ประสบการณ์ลี้ลับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 5 พฤศจิกายน 2012.

  1. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    หลวงพ่อบวชเป็นสามเณรอยู่วัดป่าสาลวันนี่แหละ ในวัดมีทั้งพระและแม่ชี แม่ชีนอกจากมาอยู่บำเพ็ญศีลภาวนาแล้วก็ยังช่วยทำอาหารถวายพระด้วย

    แม่ชีคนหนึ่งเป็นคนในละแวกไม่ไกลจากวัดนัก แกมีลูกกำลังรุ่นสาวคนหนึ่งมาเยี่ยมแม่ทุกวัน หลวงพ่อก็เห็นแทบทุกวันโดยไม่ได้คิดอะไร ผ่านไป ๆ ก็รู้สึกตัวเองว่ามันมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นในความรู้สึก วันไหนถ้าเด็กสาวคนนั้นไม่มาก็ให้รู้สึกว้าเหว่ หัวใจมันแห้งผาก หายใจไม่อิ่ม ใจหายวาบ ๆ วันไหนถ้าเธอโผล่เข้าวัดมา ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วก็รู้สึกตื่นเต้น อยากเห็นหน้า อยากพูดอยากคุยด้วย แล้วต้องพยายามหาโอกาสที่จะได้พูดได้คุยด้วย ยิ่งผ่านวันอาการก็ยิ่งหนัก รู้สึกตัวว่ารักเขาเข้าแล้ว ขาดเธอไม่ได้ หัวใจเหมือนเป็นไข้หนัก อยากบอกเหลือเกินว่าฉันนะรักเธอเข้าแล้ว แต่จะบอกได้อย่างไร เราเป็นนักบวชผู้ทรงศีล บวชรักษาศีล บำเพ็ญภาวนา มุ่งหวังพระนิพพาน แล้วจะมาบอกรักสาวได้อย่างไร ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม มันอึด ๆ อัดอยู่ในหัวอก

    หลวงพ่อก็เล่าไป ๆ เล่าให้เหมือนความรู้สึกของผมผู้กำลังฟังท่านอยู่

    จนที่สุดหลวงพ่อก็คิดว่า "เอาล่ะ กูจะไม่ยอมแพ้มึง กูหลงรักมึงกูก็จะเอามึงนี่แหละทำกรรมฐาน" คิดได้ดังนั้นรุ่งเช้าวันต่อมา หลวงพ่อไม่ออกไปบิณฑบาตกับพระ บอกท่านว่าจะอดอาหาร ขอไม่ไปบิณฑบาต แล้วหลวงพ่อก็เข้าห้องปิดประตู ตั้งจิตอย่างแน่วแน่ว่า ถ้ากูไม่หายรักกูจะนั่งภาวนาให้มันตายไปเลย ข้าวน้ำกูก็จะไม่กิน"

    "กูรักมึงกูก็เอาชื่อมึงนี่แหละมาภาวนา กูรักมึงกูก็เอาหน้ามึงนี่แหละมาเป็นนิมิต" หลวงพ่อก็นั่งนึกถึงใบหน้าของเขา ท่องชื่อของเขาเป็นคำบริกรรม ทำอยู่ตั้งนาน จนที่สุดใบหน้านั้นก็ค่อย ๆ ชัดขึ้น ๆ ๆ เหมือนเห็นด้วยตา โอ้..เธอช่างสวยเหมือนนางเทพธิดา หลวงพ่อก็จ้องเพ่งดูความสวยงามของภาพนั้น เมื่อเราเพ่งมองนาน ๆ เข้ามันก็๋ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง จากสาวสวยก็ค่อย ๆ ปรากฎความแก่ จากสาวน้อยเป็นสาวใหญ่ เป็นคนแก่ เป็นคนเฒ่า จนเดินหลังค่อม จากนั้นร่างนั้นก็ล้มลงตาย ค่อยปรากฎอาการเน่าขึ้นอึด หนอนปรากฎขึ้นจากไม่กี่ตัวก็โดนหนอนไซเข้าไซออกยุบยับ แล้วร่างก็ค่อย ๆ แห้ง เหลือเป็นโครงกระดูก แล้วค่อย ๆ แยกส่วนกระจัดกระจายเป็นเศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลวงพ่อดูก็เกิดความสลดสังเวช นึกว่าถ้าเธอเป็นกองกระดูกอย่างนี้ฉันจะรักเธอไหมนะ ก็ได้คำตอบว่าไม่รัก ก็เลยรู้ว่าที่เรารักนั้นคือรักหนังหุ้มกระดูกนี่เอง

    หลวงพ่อก็สามารถสลัดความรักได้โดยวิธีนี้แหละ ท่านพูดจบก็หยิบหมากพลูป้ายปูนใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ

    ผมฟังแล้วก็คิดตามแล้วถามตัวเองว่า ถ้าเธอเป็นกองกระดูกอย่างนี้ฉันยังจะรักเธออยู่มั้ย ก็ได้คำตอบว่าถึงแม้เธอจะเป็นผีไม่มีตัวตนฉันก็ยังรักเธอไม่เสื่อมคลาย

    โอ้...ความรู้สึกรักนี่ทำไมมันรุนแรงขนาดนี้ ผมก็เลยไม่สามารถเลิกรักได้ในตอนนั้น และความรักนั้นก็ฝังแน่นอยู่หลายปี จนมันค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลาและความห่างเหิน มันไม่มีอะไรเที่ยงจริง ๆ ไม่ได้เห็นกันเป็นสิบ ๆ ปี อะไรมันจะหลงเหลืออยู่ จนทุกวันนี้มันก็เป็นเพียงแผลเป็นที่ถูกสะกิดโดยไม่เจ็บปวด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2012
  2. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ผมว่าชีวิตนี้มันก็มีอะไรแปลก ๆ อยู่นะ ผมก็ประสบความมหัศจรรย์ทางจิตของหลวงพ่อพุธมากับตัวเอง ผมก็เป็นผู้สนใจภาวนา ตั้งใจว่าชาตินี้จะเอานิพพานให้ได้ แล้วไฉนผมไม่ฝากตัวเป็นศิษย์อยู่ภาวนากับหลวงพ่อพุธเสียเล่า ผมว่าเราทุกคนถูกขีดเส้นให้เดินนะ เมื่อมันยังไม่ถึงเวลาอะไรมันก็ไม่เกิดไม่เป็นดังที่เราต้องการ ผมก็อยากไปอยู่กับท่านนะ แต่ช่วงนั้นผมก็มีหน้าที่ต้องทำในวัดใหญ่ที่ผมอยู่ เพราะหน้าที่นี้เองที่มันดึงผมไว้ เพราะก่อนหน้านั้นผมก็หนีไปอยู่ป่าเกือบปี ไปนั่งภาวนาอยู่ใต้เงื้อมหินในดงคอมมิวนิสต์ ในขณะที่เบื้องบนมีเครื่องบินบินว่อน เสียงปืนดังรัวจากเครื่องบินหลายลำสู่ภาคพื้นที่คิดว่าผู้ก่อการร้ายหลบอยู่ ผมก็คนหนึ่งที่นั่งภาวนาอยู่ใต้กระบอกปืนนั้น ความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเอาดีทางภาวนามันมีมากขนาดนั้น แต่ทำไมผมไม่สามารถฝืนลิขิตฟ้าได้ จนที่สุดผมก็เปลี่ยนเพศมาเป็นชาวบ้าน แล้วมุมมองชีวิตหลาย ๆ อย่างของผมก็แปรเปลี่ยนไม่เหมือนเดิม แต่ก็ยังเป็นคนชอบภาวนาอยู่เหมือนเดิม แต่ความสงสัยมากมายไม่มีแล้ว เพราะผมได้ออกมาเรียนรู้ชีวิตฆราวาสนั่นเอง

