ประสบการณ์มโนมยิทธิ และญาณ ๘

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย White Sage, 29 มกราคม 2014.

  1. นายเก่ง

    นายเก่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +218
    ขออภัยที่เสียมารยาทถามไปเมื่อวันก่อนครับ
     
  2. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุ บุญกุศลใดที่คุณไร้ตัวตนได้ทำแล้วตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ขออนุโมทนาบุญเช่นกันนะคะ /\
     
  3. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ไม่เสียมารยาทหรอก คุยได้ ชิวๆกัน รุ่นเดียวกัน เพื่อนกัน ;)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2014
  4. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822


    ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรครับ ถึงได้ละทางธรรมแล้วไม่สำรวม(อาจจะ edit แก้ไขไปแล้ว) เพราะว่าขนาดได้มโนมยิทธิพบอะไรหลายอย่างแล้ว ก็สามารถกลับมาถอยหลังได้อยู่ อยากทราบความรู้สึกและอารมณ์ใจในช่วงนั้นน่ะครับ คือแรงกรรมทำให้ถึงกับไม่รู้ตัวเลยหรือเปล่า ? หรือว่าพอจะรู้ตัวแต่ไม่สนใจ

    ของผมนี่ไม่ถึงกับละ พยายามรักษาศีลตลอด แต่ไม่ได้ภาวนา ทำก็ทำไป 3 เดือนแล้วหยุดไปครึ่งปี และหมกมุ่นเพลิดเพลินอยู่ในกามคุณ เหตุเพราะว่าเสียใจในเรื่องที่ตัวเองทำพลาดไป นับเป็นเรื่องที่เสียใจที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เลยไม่ค่อยมีความหวังและกำลังใจจะทำอะไรอยู่หลายปี เพิ่งมาเริ่มดีขึ้นเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ส่วนตัวก็อยากเล่า แต่เล่าให้คนอื่นฟังก็ไม่ดีอายเขา ^^" ถ้าเขาไม่เข้าใจ
     
  5. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    คล้ายๆกับคุณ Asvel ค่ะ เจอกรรมบางอย่างที่ทำให้รู้สึกเฟลกับการปฏิบัติธรรม และกรรมของอ.ท่านที่ต้องประสบเหตุมากมายและเสียชีวิตอย่างกะทันหันค่ะ

    ทำให้เราอยากกลับมาตรวจสอบหลายสิ่งหลายอย่าง และขออนุญาตพระท่านให้ได้ใช้เหตุใช้ผลตามความเป็นจริงในทางโลกก่อนค่ะ

    (เพราะตั้งแต่เด็กเราปฏิบัติธรรมมาตลอด ความคิดมุมมองเรายังไม่เปิดกว้าง เหตุและผลของคนทางโลกเค้าเป็นอย่างไร ต้องเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจค่ะ)

    ทั้งนี้พอหลุดออกจากการปฏิบัติธรรมแล้ว กว่าจะรู้ตัวและได้กลับเข้ามา ก็ตอนที่กรรมส่งผลจนเราจำเรื่องราวต่างๆได้อ่ะค่ะ

    ถึงได้มานั่งทบทวน และเข้าใจแล้วว่าทำไมพระท่านถึงได้พูดแบบนั้น

    ดังนั้นจึงเสียใจและไม่เสียใจที่ตนเองต้องออกจากการปฏิบัติธรรมค่ะ

    ทั้งนี้ สิ่งที่เสียใจก็คือ เราหลงทางไปก่อกรรมหลายอย่างเลย แต่สิ่งที่ไม่เสียใจก็คือ เราได้ลองเรียนรู้การใช้เหตุใช้ผลอย่างเดียวในทางโลก (ซึ่งเอามามองเรื่องการปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาทั้งหมดด้วยค่ะ)


    ปล. เป็นกำลังใจให้คุณ Asvel นะคะ คนเรามีกรรมไม่เหมือนกัน ยังไงก็ขอให้ทำให้ดีที่สุดค่ะ ไม่ต้องอายใคร เพราะตัวเองเข้าใจดีว่าเวลากฎแห่งกรรมเข้ามาส่งผลนั้นเป็นอย่างไร

