ประสบการณ์ลี้ลับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 5 พฤศจิกายน 2012.

  1. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    หลวงพ่ออุราชอบทำให้ดูเหมือนครูบาอาจารย์สายอีสานหลาย ๆ ท่าน วัน ๆ ท่านพูดไม่กี่คำ เวลาท่านจะเรียกไปเรียนการทำเชิงบาตร ท่านก็เรียก “มหา..ตามมา” แล้วเราก็ไปนั่งเหลาไม้ไผ่เป็นซี่ ๆ ท่านก็ทำให้ดู ไม่มาชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ และผมก็ไม่ซักประวัติของท่าน จึงไม่รู้ว่าท่านไปยังไงมายังไงถึงได้มาบวช บวชที่ไหน เมื่อไร รู้แต่ว่าท่านลาออกจากการไฟฟ้าก่อนเกษียร ปีนั้นท่านน่าจะอายุ 50 บวก-ลบ นิดหน่อย แต่ผมก็หงอกประปรายแล้ว เป็นพระค่อนข้างผอม สูงราว 165 ขนาดเดียวกับผม ผิวขาวเหลืองแบบคนเหนือ หน้ารูปไข่ แก้มตอบนิด ๆ จมูกโด่งหน่อย ๆ มีขนจมูกหงอกแซมออกมานอกจมูกเสมอ สายตาแข็งกล้า และสงบ (เขียนอย่างนี้เข้าใจมั้ยเนี่ย สายตาแบบหลวงปู่มั่นไง แข็งกล้าแต่สงบ) อ้อ..ท่านเป็นคนเชียงใหม่ เราจึงสนทนากันด้วยภาษาเหนือ

    วันหนึ่งหลวงพ่ออุรานั่งภาวนาอยู่ที่กุฏิของท่านซึ่งอยู่ด้านหลังต่างหากจากกุฏิที่พวกเราอยู่ ท่านผลุนผลันลุกขึ้นเดินดุ่ม ๆ มาหาพระมหาบรรจบ ถามว่า “ท่านมหามีธุระอะไรกับผมหรือ” อาจารย์บรรจบงง ตอบว่าผมกำลังคิดถึงหลวงพ่อ มีอะไรจะถามอยู่ แล้วหลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าผมจะถาม” หลวงพ่ออุราตอบว่า “ก็รูปของท่านมันผลุดขึ้นมาในใจผมก็คิดว่าท่านต้องการตัวผมแน่ก็เลยมาหา”

    อาจารย์บรรจบเป็นพระที่มีอารมณ์ขัน ท่านมีเรื่องตลก ๆ เล่าเสมอเวลาอยู่ด้วยกันหลาย ๆองค์ พวกเรารักท่านนะ ท่านไม่ถือตัวว่ามีความรู้สูงส่ง แต่ก็นะ พวกเราทุกองค์มันก็มีความรู้พอฟัดพอเหวี่ยงกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเก่งกว่ากัน ท่านมหาบรรจบเก่งกว่าใคร ๆ เพราะเป็นสามเณรเปรียญ ๙ ประโยค เป็นนาคหลวง ในประเทศนี้ตอนนั้นมีไม่กี่คน จากพระมหาเสถียรพงษ์ วรรณปรก วัดทองนพคุณ ก็มาถึงพระมหาบรรจบ ปั๋งมี วัดสุทัศน์ อีกองค์ที่อยู่ด้วยกันก็พระมหาสมชัย เปรียญ ๙ ประโยคหมาด ๆ จากวัดชนะสงคราม แต่ความจดจำยังเป็นรองท่านมหาบรรจบ ผมทดสอบมาทั้งสองคนเลยครับ

    อยู่มาวันหนึ่ง ผมใคร่ทดสอบระดับของความจำระหว่างผม ท่านมหาสมชัย และท่านมหาบรรจบ ก็เลยพร้อมกันที่ห้องท่านอาจารย์บรรจบ 3 องค์ ผมขอหนังสือมาเล่มหนึ่ง เปิดขึ้นมาหน้าใดหน้าหนึ่ง เลือกเอา 2 บรรทัด ผมเป็นคนอ่านก่อน 2 รอบ ให้อาจารย์บรรจบฟัง จากนั้นก็ให้ท่านบอกว่าที่อ่านมามีเนื้อหาว่าอย่างไรบ้าง อาจารย์บรรจบสามารถบอกได้ครบทุกคำทั้ง 2 บรรทัด

    แล้วผมก็เลือกอีก 2 บรรทัด อ่านให้ท่านมหาสมชัยฟัง 2 รอบเช่นกัน ท่านมหาสมชัยบอกได้เกือบครบทุกคำ มีตกหล่นไปบ้างไม่กี่คำ

    จากนั้นผมก็เลือกอีกหน้า เอา 2 บรรทัดเช่นกัน ให้อาจารย์บรรจบอ่านให้ผมฟัง 2 รอบ ปรากฏว่าผมจำได้แต่บทสรุปในความหมายทั้งหมด คือกลายเป็นประโยคใหม่ แต่ไม่สามารถจำแต่ละคำในประโยคเหล่านั้นได้ทั้งหมด เรียกว่าได้แต่ใจความเท่านั้น

    นี่คือความสามารถของความจำระหว่างคนธรรมดากับอัจฉริยะ ต้องใช้คำว่าอัจฉริยะกับผู้ที่เป็นสามเณรเปรียญ ๙ ประโยค เพราะเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ที่ใครจะสามารถสอบบาลีได้ปีละชั้นจนจบเปรียญ ๙ ตั้งแต่เป็นสามเณร

    จำได้ว่าสามเณรเปรียญ ๙ ประโยคองค์แรกของไทยคือสมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตติโสภณ) วัดเบญจมบพิตร จากนั้นมาอีกหลายสิบปีก็เป็นท่านเจ้าคุณประยุทธ ปยุตโต วัดพระพิเรนทร์ จากนั้นมาไม่กี่ปีก็เป็นท่านมหาเสถียรพงษ์ วรรณปรก จากนั้นมาก็เป็นท่านมหาบรรจบ ปั๋งมี แล้วมาถึงพระมหาประยูร วัดประยูรวงศ์ (พระพรหมบัณฑิต อธิการบดี มจร.องค์ปัจจุบัน) และพระมหาสุชาติ วัดปากน้ำหรือไรนี่แหละ จากนั้นก็ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร

    พระบางองค์ตั้งใจเรียน ตั้งใจสอบ ตั้งหลายสิบปีกว่าจะเป็นเปรียญ ๙ ประโยค หลาย ๆ องค์วาสนาและสติปัญญาไม่ถึง ได้แค่เปรียญ ๘ ประโยคเท่านั้นก็ยกมือยอมแพ้ บางองค์จนตายเสียก่อนก็ไม่สามารถสอบผ่านได้ ๙ ประโยค

    ดังนั้นเราต้องยกมือไหว้เขาได้ครับ เพราะเขาเก่งจริง ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2012
  2. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ดูคลิปของครูบาบุญชุ่มแล้ว ท่านไม่ได้ใช้คำว่านิโรธกรรมเหมือนองค์อื่นนะครับ แต่ใช้คำว่า"เข้ากรรม" ก็คือเข้ากรรมฐานนะเอง เป็นคำที่คนเหนือใช้กันตามปกติ เช่นพระบวชใหม่ต้องเข้ากรรมอย่างน้อย 7 วัน ถ้าบวชอยู่ 15 วันก็เข้ากรรมทั้ง 15 วัน ก็คือเข้ากรรมฐานนั่นเอง แต่การเข้ากรรมฐานของพระบวชใหม่ทางเหนือนั้นคือนั่งนับลูกประคำ ให้สังเกตุครูบาทุกองค์จะมีประคำห้อยคอ นั่นคืออุปกรณ์ในการทำสมาธิ แต่พระบวชใหม่ส่วนหมากจะใช้ไม่ค่อยเป็น เพราะขาดผู้รู้แนะนำ ผู้แนะนำก็พวกเคยบวชมาก่อน ก็แนะนำต่อ ๆ กัน เช่นชักลูกประคำพร้อมกับท่องคำว่าพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ บางคนก็แนะให้ท่องเกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ก็ว่ากันไปแบบนี้ มันเป็นประเพณีทุกอย่างอันเป็นเรื่องปกติของผู้ยังเข้าไม่ถึงพุทธธรรม ขาดการศึกษาเล่าเรียนส่วนหนึ่ง ขาดการฝึกฝนหนึ่ง ขาดครูบาอาจารย์ผู้ชำนาญ อย่างหนึ่ง จึงทำให้สังคมชนบทเป็นแบบเดียวกันหมด

    ครูบาบุญชุ่มถือว่าเป็นพระทางเหนือที่สนใจการปฏิบัติตั้งแต่เด็กน้อย และแสวงหาครูบาอาจารย์ตั้งแต่เด็กน้อยเช่นกัน ท่านจึงมีที่พึ่ง และต่อมาก็เป็นที่พึ่งของชาวบ้านพระเณรอื่น ๆ แต่ท่านก็รู้ว่าท่านยังไปไม่ถึงไหน ยังต้องเร่งบำเพ็ญ ขณะเดียวกันก็มีญาติโยมหลั่งไหลไปหาท่านทุกวันทำให้ไม่สามารถบำเพ็ญภาวนาได้ ท่านจึงกำหนดเวลาของท่านว่าช่วงนั้นช่วงนี้ เป็นเวลากี่เดือน เป็นเวลาเข้ากรรมฐาน ไม่พูด ไม่รับแขก นั่นหมายถึงท่านไม่ให้รบกวน ท่านก็จะเก็บตัวอยู่ในถ้ำ

