ประสบการณ์ลี้ลับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 5 พฤศจิกายน 2012.

  1. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    แผ่เมตตาคืออะไร

    พวกเราไม่ว่าชาวบ้านหรือชาววัดก็ยังไม่เข้าใจหรอกว่าแผ่เมตตามันคืออะไร เข้าใจว่าคือการท่องคำแผ่เมตตาแล้วเหล่าสรรพสัตว์จะพ้นทุกข์ จะมีความสุข ดุจที่เรากล่าว มันกลายเป็นประเพณีความเชื่อโดยลืมหาเหตุผลว่าแท้จริงแล้วความรัก ความเมตตาปรารถนาดีต่อกันนั้นมันไม่จำเป็นต้องท่องเป็นคำพูด มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต เราต้องสร้างให้มันเกิดขึ้นจริง ๆ มิใช่เพียงปากพูด ยกตัวอย่างการแผ่เมตตาให้ศัตรู เราคิดว่าเราท่องคำแผ่เมตตาแล้วศัตรูจะได้รับ แล้วจะเกิดความรู้สึกที่ดีกับเรา มันจะเป็นไปได้อย่างไร แม้เราเพียงคิดถึงคนเป็นศัตรูกันเราก็โคตรจะเกลียดมันเลย พยายามทำใจให้รักมันก็รักไม่ลง เพราะสิ่งที่มันสร้างรอยขุ่นเคืองนั้นไม่เคยลืมเลย ถ้าเราเพียงแต่ค้นหาเหตุผลของความโกรธ ความเกลียด ที่มีต่อกัน เราอาจพบปมความจริงและสามารถให้อภัยกันได้ และสามารถสร้างความรู้สึกที่เป็นมิตร มีความปรารถนาดีต่อกันอย่างจริงจัง นั่นแหละคือความเมตตาปราณี

    ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ขณะที่เรากำลังอ่านบทความที่เราโพสต์ ถ้ามีใครมาโพสต์ต่อว่าให้เรา ความรู้สึกไม่พอใจจะเกิดขึ้นทันที นั่นคือความรู้สึกผูกโกรธและความเป็นศัตรูก็เกิดขึ้น หรือถ้าเราอ่านบทความของใคร แล้วมีความรู้สึกไม่ชอบใจ ขัดหูขัดตา ขัดความรู้สึก เราก็เขียนต่อว่าเหน็บแนมเขา ดังนี้ก็ถือว่าเรากำลังสร้างศัตรู จิตของเราเป็นจิตขุ่นเคือง หาเหตุ จองล้างจองผลาญ ไม่มีเมตตาในจิตแม้แต่นิดเดียว เมื่อโพสต์ลงไปคนอ่านเป็นเจ้าของบทความก็เกิดความรู้สึกไม่พอใจ มีความขุ่นแค้นพยาบาทอาฆาตเกิดขึ้น แล้วก็เขียนโต้ตอบ ก็อ่าน ๆ เขียนๆ ด่ากันไปด่ากันมาโดยที่ไม่เคยเห็นหน้าตากันเลย ลองคิดดูสิว่าโง่ขนาดไหน แล้วถ้าเห็นหน้ายืนด่ากันจริง ๆ อะไรจะเกิดขึ้น

    แล้วถ้าเราจะแผ่เมตตาให้กันเราจะทำอย่างไร เราก็แค่พยายามมองเห็นความดีของกันและกัน และให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกัน เมื่อจะออกความเห็นอะไรก็เขียนโดยนุ่มนวล มีจิตปรารถนาดีที่จะออกความคิดเห็น ให้ความเห็นโดยก่อให้เกิดประโยชน์ ถ้าจะเย้าจะหยอกกันก็พยายามทำให้เกิดถ้อยคำที่ดูนุ่มนวลขบขัน ไม่ได้ทำให้เจ้าของรู้สึกเสียหน้า สร้างความเป็นมิตรในจิตใจของเราจริง ๆ นั่นแหละคือเมตตาที่เรามอบให้แก่กัน ให้ถือว่าทุกคนคือเพื่อนพ้องพี่น้องของเรา ดังนี้เราก็รักกันได้อย่างง่ายดาย

    ผมชอบเลี้ยงสุนัข มีคนเอามาให้เลี้ยงก็มี หมาเร่ร่อนมาออกลูกให้เลี้ยงก็มี ผมรักมันทุกตัว หมาบางพันธุ์คนเอามามอบให้อยากให้ดูแลมันเป็นพิเศษ ผมก็ต้องเลี้ยงไว้ในห้อง เวลานอนก็นอนบนเตียงกับผม ตายไปก็หลายตัว เช่นบางแก้วสุดหล่อชื่อขงเบ้ง แฟลตโค้ทชื่อคิงคอง อันเป็นที่มาของชื่อ ล้วนนอนกับผม ขี้เยี่ยวให้ผมเช็ดถูทุกวัน ผมก็ไม่เคยโกรธ เกลียด และรังเกียจ เนื่องเพราะผมรักมัน ตอนนี้ก็มีพิตบูลอีก 2 ตัวที่เสนอหน้าให้เห็นนี่แหละ มันก็นอนกับผม ขี้เยี่ยวให้ผมเก็บ จนบัดนี้อายุ 8 เดือนแล้วมันก็ยังขี้เยี่ยวให้เช็ดถูอยู่ ผมก็ไม่เคยโกรธและเกลียดมัน ก็ยังนอนกอดมันหลับเหมือนเดิม นี่คือความรู้สึกรักและเมตตา ถ้าเราสามารถสร้างความรู้สึกนี้ให้เกิดขึ้นกับคนอื่น ๆ ที่เราสัมพันธ์ด้วยโลกนี้ก็น่าอยู่มาก เราจะรู้จักให้อภัยคนอื่นที่ทำอะไรไมถูกใจเรา แล้วประเทศนี้จะไม่มีเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ทุกคนคือเพื่อนพ้องพี่น้องของเรา
     
  2. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ดูมะหมาสี่ขาไปก่อนนะครับ ทั้งหมาทั้งแมว อยู่กันไปหยอกกันไป กินข้าวด้วยกันได้ ไม่กัดกันหรอกครับ พิตบูลที่ดุที่สุดแม้หมาด้วยกันยังกัดไส้ทะทัก แต่พิตบูลที่นี่ไม่กัดใครแม้กระทั่วแมวก็กินและนอนกับมันได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • RIMG0006.JPG
      RIMG0006.JPG
      ขนาดไฟล์:
      547.8 KB
      เปิดดู:
      68
    • RIMG0007.JPG
      RIMG0007.JPG
      ขนาดไฟล์:
      515.3 KB
      เปิดดู:
      61
    • RIMG0008.JPG
      RIMG0008.JPG
      ขนาดไฟล์:
      705.3 KB
      เปิดดู:
      60
    • RIMG0010.JPG
      RIMG0010.JPG
      ขนาดไฟล์:
      754.4 KB
      เปิดดู:
      62
    • RIMG0012.JPG
      RIMG0012.JPG
      ขนาดไฟล์:
      612.6 KB
      เปิดดู:
      65
    • RIMG0013.JPG
      RIMG0013.JPG
      ขนาดไฟล์:
      672.5 KB
      เปิดดู:
      83
    • RIMG0014.JPG
      RIMG0014.JPG
      ขนาดไฟล์:
      664.5 KB
      เปิดดู:
      73
    • RIMG0015.JPG
      RIMG0015.JPG
      ขนาดไฟล์:
      692.3 KB
      เปิดดู:
      88
    • RIMG0016.JPG
      RIMG0016.JPG
      ขนาดไฟล์:
      613.7 KB
      เปิดดู:
      73
  3. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    มาคอยตอนต่อไปครับ
     
