ประสบการณ์ลี้ลับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 5 พฤศจิกายน 2012.

  1. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ถ้อยคำล้ำค่า นำพาพบสุข
    ก.เขาสวนหลวง

    ความคิดปรุงแต่ง เป็นมายา มันคอยหลอกใจเราเสมอ ต้องระวังอย่าเพิ่งไปเชื่อถือมัน รู้ซ้ำๆ ถึงความรู้ที่เป็นอิสระ ความคิดเรื่อยเปื่อยและมายามันก็หายไป เหมือนเราจุดไฟขึ้น ความมืดก็หายไป ความสว่างเข้ามาแทนที่ เวลาไหวไปกับอะไรก็ให้ทำความรู้ประจำไว้ ในที่สุดมันก็ไม่ตามไปกับอะไร จะมีการวางเฉยมากขึ้น หนักเข้า ความวางเฉยก็จะสอดส่องเข้าด้านใน ยิ่งมองทะลุเข้าไปในส่วนลึกมากเท่าใด ก็ยิ่งพบความว่างมากเท่านั้น

    การมองทะลุในด้านนี้เป็นการมองยาก ต้องทวนกระแสของความรู้สึกนึกคิดที่หลอกๆ ภายนอก ต้องคิดค้นคว้าหาเหตุผล หาให้ถูกเงื่อนแล้วก็จะรู้ขึ้นได้ การปรุงความคิดหยุดได้ เพราะมีความรู้ ต่อไปจะไม่ต้องทำอะไรมาก กำหนดรู้อยู่ให้ใจว่างๆ วางเฉย รู้อยู่เฉพาะความรู้ว่ามันไหวหรือเปล่า ถ้ามันไหวอย่างไรก็ต้องพิจารณารู้ซ้ำๆ แล้วมันก็จะไม่มีไปเอง เป็นของน่าดู

    ที่เรียกว่ามีความรู้เท่าทันนั้น เท่าทันอย่างไร เท่าทันคือ จิตมันมีลักษณะไหว เมื่อจิตไหวตัว ก็รู้ว่าไหว ที่รู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกที่ถูกต้อง จิตจะง่ายต่อความสงบ ถ้ามันทรงตัว มันก็ไม่ไหวไปกับอะไร พอทรงตัวอยู่ได้ในภาวะที่ไม่ต้องทรมาน มันก็จะเป็นอิสระอย่างเป็นเอง จงให้มันอยู่อย่างเป็นเองให้สม่ำเสมอ

    ความรู้อยู่กับจิตเสมอไม่ไปไหนเป็นสมาธิ ความรอบรู้ว่ามันเป็นอิสระ มีอยู่อย่างเป็นเอง เป็นปัญญา มันก็จะสว่างไสวขึ้นมาว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ ไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยอะไร นี้เป็นลักษณะของธรรมะ ที่ดีเยี่ยม เมื่อมารู้อยู่กับธรรมะอันเป็นอิสระภายใน ความรู้ว่าง ที่ว่าไม่มีอะไรไหวตัว ก็รู้ว่าเป็นเอง มันเป็นปัจจัตตังที่ปรากฏตัวของมัน เพียงแต่ให้มันหยุดปรุง หยุดรู้ ให้ได้อย่างเดียว ตั้งแต่กำหนดพิจารณารู้ทุกข์ ละทุกข์ ได้จนอิสระ ธรรมะที่ว่าดีเยี่ยม ดีเยี่ยมตรงนี้ ถ้าผู้ปฏิบัติได้ปฏิบัติให้ยืนตัวปรกติ สอดส่องจนรู้ว่าไม่เกี่ยวเกาะอะไร อยู่อย่างว่างเปล่าๆ ก็จะสบาย ภาวะอย่างนี้ไม่เป็นการสุดวิสัย มีอยู่ด้วยกันทุกคน มันมีอิสระอยู่ในตัวของมันเอง เราไปเที่ยววอกแวก หวั่นไหว แล้วเมื่อไรเราจะพบกันเล่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2012
  2. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ถ้อยคำล้ำค่า นำพาพบสุข
    ก.เขาสวนหลวง

    ถ้าไม่มีการกระทบกระทั่ง กิเลสอย่างละเอียดมันก็ไม่แสดงออก มันอยู่ลึกและลี้ลับ อย่าเพียงแต่ทำจิตว่างๆ เท่านั้น เพราะการว่างเช่นนี้ เป็นของชั่วคราว ไม่ใช่ของถาวร ยังไม่เป็นเครื่องกวาดล้าง เพราะพอมีผัสสะกระทบเข้า ก็ว่างไม่ได้ จึงต้องสอดส่องให้ลึกซึ้ง

    ที่ผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นเป็นส่วนหยาบๆ แต่ก็ต้องสำรวมระวัง เพราะยังไม่ง่ายนัก ส่วนที่จะต้องสอดส่องเข้าไปในด้านลึกเข้าไปอีก จึงเป็นของยากยิ่งขึ้นไปอีก การกำหนดพิจารณารูปนามก็เป็นเพียงขั้นต้น เมื่ออ่านสภาวะของมันชัดใจเข้า ก็จะเข้าถึงความไม่ยึดถือว่าตัวเรา หรือ ใคร ถ้ามันทะลุถึงด้านในที่ไม่มีอุปาทานแล้ว เมื่อมีอะไรขึ้นมา ก็จะได้ตรวจดูว่าสภาวะที่มีอุปาทานนั้นเป็นอย่างไร เพราะถ้าอ่านด้านในไม่ออก ด้านนอกก็อ่านไม่ออก จึงให้มีการพิจารณาสอบสวนเข้าไปๆ ความจำ ความคิด ความรู้เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งเกิดดับในตัวของมันเองทั้งรูปและนาม เมื่อชัดใจก็จะรอบรู้ในตัว เมื่อมีอุปาทานในรูปนาม มันก็จะรู้ว่าเป็นอุปาทานชันธ์ เราจะต้องตรวจให้รู้ว่า สภาวะธรรมล้วนๆ มีลักษณะการเป็นอย่างไร การที่ต้องพิจารณาสภาวะธรรม ที่เป็นเองให้ปรากฏ เพื่อให้รู้จะได้ทำลายได้ ถ้าไม่รู้ก็ทำลายไม่ได้

    การปฏิบัติจึงต้องใช้ปัญญาให้มากๆ ตั้งแต่ขั้นต้น รอบรู้ และรู้ว่าทุกสิ่งมันมาแต่เหตุ แล้วค้นดูว่า เหตุนั้นคืออย่างไร รู้แล้วก็ดับที่เหตุ เหตุดับ ผลก็ดับ ผลที่ต้องทนทุกข์ก็ไม่มี ต้องพิจารณาให้แยบคาย เพียงแต่วางเฉย จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร เป็นเพียงสมาธิชั่วคราว เหมือนการนอนหลับชั่วคราว การเจริญวิปัสสนาเป็นการควบคุมจิตใจพร้อมพิจารณา คือมีทั้งสมาธิและปัญญา เป็นการปลอดภัยดีกว่า อย่าไปหลงนิมิตซึ่งไม่ใช่ทางตรง ธรรมะเป็นของจริง มีปรากฏอยู่อนันตกาล พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม สิ่งเหล่านั้นก็มีอยู่แล้ว หลักอนิจจัง และทุกขังนั้น ศาสนาอื่นก็มี ส่วนหลักอนัตตานั้นมีแต่พุทธศาสนาศาสนาเดียว สภาวะธรรมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสังขารหรือวิสังขารก็ตาม พระองค์ปฏิเสธทั้งหมด ว่าเป็นของไม่มีตัวตน ยึดเอา บังคับเอาไม่ได้
     
  3. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ถ้อยคำล้ำค่า นำพาพบสุข
    ก.เขาสวนหลวง

