ประสบการณ์ลี้ลับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 5 พฤศจิกายน 2012.

  1. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ลิงนินจา

    กุฏิแต่ละหลังจะมีพื้นที่เตียนโล่ง ถ้าไม่มีพระอาศัยอยู่ก็จะมีใบไม้แห้งตกอยู่เต็มไปหมด แต่เพราะความที่มีร่มไม้ใบบังจึงไม่มีหญ้าขึ้นมารกเหมือนที่โล่งกว้าง เมื่อเรากวาดใบไม้ทิ้งก็ทำให้มีลานกว้างโดยรอบกุฏิ ผมจึงมีทางเดินจงกรมข้างกุฏิยาวราวยี่สิบก้าว ก็เดินกลับไปกลับมา สลับกับการนั่ง ซึ่งมีแผ่นหินซีเมนต์วงกลมวางเป็นแท่นอยู่บนลานดินหน้ากุฏิเป็นที่นั่ง

    ขณะที่ผมเดินกลับไปกลับมาก็ได้ยินเสียงสวบสาบ ๆ เมื่อหันไปดูก็ไม่มีอะไร พอก้มหน้าก้มตาเดินต่อ ก็ได้ยินเสียงสวบสาบเหมือนเสียงคนหรือสัตว์วิ่งบนใบไม้แห้ง เป็นอยู่ 3-4 ครั้ง จึงยืนหันหน้าไปทางนั้นแล้วยืนนิ่งอยู่ ดูว่ามันเป็นเสียงอะไร แล้วผมก็พบความจริงเมื่อมีใบหน้าลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ตามต้นไม้หลาย ๆ ต้น มันเป็นลิงกังฝูงใหญ่ที่อาศัยต้นไม้แต่ละต้นแอบดูผมเดินไปมา มันกวักมือเรียกกันดูด้วย คล้ายคนมาก เมื่อผมยืนนิ่งไม่สนใจเป็นเวลานานมันก็พากันออกจากที่ซ่อนตัวเดินบ้าง ปีนป่ายขึ้นต้นไม้บ้าง หากินอยู่ตามป่าแถวนั้น แล้วผมก็ได้ยินเสียงตุ๊บ เดินไปดู ปรากฏเป็นขนุนป่าที่ลิงมันปลิดลงมา ยังไม่ทันสุกเลย มันคงปล่อยลงมาให้สุกแล้วมากินทีหลัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2012
  2. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    วันนี้ 15 พ.ย. จะไปทอดกฐินที่วัดป่าแสงทอง ต.หนองตางู อ.บรรพตพิสัย นครสวรรค์ ต้องออกแต่เช้าเพิ่อไปให้ทันเวลา 9 โมง จึงวันนี้ทั้งวันจะไม่ได้มาเขียนอะไรให้อ่าน ต้องขออภัยแฟนประจำนะครับ ใครเคยไปเที่ยวสวนโมกข์ หรือเคยอยู่สวนโมกข์ก็ช่วยโพสต์อะไรให้อ่านไปก่อนนะครับ
     
  3. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  4. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบคุณครับคุณโรบิน กลับมาแล้วครับ แต่พอเปิดเครื่อง อินเตอร์เน็ตมันช้ามาก ๆ เปิดดูเมลยังไม่ขึ้นเลยครับ รอแต่เมื่อไร 3G มันจะทำงานได้เต็มที่สักที ไอ้พวกจิตป่วนมันก็ป่วนไม่สิ้นสุด โลกเขาจะเจริญมันก็ขวางอยู่งั้นแหละ

    วันนี้ที่วัดมีการเปิดกรุหลวงปู่พิมพา ตรงนั้นเป็นจอมปลวกใหญ่ เมื่อขุดจอมปลวกออกแล้วก็ยังขุดลงไปอีกเกือบเมตร จึงพบไหตามที่เทวดาเจ้าที่บอก แต่เขาให้เอาขึ้นแค่ 2 ไห และอีก 1 หลุม คือที่ว่าหลุมนั้นเป็นหลุมที่ใช้ก้อนอิฐโบราณกั้นเป็นหลุมสี่เหลี่ยม แล้วบรรจุพระทองสัมฤทธิ์ขนาดฐานกว้าง 3 นิ้ว ประมาณสิบองค์ หรือจะกว่า ได้ถ่ายวิดีโอไว้หมด แล้วจะหาทางเอาลงยูทูปให้ชมกัน ใครอยากชมก็หลังไมล์นะครับ เพราะทางผู้ควบคุมเว็บคงไม่อยากให้เอามาลง ผมก็ไม่รู้ว่ามันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรกันอยู่ ก็เป็นเว็บเล่าเรื่อง พอเราเล่าเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบกลับมาลบของเรา มันอะไรกัน

    วันนี้พบคุณตาอายุแปดสิบเศษ แกเล่าว่าเมื่อแกเป็นหนุ่มอายุยังไม่ถึง 20 ปี แกก็เลี้ยงวัวควายอยู่แถวนี้ หลวงปู่พิมพาท่านก็มาสถานที่แห่งนี้ประจำ ที่แห่งนี้อาถรรพ์มาก ใครเข้ามาตัดต้นไม้แถวนี้มีอันเป็นไปทุกคน โดนไม้ไผ้ดีดตาบอดไปคนหนึ่ง โดนไม้ไผ่ทิ่มตายก็มี บางคนพายเรือมาเห็นพระพุทธรูปเรียงรายอยู่ริมฝั่ง ปรี่เข้าไปจะคว้าเอาก็มีอันชักตัวงออยู่ในเรือนั่นแหละ จึงไม่มีใครกล้าแตะ หลวงปู่พิมพาท่านฝังสวมบัติไว้เพื่อให้ผู้สืบทอดรุ่นหลังได้ขุดขึ้นมาสร้างวัดร้างตรงนี้ให้เป็นวัดขึ้นใหม่ เทวดา ยักษ์ นาค ก็ช่วยเหลือดูแลทรัพย์สมบัติต่าง ๆ จนท่านถังทองมาอยู่ ท่านจึงปรากฏให้เห็น และยินยอมให้เอาขึ้นมาสร้างวัดได้ ท่านถังทองก็เป็นศิษย์ฆราวาสของท่านมาก่อน คอยปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิด เคยบีบนวดให้ท่าน หลวงปู่พิมพาไม่เคยให้อะไรแก่ท่านถังทอง แต่จับหัวให้พรว่า"เป็นพระโน่นแหละจักรวย" ท่านทองก็ไม่เข้าใจว่าจะรวยอย่างไร เป็นพระแล้วจะรวยไปทำไม มาถึงตอนนี้ก็เลยเข้าใจ
     
  5. sixth sense

    sixth sense สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ..ขอชมภาพสักหน่อยจะเป็นบุญตาอย่างยิ่ง
     
  6. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ต้องรอออกไปหาอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงลงยูทูบก่อนนะครับ แล้วจึงสามารถเผยแพร่ได้ เมื่อวานลืมเอากล้องถ่ายรูปไปด้วย ทั้งกล้องเล็กกล้องใหญ่ แต่ที่ถ่ายมาได้นั้นใช้โทรศัพท์สมัยใหม่คือเครื่องราคาแพง 8 ล้านพิกเซล จึงถ่ายได้ดี (เป็นของคนที่ไปด้วยกัน ลำพังโทรศัพท์ของผมราคาไม่ถึงพันครับ ใช้ของแพงแล้วแพ้)
     
  7. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    สวนโมกข์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติแห่งหนึ่งของไชยยา ส่วนวัดพระธาตุไชยยาเป็นที่ท่องเที่ยวโบราณสถาน ดังนั้นที่สวนโมกข์วันเสาร์อาทิตย์จึงมักมีคณะท่องเที่ยวเหมารถไปเยี่ยมเสมอ สถานที่เขามักไปดูกันคือโรงมหรสพทางวิญญาณ ซึ่งมีพระอาจารย์พะยอมคอยดูแล อีกแห่งคือโรงปั้น ซึ่งอยู่ด้านหลัง มีหลวงตาไสวเป็นผู้ดูแล เป็นงานปั้นงานหล่อด้วยปูนปาสเตอร์ วิธีการคือหารูปหล่อที่จะใช้เป็นแม่แบบมาสักชิ้น เอายางพาราทาพอกหนาขึ้น ๆ จนได้ที่ก็แบ่งสัดส่วนเป็น 3 หรือ 4 ซีก แล้วเอาปูนปาสเตอร์พอกแบ่งเป็นซีก ๆ ก็ได้แม่แบบหรือแม่พิมพ์สำหรับหล่อ เมื่อลอกยางพาราออกจากรูปปั้น ยางพาราก็กลวง เราก็เอาบ๊อกซ์นอกประกบพิมพ์ยางพาราด้านนอก เอายางรัดบ๊อกซ์นอกไว้ แล้วตักผงปูนปาสเตอร์ใส่ถ้วยพอประมาณ ใส่น้ำลงไปพอประมาณ คนให้เข้ากัน อย่าให้ปูนเหลวเกินไปหรือข้นเกินไป แล้วเทปูนใส่ลงไปในพิมพ์ยาง จับหมุนไปมาให้ทั่ว ปูนปาสเตอร์ก็แข็งตัว ทำให้เกิดอาการกลวงภายใน วางไว้ประมาณ 15 นาทีจนแข็งดีแล้วก็ผสมปูนเทลงไปแล้วเอาฝาปิดก้นวางไว้ ปูนก็จะไหลลงมาปิดพื้น ผ่านไปสัก15 นาทีขึ้นไปก็แกะพิมพ์ลอกยางบ๊อกซ์ออกก็ได้ออมสิน 1 ตัว เอามาเจาะช่องทีหลัง นี่คืองานหล่อที่โรงหล่อ ใครไปเที่ยวก็ได้ของฝากไปคนละชิ้นสองชิ้น บางชิ้นก็เป็นรูปหล่อปริศนาธรรม เช่นลิงปิดทวาร เด็กน้อยนอนหลับ เป็นต้น หลวงตาไสวท่านก็คอยต้อนรับแจกของส่องตะเกียงอยู่ตรงนั้น มีพระหนุ่มเณรน้อยคอยเป็นลูกมือคอยปั้นคอยหล่อตุ๊กตาแจกให้ชาวบ้าน จำได้ว่ามีเณรอายุราว 14-15 ปี เป็นชาวพะเยา คอยหล่อตุ๊กตาอยู่ที่นั่นคนหนึ่ง

    โรงหล่อนี้อยู่ทางผ่านที่จะไปกุฏิผม แต่มันก็มีหลายทางที่จะไปกุฏิข้างใน เช่นผ่านธารน้ำไหลก็อีกทางหนึ่ง ผ่านโรงหล่อก็อีกทางหนึ่ง ถ้าจากกุฏิผมจะมาทางโรงอาหารก็เดินผ่านธารน้ำไหลโดยตรง ไม่ต้องไปทางโรงหล่อ ผมเดินทางผ่านเข้าออกบ่อย ๆ แวะดูแวะถามก็ได้วิชาหล่อตุ๊กตาออมสินมาอีกวิชาหนึ่ง โดยไม่ได้ฝึกด้วยมือ
     