  4. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบคุณครับคุณโรบิน
     
  5. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ผมพักอยู่ที่แก่งระเบิด 1 อาทิตย์ ทุกเช้าผมจะเดินไปที่ท่าน้ำ โยมฟากโน้นเห็นก็จะพายเรือมารับ แล้วพาผมไปรับอาหารตามเรือนแพที่เรียงรายกันประมาณ 10 หลังคาเรือน คนที่นั่นใจบุญกันจริง ๆ เมื่อกลับมาถึงที่พักผมก็แบ่งเอาอาหารแต่พอกิน 1 มื้อ ที่เหลือก็มอบให้โยมเอาไปแจกจ่ายกัน ก็มีชีวิตจำเจอยู่อย่างนี้ได้ 5 วัน พอวันที่ 6 ก็มีหลวงตาองค์หนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ หูใหญ่ยาน หน้าสี่เหลี่ยมกว้าง ริมฝีปากหนาห้อยลงมา ผมควรเรียกหลวงตาห้อยจึงจะสะดวกและจำได้ง่าย หลวงตาห้อยห่มผ้าสีเหลืองเหมือนพระบ้านทั่ว ๆ ไป สะพายย่ามสีเหลือง สะพายบาตร และมีถุงกระดาษติดมือมาใบหนึ่ง ท่านมายังไงไม่รู้ คงมีรถผ่านมาแล้วท่านขออาศัยแล้วเดินต่อมาที่อารามอีกที ท่านบอกมาเยี่ยมญาติ

    โดยปกติผมจะนั่งภาวนาอยู่ชั้นบนมากกว่าเพราะมีที่เดินจงกรม ตั้งแต่ท่านมาพักที่นั่นผมก็ลงไปนั่งอยู่ใต้ถุนทั้งวัน แต่ถึงกระนั้นก็มีลุงขี้เมาคนหนึ่งมานั่งคุยกับท่านทั้งวัน ผมเจอมารอีกแล้ว จึงเดินไปป่าด้านหลังวัด ซึ่งไม่เคยไปสำรวจสักที มันมีต้นไม้สูงใหญ่อยู่หลายต้น แต่ก็รก ไม่รู้จะอาศัยอยู่ตรงไหน จึงเดินไปที่ริมตลิ่ง ก็พอมีลานหินให้นั่งอยู่บ้าง ก็เลยอาศัยลานหินนั้น เมื่อนั่งไป ๆ ก็ได้ยินเสียงเรือหางยาวผ่านไป 2-3 ลำ เสียงมันดังลั่นจนแสบแก้วหู ทำให้เสียงป่าดงพงไพรหายไปทันที จึงชะโงกไปดู ก็เห็นฝรั่งนั่งอยู่บนเรือแต่ละลำ อ้อ ตรงนี้เป็นที่ท่องเที่ยวนี่ ฝรั่งพวกนี้มาจากไหน หรือมาพักอยู่ใกล้ ๆ นี่หรือไง จึงมีเรือพามาเที่ยวถึงที่นี่ ชักจะหงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้วสิ อยู่กุฏิก็มีคนคุยกันอยู่ข้างบน แอบมาข้างริมน้ำก็มีเรือหางยาวแผดเสียงดังสนั่น เอาไงดี จะหนีไปไหนดี แต่ก็ยังรอดูอยู่ว่าหลวงตาจะอยู่กี่วัน ถ้าท่านอยู่นานเราก็จะหนีไปที่อื่น

    พอตอนเย็นก็ขึ้นไปบนกุฏิ ก็นั่งคุยกับหลวงตาบ้าง ก็พอทราบว่าท่านยังไม่มีกำหนดจะไปไหน เพราะท่านชักชอบที่นี่เสียแล้ว อาจจะอยู่อีกนานวัน ก็ปรารภกับท่านว่าผมหาที่สงบที่ไม่มีคนเลยมันช่างหายากหาเย็น จิตของผมวุ่นวายสับสน ภาวนาแบบไหนมันก็ไม่สงบ จึงเดินทางมาทางนี้เพื่อหาที่วิเวก แต่ก็ไม่เห็นมีอย่างที่ผมคิด

    หลวงตาว่า "ท่านต้องไปหาท่านพุทธทาสภิกขุ ที่สวนโมกข์ รู้จักมั้ยครับ" ผมว่า "ผมก็เคยได้ยินชื่อเสียงท่านอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน" หลวงตาว่า"ท่านพุทธทาสมีชื่อเสียงมากนะ ท่านเขียนหนังสือไว้มากมาย ผมยังมีติดมาเลย" แล้วหลวงตาก็ล้วงหนังสือปกบางเล่มเล็ก ๆ 2-3 เล่ม ที่ท่านซุกไว้ในย่ามเอามาให้ดู

    มันก็ประหลาดอยู่นะ ผมเป็นพระนักศึกษา ชอบอ่านหนังสือ แต่ผมไม่รู้จักท่านพุทธทาส ทั้งไม่เคยอ่านหนังสือของท่าน แต่หลวงตาบ้านนอก ท่าทางโบราณมาก ๆ กลับมีหนังสือท่านพุทธทาสอยู่ในย่าม แล้วท่านก็ว่า "มหาเอาไว้อ่านเถอะ หลวงตาอ่านแล้ว" ผมก็ยกมือไหว้กล่าวขอบคุณท่าน

    หนังสือเล่มนั้นกล่าวถึงท่านพุทธทาส และสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฏร์ธานี มีภาพสวนโมกข์ในหนังสืออยู่หลายภาพ ผมอ่านแล้วก็ชอบใจ นั่นแหละคือสถานที่ที่ผมแสวงหา ผมควรไปที่นั่น แล้วจะไปได้ยังไง ค่ารถก็ไม่มี

    วันต่อมาผมก็คุยกับหลวงตาว่า "หลวงตาครับ ผมคงต้องไปอยู่สวนโมกข์แล้วล่ะ ผมชอบที่นั่นเหลือเกิน ต้องขอบพระคุณหลวงตามากที่ชี้ทางสว่างให้ แต่ผมจะไปอย่างไรหนอ เงินทองติดตัวก็มีแค่ 20 บาท ซ่อนไว้ใต้ถลกบาตร เอาไว้เป็นค่ารถไฟกลับวัดเท่านั้น"