    เพราะสิ่งใดที่เราเห็นว่าไม่ดี เราก็จะทำค่ะ ยิ่งถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งพอด้วยแล้ว จะทุกข์มาก ซึ่งเมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราจะไม่ตำหนิติเตียนใคร แต่จะเข้าใจความเป็นธรรมดาของคนๆนั้นค่ะ สู้ๆนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2014
  6. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    ผมก็ทำผิดศีล 5 อยู่บ่อยๆครับซึ่งเป็นช่วงที่ยังไม่มีธรรมะของหลวงพ่อเมื่อหลายปีก่อนยิ่งเรื่องศีลข้อ 3,4 และ 5 นี่เยอะหน่อย บางทีคนที่เรากิ๊กด้วยเค้าก็ไม่ได้บอกว่ามีแฟนแล้ว ไอ้เราก็จัดไปซะเต็มเหนี่ยว แล้วก็ต้องโกหกสารพัดเพราะคบกิ๊กนี่เราบอกความจริงแค่ครึ่งเดียว บอกหมดไม่ได้เดี๋ยวเสียสถาบัน เหล้านี่ก็บ่อยๆละครับ กินกะกิ๊กมั่ง กินกะแฟนเก่าตอนนั้นมั่ง กินกะเพื่อนแฟนเก่ามั่ง แล้วก็กินเพื่อนแฟนซะเลยนั้น (นี่ความเลวมีครบสูตรเลยครับในเรื่องกาเมนี่) คุณ Asvel ไม่ต้องคิดมากครับ หลวงพ่อท่านบอกว่ากรรมในอดีตชั่งมัน อย่าให้จิตใจเศร้าหมอง แค่ในปัจจุบันตั้งใจพยายามรักษาศีล 5 ให้ได้ จะเว้ามั่งแหว่งมั่งก็ช่างมัน ถือว่าเรามีความพยายามในความดี เดี๋ยวถ้าชินแล้วก็จะอยู่ตัวเองครับ เหมือนที่คุณน้อง White Sage บอกนั้นละครับ คนเรามีกรรมไม่เหมือนกัน มีกรรมไม่เสมอกัน แต่เราไม่ต้องอายใครเพราะคนที่รู้จักตนเองว่ายังมีความไม่ดีอยู่นี่ถือว่าใช้ใด้นะครับ เพราะผมก็ยังมีความไม่ดี และก็ยังยืนยันว่าความเลวส่วนตัวยังมีอยู่มาก เป็นกำลังใจให้ญาติธรรมทุกท่านครับ สาธุ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2014
  7. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุค่ะ ส่วนตัวศีลข้อ ๕ กระจายเลยค่ะพี่ ทั้งเหล้าปั่น ไวน์ เบียร์ เหล้า ดื่มเกือบครบทุกไอเท็ม พอกินแล้วก็มานั่งดูว่าเวลาเมาเป็นอย่างไร ให้อะไรเราไหม เรียกได้ว่ารวมๆแล้วชีวิตตอนนั้นตัดธรรมะออกจากตัวอย่างสิ้นเชิง มีทำทานอยู่บ้าง แต่ละเมิดศีลอยู่หลายครั้ง (ข้อที่๕)

    พูดตรงๆนะคะว่าชีวิตช่วงนั้นมืดมนจริงๆ พอไม่มีสมาธิแล้ว ความเลวในจิตมันมีมากมายเหลือเกิน ยิ่งออกมาใช้ชีวิตทางโลกและต้องทำงานแล้วด้วย สารพัดประเภทของคนจะทำให้ชีวิตเราวุ่นวายขึ้นไปอีก ทุกวันนี้สำนึกและรู้แล้วว่า คนเราถ้าจิตไม่มีธรรมะ มันทุกข์ขนาดไหนค่ะ
     
  8. choto

    choto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +330
    พูดถึงเรื่องความเลวนี่ ไม่ว่าใครก็ล้วนทำกันมาทั้งนั้น ผมเองก็ไม่ต่างจากท่านอื่นๆเท่าไหร่ ล่อตั้งแต่ศีลข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๕ เรียกว่าชั่วเต็มอัตราเลยทีเดียว ไม่เคยคำนึงถึงเรื่องศีล ๕ สักเท่าไหร่ ตอนบวชเรียนอยู่ก็เคร่งครัดดีนะ (เคยบวชเรียนตอนอายุ ๑๕-๑๘ปี) แต่พอสึกมาเจอโลกภายนอกนี่ผมล่อไปกับความเลวเสียเต็มอัตรา ศึกษาธรรมะมาก็เยอะ หลักธรรมบทไหนว่าอย่างไรนี่จำได้ ประวัติหลวงพ่อหลวงปู่หลายๆรูปหลายองค์ก็อ่าน เทศน์ก็โหลดมาฟังหลานเร่อง แต่กับแค่เรื่องศีลนี่เละตุ้มเปะหาชิ้นดีไม่ได้ พระธรรมไม่ได้เข้ามาซึมซับในหัวจิตหัวใจอย่างลึกซึ้งเลย