    การเพ่งโทษ

    การเพ่งโทษ เพื่อประโยชน์ จะชี้ทาง เป็นแบบอย่าง วางไว้ ให้รู้เห็น
    การเพ่งเพื่อ สอนกัน นั้นจำเป็น ผู้บำเพ็ญ ประโยชน์ โทษไม่มี

    การเพ่งโทษ เพื่อประโยชน์ จะอวดอ้าง ใจกระด้าง โกรธเกลียด เฝ้าเสียดสี
    เพ่งโทษเขา เมามัว ว่าตัวดี เพ่งอย่างนี้ มีโทษ โปรดไตร่ตรอง

    เพ่งโทษเขา เหมือนหาเหา มาใส่หัว โทษที่ตัว เพ่งเขา ใจเศร้าหมอง
    ใครจะดี จะชั่ว ไปมัวมอง ดูโทษของ คนอื่น ทุกคืนวัน

    โทษของตน ไม่สนใจ ไม่รู้สึก ไม่นึกฝึก ตนบ้าง ช่างขยัน
    เพ่งโทษเขา เอามา นินทากัน เพราะคนนั้น มีทิฏฐิ ดำริพาล

    อีกการพูด เพ้อเจ้อ เสนอข่าว รู้เรื่องราว แปลกแปลก อย่างแตกฉาน
    ทั้งเรื่องชั่ว เรื่องดี มิใช่การ นำมาขาน กล่าวไข ไม่ละอาย

    ครั้งยิ่งพูด ยิ่งเพลิน เกินขอบเขต ไม่สมควร แก่เพศ ที่มุ่งหมาย
    ประพฤติพรต พรหมจรรย์ ฉันนึกอาย ขอเป็นฝ่าย ยอมแพ้ เพื่อแก้ตัว

    เว้นจากการ ถกเถียง เพียงรับฟัง มีสติ ยับยั้ง ทั้งดีชั่ว
    คอยเพ่งโทษ ตัวเอง เพราะเกรงกลัว ความเมามัว ประมาทรอบ มาครอบเรา

    เรื่องอะไร ของใคร อย่าไปคิด รีบทำกิจ ของตัว อย่ามัวเขลา
    ใครจะดี หรือชั่ว อย่ามัวเมา เพ่งโทษเขา เราร้อน เพราะค่อนคน

    ทั้งเรื่องคน เรื่องของ ต้องงดคิด ละเลิกหมด อดใจ จะได้ผล
    ผลที่ไหน ผลที่ใจ ไม่ร้อนรน ผลที่พ้น จากโทษ โปรดสังวร

    การปฏิบัติ หัดนิ่ง ยิ่งรอบรู้ เพราะมีครู รู้เท่า เฝ้าสั่งสอน
    ทุกอิริยาบถยืนเดินนั่งนอน หมั่นไถ่ถอน มายา ฝ้าบังใจ

    รู้เหตุผล ถูกผิด ปลิดทุกข์โทษ ความโลภโกรธ หลงผิด จิตหวั่นไหว
    จงซักฟอก ลอกฝ้า บังตาใน ใจแจ่มใส ใจเย็น ใจเป็นธรรม

    อบรมใจ ให้เป็น สมาธิ ความดำริ รู้รอบ ประกอบสัม-
    มาทิฏฐิ รู้พร้อม ย่อมน้อมนำ หยั่งรู้ธรรม ลุ่มลึก อย่าตรึกไป

    กำหนดความ ชัดใจ ให้นิ่งแน่ ไม่ให้แส่ ตามอารมณ์ ข่มไว้ได้
    จิตสงบ ประสบว่าง สว่างใจ ผลกำไร ของมนุษย์ ชาวพุทธเอย
     
  4. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ถ้อยคำล้ำค่า นำพาพบสุข
    ก.เขาสวนหลวง

    การปฏิบัติถ้าพูดโดยเจาะจงแล้วไม่ต้องเอาหลักเกณฑ์อะไรมามากมายนัก เพราะว่าจำไม่ไหว การจะพิจารณาให้รู้เรื่องจริงจึงเป็นของสำคัญในเรื่องที่จะพิจารณาให้เห็นความทุกข์ที่มีประจำอยู่ แต่จะต้องรู้เรื่องจริงๆ โดยเฉพาะร่างกายหรือจิตใจทั้งหมดนี้มันไม่มีเรื่องอื่น มีแต่ทุกข์แล้วทุกข์อีกอยู่ทุกขณะก็ว่าได้ แต่เนื่องจากไม่ได้พิจารณา ก็นึกว่าอยู่เป็นสุขไปทั้งนั้น

    ทีนี้การที่จะพิจารณานี้ เป็นสิ่งสำคัญของการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะรู้หลักเกณฑ์อะไรก็ตาม ถ้าไม่เอามาพิจารณาแล้วก็จะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย เป็นแต่เพียงเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ผ่านเลยไปเสีย เฉพาะหัวข้อธรรมะก็มีหลักสำคัญๆ ที่จะต้องนำมาศึกษาพิจารณาสอบเข้ามาหาตัวจริง คือกายกับใจนี้ และเรื่องอริยสัจ หรือไตรลักษณ์ กับสติปัฏฐานทั้งสี่ข้อนี้ล้วนแต่เป็นข้อปฏิบัติซึ่งเป็นเนื้อความอย่างเดียวกันทั้งหมด

    ส่วนเรื่องอริยสัจย่อลงมาเป็นสอง เรียกว่าเป็นปฏิจจสมุปบาทที่เป็นสมุทัย ฝ่ายดับก็เป็นนิโรธ รวมทั้งสองอย่างนี้ที่จะต้องทำการศึกษาอยู่ ฉะนั้นการปฏิบัติก็รวบรัดอยู่ในเรื่องการรู้เหตุเกิดทุกข์ กับความดับทุกข์ทั้งสองอย่างนี้ ซึ่งจะต้องพิจารณาเรื่องไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาก็ได้ และสติปัฏฐานสี่ก็รวมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นต้องยืนหลักเอาไว้ จะได้ไม่ไขว่คว้าเอาหลักโน้นหลักนี้มาสอบให้มากเกินไป

    แต่หลักสำคัญที่ต้องอบรมกันอยู่ก็คือ ให้มีสติประจำอยู่เนืองนิตย์ เพราะว่าตัวสตินี่เป็นตัวสำคัญที่สุด เรียกว่าเป็นการเฝ้ายามก็ได้ เฝ้าดูทุก ๆ ประตูที่ผ่านมาทางตา ทางหู มันเป็นเรื่องที่จะต้องรู้ เพราะถ้าไม่รู้แล้วทุกข์โทษมากมายหลายประการที่มันจะเกิดขึ้น ฉะนั้นเรื่องปฏิจจสมุปบาทก็ไม่ใช่เรื่องมากมายอะไรนัก นอกจากให้คุมอายตนะผัสสะเวทนาเท่านั้น เพื่อให้รู้หลักย่อๆ ไว้เท่านี้แหละ ไม่ต้องไปเอาหลักเกณฑ์มายืดยาวก็ได้ เพราะจำไม่ไหว การที่ควบคุมอยู่นี้ ถ้าเอาสติมาควบคุมจิตว่าอะไรมันเกิด หรือกิเลสประเภทไหนมันเกิดขึ้นมา การเกิดนี่แหละเรียกว่าเป็น "สมุทัย" คือ ทุกข์มันเกิด

    ทีนี้ลักษณะที่มันเกิดเกิดอย่างไร เกิดความโลภ ความโกรธ หรือเกิดความหลง หรือว่าเกิดความพอใจไม่พอใจ หรือเกิดความอยากได้ในรูปในเสียง กลิ่น รส สัมผัส เรียกว่ามันเกิดทุกข์ เมื่อเกิดทุกข์แล้วก็พิจารณาดับ ก็เป็นนิโรธทุกขณะที่มันเกิดทุกข์เกิดกิเลส แล้วก็พิจารณาดับทุกข์ดับกิเลส นี่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท อยู่ทุกขณะไปหมด ไม่ต้องไปจาระไนอะไรทั้งสิ้น แล้วจะพิจารณาเวทนาก็ได้ เพราะเวทนาก็เป็นสิ่งที่มีอยู่กับเนื้อกับตัว มันต้องพิจารณา จะได้ไม่หลงเสน่ห์เวทนา