    หลวงตาว่า "ถ้ามหาจะไปจริงผมก็พอมีตังค์ช่วยอยู่บ้างนิดหน่อย แต่มันก็ไม่พอนะ มหาต้องไปหาเพิ่มอีก" ว่าแล้วหลวงตาก็ล้วงย่าม เอาตังค์ออกมาให้ 60 บาท บอกว่า "ผมมีอยู่เท่านี้นะ ยินดีให้มหาเอาไปเป็นค่ารถ ผมอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ใช้อะไร บิณฑบาตก็เลี้ยงตัวเองได้ ถ้าต้องการอะไรโยมที่นี่ก็คงพอหาให้ได้ มหารับไปเถอะ "

    ผมก้มลงกราบหลวงตาด้วยความรู้สึกตื้นตัน ถึงแม้ท่านทำให้ผมรำคาญ แต่ท่านก็หาทางออกให้ผม (แต่มาถึงวันนี้ผมรู้สึกว่าหลวงตาองค์นี้ท่านไปหาผมด้วยเจตจำนงส่งเสริมให้ผมไปหาพุทธทาสโดยตรงหรือไม่ ท่านอาจเป็นหลวงปู่หลวงพ่อองค์ใดองค์หนึ่งในดงลี้ลับที่พวกเราทุกวันนี้กล่าวถึงก็ได้ เพราะลักษณะท่านไม่เหมือนคนทั่วไป เสียงท่านใหญ่มาก หูยาวยานลงมา ท่าทางจะเป็นคนที่มีอายุยืนยาวมาก ๆ ในกาลต่อไป สมัยนั้นมันยังไม่มีข่าวคราวเรื่องพระวิเศษในดงอะไรเหมือนทุกวันนี้หรอก แม้นิตยสารเกี่ยวกับพระกรรมฐานก็น่าจะมีเพียงเล่มเดียวคือคนพ้นโลก ของคุณปถัมภ์ เรียนเมฆ แต่ผมก็ไม่เคยอ่าน ดังนั้นถึงจะมีเรื่องเล่าขานพวกนี้อยู่บ้างผมก็ไม่มีทางจะรู้ได้ เพราะแม้ท่านพุทธทาสผมยังไม่รู้จักเลย ผมก็เลยมองท่านเป็นพระหลวงตาบ้านนอกผู้มีรูปร่างเหมือนคนโบราณ
     
  6. Cherry boy

    Cherry boy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    704
    ค่าพลัง:
    +501
    ตามอ่าน นะครับ เรื่องดีๆๆ กำลังสนุกเลย อิอิ.....ว่าแต่ถ้าไม่รบกวน ผม ยังไม่เคย เห็น หลามปากเป็ด เลย อ่ะคับ ถ้ามีรูป ละ อยากชม(deejai)
     
  7. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    อำลาแก่งระเบิด
    เช้าวันต่อมาผมไปบิณฑบาตกับหลวงตาก็ถือโอกาสกล่าวคำอำลาญาติโยม เขาถามว่าจะไปไหน ก็บอกเขาว่าจะไปเยี่ยมท่านวัดเขาพัง มันมีทางลัดที่จะไปมั้ยโยม โยมว่าท่านก็ต้องเดินกลับทางเดิมแหละครับ

    ตกลงผมฉันเช้าเสร็จก็นั่งเรือข้ามฟากมาที่แพแล้วเดินกลับ หลายชั่วโมงอยู่ครับ กว่าจะถึงก็เล่นเอาเมื่อยทีเดียว เพราะคราวก่อนยังแวะวังกระแจะตั้ง 2-3 วัน นี่เดินรวดเลย ดีแต่ว่าสมัยอยู่วัดบ้านต่างจังหวัดเคยพากันเดินไปเที่ยวน้ำตก ไกลตั้งสิบกว่ากิโลเมตรก็เดินกันมาแล้ว เดินไปเรียนหนังสือไกล 4 -5 กิโลเมตรแทบทุกวันก็เคยเดินมาแล้ว เกิดมาเป็นลูกคนยากมันทำให้ทรหดอดทน

    ผมได้ข้อคิดอยู่นะ คนเราที่เกิดมานี้มันมากัน 2 ลักษณะ คือตั้งความปรารถนาลงมาเกิด กับเกิดมาใช้กรรมใช้เวร
    ตัวผมเองมั่นใจว่าผมตั้งความปรารถนาลงมาเกิดในครอบครัวที่ลำบากยากจน แต่ให้มีสติปัญญาเอาตัวรอดได้ และให้มีคนชุบอุปถัมภ์ ดังนั้นถึงผมจะเกิดมาในครอบครัวที่ยากไร้ที่สุด แต่ผมไปอยู่ไหนก็มีคนเลี้ยงชุปอุปถัมภ์ ชาติก่อนผมคงเกิดเป็นลูกท่านหลานเธอ แล้วถูกตามใจจนเสียคน แต่ก็รู้สึกตัว จึงเห็นโทษของการเกิดมาสบายเกินไปทำให้จิตวิญญาณตกต่ำ เมื่อโตขึ้นผมคงได้สร้างบารมีทางศาสนา เมื่อจะตายก็ตั้งความปรารถนาเกิดในครอบครัวยากไร้เพื่อจะได้สร้างบารมี แต่ช่วงที่ลำบากอยู่ผมก็ท้อนะ ไม่พอใจที่เราต้องเกิดมาจน พอมาถึงทุกวันผมกลับภูมิใจที่ผมเกิดถูกแล้ว
     
  8. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ผมไปวัดเขาพัง กราบขอความช่วยเหลือจากท่านเจ้าอาวาส(ซึ่งเป็นคนเหนือ พูดภาษาเดียวกัน)ให้ค่ารถไปสวนโมกข์ ท่านก็ไม่ขัดข้อง ให้มา 120 บาท รวมเงินได้ 200 บาทพอดี ค่ารถไฟไปไชยยาคงไม่ถึง 200 บาทหรอก เพราะพระจ่ายครึ่งราคา แต่ค่ารถตามทางกว่าจะถึงก็คงพอดี ผมค้างที่วัดเขาพังคืนหนึ่ง เช้าวันต่อมาหลังฉันเช้าผมก็ขึ้นรถไปตลาดท่าเสา (ใกล้น้ำตกไทรโยคน้อย) ไปขึ้นตรงไหนอย่างไรก็ลืมไปแล้ว เพราะมันผ่านมาตั้ง 35 ปี แต่จำได้ว่าขึ้นรถสองแถวที่ตลาดท่าเสา ไปลงสถานีรถไฟบ้านโป่ง ราชบุรี