    ถ้ำที่ท่านอาศัยอยู่นั้นเป็นถ้ำกว้างใหญ่ มีเศรษฐินีบริจาคเงินสร้างกุฏิสวยงามอยู่ในถ้ำ ก็มีความเพรียบพร้อม ไม่ได้ลำบากอะไร ท่านมีบารมีในเรื่องนี้อยู่มาก คือลำบากตอนเด็กเพราะเกิดมาในตระกูลยากไร้ ถึงขั้นต้องขอทานเขากิน อด ๆ อยาก ๆ พอโตขึ้นก็เข้าวัด บวชเณร ชอบนั่งสมาธิภาวนา ถือศีลกินเจมาแต่เด็ก ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็เคารพเลื่อมใส ถือว่าเป็นต๋นบุญ แบบครูบาศรีวิชัย จึงมีความเขื่อว่าครูบาศรีวิชัยมาเ้กิด หลวงปู่โง่นก็บอกว่าเป็นครูบาศรีวิชัยมาเกิด แต่หลวงปู่โง่นเป็นคนศรีสงคราม กลับบอกว่าท่านเกิดที่บ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นบ้านครูบาศรีวิชัย บิดาเป็นควาญช้าง ท่านถูกฝรั่งเอาไปเลี้ยง และไปอยู่เยอรมัน ศึกษาเล่าเรียนจบการแพทย์ จบคอมพิวเตอร์ แล้วเป็นหมอศาสนา บางฉบับก็ว่าเป็นหมอสอนศาสนาอยู่ลังกา แต่เล่าให้ผมฟังว่าท่านกลับมาเมืองไทยเป็นหมอสอนศาสนา ก็ไม่รู้อะไรของท่าน ประวัติของท่าน เล่า 3 ที่ ไม่เหมือนกันสักที่ เขียนกัน 3 คนไม่เหมือนกันสักคน เพราะท่านเล่าให้ฟังไม่เหมือนกัน ไม่รู้จะเอาฉบับไหนกันแน่ แต่ฉบับที่แจกในงานศพดูจะใช่ของจริง ที่เคยลงในนิตยสารครั้งก่อน ๆ ดูจะเป็นของปลอม ก็ไม่รู้จะปลอมไปทำไม ก็เลยไม่รู้ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ท่านเล่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนปลอม ถ้าผมเขียนตามที่ท่านเล่าให้ฟังยิ่งสนุกใหญ่ มันพิศดารเกินชีวิตมนุษย์ แต่ผมก็ไม่ได้เขียน
     
  3. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +331
    ใน youtube มีการ์ตูนเกี่ยวกับมิลินทปัญหา เป็นการถามตอบปัญหาทางธรรมระหว่างพระเจ้ามิลินทร์กับพระนาคเสน
    ซึ่งน่าสนใจมากทั้งได้ความรู้ทางธรรม และความเพลิดเพลิน
    ผมเอาตัวอย่างมาให้ดูแค่ตอนที่ 1 จากทั้งหมด 8 ตอนครับ
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=WOXPm81DBzE]มิลินทปัญหา1/8 - YouTube[/ame]
     
  4. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    ได้รับพระสมเด็จฯเรียบร้อยแล้วค่ะ สวยงดงามมากเลยค่ะ....

    ต้องขอขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
    (good)
     
  5. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ปัญหาพระยามิลิน ผมค่อนข้างมั่นใจว่าแต่งที่ล้านนายุคพระเจ้าติโลกราชนี่เอง ซึ่งยุคนั้นพระภิกษุล้านนาเก่งภาษาบาลีราวกับเป็นภาษาของตัวเอง ตำรามากมายหลายเรื่องที่ท่านแต่งเป็นภาษาบาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมังคลัตถทีปนี ซึ่งเป็นหนังสือเรียนสำหรับประโยค ๔ หรือเปรียญ ๔ ประโยค แต่โดยพระ...อ้าวหายไปจากหยักสมองอีกแล้ว อ้อ..มาแล้ว พระสิริมังคลาจารย์

    ปัญหาพระยามิลินทางลังกาก็มีไม่เต็มฉบับเหมือนของเรา ก็แหง... ของจริงต้นฉบับมันอยู่ที่ล้านนานี่เอง

    ปัญหาพระยามิลินเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงพระยามิลินไปถามปัญหากับครูทั้ง ๖ เช่นมักคลิโคสาล นิครณถนาถบุตร ปูรณกัสสปะเป็นต้น ความจริงท่านเหล่านั้นบางองค์ก็จากไปก่อนพระพุทธเจ้าแล้ว ยังคงเหลือแต่นิครณถนาถบุตร หรือพระมหาวีระ(พระเปลือย)ที่เป็นคู่ขับเคี่ยวกับพระพุทธเจ้า จึงเป็นเรื่องแต่งของคนรุ่นหลังระดับพันปีโดยไม่ได้ระลึกก่อนว่าสมัยของใครในยุคใด

    และอีกประการหนึ่งการกล่าวว่าพระเจ้ามิลินอยู่โยนกนคร ผมก็ชักสงสัย เพราะไม่เคยได้ยินมาว่าที่อินเดียมีโยนกนคร แต่เมืองไทยโบราณประมาณ พ.ศ.1000 มีโยนกนครที่เชียงแสนเดี๋ยวนี้ แต่ล่มลงไปเพราะแผ่นดินไหวสมัยพระเจ้าชัยชนะ หนองน้ำขนาดใหญ่ที่เชียงแสนคือที่ตั้งของเมืองโยนกนคร

    แต่นักปรารชญ์ที่แต่งมิลินทปัญหาเป็นคนเก่งมาก โดยเฉพาะเรื่องอุปมาอุปมัย หรือการเปรียบเทียบนี่สุดยอดเลย ยกตัวอย่าง

    พระเจ้ามิลินถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าที่เคารพ คนที่รู้ว่าทำสิ่งนี้แล้วเป็นบาปแล้วขืนทำลง กับอีกคนไม่รู้แล้วทำลง ผู้ใดได้รับบาปมากกว่ากัน

    ปัญหานี้ใคร ๆ ก็ต้องตอบว่าคนรู้ทำบาปได้บาปมากกว่า แม้พระยายมราชก็ต้องตอบเช่นนี้ แต่พระนาคเสนกลับตอบว่า คนไม่รู้ทำบาปย่อมได้บาปมากกว่า คนรู้ทำบาปได้บาปนิดเดียว

    พระเจ้ามิลินไม่ยอม ท่านก็เถียงคำไม่ตกฟาก พระนาคเสนจึงถามกลับว่า
    "มหาบพิตร อาตมาขอถามกลับบ้าง มีก้อนเหล็กเผาไฟแดงโร่วางอยู่ คนหนึ่งรู้ว่าก้อนเหล็กนั้นร้อนมาก อีกคนไม่รู้ว่ามันร้อน พระองค์ว่าคนสองคนนี้จับเหล็กแดงก้อนนั้นคนไหนจะร้อนมากกว่ากัน จะได้รับอันตรายมากกว่ากัน

    พระเจ้ามิลินตรัสว่า "ก็คนที่ไม่รู้ย่อมได้รับอันตรายมากกว่าเพราะจับเข้าไปเต้มที่ คนที่รู้ก็คงเอามือแตะนิด ๆ พอให้รู้ว่าร้อนมันเป็นอย่างนี้

    พระนาคเสนทูลว่า "เช่นนั้นแหละมหาบพิตร คนโง่ไม่รู้อันไหนบุญอันไหนบาป เมื่อทำบาปก็ทำด้วยความลุ่มหลง หล่นลึกลงไปในการกระทำนั้นโดยไม่รู้สึกตัวสักที เขาจึงได้รับผลกรรมชั่วมาก เพราะทำมากสะสมมาก ส่วนคนรู้ว่าสิ่งนั้นชั่วก็อยากรู้ว่ามันขั่วอย่างไร อยากลอง ก็ลองทำดูนิดหน่อย ไม่กล้าทำมากเพราะกลัวผลกรรมนั้นจะสนองเอาภายหลัง

    ในคราวพระราชทานเพลิงศพพระสังฆราช(จวน อุฏฐายี)วัดมกุฏกษัตริย์ ท่านพิมพ์มิลินปัญหาแจก ผมได้มา 1 เล่ม จากนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่ไปฝึกงานที่บ้านนอก เขานำไปถวายให้เจ้าอาวาส มีผมคนเดียวที่อ่านตำราเล่มนี้หลายครั้งหลายหน เมื่อเข้ามาอยู่กรุงเทพ ฯ ยังหอบเอามาด้วย เพราะชอบมาก ๆ แต่ก่อนไม่ได้พิจารณาก็เชื่อว่าแต่งที่อินเดีย เพิ่งมาตั้งข้อสังเกตุไม่กี่ปีมานี่เองว่าหนังสือเล่มนี้แต่งที่ล้านนาสมัยพระเจ้าติโลกราช ราว พ.ศ.2000
     
  6. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +331
    น่าคิดครับผม โดยเฉพาะมีเรื่องที่น่าสนใจคือ

    "พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย"...ยืนยันโดยองค์หลวงปู่มั่น

    เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ผู้เล่าอยู่กับท่านพระอาจารย์ที่บ้านหนองผือ มีชาวกรุงเทพมหานครไปกราบนมัสการ ถวายทานฟังเทศน์ และได้นำกระดาษห่อธูปมีเครื่องหมายการค้า รูปตราพระพุทธเจ้า (บัดนี้รูปตรานั้นไม่ปรากฏ) ตกหล่นที่บันไดกุฏิท่าน พอได้เวลาผู้เล่าขึ้นไปทำข้อวัตร ปฏิบัติท่านตามปกติ พบเข้าเลยเก็บขึ้นไป พอท่านฯเหลือบมาเห็น ถามว่า “ นั่นอะไร ” “รูปพระพุทธเจ้าขอรับกระผม ” ท่านกล่าว “ ดูสิคนเรานับถือพระพุทธเจ้า แต่เอาพระพุทธเจ้าไปขายกิน ไม่กลัวนรกนะ” แล้วท่านก็ยื่นให้ผู้เล่า บอกว่า “ ให้บรรจุเสีย ”