  8. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เมื่อช่วงไปอยู่ใหม่ ๆ ผมก็ออกบิณฑบาตแล้วมาฉันรวมกับเขาที่โรงฉัน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปผมก็คุ้นกับถิ่นที่อยู่ และพบว่าหลังจากบิณฑบาตกลับมาแล้วหลวงพี่อาวุโสหลาย ๆ ท่านจะแบ่งอาหารออก แล้วแบ่งไว้พอฉัน แต่ท่านก็ยังไม่ฉันเวลานั้น ก็เก็บอาหารใส่บาตรกลับกุฏิ ผมก็เลยเอาอย่างบ้าง แต่ก็บอกพระที่โรงฉันก่อนว่าตั้งแต่นี้ผมจะไม่มาฉันรวม จะเก็บตัวภาวนาอยู่ข้างใน

    ตั้งแต่นั้นมาก็เดินผ่านโรงปั้นของหลวงตาไสว แล้วเดินออกทางโรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้าน อยู่ติดกับสวนโมกข์ เป็นอาคารไม้ยาวหลังเดียว มีสนามโรงเรียนกว้างพอสมควร จากโรงเรียนก็เป็นสวนยางติดต่อกันหลายเจ้า แต่ละสวนก็มีบ้านหลังหนึ่ง ผมเดินรับบิณบาตไม่กี่หลังต่อวัน ช่วงหลังเดินคนเดียว รับเสร็จก็กลับกุฏิเลย ข้าวอาหารมีไม่มาก อยากเอาไปแบ่งพวกกระรอกกินจึงไม่แบ่งออกที่โรงฉันรวม

    ผมทดสอบการกินข้าว วันแรกผมลองกินให้มากที่สุดจนไม่สามารถกลืนลงไปได้อีก นับช้อนได้ 35 ช้อน แต่พ่อคุณเอ๋ย ท้องมันจุกแน่นอยู่นานหลายชั่วโมงทีเดียว ต้องเดินจงกรมไปมา ๆ ๆ หลายชั่วโมงจึงย่อยอาหารลงไปได้ วันต่อมาก็ลดลงอีก 30 ช้อน ก็ยังอึดอัดอยู่ วันต่อมาก็ลดลงอีกเหลือ 25 ช้อน ก็ค่อยยังชั่ว วันต่อมาลดลงเหลือ 20 ช้อน ก็พออิ่ม แต่จะหิวเร็วขึ้น วันต่อมาก็ลดลงเหลือ 15 ช้อน มีความรู้สึกโหวงเหวง หิวเร็ว อ่อนเพลียง่าย เมื่อหิวและอ่อนเพลียจะรู้สึกหงุดหงิด กระสับกระส่าย จิตยิ่งหาความสงบไม่ได้ จับได้ว่าท้องนี่มีความสำคัญต่อจิตมาก เราหิวเกินไป อิ่มเกินไป จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของจิต แต่หิวนี่ไม่ดีแน่ หัวใจมันห่อเหี่ยวแห้ง ไร้ความแช่มชื่น หาความสงบสุขไม่มี แต่มันก็ขึ้นกับจริตของแต่ละคน ทราบมาว่าครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นหลาย ๆ องค์ชอบอดอาหาร เมื่อท้องว่างจิตจะมีสมาธิดี ใคร่ครวญธรรมะได้ดี ตัวผมเองแตกต่างกับเขามาก ผมจึงเป็นประเภทสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา คือชอบความสุขและตรัสรู้เชื่องช้า คือจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้ และชอบอยู่แบบสบาย ๆ อยู่ในห้องสะอาด ๆ กว้าง ๆ ที่นั่งที่นอนพอดี ๆ กินอิ่ม นอนหลับ นั่งบ้าง นอนบ้าง เดินบ้าง สบายใจ ถ้าจะให้นั่งนานๆ ก็ไม่สบายใจ ถ้าแบบพระอาจารย์สนอง วัดสังฆทานนี่ผมว่าอุกกฤตนะ เพราะท่านนั่ง ยืน และเดินเท่านั้น ไม่ยอมนอนให้หลังแตะพื้น ถ้าผมสร้างสำนักกรรมฐาน มันจะเป็นสำนักสำหรับชาวสุขาปฏิปทา ใครอยากมาอยู่ด้วยก็มา...เลี้ยงให้อิ่มหมีพีมัน ใครจะตรัสรู้ช้าหรือเร็วไม่ว่า แต่ผมได้บุญครับ

    ตกลงผมกินวันละ 25 ช้อน ที่เหลือก็เทใต้โคนไม้ พวกกระรอกเป็นสิบ ๆ ตัว จะแวะเวียนลงมากิน และหลาย ๆ ตัวมันชอบแย่งกันกัดกันส่งเสียงดังลั่น ผมก็ดูสนุกสนานไปราวกับดูละครสัตว์ ทีอย่างนี้ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันรบกวนจิตเลยนะ ไป ๆ มา ๆ ผมเพลินกับการดูกระรอกลงมาแย่งอาหารกันจนหมดทุกวันโดยไม่ต้องไปเที่ยวสวนสัตว์
     
  9. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    มาได้ไง

    ถ้าใครอยากเห็นสัตว์แบบธรรมชาติ นอกจากไปดูที่เขาใหญ่แล้วมันก็ยังมีอีกแห่งให้ดูนั่นคือที่สวนโมกข์ เพียงแต่มีไม่มากชนิดเท่านั้น

    ใครยังไม่เคยเห็นกิ้งก่าบิน ลองไปอยู่สวนโมกข์สิ เราจะเห็นกิ้งก่ากระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปต้นหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากนั้นหลายฟุต ตัวมันมีสีคล้ายกับต้นไม้ใบไม้ เราจะเห็นมันแว็บ ๆ ตอนที่มันกระโดดบินนั่นแหละ แต่ถ้ามันอยู่กับต้นไม้ค่อนข้างดูยาก เพราะสีมันกลืนกับสิ่งแวดล้อม มันมีอยู่ทั่วไปที่สวนโมกข์ แต่ไม่เคยพบเห็นที่อื่น

    กระรอกบินหรือบ่าง เดี๋ยวนี้หาดูได้ยากแล้ว แต่ที่ยากกว่าคือกระรอกบินขนาดใหญ่ ตัวของมันมีขนาดเท่าแมวดำตัวใหญ่ เวลามันกระโดดลงบนกิ่งไม้นี่แม้กิ่งใหญ่ก็ไหวยวบยาบ และมันก็ชอบหากินกลางคืน มันจึงโดดกลางคืน นั่นคือที่มาทางหนึ่งของผีหลอกกลางคืนที่ว่าผีสั่นต้นไม้กิ่งไม้จนไหวยวบยาบ แต่ที่น่ากลัวกว่าคือเสียงร้องของมัน มันดังกว๊าก....เสียงสยองลั่นป่าทีเดียว และกระรอกดำขนาดใหญ่เช่นเดียวกันก็มีอยู่ทั่วไปที่สวนโมกข์

    กระจง มันหากินอยู่ใกล้ ๆ กุฏิของผมนั่นเอง ตัวมันเล็กกว่าสุนัขเสียอีก แต่ก็โตกว่าแมว เป็นสัตว์ที่คล้ายเนื้อทราย คล้ายหนู สิ่งที่คนต้องการที่สุดคือเขากระจง เขาว่ามันวิเศษมากจนพากันหาราวกับหาเหล็กไหล

    ความที่ผมเพลิดเพลินกับการชมธรรมชาติของสัตว์มันชวนให้คิดเรื่อยเฉื่อยแบบไม่รู้ตัว แต่ที่สุดก็รู้ตัวเมื่อมันเกิดภาพของมิตร ชัยบัญชา, เพชรา เชาวราษฏร์ สองคู่พระคู่นางของภาพยนตร์ไทยมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมสะดุ้ง ภาพนี้มันมาอย่างไร ผมสาวย้อนตามความคิดก็ไปสิ้นสุดที่ตาเห็นกระรอก ผมอยากเห็นคนเอากระรอกไปสร้างเป็นภาพยนตร์ แล้วมันก็กระโดดไปคิดถึงหนังในอดีตที่เคยดูมาตั้งแต่เด็ก มันก็เป็นกระบวนการความคิดเป็นเรื่องเป็นราวจากเรื่องหนึ่งสู่เรื่องหนึ่ง เป็นความจำที่เคยพบเห็นก็มี นำมาปรุงแต่งเป็นเรื่องใหม่ ๆ ก็มี อ้อ..ความคิดมันทำงานอย่างนี้นี่เอง มันเกิดจากสัมผัสแรก อันเกิดจากตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส หรือเกิดมโนภาพลอยขึ้นมาเองในใจ เมื่อเราขาดสติควบคุม ธรรมชาติของจิตที่มันชินกับการคิดมันก็ฉวยเอาสัมผัสแรกนั้นนั้นก่อรูปร่างเป็นความคิดใดความคิดหนึ่ง แล้วก็ไหลเรื่อยไปสู่ความคิดอื่น ๆ ซึ่งบางทีก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสัมผัสแรกด้วยซ้ำ

    ความคิดเหมือนกระแสน้ำที่ไหลไปตามแม่น้ำลำคลอง มันไม่ได้มีแต่น้ำ แต่มีขยะสารพัดที่ลอยตามน้ำมาด้วย จิตเหมือนน้ำที่ใสสะอาด ความคิดเหมือนขยะหยาบ ๆ ที่เห็นได้ชัดเจน อารมณ์เป็นความรู้สึกของกิเลสที่ละเอียดอ่อนที่ผสมอยู่ในจิต เหมือนสีของดินโคลนที่ละลายผสมน้ำทำให้น้ำขุ่นข้น

    การทำวิปัสสนาคือการที่เราวางจิตให้มีสติ ตอนนี้สติคือตัวเราที่นั่งอยู่ริมฝั่งน้ำ ตั้งตาดูขยะต่าง ๆ ที่ไหลตามลำน้ำ เราแค่ดูมันไหลผ่านเท่านั้นนะ แต่อย่าวิ่งตามขยะ เพียงให้รู้ว่ามีขยะต่าง ๆ ลอยผ่านไป อันแล้วอันเล่า แต่ถ้าเราเผลอสติล่ะเกิดอะไรขึ้น เราจะกระโจนตามขยะนั้นไป แล้วจมลงในน้ำกลายเป็นขยะอีกชิ้นที่ลอยไปกับน้ำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2012
  10. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    นกมองไม่เห็นฟ้า ปลามองไม่เห็นน้ำ จิตมองไม่เห็นความคิด