    คนภาคกลางที่พูดภาษากลางแทบทุกจังหวัดล้วนเป็นคนใจบุญ ถ้าพระเณรขึ้นรถของคนไทยภาคกลางเขาจะไม่เก็บค่าโดยสาร แต่ทางเหนือพระเณรและชาวบ้านล้วนต้องเสียค่ารถเท่ากัน คนเหนือนับถือพระแบบประเพณีนิยม หาใช่เพราะเคารพเลื่อมใสไม่ พระมีคุณค่าทางประเพณี รับทานส่งไปให้ผู้ตาย เวลาเผาศพมีพระเณรจูงและสวดศพให้ วัดเป็นศูนย์กลางประเพณีนิยม บวชห่มผ้าเหลืองแล้วก็ถือว่าได้บวช ได้บุญจากประเพณีบวช หาได้จากการบำเพ็ญศีลภาวนาไม่ แต่ถ้าพระเณรองค์ใดได้รับการศึกษาสูง เป็นเปรียญสูง ๆ ก็จะได้รับความเคารพนับถือจากสังคม มันคงเป็นเช่นนี้มานานหลายร้อยปีแล้ว เพราะในสมัยเชียงใหม่เป็นเมืองหลวง ท่านก็สนับสนุนพระไปเรียนถึงลังกา กลับมาก็ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงจากประชาชน ยังไม่เคยพบบันทึกในตำราไหนที่บอกว่าพระอรัญวาสีได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง แต่ถึงแม้มีพระอรัญวาสีก็เพียงอยู่วัดป่าเพื่อค้นคว้าพระไตรปิฎกเท่านั้น หาใช่ภาวนาเพื่อหวังนิพพานตามพระพุทธเจ้าไม่ ถ้าใครเกิดนิพพิทาโลก ไปอยู่ป่านั่งภาวนา ผู้นั้นจะถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้าไปแล้ว เพราะเชื่อกันว่านิพพานสาบสูญไปแล้วจะไปหาได้ที่ไหน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีชนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ให้การเคารพนับถือผู้ที่เข้าป่าภาวนาตั้งแต่เป็นสามเณร เขาเรียกว่าต๋นบุญ เช่นครูบาต่าง ๆ เพราะเชื่อว่าเป็นผู้มีบุญกลับชาติมาเกิด เช่นครูบาศรีวิชัยกลับชาติมาเกิดเป็นต้น

    แต่ทางภาคกลาง ขอให้เป็นพระห่มผ้าเหลืองไปทางไหนประชาชนให้การต้อนรับทั้งนั้น ใส่บาตรให้ฉัน ให้เงินทองใช้ ไปไหนก็ขึ้นรถฟรี ดังนั้นคนปลอมบวชพระจึงหากินอยู่ภาคกลางได้ง่าย จึงมักมีพระธุดงค์ปักกลดอยู่ตามที่ต่าง ๆ บอกใบ้ให้หวย ขายเครื่องรางของขลัง คนภาคกลางก็เป็นลูกค้าที่ดี คนอีสานจำนวนหนึ่งที่ไร้อาชีพก็พากันโกนหัวห่มผ้าเหลืองผ้าขาวเดินบิณฑบาตตามหมู่บ้านร้านตลาดทั่ว ๆ ไป ชาวบ้านก็ไม่ได้ว่าไร มีอะไรก็ใส่ทำบุญให้ทานไปตามจิตอันเป็นกุศล พระได้ไทยทานอะไรไปแล้วจะไปทำอะไรก็แล้วแต่ ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ ชาวบ้านทำแล้วได้บุญ แต่คนห่มผ้าเหลืองผ้าขาวได้บาปได้กรรม

    แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์พุทธศาสนาเราจะพบว่ายุคนี้สมัยนี้แหละที่พุทธศาสนาเจริญงอกงามอย่างถูกต้องที่สุดในประเทศไทย พระเณรเถรชีส่วนมากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ทำเสื่อมเสียนั้นเป็นส่วนน้อยมาก ๆ แต่ที่มันดังนั้นเพราะสื่อช่วยกันประโคมเท่านั้น แต่ก็เพราะสื่อนั่นแหละที่ทำให้นักบวชสำรวมระวังยิ่งขึ้น ที่หน้าหนาก็ยังหนาเหมือนเดิม ไม่ว่ายุคสมัยไหนคนหน้าด้านหน้าหนาก็ยังดื้อด้านเหมือนเดิม ตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชมน์อยู่ก็มีพวกนี้ผสมอยู่มาก ถ้าไม่งั้นจะมีต้นเหตุวินัยบัญญัติหรือ
    และในยุคนี้เช่นกันที่ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปมีความรู้ทางพุทธศาสนาดีที่สุด แม้กระทั่งพระไตรปิฎกก็น่าจะมีชาวบ้านเปิดอ่านมากที่สุด เพราะมันอยู่ในอินเตอร์เน็ตนั่นเอง แม้กระทั่งการภาวนาก็ได้รับความสนใจจากชาวบ้านมากกว่าพระในวัดอีก ดูท่าการพระศาสนาจะเริ่มเปลี่ยนผู้นำจากผ้าเหลืองกลายเป็นผ้าลายเสียแล้ว เพราะแม้ในระดับโลกผู้ที่ประกาศคำสอนของพระพุทธเจ้าได้กว้างขวางที่สุดก็คือฆราวาส ท่านอุบาสกโกเอ็นก้า นั่นเอง ท่านมีสำนักกรรมฐานทั่วโลก แม้ในประเทศไทยยังมีเกือบ 10 สาขา ทั่วทุกภาค หลักคำสอนของท่านเป็นสากลที่นักวิทยาศาสตร์และนักการศึกษาพอใจมาก ๆ เพราะไม่ว่านับถือศาสนาไหนก็ล้วนปฏิบัติตามได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา
     
  9. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบคุณมากครับ ภาพหลามปากเป็ดมีใน sanyasi.org หาอ่านเรื่องงูหลามปากเป็ด
     
  10. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    กลางเดือนมีนาคม เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ เมื่อรถไฟมาถึงจึงมีผู้โดยสารล้นมาถึงบันไดราวกับรถไฟในประเทศอินเดีย คนใต้นิยมขึ้นรถไฟมากกว่ารถยนต์ เพราะถนนลงใต้สมัยนั้นยังไม่ดีพอ การสร้างถนนก็มีอุปสรรคด้วยผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์คอยขัดขวาง มีการฆ่าคนงาน เผารถแทร็คเตอร์ เป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ แต่ผกค.ไม่ค่อยขัดขวางทางรถไฟ เพราะประชาชนอาศัยไปมาเป็นหลัก

    การขึ้นรถขบวนนี้มันลำบากตั้งแต่ก้าวข้ามคนนั่งที่อยู่บันไดขึ้นแล้ว พอขึ้นไปก็ต้องค่อย ๆ แหวกผู้โดยสารที่ยืนอัดแน่นอยู่ช่องทาง ผ่านโบกี้หนึ่งไปโผล่อีกโบกี้หนึ่ง ไม่มีโบกี้ไหนที่พอจะบางตา จนที่สุดก็ลุถึงชั้นสอง ตู้ที่ 1-2-3 ไปจนสุดโบกี้จึงพบที่นั่งว่างอยู่ 1 ที่ จึงนั่งลงตรงนั้นโดยที่ยังถือตั๋วชั้น 3 อยู่ เมื่อพนักงานตรวจตั๋วมาถึงก็เอาตั๋วให้เขาดูแล้วขอเพิ่มค่าโดยสาร มันเพิ่มอีกเท่าไรก็ลืมไปแล้ว จำได้อย่างเดียว เงิน 200 บาทนั้นพอดีกับค่ารถไฟชั้นสอง หมดกันจริง ๆ จึงได้นั่งอย่างมีความสุข ในขณะที่ผู้โดยสารจำนวนมากก็ยังยืนแออัดกันอยู่ นับว่ามีบุญช่วยโดยแท้
     
