆ ด้วย ซึ่งเป็นการเชื่อมบุญรูปแบบหนึ้ง และหลังจากนั้น ก็อธิษฐานขอมีส่วนร่วมในบุญของท่าน และขอมีส่วนร่วมในบุญของผู้ที่ได้สวดคาถาและมนตราศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย เมื่อใดตามที่มีคนอื่นสวดและกระทำเหมือนกับเรา เราก็ได้บุญเพิ่มทุกครั้ง
    4. การทำบุญด้วยการต่อชีวิตสัตว์ ให้ได้บุญมากขึ้น
    การทำบุญปล่อยชีวืตสัตว์หรือต่อชีวิตสัตว์นั้น หลายคนเรียกว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์ ซึ่งก็แล้วแต่จิตจะพอไป แต่ในความเป็นจริงก็คือ เป็นการทำบุญใหญ่ เป็นการช่วยต่อชีวิต ต่อโชคชะตา ให้เวลากับสัตวที่กำลังจะถึงที่ตายให้ได้มีชีวิตอีกครั้งและเคล็ดลับสำคัญก็ คือ ก่อนที่จะปล่อบสัตว์นั้นๆ เมื่อได้ซื้อมาหรือเจอ ณ ที่ใดก็ตาม ให้นำไปถวายกับพระสงฆ์เสีก่อน เพื่อเพิ่มบุญให้มากขึ้น เหตุเพราะว่าพระสงฆ์ที่รับนั้นท่านบริสุทธ์ และมีศีลมากกว่าเรา ท่านย่อมมีบุญมากกว่าเรา ยิ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญมากแล้ว บุญนั้นจะเพิ่งเป็นหลายเท่า จากนั้นก็ขอผาติกรรมชำระหนี้สงฆ์ซื้อคืนมาจากท่าน ด้วยเงินเท่ากับจำนวนที่เราซื้อสัตว์นั้นมาก วิธีนี้เป็นการเพิ่มบุญอีกเท่าตัว ได้ทั้งทำบุญต่อชีวิตสัตว์ และชำระหนี้สงฆ์ด้วย หลังจากนั้นก็นำไปปล่อยในที่อันสมควร
    อานิสงค์ของการทำบุญด้วยวิธีนี้ ถ้าใครที่ทำได้ตามนี้ บุญที่ได้จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า จกาการที่ไปซื้อมาแล้วก็ไปปล่อยตามยถากรรม วิธีนี้นอกจากได้บุญน้อยแล้ว แถมยังได้บาปกลับมาด้วย ดังนั้นจะทำบุญทั้งที ความฉลาดในการทำบุญด้วย
    5. การทำสังฆทานให้ได้อนิสงส์บุญมากขึ้น
    การทำสังฆทานควรทำให้ครบทั้งปัจจัยสี่ มีอาหาร (คาว-หวาน-ผลไม้-น้ำ), เครื่องนุ่งห่ม (ผ้าไตรจีวร หรือผ้าขนหนูสีสุภาพ), ยารักษาโรค, ที่อยู่อาศัย (บ้านหลังเล็กๆ ซึ้อได้ตามร้านสังฆภัณฑ์ เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยทิพย์ให้กับเจ้ากรรมนายเวร เค้าจะได้มีที่พักทิง ไม่มารบกวนเราอีก) และควรเพิ่มหนังสือธรรมะเข้าไปด้วยเพื่อให้จิตใจของเจ้ากรรมนายเวรซึ้งในรส พระธรรม มีจิตใจที่เย็นสบายพ้นทุกข์
    เคล็ดลับสำคัญ เครื่องสังฆทานและอาหารเหล่านี้ เราควรที่จะต้องไปถวายแดพระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญสูง แต่ถ้าหาไม่ได้หรือไม่ทราบ ให้เรานั้นตั้งจิตอธิษฐานถวายแด่พระพุทธเจ้าโดยตรงและพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ เพื่อให้อานิสงส์ของบุญจะได้มากขึ้นทบทวี และหลังจากนั้นก็ให้อุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งหมดและควรกรวดน้ำ หลังทำบุญทุกครั้งเพื่อให้พระแม่ธรณีและเทพเทวาทั้งปวงท่านเป็นพยานในการทำ บุญครั้งนี้