    มันมีหน้าที่สำคัญให้ผมทำอยู่นะ ผมจึงมาเป็นอย่างนี้ ตราบใดที่ผมยังไม่บรรลุเป้าหมายผมก็ยังไม่ตายหรอก พญายมราชก็ยังไม่ยินยอมให้ผมตาย ท่านบอกผมเองว่าท่านยังไม่ให้ผมตาย (เพราะพญายมราชก็คือองค์เทพจิตรา หรือท้าวกุเวรนั่นเอง อ่านเรื่องของท่านได้ใน sanyasi.org)
     
  3. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    คนที่เกิดมาในโลกนี้มีหลายพันล้านคน มีอยู่จำนวนหนึ่งที่ถูกส่งลงมาเพื่อทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งโดยเฉพาะ ในขณะที่นอกนั้นเกิดมาตามยถากรรม คือเกิดมาตามกรรมตามเวร มาใช้หนี้กรรมหนี้เวร ยกตัวอย่างคนที่อยู่อำเภอปากช่องมีจำนวนหลายแสนคน มีจำนวนหนึ่งที่ทางบ้านเมืองส่งลงมาทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่ง นอกนั้นเป็นประชาชนพลเมืองของปากช่อง

    ผมเคยอ่านเรื่องที่กลุ่มคุณ Chayutt แปลมาจากภาษาอังกฤษ ได้พูดถึงการมาเกิดในโลกนี้ของคนบางคนว่ามีเจตจำนงที่เกิดมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่บางอย่าง เช่นขี้เมาคนหนึ่งเกิดมาเพื่อมาชักนำอดีตสหายที่มาเกิดเป็นทนายความแต่ตระหนี่ถี่เหนียวเหลือเกิน ต้องให้ขี้เมาคนนี้มาหาทางให้เป็นคนใจบุญช่วยเหลือผู้อื่น แล้วทนายความคนนั้นก็จะกลายเป็นคนสำคัญกับสังคมขึ้นมา ผมว่าเรื่องแบบนี้มันลงรอยกันได้

    แท้จริงมันก็เกิดมาใช้กรรมเหมือนกัน แต่มันใช้กันคนละอย่าง คิอบางคนทำหน้าที่สำคัญ แต่บางคนก็คือใช้กรรมจริง ๆ คือใช้เวรใช้กรรมที่ทำกับเขามานั่นเอง
     
  4. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ความเป็นไปของโลกใบนี้ถูกเบื้องบนล่วงรู้อยู่ก่อนแล้วนะครับ เมื่อถึงช่วงใดช่วงหนึ่งที่จะเกิดปัญหาใหญ่แก่โลก ทางเบื้องบนก็ส่งเทพองค์สำคัญลงมาเกิดเพื่อแก้ปัญหานั้น แต่เทพองค์นั้นเมื่อสร้างกุศลสร้างบารมีครั้งใดก็อธิษฐานเพื่อความเป็นหน้าที่นั้น ดังนั้นเมื่อถึงวาระที่ต้องทำหน้าที่เช่นนั้นทางสวรรค์ก็ประชุมกันแล้วส่งท่านลงมาเกิด ดังเช่นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้มีบารมีเต้มเปี่ยมแล้วมักได้รับการคัดเลือกให้ลงมาทำหน้าที่ในเมืองมนุษย์ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณบ้าง ผู้นำประเทศใดประเทศหนึ่งบ้าง เพื่อช่วยเหลือประชาชนพลเมืองของตนให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก แต่ถ้าบารมีไม่ถึงพระโพธิสัตว์ก็ถูกส่งลงมาช่วยพระโพธิสัตว์ หรือมาทำหน้าที่อื่น ๆ ที่เหมาะสมกับความสามารถของตน

    ดังนั้นคนเราทุกคนควรภูมิใจที่ได้เกิดมา และควรทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด
     
  5. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    โลกนี้แต่ไหนแต่ไรมันมีวิญญาณอยู่ 2 กลุ่มที่แย่งกันเป็นใหญ่ คือฝ่ายเทพกับฝ่ายมาร ต่างขับเคี่ยวเป็นฝ่ายรุกฝ่ายรับกันอยู่มาหลายยุคสมัย

    มาร หรือซาตาน เกิดมาเพื่อเป็นใหญ่ เสวยอำนาจ ครอบงำ เอารัดเอาเปรียบ
    เทพ หรือโพธิสัตว์ เกิดมาเพื่อประโยชน์สุขของคนหมู่มาก ช่วยเหลือสังคมให้มีความสงบสุข

    แต่ทั้งมารและเทพต่างก็มีลีลาที่จะสร้างความเชื่อถือให้เกิดขึ้น จึงยากที่สามัญชนจะรู้ว่าใครเป็นมาร ใครเป็นเทพ โลกนี้จึงแบ่งเป็นสองฝ่ายอยู่เสมอ ทุกยุคสมัย ก็รบรากันไป จนกลายเป็นตำนานเทพ รามเกียรติ์ อสุรสงคราม จนมาถึงยุคเสื้อเหลือง เสื้อแดง
     
  6. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เรื่องแปลกตอนอยู่ป่า

    มีเรื่องแปลก ๆ ที่ไม่เล่าแล้วจะหายไปจากบรรณพิภพ นักเขียนเจอเองแล้วไม่เล่า ก็เสียท่าหมดสินะ

    ผมไปอยู่สวนโมกข์เมื่อต้นปี 2521 ก่อนหน้านั้นผมเดินดงอยู่ป่าเมืองกาญจนบุรี เพื่อแสวงหาป่าที่สงบ มีต้นไม้ใหญ่ มีแม่น้ำไหลผ่าน บรรยากาศชุ่มชื้น สดชื่น เฮอะ ๆ ผมฝันตั้งแต่อยู่วิเวกอาศรม ชลบุรี ผมนั่งพองหนอยุบหนออยู่ร่วมเดือน จิตใจว้าวุ่นสับสน ไปสอบอารมณ์กับพระจารย์ ท่านให้บริกรรมว่า "คิดหนอ ๆ ๆ" ยิ่งบริกรรมมันก็ยิ่งสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก ผมเหมือนคนบ้า หลวงตาที่อยู่กุฏิใกล้กันนั่งโขลกยา โขลกไปก็คุยกับหมาไป ผมได้ยินก็สุดรำคาญ ใจผมตอนนั้นนะอยากอยู่ในสถานที่ไม่มีเสียงอะไรเลย ไม่มีผู้คนเลย ผมคิดว่าสิ่งแวดล้อมที่เป็นคนและเสียงคนมันชักชวนให้คิดมาก ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้เราน่าจะทำจิตให้สงบเร็วขึ้น ผมจึงลาอาจารย์กลับกรุงเทพ ฯ เตรียมบาตรซื้อกลด(อันเบ้อเริ่มจากร้านแถววัดสุทัศน์ แบกจะไม่ไหวอยู่แล้ว) แล้วก็ขึ้นรถไฟจากสถานีบางกอกน้อย ข้างโรงพยาบาลศิริราช พอถึงเขตป่าเมืองกาญ ฯ ผมก็ดูหาที่เหมาะ ๆ ว่าจะลงตรงไหน จนไปถึงสถานีหนองบัว หรือบัวชุม นี่แหละ จำไม่ถนัด มองไปเห็นภูเขาเขียวชะอุ่ม แต่ไกลโขอยู่ ลงแถว ๆ นี้แหละ แล้วเดินไป คิดดังนั้นก็เตรียมตัว