    ผู้เล่าเอามาพิจารณาอยู่ เพราะไม่เข้าใจคำว่า บรรจุ จับพิจารณาดูพระพักตร์เหมือนแขกอินเดีย ผู้เล่าอยู่กับท่านองค์เดียว ท่านวันยังไม่ขึ้นมา ท่านพูดซ้ำอีกว่า “ บรรจุเสีย” “ ทำอย่างไรขอรับกระผม ” “ ไหนเอามาซิ ” ยื่นถวายท่าน ท่านจับไม้ขีดไฟมาทำการเผาเสีย และพูดต่อว่า “ หนังสือธรรมะสวดมนต์ที่ตกหล่นขาดวิ่นใช้ไม่ได้แล้ว ก็ให้รีบบรรจุเสีย กลัวคนไปเหยียบย่ำจะเป็นบาป”
    ผู้เล่าเลยพูดไปว่า “ พระพุทธเจ้าเป็นแขกอินเดียนะกระผม ” ท่านฯตอบ “ หือคนไม่มีตาเขียน เอาพระพุทธเจ้าไปเป็นแขกหัวโตได้ ” ท่านฯกล่าวต่อไปว่า “ อันนี้ได้พิจารณาแล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย พระอนุพุทธสาวกในยุคพุทธกาล ตลอดจนถึงยุคปัจจุบัน ล้วนแต่ไทยทั้งนั้น ชนชาติอื่น แม้แต่สรณคมน์และศีล ๕ เขาก็ไม่รู้ จะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไรดูไกลความจริงเอามากๆ เราได้เล่าให้เธอฟังแล้วว่า ชนชาติไทย คือ ชาวมคธ รวมรัฐต่างๆ มีรัฐสักกะ เป็นต้น หนีการล้างเผ่าพันธุ์มาในยุคนั้นและชาวพม่า คือ รัฐโกศลเป็นรัฐใหญ่ รวมทั้งรัฐเล็กๆ จะเป็นวัชชี มัลละ เจติ เป็นต้น ก็ทะลักหนีตาย จากผู้ยิ่งใหญ่ด้วยโมหะ อวิชชา มาผสมผสานเป็นมอญ (มัลละ) เป็นชนชาติต่างๆ ในพม่า ในปัจจุบัน”
    “ ส่วนรัฐสักกะนั้นใกล้กับรัฐมคธ ก็รวมกันอพยพมาสุวรรณภูมิ ตามสายญาติที่เดินทางมาแสวงโชคล่วงหน้าก่อนแล้ว” ผู้เล่าเลยพูดขึ้นว่า “ปัจจุบัน พอจะแยกชนชาติในไทยได้ไหม ขอรับกระผม” “ไม่รู้สิ อาจเป็นชาวเชียงใหม่ ชาวเชียงตุงในพม่าก็ได้” ขณะนั้นท่านวันขึ้นไปพอดี ตอนท้านก่อนจบท่านเลยสรุปว่า “ อันนี้ (หมายถึงตัวท่าน) ได้พิจารณาแล้ว ทั้งรู้ทั้งเห็นโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น” ผู้เล่าพูดอีกว่า “แขกอินเดียทุกวันนี้คือพวกไหน ขอรับกระผม” ท่านบอก “พวกอิสลามที่มาไล่ฆ่าเรานะซิ” “ถ้าเช่นนั้นศาสนาพราหมณ์ ฮินดู เจ้าแม่กาลี การลอยบาปแม่น้ำคงคา ทำไมจึงยังมีอยู่ รวมทั้งภาษาสันสกฤตด้วย” “ อันนั้นเป็นของเก่า เขาเห็นว่าดี บางพวกก็ยอมรับเอาไปสืบต่อๆกันมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนพวกเรา พระพุทธเจ้าสอนให้ละทิ้งหมดแล้ว เราหนีมาอยู่ทางนี้ พระพุทธเจ้าสอนอย่างไรก็ทำตาม ”
    ท่านยังพูดคำแรงๆว่า “ คุณตาบอด ตาจาวหรือ เมืองเราวัดวา ศาสนา พระสงฆ์ สามเณร เต็มบ้านเต็มเมืองไม่เห็นหรือ ” (ตาบอดตาจาวเป็นคำที่ท่านจะกล่าวเฉพาะกับผู้เล่า) “ แขกอินเดียเขามีเหมือนเมืองไทยไหม ไม่มี มีแต่จะทำลาย โชคดีที่อังกฤษมาปกครอง เขาออกกฏหมายห้ามทำลายโบราณวัตถุ โบราณสถาน แต่ก็เหลือน้อยเต็มที ไม่มีร่องรอยให้เราเห็น อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย ตัวเธอเองนั้นแหละถ้าได้ไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย จ้างเธอก็ไม่ไปเกิด ”
    “ ของเหล่านี้นั้น ต้องไปตามวาสตามวงศ์ตระกูล อย่างเช่น วงศ์พระพุทธศาสนาของเรานั้น เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยตระกูล เป็นวงศ์ที่พระพุทธเจ้าจะมาอุบัติ คุณแปลธรรมบทมาแล้ว คำว่า ปุคฺคลฺโล ปุริสาธญฺโญ ลองแปลดูซิว่า พระพุทธเจ้า จะเกิดในมัชฌิมประเทศ หรืออะไรที่ไหนก็แล้วแต่ จะเป็นที่อินเดีย หรือที่ไหนก็ตาม ทุกแห่งตกอยู่ ในห้วงแห่งสังสารวัฏฏ์ ถึงวันนั้นพวกเราอาจจะไปอยู่อินเดียก็ได้”
    “ พระพุทธเจ้าทรงวางพระพุทธศาสนาไว้ จะเป็นระหว่างพุทธันดรก็ดี สุญญกัปป์ก็ดี ที่ไม่มีพระพุทธศาสนา แต่ชนชาติที่ได้เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยประเพณี อริยนิสัย ก็ยังสืบต่อไปอยู่ ถึงจะขาด ก็คงขาดแต่ผู้สำเร็จมรรคผลเท่านั้น เพราะว่างจาก บรมครู ต้องรอบรมครูมาตรัสรู้ จึงว่ากันใหม่ ”



    ผู้เล่าได้ฟังมาด้วยประการละฉะนี้แล ฯ





    คัดลอกจาก หนังสือ "รำลึกวันวาน" โดยกองทุนแสงตะวัน วัดปทุมวนาราม
    หมวดรำลึกพระธรรมเทศนา หน้าที่ ๒๒๗
    (เป็นหนังสือรวบรวมเกร็ดประวัติ ปกิณกธรรม และพระธรรมเทศนา แห่งองค์หลวงปู่มั่น จากบันทึกความทรงจำของหลวงตาทองคำ จารุวณโณ ในสมัยที่ได้อยู่อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๗-๒๔๙๒)
     
  7. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +331
    เพิ่มเติมอีกครับผม รู้สึกไม่ค่อยจุใจเท่าไหร่

    คุณเชื่อหรือไม่ว่า พุทธศาสนาเกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ใช่เนปาลหรืออินเดีย

    เมื่อข่าวการเผยแพร่ความคิดที่ว่า พระพุทธเจ้า น่าจะไม่ได้อุบัติขึ้นในอินเดียโบราณ คนไทยเป็นจำนวนมากไม่เชื่อ บางคนถามว่า "คิดได้อย่างไรนี่" หรือ "เหลวไหล เพ้อฝัน ไร้สาระ ไม่มีอะไรจะทำหรืออย่างไร ทำไมไม่มุ่งดับทุกข์ตามคำสอนของพระองค์ มากกว่าที่จะมาพิสูจน์เรื่องอย่างนี้ สำคัญมากนักหรือว่า พระพุทธเจ้าจะเป็นชนชาติใด ผิดมากไหมหากจะไม่เห็นด้วย?

    ทีมผู้วิจัยเห็นว่า เป็นเรื่องสำคัญ แม้จะไม่ผิด ที่ต้องพิสูจน์ว่า พระพุทธองค์ เป็นชนชาติไทย ใครเห็นว่า ไม่สำคัญก็คงบังคับไม่ได้ หากพ่อแม่เราเป็นคนไทย แล้วมีฝรั่งมาบอกว่า เรา เป็นแขก เราก็คงไม่รับ จริงไหม? แต่นี่ เป็นเรื่ององค์พระศาสดาที่เราเคารพเทิดทูน อยู่ๆ ก็มีฝรั่งที่จะมุ่งหวังลาภสักการะ หรือผลทางการเมืองอะไรก็ช่างเถอะ มาทำการเปลี่ยนแปลงประวัติพระพุทธศาสนา เพื่อแสดงว่า เชื้อชาติของเขายิ่งใหญ่ และก็ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา มาเขียนประวัติพุทธศาสนาใหม่ ต้องถามถึงความชอบธรรมด้วย ...ปฐม เหตุแห่งความสงสัยเกิดจากคำถามและข้อสังเกตบางประการ อาทิ

    "เหตุใด ในประเทศไทย จึงมีโบราณสถานและโบราณวัตถุเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เป็นจำนวนมาก แต่ในอินเดียและเนปาล กลับมีไม่ถึง ๒๐๐ แห่ง

    "ทำไม พระเจ้าอโศกของอินเดียไม่ได้จารึกเรื่องสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ ไว้ในเสาหินอโศก ทั้งๆ ที่เป็นเหตุการณ์สำคัญมากตามที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา.....

    "ทำไมปีที่ขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าอโศกอินเดีย (พ.ศ.๒๖๙-๓๐๖) จึงไม่ตรงกับข้อมูลที่เกี่ยวกับพระเจ้าอโศก (พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช) ที่ระบุในพระปฐมสมโพธิกถาว่า กระทำสังคายนาพระไตรปิฎก พ.ศ. ๒๓๕ และสิ้นพระชนม์ พ.ศ.๒๕๙ พระเจ้าอโศกอินเดีย กับพระเจ้าอโศกไทย จะเป็นคนละองค์กันหรือไม่....

    "ช่วงเวลาเข้าพรรษา คือกลางเดือนแปด ถึงกลางเดือน ๑๑ ทำไมตรงกับเมืองไทยพอดี?''

    ฯลฯ

    ข้อสงสัยเหล่านี้ ประจวบกับ ข้อมูลที่ไม่ตรงกันระหว่างสภาพจริงในอินเดีย และในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสภาพภูมิประเทศ ประเพณี วิถีชีวิต โบราณคดี สถาปัตยกรรม ภาษา หลักฐาน/ตำนานไทย ฯลฯ ประกอบกับงานเขียนของพระธรรมเจดีย์ (ปาน) จุดชนวนทำให้พวกเราทำการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ขึ้น
    ในอินเดียปัจจุบัน มีโบราณสถานและโบราณวัตถุจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับที่มีในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

    นอกจากโบราณสถานที่อ้างว่า เป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรม ปรินิพพาน และอีก 2-3 แห่งที่เมืองสานจี ถ้ำอาชันตา และนาลันทาแล้ว รวมทั้งสิ้นประมาณ ๑๒๑ แห่งแล้ว ไม่มีโบราณสถานอื่น เช่น พระพุทธบาท เจดีย์ วิหาร ฯลฯ หลงเหลือให้เห็นเลย แม้แต่ที่อ้างว่า พระเจ้า อโศกมหาราชสร้างวิหาร 84,000 วิหารถวายเป็นพุทธบูชา ก็ต้องถามว่า อยู่ที่ไหนบ้าง

    พระเจ้าอโศกมหาราช จึงมี ๒ พระองค์ คือ พระเจ้าอโศกแขกที่ Sir Alexander Cunningham อ้างว่า ได้เขียนเสาจารึกพระเจ้าอโศกด้วยอักษรพราหมี กับพระเจ้าอโศกของไทย (พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช) ที่ครองเมืองอโสกไทย (เมืองปาตาลีบุตรหรือฮ้างหลวง) ซึ่งขณะนี้ มีหลักฐานเด่นชัดว่า เมืองปาตาลีบุตรอยู่ห่างจากศรีสัชนาลัย ๒-๓ ชั่วคืน (จารึกวัดศรีชุม) และพระเจ้าเทวานัมปิยัน ปิยทัสสี(Devanum Piyan Piyatassi) ซึ่งแขกอ้างว่า คือ พระเจ้าอโศกมหาราช กับพระเจ้าอโศกไทยที่ทำสังคายนาพระไตรปิฎกและสร้างวัดวิหาร ๘๔.๐๐๐ แห่ง เป็นคนละองค์กัน