    จำได้ตอนนั้นไปกราบพระอาจารย์ตั๋น วัดบุญญาวาส ไปธรรมสัญจร พระท่านเตือนว่า เข้าชมรมนี้แล้วรักษาศีล ๕ กันบ้างไหม เรียกว่าสะดุ้งไปถึงหัวใจ แต่ความมึนมันมีเยอะ ฟังมาแต่ถามว่าทำมั้ย ก็เปล่าเลย ยังผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    จนมาได้ศึกษาตามแนวทางของหลวงพ่อฤาษี ค่อยๆเข้ารูปเข้ารอยหน่อย แต่เรื่องศีลนี่กะพร่องกะแพร่งเหลือเกิน ขาดๆเกินๆ เหมือนพระท่านว่า พวกศรัทธาแบบหางเต่า หางเต่านี่มันจะผลุบๆ โผล่ๆ แล้วที่มาศึกษาคำสอนของหลวงพ่อฤาษีไม่ใช่อะไรนะครับ ผมมันบ้าฤทธิ์ อยากมีฤทธิ์มีเดชเหาะเหินเดินอากาศ นี่พูดตามความโง่ของตัวเองในสมัยก่อนนะครับ แต่พอได้มาศึกษาและฟังที่หลวงพ่อฤาษีสอนในหลายๆเรื่องแล้วก็เข้าใจในหลายๆเรื่อง ผมชอบที่หลวงพ่อใช้ภาษาง่ายๆในการสอนนี่แหละครับ เลยมีกำลังใจมากขึ้นในการที่จะประพฤติปฏิบัติ แต่อย่างว่าความหมักหมมของอวิชชานี่มันเหลือร้ายจริงๆ พอเห็นเราจะทำความดีซักหน่อยนี่พี่ท่านล่อสมุนล่อบริวารมาหล่านล้อม ช่วงนี้ก็ต้องสู้กันหนักหน่อย เพราะผมเพิ่งจะเริ่มต้นอย่างจริงๆจังๆ มันไม่เดี้ยงผมก็คงต้องเดี้ยงกันไปข้างหนึ่ง

    ในใจอีกด้านหนึ่งก็อยากจะพ้นทุกข์ไปในชาตินี้เสียด้วยซ้ำนะครับ แต่ใจอีกด้านก็สุดแสนจะสงสารคนที่ไม่รู้ อยากจะสงเคราะห์คนอื่น (ตอนนี้พยายามสงเคราะห์ตัวเองให้มั่นคง) ซึ่งมีประโยคหนึ่ง ผมฟังแล้วรู้สึกชอบใจ คือ เกิดมาเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ผมชอบข้อความนี้เป็นพิเศษ ก่อนนอนก็อธิษฐานทุกครั้งหลังสวดมนต์ ขอให้ได้รื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยเทอญ


    ก็ขอเป็นกำลังใจให้ พี่White Sageและsoftkid9 และทุกๆคนครับ และอนุโมทนาในกุศลกรรมทุกประการ ผมจำคำที่ท่านจิตโตพูดได้ประโยคหนึ่งประมาณว่า ที่พวกเธอมาสนใจในเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น แต่พวกเธอสนใจเรื่องนี้มาแล้วเป็นแสนชาติ จำได้คร่าวๆประมาณนี้นะครับ

    ขอความงอกงามในพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าจงได้บังเกิดแก่ทุกท่านครับ
     