    พอถึงสถานีก็ลง แถวนั้นไม่เห็นมีบ้านคน มีทางดินสีแดงมุ่งไปทางภูเขาที่มองเห็นลิบ ๆ โน่นแหละ ก็เดินไปทางนั้น มันพาไปสิ้นสุดที่แม่น้ำใหญ่เรียกแควน้อย หรือแควใหญ่ก็ไม่ทราบชัด เห็นพวกเด็กผู้ชายวัยสิบขวบ 3-4 คน เล่นน้ำอยู่ มีเรือด้วย ก็เลยขอให้เอาเรือส่งข้ามฟากหน่อย พวกเด็กน้อยบอกว่าเรือรั่วครับ หลวงพี่นั่งก็ไปล่มตรงกลางน้ำพอดี หลวงพี่เดินข้ามก็ได้ครับ ตรงโน้นครับ ลึกแค่อกเอง เดินลุยไปเลยครับ

    ผมก็เดินลัดเลาะไปตรงที่เด็กชี้ ก็เปลื้องจีวรม้วน ๆ วางบนบาตร ยกชูเหนือศีรษะทั้งบาตร กลด และกาน้ำ แค่นั้นแหละสมบัติที่ถือไป ย่ามก็ไม่มี ของบางอย่างก็ใส่ในบาตร ซึ่งเป็นบาตรเหล็กใบเล็ก ๆ ขึ้นสนิมง่าย (สมัยนั้นหาบาตรแสตนด์เลสยาก ราคาลูกละ 700-800 บาท เอาตังค์ที่ไหนซื้อ ก็เอาเท่าที่มี ตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้าอยู่แล้ว)

    เดินลุยลงไปในน้ำที่ใสจนเห็นทราย แต่มันลึกถึงอกเชียวนะ พอขึ้นฝั่งก็เปียกหมด เหลือแต่จีวร แถวนั้นไม่มีบ้านคน เดินแอบเข้ามุมป่าแน่ใจว่าไม่มีคนเห็นก็พับจีวรแทนผ้านุ่ง เอาสบงและอังสะมาบิดเอาน้ำออก แล้วนุ่งหมาด ๆ จีวรพาดบ่า สะพายบาตร แบกกลด ถือกาน้ำ เดินไป ๆ ไม่นานผ้าสบงก็แห้ง

    เชื่อมั้ย ผมผอมมาก ๆ น้ำหนักประมาณ 45 ก.ก. ตาลึกโบ๋ หนังหุ้มกระดูก แบกกลดอันเบ้อเร่อ ท่าทางน่าตลก นึกไปก็เหมือนสามเณรบุนนาคท่องกรรมฐาน แต่ตอนนั้นยังไม่ได้อ่านเรื่องของท่านนะ ถ้าได้อ่านคงลุยกว่านี้แน่

    แล้วมันเรื่องอะไร เป็นเด็กเป็นเล็ก ไหงมาเดินดงบุกป่า อะไรบันดนบันดาล

    เอ๊า..จะเล่าย้อนเสียหน่อย เผื่อท่านผู้อ่านจะได้เกิดนิพพิทาไปกับผมด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2012
  7. อดีต อนาคต

    อดีต อนาคต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +41
    มารออ่านครับ.......
     
  8. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบคุณคุณwiwat_53 ที่มารออ่านและให้กำลังใจ

    ปี 2520 นั้น ผมเป็นนักศึกษาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยสงฆ์ วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ก็เรียนผ่านไป 1 เทอม อย่างยากลำบาก มันไม่ลำบากตรงเรียนหรอก แต่ลำบากตอนเดินทาง พอฉันเพลเสร็จพวกเราต้องไปรอขึ้นรถข้างทำเนียบรัฐบาล รถสาย 201 จะผ่านสายนี้ แล้วผ่านท่าพระจันทร์ ไปสิ้นสุดที่ท่าช้าง จึงสะดวกที่สุด แต่ที่ไม่สะดวกคือรถมันไม่ว่างสักที ต้องยัดเยียดกับชาวบ้าน พอขึ้นไปก็พบผู้หญิงนั่งอยู่เบาะหลัง ซึ่งพระเณรก็นั่งได้เฉพาะเบาะหลังเท่านั้น เราก็ต้องไปเบียดเบียนชาวบ้านอีก ผมก็ทนเรียนมาได้เทอมหนึ่งแล้วนะ บางวันผมเดินจากวัดของผมไปวัดมหาธาตุก็เคย เพราะสมัยอยู่บ้านนอกผมก็ไม่เคยไปอยู่วัดในเมือง ก็เดินจากบ้านนอกไปเรียนในเมือง ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ทุกวัน เพราะไม่มีค่ารถนั่นเอง จนคนแก่ที่ไปวัดทุกวันพระสงสารต้องเก็บเงินกันถวายเป็นค่ารถให้ผมโดยเฉพาะ จึงได้ขึ้นรถสองแถวไปเรียนกับเขาได้ แต่เดินบ้านนอกกับเดินในกรุงระยะทางเท่ากันนี่เดินในกรุงลำบากกว่าเยอะ

    ความที่ผมเป็นคนคิดมาก ผมก็ถามตัวเองว่า นี่เราเรียนทำไม คนอื่น ๆ เขาเรียนกันทำไม พวกนักเรียนนักศึกษาเขาเรียนกันทำไม เพราะการไปเรียนหนังสือนี่ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย มันเป็นการต่อสู้อย่างทรหดอดทน แต่พวกเราต่อสู้เพื่ออะไร ก็ได้คำตอบว่า เพื่อแสวงหาความรู้

    จริงหรือว่าพวกเราแสวงหาความรู้ ห้องสมุดเป็นแหล่งให้ความรู้มากที่สุด ทำไมพวกเราไม่ไปห้องสมุด แล้วเปิดอ่านหนังสือที่เราต้องการรู้ที่สุด แต่นี่พวกเราต้องเรียนในสิ่งที่พวกเราไม่ได้อยากรู้เลย พวกเราเรียนเพื่ออยากได้ประกาศนียบัตรต่างหาก แม้ประกาศนียบัตรเราก็ต้องการให้รัฐบาลรับรองเหมือนของชาวบ้าน ทำไมเป็นเช่นนั้น เพราะเราต้องการสึกหาลาเพศเอาประกาศนียบัตรไปสมัครทำงานเหมือนคนอื่น ๆ ในสังคม

    แล้วเราจะทำงานไปทำไม ก็ทำเพื่อหาเงิน คนทำงานก็ต้องมีเงินเดือนใช้ มีเงินจับจ่ายใช้สอยซื้อในสิ่งที่เราต้องการ ซื้อบ้านดี ๆ อยู่ ซื้อรถเก๋งขี่ ซื้อสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งนี้เพราะทุกคนนอกจากอยากอยู่อย่างสะดวกสบายแล้วยังอยากมีหน้ามีตาในสังคมด้วย อยากมีคู่ครอง (นั่นคือการแสวงหาความสุขในรสสัมผัสทางเพศ)