    ในดินแดนสุวรรณภูมิ มีเจดีย์ พุทธวิหาร พระบรมสาริกธาตุ พระพุทธบาทมากมายรวมกันเป็นหมื่นแห่ง เช่น พระเสมหธาตุ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงอาเจียน ออกมาเป็นพระโลหิต ก็มีพบเห็นที่วัดเพชรพลี จังหวัดเพชรบุรี นอกจากนี้ ยังมีถ้ำพระพุทธฉาย รอยพระพุทธบาท อยู่หลายแห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ

    ในสมัยพระพุทธกาล ประเทศเขมรเป็นดินแดนที่เรียกว่า "กุรุราฐ" (แดนทราย กุรุ=ทราย) ส่วนใหญ่เป็นแผ่นดินล้อมรอบด้วยทะเล ชายฝั่งทะเลด้านเหนืออยู่ที่ฝั่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเห็นได้ชัดเจน คือเขาพระวิหาร จะเป็นเชิงเขาลึกลงไป เพราะเป็นทะเลลึกในอดีตกาล ในพงศาวดารกรุงเก่า ระบุไว้ชัดเจนตอนพระนเรศวรเสด็จไปปราบพระยาละแวก และทำพิธีปฐมกรรม สมเด็จพระนเรศวรได้เอ่ยถึงเขมรว่าเป็น "อินทปัตถ์นครแห่งกุรุรัฐ" หรือ กุรุราฐ.
    สภาพภูมิประเทศ ของเนปาล และอินเดียในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกหลายประการที่เกี่ยวกับปราสาท 3 ฤดู ช่วงเวลา เข้าพรรษา และระยะทางจากเมืองต่างๆ ตามที่ปรากฏในพระสูตร และตามที่เป็นจริง

    ปราสาท 3 ฤดู ตามพุทธประวัติ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถเจริญวัย พระราชบิดาได้โปรดให้สร้างปราสาท 3 ฤดู คือ ปราสาทฤดูร้อน ปราสาทฤดูฝน และปราสาทฤดูหนาว

    แต่เมื่อดูที่ตั้งในเนปาล ดินแดนที่อ้างว่าเป็นที่ตั้งของกรุงกบิลพัสดุแล้ว ปรากฏว่า อยู่เหนือเส้นขนานที่ 24 จัดอยู่ในเขต Tropic of Cancer ซึ่งมี 4 ฤดู ประเทศเนปาลตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัยซึ่งโดยทั่วไปจะมีอากาศเย็น ดังนั้นกรุงกบิลพัสดุซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาท 3 ฤดูจึงไม่น่าจะอยู่ใน ประเทศเนปาล


    ช่วงฤดูเข้าพรรษา ตามพระวินัยกำหนดให้พระอยู่ประจำพรรษา 3 เดือนในช่วงเดือนสิงหาคม-กลางเดือนตุลาคม (กลางเดือน ๘ - กลางเดือน ๑๑) ตรงกับช่วงเข้าพรรษาในเมืองไทยไม่คลาดเคลื่อนเลย

    แต่ในเนปาล และอินเดียตะวันตก จะมีฝนตกในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ดังนั้นการกำหนดช่วงเข้าพรรษา จึงน่าจะไม่ใช่กำหนดตาม สภาพ ภูมิศาสตร์ในเนปาลหรืออินเดียตะวันตก แต่น่าจะกำหนดตามสภาพภูมิศาสตร์ ในดินแดน สุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นที่ตั้งของไทย ลาว เขมร พม่า และมอญในปัจจุบัน เพราะแม้ เหตุการณ์จะผ่านไปกว่าสองพันปีช่วงเวลาเข้าพรรษาก็ตรงกับที่บัญญัติไว้ในพระวินัย
    สถาปัตยกรรมที่ปรากฏอยู่บน สิ่งปลูกสร้างและเจดีย์ต่างๆ ในประเทศไทย มีลักษณะโดดเด่นในด้านความสวยงาม ประณีต อ่อนช้อย ไม่มีใครเหมือน และยืนยงอยู่เป็นพันๆ ปี

    รูปร่างวัด โบสถ์ และเจดีย์ทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในดินแดนสุวรรณภูมิ มีลักษณะ เด่น แตกต่างจากของ แขกอย่างสิ้นเชิง

    ในดินแดนสุวรรณภูมิ ไม่ว่าจะเป็นในไทยลาว พม่า มอญ มีวัด วิหาร และโบสถ ์เป็นจำนวนหลายหมื่นแห่ง บางวัดมีอายุกว่า สองพันปี ลักษณะเด่นเหล่านี้ ถ่ายทอด มาถึงวัดไทยในปัจจุบัน แม้จะมีความแตกต่าง กันบ้างในแต่ละภูมิภาค แต่องค์ประกอบ ยังคงเหมือนกัน
    ส่วนวัดในอินเดียหรือเนปาลในปัจจุบัน มีลักษณะออกไปทางฮินดู ไม่ประณีต แม้แต่พระเจดีย์ ที่พุทธคยาก็มีรูปร่างแปลก ฝีมือการก่อสร้างก็มีความประณีตสู้พระเจดีย์ ในประเทศไทย เช่น ที่วัดอรุณ พระแก้วมรกต พระธาตุพนม จังหวัดหนองคาย หรือ พระมหาเจดีย์ที่ผาน้ำย้อย จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นต้น สถานที่สร้าง ครอบพระพุทธรูปปางไสยาสน์จำลอง ที่เมืองซึ่งอ้างว่าเป็นกุสินาราย ก็สร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่พระเศียรหนุนหมอน แต่ในพระคัมภีร์บรรยายว่า ซึ่งประทับนอน โดยใช้พระหัตถ์ขวาหนุนพระเศียร เป็นต้น.

    หากพุทธสถาปัตยกรรมมาจากอินเดีย ทำไม เจ้าของไม่มี อะไรหลงเหลือไว้ให้ลูกหลานได้ภาคภูมิใจ จึงไม่ง่าย ไปหรือ ที่เราจะไปเชื่อว่า เรานำพุทธสถาปัตยกรรม มาจากอินเดีย

    พุทธศิลป มีความ ละเอียดอ่อนมาก ต้องการช่างศิลป ที่มีจิต ศรัทธาในการสร้างสรรค์ ผลงาน และมีนายทุน ที่มีความเลื่อมไสศรัทธา จึงสามารถ สร้างผลงาน พุทธสถาปัตยกรรม ที่ประณีต โดดเด่น ดังที่พบเห็นในวัดโบราณทั้ง ในต่างจังหวัด และในเมืองใหญ่หรือในกรุงเทพมหานคร
    วิถีชีวิตของบรรดาพระภิกษุ พระภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และชาวบ้านชาวเมืองดังที่ปรากฏใน พระไตรปิฎกกับ กับวิถีชีวิตชาวอินเดียและเนปาลในปัจจุบัน มีหลายอย่างที่ขัดแย้งกัน อาทิ ความใจกว้าง ความใจบุญ อาหารการกิน พืชพันธุ์ธัญญาหาร เป็นต้น

    นิสัยใจคอของชาวอินเดีย ในกลุ่มคนไทยเป็นที่รู้กันเมื่อถามว่า เห็นแขกและงู คนไทยจะ ตีอะไรก่อน คำตอบก็คือ ตีแขกก่อน ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะ แขกที่คนไทยรู้จัก เป็นคนอย่างไรย่อมเป็นที่เข้าใจกัน ดังนั้น เมื่ออ่านพบว่า มีเรื่อง เศรษฐีใจ บุญ ที่ตั้ง โรงทานแจกทาน คนยากจน สร้างมหาวิหารถวายพระพุทธองค์ ปรากฏในพระไตรปิฎก เช่น อนาถปิณฑิก(มหาอุบาสก) เศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี (ตำบลสาวะถี ขอนแก่น) หรือ เศรษฐีธนัญชัยบิดาของนางวิสาขามหาอุบาสิก ที่พระเจ้าพิมพิสารทรงอนุญาตให้อพยพมาอยู่แคว้นโกศลตามคำขอของพระราชาปทีปเสนธิโกศล และได้มาสร้างเมืองสาเกต(ร้อยเอ็ด) ฯลฯ ก็น่าจะยอมรับได้ว่า ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่อยู่ในดินแดนสุวรรณภูมินี่เอง

    ข้าวที่บริโภคในสมัยพระพุทธกาล สิ่งที่พระภิกษุไทยแปลกใจมาก ก็คือ พระพุทธองค์ เสวยข้าวเหนียว ทั้งนี้ รวมทั้งข้าวปธุปายาส (ข้าวทิพ) และข้าวยาคู ก็ทำจากข้าวเหนียว

    คำว่า "ในบ้าน" ดังปรากฎอยู่ในเรื่องราวต่างๆ ในพระไตรปิฎก หมายถึง "ในหมู่บ้าน" เป็นคำที่ชาวอิสาน ใช้กันแม้ในปัจจุบันนี้ เช่น "แม่ใหญ่จะเข้าไปในบ้าน เพื่อซื้อหมากพลู...." อยากทราบว่า อินเดียใช้ในความหมาย อย่างนี้หรือไม่ ใครทราบช่วยบอกด้วย
    ในประเทศไทย ลาว เขมร พม่าและมอญ การดำเนินชีวิตกลมกลืนกับเรื่องราวในพระไตรปิฎก คนถิ่นนี้ โดยเฉพาะคนไทย-ลาว จึงอ่านเรื่องราวในชาดก หรือพระสูตร อย่างเข้าใจ เพราะไม่มีอะไรขัดแย้งกับที่เคยพบเห็นในอดีตหรือปัจจุบัน

    ้พืชพันธุ์ธัญญาหาร มากกว่า ๒๖๔ ชนิดที่ได้กล่าวถึงในพระไตรปิฎกเป็นพืชท้องถิ่นของสุวรรณภูมิ อาทิ

    "หญ้ากับแก้" หญ้าชนิดหนึ่ง ที่พระพุทธองค์เสวยแทนอาหาร เมื่อครั้งแสวงหาสัจธรรม (หญ้ากับแก้ เป็นภาษาอีสาน ภาษากลางคือ หญ้าตุ๊กแก) หลังจากที่ทรงอดพระยาหาร จนผมหนังติดกระดูก พระองค์จึงเริ่มเสวยดูดน้ำจากหญ้ากับแก้นี้ก่อน หลังจากนั้นก็เสวยผลกะเบา แล้วจึงเสวยพระกระยาหารปรกติ

    "ลูกกะเบา" ก็เป็นพืชที่เกิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียง เหนือ ลูกกะเบาใช้รักษาโรคเรื้อนได้