    นกมีความสามารถบินได้โดยธรรมชาติ นกจึงล่องลอยไปในท้องฟ้า แต่นกมองไม่เห็นฟ้าอันเวิ้งว้างว่างเปล่า แต่นั่นเป็นเพียงถ้อยคำเปรียบเทียบ เพราะแม้คนเราก็มองไม่เห็นท้องฟ้าเช่นกัน ตรงไหนล่ะคือท้องฟ้า

    ปลาอาศัยอยู่ในน้ำ มันก็แหวกว่ายไปมาอยู่ในน้ำ น้ำบางแห่งก็ขุ่นข้น บางแห่งก็ใสพอประมาณ แต่ปลาคงหาน้ำใสแจ๋วแหววยาก แต่ไม่ว่าจะน้ำขุ่นหรือน้ำใสปลาก็แยกไม่ออกอยู่ดีว่าอันไหนคือน้ำอันไหนไม่ใช่น้ำ เพราะชีวิตของมันต้องพึ่งน้ำเป็นที่อยู่อาศัย มันจึงมองไม่เห็นน้ำ นอกจากจะมีใครจับมันโยนขึ้นบกมันจึงมองไม่เห็นน้ำ มันจึงจะรู้ความแตกต่างว่าตรงไหนคือน้ำ ตรงไหนไม่ใช่ แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องเปรียบเทียบของนักปราชญ์ทางจิต

    คนเราทุกคนมีร่างกายและจิตใจ เรารู้แต่เรื่องของร่างกายที่เราอาศัย แต่เราไม่รู้เรื่องของจิตใจ เรารู้แต่ว่าเราคือจิตใจผู้มีความสามารถในการรู้และคิด แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้คือเราคิดอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใคร(ยกเว้นผู้ฝึกจิตดีแล้ว)ที่ว่างเว้นจากความคิดแม้เพียงเสี้ยววินาที และเพียงแค่เสี้ยววินาทีเราสามารถคิดได้เป็นเรื่องเป็นราว เราเสวยอารมณ์ความคิดไปในขณะเดียวกัน เราสุขเราทุกข์อยู่ภายในเสี้ยววินาทีโดยที่เราก็ไม่รู้ตัว

    คนที่ตกอยู่ในวังวนแห่งความคิดแบบมืดสนิทคือคนบ้า ทุกอย่างที่คนบ้าคิดคือความจริงทั้งหมด เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความคิดโดยแท้ คิดแบบไหนเขาก็กระทำไปตามนั้นโดยไม่รู้ตัว เขาหัวเราะอยู่คนเดียวเมื่อเขาคิดปรุงแต่งไปในเรื่องที่ดูตลกขำขัน เขาร้องไห้เมื่อกำลังคิดในเรื่องที่น่าเศร้า อาจเป็นเรื่องของการพลัดพรากจากสิ่งที่เขารักและหวงแหน เขารู้สึกโกรธ และขว้างปาสิ่งของ หรือทำร้ายคนหรือสัตว์ที่อยู่ใกล้ เพราะเขากำลังคิดว่ามีคนด่าเขา ทำร้ายเขา เมื่อมีคนยิ้มให้ เขามองเห็นคนกำลังหัวเราะเยาะ นั่นคือคนบ้า

    คนที่คิดบางเบากว่า มีโอกาสรู้ตัวว่าเราคิดไปเองก็ยังไม่ถึงกับเป็นบ้า เป็นเพียงคนคิดมาก แต่สติน้อยมาก แม้คนเราส่วนมากก็เป็นเช่นนั้นบ่อย ๆ เราปล่อยความคิดเพลินไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วเราก็หัวเราะหึ ๆ อยู่คนเดียว แล้วเราก็รู้ตัวว่าเราคิดไปนี่ แล้วเราก็หัวเราะไปในเรื่องที่เราคิด แล้วเราก็อาย เราเหลวซ้ายแลขวามองหาดูว่ามีใครมองเห็นเราหัวเราะอยู่คนเดียวหรือเปล่า บางครั้งเราคิดไปในอดีตถึงเรื่องการจากไปของคนที่เรารัก แล้วเราก็สะอื้นร่ำไห้ จนรู้สึกตัวว่าเราคิดไปเอง บางครั้งเราคิดว่ากำลังทะเลาะกับใครสักคน มีการด่ากันอย่างรุนแรง เราโมโหสุดขีดจึงชกต่อยหรือเตะ แล้วมือของเรา เท้าของเรามันก็ออกอาการต่อยหรือเตะออกไป ถ้ามีคนอยู่ใกล้ ๆ ก็โดนลูกหลงเอาเต็มเปา ดังเช่นมีเรื่องเล่าไว้ในตำราเรียนบาลีที่พวกผมเรียน มีพระหนุ่มรูปหนึ่งเป็นหลานชายของพระอรหันต์ กำลังนั่งถือพัดพัดให้พระมหาเถระผู้เป็นอาจารย์ ก่อนหน้านั้นพระหนุ่มได้ผ้าใหม่มาผืนหนึ่งจึงเอามาถวายอาจารย์แต่ท่านไม่รับ บอกให้เก็บไว้ใช้เถอะ พระหนุ่มก็เสียใจ ขณะที่นั่งพัดให้อาจารย์ก็นึกเพลิน ๆ ไปว่าอาจารย์ไม่รับผ้าผืนนี้เราสึกเสียดีกว่า แล้วเอาผ้านี้ไปขายหาไก่มาเลี้ยงสักหลาย ๆ ตัว เมื่อไก่มากแล้วก็ขายไก่ซื้อแพะ เมื่อแพะมีหลายตัวก็ขายซื้อวัว มีวัวหลายตัวเราก็ขายแล้วหาหญิงงามมาเป็นเมีย อยู่กันไปเราก็ได้ลูก ก็พาเมียกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ ระหว่างทางเมียเราอุ้มลูกไม่ไหว จึงเอาลูกไปวางไว้ระหว่างทาง เราโกรธก็เอาไม้ตีนาง และแล้วพระหนุ่มก็เอาพัดตีศีรษะอาจารย์ หลวงพ่อนั่งดูความคิดของพระหนุ่มอยู่ก็เลยพูดขึ้นว่า “มึงจะตีหัวเมียมึงก็ตีไปสิ มันเรื่องอะไรมึงมาตีหัวกูด้วย” พระหนุ่มรู้สึกตัวก็ตกใจวิ่งหนีออกจากวัดไป

    นั่นแหละคือธรรมชาติของคนส่วนมากที่ยังไม่ได้ฝึกจิต เราจึงหัวเราะ ร้องไห้ โกรธแค้น เสวยความสุข ความทุกข์ เพราะความคิดของเราเอง และเราก็มองไม่เห็นว่าเรากำลังคิด ถ้ามีใครมาพูดว่า “คุณนะคิดมาก” เราก็จะเถียงทันทีว่าไม่ได้คิดอะไร จริง ๆ นะ ผมไม่เห็นคิดอะไรเลย” ใช่เลย เขามองไม่เห็นว่าเขาคิดอะไรเลย

    ปุชนคนเราทั่ว ๆ ไปตกอยู่ในหลุมดำแห่งความคิด นั่นแหละคืออวิชชา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รับอารมณ์ภายนอกปั๊บก็ตกลงไปสู่หลุมดำในดวงใจทันที ก็ปรุงแต่งเป็นความคิดไปโดยอัตโนมัติ จึงเสวยอารมณ์ทั้งสุขและทุกข์ไปในขณะเดียวกัน แต่ผู้ที่ฝึกจิตในวิปัสสนาปัญญาจะเข้าใจในเรื่องนี้ เมื่อคิดอะไรก็คิดไม่นาน รู้ว่าเผลอคิด รู้ว่าเป็นเพียงความคิด และไม่ยึดเอาความคิดนั้นว่าเป็นความจริง เขาจึงสามารถตัดความคิดได้เป็นช่วง ๆ ถึงปรุงแต่งก็ไม่ยืดยาว ไม่ทันก่อให้เกิดทุกข์หรือสุข เขาจึงดำรงอารมณ์อุเบกขาไว้ได้นานกว่าคนทั่ว ๆ ไป เมื่อเวลาความตายมาถึง คนเช่นนี้จะไม่ไปอบายภูมิอย่างเด็ดขาด
     
  11. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    สำรวมอินทรีย์

    อินทรีย์ มีหลายความหมาย เช่นอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ก็เป็นอีกความหมายหนึ่ง หมายถึงธรรมที่ก่อให้เกิดพลังในการนำไปสู่การตรัสรู้ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา แต่อินทรีย์อีกความหมายหนึ่งคือทวารทั้ง ๖ หรืออายตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่พระพุทธเจ้าให้สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ คือสำรวมระวังเมื่อ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส จิตสัมผัสกับธรรมารมณ์ในภายใน อย่าให้มันก่อเกิดความคิดอันนำไปสู่อารมณ์ดีและร้าย

    ตั้งแต่ที่ผมจับได้ว่าเพราะตาเห็นกระรอกจึงทำให้เกิดกระบวนความคิดสืบต่อกันมาจนเกิดภาพพระเอกนางเอกยอดนิยมในอดีตขึ้นมาให้เห็นในห้วงของความคิด ผมก็เริ่มระวังสัมผัสอันเกิดจาก ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น เป็นต้น แต่การเริ่มฝึกมันก็ยังจับทิศทางได้ยากว่าเราจะระวังมันอย่างไร ไร้เสียซึ่งครูอาจารย์มันก็ไม่เป็นท่าเหมือนกัน ถ้าหัดขับรถบนท้องถนนก็น่ากลัวพารถไปชนเขาก่อนที่จะขับเป็น เมื่อทำไม่ถนัดมันก็เครียดนะครับ เหมือนขี่จักรยานยังไม่ชำนาญ มันก็เกร็ง พอมีคนทักแล้วเหลียวไปมอง จักรยานก็วิ่งไปชนรั้ว ได้ฮากันเลยครับ

    ตั้งแต่จับทิศทางได้ถูกต้อง ความชุลมุนชุนเกของจิตคิดก็เริ่มลดลง อารมณ์เร่าร้อน กระสับกระส่าย กระวนกระวายเพราะอยากให้จิตสงบมันก็ลดลง

    ตำราที่เรียนมาตั้งแต่นักธรรมตรี โท เอก มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมาคราวนี้ รู้ความหมาย รู้ประโยชน์ของมันก็คราวนี้แหละ
     
  12. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    รู้จัก ก.เขาสวนหลวง

    โรงฉัน เป็นศาลาไม้มุงสังกะสี ยกพื้น จำได้แค่นั้น แต่ที่ไม่ลืมคือโรงฉันเป็นห้องสมุดเล็ก ๆ ที่ว่าห้องสมุดคือมันมีหนังสือเล็ก ๆ น้อย ๆ และนิตยสารธรรมบางชนิดให้อ่าน ถ้านึกอยากหาความรู้จากการอ่านก็ต้องไปที่โรงฉัน แต่ไม่รู้ว่าห้องสมุดใหญ่อยู่ตรงไหน มีหรือไม่