    ได้ความว่าเราทำ ตามความอยาก เมื่ออยากสิ่งไหน เราได้สมอยากแล้วเราจึงจะมีความสุข แล้วเราก็อยากในสิ่งใหม่ ๆ แล้วการแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้น มีบ้าน 1 หลังก็อยากมีหลังที่สอง มีรถ 1 คันก็อยากมีคันที่ 2 มีเมีย 1 คน ก็อยากมีคนที่ 2 ช่างอยากไม่สิ้นสุดเสียเลยนะ นี่หมายความว่าเราตกเป็นทาสของความอยาก คนทุกคนตกเป็นทาสของความอยาก วิ่งวุ่นจนเหนื่อย จนทุกข์กายลำบากใจก็ยังต้องวิ่งเพราะความอยากมันบังคับ คิดว่าสมอยากแล้วจะเป็นสุข ก็ไม่พบความสุขสักที ก็วิ่งเตลิดไปไขว้คว้าสิ่งใหม่ ๆ เรื่อยไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2012
  9. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    พวกเราเหมือนคนหาความสุขจากการเกาคัน ยิ่งเกายิ่งมัน ยิ่งคันยิ่งเกา เราคิดว่าการหายคันจากการเกาคือความสุข ไม่มีใครเฉลียวใจเลยว่าความสุขที่แท้จริงคือไม่มีอาการคันเลย จึงไม่ต้องเกา นั่นคือถ้าเราไม่อยากเสียเลยเราจะประสบสุข

    ความรู้ในคำสอนของพระพุทธเจ้าค่อย ๆ ซึมซับเข้ามาในสมอง เราเรียนมาตั้งหลายปีเราไม่เคยอินกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย เราเรียนบาลีเราก็เอาแต่แปลบาลีเป็นไทย แปลไทยเป็นบาลี เวลาสอบก็มุ่งเอาแปลไม่ให้ผิด คือผิดน้อยที่สุดจึงจะสอบผ่าน ไม่เห็นมีให้เราคิดค้นวิพากษ์วิจารณ์คำสั่งสอนว่ามีเหตุมีผลอย่างไรหรือไม่ มีประโยชน์อย่างไรหรือไม่

    พลันคำว่า “นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี นิพพานัง ปะระมัง สุขัง นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง” โอ้..น่าจะจริงแท้ พระพุทธเจ้าเป็นถึงเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เสวยสุขในทรัพย์สมบัติ นึกอยากได้อะไรก็สมความมุ่งหมายทุกอย่าง แต่พระองค์ก็ทิ้งสิ่งเหล่านั้นไปทนทุกข์อยู่กับการฝึกจิต แสวงหาคำตอบว่าความสุขความทุกข์คืออะไร เกิดจากอะไร เมื่อพบคำตอบแล้วพระองค์ก็ไม่หวนกลับไปครองสมบัติบ้านเรือนอีกเลย นั่นหมายถึงสิ่งที่พระองค์ค้นพบนั้นต้องบันดาลให้เกิดความสุขอย่างแท้จริง เมื่อพระองค์ประกาศความรู้ที่พระองค์ค้นพบ ก็ชักชวนคนอื่นปฏิบัติเพื่อรู้เห็นในสิ่งเดียวกัน ลูกเจ้าฟ้ามหาเศรษฐีทั่วชมพูทวีปออกบวชตาม ปฏิบัติตาม ค้นพบในสิ่งที่พระองค์ค้นพบ ต่างก็ไม่มีใครหวนกลับมาบ้านเรือน คงประกาศความรู้ที่พบนั้นต่อ ๆ ไป เส้นทางที่พระองค์และเหล่าพระสาวกค้นพบต้องบันดาลให้เกิดความสุขแน่นอน

    ก็เราบวชเข้ามาแล้วทำไมไม่เดินตามทางของพระพุทธเจ้า ไฉนมาเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกทิ้งดุจถ่มน้ำลายทิ้ง

    ผมคิดได้ดังนั้น เมื่อทอดสายตามองคนทั้งโลกผมก็เห็นคนโง่กันทั้งโลก หลงกันทั้งโลก ก็ยิ่งสังเวชใจ ตอนเช้าออกบิณฑบาต ผมเห็นคนขับรถเก๋งคันแพงบ้าง ถูกบ้าง แต่งตัวดีบ้าง เลวบ้าง มาใส่บาตร ผมก็มองเขาในฐานะสัตว์โลกที่ยังลุ่มหลงมัวเมา ถูกความอยากครอบงำ แสวงหาความสุขจากการสนองความอยาก ผมเห็นเพื่อนพระภิกษุสามเณรทุกองค์โง่เสมอกันหมด เพราะทุกคนต่างเป็นทาสของความอยาก ไม่มีใครเดินตามพระพุทธเจ้าสักองค์ ต่างลุ่มหลงอยู่กับการแสวงหาลาภยศกันทั้งสิ้น

    ตั้งแต่นั้นผมก็ตัดสินใจเลิกเรียน ผมมุ่งเข้าห้องสมุด หาหนังสือธรรมะอ่าน แล้วผมก็พบหนังสือเล่มหนึ่งที่พระพลตรีชะลอ ศรีสรากร เป็นผู้เขียน ท่านบวชตอนแก่ ปฏิบัติกรรมฐานแบบพองหนอยุบหนอ และมาสอนวิปัสสนาที่วัดทุกปี มาพร้อมกับพระภิกษุสามเณรจำนวนหนึ่ง แล้วมายืนบิณฑบาตเป็นแถวมีระเบียบที่หน้าวัด ใครเลื่อมใสก็เอาไปใส่ถึงที่ ท่านไม่ไปเดินแย่งบิณฑบาตเหมือนพระองค์อื่น ๆ ท่านเขียนแนววิปัสสนากรรมฐาน แล้วเปรียบเทียบความสุขอันเกิดจากจิตสงบ กับความสุขจากรสสัมผัสทางกามารมณ์ไว้ได้ดีมาก จนทำให้ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องไปอยู่สำนักกรรมฐาน ซึ่งตอนนั้นผมก็รู้จักแต่พองหนอยุบหนอเท่านั้น ส่วนธรรมกายเคยอ่านสมัยเป็นสามเณรน้อย เลือนลางไปแล้ว กรรมฐานสายหลวงปู่มั่นทางอีสานผมยังไม่ระแคะระคายเลย แต่ถึงจะรู้ก็คงยังไม่เลื่อมใสจนไปฝากตัว เพราะธรรมยุติ กับมหานิกาย ก็ยังมีความรู้สึกเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอยู่ ดังนั้นผมจึงมุ่งหาสำนักพองหนอยุบหนอ จนได้ไปอยู่วิเวกอาศรมนั่นแล ผมไปปฏิบัติได้ไม่กี่วัน ท่านมหาประยูร สามเณรเปรียญ 9 ประโยค วัดประยูรวงศ์ (อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงฆ์วัดมหาธาตุ องค์ปัจจุบัน) ก็ไปปฏิบัติที่นั่นเช่นกัน เราได้อาจารย์สอบอารมณ์องค์เดียวกัน
     
  10. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เมื่อขึ้นฝั่งแล้วก็มุ่งหน้าไปทางภูเขาที่เห็นลิบ ๆ ข้างหน้าโน่น ถ้าประมาณด้วยสายตาก็น่าจะสัก 10 กิโลเมตร มีทางดินสีแดงตรงไปทางนั้น แต่เมื่อเดินไป ๆ ๆ ก็มีความรู้สึกแห้งแล้งมากขึ้นเรื่อย ๆ คิดว่าถ้าเราไปอยู่ภูเขาน่าจะไปอดน้ำตายเสียมากกว่า ควรเดินไปริมแม่น้ำใหญ่ จะได้มีน้ำกินน้ำอาบ และมีบ้านคนพออาศัยบิณฑบาตใส่ท้องไปแต่ละวัน นึกได้ดังนั้นก็เดินย้อนกลับ แล้วหาทางเดินไปตามฝั่งน้ำ