    "เล็บเหยี่ยว" (ลูกเล็บแมวของอิสาน) พระพุทธองค์อนุญาตให้นำมาทำเป็นน้ำปานะได้

    "ชมพู" คือลูกหว้าชมพู ซึ่งเป็นลูกหว้าขนาดใหญ่ มีสีและขนาดเหมือนลูกเชอรี่ ประเทศอินเดียมีลูกหว้าขนาดใหญ่กว่าหว้าชมพู แต่ชาวอินเดียไม่ได้ใช้คำว่า "ชมพู" เป็นชื่อเรียกลูกหว้าชนิดนั้น
    ภาษามคธ เป็นภาษาของชนชาติไทยโบราณ เนื่องจากเป็นภาษาที่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่า บาลี ซึ่งแปลว่า คำสอน ภาษามคธจึงนิยมเรียกว่า ภาษาบาลี

    ภาษาบาลี เป็นของชาวสุวรรณภูมิ แต่กลายเป็นของอินเดีย เพราะฝรั่ง เช่นกัน หนึ่งใจจำนวนนั้นคือ คุณหมอบลัดเลย์ ผู้ร่วมก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราช และผู้ก่อตั้งโรงเรียนอรุณประดิษฐ์ จังหวัดเพชรบุรี และเป็นผู้ตั้งโรงพิมพ์แห่งแรกในประเทศสยาม คุณหมอบลัดเลย์ท่านบอกว่า อักษรไทยมาจากอินเดียใน พ.ศ. ๒๔๑๓

    ภาษามคธ มีอักษรที่ใช้จารึก เรียกว่า อักษรธรรม ซึ่งออกแบบให้เขียนตามหลักไวยกรณ์และหลักการสังโยคภาษาบาลี เช่น ตำแหน่งพยัญชนะและสระจม สระลอย ใบลานส่วนใหญ่ที่พบเห็นที่อิสานหรือทางเหนือ ล้วนเป็นพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาหรือเกี่ยวเนื่องกันทั้งนั้น

    หากภาษาบาลีไม่ใช่ภาษาของชาวเหนือและอิสานแล้ว เหตุใดการประดิษฐ์อักษร จึงสอดคล้องความต้องการใช้ในภาษาบาลี

    อักษรขอมก็เช่นเดียวกัน เป็นอักษรไทยที่ขุนขอมไทยประดิษฐ์ขึ้น 15 ปีหลังจากน้องชายของท่าน คือ ขุนสือไทย คิดลายสือไทยขึ้นเมื่อปีอิน 1235 (6,765 ปีมาแล้ว) ลายสือไทยและลายขอมไทยจึงเป็นอักษรไทย ไม่ใช่ของเขมร และไม่คำว่า “ภาษาขอม” มีเฉพาะ “อักษรขอม” นักภาษาไทยควรใช้คำให้ถูกต้อง

    ดังนั้น ภาษาธรรมที่ใช้บันทึกคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งมีหลักฐานว่า มีภาษาเขียนแล้ว เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสคำว่า “ใบลานเปล่า” “มา ปิฎก...ไม่ให้เชื่อตำรา....” มาตั้งแต่ครั้งที่ทรงพระชนม์อยู่

    นอกจากนี้ การใช้ภาษาบาลีและภาษาไทยลาวควบคู่กันมีรูปแบบที่ชัดเจน ที่แสดงว่า ชาวมคธกับชาวไทยลาวเคยอยู่ร่วมกันหรือเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน หากแต่ว่าสองพันกว่าปีทำให้ภาษากรายเป็นอย่างปัจจุบัน โปรดดูข้อสังเกตของคุณอาตม ใน"ความจริงซึ่งไร้หลักฐานทางเอกสาร ที่นักวิชาการต้องหัวร่อ"

    การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑ ต้องมีการบันทึกลงใบลานแล้ว มิใช่จดจำหรือเป็น “มุขปาฐะ” ดังที่สั่งสอนกันว่า มีการบันทึกลงใบลานครั้งแรกในสังคายนาครั้งที่ ๔ ที่ลังกา

    ต่อไปนี้ แสดงให้เห็นว่า ภาษาบาลี อยู่ในสุวรรณภูมิ

    6.1 ชื่อเมือง แม่น้ำ ป่า คนฯลฯ ในสุวรรณภูมิส่วนมากใช้ภาษาบาลี เช่นแม่น้ำกุกกนที (แม่น้ำกก) แม่น้ำ ขรนที หรือ แม่น้ำธนนที (แม่น้ำโขง) ธนมูลนที (แม่น้ำมูล) ชีวายนที (แม่น้ำชี) ลัมภคารีวัลย์ (ลำปางหลวง) ฯลฯ จึงมั่นใจว่า ภาษามคธหรือภาษาบาลี เป็นภาษาดั้งเดิมที่ชาวไทยลาวใช้ในแดนสุวรรณภูมิ ดังนั้นแคว้นมคธ จึงน่าจะอยู่ในแดนสุวรรณภูมิมากกว่าอยู่ในอินเดีย
    แม้แต่คำว่า “ของลับ” ที่ใช้กันในภาษาไทยและลาว ก็เป็นภาษาบาลี คือ “คุยห” ที่มีการแผลงสระอุ เป็น ว (ภาษากลาง) หรือ ตัดไปเลย (ภาษาอิสาน) ส่วน “ห” เสียงหายไป

    อีกคำหนึ่งคือ กาลามะ ที่มาของ “กาลามสูตร” ก็มาจากพวก “กุลา” แผลง อุ เป็น อะ และเป็นอา ชาวกุลาเป็นชนเผ่าหนึ่งทางภาคอิสาน อาศัยอยู่แถวทุ่งกุลาร้องไห้

    6.2 วัฒนธรรม ของสุวรรณภูมิมีมายาวนาน ตามการศึกษาจากกระเบื้องยางที่คูบัวของพระราชกวี (อ่ำ ธัมมทัตโต) แห่งวัดโสมนัสวิหาร

    ถ้าเทียบกับภาพยนตร์ ก็คล้ายกับว่า Episode 1 2 3 หรือหนังม้วนแรกๆ ที่บอกว่า อินเดียนำวัฒนธรรมไปจากดินแดนสุวรรณภูมิเมื่อหลายพันปีมาแล้วเกิดสูญหายไป เหลือแต่ Episode 4, 5, 6 หรือหนังม้วนหลังๆ ที่ฉายให้เห็นว่า วัฒนธรรมอินเดียแผ่ซ่านมาถึงดินแดนสุวรรณภูมิ อะไรต่ออะไรจึงกลายเป็นของอินเดียหมด แม้แต่ศาสนาพราหมณ์ ภาษาบาลี เป็นต้น

    ข้อมูลใหม่ (ข้อมูลจาก คุณกฤตกิตติศักดิ์ ไพตรีจิตต์ นักศึกษาประวัติพุทธศาสนา-ไต้หวัน)

    หลักฐานเอกสารหนึ่งที่แสดงว่า ภาษาบาลีเกิดขึ้นในดินแดนไทย คือ หนังสือ O. von Hinuber. Seleced Papers on Pali Studies. Oxford: The Pali Text Society,1994, ที่มีเนี้อหาบางตอนได้กล่าวถึง คำว่า "บาลี" ว่า ชาวตะวันตกได้รู้จักคำว่า "บาลี" หรือ "ภาษาบาลี" เป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 17 โดย M. Simon de la Loubere ซึ่งเป็นเอกอัครราชฑูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งราชอาณาจักรฝรั่งเศส ได้ถูกส่งมาประจำที่ไทย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ ค.ศ.1687 (พ.ศ. 2230) โดยกล่าวว่า บาลีเป็นภาษาที่คณะสงฆ์ได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย หลักฐานนี้สนับสนุนว่า ภาษาบาลีเกิดในประเทศไทย และแสดงให้เห็นว่า ชาวตะวันตกได้รู้จักภาษาบาลีครั้งแรกจากประเทศไทย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า ทำไมฝรั่งไม่ได้รู้จักชื่อ "บาลี" นี้จากที่อื่น ทั้งๆ ที่ในสมัยนั้นฝรั่งตะวันตกจากประเทศต่าง ๆ ได้ออกไปล่าอาณานิคมในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศรีลังกาและอินเดีย ฯลฯ แต่ก็ไม่มีการกล่าวถึงภาษาบาลีเลย มีที่กล่าวถึงก็เฉพาะภาษาสันสกฤต (ที่ชาวอังกฤษบางคนชื่อ James Prinsep เป็นผู้เชี่ยวชาญ) อาจเป็นไปได้ว่า ภาษาบาลีที่คณะสงฆ์ในแถบประเทศอื่น ๆ ใช้นั้น ไม่ได้มีการใช้กันอย่างกว้างขวาง หรือเด่นชัดเท่ากับที่ใช้ในประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นต้นฉบับของภาษาบาลี จึงมีการใช้ภาษาบาลีกันอย่างแพร่หลาย แม้ว่าเวลาจะห่างจากสมัยพุทธกาลตั้ง สองพันปีมาแล้ว ประเทศไทยมีพระสงฆ์และประชาชนที่สามารถอ่านและเขียนภาษาบาลีมีจำนวนมากที่สุดในโลก ไม่ใช่ชาวอินเดียอย่างที่เข้าในกัน
    ตำนาน แม้ว่าจะไม่เป็นที่ยอมรับว่า เป็นเอกสารที่อ้างอิงได้ของนักประวัติศาสตร์ที่ยึดแนวตะวันตก แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ตำนานส่วนใหญ่เป็น "มุขปาฐะ" หรือ "Oral Tradition" ที่บรรพบุรุษได้เล่าเรียงต่อกันมา แม้จะมีการแต่งเติมบ้าง ก็เชื่อว่า แก่นของเรื่องยังมีให้เห็นพอที่เราจะใช้สืบสาวเรื่องราวหาหลักฐานทางรูปธรรมมาสนับสนุนได้

    ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพงศาวดารเหนือและใบจารลาว/อิสาน ได้อ้างอิงหลักฐานการเกิดพระธาตุและ เจดีย์ต่างๆ ไว้มากมาย

    ในพงศาวดารเหนือ เรื่องราวที่พบมากที่สุดเกี่ยวโยงกับพุทธประวัติ และการเกิดขึ้นของเมืองต่างๆ เช่น โยนกเชียงแสน และการที่พระพุทธองค์ พร้อมกับ พระยาอโศก(คนละองค์กับพระเจ้าอโศกมหาราช) กับพระอานนท์ หรือพระเถระองค์อื่นเสด็จไป ณ ที่ต่างๆ ได้ประทาน พระเกศาให้เจ้าเมือง หรือชาวบ้านเก็บไว้บูชาพร้อมกับพยากรณ์ว่า ที่แห่งนั้นในอนาคต จะเกิดอะไรขั้น มีใครมาครอง แล้วจะเป็นที่ตั้งของพระบรมธาตุเจดีย์ หรือวิหารชื่ออะไร ดังปรากฏ ในตำนานพระเจดีย์แต่ละแห่ง