    เรื่องเวทนานี่ก็สำคัญมาก ตัณหาที่จะเกิดก็เพราะเวทนา จึงเป็นเหตุให้ตัณหามีความต้องการเวทนา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นการรวบยอดว่า ถ้าได้ควบคุมหรือพิจารณาเวทนาอยู่แล้ว ก็เป็นการสกัดกั้น คือไม่ให้ตัณหาขึ้นมาปรุง และมาดิ้นรนที่จะต้องการความสุข หรือผลักไสความทุกข์อะไรเหล่านี้ แต่ก็ต้องให้รู้เรื่องของการเกิดว่า มันเกิดขึ้นมาทุกๆ ขณะทีเดียว ฉะนั้นเรื่องการเกิดนี้ก็สำคัญเหมือนกัน เพราะถ้าไม่รู้แล้วไปยึดมั่นถือมั่นเข้า แล้วมันทุกข์แต่ก็ดับทุกข์ได้ รวมสองอย่างเท่านี้ ไม่ต้องรู้มาก ไม่ต้องรู้ปฏิจจสมุปบาทมากมายก็ได้ รู้ว่าเกิดทุกข์แล้วก็ดับทุกข์ได้ ปล่อยวางได้ เอาอย่างนี้ทุกๆ ทวารหมด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ต้องควบคุม ต้องพิจารณารู้แล้ว ดับได้วางได้

    เพราะฉะนั้นเรื่องศีล สมาธิ ปัญญาก็อย่างเดียวกันอีก เราจะพิจารณาธรรมะข้อไหน มันก็รวมเสร็จอยู่ในกายในใจนี้ ที่จะต้องรู้ และรู้อย่างเดียวนี้ก็แตกฉานไปได้ ไม่ต้องไปจาระไนหัวข้อมากมายนัก ใครจะไปจำได้ ตัวการของการปฏิบัติไม่ใช่มีเรื่องมาก ที่อ่านมาเป็นแต่เพียงความเข้าใจ เพื่อจะได้น้อมนำเอามาประพฤติปฏิบัติเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าจะต้องจำเอาหัวข้อมาท่องไว้หลายๆ อย่างเลย มิฉะนั้นแล้วใจมันไม่สงบเพราะมันไปจำหัวข้อมาท่องมากเกินไป ทีนี้มันเรื่องเดียว เรื่องไม่เอา อย่างเดียว เอามาขอคิดพิจารณาให้มันแตกฉานไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2012
  5. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    ประสบการณ์สิ่งลี้ลับอ่านไปอ่านมากลายเป็น ก.เขาสวนหลวง ซะงั้น

    หลงประเด็นนะครับรีบกลับมาให้ไว
     
  6. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบคุณครับที่ติดตาม

    เมื่อเราพบถ้อยคำบัณฑิต ก็อยากนำมาให้เรียนรู้กันให้มาก มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่นะครับ
    ถ้อยคำคนเขลาเล่าเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องเล่าอยู่แล้วครับ
    เรื่องนี้ยืดยาวยิ่งครับ
     
  7. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    ขอขอบคุณที่ชี้แนะครับ ข้าผู้น้อยภูมิธรรมช่างน้อยนิด

    อ่านถ้อยคำบัณฑิตแล้วมันพาลไม่เข้าใจเนื่องด้วยสติปัญญา

    และภูมิธรรมที่น้อย เลยอยากอ่านเรื่องเล่าประสบการณ์ลี้ลับมากกว่า

    ที่อ่านดูเพลินเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเจอบนโลกใบนี้ น่าอัศจรรย์ใจกว่า

    ตัวอักษรที่อ่านแล้วงุนงงพาลสับสนในความคิดไปเลยนะครับ
     
  8. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    เปรียบเสมือนการสอนคนป่าให้เข้าใจเรื่องวิทยาการสมัยใหม่

    ยัดให้ตายอ่านให้รู้ ชีวิตเกิดแก่เจ็บตาย มันก็รู้และหายไปไม่ได้มาจากการบรรลุ

    ที่แท้จริง รู้ว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา ชีวิตไม่มีอะไร แต่กรูก็ชอบความสบาย

    ไฉนเล่าจะบรรลุธรรม การบรรลุนั้นต้องมาจากจิตจากใจไม่ได้แค่เพียงจดจำ

    ไว้ในสมองแค่นั้น รู้และจำได้แต่จิตไม่ยอมรับมัน ร่างกายไำม่เอา ใจยึด

    กับความสบายมันก็แค่ตำราเคลื่อนที่ได้เท่าั้นั้นแล
     
  9. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    หลุดเข้ามิติเปรต

    โดยปกติผมต้องนอน 4 ทุ่ม ตื่น ตี 3 พอตื่นปุ๊บจะคว้ากาน้ำที่ต้มน้ำไว้แล้ว ยกขึ้นดื่มจนหมดกา น้ำจะวิ่งผ่านลำไส้ทุกขด แล้วมันก็พากันพรั่งพรูออกทวารทันที ผมต้องรีบวิ่งไปหลุมที่ขุดไว้ ถ่ายพรวดเดียวหมดท้องเลย โล่ง กายเบาหวิว แล้วก็เดินจงกรม 1 ชั่วโมง บนทางจงกรมข้างกุฏิ ซึ่งมีความยาวประมาณ 20 ก้าว เดินเสร็จก็กลับขึ้นไปนั่งในมุ้งบนกุฏิ ถ้านั่งนิ่ง ๆ นอกมุ่งยุงตอมหึ่งทีเดียว จนถึงตี 5 ครึ่งก็สะพายบาตรเดินไปท่ามกลางความมืดสลัว ออกไปทางโรงเรียน ก็เป็นเช่นนี้ทุกวัน

    อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อนั่งสมาธิตอนเช้า มีความรู้สึกอยากนอน ก็เอนตัวลงนอน ทันใดก็รู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตแล้วแล่นไปตามไขสันหลัง จากนั้นก็พบว่าตัวเองปรากฎกายอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง บรรยากาศยังสลัวอยู่ แต่ก็เห็นชัดว่าเป็นบ้านไม้เก่า ๆ ยกพื้นสูง เหมือนบ้านของชาวใต้ทั่ว ๆ ไป ผมยืนอยู่หน้าประตู ก็แปลกใจว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จึงยกมือขึ้นเคาะประตู แล้วก็มีคนมาเปิดประตู เป็นหญิงอายุไม่ต่ำกว่า 60 ปี ร่างผอม นุ่งผ้าซิ่นเก่า ๆ ใส่เสื้อคอกระเช้าเก่า ๆ ลักษณะลำบากยากจนมาก เขาเปิดประตูแล้วพูดว่า “นิมนต์ค่ะ” พอผมเข้าไปก็พบภาพที่น่าอนาจและอุจาดตา มีคนอยู่ในบ้านนั้นหลายคน พวกเขาหันหน้าเข้าหาฝาบ้าน แต่ละคนไม่นุ่งผ้า มีร่างกายผ่ายผอม ผมรู้ทันทีว่าเป็นเปรตแน่นอน ผมจึงนั่งลงกลางชานบ้านซึ่งกว้างพอสมควร พอผมนั่งพวกเขาก็เข้ามานั่งล้อม ผมจึงพูดว่า “เอาล่ะ ก่อนที่จะให้ส่วนบุญ อยากถามก่อนว่าพวกโยมทำบาปกรรมอะไรมาจึงพากันมาอดอยากเช่นนี้”