  9. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    อนุโมทนาสาธุครับคุณน้อง Choto ลูกหลานหลวงพ่อนี่ เท่าที่หลวงพ่อเคยกล่าวไว้และผมก็เชื่อตามนั้นนะครับ คือส่วนมากบารมีจะเกินสาวกภูมิไปมากแล้ว พอหลวงพ่อท่านซึ่งเป็นหัวหน้าหัวขบวนตัดเข้านิพพานไปแล้ว พวกเราส่วนมากที่เกิดมาก็ต้องตามท่านไปละครับ แล้วก็มีส่วนหนึ่งที่ปรารถนาพุทธภูมิโดยเอาหลวงพ่อเป็นแบบอย่าง ตัวผมเองนั้นเวลาจะเคารพและศรัทธาพระซักองค์โดยมากท่านจะเป็นพุทธภูมิมาก่อน สายพุทธภูมินั้นถึงแม้จะลาแล้วก็ตามผู้ที่จะทำให้ศรัทธาสั่งสอนได้แนบสนิทใจได้นั้นต้องเป็นพุทธภูมิเหมือนกัน ตอนนี้ลาแล้วครับ เบื่อและหน่ายชีวิตคน ขอย้ายบ้านเป็นการถาวรซะที สาธุและเป็นกำลังใจให้พี่น้องญาติธรรมทุกท่านครับ ถึงแม้จะปรารถนาอะไรก็ตาม ลูกๆหลานๆท่านก็คือญาติพี่น้องเก่าๆตามๆกันมา ถึงแม้จะเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมิก็ไปเจอกันข้างบนอยู่ดี แค่ไปก่อนหน้าและตามมาทีหลังยังไงก็เจอกันแน่นอนครับ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2014
  10. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    "ถึงแม้จะเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมิก็ไปเจอกันข้างบนอยู่ดี แค่ไปก่อนหน้าและตามมาทีหลังยังไงก็เจอกันแน่นอนครับ"

    สาธุค่ะ :'(

    ท่านใดที่สามารถหลุดพ้นไปได้แล้ว ก็ขอให้ช่วยกันสงเคราะห์ด้วยนะคะ (y)
     
  11. Eric99

    Eric99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2013
    โพสต์:
    472
    ค่าพลัง:
    +1,102
    เหตุผลทางโลก หรือ การปฏิบัติ ที่จริงมันคือเรื่องเดียวกันครับ ลองคิดง่ายๆ ถ้าเราย้อนไปซัก 200 ปี การที่เราจะบอกว่า มนุษย์จะบินได้ จะเดินทางรอบโลก โดยใช้เวลา 2-3 วัน ผู้คนในยุคนั้น ก็จะบอกว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
    กลับมาปี พศ. นี้ ผู้คนบอกว่า การปฏิบัติหลายๆอย่าง เป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง จับต้องไม่ได้ แต่ใครจะรู้ว่า อีก 200 ปีข้างหน้า มนุษย์อาจจะเริ่มสื่อสารกันด้วยโทรจิต โทรศัพท์มือถือ tablet อาจจะเป็นของโบราณในอนาคต
    วิวัฒนาการ มันกำลังปรับตัวไปเรื่อยๆ ให้ลึกขึ้น ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยมีคำว่า วิทยาศาตร์ จะเป็นเครื่องมือหลักในการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการ
    วิวัฒนาการ ที่จริงไม่ใช่เหตุผลหลักทั้งหมด แต่จิตใจหรือ ระดับสติปัญญาของมนุษย์ จะต้องถูกพัฒนาตามไปด้วย สมมุติว่า ตอนนี้ถ้าเกิดมีใคร สามารถคิดค้นเครื่อง time machine หรือ พวกพลังในการควบคุมธรรมชาติ อย่างหนังเรื่อง X men , ถ้าเทคโนโลยีนี้ ถูกปล่อยออกมาในปี พศ. นี้ โลกเราจะต้องถึงกาลอวสานแน่นอน เพราะมนุษย์จะใช้เทคโนโลยี ไปในทางที่ผิด เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก ดังนั้นแล้ว วิวัฒนาการ มันจะต้องพัฒนาการไปอย่างช้าๆ และเป็นจังหวะเดียวกับ การพัฒนาระดับสติปัญญาและจิตใจ ของมนุษย์ ควบคู่กันไปด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2014
  12. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    "โลกและธรรมเกื้อกูลกัน-ว่าด้วยวิธีการคิดบวกแบบทางโลกและการทำใจให้บวกแบบทางธรรม"


    สาธุ ถูกต้องค่ะ ตอนนี้องค์ความรู้ในทางโลกกำลังพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด สังเกตเห็นได้จากองค์ความรู้ในศาสตร์ต่างๆ มีความละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น(ความคิด เหตุผล และมุมมอง มีความละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น) มีการบูรณาการข้ามสาขามากขึ้น(integrated) เช่น เรื่องของประวัติศาสตร์กระแสหลักกระแสรอง วาทกรรม(discourse) การมองแบบรอบด้าน(well-rounded) การยอมรับและเข้าใจความหลากหลาย(diversity)ทั้งทางเพศ ศาสนา และเชื้อชาติ การปลูกฝังในเรื่องจิตสาธารณะ หรือ การคิดแบบ win-win ดังนี้เป็นต้น