    ส่วนในใบลานจารของลาว ก็มีการเอ่ยชื่อ เมืองที่ปรากฏในพระไตรปิฏก เช่น เมืองคันธาง เมืองสาเกต(ร้อยเอ็ด) เมืองปาวาย (เมืองโบราณริมแม่น้ำปาว) และกรุงกบิลพัสดุ์
    หลังจากตั้งเมืองใหม่ตามคำแนะนำของฤษีกบิลซึ่งเป็นพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า ได้มีกษัตริย์ปกครอง ๘๔,๐๐๐ องค์ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นนครพิชัยเชตุดรในสมัยพระเวชสันดร หลังจากมีกษัตริย์ปกครอง ๑๖๓,๐๐๐ องค์ก็เปลี่ยนกลับมาเป็นกรุง กบิลพัสดุ์อีก ซี่งก็คือจังหวัดอุดรในปัจจุบัน

    ชาวลาวและชาวอิสานเชื่อกันต่อเนื่องกันมาว่า พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากพระเวสสันดร ดังจะเห็นได้จากการฉลองงาน "บุญผะเหวด" ยิ่งใหญ่กว่าทุกภาค

    หลักฐานอีกประการหนึ่งที่ยืนยันว่า พระเวสสันดรและพระนางมัทรีอุบัติขึ้นในอุดร (กรุงกบัลพัสดุ์และกรุงสัญชัย หรือพิชียเชตุดร) และอำเภอด่านซ้าย (กรุงเทวทหะ) ในจังหวัดเลยก็คือพิธีแห่ "ผีตาโขน" จากหนังสือ "กินนรี" ของการบินไทย หน้า ๔๑ เขียนว่า ผีตาโขน ...มาจาก "ผีตามคน" ด้วยความเชื่อที่ว่า เมื่อพระเจ้ากรุงสัญชัยกับพระนางผุสดีไปเชิญพระเวสสันดรและพระนางมัทรีกลับเมือง ขบวนแห่เข้าเมืองมีคนป่าที่เคยปรนนิบัติและเคารพรักพระเวสสันดรร่วมขบวนมาส่งด้วย ต่อมาก็เพี้ยนเป็น ผีตาขน และ ผีตาโขนในที่สุด..
    นอกจากที่กล่าวมาตามหัวข้อต่างๆ แล้ว ก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตมากมายเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ในทาง พระพุทธศาสนา อาทิ
    หากพระภิกษุอยู่ในเนปาล ซึ่งอยู่เชิงเขาหิมาลัย อากาศคงหนาวมาก พระภิกษุจะอยู่ได้อย่างไรโดย ครองจีวรบางๆ ไม่กี่ชิ้น และไม่สวมรองเท้า ยิ่งในช่วงสองพันปีมาแล้วคงหนาวเยือกเย็นกว่า ปัจจุบันเป็นอย่างมาก (แค่ ๓๐ ปี กรุงเทพก็มีอากาศเย็นกว่าในปัจจุบัน)

    ไม่มีการเอ่ยถึงหิมะ ในความหมายของ Snow ในพระไตรปิฎก แต่ใช้เฉพาะหิมะในความหมายของ ความเห็น หิมพานต์ มาจาก หิมะ (เย็น) + วนต (มี)=มีความเย็น ส่วนใหญ่ เข้าใจว่า เป็นน้ำค้าง ป่าหิมพานต์ คือ ป่าน้ำค้าง เพราะไม่เย็น ก็จะไม่มีน้ำต้าง จึงหมายถึงป่าดงดิบทางเหนือ หรืออิสาน ซึ่งปัจจุบัน ก็ยังมีหมอกเป็นน้ำค้างฝอยเม็ดโตๆ พรั่งรูลงมาให้เห็นกันอยู่ ป่าหิมพานต์จึงหมายถึง ป่าบริเวณภูพาน เขาใหญ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ เลย และภาคเหนือ

    ฤาษีที่ห่มหนังเสือ ไม่ปรากฏในอินเดีย พบเห็นแต่ในเมืองไทย เพราะอากาศเมืองไทย เอื้อที่จะให้ฤาษี ห่มหนังเสือได้ ในพงศาวดารพระนโรศวร กับ พระเอกาทศรถ เคยยกกองทัพผ่านวัด "ฤษีซุม" (วัดที่มีฤาษีมาก)




    หน่วยวัดระยะทาง ในพระไตรปิฎกใช้หน่วยวัด เป็น โยชน์ เส้น งาน วา ศอก คืบ ตรงกับที่ใช้ในดินแดนสุวรรณภูมิโดยเฉพาะในประเทศไทย ส่วนในอินเดียไม่ได้ใช้หน่วยวัดระยะทางตามที่กำหนดไว้ในพระไตรปิฎก

    ในสมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา บรรพบุรุษของไทยใช้หน่วยวัดนี้อย่างต่อเนื่อง เช่น ระยะทางที่พระเจ้าปราสาททองเสด็จจากวังหลวงไปยังพระตำหนักพักร้อนซึ่งอยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะอยุธยาโดยทางชลมารค มีระยะทาง ๓๙๐ เส้น (เกือบ ๑๖ กิโลเมตร) จากที่ประทับพักร้อนไปถึงตำหนักท่าเรือฝั่งตะวันออกของคือพระตำหนักเจ้าสนุกห่างออกไป ๖๖๐ เส้น (ประมาณ ๒๔ กิโลเมตร) ในเขตสระบุรีปัจจุบัน แล้วจึงเสด็จไปประทับที่ตำหนักธารเกษม(ธารทองแดง) ซึ่งอยู่เชิงเขาพระพุทธบาท เป็นต้น

    ที่มา :คุณเชื่อหรือไม่ว่า พุทธศาสนาเกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ใช่เนปาลหรืออินเดีย จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net
     
  8. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    เอาไปรวมกับเริ่องเดิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2012
  9. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    คุณเชื่อหรือไม่ว่า พุทธศาสนาเกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ใช่เนปาลหรืออินเดีย

    ผมตอบตรง ๆ เลยว่าไม่เชื่อครับ ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าผู้ใดมีโอกาสไปเที่ยวอินเดียตั้งแต่เหนือจรดใต้ก็จะพบหลักฐานสิ่งก่อสร้างมากมายของพุทธศาสนา ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศก หลังพุทธปรินิพพานเพียงสองร้อยกว่าปี จากนั้นสิ่งก่อสร้างก็ล้วนประณีตขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ถ้ำอชันต้า จนถึงมหาวิทยาลัยนาลันทาที่ถูกแขกมุสลิมทำลายเมื่อราว พ.ศ. 1700 ปี แล้วลองมองหาวัตถุอ้างอิงในเมืองไทยดูสิ คงพบแต่พระปฐมเจดีย์ที่เชื่อว่าสร้างสมัยพระเจ้าอโศกส่งพุทธสาวกมาประกาศพระศาสนา

    ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นคนไทยหรือไม่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเล่าไว้จากพระโอษฐ์ของท่านว่าท่านเป็นชาวสักยะ คือแขกขาว ใครจะสันนิษฐานอย่างไรก็ว่ากันไปเถอะ แต่คำสอนของพระพุทธเจ้ามีคุณค่าแก่ชาวโลกอย่างแท้จริงครับ แค่คิดชั้นเดียวว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เราได้รับมาเป็นภาษาบาลี ที่เป็นมหายานเป็นภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาของอินเดียทั้งสอง แค่นี้ก็เป็นหลักฐานเอกแล้วครับ

    เรื่ิองพุทธเจ้าเกิดในเมืองไทยนี้เป็นเรื่องของเด็กอนุบาลฝันเฟื่อง ไม่ต้องอ้างถึงพระบิดาประวัติศาสตร์ไทย แค่ไปถามน้องเบส ณัฐวัตร ครองชนม์ แฟนพันธุ์แท้พุทธทาส แกก็ยืนยันโดยไม่ต้องคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดในเมืองไทย ทั้งไม่ใช่พม่าหรือมอญ

    เรื่องนี้เล่าในเว็บพลังจิตนี่ก็พอนะครับ อย่าให้คนภายนอกได้ยิน อายจนไม่รู้จะอายอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2012
  10. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    เมื่อหลายปีก่อนผมชอบเข้าไปอ่านลานธรรมเสวนา เว็บบอร์ดของเขามันคึกคักมากนะ พอ ๆ ของพลังจิตเดี๋ยวนี้ วันนี้ผมลองเข้าไปดู อ้าว บ้านหลังนั้นถูกทุบทิ้งไปแล้ว กลายเป็นลานธรรมใหม่ที่คนไม่นิยมเหมือนเก่าซะแล้ว อะไร ๆ ดูเปลี่ยนไปหมด ยังไม่รู้เหมือนกันคนเก่า ๆ ไปใช้เว็บไหนกันหมด มีใครที่เป็นสมาชิกเก่าแก่ของลานธรรมที่อ่านกระทู้นี้อยู่บ้าง ช่วยรายงานเรื่องราวให้ทราบหน่อยครับ
     
  11. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    เทพธิดาปลุกให้ตื่น

    กุฏิพระที่แค้มป์สนนั้นเป็นกุฏิทรงไทยหลังเล็ก ๆ หลังคาเป็นสังกะสีสีเขียว ผนังก่อด้วยอิฐทาสีแดงออกน้ำตาล ภายในกว้าง 2.5x3 เมตรเห็นจะได้ พื้นปูด้วยไม้ปาเก้ ข้างในห้องไม่มีอะไรนอกจากโถส้วมที่ซ่อนอยู่ที่พื้นโดยมีฝาไม้ปาเก้ปิดอยู่ก็มองไม่เห็นว่ามีโถส้วมซ่อนอยู่ ท่านคงทำไว้เผื่อพระอาพาธ เพราะถ้าจะไปห้องน้ำรวมก็อยู่ไกลออกไป

    ด้านหน้ากุฏิเป็นสนามหญ้า มีแผ่นซีเมนต์สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่วางเป็นทางเดินหน้ากุฏิ พออาศัยเป็นที่เดินจงกรมได้

    โดยปกติเมื่ออยู่ป่าผมก็นอน 4 ทุ่ม ตื่นตี 3 ก็นั่ง ๆ เดิน ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ส่วนแนวปฏิบัตินั้นก็ใช้หลักนายพรานส่องสัตว์ที่เคยเล่ามานั่นเอง