  11. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ตามปกติรถไฟขบวนนี้ต้องถึงไชยยาเวลา 7.00 น. เป็นเวลาพระบิณฑบาตพอดี แต่วันนี้มันช้าไป 2 ชั่วโมง จึงถึงราว 9 โมงเช้า จะไปบิณฑบาตหาข้าวกินได้อย่างไร นึกดังนั้นก็ใจหายวาบ ๆ ปกติก็กินวันละมื้ออยู่แล้ว ร่างกายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก นี่ต้องมาอดข้าวอีกหรือ ค่ารถก็ไม่มี ถามเขาว่าสวนโมกข์ไปทางไหน ก็เดินไปตามถนนที่เขาบอก เขาว่าอีกประมาณ 6 กิโลเมตรจึงจะถึงสวนโมกข์ โอ้..ต้องใช้เวลาเดินอีกกี่ชั่วโมงหนอ ก็เดินนับก้าววัดระยะทางไป จากหลักกิโลเมตรหนึ่งถึงอีกหลักหนึ่ง ได้ความว่าหนึ่งกิโลเมตรเดินได้ประมาณ 1500 ก้าว ใช้เวลา 15 นาที เดินไป ๆ ก็รู้สึกหนาว เริ่มปวดหัว ไข้ขึ้นซะแล้ว ก็แข็งใจเดิน น้ำดื่มก็ไม่มี ก็ต้องอดต้องทน เดินเกือบถึงสวนโมกข์แล้ว ก็เห็นคนใส่ชุดขาวมายืนอยู่หน้าบ้าน ตอนนั้น 10 โมงแล้ว เป็นไปได้หรือว่ามีคนดักใส่บาตร เมื่อเดินใกล้เข้าไปก็ดีใจ คนรอใส่บาตรจริง ๆ เทวดาจำแลงหรือเปล่าหนอ เวลา 10 โมงยังมีคนดักใส่บาตร ช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ

    คุณยายอายุราวเจ็ดสิบ ใส่เสื้อขาวแขนสั้น นุ่งโจงกระเบน ไว้ผมบ๊อบแบบคุณยายภาคกลางทั่ว ๆ ไป ปากแดงแจ๋ ไทยแท้เชียวเพราะเคี้ยวหมาก แกถือขันข้าวนั่งยอง ๆ ยกขันข้าวจบหัว เมื่อเข้าไปยืนเทียบแกก็ตักข้าวใส่บาตร ได้ 3 ทัพพี แล้ววางถุงแกง 1 ถุง กล้วยน้ำว้าสุก 3 ลูก เมื่อแกใส่เสร็จผมก็กล่าวยะถา..สัพพี..ตามประเพณีของพระ แล้วเดินจากไป อีกประมาณ 1 กิโลเมตรกว่า ๆ ก็ถึงสวนโมกข์ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เดินทางธรรมเทวดาไม่ทอดทิ้ง อยู่ไหนไม่เคยอด
     
  12. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    สวนโมกข์อยู่ติดถนนสายหลักคือทางหลวงหมายเลข 4 ห่างจากไชยยา 6 กิโลเมตร ถนนลาดยางจากไชยยาทอดไปเชื่อมกับทางหลวงสายที่ 4 แล้วผ่านสวนโมกข์ซึ่งอยู่ด้านขวามือ มองแต่ไกลก็เห็นผืนป่าขนาดใหญ่อยู่ติดถนน แล้วค่อย สูงขึ้นไปทางด้านหลังตามลำดับ นั่นคือเขานางเอ สวนโมกข์มีพื้นที่ประมาณ 300 กว่าไร่ ต้นไม้สูงใหญ่เต็มไปหมด เป็นป่าดงดิบหนาทึบที่ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่ นอกนั้นก็ล้วนกลายเป็นสวนป่าของชาวบ้านซึ่งส่วนมากจะเป็นสวนยางพาราติดกันเป็นพืด ตลอดข้างทางจากไชยยาไปสวนโมกข์นั้นเป็นท้องนาข้าว มีบ้านคนนาน สักหนึ่งหลัง พอใกล้ถึงสวนโมกข์จึงมีสวนยาง บ้านคนจะอยู่ในสวนยางเป็นส่วนมาก ที่ติดถนนก็มีบ้านของโยมที่รอใส่บาตรเท่านั้น

    สวนโมกข์สมัยนั้นไมมีรั้วกำแพง ไม่มีประตูวัด คงเป็นทางเข้าวัดโล่ง ๆ ที่ปกคลุมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ แสงแดดส่องไม่ถึงพื้น ตรงเข้าไปซ้ายมือเป็นกุฏิของหลวงพ่อพุทธทาส ลักษณะอย่างไรก็ลืมไปแล้ว เมื่อไปถึงไดเหาน้ำดื่มก่อน เอาน้ำใส่กาแล้วก็เดินไปด้านหลังกุฏิของหลวงพ่อ ไปพบสระน้ำมีต้นมะพร้าวอยู่กลางสระ นั่นคือที่มาของสระนาฬิเก มีมะพร้าวยืนโด่เด่อยู่ตรงกลาง

    ผมปูผ้าอาบน้ำข้างสระ วางบาตรลง นั่งแกะถุงแกงเทใส่ข้าว มันเป็นผัดกระหล่ำใส่หมู รสชาติอร่อยทีเดียว กินอะไรก็คงอร่อยทั้งนั้นแหละ เพราะหิวจนจับไข้ กินข้าวหมดก็ตามด้วยกล้วยสุก 3 ลูก มันอิ่มพอดีจริง ๆ ไม่ขาดไม่เหลือ น่ากลัวเป็นอาหารเทวดาจริง ๆ
     
  13. iamTHA.chincho

    iamTHA.chincho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2009
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +830
    ท่าน Kingkong1 ใช่นามเดียวกันกับ ท่านสันยาสี หรือไม่ครับ เพราะในเวป สันยาสี ผมติดตามอ่านอยู่ครับ แต่ช่วงหลังๆ ในเวปไม่ค่อยได้อัพเดพเรื่องราวสักเท่าไหร่ครับ
     
  14. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    สวัสดีครับ ขอบคุณมากที่ติดตามเว็บสันยาสีครับ

    ผมเป็นคนขี้เกียจนะครับ เลยไม่ค่อยได้เขียนอะไรลงเว็บ ชอบทำอะไรเป็นยุค ๆ ทำ ๆ หยุด ๆ เลยไม่เป็นโล้เป็นพายสักเรื่อง