    แทนคำตอบ พวกเขาพากันลุกขึ้นเดินออกไปทีละคน จนเหลือชายคนหนึ่งอายุราว 70 ปี ใส่เสื้อหม้อฮ่อมแบบคนเหนือ ตัดผมสั้นลานบิน ใบหน้าสี่เหลี่ยม นั่งยิ้มอยู่ แต่ไม่ตอบว่ากระไร แล้วผมก็รู้สึกตัวขึ้นพบว่าตนเองนอนอยู่ในมุ้งกลดนั่นเอง

    ถ้าผมมีความรู้เรื่องการอุทิศบุญเช่นทุกวันนี้ผมก็คงช่วยเหลือเขาได้ส่วนหนึ่ง เขาได้รับบุญก็จะมีความสุขสบายขึ้น แต่เพราะความไม่ประสีประสาของพระหนุ่มรูปหนึ่งซึ่งมีบุญพอให้เขาได้ แต่กลับให้ไม่เป็น พวกเขาก็ทุกข์ทรมานกันต่อไป เป็นเปรตผู้อดอยากหิวโหยกันต่อไป และผมก็ไม่ได้รับประสบการณ์แบบนั้นอีกเลย

    เวลาผ่านไปหลายเดือน เมื่อผมกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้านนอก แม่เล่าว่า “เจ้าอ้น ลงมาบอกว่าไปเยี่ยมลูกที่สวนโมกข์พระลูกชายเองสุขสบายดี ไม่ต้องห่วงหรอก” ผมจึงรู้ว่าชายเสื้อหม้อฮ่อมคือเจ้าอ้น เทวดาประจำตระกูลผมนั่นเอง
    (องค์เทพจิตราหรือท้าวกุเวรบอกผมว่าเจ้าอ้นเป็นเทวดาชั้นที่ 8 เป็นการนับแบบสิบหกชั้นฟ้าสิบห้าชั้นดินนะครับ อย่าเอาไปปนกับตำราที่เราเรียนรู้มา องค์ท้าวกุเวรเทวราชอยู่ชั้นที่ 15 สูงที่สุดในระดับของจาตุมหาราชิกา จากนั้นสูงขึ้นไปเป็นชั้นดาวดึงส์ของพระอินทร์ ท่านนับเป็นชั้นที่สิบหก คือเทพที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และสัตว์โลก)
     
  10. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ไม่ถึงคราวตายไม่วายชีวาวาต

    เช้าวันหนึ่งผมเดินไปบิณฑบาตทางเดิม ปกติผมต้องเดินลัดสนามโรงเรียน แต่เช้าวันนั้นผมอยากไปดูกระท่อมร้างที่อยู่ข้างสนามโรงเรียน ว่ามันเป็นสถานที่อะไร ก็เลยรู้ว่าเป็นโรงต้มย้อมเก่า แต่ก่อนพระคงอยู่ละแวกใกล้ ๆ นี้ แล้วมาต้มเปลือกแก่นขนุนย้อมผ้ากันที่นี่ พอรู้อะไรเป็นอะไรผมก็เดินออกไปอีกทาง ไม่ผ่านสนามหญ้า จนรับบิณฑบาตเสร็จก็กลับมาทางสนามโรงเรียนเช่นทุกวัน มาถึงที่นั่นก็เกือบ 8 โมง แล้วผมก็ขนลุกซู่ด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เพราะในหลุมเล็ก ๆ กลางทางเดินนั้นมีงูลาย ๆ สีออกน้ำตาลตัวหนึ่งนอนขดตัวชูหัวรออยู่ ถ้าผมเดินผ่านตอนเช้ามืด มันต้องฉกผมแน่นอน ผมก็คงนอนตายอยู่แถว ๆ นั้น ไปหาใครคงไม่ทัน ร้องเรียกใครก็คงไม่มีใครเขาได้ยินหรอก เพราะงูตัวนั้นคืองูกะปะซึ่งมีพิษร้ายแรงชนิดหนึ่ง เวลาใครถูกมันกัดก็จะรู้สึกง่วงแล้วหลับผล็อยตายไปในเวลาไม่กี่นาที ถ้าช่วยทันบาดแผลก็จะระบมจนแข้งลีบขาลีบ ซึ่งวัดสวนโมกข์มีพระที่ถูกงูกะปะกัดอยู่ท่านหนึ่งคือหลวงตาเดช แข้งขาท่านลีบจนเดินขาเป๋ไปเลย

    ผมได้ข้อคิดว่าชีวิตคนเรานี่มันมีความลี้ลับอยู่ในตัวเอง มันเหมือนถูกขีดเส้นให้เดิน มันเหมือนมีสิ่งลี้ลับคอยบงการช่วยเหลือ เมื่อไม่ถึงเวลาตายคนเราไม่ตายหรอก เมื่อไม่ถึงเวลามีเคราะห์คนเราก็ไม่มีเคราะห์หรอก ทุกอย่างมีหมายกำหนดไว้ ผู้กำหนดก็คือวิบากหรือผลกรรมที่เราทำไว้นั่นเอง ถ้าเราไม่มีเวรกรรมกับใครเขา ก็ไม่มีใครเขาทำร้ายเราได้ จึงให้มีอันแคล้วคลาดผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นไปได้ ผมอยู่สวนโมกข์ ผมพบงูเห่าแทบทุกวัน พอเจอกันซึ่ง ๆ หน้างูก็หยุด ยกหัวแผ่แม่เบี้ยรออยู่ ผมก็ต้องหยุด ทำตัวให้เงียบที่สุด เมื่องูเห่ารู้สึกว่าไม่มีศัตรู มันก็ค่อย ๆ แนบหัวลงดินแล้วเลื้อยไปตามปกติ แต่ถ้าผมมีเวรกรรมกับมันก็คงต้องมีเหตุให้ไปเหยียบมันเข้า แล้วถูกมันกัด แต่พระวัดสวนโมกข์ผ่านมาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว มีหลวงตาเดชองค์เดียวที่โดนงูกะปะกัด นอกนั้นไม่มีเวรกรรมต่อกันจึงอยู่สุขสบายมาตลอด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1251920084.jpg
      1251920084.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.1 KB
      เปิดดู:
      112
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2012
  11. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ชีวิตในสวนโมกข์

    พระเณรที่อยู่สวนโมกข์นั้นอยู่กันแบบมีอิสระ ใครบำเพ็ญภาวนาแบบไหนก็ทำกันไป ทุกวันเสาร์หลวงพ่อพุทธทาสก็แสดงธรรมที่ลานดินหน้ากุฏิของท่าน ใครจะนำผ้าหรือเสื่อมาปูนั่งก็ตามอัธยาศัย ใครจะนั่งบนดินบนทรายก็ตามอัธยาศัย หลวงพ่อต้องการให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดเหมือนสมัยพระพุทธเจ้า วันพระขึ้น 15 ค่ำ หรือแรม 14 หรือ 15 ค่ำ พระทุกรูปก็ลงฟังปาฏิโมกข์ที่ลานหินโค้ง ซึ่งเป็นวิสุงคามสีมาของสวนโมกข์ ไม่มีที่มุงที่บังอะไร นอกจากเอาก้อนหินมาวางรียงกันล้อมรอบสถานที่แห่งนั้น ใต้ต้นไม้ ก็เอาผ้าปูนั่งของใครของมัน พระองค์สวดปาฏิโมกข์ก็ขึ้นนั่งธรรมมาสน์สวดพระบาลีให้ทุกรูปฟัง เป็นประเพณีที่ละเว้นไม่ได้ ดังนั้นส่วนไหนที่ละเว้นได้ท่านก็ละเว้น ไม่ทำตามประเพณีอย่างพร่ำเพรื่อ การกระทำทุกอย่างของสวนโมกข์เป็นไปตามเหตุผลทั้งสิ้น