    เช้ามืดวันหนึ่ง เมื่อผมนั่งจนถึงเกือบตี ๕ ก็รู้สึกง่วงมาก จะออกไปเดินก็ขี้เกียจ ก็คิดว่านอนสักงีบก็ดีเหมือนกัน ก็เอนตัวลงนอนหงาย พลันก็รู้สึกเจ็บแปลบเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต เหมือนมีกระแสไฟแล่นไปตามกระดูกสันหลัง พลันก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกว่า
    “หลวงพี่ ๆ ตื่น ๆ นั่งสมาธิ” เสียงชัดเจน ไม่ได้ฝันเพราะยังไม่ทันหลับ ก็สงสัยเอ๊ะ ยังไม่สว่างเลยใครมาเรียก ก็รู้ด้วยเหตุผลว่าต้องเป็นเสียงจากอีกมิติหนึ่ง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีหญิงสาวที่ไหนถ่อกายมาปลุกถึงเช้ามืดเช่นนี้ จึงคิดถามในใจว่า “เธอเป็นใคร” ก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักกันหลายคน แล้วเสียงก็ค่อยแว่วไกลออกไป จึงคิดถามว่า “ให้ฉันเห็นหน้าพวกเธอหน่อยสิ” ก็ได้ยินแต่เสียงหัวเราะแล้วเสียงก็ค่อย ๆ ไกลออกไป ก็เลยคิดว่า “ไม่ให้เห็นก็ไม่เป็นไร วันนี้ฉันนั่งภาวนาจะส่งบุญให้พวกเธอนะ” ก็ได้ยินว่า “จริงหรือ ๆ “ เป็นเสียงดีใจตื่นเต้น แล้วค่อย ๆ แว่วหายไป แล้วผมก็รู้สึกตัวเต็มที่

    อาการเสียวแปลบเหมือนไฟช็อตนี่ผมเป็นบ่อยมาก เวลาเกิดขึ้นมักอยู่ในช่วงเอนตัวลงนอน แล้วจะได้ยินเสียงจากมิติทุกครั้ง แต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังกลัวเขาจะหัวเราะเยาะเอา แม้อาจารย์พรถามก็ไม่เล่า เล่าแต่เรื่องที่มีคนมาเรียกทำสมาธิ คุณศรีเพ็ญบอกว่าแถวนี้มีเทวดาอยู่เยอะ

    วันนั้นผมทำสมาธิไม่ได้เป็นสมาธิอะไรเลย เพราะจิตปรุงเรื่องนางเทพธิดาทั้งวัน ก็ไม่รู้ว่ามีบุญให้เขาหรือเปล่า และตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครมาเรียกอีก
     
  12. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    เคยอ่านอยู่เหมือนกันค่ะว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย เป็นงานวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัย ตอนหลังพยายามผลักดันเข้าสภาเพื่อให้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ใหม่....ส่วนตัวไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ค่ะ เพราะเรื่องมันนมนานมาแล้ว จริงเท็จอ่านแล้วเวียนหัว...(tm-love)
     
  13. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ประวัติศาสตร์ของมนุษย์มันแปรเปลี่ยนตลอด มันไม่คงที่ กาลเวลาตั้ง 2500 กว่าปี บางอย่างมันไม่มีอะไรเหลือให้เป็นหลักฐาน จะหยิบเอาเหตุปัจจัยในปัจจุบันมาเทียบเคียงก็ยาก เช่นในสมัยนี้คนเนปาลมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนไทย เราก็ไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้มาจากไหนสมัยใดจึงไปอยู่ที่นั่น ส่วนคนกลุ่มเดิมที่อยู่ที่เมืองกบิลพัสดุ์นั้นถูกพระเจ้าวิฑูรจากเมืองสาวัตถียกกองทัพเข้าไปฆ่าล้างโคตรในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ไปห้ามทัพถึง 3 ครั้ง พระเจ้าวิฑูรไปพบเข้าก็ยกทัพกลับทุกครั้ง แต่แค้นไม่หายจากใจจึงยกไปครั้งที่ ๔ พระพุทธเจ้าทรงใคร่ครวญเห็นกรรมที่พวกศากยะทำไว้ในอดีต จำต้องรับกรรมร่วมกันท่านก็เลยไม่ไปห้าม

    การฆ่าล้างโคตรครั้งนั้นเหลือรอดมาไม่กี่คน เจ้าศากยะทุกคนถือศีล ๕ ไม่พูดปลด เมื่อทหารถามว่าเจ้าเป็นศากยะหรือไม่ คนไหนตอบว่าใช่ก็ต้องจบชีวิต คนไหนฉลาดก็ตอบเลี่ยงไป เช่นถือหญ้าอยู่ก็พูดว่าหญ้าหาใช่ศากยะไม่ คนนั้นก็รอดชีวิต ต่อมาได้ชื่อว่าศากยะหญ้า คนที่ยืนจับกอไม้อ้ออยู่ก็ตอบว่านี่ไม้อ้อ หาใช่ศากยะไม่ ทหารก็ไม่ฆ่า ต่อมาก็ได้ชื่อว่าศากยะไม้อ้อ แต่จะมีใครทันหนีรอดไปอยู่เมืองอื่นหรือในเมื่อกองทัพยกมาไม่ทันรู้ตัว สมัยนั้นแต่ละเมืองก็ไม่ได้ใหญ่โต พลเมืองก็ไม่ได้มากมาย จะเท่าจังหวัดของเราสักหนึ่งจังหวัดหรือเปล่า

    การไปยึดเอาอดีตเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดจะเปลี่ยนประวัติศา่สตร์เช่นนั้นก็พอ ๆ กับเด็กอนุบาลนะ ยังไร้เดียงสาเหลือเกิน และช่างไม่สมกับเป็นพุทธบริษัท เพราาะท่านไม่ได้ให้ยึดอดีต มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน มันผ่านมาตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปี สิ่งสำคัญคือคำสอนอันทรงคุณค่า ทำไมไม่เอามาปฏิบัติ
     
  14. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ในเรื่องเชื้อชาตินี้มันมีข้อที่ต้องคิดอยู่

    สมัยพุทธกาลนั้นคนอินเดียยึดถือในเรื่องเชื้อชาติวรรณะอย่างรุนแรง เชื้อชาติที่เป็นใหญ่ครอบงำอินเดียอยู่ช่วงนั้นคือแขกขาวที่มีรูปร่างสูงใหญ่ พวกเขาถือตัวว่าเป็นชนชาติที่พัฒนาแล้วจึงนับเป็นวรรณสูงเช่นกษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ เป็นต้น ส่วนพวกที่มีผิวดำ รูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ถือเป็นพวกชั้นต่ำ ถูกเหยียดเป็นศูทรหมด ถ้ามีวรรณะสูงไปผสมพันธุ์กับศูทรก็ถูกเหยียดเป็นจัณฑาล ต่ำช้ายิ่งกว่าสัตว์ เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี่เอง ดร.เอ็ม เบ็ดก้าร์ มีพ่อแม่เป็นคนต่างวรรณะกัน ท่านกับน้องถูกรังเกียจยิ่งกว่าสัตว์ แต่ท่านมีบุญมาก คือมีสติปัญญาเหนือกว่าคนธรรมดา เรียนหนังสือเก่งมาก เรื่องทราบถึงมหาราชา(เป็นตระกูลกษัตริย์เก่า) จึงได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากท่านให้ทุนการศึกษา จกระทั่งได้ไปเรียนที่อังกฤษ และอเมริกา ได้ปริญญาเอกถึง 2 ใบ และเป็นคนร่างกฏหมายให้คนอินเดียใช้มาถึงทุกวันนี้ และเป็นผู้นำพระพุทธศาสนากลับเข้าไปเผยแพร่ในอินเดียอีก หลังจากที่พุทธศาสนาถูกทำลายและทำร้ายจนหายสาบสูญจากอินเดียตั้งพันปี

    ถ้าพวกศากยะคือชนชาติไทยผู้มีผิวเหลืองตัวเล็ก ๆ คิดหรือว่าจะไม่ถูกเหยียดเป็นวรรณะศูตร ถ้าเป็นชนชาติสยามคือไทยผิวดำก็ยิ่งแน่นอน ศูทรเช่นเดียวกับแขกดำที่เห็นในอินเดียทุกวันนี้

    ถ้าเป็นชนชาติต่างผิวตัวเล็ก ๆ คิดหรือว่าพวกกษัตริย์และพราหมณ์เมืองอื่น ๆ จะยอมรับเชื่อฟังคำสั่งสอน ถ้อยคำเสียดสีเรื่องเชื้อชาติมันจะฝังอยู่ในพระไตรปิฎกให้พวกเราได้อ่านกันมาถึงทุกวันนี้

    พระเจ้าพิมพิสารได้พบเจ้าชายสิทธัตถะตอนออกบวชใหม่ ๆ กำลังแสวงหาทางตรัสรู้อยู่ถึงกับปวารณาว่า "ถ้าพระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าให้เสด็จมาโปรดหม่อมฉันก่อนนะ" ก็แสดงว่าเจ้าชายสิทธัตถะและพระเจ้าพิมพิสารเป็นชนชาติเดียวกัน รูปร่างหน้าตาไม่ได้แปลกแยกกัน

    พวกปัญจวัคคีย์คือพราหมณ์ ๕ คน ออกบวชเป็นฤาษีท่องเที่ยวแสวงหาความสงบในป่าเขาแถวนั้น พอรู้ว่าเจ้าชายออกบวชและทรมานตนอยู่ที่ป่าใกล้ที่ตรัสรู้นั้นถึงกับไปนั่งเฝ้านอนเฝ้ารอวันที่พระองค์จะตรัสรู้ พวกนั้นบางคนก็มาจากเมืองกบิลพัสดุ์ บางองค์ก็อยู่เมืองอื่นใกล้ ๆ กัน ก็ลองคิดถึงภาพดูว่าถ้าเจ้าชายสิทธัตถะเป็นคนไทยแบบไทยเหนือ ผิวขาวเหลืองตัวเล็ก ๆ คิดดูสิว่าพวกแขกปัจวัคคีย์ไปนั่งเฝ้านอนเฝ้าเพื่อให้คนผิวเหลืองตรัสรู้มาโปรด มันเป็นไปได้ยังไง และคิดอีกมุมหนึ่ง พวกปัญจวัคคีย์เป็นคนผิวเหลืองไทยแท้เหมือนกัน เขาจะดำรงชีวิตเป็นนักบวชขอเขากินในสังคมแขกขาวหรือดำที่พากันเหยียดผิวอย่างนั้นได้อย่างไร ยิ่งคิดหาเหตุผลก็ยิ่งเห็นความจริง ไม่น่าหลงผิดคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทยได้เลย แล้วยังเอาความคิดนี้ไปยัดเยียดให้หลวงปู่มั่นอีกนะ
     