    เว็บสันยาสีก็มีเรื่องให้อ่านเท่าที่มี ช่วงหลังก็เอาภาพพระเครื่องวังหน้าและวัดระฆังมาลงใหชม ใครชอบพระสองตระกูลนี้เข้าไปชมแล้วไม่ผิดหวัง อีกเรื่องก็เกี่ยวกับสมุนไพรในนามหมอเมือง ก็ได้นำความรู้ต่าง ๆเกี่ยวกับสมุนไพรให้คนได้ศึกษากัน มีถึงปทานุกรมสมุนไพร ใครสงสัยว่าสมุนไพรมีชื่อนั้น ๆ หน้าตาเป็นอย่างไร ก็เข้าไปหาดูได้ในปทานุกรมนั้น
     
  15. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    อัญเชิญขึ้นมาอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ คนจะได้เห็นชัด ๆ อ่านได้สะดวก เชิญอ่านครับ
     
  16. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ฉันเสร็จล้างบาตรตากแห้งดีแล้วก็เก็บใส่ถลกบาตร จึงไปกราบท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านนั่งอยู่ม้าหินหน้ากุฏิของท่านเป็นปกติวิสัย มีไก่แจ้ตัวงามหมอบอยู่ข้าง ๆ เป็นภาพที่คุ้นตาของผู้ไปนมัสการท่าน

    “มาจากไหนหรือ” หลวงพ่อถามอย่างมิตรไมตรี
    “มาจากกรุงเทพ ฯ ครับ” ผมยกมือไหว้เรียนให้ท่านทราบ พร้อมบอกชื่อวัดเสร็จสรรพ “กระผมตั้งใจมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเพื่อเรียนสมาธิวิปัสสนา หลวงพ่อโปรดเมตตารับเป็นศิษย์ด้วยครับ”
    “ผมไม่เคยเป็นครูอาจารย์ของใคร แต่ก็มีคนบอกว่าเป็นศิษย์พุทธทาสเสมอ เราเป็นกัลยาณมิตรกันเถอะ อย่าเป็นศิษย์อาจารย์เลย ใครสนใจจะมาอยู่ปฏิบัติก็มาได้ทั้งนั้น ที่นี่มีสถานที่เอื้ออำนวย แต่มันก็ไม่สะดวกเกินไป คนมาอยู่ต้องอดทน ต้องตั้งใจมาฝึกฝนตนเอง” ท่านหยุดพูดครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ขี่จักรยานเป็นมั้ย ?”
    “เป็นครับ สมัยเป็นเด็กเคยฝึกจนเป็นครับ” ผมยกมือไหว้ตอบท่าน
    “การปฏิบัติสมาธิก็เหมือนการหัดขี่จักรยาน ไม่มีใครสอนใครขี่จักรยานได้ ใครอยากขี่เป็นก็ต้องขึ้นค่อมจักรยานแล้วหัดทรงตัว เริ่มต้นก็ต้องล้มลุกคุกคลาน ถลอกปอกเปิก บางคนก็เจ็บมาก บางคนก็เจ็บน้อย ที่ไม่เจ็บค่อนข้างหาได้ยาก เมื่อหัดทรงตัวทุกวันมันก็ขี่เป็น จนที่สุดก็สามารถปล่อยมือถีบไปได้ บางคนเก่งถึงขั้นหลับตาก็ขี่ไปได้
    การฝึกประคองจิตให้อยู่กับอารมณ์เดียว เช่นกำหนดลมหายใจเข้าออก เริ่มต้นก็เป็นงานที่ยาก เพราะจิตมันชินกับการคิดโน่นคิดนี่ การที่จะให้มันจดจ่ออยู่กับอารมณ์เดียวไม่ใช่ทำกันได้ง่าย ๆ ต้องอาศัยกาลเวลา ต้องตั้งใจจริง ต้องเอาใจใส่จริง ๆ ความตั้งใจและเอาใจใส่นั้นมันต้องแน่วแน่เหมือนเรากำลังหลบดาบที่เขาเงื้อฟันลงมาอย่างสุดแรง ถ้าตั้งใจไม่จริงก็โดนคมดาบแน่นอน
    “แล้วกระผมจะปฏิบัติแบบไหนครับ” ผมถาม
    “แล้วคุณเคยฝึกมาทางไหนล่ะ ก็ฝึกไปตามที่เคยฝึกมา ถ้าหากมันไม่เหมาะกับจริตตัวเองก็ต้องทดสอบเปลี่ยนวิธีการดู อานาปานสติ เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เหมาะกับทุก ๆ คน ก็แค่เอาจิตจดจ่ออยู่กับความรู้สึกที่ลมกระทบที่จมูก จะตรงไหนก็ดูที่ความชัดเจน ค่อยดูมันไปเรื่อย ๆ เริ่มต้นฝึกมันก็เผลอคิดโน่นคิดนี่บ่อย ๆ เป็นเรื่องธรรมดา ก็ต้องตั้งใจทำมันเรื่อยไป สักวันมันก็ต้องได้สมาธิ เหมือนขี่จักรยานนั่นแหละ คนมาอยู่ที่นี่ต้องมีความรู้ที่จะช่วยตัวเองได้ เพราะเราไม่มีครูอาจารย์คอยควบคุมเหมือนสำนักอื่น มีแต่กัลยาณมิตร คุณจะคุยปรึกษาใครก็ได้ คนที่เขาอยู่มาก่อน ฝึกมาก่อนเขาก็มีประสบการณ์ที่ดี”
    นั่นคือคำแนะนำจากหลวงพ่อพุทธทาสที่ใคร ๆ ก็มาฝากเป็นลูกศิษย์ของท่าน และบอกว่าเป็นลูกศิษย์ท่านพุทธทาส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2012
  17. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เที่ยวชมสัตว์ประหลาดกันไปก่อนเนอะ จาก httpboard.postjung.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    หลวงพ่อเรียกพระอุปฐากให้หาที่พักให้ ผมขอที่พักที่อยู่ลึก ๆ ที่คนเข้าไม่ถึง พระอุปฐากพาผมเข้าไปข้างในสุด ติดเชิงเขานางเอ ทางเข้าไปจากโรงฉัน ประมาณ 1000 ก้าว หนทางเดินเล็ก ๆ เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้อยู่ทั้งสองข้าง ตรงไหนมีพระอยู่ก็จะมีร่องรอยของไม้กวาด แต่ยิ่งลึกเข้าไปก็มีแต่ใบไม้ทับถม แสดงว่าไม่มีใครเข้าไป และมันไม่ใช่ทางผ่านที่จะมีใครเดินเข้าไปเที่ยว มีกุฏิไม้ยกพื้นสูงตั้งอยู่ห่าง ๆ กัน มองไม่เห็นกัน เพราะต้นไม้หนาทึบบังอยู่ กุฏิแต่ละหลังมีชื่อคนสร้างติดอยู่ ผมถูกพาเข้าไปพักกุฏิดูเหมือนชื่อประสิทธิ์ พระที่พาเข้าไปชี้ไปข้างในว่ามีกุฏิซ่อนอยู่ตรงนั้นอีกหลัง แต่หนทางเข้าคนละทางกัน พระชาวสิงคโปร์อยู่ตรงนั้น ท่านเป็นด็อกเตอร์นักวิทยาศาสตร์ อายุมากแล้ว นาน ๆ ท่านก็ออกไปข้างนอกที ว่างั้น