    เมื่อผมอยู่มานานพอสมควรผมก็เข้าไปกราบขอโอวาทหลวงพ่อ ท่านกล่าวว่า “อย่าเก็บตัวคนเดียวให้มากนัก การปฏิบัติธรรมนั้นมุ่งหมายเพื่อเอาชนะตนเอง เอาชนะกิเลส เราอยู่คนเดียวเพื่อทำความสงบแล้วค้นคว้าวิจัยหาความจริงในชีวิตจิตใจของเรา แล้วเราก็ต้องทดสอบตัวเราเองเสมอด้วยการรับอารมณ์ภายนอก เมื่อเรารับอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรามีอาการกับมันอย่างไร เรามีราคะ โทสะ โมหะ อย่างไรหรือไม่ เรารัก เราโกรธ ใครหรือไม่ เมื่อมีใครพูดอะไรไม่ถูกหู เราเกิดโทสะ ผูกโกรธหรือไม่ เมื่อเราพบสิ่งที่ถูกตาต้องใจ สิ่งนั้นมันถูกเราเก็บมาปรุงแต่งในทางที่ชอบหรือไม่ เราก็จะรู้ว่าการฝึกฝนของเรามันก้าวหน้ามากน้อยเพียงใด

    การเก็บตัวอยู่ในที่อยู่เสมอจะมีประโยชน์อะไร นักมวยที่ฟิตซ้อมประจำแล้วไม่ยอมขึ้นเวที จะรู้หรือว่าตนเองเก่งกล้าแค่ไหน ชกกับใครเขาจะแพ้หรือชนะ การออกมาสมาคมกับคมอื่นเขาบ้างคือการมาต่อสู้กับกิเลส คนเราแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน รักชอบไม่เหมือนกัน โกรธเกลียดไม่เหมือนกัน เมื่อรวมกันย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา นั่นแหละคือสนามอารมณ์ที่เราใช้ฝึกตัวเอง

    ไม่มีใครบอกได้หรอกว่าการฝึกฝนของเราก้าวหน้ามากน้อยแค่ไหน นอกจากตัวเราเอง แม้ครูบาอาจารย์สั่งสอนเราก็สอนได้แต่หลักวิชา ให้เรานำไปฝึกฝน แต่ความก้าวหน้านั้นเราต้องทดสอบของเราเอง

    จุดมุ่งหมายการทำสมาธิภาวนามิใช่เพื่อให้เราได้พบการสัมผัสอันวิเศษทางจิต แต่มันมุ่งเพื่อการฝึกจิตให้ทำงานเป็นระเบียบ ไม่ฟุ้งซ่าน สามารถสั่งให้มันเรียนรู้สิ่งที่เราต้องการรู้ สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ก็คืออารมณ์ของเรานั่นเอง มิใช่อื่นไกล อารมณ์มันก็อยู่ในจิตใจของเราเอง ทุกข์สุขมันก็เกิดที่จิตใจของเราเอง มิได้เกิดที่อื่น ร่างกายเป็นส่วนหยาบที่เราต้องดูต้องรู้ การดูร่างกายเป็นการฝึกสมาธิอย่างหยาบ เมื่อจิตค่อนข้างสงบแล้วก็ดูการทำงานของจิตใจ ดูการกระทบกับผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเราดูมันอย่างใจจดใจจ่อ เราก็เข้าใจธรรมชาติของมัน แล้วเราก็จะละจะวางเมื่อเรารู้ว่ามันเป็นของมันเช่นนั้นเอง (ตถตา)
     
  12. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    [​IMG]
    ........มงคลชีวิต เรียงเรียงโดย พุทธทาสภิกขุ
    1. จงอย่าเข้าไปเป็นพวกกับคนโง่เขลา
    2. จงทำความสนิทสนมกับบัณฑิต
    3. จงเสดงความเคารพนับถือต่อคนที่ควรเคารพนับถือ
    4. จงอยู่ในที่ที่เหมาะสมแก่อุปนิสัยและความสามารถของตน
    5. จงเป็นคนที่เคยทำความดีไว้มาก

    6. จงประกอบกุศลกรรมเพื่อความรุ่งเรืองในอนาคต
    7. จงทำความพึงพอใจในการดู การฟังทุกอย่างที่สามารถจะทำได้เพื่อให้ได้มาซึ่งวิชาความรู้
    8. จงศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งไม่ประกอบด้วยโทษ
    9. จงฝึกฝนให้เป็นคนมีระเบียบวินัยและมีแบบแผนอันดี
    10. จงพูดแต่คำจริง คำน่ารัก และคำมีประโยชน์

    11. จงอุปัฏฐากมารดาและบิดา
    12. จงเอาใจใส่เลี้ยงดูบุตร
    13. จงเอาใจใส่เลี้ยงดูภรรยา
    14. จงละเว้นความโลเลในการงาน
    15. จงบำเพ็ญทาน

    16. จงประพฤติแต่กรรมดี
    17. จงช่วยเหลือญาติและมิตรสหายในคราวที่ควรช่วยเหลือ
    18. จงเว้นการทำสิ่งที่ต้องเสียใจภายหลัง
    19. จงอย่าทำสิ่งที่ท่านห้ามไว้โดยกฏแห่งศีลธรรม
    20.จงเว้นจากการดื่มน้ำเมา

    21. จงอย่าชักช้าที่จะประกอบกรรมดีในเมื่อโอกาสมาถึง
    22. จงนอบน้อมต่อทุกคน
    23. จงอย่าจองหองพองตัว
    24. จงพอใจด้วยสิ่งที่มีอยู่
    25. จงรู้บุญคุณที่บุคคลอื่นทำแก่ตน

    26. จงฟังธรรมตามโอกาส
    27. จงมีความอดกลั้นอดทน
    28. จงทำตนให้เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส
    29. จงเยี่ยมเยียนพระอริยเจ้าอยู่เนืองนิจ
    30. จงซักซ้อมสนทนาธรรมทุกโอกาส

    31. จงเป็นอยุ่ด้วยความพากเพียร
    32. จงประพฤติพรหมจรรย์
    33. จงกำหนดอริยสัจสี่ไว้ในใจ
    34. จงมีนิพพานที่มุ่งหมายของจิตอยู่เสมอ
    35. เมื่อถูกสิ่งต่าง ๆ รบกวน จงอย่าหวั่นไหว

    36. จงอย่าโศกเศร้า
    37. จงอย่ากำหนัด
    38. จงปรกติ

    จาก:http://board.dserver.org
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 พฤศจิกายน 2012
  13. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ทำบุญล้ออายุ

    ทุก ๆ ปี เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม มาถึง ก็เป็นวันสำคัญที่สุดของสวนโมกข์ นั่นคือวันล้ออายุ หมายถึงวันทำบุญเนื่องในวันเกิดของท่านพุทธทาสภิกขุ งานบุญของที่นี่และวันนี้ไม่เหมือนใครในโลก ถ้าที่อื่น วันเกิดของคนอื่น ก็จะมีการทำบุญตักบาตร ให้ทาน ปล่อยนกปล่อยปลา ฝ่ายชาวบ้านส่วนมากก็หนีไม่พ้นเลี้ยงสุราอาหาร ร้องรำทำเพลง สนุกเฮฮากันใหญ่ในวันเกิด

    แต่สวนโมกข์ ณ วันนั้น ไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ทุกคนก็มารวมตัวกันที่ลานหินโค้ง หน้ากุฏิหลวงพ่อพุทธทาส มาฟังธรรมบรรยายกัน วันนี้ทุกคนร่วมกันอดอาหาร จึงไม่มีการทำบุญตักบาตร เป็นวันที่ทุกคนต้องหาน้ำลูบท้องเวลาหิว จนกว่าหลังตะวันขึ้นของอีกวันหนึ่งจึงจะพ้นเกณฑ์ พระก็ออกบิณฑบาตหาข้าวใส่ท้องได้