    ตลอดแนวริมแม่น้ำแควน้อยในปี 2521 นั้นเป็นสวนผลไม้ทั้งสิ้น แต่เป็นสวนผสมเช่น กล้วย มะม่วง ขนุน น้อยหน่า ผักชะอม เป็นต้น มีบ้านไร่อยู่ห่าง ๆ กัน เดินไป ๆ ก็พบบ้านหลังหนึ่ง ไม่ค่อยพบคนหรอก เขาคงไปทำไร่ทำสวนกัน บางช่วงก็เป็นพื้นที่ป่าที่เพิ่งถูกโค่นเผาต้นไม้ใหญ่ ๆ เพื่อทำสวน ตอไม้ใหญ่หลายคนโอบถูกไฟไหม้ควันลอยกรุ่นอยู่ พบเห็นเป็นระยะ แต่มองหาสถานที่เรานึกฝันนะไม่มีหรอก มันเป็นการเดินหาภาพในจินตนาการเสียมากกว่า

    เดินถึงบ้านไร่หลังหนึ่ง มองไปทางโน้นเห็นป่าไผ่เขียวชอุ่ม น่าพักค้างคืนนะ เลยเดินตามทางลงท่าน้ำที่เจ้าของบ้านลงไปตักน้ำอาบน้ำ ก็พบหญิงสาววัย 16-17 ปี กำลังพายเรืออยู่ ก็เลยร้องเรียก ขออาศัยเรือข้ามไปฟากโน้น สาวน้อยก็ใจดีพายเรือมารับ นั่งเรือกับหญิงสาวสองต่อสองก็ต้องระวังตัวลีบ ไม่กล้าพูดคุยด้วยเพราะจะเป็นอาบัติ จนเธอส่งถึงฝั่งแล้วก็กล่าวคำขอบคุณ แล้วหาทางปีนขึ้นฝั่งไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 91831.jpg
      91831.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.3 KB
      เปิดดู:
      59
    • 9394183.jpg
      9394183.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.4 KB
      เปิดดู:
      41
    • 28932832.jpg
      28932832.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.7 KB
      เปิดดู:
      55
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2012
  11. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ป่าไผ่ร่มรื่นที่เห็นจากฟากโน้นของแม่น้ำ มันยิ่งกว่าร่มรื่น เพราะมันทึบจนแทบไม่มีช่องทางให้เดินผ่าน กว่าจะมุดออกมาได้ก็เสียเวลาตั้งนาน ความคิดที่จะอาศัยมันกางกลดนั่งภาวนาก็เพียงความฝันเฟื่องเท่านั้น แท้จริงแล้วคนเรามักวาดมโนภาพเอากับสิ่งที่เห็นว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะให้เป็นดังใจเรานึก เช่นป่าไผ่ ใต้ซุ้มกอไผ่นั้นร่มรื่น มีที่เดินจงกรม พื้นราบเรียบ แค่หาไม้กวาดเอาใบไม้ที่ปกคลุมออกก็ดูน่าอยู่ แต่ความจริง ป่าไผ่นั้นเป็นรกชัฏ เต็มไปด้วยขวากหนามสารพัดชนิด กิ่งไผ่นั้นระเกะระกะ ถ้าจะให้อยู่ได้ต้องมีมีดคมตัดกิ่งก้านสาขาที่เกะกะออก พื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อ มีแต่มดอาศัย นอกนั้นอาจมีแขกที่เราไม่พึงประสงค์คืองูสารพัดชนิดที่ชอบอยู่กับกอไผ่ เพราะหาอาหารง่าย เนื่องจากพวกหนู กระรอก กระแต ก็ชอบอยู่กอไผ่เช่นกัน งูก็เลยชอบอยู่ตามป่าไผ่ และคงไม่มีพระป่าองค์ไหนที่ไปแขวนกลดอยู่ในป่าไผ่ เพราะช้างป่าก็ชอบดงไผ่ยิ่งนัก

    เมื่อออกจากดงไผ่ได้ก็เต็มไปด้วยร่องรอยขีดข่วน เข็ดจนตาย ต่อไปเห็นป่าไผ่จะไม่เข้าไปเป็นอันขาด
     
  12. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ออกจากป่าไผ่ก็บ่ายคล้อย มองหาสถานที่ควรปักกลดก็ไม่เหมาะสักแห่ง ก็เดินไปกวาดสายตาไป ก็พบทางเดินเป็นมันเลื่อม แสดงว่าเป็นทางเดินหลักระหว่างหมู่บ้าน ก็เดินไปตามทางนั้น ผ่านป่ารกร้างว่างเปล่า ป่าที่เห็นแต่ตอไม้ถูกเผา ป่าละเมาะที่มีแต่เถาวัลย์ปกคลุม แต่ไม่รู้อีท่าไหนมันไปโผล่วัดหนึ่งชื่อวัดเขาพัง ซึ่งถ้าดูแผนที่แล้ววัดเขาพังมันอยู่อีกฟากของแม่น้ำ ซึ่งผมก็ข้ามแม่น้ำด้วยการช่วยเหลือของเด็กสาว แล้วยังไงกลับไปพบวัดเขาพังซึ่งอยู่อีกด้านของป่าไผ่ และถ้าดูแผนที่แล้ว ทำไมผมเดินทางเร็วเหลือเกิน ผมฉันเช้าจากวัดที่กรุงเทพ ฯ แล้วนั่งแท็กซี่ไปขึ้นรถไฟที่สถานีบางกอกน้อย ใช้เวลาเดินทางราว 4 ชั่วโมง ช่วงที่ผมเดินลุยข้ามแม่น้ำตรงเด็กเล่นน้ำมันก็น่าจะหลังเที่ยงแล้ว เดินลัดเลาะไปตามบ้านชาวไร่ก็ไม่ได้เดินเร็ว ไปเจอเด็กสาวพายเรือมันก็บ่ายคล้อยแล้ว เป็นช่วงที่หาที่ปักกลด แล้วไหนจะไปติดอยู่ในป่าไผ่อีก ออกมาก็ใกล้ค่ำ แล้วยังไงถึงโผล่ไปถึงวัดเขาพังได้ งงจริง ๆ จำไม่ได้จริง ๆ

    วัดเขาพังเป็นวัดเล็ก ๆ ในเนื้อที่ไม่กว้างนัก สิ่งก่อสร้างก็มีกุฏิไม้ยกพื้นสูง 1 หลัง และศาลามุงหญ้าคาสำหรับทำพิธีกรรมเท่านั้น เจ้าอาวาสอายุสี่สิบเศษ เป็นคนตาก พูดภาษาเหนือ ผมจึงคุ้นกับท่านเร็วมาก ท่านให้พักบนกุฏิของท่านนั่นเอง แม้พระเณรองค์อื่น ๆ ก็ล้วนนอนบนกุฏิหลังนั้น เพราะนี่คือวัดบ้านป่า มิใช่วัดป่าวิปัสสนากรรมฐาน กลางคืนยังใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด ผมพักอยู่วัดนั้น 2 คืน ทุกเช้าพระเณรลูกวัดก็พาเดินบิณฑบาตตามบ้านไร่บ้านสวนที่ผมเดินผ่านเมื่อวานนั่นเอง ได้ข้าวและอาหารพอเลี้ยงกันทั้งวัดทุกวัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2012
  13. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ตื่นเช้าหลังฉันเช้าแล้วก็กราบลาเจ้าอาวาส เดินทางแสวงหาที่ตามจินตนาการต่อไป ก็เดินตามทางรถลากไม้ไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พักตามร่มไม้ หิวน้ำก็ยกกาน้ำดื่ม ไม่ต้องมีแก้วน้ำ การใช้กาน้ำนี่สะดวกมาก เพราะถ้าไม่มีน้ำสะอาด เราก็ใช้กาต้มน้ำก่อนดื่ม โดยเฉพาะน้ำจากแม่น้ำลำคลอง ถึงแม้จะใสแจ๋ว แต่เราจะรู้อย่างไรมันมีเชื้อโรคอะไรบ้าง น้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ จะมีอึคน อึสัตว์ เยี่ยวคนเยี่ยวสัตว์ และซากสัตว์ตาย สารพัดที่เขาฝากลงแม่น้ำ ปลากินไปบ้าง แล้วมันก็กระจัดกระจายผสมอยู่ในน้ำใส ๆ นั่นแหละ แต่คนอยู่ป่าเขาเคยของเขาไม่เป็นไร เราไม่เคยก็ทำท้องเสียได้ง่าย ๆ