    ที่นั่นผมได้อ่านบทธรรมคำกลอนของ ก.เขาสวนหลวง ผมชอบนะ ที่ผมจำได้มาจนบัดนี้คือถ้อยคำคล้องจองที่ท่าน ก.เขาสวนหลวง บอกว่าจดจำมาตั้งแต่เป็นเด็ก มันจำได้ง่ายจริง ๆ ลองอ่านดูสิ

    จิตเอ๋ยจิตเขลา นอนในกายเน่า เฝ้าสมบัติดิน
    กินอสุจิ ตริไม่เห็นเลย หลงเชยชมงาม
    เดินตามทางรก มุ่นหมกเพศบ้า อวดกล้าสู้ตาย
    ไม่หน่ายหนีโลก นั่งโงกงมแก่ เหลียวแลว่าคน
    รูปตนคือผี เห็นดีสิ่งใด ภายในเหม็นนัก
    หลงรักจูบกอด ตาบอดใจบ้า เป็นข้าความรัก

    เหนื่อยนักไม่รู้ หลงอยู่ช้านาน สมภารไม่บอก
    เชื่อหลอกหมู่มาร สังขารเขาลวง หาห่วงผูกคอ
    ใครหนอทำให้ ตัวใบ้ใจบ้า หันหน้ามาดู
    พระครูบอกบ้าง อย่าหลงทางเดิน อย่าเมินเหยียบขวาก
    อย่าลากเรียวหนาม เดินตามพระไป

    ไกลพระจักโง่ มักโอ่เสียของ เอาทองแต่งลิง
    อวดจริงแก่บ้า อวดกล้าแก่ผี อวดมีแก่ดิน
    อวดกินแก่ขี้ อวดดีแก่ตาย อวดสบายแก่โรค
    ทุกข์โศกเสียเปล่า
    อย่าเดาผิดผิด อย่าคิดโดยโง่ อย่าโต แต่เปลือก

    อย่าเสือกหาทุกข์ อย่าสุขในบาป อย่าคาบเหล็กแดง
    อย่าแต่งแผ่นดิน อย่ากินของร้อน อย่านอนในไฟ
    เป็นไปอย่างแร้ง แสวงหาบริสุทธิ์ ให้หยุดเหมือนพระ
    ให้ละความโง่ ให้โตเต็มโลก ข้ามโอฆสงสาร
    นิพพานไม่ไกล เดินไปเถิดนะท่านทั้งหลาย

    อ่านแล้วก็ชอบใจ เมื่อได้อ่านบทกลอนแต่ละบทรู้สึกกิเลสมันสั่นสะเทือน มีความรู้สึกเหมือนนิพพานอยู่ไม่ไกลออกไปนัก มีความเข้าใจธรรมะได้ดีขึ้นมาก วันหนึ่งได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระที่อยู่ที่นั่นมานาน อายุราวสามสิบเศษ หรือสี่สิบกว่าก็ไม่รู้ได้ เป็นพระผอมบาง ผิวขาว หน้าเล็ก จมูกหน่อย หน้าผากกว้างเถิกนิด ๆ ห่มผ้าสีเหลืองซีด กุฏิของท่านอยู่ไม่ห่างจากโรงฉันนัก ท่านชื่อพระอาจารย์ทองสุก ท่านให้การเคารพนับถือท่าน ก.เขาสวนหลวงมาก และได้ให้ยืมบันทึกการปฏิบัติของนักปฏิบัติ ลูกศิษย์ของท่าน ก.เขาสวนหลวง ชื่อ”รัตนะ” เป็นบันทึกการปฏิบัติธรรมแบบละเอียดยิบ วันไหนจิตใจมีอาการอย่างไร ท่านก็เขียนไว้หมด ท่านเขียนบันทึกในปี 2498 โน่นแล้ว บันทึกนี้ได้ก่อให้ความสว่างในแนวปฏิบัติทางจิตเป็นอย่างมาก ความงุนงงสงสัยต่าง ๆ คล่อยๆ คลี่คลายตั้งแต่ได้อ่านบันทึกฉบับนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2012
  13. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เชิญชมได้ครับ กรุแตกที่วัดป่าแสงทอง
    20121115 144027 - YouTube

    กรุวัดป่าแสงทองแตก - YouTube

    กรุวัดป่าแสงทองแตก - YouTube

    20121115 143133 - YouTube

    20121115 141351 - YouTube

    20121115 141738 - YouTube
     
  14. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ค้นหาเรื่องของท่าน ก.เขาสวนหลง และบันทึกการปฏิบัติของรัตนะในอินเตอร์เน็ต ได้พบบันทึกของผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่งที่เขาสวนหลวง เห็นมีประโยชน์แก่นักปฏิบัติ เลยเอามาฝาก

    บันทึกจากคำบอกเล่าของผู้ปฏิบัติธรรม
    ท่าน ก.เขาสวนหลวง


    ในสมัยนั้น (พ.ศ. 2496) การเดินทางต้องเดินตั้งแต่หน้าเขางู เดินตามแนวเขาเรื่อยมา ผ่านวัดห้วยตะแคง เดินตัดท้องนาตามคันนา ผ่านมาเดินตามทางเกวียนเล็กๆ จนถึงเขาสวนหลวงก็จวนค่ำ บางคนที่มาจากกรุงเทพฯ นั่งรถไฟมาลงที่ราชบุรี ต้องนั่งเรือจากท่าน้ำราชบุรีมาห้วยตะแคง แล้วมาเดินตัดลัดคันนาเข้าทางเกวียนเล็กๆ มาถึงเขา นับว่าการเดินทางค่อนข้างลำบาก ถ้ามาไม่ทันเรือก็ต้องรอไปวันรุ่งขึ้นจึงจะลงเรือมาได้

    ขณะนั้นมีผู้ปฏิบัติในราว 10 กว่าคน แต่ที่ไม่อยู่ประจำก็มี มาคืนแรกก็นอนในน้ำ รู้สึกสงบ คืนสองนอนบนแคร่กระท่อมติดดิน เวลาอาบน้ำต้องไต่ไม้ไผ่สองลำที่วางคู่กัน ขึ้นไปอาบน้ำบนถังน้ำแปดเหลี่ยมที่ไม่มีหลังคา ความสงัดจากหมู่และความกลัวนี้ทำให้จิตเข้าข้างในได้ดีสติติดต่อ เพราะต้องระมัดระวังอยู่

    สมัยนั้นการก่อสร้างต่างๆ หรืองานพัฒนาที่อยู่ที่อาศัยก็ทำกันเอง ช่วยกันทำในหมู่อุบาสิกาสิบกว่าคน ท่าน ก. เป็นคนขยัน ว่องไว มีความสงบอยู่ในตัว ไม่พูดมาก ขณะทำงานปฏิบัติทางจิตใจไปด้วย

    การทำงานไม่ว่าจะทำอะไร เช่น ผ่าไม้รวก จักไม้เหลาไม้ที่จะทำเพดานศาลาในสวน มีแต่เสียงทำงาน เสียงพูดคุยกันไม่ค่อยมี พูดแต่ที่จำเป็น มีแม่ชีคนหนึ่ง ขณะทำงานก็พูดขึ้นอยู่คนเดียว ท่าน ก. ก็ทำเฉย ทำงานไปเฉยๆ แม่ชีอีกคนหนึ่ง พูดขึ้นบ้าง ท่านก็เตือนว่า ให้บ้าแต่คนเดียวพอ อย่าบ้าหลายคน เลยเงียบกันไปหมด ท่านให้ทำงานด้วยการมีสติ ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ การพูดมากทำให้เผลอ เพลินจิตไหลเรื่อยไปตามอารมณ์ ท่านเตือนผู้ปฏิบัติโดยใช้คำพูดสั้นๆ ส่วนใหญ่จะเน้นให้มีอินทรีย์สังวรให้ตามดูตามรู้จิตใจ ว่ามีกิเลสอะไรเกิดขึ้น แล้วจะจัดการกับมันอย่างไร

    ในสมัยนั้นไม่มีอะไรมาก แม่ชีนุ่งขาวเช้าบิณฑบาตความกังวลน้อย เรื่องอาหารไม่ต้องจัดแจงอะไรมาก มีน้ำพริกเผา และเก็บผักที่อยู่ใกล้ๆ พอเป็นอยู่ในวันหนึ่ง มื้อหนึ่ง บางวัน ท่าน ก. ก็นำอาหารมาวางไว้ถ้วยหนึ่ง แล้วท่านก็เดินกลับไป โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย การพูดน้อยมีสติดูภายใน การบิณฑบาตรู้สึกสงบ สงัด มีสติติดต่อทั้งไปและกลับ มีความกลัวเข้าแทรกแซงก็ดูอยู่ตรงนั้น จนเห็นชัดหายสงสัย

    ข้อกติกายังไม่มีอะไรมากในสมัยนั้น ผู้มาปฏิบัติก็บันทึกข้อปฏิบัติ ตรวจสอบความเป็นจริงภายในตนเอง เจ็ดวันประชุมเจอกันทีหนึ่ง ทำวัตรสวดมนต์เฉพาะวันพระเช้า - เย็น กลางคืนปรารภธรรมกันในวันสำคัญเช่น วันมาฆบูชา วิสาขบูชา นอกนั้นเข้าเงียบ

    แนวการอบรมจิตใจของท่านตรงเข้าหาตัวจิตล้วนๆ พร้อมทั้งมีการพิจารณากำกับไปด้วย บางครั้งรู้สึกเฉยๆ ก็เรียนถามท่านว่าทำไมจึงเฉยๆ ท่านตอบว่า ก็ดูไปซิ มันเฉยจริงหรือเปล่า ท่านพูดไม่กี่คำทำให้เกิดปัญญา ข้อปฏิบัติรู้สึกราบรื่น เรียบร้อย ไปตามลำดับของสติปัญญา ให้พิจารณา การรู้เห็น ทั้งมีการทำลายความรู้สึกที่เข้าไปเป็นเจ้าของในตัวพร้อมที่ตรวจสอบความผิด ชั่วตามอายตนะที่สัมผัสของตนเองไปด้วย เป็นการซักฟอกไปในตัว เพื่อจะให้รู้ชัดเจนตามความเป็นจริงของมัน แล้วถอนความยึดมั่นสำคัญว่าตน เพื่อความเป็นอิสระในตนเอง

    ท่าน ก. เขาสวนหลวง เป็นผู้มีเมตตา ส่งเสริมการปฏิบัติทางด้านจิตใจมาก ท่านจะช่วยเหลือผู้ปฏิบัติอย่างเต็มที่เพื่อการปฏิบัติจริง โดยการให้เข้าอินทรีย์สังวรเพื่ออ่านใจตนเอง แล้วบันทึกข้อปฏิบัติไว้ ในวันพระจะมีการประชุมสวดมนต์ ปรารภธรรมข้อปฏิบัติกันและกัน ท่านจะแนะนำให้ในแง่มุมของการปฏิบัติแก่ผู้ปฏิบัติที่มีข้อสงสัย