    สำหรับผมแล้วมันเป็นวันที่ทรมานมาก ผมไม่เคยอดอาหารมาก่อน และหลาย ๆ คนก็อาจไม่เคยอดอาหารมาก่อน เขาคงเฉย ๆ แต่ผมเฉยไม่ค่อยได้ เพราะท้องที่ไม่มีอะไรเสียเลยนี่มันสุดแสนจะทรมาน จิตใจโหวงเหวง หาความสุข สงบ แช่มชื่น มิได้เลย น้ำเท่านั้นที่เป็นเพื่อนรักยามนี้ หิวเมื่อไรก็ต้องดื่มน้ำ ถ้าให้อดทั้งข้าวและน้ำผมตายก่อนใคร ๆ

    ผู้คนหลั่งไหลกันมาหลายร้อยคนเพื่อมาร่วมกันอดข้าว และฟังธรรม คนดังหลาย ๆ คนก็มาจากกรุงเทพ ฯ เพื่อมาร่วมการบรรยายธรรม ฝ่ายชาวบ้านที่ผมรู้จักและได้ยินชื่อเสียงอยู่ก็มี นายไสว แก้วสม นายวิโรจน์ ศิริอัฐ นายปุ่น จงประเสริฐ 3 ท่านนี้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของท่านพุทธทาส แต่ละคนก็มีความแตกต่างกันในจุดยืน

    นายไสว แก้วสม ศึกษาคำสอนของท่านพุทธทาส แล้วยึดเอาแนวทางหนึ่งอย่างเคร่งครัด คือเขาถือว่าศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งปัญญา มุ่งทำปัญญาให้เกิด สลัดจิตใจออกจากพันธนาการทั้งปวง ประเพณีหยุมหยิมต่าง ๆ ล้วนต้องละเลิกให้หมด เช่น ไม่จำเป็นต้องไหว้พระ สวดมนต์ ไม่จำเป็นต้องมีพระพุทธรูป ทุกเวลานาทีต้องคิด ๆ ให้รู้ให้เห็นถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง นายไสว แก้วสม ได้ใช้เวลาว่างป่าวประกาศความรู้ความเห็นของตนในที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ลานอโศก วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ สมัยนั้น จะมีนักการศาสนามาถกเถียงเผยแพร่ธรรมกัน เช่นสมณโพธิรักษ์ นายไสว แก้วสม เป็นขาประจำเลยทีเดียว

    มีวันหนึ่ง มีคนหมั่นไส้นายไสว ที่แกมาป่าวประกาศธรรมเรื่องการไม่ยึดมั่นคือมั่นในสิ่งทั้งปวง การรู้ธรรมเห็นธรรม คือมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ก็หมายถึงตนเป็นพระโสดาบันแล้ว คนที่ไม่ชอบก็เลยเอาน้ำใส่ถังสาดหน้านายไสว แก้วสม แล้วถามว่าพระโสดาบันโดนน้ำสาดหน้าอย่างนี้จะโกรธหรือไม่ กลายเป็นข่าวโด่งดังมากในแวดวงผู้แสวงธรรม

    ในงานล้ออายุของท่านพุทธทาส นายไสวก็ไปแสดงวาทะธรรมด้วย แต่ผมสังเกตว่าไม่มีใครให้ความสำคัญกับแกนัก เพราะรู้ว่าแกออกจะเพ้อมากกว่าถึงธรรม คือมันสุดโต่งไปแบบไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจสังคม กลายเป็นคนขวางโลกขวางสังคม สิ่งที่พูดก็เพียงการจดจำคำของท่านพุทธทาสมาพูดเท่านั้น

    นายปุ่น จงประเสริฐ เป็นผู้ถือสุดโต่งไปอีกทางหนึ่ง คือไม่เชื่อชาติก่อน ชาติหน้า ไม่เชื่อนรก สวรรค์ แต่ก็เชื่อคำสอนของท่านพุทธทาสเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตถตา ตัวกู ของกู แกก็เลยเลือกคัดเอาคำสอนที่แกเชื่อจากคำเทศน์ของท่านพุทธทาสออกมาพิมพ์เผยแพร่ ก็ทำให้ท่านพุทธทาสมัวหมองมากในเรื่องนี้ เพราะคนไม่รู้ก็จะเชื่อไปว่าท่านพุทธทาสปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิด ปฏิเสธสวรรค์นรก เปรียบแล้วคำสอนของพุทธทาสมีหลากหลายประเดน ขึ้นอยู่กับท่านจะพูดเพื่อประเดนไหน เหมือนใบไม้ในป่ามีมากมาย แต่นายไสว และนายปุ่น ได้เลือกเอาใบไม้เพียงไม่กี่ใบมาแสดงว่าเป็นคำสอนของท่านพุทธทาส

    แต่เรื่องนี้ท่านพุทธทาสก็ไม่ถือสา ท่านก็ทำไม่รู้ไม่เห็น ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามทางของมัน ไม่แก้ตัว เพราะท่านไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมนั่นเอง ท่านก็ทำหน้าที่เผยแพร่ของท่านไปจนสิ้นอายุขัยของท่าน เมื่อ 8 กรกฎาคม 2536

    เชิญชมภาพท่านพุทธทาส
    https://picasaweb.google.com/106370667332771987848
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2012
  14. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    การเผาศพแบบสวนโมกข์

    ถึงแม้บ้านเมืองและสังคมจะแปรเปลี่ยนไปแล้ว ถึงแม้จะมีการเผาศพในเมรุเผาศพสมัยใหม่ แต่ที่สวนโมกข์จะคงไว้ซึ่งประเพณีดั้งเดิม ถ้ามีใครในวัดเสียชีวิตลงก็จะเก็บศพไว้ไม่กี่วัน แล้วทำการเผาบนกองฟอนในวัดนั่นเอง

    ช่วงที่ผมไปอยู่ที่นั่น มีแม่ชีคนหนึ่งเสียชีวิตด้วยโรคชะรา ก็นำร่างของท่านวางบนกองฟืนแล้วจุดไฟเผา ท่านพุทธทาสก็เทศน์หน้ากองเพลิง พระและโยมก็ยืนล้อมกองเพลิง ทุกอย่างจบลงอย่างง่าย ๆ

    ผมว่างานศพในประเทศไทยทุกวันนี้มันน่ารำคาญเหมือนกันหมด ประเพณีเยิ่นเย้อเกินไป สูญเสียทรัพย์สินเงินทองมากเกินไป เสียเวลามากเกินไป งานศพบ้านนอก โดยเฉพาะทางเหนือ จะมีการจูงศพไปป่าช้า ใช้เวลาหลายชั่วโมง เมื่อไปถึงป่าช้าก็เสียเวลากับพิธีวางผ้าบังสุกุล ไม่รู้เชิญใครต่อใครขึ้นไปเป็นเกียรติ ถ้ามีแขกจากต่างหมูบ้าน ต่างตำบล ต่างอำเภอ ต่างจังหวัด ก็จะได้รับการเรียกให้ไปวางผ้าบังสุกุลหรือไทยทาน ถ้าไม่มีคนต่างถิ่นก็เรียกคนมีตำแหน่งในหมู่บ้าน ใครมีหน้ามีตาก็จะได้รับการเรียกไปวางผ้าหรือไทยทาน ไม่รู้ไปเอาแบบอย่างมาจากไหน

    ความจริงการถวายผ้าบังสุกุล หรือไทยทาน มันเป็นเรื่องของญาติพี่น้อง พ่อ แม่ ลูก จึงจะส่งผ่านบุญให้ถึงผู้ตาย กระแสจิตกระแสใจมันต้องสื่อถึงกัน แต่ทุกวันนี้ต้องไปเชิญผู้อื่นซึ่งผู้ตายแทบไม่รู้จัก เมื่อเขาไปวางเขาก็ไม่ได้ตั้งจิตส่งบุญให้ผู้ตาย มันสักแต่ว่านำไปวางไว้ ทำให้ผู้ตายเสียโอกาส เสียเงินเสียทองซื้อไทยทานเอามาทำกันเล่น ๆ น่าเสียดายจริง ๆ ผมจึงไม่นิยมไปงานศพ เพราะรำคาญ ไม่อยากเห็นสิ่งที่ไม่เข้าท่า ทำให้ผมกลายเป็นแกะดำ ไปอยู่ในสังคมหมู่บ้านตำบลเขาจะรังเกียจ เพราะไม่ไปเผาศพเพื่อนบ้าน แต่ผมไปทำบุญนะ เวลาทำบุญให้ผู้ตายแต่ละวันผมจะไปเป็นเจ้าภาพ (ถ้าสนิทกัน) แต่เวลาไปเผาผมจะไม่ไป ใครจะว่าอย่างไรผมก็ไม่สนใจ ใครจะเกลียดผมก็ไม่สนใจ เพราะผมคิดว่าถ้าผมตายไม่มีใครมาเผาเลยยิ่งดี ให้ญาติพี่น้องใกล้ชิดจัดการเผาทันทีก็เป็นอันเสร็จ