    เดินกี่กิโลเมตรก็ไม่ทราบก็ไปถึงอีกวัดหนึ่ง ชื่อวัดวังกระแจะ ตั้งอยู่ติดแม่น้ำแควน้อยเช่นกัน เจ้าอาวาสอายุร่วมเจ็ดสิบปีแล้ว เป็นพระมหาเปรียญ ๕ ประโยค และจบอภิธรรมมาด้วย เป็นเจ้าคณะตำบลวังกระแจะด้วย วัดเขาพังก็ขึ้นกับตำบลนี้ ท่านอยู่กับสามเณรวัยรุ่นซึ่งบวชได้ไม่กี่เดือนเอง เมื่อผมเข้าไปกราบท่านนั้นท่านมองผมอย่างพินิจพิเคราะห์ ทั้งขอดูหนังสือสุทธิ (บัตรประชาชนของพระ) พอเห็นเป็นพระเปรียญมาจากวัดใหญ่มีชื่อเสียงในกรุงเทพ ฯ ท่านก็ต้อนรับดี และกล่าวชื่นชมว่าพระหนุ่มเณรหนุ่มที่ร่ำเรียนแล้วเดินทางสายกรรมฐานนี้หายากนัก ส่วนมากพวกเดินธุดงค์มันไม่ได้ธุดงค์จริง ในย่ามเต็มไปด้วยเครื่องรางของขลัง ผ้ายันต์ พระเครื่อง ไปปักกลดใกล้หมู่บ้าน บอกหวย แจกเครื่องรางของขลังแลกเงินทอง เจอประจำ

    หลวงพ่อเล่าว่าท่านก็เดินธุดงค์มาพบสถานที่แห่งนี้ เห็นสงบดีก็อยู่เรื่อยมาจนสร้างเป็นวัด เป็นที่ทำบุญสร้างกุศลของชาวบ้านแถวนี้ ผมพีกอยู่วัดนี้ราว 3 คืน กลางวันเณรก็ชวนไปสำรวจถ้ำซึ่งอยู่ในภูเขาแถวนั้น เดินราว 4 ชั่วโมงก็ถึง แต่มันเป็นถ้ำค้างคาว กลิ่นเหม็นสาบมาก รูถ้ำอยู่สูงขึ้นไป ต้องปีนป่ายขึ้นไปสักหน่อย ถ้ำไม่ลึกนัก มี 3-4 ช่องทาง ผมตัดสินใจเดินเข้าไปช่องทางหนึ่งจนตัน พอฉายไฟเข้าไปในรูถ้ำนั้นก็พบเม่นตัวขนาดขา มันก็ตกใจขนฟูตั้ง เราก็ตกใจ และยิ่งตกใจเมื่อมันกระโดดพรวดออกจากรูถ้ำ ผมต้องกระโดดหลบไปปะทะเณรที่ยืนอยู่ข้างหลัง เลยล้มลงถลอกปอกเปิกกันทั้งสองคน
     
  14. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    อาจมีผู้อยากถามว่าทำไมผมไม่หยุดอยู่วัดใดวัดหนึ่ง ทำไมต้องเดินตะรอน ๆ ไปอย่างนั้น มันไม่เสียเวลาหรือ

    คือระยะนั้นจิตมันสับสนวุ่นวายมาก สิ่งที่แสวงหาคือสถานที่ตามจินตนาการ อยากอยู่คนเดียวในสถานที่ ที่ไม่มีผู้คนพบเห็น หรือเป็นสัดส่วน ห่างบ้านคน พอเดินไปบิณฑบาตเลี้ยงชีวิตได้ แต่วัดที่ผ่านมาพบนี้เป็นวัดบ้าน มีกุฏิไม้ยกพื้นสูง 1 หลัง เป็นกุฏิรวม ไม่เหมาะกับการอยู่บำเพ็ญภาวนา เมื่อเราอยู่ เจ้าถิ่นก็ต้องชวนเราพูดคุย เราจะทำท่านั่งสมาธิอวดเขาก็ดูไม่สมควรอย่างยิ่ง จึงต้องหาสถานที่ตามจินตนาการต่อไป

    ตลอดหนทางเดินนั้นเป็นทางรถลากไม้เคยวิ่ง ตลอดทางที่เดินไปนั่นไม่เคยพบผู้คน ไม่ว่าเดิน หรือขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซด์ ป่าที่เห็นล้วนเป็นป่าเสื่อมโทรม ร่องรอยความสมบูรณ์ที่เห็นคือต้นไม้ขนาดใหญ่ถูกเผาดำเป็นตอตะโก มีให้เห็นอยู่ตลอดทาง บางต้นยังมีควันลอยอยู่อ้อยอิ่ง บางช่วงก็เป็นป่าไผ่ขนาดเล็ก เป็นพื้นราบ หรือระหว่างเขา ไปถึงช่วงหนึ่งจึงปีนขึ้นเนินเขาไม่สูงนัก แต่ก็ทำเอาเหนื่อยเหมือนกัน ช่วงไหนเหนื่อยก็นั่งพักใต้ร่มไม้ที่พอหาได้ หายเหนื่อยก็เดินต่อ ลงจากเขาก็เป็นพื้นราบ แล้วลงไปหาแม่น้ำอีก ก็ไปพบเรือนแพปลูกติด ๆ กันไปตามริมฝั่ง ชาวบ้านเห็นก็ถามว่าจะไปไหน ก็บอกว่าหาที่สงบเพื่อภาวนา แต่หาไม่พบ ก็เลยเดินไปเรื่อย ๆ

    โยมว่า ฟากโน้นมีวัดร้าง ไม่มีพระอยู่มาหลายเดือนแล้ว ลองไปดูสิเผื่อจะชอบใจ แล้วโยมก็พายเรือส่งไปดูวัด มันก็อยู่ใกล้ฝั่งน้ำนั่นแหละ เป็นเรือนไม้หลังหนึ่ง ยกพื้นสูง มุงสังกะสีขึ้นสนิม มีฝาไม้ส่วนหนึ่ง สังกะสีส่วนหนึ่ง ไม้พื้นแผ่นใหญ่ ตีห่าง ๆ กัน มีชานล่าง และยกพื้นสูงขึ้นไปส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องโถง แต่มันก็ไม่มีห้องนอน มีหน้าต่างบานหนึ่ง พื้นไม้มีฝุ่นจับหนาเตอะ เอานิ้วเขียนหนังสือได้