  15. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    แว่วเสียงซึง

    ความที่กุฏิที่พักของพระนิสิตอยู่ชิดใกล้กัน มันไม่เหมาะที่เราจะมานั่ง ๆ เดิน ๆ อวดเขาอย่างนั้น ผมก็มองหาสถานที่ที่เหมาะกับการบำเพ็ญภาวนา ก็พบเรือนพักคนงานร้างที่ปลูกคร่อมเนินที่ลาดลงไปหาห้วย อยู่ใกล้เจดีย์อิสรภาพที่กำลังสร้างใหม่ แต่หยุดงานก่อสร้างลง มันเป็นบ้านพักที่มุงและบังด้วยสังกะสี มีฝาสังกะสีและประตูอยู่ด้านหน้าที่ติดทางระหว่างเจดีย์ แต่ด้านหลังเปิดโล่งลงไปหาป่าสนที่กำลังปลูกใหม่ในร่องห้วย พื้นห้องปูด้วยแผ่นกระดานไม้สน ดูแล้วมีความมั่นคงพออาศัยได้ ผมก็เลยไปอาศัยที่นั่นนั่งภาวนาในช่วงกลางวันหลังฉันเช้าเสร็จ หลายวันต่อมาก็เลยไปอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ต่อมาก็มีพระครูวัดกัลยาไปอยู่อีกหลังที่อยู่ติด ๆ กัน

    กลางวันวันหนึ่ง ผมเอาบาตรใส่น้ำฝนในโอ่งที่ใสแจ๋วมานั่งเพ่งกสินน้ำ ตาก็เพ่งไป ใจก็ท่องน้ำ ๆ ๆ ๆ จิตก็ค่อย ๆ เคลิ้มเข้าสู่ภวังค์ ผมได้ยินเสียงดนตรีพื้นบ้านแบบทางเหนือ ซึ่งมีสะล้อ ซอ ซึง ขลุ่ย แว่วมา ก็คิดว่าวัดแค้มป์สนเขาจัดงานอะไรหนอ พลันเสียงนั้นก็หายไป อ้อ...ไม่ใช่เสียงจากเครื่องกระจายเสียงนี่ มันเป็นเสียงจากต่างมิติ

    ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกครั้งคราวผมไปเรียนที่อินเดีย ครูสอนภาษาอังกฤษที่นับถือกันเหมือนพี่น้องได้ชวนไปเยี่ยมแม่ที่จังหวัดบ้านนอก ที่นั่นขณะที่จิตผมเคลิ้ม ๆ ลงสู่ภวังค์ก็ได้ยินเสียงเพลงไทยชายหญิงร้องคู่กัน เป็นเพลงที่เพราะมาก แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจนบัดนี้ ตอนนั้นจำได้ทั้งเนื้อร้องทำนองอยู่ มันเป็นเสียงคล้ายดังมาจากวิทยุ พอตั้งใจฟังมันก็แว่วไกลออกไปจนเลือนหายไป

    ได้ความว่าเวลาเรารู้สึกตัวและตั้งใจฟังตั้งใจรู้เราก็ออกมาจากมิติทันที ดังนั้นการที่เราจะสัมผัสได้จิตต้องเข้าภวังค์คล้ายหลับก็ไม่ใช่ตื่นก็ไม่ใช่ เราก็จะไปอยู่อีกมิติหนึ่ง แต่ถ้าจะถามว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นของจริงหรือความคิดปรุงแต่ง ข้อนี้ผมตอบไม่ได้ เพราะเวลาจิตละเอียด ความคิดปรุงแต่งของเราจะเหมือนของจริงมาก ๆ

    หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม จึงว่า”ที่เขาเห็นนั้นเขาเห็นจริง แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่จริง”
     
  16. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    มึงมันดื้อ

    เช้ามืดวันหนึ่งก็อย่างที่เคย เวลานั่งสมาธิตอนเช้าบางครั้งมันง่วงมาก ทนไม่ไหวจริง ๆ ก็จะเอนหลังลงนอน พอหลังแตะพื้นเท้านั้นก็มีเสียงใหญ่ ๆ มีอำนาจดุดันดังขึ้น “มึงนี่มันดื้อจริง ๆ สั่งสอนไม่เอาความ” ผมสะดุ้งเฮือก อ้าว ใคร มาด่ากันได้ไงนี่ แล้วเสียงนั้นก็หายไป ผมลุกขึ้นนั่ง ใจสั่นระริก หัวใจเต้นตุบตับ นั่งใคร่ครวญอยู่ว่ามันอะไรกัน มันความฝันหรือ ก็ไม่ใช่ เพราะเรายังไม่ทันนอนหลับ กำลังล้มหลังแตะพื้นเท่านั้น เมื่อสงสัยก็ลองเอนตัวลงนอนอีก พลันจิตก็วูบเข้าไปสู่มิตินั้นทันที อ้อ..มันอยู่ระหว่างจะหลับนี่เองมันจึงเกิดขึ้น มันเหมือนทุกครั้งคือเสียวแปร๊บ มีไฟฟ้าช็อตแล่นตามสันหลัง จึงเข้าไปสู่มิตินั้น เป็นสภาวะที่ห้ามไม่ได้ นึกจะเกิดมันก็เกิดเอง ถ้ามีสติตื่นเต็มที่อาการนั้นจะหายไป เสียงที่ด่านั้นอาจจะมีตัวตนจริง อาจเป็นใครก็ได้ที่ติดตามเรา เป็นครูบาอาจารย์เคยสั่งสอนเรา แต่ก็ไม่เห็นจะมาสั่งสอนเราในชาตินี้ แล้วจะมาว่าเราดื้อดึงได้ไง เอ๊า ลองดูอีกที ก็เอนตัวลงนอนอีก มันก็จะวูบเข้าไปในสภาวะอันน่ากลัวนั้นอีก ความหวาดกลัวก็แผ่ซ่านไปในความรู้สึกทั้งหมด ถ้าขืนอยู่คนเดียวและนั่งต่อไปเป็นบ้าแน่ ก็เลยลุกขึ้นเปิดประตูออกไป เคาะประตูเรียกพระครูวัดกัลยาซึ่งอยู่เรือนร้างอีกหลังใกล้ ๆ กัน ท่านเปิดประตูรับก็เข้าไปนั่งเล่าให้ฟัง ท่านว่ามันเป็นสภาวะจิตอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นตอนเราปฏิบัติไปถึงช่วงใดช่วงหนึ่ง แต่ละคนก็จะมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ผมก็เคยเป็น ของผมนี่เหมือนฟ้าผ่าลงตัวเลย น่ากลัวมาก ๆ ก็ได้แต่ตั้งสติดูมัน เดี๋ยวมันก็หายไปเอง

    ได้พระครูวัดกัลยาณมิตรเป็นกัลยาณมิตร ก็เลยรอดตัวไม่เป็นบ้าวิ่งหนีอย่างไร้สติ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เล่าให้อาจารย์พร และคุณศรีเพ็ญฟัง
     
  17. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    สงสัยที่ถูกแบนเพราะ link web สันยาสีมาแหงๆเลย ตอนนี้ท่าน kingkong 1 หายไปไหนแหล่ว
     
  18. MA30

    MA30 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +617
    อ่านแล้วได้สาระ ความรู้ดีครับ ชอบการแสดงมุมมอง ความคิด แต่โดนเสียแล้ว ก็คงเพาะ ลากลิ้งค์นั่นแหละครับ เสียดายๆๆๆ
     
  19. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +331
    น่า่จะถูกแบนชั่วคราวครับ เดี๋ยวผมหาข้อมุลที่น่าสนใจมาโพส
     
  20. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +331
    รู้ว่าเดินผิดทางแล้วละ
    มีพระเซนรูปหนึ่ง เมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม มักออกจะท่องเที่ยวธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ได้พบกับคนชอบสูบบุหรี่คนหนึ่งระหว่างทาง ทั้งสองจึงเดินร่วมทางกันไปด้วยระยะหนึ่ง ขณะที่นั่งพักอยู่ริมธาร ชายคนนั้นได้ให้กล้องสูบยาและยาเส้นจำนวนหนึ่ง พระรูปนั้นรับสิ่งที่คนนั้นให้มาด้วยความยินดี จึงติดสูบยาเส้นอยู่ระยะหนึ่ง

    วันหนึ่งจึงได้คิดว่า เจ้าสิ่งนี้ทำให้ตัวเองมีความสุขมาก คงจะรบกวนการทำสมาธิแน่นอน ถ้าหากปล่อยให้เสพติดอย่างนี้ต่อไป ก็จะกลายเป็นความเคยชินที่ไม่ดีและแก้ยาก น่าจะเลิกเสียแต่แรกดีกว่า จึงนำกล้องและยาไปทิ้ง

    ผ่านไปอีกระยะหนึ่งก็ไปหมกมุ่นอยุ่กับคัมภีร์ “ยี่จิง” เรียนรู้จนสามารถคำนวญและทำนายอะไรต่างๆได้ วันหนึ่งในหน้าหนาว อากาศหนาวสะท้านไปทั่ว พระเซนนั้นเลยเขียน จ.ม. ไปขอเสื้อกันหนาวจากพระอาจารย์ของตัวเอง แต่ว่า จ.ม.ส่งออกไปตั้งนาน นานจนหน้าหนาวผ่านไป หิมะบนภูเขาก็ละลายไปหมดแล้ว แต่พระอาจารย์ก็ยังไม่ได้ส่งเสื้อกันหนาวมา และก็ไม่มีข่าวคราวใดๆจากพระอาจารย์มาเลย พระรูปนั้นเลยใช้ตำราคัมภีร์ “ยี่จิง”มาผูกดวงเอง ที่สุดก็คำนวญออกมาว่า จ.ม.ฉบับนั้นส่งไปไม่ถึงมือพระอาจารย์

    เขาคิดในใจว่า แม้ว่าคัมภีร์ “ยี่จิง” จะแม่นยำ แต่ว่าถ้าเรายังหมกมุ่นอยู่กับทางเดินสายนี้ จะมุ่งมั่นแน่วแน่ปฏิบัติธรรมได้อย่างไร? ตั้งแต่นั้นมาเลยไม่ไปเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับคัมภีร์นี้อีก

    หลังจากนั้น พระรูปนั้นก็ไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวของการขีดๆเขียนๆอีก ทุกวันก็มักจะนั่งอ่าน ค้นคว้า ขีดเขียนอยู่แต่กับหนังสือ มีผลงานออกมาหลายเล่มจนได้รับการยกย่องจากคนในวงการไม่ขาดปาก

    วูบหนึ่ง ท่านคิดได้ว่า “ เรากลับมาเดินห่างจากเส้นทางแห่งมรรคอีกแล้ว ถ้าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป เราคงจะต้องกลายเป็นนักประพันธ์ นักวิชาการ ก็คงจะเป็นพระอาจารย์เซนไม่ได้แล้ว"

    ตั้งแต่นั้นมาเลยตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างเดียว ละทิ้งทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรม ที่สุดก็กลายเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของนิกายเซน
     

แชร์หน้านี้

Loading...