    มันน่าจะถึงเวลาช่วยกันปรับปรุงพิธีกรรมให้มันดีขึ้น ไม่ใช่สักแต่ทำตาม ๆ กันไป
     
  15. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    เห็นท่าน kingkong1 เอาเรื่องท่านพุทธทาสมาลง
    ใน youtube ได้มีคนนำรายการแฟนพันธุ์แท้ท่านพุทธทาสมาเผยแพร่ 4 ตอน
    ตอนที่ 1
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=6TE0_H8PcNA]แฟนพันธุ์แท้2012 ท่านพุทธทาสภิกขุ 1/4 - YouTube[/ame]
    ตอนที่ 2
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=kCtfghAk5Sk]แฟนพันธุ์แท้2012 ท่านพุทธทาสภิกขุ 2/4 - YouTube[/ame]
    ตอนที่ 3
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=SHW8ja93TXU&feature=relmfu]แฟนพันธุ์แท้2012 ท่านพุทธทาสภิกขุ 3/4 - YouTube[/ame]
    ตอนที่ 4
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=F7nlrURySDw&feature=relmfu]แฟนพันธุ์แท้2012 ท่านพุทธทาสภิกขุ 4/4 - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 พฤศจิกายน 2012
  16. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    อนุโมทนาสาธุครับคุณโรบิน

    ดช.เบสท์คนนี้ผมก็ได้ดูแล้ว เป็นเด็กอัศจรรย์ครับ ผมว่าชาติก่อนต้องเป็นศิษย์คนใดคนหนึ่งของท่านพุทธทาส ที่ปฏิบัติธรรมจนบรรลุเป็นโสดาบันแล้วกลับชาติมาเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ เกิดอีกไม่เกิน 6 ชาติก็น่าจะเป็นพระอรหันต์แล้ว

    แกเชี่ยวชาญหลายเรื่องนะครับ ทราบมาว่าครั้งสุดท้ายนี้มีการออกทีวีกับป๋อง สุพรรณ โดยป๋องเอาพระเครื่องให้จับ สามารถบอกได้ว่าเป็นพระวัดไหน ใครปลุกเสก เป็นพระเงินร้อยหรือเงินล้าน เล่นเอาเซียนตาค้างไปเลย มีคนเล่านะ ผมยังตามหาไม่เจอ คุณโรบินกรุณาหามาลงหน่อยสิครับ เน็ตผมช้า จะทำอะไรสักเรื่องมันช่างยากเย็นซะเหลือเกิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2012
  17. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    ได้ครับผม
    ตามนี้เลยครับ
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=JBYipf2CqeY]ล้วงลับตับแตกShow 3/7 น้องเบส + ป๋อง 31May12 - YouTube[/ame]
     
  18. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    โอ้..กว่าจะดูได้ หืดครับ หืดจับคอ เน็ตมันช้าจนเปิดยูทูบดูไม่ได้ กว่าจะดูได้เฮ้อ...

    เข้าใจแล้วครับ น้องเบสไม่ได้จับดูพลังพระเหมือนคนใช้ญาณนะครับ แต่เป็นการใช้องค์ความรู้ที่ได้ศึกษาจากตำราที่มีขายตามทั่วไป ความที่น้องเบสมีความจำดีมาก เขาจึงสามารถนำองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่อ่านมาประมวลเข้าด้วยกัน แล้วจึงตอบออกมา

    น้องเบสเดินสายปัญญา เขาสนใจศึกษาอย่างจริงจังในทุกเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ดูเหมือนเขาพ้นไปจากความเชื่อแบบคนทั่ว ๆ ไป คือจะเชื่อต่อเมื่อมันมีเหตุผลที่น่าเชื่อ เขาจึงชอบท่านพุทธทาส และศึกษาหนังสือทุกเล่มที่เป็นงานของพุทธทาส

    ผมว่าอดีตชาติเขาเป็นพระนะ บวชเรียนจนอิ่มแล้ว มาถามในชาตินี้ว่าจะบวชไหม เขาตอบเฉย ๆ แต่เขาอยากเป็นผู้พิพากษา นั่นเป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝันอยากเป็นมาก่อน มาชาตินี้ก็อยากบรรลุฝันนั้น แต่เป็นพระนี่มันเคยเป็นมาแล้วก็ไม่อยากเป็น เพราะถึงไม่บวชก็สามารถศึกษาธรรมได้ สามารถบรรลุธรรมได้

    สังเกตุกันมั้ยครับ ทำไมพระบางองค์ที่บวชนาน ๆ พอสึกออกไปเป็นฆราวาสกลับชอบดื่มสุราเมรัยจนติดกลายเป็นขี้เมาหยำเป ตอบได้ว่าเพราะเขาไม่เคยดื่มเขาจึงอยากดื่มอยากลอง พอลองบ่อย ๆ เขาก็ติด บางคนติดจนตาย บางคนติดได้พักก็ละเลิกได้ เพราะตั้งใจจะลองและจะเลิกก็เลิกได้ แต่บางคนเกิดมาไม่เคยคิดอยากสูบบุหรี่ ไม่เคยคิดจะดื่มสุราเมรัย เป็นคนดีเหลือเกิน ตอบได้ว่าเขาลองมาหมดแล้ว รู้มาหมดแล้ว มันไม่มีอะไรติดค้างอยู่ในใจ บางคนไม่ตอแยผู้หญิง และไม่ตอแยกับผู้ชายด้วยนะ แสดงว่าจิตของเขาพ้นแล้วในเรื่องเหล่านี้ เขามาเพื่อพัฒนาจิตสู่ขั้นสูงขึ้นไปอีก จนกว่าจะเข้านิพพาน ลักษณะหลังนี้หายากครับ แต่ลักษณะแรกหาง่าย คือเป็นทิศขี้เมา บางคนเคยเป็นเจ้าคุณดังระดับชาติ คนเคารพนับถือทั้งประเทศ พอสึกออกมาเมาแอ๋เลย นี่หมายถึงจิตยังไม่ถึงขั้นแต่ดังเสียก่อนดี ก็เลยมีปัญหา สำหรับผมแล้วมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา คือเป็นธรรมชาติของจิตที่ผ่านการฝึกฝนมาดีพอหรือไม่ ผมไม่ประนามเขาหรอกครับ เพราะสักวัน หรือสักชาติหนึ่ง เขาก็เป็นคนดีที่สุดได้
     
  19. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    มันมีเด็กน้อยอีกคนอายุเพียง 3 ขวบ คือน้องมาร์ค อยู่ภาคอีสาน นั่นอยากบวชเป็นพระเป็นเณร และสวดมนต์ได้ จึงผู้ใหญ่เอาผ้าเหลืองมาตัดห่มให้เหมือนสามเณรน้อย ดังทางทีวีก่อนน้องเบสเล็กน้อย

    นั่นแสดงว่าน้องมาร์คยังไม่อิ่มในการบวช อาจเคยบวชมา หรือกำลังตั้งใจบวชแล้วมาด่วนตายเสียก่อน พอเกิดมาชาตินี้มันเกิดอารมณ์ค้างอย่างรุนแรง