    ก็ตกลงใจว่าจะอยู่ตรงนี้แหละ โยมก็ไปบอกเจ้าของบ้านชื่อโยมเครือ ซึ่งอยู่ที่เรือนแพนั้นแหละ โยมเครืออายุราวสี่สิบเศษ แกสร้างอารามนี้ให้เป็นที่พำนักสงฆ์ แล้วฝังลูกสาวที่ตายไว้ใกล้ ๆ บ้านหลังนั้น จึงเรียกกันว่าวัด เพราะคนไทยชอบฝังศพหรือเผาศพในวัด โยมเครือรู้ว่ามีพระมาอยู่วัดของแก แกก็ชวนลูกสาวมาปัดกวาดเช็ดถู ผมก็ช่วยทำไปด้วย ลูกสาวของแกเอาถังหาบน้ำจากแม่น้ำมาล้างเอาฝุ่นออก ผมกับโยมเครือก็ช่วยกันปัดกวาดเช็ดถู จนสะอาดเอี่ยมอ่อง กลายเป็นกุฏิพระขึ้นมา ผมก็เอากลดผูกโยงกับขื่อ กางมุ้ง แล้วรวบผูกไว้

    โยมเจ้าของบ้านและโยมที่พามาพูดคุยซักถามจนเป็นที่พอใจแล้วก็ลากลับ ผมก็ใจชื้นขึ้นมา ทีนี้ก็ได้ที่บำเพ็ญภาวนาเป็นส่วนตัว บ้านคนก็อยู่ฟากโน้น เราก็อยู่ฟากนี้ ไม่มีใครรบกวน เพราะเราก็คุยให้ฟังแล้วว่าเราต้องการอยู่คนเดียว ไม่อยากพูดอยากคุยกับใคร โยมก็เข้าใจ (ตรงนี้เขาเรียกว่าแก่งระเบิด ทุกวันนี้เป็นหมู่บ้านแก่งระเบิด ขึ้นกับตำบลวังกระแจะ)
    ภาพประกอบคือเรือนแพในสถานที่ใกล้เคียงในปัจจุบัน (ภาพจากpanoramio)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2321412.jpg
      2321412.jpg
      ขนาดไฟล์:
      123.9 KB
      เปิดดู:
      56
    • 51887992.jpg
      51887992.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.1 KB
      เปิดดู:
      42
    • 346459.jpg
      346459.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.7 KB
      เปิดดู:
      46
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2012
  15. วิทูร99

    วิทูร99 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +28
    ขอบพระคุณมากๆครับ จะรอติดตามเรื่อยๆน่ะครับ
     
  16. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบคุณในกำลังใจครับ ที่เขียนช้าเพราะมีปัญหาเรื่องไฟบ้าง เรื่องเน็ตช้าจนใช้การไม่ได้บ้าง ขออภัยต่อท่านผู้อ่านทุกคนครับ
     
  17. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ผมออกจากวัดเมื่อต้นเดือนมีนาคม ใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ มาอยู่ ณ อารามแก่งระเบิดแห่งนี้ มันก็ยังอยู่ช่วงต้นเดือนมีนาคม แต่อากาศกลางวันร้อนมาก ๆ ยิ่งกุฏิมุงสังกะสีด้วยแล้วกลางวันช่วงบ่ายอยู่ข้างบนไม่ได้เลย ต้องหลบมานั่งอยู่ใต้ถุน แต่ทางเดินจงกรมใต้ถุนสู้บนกุฏิไม่ได้ ถึงแม้เป็นกุฏิไม้ แต่มันเป็นห้องโล่ง จึงมีที่เดินได้ราว 10 ก้าว ก็พอเดินกลับไปกลับมาแบบนักภาวนาพองหนอยุบหนอ ส่วนใต้ถุนนั้นที่เป็นหลุมขรุขระ ไม่เหมาะสำหรับเดิน จึงต้องนั่งมากกว่าเดิน

    การปฏิบัติแบบพองหนอยุบหนอนี่ท่านให้นั่งกับเดินใช้เวลาเสมอกัน เรียกว่าอิริยาบถสม่ำเสมอ เวลาเดินก็ให้เดินช้า ๆ ค่อยใช้สติกำหนดการเคลื่อนไหว ถ้าไวเกินสติก็ตามไม่ทัน จึงกลายเป็นภาพสโลโมชั่น ดูก็ตลกดี มันผิดหลักธรรมชาติ ทำให้เครียด เมื่อทำสิ่งไหนก็ให้ท่องในใจเกี่ยวกับการกระทำนั้น ๆ เช่นนั่งภาวนาให้เอาจิตอยู่กับอาการพอง-ยุบ ของท้อง เมื่อหายใจเข้าท้องพอง ก็ท่องหรือบริกรรมในใจว่า “พองหนอ” เวลาหายใจออกท้องจะยุบ ก็ให้บริกรรมว่า “ยุบหนอ” เมื่อจะเอี้ยวตัวก็บริกรรมว่า”เอี้ยวตัวหนอ” เมื่อจะลุกขึ้นก็บริกรรมว่า “ลุกขึ้นหนอ ยืนหนอ เดินหนอ ยกเท้าซ้ายหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ กดหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ กดหนอ”

    ความจริงการท่องคำบริกรรมนี้คือการใช้จิตปรุงแต่ง กลายเป็นความคิดกลบความคิด จิตจึงไม่มีโอกาสได้คิดเรื่องอื่น หรือถ้อยคำอื่น เมื่อทำไปนาน ๆ จนเป็นความคล่องตัวจิตจะดิ่งไปสู่ความเงียบแบบหลับ ไร้ความรู้สึกนึกคิด ภาษาของพองหนองยุบหนอเรียกว่าดับนาน เอาเข็มแทงยังไม่รู้สึกตัวเลย บางคนนั่งดับไปเป็นอาทิตย์ เรียกว่าเข้านิโรธได้เลย แต่เจ้าตัวไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น มีบางรายถอดจิตออกไปท่องเที่ยวนรก-สวรรค์ เป็นอาทิตย์ กลับมาเล่าเรื่องอะไรได้ละเอียดยิบ แต่แบบนี้มีน้อยมาก ส่วนมากดับแบบไม่รู้อะไรเลย แบบฤาษีชีไพรสมัยก่อนพระพุทธเจ้า แต่ถึงกระนั้นทางพองหนอยุบหนอก็ประกาศว่าวิถีทางของเขาเป็นวิปัสสนา อย่างอื่นไม่ใช่ การนั่งสมาธิแบบอื่นเป็นสมถะว่างั้นนะ

    แต่ความจริงแล้วคำว่าวิปัสสนา แปลว่ารู้แจ้ง คือรู้แจ้งในอารมณ์ทั้งปวง ที่เกิดขึ้นในจิต รู้แจ้งในอิริยาบถทั้งปวงที่เกิดขึ้นทางกาย ผมทดสอบจนเลิกทำแล้ว ได้ผลว่า ตราบใดที่เรายังท่องคำภาวนา เราไม่มีทางรู้อะไรอื่นเลย เพราะจิตของเรายังคิดอยู่กับคำภาวนา มันรู้อยู่กับคำภาวนา ต่อเมื่อเลิกคิดแล้วเอาจิตผู้รู้จดจ่อดูอยู่โดยไม่มีถ้อยคำใด ๆ ทั้งสิ้น จิตก็จะทำหน้ารู้อย่างเต็มความสามารถ เมื่อจิตคิดก็ดูมัน อย่าท่องว่า “คิดหนอ ๆ “ เราก็จะรู้จักความคิดและทันความคิด เมื่อเกิดอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ เกิดขึ้นเพราะความคิดนั้นเราก็รู้ทัน จิตของเราเกิดราคะ โทสะ โมหะ ขุ่นเคืองแค้น พอใจหรือไม่พอใจ สุขหรือทุกข์ เราก็รู้ทันหมด เราจะเข้าใจธรรมชาติของจิตและอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต เมื่อเราเข้าใจจริง ๆ แล้วเราก็รู้ว่ามันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น มันไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วเราก็จะปล่อยวาง และค่อย ๆ ดูไป ฝึกไปแบบไม่มีอารมณ์กดดัน ไม่นึกอยากจะได้จะมีจะเป็นอะไร ซึ่งปกติแล้วเราปฏิบัติด้วยความกดดัน เราอยากได้สมาธิ อยากมีจิตที่สงบ เราอยากเป็นพระอริยเจ้า เราอยากไปนิพพาน ทุกความอยากความต้องการมันเป็นกิเลสเหมือนกัน มันมาทำให้จิตเป็นทุกข์อันเกิดจากความเครียดนั่นเอง
     