    กุฏิแต่ละหลังไม่มีห้องน้ำห้องส้วมนะครับ สมัยก่อนโน้นคนไทยเราไม่นิยมทำส้วมไว้ใกล้ที่อยู่ เพราะส้วมคือหลุมอึ มีไม้พาดปากหลุม มีหญ้าหรือแผ่นไม้บังอยู่ เวลาอึก็นั่งบนแผ่นไม้ อึหล่นลงไปแมงวันก็แตกฮือ มองลงไปก็พบตัวหนอนไต่ยุบยับ นั่นคือยุคก่อนที่เรามีส้วมซึม คือส้วมราดน้ำ ดังนั้นเราจึงยังถือคติไม่สร้างส้วมไว้ใกล้ที่พักถึงจะเป็นส้วมซึมแล้วก็ตาม และก่อนหน้าที่เราจะมีส้วมหลุม คนไทยบ้านนอกอาศัยป่าละเมาะ เวลาปวดอึก็วิ่งไปป่าละเมาะ หักได้กิ่งไม้ระหว่างทางถือติดมือไปเอาไว้แก้งหรือเช็ดรูตูด จึงมีถ้อยคำว่า “ไม้แก้งก้น หรือไม้แก้งขี้”
    คนไทยเราใช้น้ำล้างตูดไม่เป็น ใครปลูกบ้านริมแม่น้ำลำคลองก็จะอึลงแม่น้ำ จึงทำให้โรคระบาดง่าย คนอินเดียมีวัฒนธรรมการอึดีกว่าคนไทย แต่พัฒนาได้ช้ากว่าคนไทย เพราะคนอินเดียรู้จักใช้น้ำล้างตูดตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าแล้ว และมีส้วมหลุมใช้มาตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว แต่มายุคหลัง ท่านมหาตมคานธีชักชวนคนอินเดียอึทิ้งตามที่ทั่วไปเพื่อขับไล่คนอังกฤษให้ออกจากประเทศ เพราะคนอังกฤษเป็นคนสะอาด พอคนอึทิ้งกันทั้งเมือง ไปทางไหนก็เหม็นโฉ่ บ้านเมืองไม่น่าอยู่ ไม่รู้จะแก้อย่างไร เพราะคนอินเดียเชื่อฟังมหาตมคานธี ไม่เชื่อฟังขุนนางอังกฤษ คนอังกฤษก็เลยตัดสินใจทิ้งอินเดีย นั่นแหละอินเดียถึงได้อิสรภาพคืน เพราะคุณของอึแท้ ๆ คนอินเดียก็มองเห็นคุณของการนั่งอึข้างถนนหนทาง บ้านคนอินเดียในยุคหลังจึงไม่ค่อยมีส้วม ใครปวดอึก็วิ่งไปข้างทาง หรือกลางทุ่งนา ถ้าปวดอึพร้อมกันก็ไปนั่งใกล้ ๆ กัน อึไปคุยกันไป ถ้าเป็นเวลาเช้า ๆ ก็มีกิจกรรมเพิ่มขึ้นคือถือไม้สีฟัน เคี้ยวกันไป คุยกันไป อึกันไป เขาไม่อายกัน นั่งจู๋ลากดินให้เห็น ๆ กันอย่างนั้นแหละ น่าสงสารแต่พวกผู้หญิงอินเดีย ต้องฝึกให้ปวดอึเฉพาะกลางคืนเท่านั้น ก็หนีไม่พ้นกลางทุ่งนาหรือข้างทางนั่นแหละ อึเสร็จก็จะมีพนักงานเก็บอึมาเก็บเองอย่างเร่งด่วนคือหมู มันเป็นหมูพันธุ์หมูป่าที่มีอยู่ทั่วไป พวกแขกอิสลามถึงไม่กินหมู เพราะหมูเป็นสัตว์กินอึนี่เอง และพวกอิสลามก็ใช้ชีวิตแตกต่างจากพวกฮินดูในเรื่องฉี่และอึ คือเป็นแขกที่รักความสะอาดมาก แต่เรื่องที่เหมือนกันคือทั้งแขกอิสลามและแขกฮินดูใช้น้ำล้างตูดมาหลายศตวรรษแล้ว นอกจากล้างตูดแล้วพวกอิสลามยังล้างเวลาฉี่ด้วย พวกคนป่าอย่างคนธิเบตอึแล้วแจว ไม่ล้างตูด ไม่เช็ดตูด เพราะพวกเขาติดนิสัยมาจากอยู่บนภูเขาสูงที่หาน้ำได้ยาก และอากาศหนาวมาก จะเอาน้ำมาล้างตูดได้อย่างไร ในฤดูหนาวแม้มือยังไม่อยากถูกน้ำเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2012
  19. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ความที่ไม่มีส้วมใกล้กุฏิ ผมต้องขุดหลุมไว้ใกล้ ๆ หากระดาษหนังสือพิมพ์มาปิดไว้ เอาไว้ใช้เวลาฉุกเฉินโดยเฉพาะกลางคืน เพราะผมไม่มีไฟฉายใช้แล้ว (ถ่านหมด ไม่มีตังค์ซื้อครับ) แต่จุดที่จะขุดได้มันก็ต้องใกล้กุฏิจริง ๆ นอกนั้นล้วนเป็นป่าเต็มไปด้วยต้นไม้เล็กใหญ่แลใบไม้ เต็มไปด้วยมดปลวก

    ผมไปวัดป่ามาทั่วประเทศ สวนโมกข์คือป่าจริง ๆ ครับ ป่าที่คนสมัยใหม่ไม่มีโอกาสได้พบเห็นนอกจากเดินลุยเข้าไปในเขาใหญ่ หรือทุ่งใหญ่นเรศวร จึงมีโอกาสได้พบบรรยากาศเช่นนั้น เพราะนอกจากสภาพต้นไม้เป็นป่าแล้ว สวนโมกข์ยังเต็มไปด้วยสัตว์ป่าธรรมชาติหลายชนิด บนต้นไม้อุดมไปด้วยกระรอกส่งเสียงร้องทั้งวัน กระรอกใหญ่สีดำขนาดแมวเวลาร้อง คว๊าก ๆ ๆ เสียงดังน่ากลัว เวลามันกระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปต้นหนึ่ง กิ่งไม้จะไหวยวบยาบ เสียงบ่างใหญ่ร้องยามค่ำคืนฟังแล้วขนลุกทีเดียว ลิงกังฝูงใหญ่หากินอยู่ใกล้กุฏิของผม ค่างสีเทาหน้าแว่นอาศัยต้นไม้ข้างกุฏิผมหากิน มันมาเกือบทุกวัน ห้อยโหนอยู่แถว ๆ นั้น กระจง สัตว์ที่มีลักษณะคล้ายเนื้อทรายหรือละมั่ง แต่ตัวเล็กกว่าสุนัขอีก ก็หากินอยู่ใกล้ ๆ กับกุฏิ เหี้ย ตระกวด เดินเพ่นพ่านอยู่ไปมา งูเห่า งูจงอาง งูกะปะ มีอยู่ทั่วไป งูจงอางเลื้อยผ่านใต้กุฏิของผมขณะที่ผมนั่งอยู่แผ่นหินหน้ากุฏิ ตัวมันใหญ่ขนาดแขน ความยาวมากกว่า 2 เมตร เห็นแล้วขนลุกซู่ที่เดียว แต่เห็นมันเพียงครั้งเดียว ส่วนงูเห่าพบแทบทุกวันเวลาออกบิณฑบาต เจอกันระหว่างทาง มันหยุดปุ๊บ ชูหัวแผ่พังพานเตรียมพร้อมโจมตี เราก็ต้องหยุดนิ่ง พอมันรู้ว่าไม่มีอันตรายไร้ศัตรูมันก็ค่อย ๆ เลื้อยผ่านไป