    สรุป
    เมื่อท่านได้ทราบว่า ทำบุญอะไร และได้รับอนิสงส์ของการทำบุญเป็นอย่างไร สมควรช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เพราะเป็นการให้คนได้รู้ถึงอานิสงส์ของการทำบุญในแต่ละอย่าง จะได้จำสืบต่อกันไปอย่างถูกต้อง
    ดังนั้น จึงสรุปว่า การทำบุญอะไรก็ตาม เมื่อได้ทำบุญแล้ว ก็ได้รับผลบุญในทันที กล่าวคือ ขณะที่ทำบุญนั้น สภาพจิตของเราตรงนั้นเป็นอย่างไร สุขใจไหม สบายใจไหม ภูมิใจไหม ตรงนี้ไม่ต้องถาม หวังว่า ท่านที่เคยทำบุญมาแล้วก็จะตอบตนเองได้อย่างแจ่มแจ้งทีเดียว
    เมื่อเราได้ทำบุญ ผลของการทำบุญ จะให้อานิสงส์ไม่เหมือนกัน บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยตรง แต่บุญบางอย่า ก็ให้ผลโดยอ้อมไม่ตรงทีเดียว ในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่ อานิสงส์แห่งการทำบุญนั้นไม่เหมือนกัน และผลบุญที่เราได้ทำนั้น รอให้ผลอยูตลอดเวลาแก่ผู้ที่ได้ทำบุญไว้ ตราบเท่าที่ยังมีผลบุญอยู่ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำยุญไว้ ถ้าไม่ประมาท ถึงแม้ไม่มีอะไรจะทำบุญ เพียงแต่เห็นคนอื่นเข้าทำบุญ แล้วทำใจให้เลื่อมใส ก็เป็นอันได้ทำบุญเหมือนกัน บุญชนิดนี้ เรียกว่า บุญด้านปัตตานโมทนามัย (บุญจากการอนุโมทนาบุญ)
     
  19. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    เราต้องมีความเชื่อมั่นว่า :
    • บุญ – บาป มีจริง
    • เราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง
    • ทำบุญล้างบาปไม่ได้ แต่ อาจหนีได้
    เนื้อหา
    1. ทำความเข้าใจเรื่อง “บุญ – บาป”
    1.1 บุญ เป็นพลังงาน มีลักษณะเบา เย็น สว่าง เกิดจากการคิดดี พูดดี ทำดี
    1.2 บาป เป็นพลังงาน มีลักษณะ หนัก ร้อน มืด เกิดจากการคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว

    2. ทำบุญล้างบาปไม่ได้ : พระพุทธเจ้าเปรียบบาปเหมือนเกลือ บุญเหมือนน้ำ
    ตัวอย่าง
    - เมื่อทำบาป (ผิดศีลข้อใดข้อหนึ่ง) เหมือนผลิตเกลือไว้ในจิต (สมมติว่า 1 กก.) ต่อมาได้สำนึกพยายามทำ ความดี (ทาน – ศีล - ภาวนา) เป็นการเติมน้ำ ลงไปในเกลือ หากเติมน้ำไปสัก 100-1,000-10,000 ... ลิตร เกลือจะค่อยๆ ลดความเค็ม จนจืดในที่สุด แต่ในน้ำก็ยังมีเกลือเจือปนอยู่ แต่ไม่ปรากฏ รสเค็ม

    3. ทำบุญหนีบาปได้หรือไม่ : บางครั้งได้ บางครั้งไม่ได้
    - การกระทำในอดีตที่ผ่านมาแล้วแก้ไขไม่ได้ ถ้าจะแก้ไขต้องแก้ที่ ปัจจุบัน
    3.1 บาปที่หนีไม่ได้
    • อนันตริยกรรม 5
    ตัวอย่าง พระโมคคัลลานะ
    • บาปที่มีกำลังแรงกว่าบุญ หรือเจ้ากรรมนายเวรไม่ยอมให้เป็นอโหสิกรรม
    ตัวอย่าง
    - คุณหมออาจิณ บุณยเกตุ
    - ดร.ดาราวรรณ (กระดูกสะโพกหัก ถูกถ่วงดุลตุ้ม เพราะตอนเด็กๆ เคยเอายางมะตอยไปแปะขาแมง)
    - หลวงพ่อพุธ (ป่วยเป็นมะเร็ง)
    3.2 บาปที่หนีได้
    • พลังบาป มีกำลังอ่อนกว่า พลังบุญวิ่งไล่ตามไม่ทัน
    ตัวอย่าง
    - พระองคุลีมาล ฆ่าคน 999 ศพ แต่บาปตามได้แต่ถูกก้อนหินขว้างปา