  18. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ผีหลอก​

    คืนแรกที่เรือนร้าง มันเป็นคืนแรกที่อยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแต่ผู้เดียว เมื่อตะวันลับฟ้าแล้วความมืดก็เข้ามาเยือน เสียงจิ้งหรีดเรไรเริ่มร่ำร้อง นกหากินกลางคืนเริ่มส่งเสียง ความหวาดกลัวก็เริ่มแผ่อิทธิพลครอบงำจิต ด้วยความกลัวก็ทำให้สวดมนต์ไหว้พระ เพราะเชื่อว่าบทสวดมนต์คือพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ที่ภูตผีปีศาจมันหวาดกลัว พวกมันจะได้ไม่ย่างกรายเข้ามาใกล้ สวดมนต์เสร็จก็นั่งภาวนา พองหนอ ยุบหนอ จิตอยู่กับพองยุบบ้าง เผลอแวบไปคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาตอนกลางวันบ้าง เผลอไปคิดถึงวัดบ้าง เผลอไปคิดถึงวิเวกอาศรมบ้าง รู้ตัวก็ดึงกลับมา ก็ชักเย่อกันอย่างนี้แหละ ไม่ว่าจะอยู่วิเวกอาศรม หรืออยู่ที่นี่หรือที่ไหน จิตมันก็ทำงานของมันอย่างนี้ แต่เราก็ไม่พอใจให้มันทำอย่างนี้ เราอยากให้มันเงียบสงบ ไม่ต้องคิดอะไร ถ้ามันหยุดคิดเราคงมีความสุข พอมันคิดเราย่อมไม่พอใจ มันก่อให้เกิดความหงุดหงิดรำคาญใจ แต่ไหนเลยผู้กำลังฝึกฝนใหม่ ๆ จะรู้เข้าใจถึงอารมณ์ต่าง ๆ ชัดเจนปานนั้น มันเหมือนการเดินทางท่ามกลางความมืดนั่นแหละ ถึงแม้จะชนกับต้นไม้มันก็มองไม่เห็นลักษณะของต้นไม้หรือสิ่งต่าง ๆ รอบข้าง แม้เจอขวากหนามทิ่มแทงมันก็รู้แต่เจ็บ แต่มองไม่เห็นขวากหนามที่ทิ่มแทง

    ท่ามกลางความคิดสับสนอลหม่านเสียงโครม ๆ ก็ดังขึ้นที่ฝาสังกะสี มันดังเป็นจังหวะเหมือนคนเคาะ ขนลุกชูชันขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เมื่อกลัวมาก ๆ มันเหมือนมีอะไรมาอัดอยู่ที่กลางอก ทำเอาหายใจไม่ค่อยออก หูอื้ออึง แต่ความกลัวนี่มีคุณอยู่อย่าง มันทำให้จิตใจกลับคืนมาอยู่กับเนื้อกับตัว อยากรู้ว่าเสียงอะไร ใครมาเคาะ เคาะทำไม หรือผีเด็กลูกเจ้าของบ้าน ทำไมมันต้องไปเคาะที่ฝาบ้าน ทำไมมันไม่เดินขึ้นมาตามบันได ทำไมมันไม่มาปรากฏกายให้เห็น พอนึกถึงการปรากฏให้เห็นขนก็ลุกชูขึ้นอีก แล้วก็คิดถามขึ้นว่าแล้วกลางวันมันไปอยู่ไหน ทำไมมันไม่มาหาตอนกลางวัน ทำไมมันไม่เคาะฝาตอนกลางวันจะได้ไปดูให้เห็นกับตา เมื่อกลัวมาก ๆ ก็คิดถึงแต่บทสวดมนต์ ในบาทีที่แปลมามันมีเรื่องว่าเด็กน้อยเดินทางไปกับพ่อ กลางคืนพ่อทิ้งให้นอนเฝ้าเกวียน เด็กน้อยชอบท่องนะโม พวกภูตผีปีศาจได้ยินนะโมก็ไม่เข้ามาใกล้ ก็เลยท่อง “นะโม ๆๆๆๆ ถี่ยิบที่เดียว ต่อสู้กับความกลัวอยู่ราวครึ่งชั่วโมงก็ได้ยินเสียตุ๊กแกดังขึ้น เข้าใจทันทีว่าเสียงมาจากไหน ความกลัวก็เลยหายไปกลายเป็นความขัน มันเป็นเสียงของตุ๊กแกที่จับเหยื่อได้ก็จะฟาดกับฝาสังกะสีจนเหยื่อของมันหยุดดิ้นมันก็จะกลืนเข้าไป อ้อ เรานี่ขี้ขลาดยิ่งกว่าตุ๊กแก มันเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ถ้ามันเจองูก็คงโดนงูกินเป็นอาหาร แต่มันไม่เห็นกลัวอะไร กลางวันมันซ่อนตัว กลางคืนมันออกหาอาหาร ไม่เห็นมันกลัวผีอย่างเรา

    ผีคืออะไร เกิดความสงสัยแล้วหาคำตอบ ผีคือคนที่ตายแล้ว เรากลัวส่วนไหนของผี ถ้ากลัวร่างกายที่ตายไปแล้วจะกลัวมันทำไม ตายแล้วถ้าไม่ถูกฝังก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน จะกลัวมันทำไม กลัวจิตวิญญาณที่หลุดออกจากร่างกายเราเรียกสิ่งนั้นว่าผี อ้อ แล้วทำไมไปกลัวในสิ่งนั้น มันเป็นจิตวิญญาณ มันจะทำอะไรเราได้ ตอนที่มันอยู่ในร่างกายมันไม่น่ากลัวกว่าหรือ ถ้ามันโกรธเรามันก็ทุบตีเราได้ มันเอามีดมาแทงเราได้ มันสามารถยืนด่าให้เราเจ็บใจได้ แล้วนี่เรามากลัวจิตวิญญาณที่ไม่มีร่าง ถ้าจิตวิญญาณของคนตายยังล่องลอยอยู่แถว ๆ นี้เจ้าจิตวิญญาณนั้นน่าจะมีความหวาดกลัวมากกว่าเรา เป็นทุกข์มากกว่าเรา เพราะมันเห็นพ่อแม่พี่น้องเดินผ่านไปมาแถวนี้แต่ไม่เห็นมีใครทักทายมันเลย พอมันเข้าไปทัก พ่อแม่พี่น้องก็หาสนใจไม่ มันพบเจอผู้คนที่รู้จักแต่ละคนก็หามีใครใส่ใจกับมันไม่ ความทุกข์ของผีน่าจะมากกว่าเราแน่ พวกมันน่าสงสารกว่าเราจริง ๆ คิดได้ดังนี้ความหวาดกลัวก็หายไป ความสงสารผีก็เกิดขึ้น ก็นั่งคิดแผ่เมตตาให้ผีมีความสุข ก็คิดตามคำแผ่เมตตาที่เคยท่องมานั่นแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2012
  19. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +329
    ติดตามอ่านอยู่ครับ ขอให้เขียนต่อไปเรื่อย ๆ ครับ กำลังสนุก
     
  20. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบคุณมากครับที่ให้กำลังใจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...