    นอกจากนี้ยังมีพัฒนาการทางแนวความคิดที่มองทุกอย่างแบบ"องค์รวม" แทนที่จะมองแบบ"แยกส่วน"ซึ่งเป็นแนวคิดที่มนุษย์ปฏิบัติกันมานาน ยกตัวอย่างเช่น แนวคิดของดร.ฟริตจ๊อบ คาปร้า (Fritjof Capra) นักฟิสิกส์ปริญญาเอกชาวออสเตรีย ที่กล่าวไว้ในหนังสือโยงใยที่ซ่อนเร้น(The Hidden Connection) โดยบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้นั้นล้วนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่ามนุษย์เราจะมองเห็นความเกี่ยวข้องนั้นหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นมนุษย์จำเป็นที่จะต้องมองทุกอย่างแบบองค์รวมให้เห็นภาพถึงสิ่งต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นกับมนุษย์และโลก เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาและอยู่ร่วมกันต่อไป ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามนุษย์เราเริ่มมีวิวัฒนาการทางความคิดที่น่าสนใจมากๆค่ะ


    ส่วนองค์ความรู้ทางจิต ยอมรับว่าแม้จะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่ามีคนอีกหลายๆคนที่ทำได้ เพียงแต่ท่านเหล่านั้นไม่ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวให้เราได้รับทราบ


    ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆเลยคือ จขกท.ถูกหล่อหลอมให้รู้จักตั้งคำถามถึงสิ่งที่รู้หรือถูกให้ศึกษา(educated)มา อาทิเช่น การรู้จักตั้งคำถามว่าองค์ความรู้นั้นๆตั้งอยู่บนฐานคิดอะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วเหตุผลที่เค้าใช้อธิบายนั้นคืออะไร รวมถึงในแต่ละยุคนั้นความคิดต่างๆได้ถูกวิวัฒนาการ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น ความคิดแบบ modern กับ post-modern การคิดแบบบูรณาการ หรือ แนวคิดของนักปรัชญาบางคนที่มองออกไปนอกกรอบโดยละทิ้งฐานคิดเดิมๆที่เคยมีมา เป็นต้น


    ตรงนี้ทำให้เราเป็นคนที่ไม่ตกเป็นทาสของความคิด หรือสิ่งที่ถูกสอนมาในหัว รู้จักยอมรับความหลากหลายของมุมมองความคิด ความเชื่อ รู้ว่าตนเองเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งจึงมีทั้งสิ่งที่รู้และไม่รู้ จึงไม่หลงคิดว่าตัวเองฉลาด แต่จะรู้จักพัฒนาตนเองอยู่เสมอๆ ดังเช่นที่โสกราตีสเคยกล่าวไว้ว่า "I know that I know nothing" ค่ะ


    ทำให้เราเป็นคนที่เปิดกว้าง มองโลกในมุมที่ต่างไป ไม่มองคนแค่ฐานะ ระดับการศึกษา เพศ ศาสนา ฯลฯ รู้จักช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เพื่อเดินไปด้วยกัน ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เรียนมาในธรรมศาสตร์ค่ะ


    ส่วนในเรื่องของจิต เรามีพรหมวิหารธรรม ๔ ที่สอนให้เราเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ และมองตนเองและผู้อื่นออกมาด้วยจิตที่เป็นบวกเลย (ซึ่งส่วนนี้จะต้องเปลี่ยนจากมนุษย์ที่ใช้สมองคิดมาหาจิตของตัวเองให้เจอก่อนค่ะ ถึงจะทราบ)


    สุดท้ายเชื่อมั้ยคะว่าเป็นอย่างที่คุณ Eric99 บอกจริงๆ คนที่มีพัฒนาการความคิดที่หล่อหลอมมาดี จิตเค้าจะดีตามค่ะ เพราะความคิดดีจะดึงจิตให้บวกตามไปด้วย คนเหล่านี้จึงเป็นคนที่เข้าใจโลกและคนตามธรรมชาติ และรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น มีจิตสาธารณะด้วยตัวเอง


    ส่วนคนที่ทรงอยู่ในพรหมวิหาร ๔ แม้ว่าจะไม่เคยเรียนในสิ่งพวกนี้มา แต่จิตเค้าก็จะเป็นจิตที่ประเสริฐโดยธรรมชาติเช่นกัน