    4. การเปลี่ยนชะตาชีวิต
    4.1 เปลี่ยนชะตาจากร้ายเป็นดี
    ตัวอย่าง
    - จากกฎแห่งกรรมของ ท. เลียงพิบูลย์ : สมัยสงครามโลก ชายคนหนึ่งถูกพยากรณ์จากชีปะขาวว่าจะตายโหงอย่างศพไม่มีญาติ ในวันวิสาขบูชา แต่รอดได้เพราะทำบุญมาตลอด

    - นักธุรกิจกำลังเดินทางไปท่องเที่ยว ขณะเตรียมตัวออกจากบ้านไปสนามบิน ปูเดินมาขวางทางรถ จึงให้คนรถหยุดรอ จนกว่าขบวนปูจะไปหมด ซึ่งกินเวลาหลายนาที พอไปถึงสนามบินไม่ทันเครื่องออกไปแล้ว สักครู่มีประกาศว่าเครื่องบินลำนั้นตกอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี

    - ดร.ดาราวรรณ ได้รับคำทำนายจากหมอดูหลายคนว่าจะชะตาขาดตั้งแต่ปลายปี 2524 จึงเร่งทำความดี ทั้งทาน ศีล และภาวนา และรอดพ้นมาได้
    ปี 2540 หลวงพ่อดีทำนายว่าตกดวงคอขาด แต่กลับไม่มีเคราะห์อะไรเลย แถมมีโชคได้ 2 ขั้น เพราะทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน
    หมายเหตุ : สามารถขยายความได้ว่า หากทำความดีเพื่อสะเดาะเคราะห์ต่ออายุตัวเองจะได้บุญน้อย แต่ถ้าทำโดยไม่หวังผลตอบแทนจะได้บุญมาก
    ตัวอย่าง
    • เพื่อนบ้านถูกทักว่าจะโชคร้าย มีอุบัติเหตุ จึงรีบไปใส่บาตรทำบุญด้วยความกลัวตายแต่สุดท้ายก็ตายจากอุบัติเหตุพร้อม ภรรยาและเพื่อน
    • เณรน้อยชะตาขาด ช่วยชีวิตปลา ต่ออายุตัวเองได้ เพราะทำโดยมุ่งช่วยปลา จริงๆ ด้วยความเมตตา
    4.2 เปลี่ยนชะตาจากดีเป็นร้าย
    ตัวอย่าง
    - ลุง ที่ขามทะเลสอ อาชีพหมอดู ดูชะตาตัวเองว่าอายุยืน 80 ปี ตายดีไม่มีดวงตายโหง แต่ทำชั่วมาก ในที่สุดตายโหงตอนอายุ 40 กว่า

    สรุป
    1. ให้รีบเร่งสร้างความดีในปัจจุบัน อย่าประมาท ไม่ต้องสนใจกรรมเก่าหรือคำทำนายของหมอดู
    - ถ้าบุญในปัจจุบันแรงกว่า ก็หนีเคราะห์และบาปได้
    - ถ้าบุญในปัจจุบันกำลังไม่พอ อย่างน้อยก็ผ่อนหนักเป็นเบา
    ตัวอย่าง คุณแม่และสามี ของ ผช.ผอ. โรงเรียนแห่งหนึ่ง หลวงพ่อดีทำนายว่าจะชะตาขาดภายใน 7 วัน ให้อยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดเป็นการสะเดาะเคราะห์ แต่ขอกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้า รถประสานงากลางทาง เสียชีวิตทั้งคู่ (ไม่ได้สร้างบุญไว้ล่วงหน้า หนีไม่ทัน)

    2. ดำเนินชีวิตในวิถีพุทธ ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานหลักการไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ ได้แก่
    1. การไม่ทำบาปทั้งปวง (ละชั่ว)
    2. การทำกุศลให้ถึงพร้อม (ทำดี)
    3. การทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส (ทำสมาธิ – ภาวนา)
    3. ทางบุญ = ทาน ศีล ภาวนา (หรือขยายความ = กุศลกรรมบถ 10)
    ทางบาป = ละเมิดศีล

    4. การทำบุญให้ได้อานิสงส์แรง คือ ทำโดยไม่หวังผลตอบแทนให้ตัวเอง แต่ทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่น และทำดีเพื่อความดี
     
  20. kichprapan1

    kichprapan1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +40
    อยากดูดวงทิ้งข้อมมูลไว้นะครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...