    วันแรกที่สวนโมกข์ ผมทั้งพอใจและหวาดกลัวระคนกัน เพราะผมได้ป่าอยู่ตามใฝ่ฝัน แถมมีกุฏิอยู่ในป่าใหญ่ด้วย ไม่ต้องไปปักกลดนอนกลางดินกินกลางทราย แต่ป่าสวนโมกข์กลับทึบจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ถ้าเกิดเหตุร้ายจะเรียกร้องหาใคร เพราะแถวที่ผมอยู่ ระหว่างทางเดินถึงแม้พบกุฏิอยู่หลายหลัง ก็ไม่มีพระอยู่สักหลัง
     
  20. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ผีเด็กร้องโหยหวน
    เมื่อตะวันชิงพลบแล้ว ในป่าสวนโมกข์นั้นยิ่งมืดกว่าธรรมดา สิ่งที่ผมผจญวันแรกคือเสียงร้องโหยหวนเหมือนเสียงเด็กน้อยร้องไห้ มันดังอยู่ไม่ไกลนัก ขนหัวขนตัวผมลุกชันแล้วชันอีก ต้องพิจารณาใคร่ครวญอยู่ตั้งนาน จึงจับได้ว่ามันเป็นเสียงร้องของแมลงมีปีกชนิดหนึ่งคล้ายตั๊กแตน หรือแมงฟ้าฟัน หรือพวกจิ้งหรีดป่า เมื่อพบความจริงก็คลายความหวาดกลัว เวลากลางคืนยังไม่กล้าเดินจงกรมอยู่ลานข้างล่าง ยังกลัวงู ตะขาบ แมงป่อง ที่หากินกลางคืน เราไม่มีไฟฉาย ไม่มีเทียน อาจเดินเหยียบมันได้ และมันก็ต้องกัดเราแน่นอน ก็ต้องทนนั่งอยู่บนกุฏิ นั่งนานก็ต้องลุกยืน หรือเดินในที่แคบ ๆ เพราะลักษณะกุฏิของสวนโมกข์คือบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ยกพื้นสูง มีห้องนอน มีประตู และมีชานนอกแคบ ๆ ไม่เหมือนกุฏิของวิเวกอาศรมซึ่งมีระเบียงโดยรอบห้องนอน เมื่อนั่งนานก็สามารถเดินรอบห้องได้ (ถ้าผมสร้างกุฏิกรรมฐานผมจะทำได้ดีที่สุด เป็นที่พอใจของผู้บำเพ็ญภาวนาที่สุด เนื่องเพราะผมมีประสบการณ์)

    การภาวนาก็ยังเหมือนเดิม ความคิดยังโลดแล่นโดยจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อพองหนอยุบหนอไม่สงบ ก็เปลี่ยนไปใช้พุทโธ ๆ ๆ แบบถี่ยิบ ก็รู้สึกเหนื่อยมาก ไม่เชื่อลองดูก็ได้ นั่งเอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก แล้วท่องในใจ “พุทโธ ๆ ๆ ๆ “ โอ้..เหนื่อยแทบขาดใจ ทำได้ไม่นานก็เลิก หาความสุขไม่ได้เลย แล้วก็เปลี่ยนไปนึกถึงลูกแก้วใจกลางลำตัว อันเป็นแนวกรรมฐานของธรรมกาย ซึ่งเคยอ่านมาตั้งแต่เป็นเณรน้อย ทำไป ๆ ก็ไม่ถูกใจอีก ก็เปลี่ยนมา “พองหนอ ยุบหนอ” สลับกันไปมา เอาดีทางไหนไม่ได้สักอย่าง จนถึง 4 ทุ่มก็นอน ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตี 3 ลุกขึ้นมาบ้วนปากล้างหน้าก็นั่งต่ออีก ก็ตรงต่อหน้าที่ดีอยู่ เพียงแต่มันยังทำจิตให้สงบไม่ได้ ใจก็ยังเป็นทุกข์ เคร่งเครียด แห้งผาก สถานที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญเสียแล้ว ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนใจเราก็ยังคิด ๆ ๆ จนควบคุมไม่ได้ เราเหมือนหมาขี้เรื้อนที่ท่านกล่าวไว้ในหนังสือวิสุทธิมรรคจริง ๆ

    ก่อนหน้าที่จะเข้าป่านั้น หลังจากกลับจากวิเวกอาศรม ผมค้นหาตำราฝึกจิตอ่านหลายเล่ม วิสุทธิมรรค 9 เล่ม ผมอ่านจนจบ ผมหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี ค้นพบหนังสือวิธีฝึกอานาปานสติของปตัญชลี ตำราของฤาษีที่มีคนแปลเป็นภาษาไทย เล่มหนาปึ๊ก ผมก็อ่านจนจบ จึงรู้หลายวิธี แต่ใช้ไม่ได้สักวิธี ทั้งนี้เพราะจิตของผมโหยหาความสงบจนเกินไป มันเป็นตัณหาในเรื่องดี แต่มันก็เป็นตัณหา เป็นความทุรนทุรายของจิต มันไม่เป็นธรรมชาติ แล้วมันจะสงบได้อย่างไร

    ในวิสุทธิมรรคท่านเปรียบจิตที่ฟุ้งซ่านไว่ว่า “มีสุนัขตัวหนึ่งมันเป็นขี้เรื้อน มันคันมาก เกาจนหนังถลอกปอกเปิกมันก็ยังคันอยู่ มันวิ่งหนีเข้าในโพงดินมันก็ยังคัน หนีไปอยู่จอมปลวกมันก็ยังคัน หนีลงน้ำก็ยังคัน หนีไปซุกอยู่ในโพรงไม้มันก็ยังคัน ทั้งนี้เพราะเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการคันมันฝังอยู่ในผิวหนังนั่นเอง

    จิตของเราก็เช่นกัน ตราบใดที่ความอยากความหวังมันรุมแทะจิตใจก็อย่าหวังเลยว่าจะพบกับความสุขสงบ ต่อเมื่อใดที่เลิกหวังเลิกอยาก ความสุขสงบก็จักเกิดขึ้นเอง ความเร่าร้อนกระวนกระวายก็จะหายไปเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...