    สรุปทั้งโลกและธรรมก็เกื้อกูลกันค่ะ ^__^


    ขอบคุณความคิดของคุณ Eric 99 มากๆนะคะ ที่ทำให้ได้คิดอะไรหลายๆอย่างเลย ความคิดคุณเจ๋งมากค่ะ ส่วนตัวก็เชื่อเหมือนกันว่าโลกกับธรรมต้องเกื้อกูลกัน เพราะจิตเราแต่เดิมไม่มีบารมี(กำลังใจ)พอที่จะละกิเลส ดังนั้นการมีโลกที่ดี มีสังคมที่ดี ระบบต่างๆที่ดี เช่น ระบบการศึกษา จะสามารถช่วยพัฒนามนุษย์ในเรื่องของความคิดและจิตใจได้ดียิ่งค่ะ ;) (y)


    *** องค์ความรู้ที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่เรียนมาเพื่อ 2-3 ปีก่อนนะคะ ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าได้มีการพัฒนาไปถึงไหนแล้วค่ะ

    *** โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2014
  13. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ขอฝากคำคมหนังเรื่องหนึ่งไว้ให้ท่านผู้อ่านละกันนะคะ พอดีเพิ่งดูจบและประทับใจมากๆเลยค่ะ


    "ชีวิตเราไม่ใช่ของเราแต่ผู้เดียว จากอุทรสู่สุสาน เราผูกพันกับผู้อื่น เรื่องราวอดีตและปัจจุบัน ทุกความผิดที่ก่อ ทุกความดีที่กระทำเกิดเป็นอนาคตของเรา

    การดำรงอยู่ขึ้นกับการรับรู้ และท่านจะมองเห็นตนเองได้โดยแท้จริงทางเดียวเมื่อมองผ่านสายตาผู้อื่น

    ธรรมชาติของชีวิตที่ไม่มีวันดับ คือผลที่ตามมาของคำพูดเราและการกระทำที่จะเกี่ยวโยงเชื่อมไปตลอดชั่วกาลนาน"



    คำประกาศอิสรภาพของซอลมี (มนุษย์สังเคราะห์ที่มีจิตอิสระ) จากภาพยนตร์เรื่อง Cloud Atlas (หยุดเวลาข้ามโลก)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2014
  14. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    โหๆ คมมากครับคุณน้องWhite Sage หนังเรื่อง Cloud Atlas นี่น่าจะเอาแรงบันดาลใจมาจากศาสนาของโลกตะวันออก และไอน์สไตน์เคยกล่าวถึงศาสนาของจักรวาลนั้นมีอยู่ในโลกตะวันออก ซึ่งศาสนาที่กล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดและความมีเหตุและผลนั้นมีอยู่ในศาสนาพุทธเรานั้นเอง

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2014
  15. notanumber

    notanumber Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +39
    ขอบคุณที่นำประสบการณ์เกี่ยวกับมโนมยิทธิมาแบ่งปันให้ได้อ่านกันครับ

    ก่อนนี้ ด้วยความสนใจตอนศึกษาการทำสมาธิที่หลวงพ่อฤาษีสอน
    เคยไปฝึกแบบงงตัวเองครั้งหนึ่งที่บ้านซอยสายลม ไปคนเดียวทั้งที่ตัวมีนิสัยไม่กล้า
    ที่จะอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ ไปถึงก็ไม่รู้ว่าเขาฝึกกันตรงไหน และก็ไม่ถามใครด้วย
    จู่ๆก็มีพี่คนหนึ่งมาทำบุญถวายสังฆทานเดินมานั่งใกล้ กับพระอีกท่านหนึ่งเข้ามาสนทนาด้วย
    และสุดท้ายพี่คนนั้นเขาก็แนะนำสถานที่จนได้ไปลองฝึกดูจนได้
    (ตอนนั้นคิดว่าจะได้ไปแค่ดูเขาทำบุญแล้วกลับบ้านเฉยๆแน่ๆแล้ว)