    คนนับถือศาสนามันมี 2 ระดับนะครับ

    คือระดับถือตามจารีตประเพณีอย่างเคร่งครัด ผู้ที่เป็นเช่นนี้ก็จะดูเอาใจใส่กับข้อวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมิฝห้ตกหล่น เพราะเชื่อว่าถ้าทำผิดอาบัติหรือศีลบกพร่องก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ คนที่เดินแนวทางนี้มีจำนวนมาก แม้กลุ่มที่ถือทางไสยเวทย์ หรือผู้มีบารมีด้านเจโตวิมุตติ ก็จะถือเคร่งครัดมากทางจารีตประเพณี มันต้องปฏิบัติอย่างนั้น อย่างนี้ มีกฏมีเกณฑ์ที่เคร่งครัด ถ้าทำผิดกฎแล้วไปไหนไม่ได้เลย ถ้ายึดจนตายก็ไปอบายได้เหมือนกัน ไปเดรัจฉานได้เหมือนกัน

    อีกระดับหนึ่งเอาตามเหตุผลที่เชื่อถือได้ ต้องเป็นคนเดินสายปัญญา ไม่เชื่อทุกสิ่งที่ครูบาอาจารย์สอน หรือตำราว่าไว้ ทุกเรื่องต้องเฟ้นด้วยปัญญาว่าเหมาะควรหรือไม่ มันจะจริงอย่างนั้นหรือไม่ เป็นพวกคิดมาก ช่างคิด พวกนักการศึกษาสมัยใหม่หรือพวกนักวิทยาศาสตร์์มักอยู่ในกลุ่มนี้ กลุ่มนี้ชอบโต้แย้ง วางจิตลอยตัวในลัทธิศาสนาทุกศาสนาอยู่เสมอ แต่ถ้าพิจารณาเห็นจริงแล้วก็เชื่อถืออย่างจริงจัง ไม่เหลาะแหละ

    ถ้าเราจะมองได้ชัดเจนขึ้น ในประเทศไทยเรา กลุ่มแรกคือผู้ปฏิบัติตามสายอีสานของหลวงปู่มั่น ถือเป็นพวกจารีตนิยม กลุ่มหลังคือผู้เดินตายสายของท่านพุทธทาส ซึ่งมีนักศึกษาปัญญาชนและนักวิทยาศาสตร์เป็นส่วนใหญ่

    กลุ่มจารีตประเพณีมักบรรลุเจโตวิมุตติ มีอำนาจจิต มีความสามารถทางจิตแปลก ๆ
    ส่วนกลุ่มปัญญาวิมุตติ มักไม่มีความสามารถทางจิต แต่สามารถแยกแยะเรื่องของจิตใจได้กระจ่าง แสดงธรรมได้เก่ง สามารถสอนคนให้ดำรงอยู่ในโลกโดยมีทุกข์น้อยที่สุด
     
  20. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    จิตยังติดใจอยู่ในเรื่องน้องเบส ก็ขอเล่าอะไรอีกสักเล็กน้อย

    น้องเบสมีลีลาชีวิตคล้ายอาจารย์เสถียร โพธินันทะ นักปราชญ์หนุ่มน้อยเชื้อสายจีนคนหนึ่ง อยากนำประวัติสั้น ๆ ของท่านมาให้อ่านกันบ้าง ต่อไปน้องเบสน่าจะเป็นเช่นเดียวกัน

    นายแพทย์ตันม่อเซี้ยงได้เล่าว่า “คุณเสถียรเริ่มรู้จักกับข้าพเจ้าเมื่ออายุ 15 ปี ครั้งนั้นคุณเสถียรกำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนวัดบพิตรพิมุข เป็นเด็กฉลาดเฉียบแหลม มีปฏิภาณดีมาก และมีความจำยอดเยี่ยมด้วย ทั้งนี้จะเห็นได้จากการที่คุณเสถียรได้รู้จักคุ้นเคยกับอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ แต่ครั้งยังอุปสมบทอยู่ที่วัดกันมาตุยาราม ซึ่งคุณเสถียรได้ศึกษาหาความรู้ทางพระพุทธศาสนาเถรวาทจากอาจารย์ท่านนี้ เพียงระยะเวลาไม่นานก็มีความรู้ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี ทั้งนี้ได้จากอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถเป็นเยี่ยมท่านหนึ่ง ประกอบกับสติปัญญาอันเฉียบแหลมของคุณเสถียรเองด้วย”ในเรื่องนี้มารดาของอาจารย์เสถียร โพธินันทะก็ได้เล่าว่าอาจารย์เสถียรสนใจทางพระศาสนามาตั้งแต่เล็ก เมื่ออายุประมาณได้ 3 ขวบก็เริ่มนำดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้พระแล้ว

    ในสมัยเด็ก เมื่ออยู่ในที่แวดล้อมเป็นคนจีนเด็กชายเสถียรก็ชอบเล่นแต่งกายเป็นพระจีน การวาดเขียนที่ชอบมากคือเขียนรูปพระพุทธเจ้าและรูปบุคคลประกอบเรื่องราวทางพระพุทธศาสนา เมื่ออายุได้ 13–14ปีก็ชอบท่องเที่ยวไปตามวัดต่าง ๆ ทั้งวัดจีน วัดญวน และวัดไทย วัดไทยที่ชอบไปคือวัดจักรวรรดิราชาวาส เพื่อไปสนทนาไต่ถามเรื่องราวต่าง ๆ ทางศาสนากับพระสงฆ์ โดยเฉพาะวัดจีนและวัดญวนนั้นชอบไปดูพิธีทิ้งกระจาด การทำกงเต๊ก และการสวดมนต์ ส่วนในด้านความรู้นั้นก็ได้ศึกษาความรู้เรื่องพระพุทธศาสนามหายานจากหนังสือลัทธิของเพื่อน ของเสฐียรโกเศศและนาคะประทีป แต่ก็รู้จักใช้ถ้อยคำสำนวนได้ถูกต้องตามหลักวิชา ประกอบกับมีความจำเป็นเลิศจึงจดจำเรื่องราวที่อ่านไว้ได้มาก สามารถอธิบายรูปปฏิมาต่าง ๆ ในวัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่) ได้ถูกต้องและถี่ถ้วน ยิ่งกว่านั้นการซักถามพระจีนพระญวนที่มีความรู้โดยละเอียดก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้มีความรู้ในเรื่องของจีนและญวนแตกฉานขึ้น

    ภายหลังจบชั้นมัธยมปีที่ห้าแล้ว จึงได้เข้าศึกษาภาษาจีนที่โรงเรียนเผยอิง ชั่วเวลาเพียงสองปีก็มีความรู้ภาษาจีนแตกฉาน สามารถใช้ศัพท์สูง ๆ ยาก ๆ ในภาษาจีนกลางได้ดี สามารถอ่านพระไตรปิฎกจีนซึ่งอุดมไปด้วยสำนวนโวหารโบราณที่ลึกซึ้งได้อย่างเข้าใจ ทักษะทางด้านภาษาจีนนี้ถือเป็นอัจฉริยภาพอีกประการหนึ่งของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ซึ่งนายแพทย์ตันม่อเซี้ยงได้เล่าว่า "เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าไปแสดงปาฐกถาที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คุณเสถียรได้ทำหน้าที่ล่ามให้ถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกคุณเสถียรมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น แต่ก็สามารถถ่ายทอดคำปาฐกถาจากภาษาจีนสู่พากย์ไทยได้อย่างดียิ่ง สามารถแปลได้ถูกต้องและครบถ้วนตามเจตจำนงของข้าพเจ้าทุกกระบวนความ คุณเสถียรได้แสดงความเป็นปราชญ์ให้เป็นที่ปรากฏแก่คนทั้งหลายแต่เยาว์วัยทีเดียว และได้แสดงปาฐกถาด้วยตนเองครั้งแรกที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยเมื่ออายุ 18 ปี

    ใครอยากรู้จักท่านมากขึ้นก็ใช้กูเกิ้ลหาดูนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...