    ท่านดูแลความเป็นอยู่แก่ผู้ปฏิบัติ แม้อาหารการกิน ท่านก็ให้ผู้ปฏิบัติตัดกังวล ท่านทำอาหารส่งทุกคนอย่างง่ายๆ พอประทังชีวิต ท่านว่าอยู่ป่าต้องกินง่ายอยู่ง่าย ครั้งหนึ่งมีผู้จะมาขออยู่ปฏิบัติ ท่านถามว่า กินยากไหม ผู้นั้นตอบว่า ไม่ยากค่ะ แต่ต้องมีน้ำแกง ท่านก็ชี้ไปที่ตุ่มน้ำว่า นั่นไงน้ำแกง น้ำในตุ่ม

    ท่านให้อยู่อย่างสันโดษ ทำจิตใจให้สงบ พิจารณาอยู่ที่จิต เรื่องภายนอกเป็นเพียงเครื่องอาศัยพอเป็นไป แต่ภายในต้องศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริง จึงจะพ้นทุกข์ได้

    ท่านเป็นคนปกติเงียบขรึม แต่ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดแต่ธรรมะ ท่านเอาใจใส่ดูแลผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้ป่วยไข้เสมอ ท่านเป็นคนมีเหตุผล มีการอนุโลมปฏิโลม เข้าใจในเหตุการณ์

    ครั้งหนึ่ง ทางราชการได้ประกาศมายังชาวบ้านออกโฆษณาขยายเสียง ให้ประชาชนไปฉีดยาป้องกันโรคอหิวาต์เพราะขณะนั้นเกิดโรคอหิวาต์ระบาดอยู่ ผู้ปฏิบัติผู้หนึ่งพูดว่า ไม่ต้องไปฉีดหรอก เรามาปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่ต้องฉีดก็ได้ท่านก็พูดว่า อย่าทำเป็นประมาท ต้องรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ให้ไปฉีดยาทุกคน ท่านเป็นผู้ที่รอบคอบ ทำอะไรพิจารณาแล้ว ท่านก็ทำไปตามควร ตามเหตุปัจจัย ท่านสอนให้ปล่อยวางจิตก็จริง แต่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยในสิ่งที่ควรทำ อะไรควรทำก็ทำ อะไรไม่ควรทำก็ไม่ต้องทำ ต้องมีปัญญาในการพิจารณาให้ถูกต้องตามเหตุผล

    ใน พ.ศ. 2494 คุณกวงซึ่งสนใจธรรมะ ต้องการจะไปบวชอยู่ที่สวนโมกข์ คุณกวงรู้จักกับท่าน ก. เขาสวนหลวง จึงได้นำแม่คือนางฮวดมาฝากไว้กับท่าน ก. เพื่อให้แม่ได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับท่าน ส่วนตัวคุณกวงก็ไปบวชเป็นพระกวง อยู่ที่สวนโมกข์ ติดตามช่วยงานท่านอาจารย์พุทธทาส

    หลายปีต่อมา นางฮวดได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชราด้วยความสงบ ที่สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง จึงได้จัดการเผาศพ ที่ลานโล่งกลางแจ้ง โดยจ้างให้คนหาฟืนมาเผากันอย่างง่ายๆ ในสำนักนั่นเอง เป็นการเผาศพครั้งแรกของสำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง

    จากกุศลเจตนาของ ท่าน ก. เขาสวนหลวง ที่หวังจะอนุเคราะห์คุณลุงคุณป้าของท่าน ท่านจึงเดินทางมาที่เขาสวนหลวงนี้ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2488 แม้ว่าเวลานั้นการคมนาคมจะไม่สะดวก ทั้งอาหารการกินก็แร้นแค้น แต่ด้วยความศรัทธาในพระธรรม ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและด้วยวิริยะความเพียรที่จะประพฤติปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนนั้น ท่านทั้งสามกลับได้รับความชุ่มชื่นทางจิตใจ จากรสพระธรรมและจากธรรมชาติป่าเขา ดังที่ท่านเล่าไว้แล้วนั้น

    ท่านมาอยู่ในสถานที่สงบสงัด ควรแก่การเจริญภาวนา ต่อมาก็เริ่มมีผู้ประสงค์จะมาพักเพื่อเจริญจิตภาวนาบ้าง ท่านก็ให้ความอนุเคราะห์ด้วยดี ทั้งทางด้านพระธรรมที่ท่านพากเพียรศึกษาและปฏิบัติจนกระทั่งสามารถนำ ประสบการณ์มาถ่ายทอดได้ และทางด้านที่อยู่อาศัย สถานปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวงจึงได้ก่อกำเนิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา และด้วยกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญาของท่านผู้ก่อตั้งและท่านผู้ปฏิบัติธรรมรุ่นแรกๆ นี้เองเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้สถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองและมั่นคงเป็นปึกแผ่น ให้ความเกื้อกูลแก่เพื่อนร่วมทุกข์ที่เป็นสตรีได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมมาจน ถึงทุกวันนี้
     
  15. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เอาของดีมาฝาก ตั้งใจอ่านให้จบนะครับ

    โอวาทของท่าน ก.เขาสวนหลวง
    บันทึก วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๔๙๘

    วันนี้เป็นวันประชุมตามเคย เป็นวันที่พุทธบริษัทมีการสนทนากัน เพื่อทำความเข้าใจกันให้ตรงกับความเป็นจริง การปฏิบัติมีความจำเป็นจะต้องค้นคว้าภายในจิตใจ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องรอบรู้ เพื่อไม่ให้งมงาย นิสัยความเคยชินที่มีมาแต่กาลก่อน ปล่อยตามใจตนเองให้ไหลเรื่อยเปื่อยไป ทำไปทั้งๆ ที่รู้กันอยู่ ไม่มีการสังวรระวัง ไม่ควบคุมจิตใจของตนเอง แม้จะมีหลัก ก็ไม่สามารถจะทัดทานกิเลสได้ เช่นนี้ไม่เรียกว่ามีการปฏิบัติ แม้จะมีการปฏิบัติอยู่บ้างก็ไม่ได้รับผล

    ผู้ปฏิบัติต้องมีความสงบทั้งในที่ลับและที่แจ้ง มีมารยาทสังวรระวัง มีสติเสมอ ไม่เป็นภัยแก่ตนเองและผู้อื่น ไม่ทำตามกิเลสอันไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีการหยุดพัก การเอาชนะกิเลสทำให้หยุดพักได้ ว่างได้ แล้วจิตใจก็จะได้รับความสงบ ควรมีกฎประจำใจไว้เสมอ อย่าให้พลั้งเผลอไปเอาอะไรต่ออะไรตามกิเลสตัณหาบังคับ เป็นการเห็นกงจักรเป็นดอกบัว นักปฏิบัติที่แท้ ต้องมีการสำรวมระวัง จนจิตรู้เท่าทันต่ออารมณ์เสมอ คือเปลี่ยนจากเด็กมาเป็นผู้ใหญ่ รู้จักช่วยตนเองทำประโยชน์ให้แก่ตน ถ้าไม่สามารถจะช่วยตนได้แล้ว จะช่วยผู้อื่นได้อย่างไร

    กิเลสเหมือนกับงูหรือไฟ เป็นของร้อนซึ่งรู้ได้ง่าย ได้แก่ความชอบใจ พอใจ และความโกรธ ส่วนที่รู้ยากเช่นน้ำกรด เป็นของไหม้เย็น ได้แก่ ความโลภ และความกำหนัดยินดี บางคนก็มีเอามากๆ มันทำให้จิตใจไม่สะอาดหม่นหมอง แล้วก็ไม่รู้ตัวว่าหม่นหมอง ต้องคอยสอดส่องให้ถึงด้านใน ไม่ใช่เพียงวางเฉยก็ดีแล้ว ต้องชำระล้างสิ่งสกปรกออกเสียด้วย ถ้าไม่มีปัญญาสอดส่องมันก็อยู่แค่นั้นเอง แม้จะละได้ ก็ชั่วคราว แล้วก็มีมาอีก ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ตนเองไหลไปตามอำนาจความอยาก ความเพ่งเล็ง ความโลภ ต้องการชื่อเสียงลาภยศเหล่านี้ ผู้ฉลาดย่อมไม่ยินดีเพราะมันเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง

    พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า ภิกษุผู้ยินดีในโลกธรรม คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข ย่อมจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุด คือ พระนิพพานไม่ได้ การยินดีต่อโลกธรรม มีแต่จะไหลเรื่อยเปื่อยไป หนักเข้าก็ยกตัวว่าดี ว่าเด่นกว่าเขา เกิดความผยองพองตัวเหมือนดินพอกหางหมู ทะนงตัวว่าดีเหล่านี้พระอรหันต์ท่านไม่มี แทนที่จะขัดสีออก เพราะเห็นว่ามันเป็นสิ่งสกปรก กลับยินดี พอใจ เหมือนควายที่ชอบจมอยู่ในปลักฉะนั้น

    ผู้มีปัญญาย่อมไม่ยอมจมอยู่ในปลัก ต้องคิดหนีไปให้พ้น เหมือนกับหนีไฟที่ไหม้เข้ามาใกล้ตัว คนเราส่วนมากมักเป็นกันเช่นนี้ คือไม่แลเห็นว่ามันเป็นไฟ มีแต่จะอยากได้โน่น เอานี่ ไม่พยายามพิจารณาดูว่า ที่แท้แล้วมันก็คือสภาวะธรรมที่เสื่อมสิ้นไปทุกขณะ

    รูปนามนี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา มันทรงตัวอยู่ได้ด้วยเหตุด้วยปัจจัย เราควรพิจารณาความจริงเหล่านี้ เตือนตัวเอ จนกว่าจะทำลายตัวตนออกจากจิตใจ ให้จิตใจมีความรู้สึกล้วนๆ ซึ่งมันไม่ต้องการอะไร เพราะมันไม่มีตัวตนจะให้วิ่งไปเอา จงพยายามให้มีความรู้ มีความสังวรระวังไว้เสมอๆ จะได้ความสว่างไสวโปร่งโล่งเป็นอิสระ อยู่ในตัวของมันเองตลอดเวลา แล้วมันจะมีความจริงปรากฏขึ้นให้เห็นในใจเอง

    อย่าให้เป็นเหมือนลูกฟุตบอล ที่ถูกเตะไปเตะมา อยู่กลางสนามจนแตกไป เทียบได้กับรูปนามนี้ มันจะต้องแตกดับไป เหมือนลูกฟุตบอลเช่นเดียวกัน อย่าเป็นลูกฟุตบอลเที่ยวกระดอนไป กระดอนมา จะเป็นสังสารวัฏเวียนว่าย วิ่งไปมาอยู่ตลอดสาย การแก้เงื่อนไม่ใคร่จะมีใครคิด ที่คิดกัน ก็มักคิดออกไปยืดยาว ปล่อยให้ไหลเรื่อยเปื่อยไปตามกระแส เราจะต้องคิดค้นให้ได้ มันเป็นปัญหาเฉพาะตน ที่จะต้องแก้เงื่อนให้หลุดพ้นจาก ชาติ ชรา มรณะ และพยาธิ