    ส่วนประสบการณ์ในระหว่างฝึกขอเล่าความรู้สึกช่วงเดียวที่คิดว่าไม่ได้นึกไปเองแน่ๆ
    ช่วงที่พระท่านนำไปยังสถานที่ประทับแห่งหนึ่ง พระท่านให้ลองกำหนดจิตถามท่านที่
    อยู่ตรงหน้าว่าท่านเป็นใคร ตอนนั้นเรื่องได้ยินเราไม่รู้เลย คนที่ฝึกด้วยก็เงียบกันหมด
    พระท่านที่นำเลยบอกว่า ถ้ายังงั้นลองให้ท่านแสดงเป็นตัวอักษรให้ดู ตอนนั้นตกใจแทบ
    จะลืมตาทันที เพราะมีอักษร อินทร์ ลอยขึ้นมาแบบชัดเจนไม่สามารถเอาความนึก
    อะไรออกมาลบล้างภาพไปได้ ส่วนอื่นๆที่เห็นตามไม่มั่นใจเท่าไรว่าเห็นตามนั้นจริงไหม
    เพราะกลัวว่าความอยากอาจจะแทรกให้เกิดอุปาทานไปเองบ้าง มาจนปัจจุบันกลายเป็นไม่กล้าไปฝึกต่อ ถึงแม้จะมีท่าน
    ที่ใจดีแนะนำให้ทำต่อ ตอนนี้ยังใช้ชีวิตวนอยู่ในกิเลสเหมือนเดิม
    แต่ให้อยู่ในขอบเขตของศีล 5 ครับ

    ตอนกลับมาบ้านเพิ่งมานึกสงสัยขึ้นได้ พี่ที่เขามาถวายสังฆทานทำไมถึงมาถามเราว่าเขาถวายสังฆทานกันตรงนี้ใช่ไหม
    ทั้งๆที่เขารู้ว่าอาคารที่ใช้ปฏิบัติ มโนมยิทธิอยู่ตรงไหน แถมยังใส่เสื้อชุมชนมโนมยิทธิอีกต่างหาก = =
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2014
  16. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    "วิทยาศาสตร์ และพุทธศาสนา"


    ใช่ค่ะพี่ หนังเรื่องนี้น่าจะได้รับแรงบันดาลใจมากจากศาสนาของโลกตะวันออก (รู้สึกผู้สร้างหรือผู้กำกับจะเป็นชาวเยอรมันด้วย)

    ส่วนเรื่องของไอน์สไตน์เคยได้ยินเหมือนกันค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่ากล่าวถึงพุทธศาสนาอย่างไรนะคะ อุอุ

    แต่ส่วนตัวมองว่าพุทธศาสนาเป็นเรื่องของ "จิต" ดังนั้นถ้าเรานำเอาเหตุและผลหรือกรอบความคิดแบบวิทยาศาสตร์มาครอบและอธิบายพุทธศาสนา เช่น การพยายามทำให้พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ เราจะสามารถเข้าถึงพุทธศาสนาได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับของเหตุและผลเท่านั้น เหมือนกับภูเขาน้ำแข็งที่เราสามารถมองเห็นได้เฉพาะส่วนบนซึ่งเป็นส่วนที่เล็กมากเมื่อเทียบกับใต้ภูเขาน้ำแข็ง เนื่องจากเราใช้เครื่องมือวิธีการที่ยังไม่ถูกต้องนักค่ะ

    และวิธีการที่ถูกต้องก็คือ การใช้วิธีการฝึกจิตเพื่อให้สามารถค้นพบความจริงที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนนั่นเอง (ซึ่งไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไป ขึ้นอยู่กับบุญบารมีและกรรมของแต่ละคนเท่านั้นค่ะ)