    การปฏิบัติถ้าไม่ถูกเงื่อนมันก็ไม่หลุดพ้น ถ้าไม่แก้เงื่อนต้นให้ถูกมันก็อยู่แค่นั้นเอง เป็นของลึกซึ้งยากที่จะแก้ บางคนพูดว่า ฉันรู้ จิตใจมันว่าง วางเฉยได้ แต่การกระทำก็ยังเข้ากับตัวเอง บางทีก็วางเฉยสำรองไว้ก่อน กว่าจะรู้สึกตัวมันก็ไหลเรื่อยเปื่อยไป การทำเช่นนี้เท่ากับเราไปเล่นกับผีหรืออสุรกายโดยเห็นเป็นพระ ทุกคนก็บอกว่ารู้อยู่ด้วยกันทั้งนั้น คนที่รู้แนวทางก็ยังประพฤติเช่นนี้ นับประสาอะไรกับคนที่ไม่รู้อะไรเลย มันเป็นการคลำทางที่หลงงมอยู่ในป่าทึบ

    บางคราวพบความสว่าง ความสงบชั่วคราว แล้วก็ไปยึดเอาความสว่าง - แสงสี เหล่านั้นขึ้นมา ไม่ใช่ว่างจริงๆ ไม่ใช่เป็นการอ่านข้อเท็จจริง ซึ่งบางทีมีความวางเฉยก็เป็นการวางเฉยด้วยโมหะ เช่นนี้ไม่ใช่เป็นการก้าวหน้าออกไปเลย เป็นความเข้าใจผิด ตรงกันข้ามกลับยิ่งจมมิดลงไป เรียกว่าขุดหลุมฝังตัวเอง ร้ายยิ่งกว่าตกนรกเสียอีก เป็นการถอยหลังเข้าคลอง อยู่กับความโง่ ความหลงมากขึ้น ขอให้ผู้ปฏิบัติจงสังวรระวัง ให้มีความรู้ทรงตัวอยู่เสมอ ให้มีความสว่างไสว รู้สึกว่าสภาพเหล่านี้มันมีความสว่างไสวอยู่ในตัวของมันเอง

    ถ้าตราบใดที่อวิชชาและโมหะยังมีอยู่ ความสว่างจะมีอยู่เรื่อยไปไม่ได้ การโพลงแจ้งขึ้นครั้งหนึ่ง ก็เป็นการทำลายโมหะได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ควรตื่นเต้นว่าเป็นที่สุดแล้ว พ้นแล้ว อย่าไปตะครุบเอาเสียก่อน จะต้องสอดส่องเข้าไปให้ละเอียดลึกซึ้งด้วยสติปัญญา ให้ความจริงปรากฏ จะได้ไม่มีการเพ้อเจ้อความไม่สงบ

    ต้องปฏิบัติให้ความรู้แจ้งทรงตัวของมันอยู่ กายวาจาก็จะปกติเอง อย่าทำเป็นเหมือนเด็กเล่น หัวเราะสนุกสนาน ร้องไห้หน้าหงิกหน้างอ ต้องซื่อตรงต่อตัวเองทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ดังที่เปรียบเหมือนลูกฟุตบอล ที่ถูกเขาเตะอยู่ในสนามกระหืดกระหอบไม่สิ้นสุด จงพิจารณารูปนามมันเป็นเรือนไฟไหม้ ไม่มีตัวเราตัวเขาอะไรเลย ให้เกิดความสังเวชสลดใจ ก็จะคลายความกอดรัดยึดถือ

    พระธรรมเป็นของปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตน จิตเดิมแท้นั้น ลักษณะของมันไม่มีเครื่องหมาย กล่าวไม่ได้ว่าเป็นอะไร มันมีแต่สภาพธรรมล้วนๆคนที่เลียนแบบและคำพูดมักเอาสัญญานั้นมาเป็นเครื่องวัด จะทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้าและเป็นอันตราย บางคนก็ตื่นเต้นต่อการได้พบชั่วคราว มันเพียงแต่พบเห็นที่ปากทาง ถ้าผู้ปฏิบัติไม่มีใจหนักแน่นมั่นคงแล้ว ก็จะไม่ได้พบจิตเดิมแท้

    การให้อ่านรู้ข้อเท็จจริงนั้น เพื่อจะต้องการให้รู้ หน้าโมหะ อวิชชา เหล่านี้มันเป็นมายาปกปิดอยู่หลายชั้นหลายชนิด มันจะคอยออกรับสมอ้างแค่ประตู ทำให้หลงใหลยึดถือเงาที่หลอกลวง ต้องมีความรอบรู้ การซักฟอกต้องอย่าเอาของสกปรกไปซักฟอกสิ่งสกปรก ต้องทำกันจริงๆ มันจึงจะได้ผลจริง อย่าทำเล่นๆ จงขัดเกลาให้บริสุทธิ์ ให้ออกมาจากทุกข์ จากสังสารวัฏให้จงได้ มันเป็นของไม่ง่าย แต่ก็ไม่สุดวิสัย ทุกขเวทนาอันแสบเผ็ดนั่นแหละ มันจะเป็นบทเรียนอย่างดี และอาจรู้ได้ เพียงเฉยๆ ไม่มีอะไรเป็นบทเรียน เช่นนี้หารู้ได้ไม่ อย่าหลงความสุขที่ได้รับอยู่นี้เป็นของดี เมื่อจิตใจยังไม่หลุดออกไป ต้องกำหนดจิตให้ปล่อยสภาวะทุกข์และสภาวะสุข จิตใจที่เหนือได้นั่นแหละ จึงจะปล่อยได้อย่างแท้จริง

    ขอให้ผู้ปฏิบัติจงทำตนให้หลุดพ้น อย่าไปหลงกับสิ่งอื่นๆ เลย มันจะเสียงานการ ทำให้ไม่ได้รับความรู้ขึ้น อย่าสำคัญตัวเองว่าเป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมา ให้แก้ไขตัวเองให้จงได้ด้วยการสอดส่องเข้าด้านในการสอดส่องนี้เท่ากับการ เปิดตู้พระไตรปิฎกออกมา กายกับจิตนี้เป็นเครื่องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ขอให้ผู้ปฏิบัติทุกๆ คน จงมีความชัดเจนของความจริงอันนี้จงปรากฎอยู่ทุกขณะเถิด
     
  16. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ค้นหาบันทึกการปฏิบัติของ "รัตนะ" ไม่พบครับ แต่พบว่านามปากการัตนะเป็นของอุบาสิกาอุ่นจิต ติรัตนะ อยู่ชลบุรี ท่านจากไปใน พ.ศ.2543
     
  17. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ถ้ารู้จักแต่ทำมาหากินเลี้ยงร่างกายกันอย่างเดียว ไม่รู้จักแสวงหาธรรมเลี้ยงจิตใจให้เป็นสุขสงบเย็นด้วยแล้ว การเกิดนั้นจะเป็นการเกิดมาเพื่อทนทรมานติดคุกตะรางในทางวิญญาณชนิดหนึ่งไปจนตายทุกๆ ชาติทีเดียว ถ้าไม่รู้จักทำจิตใจให้สงบตามทางธรรมบ้างแล้ว แม้คนรวยที่อยู่ตึกก็มีความสุขสู้คนจนที่อยู่กระท่อมซอมซ่อไม่ได้

    ความสุขในวัยเด็กก็มีไปอย่างหนึ่ง ความสุขวัยหนุ่มสาวก็มีไปอย่างหนึ่ง วัยกลางคนก็มีไปอย่างหนึ่ง วัยแก่เฒ่าชราก็มีไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีทางที่จะเหมือนกันหรือสับเปลี่ยนกันได้ เพราะพระธรรมบังคับไว้อย่างตายตัว ทำอย่างไรจึงจะได้รับความสุขครบถ้วนตามนั้นทุกวัยๆ ไป เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องคิดให้ดีที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะไม่ได้รับสิ่งที่ประเสริฐที่มนุษย์ควรจะได้รับในการเกิดมาชาติหนึ่ง และจะป่วยการที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา

    อีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าคนเราจะอยู่ในวัยไหน หรือประกอบอาชีพการงานอะไร ทุกคนและทุกวัยจะต้องมีความรู้ธรรมะไว้เป็นน้ำดับไฟ อันจะเกิดขึ้นจากการประกอบการงานนั้นๆ เป็นธรรมดาอยู่ตลอดเวลา มิฉะนั้นแล้วการอยู่เป็นคนก็กลายเป็นการทนอยู่ในนรกหมกไหม้ชนิดหนึ่งนั่นเอง ไม่มีเวลาสร่างซา จนกระทั่งเน่าเข้าโลงไป ไม่เคยประสบของดีที่พึงจะได้จากการเกิดมาเป็นคน

    แท้จริง การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ เกิดมาเพื่อดับไฟกิเลส มิใช่เกิดมาเพื่อให้กิเลสเผาอยู่ทุกวันคืน ถ้าเราเป็นฝ่ายเผากิเลส เราก็มีความสุขเย็น แต่ถ้ากิเลสเป็นฝ่ายเผาเรา เราก็สุกไหม้ และเกรียมไปได้ในที่สุด แม้ไม่ถึงอย่างนั้นก็จะตกอยู่ในลักษณะของคนอยากน้ำ คอแห้งอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจะหาน้ำอะไรมาดับความกระหายของตนได้

    ชีวิตของคนเรานี้เป็นยักษ์ที่โหดร้ายอยู่ในตัวชีวิตนั้นเอง มันจะถามเราว่า เกิดมาทำไม? ถ้าเราตอบไม่ได้เพราะไม่รู้เสียเลย มันก็จะกินเรา ถ้าตอบผิดๆ ถูกๆ มันจะตบหน้าเรา และขี่คอเราไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าตอบถูกจริงๆ แม้เพียงคำเดียวเท่านั้น ยักษ์นั้นเองจะปักคอตัวมันตายต่อหน้าเรา ไม่มีอะไรมารบกวนเราให้มีความทุกข์ทรมานอีกต่อไป

    พระธรรมเท่านั้น ที่จะช่วยให้เราตอบปัญหาของยักษ์ได้ พระธรรมเท่านั้นที่จักหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้สดชื่นช่วยให้คนทุกคน ทั้งวัยเด็ก หนุ่มสาว และแก่เฒ่ามีความสุขสงบเย็น ได้สมตามวัยของตนๆ พระธรรมจะช่วยดับไฟให้ทุกคราวที่เกิดขึ้นในการประกอบกิจทุกชนิดในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ในทุ่งนาป่าสวน ในย่านตลาดร้านโรงเรือน อาคารสถานที่ราชการ ตลอดจนปราสาทราชฐาน ทั้งในมนุษย์โลกและเทวโลก

    พระพุทธเจ้าก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยพระธรรม จึงดับไฟกิเลสและไฟทุกข์ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แม้ตรัสรู้แล้ว ไม่ทรงเคารพใครหรืออะไรทั้งสิ้น แต่ยังทรงเคารพพระธรรมอย่างเคร่งครัด เมื่อพระพุทธเจ้าเองยังทรงเป็นถึงเช่นนี้แล้ว จะนับประสาอะไรกับพวกเราทั้งหลาย บรรดาที่กำลังทูนกงจักรไว้บนศีรษะ เพราะสำคัญเห็นเป็นดอกบัว ที่จะไม่ต้องอาศัยพระธรรม

    เราทั้งหลายจงมีความสนใจและหันหน้าเข้าหาพระธรรมกันเถิด พระธรรมเป็นของสิ่งเดียวที่สามารถดับไฟกิเลสและไฟทุกข์ให้สิ้นไปจากบุคคลทุกคน ทุกวัย ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกอาชีพการงาน และทุกๆ สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าโลกนี้จะแปรผันไปอย่างไร โลกนี้จะพลิกหัวหกก้นขวิดอย่างไร พระธรรมอย่างเดียวยังคงเป็นที่พึ่งได้อยู่นั่นเอง และเป็นที่พึ่งได้ตลอดไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

    เมื่อความจริงมีอยู่อย่างนี้ ขอเราทั้งหลายจงพยายามเสาะแสวงหาธรรมะมาเลี้ยงใจ เหมือนกับที่แสวงหาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงกายกันจงทุกๆ คนเถิด การเกิดมาเป็นมนุษย์ก็จะมีความประเสริฐสุด สมตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ทุกๆ ประการ ถ้าผิดไปจากนี้แล้ว ก็จะเหมือนไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว

    สาส์นนี้จากเพื่อนพุทธบริษัทถึงเพื่อนพุทธบริษัทด้วยกัน จงช่วยกันส่งให้อ่านให้ฟังต่อๆ กันไปเถิด จักก่อให้เกิดการกระทำชนิดที่เป็นความสะอาด สว่าง และสงบแก่ตัวเรา แก่บ้านเมืองของเรา และแก่โลกทั้งปวง ด้วยอำนาจของพระธรรมนั้นโดยไม่ต้องสงสัยเลย.

    จากธารน้ำไหล เขาพุทธทอง
    วันทำบุญตายาย ๕ ก.ย. ๒๔๙๗
     
  18. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    โอวาทของท่าน ก.เขาสวนหลวง

    "การกำหนดรู้เวทนา"
    ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๕ (กลางคืน)

    วันนี้ได้มีการปรารภเรื่องข้อปฏิบัติ เพราะต่างก็มีความมุ่งหมายที่จะดับทุกข์รวมเป็นจุดเดียวกันทั้งนั้น แต่การที่จะฝึกให้มีสติ ให้มีการพิจารณาเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ จะต้องมีความพากเพียร และมีการประพฤติปฏิบัติด้วยความไม่ประมาท แล้วจิตใจนี่จะได้มีความสงบ ถ้าไปเอาเรื่องภายนอก หรือมีการคิดนึกจากการจำหมายแล้ว มันจะทำให้จิตนี้ไม่สงบ แล้วก็ปรุงเรื่องดีชั่วตัวตนอะไรสารพัด เพราะฉะนั้นจะต้องมีความรอบรู้อยู่ที่จิตอย่าให้ก่อเรื่องวุ่นขึ้นมา ไม่ว่าจะรับรู้ รับฟังอะไร จิตนี้ให้วางเฉยเสีย อย่าไปยึดถือเป็นเป็นจริงเป็นจังเสียหมด ไม่ว่าดีชั่ว ถูกผิดอะไรทั้งหมดก็ต้องวางเฉย การวางเฉยนี่ถ้าทำจนคุ้นเคยมากๆ เข้าก็หมดเรื่อง การที่จะไปเพ่งเล็งคิดนึกปรุงแต่งอะไรนี่ก็จะหยุดหมด

    ทีนี้คำว่า "หยุด" นี้ต้องเป็นการหยุดรู้ตัว หรือว่าเมื่อมีสติตั้งมั่นนั่นแหละเป็นลักษณะของ "การหยุด" คือ หยุดดูหยุดรู้อยู่ในตัวเอง แล้วไม่มีเรื่องอะไรมาก ถ้าไม่มีการพิจารณาที่จะเป็นเครื่องรู้ เครื่องปล่อย เครื่องวางอยู่ในตัวเองแล้วจิตนี้มันก็ถูกปรุงเรื่อย แล้วไปหมายดีหมายชั่วไม่รู้จักจบจักสิ้น ก็ล้วนแต่ทุกข์ทั้งนั้น ทีนี้ถ้าหากมันเพลินไป เพราะว่าไม่รู้ตัว มันก็เลยกระหืดกระหอบอยู่ก็สงบไม่ได้ ว่างไม่ได้ ก็เพราะว่าไม่ได้ตั้งหลักสติให้คุ้มครองจิตใจอยู่ทุกอิริยาบถ ถ้าเป็นการฝึกให้มีสติอยู่ทุกอิริยาบถแล้ว ก็จะทำให้ความรู้สึกภายในจิตในใจนี้มันได้สลัดทิ้งทุกๆ อย่าง ที่มีความหมายอะไรขึ้นมาในที่สุดมันก็ทิ้งไป หยุดไป ว่างไป และสงบไปได้ รวมแล้วก็เป็นชื่ออย่างเดียวกัน ถ้าหากว่าหยุดปรุงได้มันก็สงบหรือว่าหยุดคิดจิตนี้มันก็หยุดรู้ตัวเอง เมื่อสงบแล้วมันก็ไม่มีเรื่องเท่านี้เอง

    ที่มีเรื่องมากมายนั้นมันเรื่องความหลง หลงคิดนึกไปตามผัสสะอายตนะ ทีนี้ถ้าหยุดได้แล้วก็หมดเรื่องไม่ต้องมีการพูดจากันมากมายก็ได้ แต่ถ้าว่ามันไม่ยอมหยุดก็ต้องมีการเพ่งให้รู้ หรือที่ฟังนี้ก็ต้องเอาใจมาฟังด้วย อย่าให้มันเพลิดเพลินไป ให้มันหยุดรู้จิตอยู่เป็นประจำ เรื่องราวอะไรก็หยุดหมด เลิกหมด ปล่อยหมด วางหมด แล้วก็รู้จิตให้ติดต่อ ในลักษณะเป็นปรกติวางเฉยต่อผัสสะได้ทุกๆ ขณะ ถ้าจิตนี้มีความสงบรู้ตัวเองได้มันเป็นอิสระ แล้วความทุกข์ความวุ่นวายอะไร มันก็สลายตัวไปหมด ทีนี้ถ้าไม่รู้เรื่องว่าการหยุดนี้ว่า เป็นการดับทุกข์ หรือพ้นทุกข์ได้ภายในตัวเองแล้ว มันก็เที่ยวแส่ส่ายไปหาเรื่องปรุง เรื่องคิด เรื่อจัดแจงไปสารพัด ซึ่งล้วนแต่จะทำให้จิตไม่สงบทั้งนั้น ถ้ามันรวมรู้เข้ามารู้ตัวเองได้ ก็เป็นการสงบได้แล้วการสงบนี้ก็ไม่ใช่สงบเอาสุข ต้องสงบรู้ทุกข์แล้วก็ปล่อยวางทุกข์ให้ได้ แต่ตัณหามันมายั่วมาแหย่ทำให้จิตดิ้นรนกระวนกระวายขึ้นมา เพราะฉะนั้นจะต้องคอยดับตัณหาที่เวทนา หรือเมื่อเพ่งเวทนาโดยความเป็นของว่างจากตัวตนได้แล้ว ตัณหาก็เกิดไม่ได้ แต่ถ้ายังมีความหมายในเวทนาเป็นความยึดถือว่า เป็นสุข เป็นทุกข์ แล้วก็มีความต้องการแต่ความสุข หรือมีความเพลิดเพลินอยู่กับเวทนาในลักษณะหนึ่งลักษณะใด ตัณหานี้ก็จะก่อเกิดขึ้นมาอีก มันจะมีการอยากจนกระทั่งมีความดิ้นรนออกมา และแสดงความกระวนกระวายในเมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น หรือมีความสุขเกิดขึ้น มันก็อยากจะให้ได้ความสุขนี้มากขึ้นอีก แล้วก็มีความเพลิดเพลินอยู่ในความสุข

    สำหรับเรื่องเวทนานี่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะเป็นเรื่องละเอียด ส่วนเวทนาหยาบๆ นั้นมันขั้นหนึ่ง ทีนี้เวทนาขั้นละเอียดนี้ มันจะต้องพิจารณาให้รู้ให้เห็นว่าเวทนามีทั้งหยาบและทั้งละเอียด ไม่ใช่เป็นเวทนาของเรา เป็นเวทนาของขันธ์ คือว่าให้รู้สึกตามสภาวะของนามรูปที่จะต้องมีเวทนา แต่ควรระวังอย่างเดียวว่าอย่าไปยึดถือเวทนา ให้รู้เวทนาโดยความเป็นของว่างจากตัวตนให้ได้ แล้วก็เป็นอันว่าจิตนี้จะมีการสงบได้ เมื่อจิตไม่แส่ส่ายไปต้องการความสุขแล้ว มันก็สงบได้ แต่ทั้งนี้เป็นของรู้ยาก เพราะตัณหานี่มันคอยปรุงทำให้จิตใจดิ้นรนเมื่อมีเวทนา ถ้าหากว่ามีสติรักษาจิตประจำไว้ก่อน ตั้งมั่นเอาไว้ก่อนแล้ว ตัณหาจะได้ไม่มาปรุงและจะได้ไม่ดิ้นรนกระวนกระวายไปในลักษณะเวทนาที่ปรากฏขึ้น ฉะนั้นต้องดูเฉพาะเวทนาอย่างเดียวก็ได้ ถ้าดูหลายอย่างแล้วมันวุ่น มันไม่สงบ ให้พิจารณาเจาะจงว่า เวทนานี้ สักแต่ว่าเป็นเวทนาของขันธ์เท่านั้น ต้องพิจารณาอยู่ในตัวเองทั้งหมดแล้วก็เอาชนะให้ได้ เพราะว่าตัณหาที่มันจะก่อเกิดขึ้นมาปรุงแต่งจิตนั้นมันเนื่องจากเวทนาเป็นที่เกิดของตัณหา ฉะนั้นจะต้องรู้ให้มันตรงจุดเสียทีเดียว โดยไม่ต้องไปรู้อย่างอื่น ฝึกให้มีสติตั้งมั่นกำหนดรู้เวทนาให้เห็นตามความเป็นจริงขึ้นมาให้ได้ แล้วจิตจะทนได้ วางเฉยได้ ก็ทำให้ตัณหานี้คลายออกไปไม่เข้ามาปรุงจิต ถ้าหากว่ามันเข้ามาปรุงก็ต้องต่อสู้ดูมัน ยังไม่ต้องแก้ไขอะไรทั้งหมด ดูว่ามันจะมีการเสื่อมไปในลักษณะอย่างไร ดับไปในลักษณะอย่างไร ต้องเพ่งดูทีเดียว ซึ่งเป็นการต่อสู้ชนิดที่เพ่งดูแล้วที่เพ่งดูนี่มันเป็นความรู้ของสติปัญญาในตัวเสร็จ แจะต้องดูเวทนาให้ชัด ว่าสักแต่ว่าเวทนาอย่างไรพร้อมกันไป ถ้าว่าโดยเจาะจงแล้ว พระอรหันต์บางองค์ท่านเพ่งเฉพาะเวทนาอย่างเดียว ละอาสวะ ก็คือละตัณหา ทีนี้เรายังไม่กล้าเท่านั้นเอง ถ้ามันกล้าขึ้นมาต้องเพ่งดูเวทนาให้รู้จริง แล้วมันก็จะปล่อยวางได้จะเอาชนะเวทนาได้ หรือว่ามันจะดับตัณหาได้ แต่ต้องทำจริง เพียรจริง รู้จริง ปล่อยวางได้จริง เอาตัวจริงเข้ามาจัดมัน ถ้าไม่เอาตัวจริงเข้ามาจัดแล้ว มันกลับกลอกหลอกหลอนใหญ่ ทำให้หมดกำลัง จิตก็จะอ่อนไป เพราะตัณหาเข้ามาปรุง แล้วทุกสิ่งมันจะทำให้อ่อนแอหมด ทีนี้เอาจริงเข้า กำจัดมันเสียก่อน มันจะมีการปรุงแต่งอย่างไรก็ตาม จะต้องเพ่งดูให้รู้จริงๆ ถ้ามันรู้จริงแล้วก็หยุดได้ ปล่อยได้ วางได้

    ฉะนั้นต้องจับหลัก "ความจริง" นี้เอาไว้ ให้จิตใจนี่มั่นคงอยู่กับความจริง มันจะต้องรู้ความจริง แล้วก็จะต้องปล่อยวางไป ว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นมายา ชนิดที่เคยหลงยึดถือมัน เป็นตัวเป็นตนอะไรก็สารพัดอย่าง ทีนี้จะเพ่งดูให้จริงๆ ว่า เวทนาทั้งหลายจะมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หรือมีการบังคับบัญชาไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นตัวเราไม่ใช่ของเรา ฉะนั้นจะเพ่งดูเวทนาให้รู้ความจริง ทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งไม่สุขไม่ทุกข์ ที่มันจะมีการสลับอย่างไร? เกิดดับเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างไร? ถ้าว่าเป็นการดูโดยเจาะจงแล้ว สติที่รู้โดยเจาะจงนี้ก็จะระงับดับได้ แต่ว่าจะต้องทดลองทำจริงๆ จึงจะได้ เหมือนกับจะนั่งกันชั่วโมงนี้ก็ต้องตั้งสติเพ่งดูเวทนาทีเดียวว่า ที่เนื่องกับกายก็ต้องรู้ว่ากายนี้มันเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม และเวทนาที่เนื่องกับธาตุนี้ ก็เรียกว่ารูปธาตุกับนามธาตุมันรู้สึกกัน ไม่ใช่เป็นตัวเราไม่ใช่เป็นของของเรา นี่ต้องมองมันให้ชัด ให้แยกธาตุออก อย่าไปยึดว่าเป็นตัวเราของเราให้ได้ และลักษณะของกายที่ประกอบไปด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ต้องเพ่งดูให้รู้ทีเดียวว่ามันมีเหตุทั้งสี่ประกอบอยู่อย่างไร? และมันมีการเสื่อมสลายไปอย่างไร? ต้องทำการพิจารณาโดยเจาะจงให้ได้ อย่าจับจดประเดี๋ยวไปรู้อย่างประเดี๋ยวไปรู้อย่างโน้น เป็นความจำความคิด ซึ่งก็ทำให้จิตนี่เลื่อนลอยไปตามอารมณ์แล้วก็ไม่รู้ความจริงอะไรเลย

    เพราะฉะนั้นจะต้องกำหนด การกำหนดรู้ขั้นแรก ก็ต้องกำหนดลมหายใจโดยการกำหนดลมหายใจให้ติดต่อให้ได้ แล้วก็พิจารณาลมหายใจนั่นแหละไปอีกทีหนึ่งว่า ลมหายใจนี้ก็สักแต่ว่าเป็นธาตุ ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตนอะไรทั้งหมด ที่เนื่องกับกายนี้ก็คือธาตุดินที่เป็นโครงร่าง แล้วก็มีธาตุน้ำและธาตุไฟที่เป็นเครื่องอบอุ่น และประกอบกับธาตุลมที่เป็นการเคลื่อนไหวอยู่ นี่ต้องมีการเพียรเพ่งพิจารณากำหนดกาย กำหนดเวทนา ตามรู้ตามเห็นตามความเป็นจริงของมันล้วนๆ เรียกว่าจะดูรูปธรรมก็ต้องดูให้เป็นสักแต่ว่าธาตุล้วนๆ จะดูเวทนาก็ดูสักแต่ว่าเวทนาเป็นนามธรรมล้วนๆ จิตนี้จะรู้และจะมีการวางเฉยมั่นคง นี่ขอให้ทำให้ทำให้มั่นคงอยู่อย่างนี้ ต่อไปก็จะให้รวบรวมความรู้เข้ามารู้จิต ตั้งมาตรฐานของสติ จะกำหนดลมหายใจก็ให้มั่นคงไปในระยะนาน อย่าไปเอาอย่างอื่น เอาให้รู้ชัดให้ได้ว่าเมื่อมีสติมั่นคงแล้ว ก็จะเพ่งพิจารณารู้ได้ แต่ถ้าสตินี้ยังตั้งไม่มั่นคงยังแส่ส่ายแล้ว การพิจารณารูปก็ตาม เวทนาก็ตาม มันจะไม่ชัดแจ้ง เพราะฉะนั้นให้เอาสติเข้ามารู้ลมรู้จิตประกอบ แล้วก็กำหนดเพ่งพิจารณาให้ติดต่ออยู่ทุกลมหายใจเข้าออก จนกว่าจิตจะเป็นอิสระวางเฉย ปล่อยเวทนาได้.
     
  19. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบคุณครับที่เป็นกำลังใจ วันนี้สุขภาพไม่สู้ดี นอนเกือบทั้งวัน จนหายเพลียก็ลุกขึ้นมานี่แหละ กลายเป็นแดร็กคิวร่าไปแล้วครับ
     
  20. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ถ้อยคำล้ำค่า นำพาพบสุข
    ก.เขาสวนหลวง

    เวลาทุกข์เกิดจะต้องกำหนดรู้ทุกข์ เพราะรู้ว่าเป็นของทนยาก เราจะต้องอดทนโดยกำหนดให้รู้ ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ของใครแน่ เราจะต้องกำหนดให้รู้ว่า มันเป็นเองตามสภาพของรูปนาม ถ้าไม่เห็นเช่นนี้ ก็ทำให้จิตยังต้องวิ่งไปหาสิ่งอื่น การกำหนดทุกข์ที่มีขึ้นเป็นของยาก มันมักไม่ยอมให้พิจารณา มักให้ตรึกอยู่อย่างเดียว แต่ถ้าเราอดทนสักหน่อย กำหนดดูว่ามันเป็นทุกข์ของใครแน่ มันแก้ได้หรือไม่ สอดส่องพิจารณาดู เราก็จะรู้ได้ว่าแก้ไขไม่ให้มี ไม่ได้ การแก้ไขจะแก้ได้ก็ชั่วคราว มันเป็นสภาพที่ไม่มีที่สิ้นสุด จงกำหนดใจรู้อยู่กับทุกข์ พิจารณาทุกข์จะมีผลดีกว่าวิธีอื่น

    วิธีนี้เป็นวิธีตรง จะรู้สึกผลได้ภายในจิตใจว่า การไม่รับทุกข์เข้ามา จิตใจมันจะทรงตัวรู้ทุกข์อยู่ที่กาย พิจารณาค้นคว้าหาเหตุผล จนปลงตกว่าเป็นทุกข์ของกาย จนปล่อยวางได้ ก็จะเป็นผลดี ไม่ควรหาวิธีแก้ไขด้วยการกลบเกลื่อนและวิธีที่สุขสบาย ผลของการกำหนดและปล่อยวางได้ มันจะเห็นทุกข์ว่าไม่ใช่ของเรา เป็นการเห็นชัดว่า รูปนามไม่ได้เป็นของเราจริงๆ จึงต้องกำหนดให้รู้ ถ้าไม่กำหนดให้รู้และพิจารณาก็ไม่รู้ได้ การรู้จริงเห็นแจ้งต้องพิจารณาค้นคว้าสอดส่องจริงๆ ถึงต้นเหตุแล้วทำลายเสีย ไม่ใช่สักแต่ว่าพูดเอาว่า รูปัง อนิจจัง เวทนา อนิจจา ฯลฯ แล้วก็จะรู้ ต้องพิจารณาให้ละเอียด เริ่มแต่ รูปประกอบไปด้วยธาตุสี่ และนามมีอะไรบ้าง ทุกสิ่งเป็นอย่างไรไปจนละเอียด

    การรู้กายก็ต้องรู้ เวทนาสุขทุกข์อะไรก็เนื่องจากจิต พิจารณาให้เห็นชัดด้วยปัญญา รู้ตามเป็นจริง แล้วก็จะได้ไม่ยึดถือ การพ้นทุกข์พ้นกิเลสมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ จะเป็นการรู้ถึงว่าพระธรรมให้คุณอย่างไร จงซักซ้อมสิ่งเหล่านี้ให้เข้าใจแล้ว จะเห็นผลว่าดีอย่างไม่มีอะไรเท่า

    ความไม่ยึดทุกข์นั่นแหละเป็นความรู้แจ้ง ได้รับผลคือมีจิตใจรู้ตามเป็นจริง แม้จะมีการเปลี่ยนอิริยาบถ ความรู้เช่นนั้นก็จะรู้ตามเป็นจริงว่า กลุ่มก้อนนี้ไม่ใช่บุคคลตัวตนเราเขา เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร พิจารณาด้วยปัญญาความรู้จริงเห็นแจ้ง ก็จะเป็นธรรมะที่ดี เกิดความสว่างไสว สิ่งที่เคยยึดมาแต่ก่อนเป็นความรู้ผิดเห็นผิด ทำให้ไม่ยึดถืออีกต่อไป ถ้าไม่เด็ดขาดมันก็จะมีการกำเริบขึ้นอีก จึงต้องให้มีหลักรักษาให้ชัดใจ เท่ากับจุดไฟคอยเติมน้ำมันไว้ไม่ให้ดับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...