    ทั้งนี้คำว่า"จิต" ในที่นี้ขอใช้เป็นคำกลางๆสำหรับทุกสายการปฏิบัตินะคะ แต่ส่วนตัวขอถือว่าเป็นอทิสมานกายตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านกล่าวไว้(เพื่อให้สอดคล้องกับสายวิชชาสามและอภิญญา) ทั้งนี้ประเด็นเรื่องคำสอนของหลวงพ่อในเรื่องของจิตและอทิสมานกายนั้น ได้ไปอ่านจากพระไตรปิฏกบางส่วนแล้ว และมองว่าหลวงพ่อท่านกล่าวไว้ไม่ผิดค่ะ เพราะในคำสอนเรื่องอทิสมานกายท่านได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าจิต และอทิสมานกายคืออะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2014
  17. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    สาธุกับความเห็นและเห็นด้วยกับคุณน้อง White Sage ครับ ผมเคยได้ยินญาติธรรมที่ปฏิบัติมโนมยิทธิได้แล้วไปที่พระนิพพานและสวรรค์ โดยได้รับข้อธรรมะจากเบื้องบนมา เค้าอธิบายให้ฟังว่าเวลาที่ได้รับฟังคำสั่งสอนมานั้นเข้าใจได้ลึกซึ้ง แต่พอฝึกมโนมยิทธิเสร็จแล้ว กลับเข้าใจในข้อธรรมะนั้นแค่1ใน3 ซึ่งสิ่งที่คุณน้องได้แสดงความเห็นนั้นผมคิดว่าจะอธิบายสิ่งนี้ได้ครับ เพราะการที่เราจะใช้คำพูดหรือตัวอักษรมาเพื่ออธิบายสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างพระนิพพานหรืออทิสมานกายนั้น ผมคิดว่าแค่อธิบายเชิงเปรียบเทียบก็ยังไม่ได้ถึงหนึ่งในร้อยเลย แล้วเราจะเอาจิตใจของเราไปเชื่อผู้ที่ยังไม่เคยเห็นนรก สวรรค์ พรหม พระนิพพานได้ยังไง เปรียบเหมือนเต่ากับปลาในน้ำ เต่านั้นอยู่ในน้ำก็ได้ อยู่บนบกก็ได้ เวลาเต่าไปเล่าให้ปลาในน้ำฟังว่าข้างบนมีทั้งอากาศ แสงแดด ลมพัด ปลาก็งงแล้วถามว่าไอ้ที่เล่ามานั้นมันเป็นอย่างไร เผลอๆจะไม่เชื่อเต่าเอาด้วยซ้ำ ทั้งๆที่สิ่งที่เต่าเล่ามาเป็นความจริง แต่ปลาไม่เคยรับรู้ไม่เคยเห็นเพราะสิ่งที่เค้าเข้าใจก็แค่ในสภาวะที่ปลาได้ดำรงชีวิตอยู่แค่ในน้ำเท่านั้น(อืม คมเหมือนกันนะเนี๊ยะเรา ^_^)

    ปล.
    อยากจะถามคุณน้อง
    White Sage ตั้งนานแล้วชื่อ user น้องนี่แปลว่าเหล้าขาวใช่มั๊ยเอ่ย คิดนานละซิชื่อนี้อิๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2014
  18. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    มโนมยิทธิดูหวยได้ป่าวคับ :)
     
  19. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุ ใช่ค่ะพี่ เป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างที่พี่บอกเรื่องของเต่ากับปลา

    555 ส่วนชื่อ White Sage เป็นชื่อที่ตั้งมาตั้งแต่เด็กๆแล้วค่ะ มาจากคำว่า White ที่แปลว่าขาว กับคำว่า Sage ที่แปลว่านักปราชญ์ เพราะตอนเด็กๆอยากรู้สัจธรรมและความเป็นจริงของชีวิตค่ะ ตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสเราอยากไปอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับความสงบ หาคำตอบของชีวิตค่ะ

    ตอนนี้กำลังรอพี่ Softkid9 มาเล่ากระทู้ประสบการณ์ของพี่อยู่นะคะ ชอบมากเลย ;)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2014
  20. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    "การฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังครั้งแรก"


    ขอบคุณค่ะ ขอบคุณพี่เช่นกันที่ feedback ให้นะคะ ;)


    ส่วนตัวไปฝึกมโนมยิทธิครั้งแรกจากการชักชวนของเพื่อนของลูกพี่ลูกน้องค่ะ เราก็ตามไปฝึกด้วยแบบเด็กๆที่ชอบธรรมะ อยากปฏิบัติธรรม อยากรู้อยากเห็น อยากผจญภัย (อยากไปเที่ยวอะไรทำนองนี้ :p)


    จำครั้งแรกได้เลย ตอนพี่ที่ดูแลจับเข้าห้อง เราถูกส่งไปอยู่ห้องเดียวกันกับน้องๆตัวเล็กๆ (ซึ่งเก่งมากค่ะ ทำเราอายเลย ดีที่ตอนนั้นเราก็ถือว่าเป็นเด็กเหมือนกัน) ฝึกครั้งแรกตื่นเต้นมากค่ะ เวลาฟังคำแนะนำก็ตั้งใจฟัง ตอนฝึกก็จริงจังมาก ตอนนั้นมีนิวรณ์สลับกับอารมณ์สมาธิตลอดเวลา ดังนั้นเวลาไปก็จะเห็นแว๊บๆ แล้วก็กลับมาอยู่ในอารมณ์คิดกับนิวรณ์ตามที่เคยชินแบบคนทั่วๆไป


    ตอนที่ไปพระจุฬามณีครั้งแรก จำไม่ผิดเราเห็นภาพก่อนครูฝึกถามแล้วเฉลย โดยเห็นเหมือนภูเขาสีทองๆอยู่ในกำแพง ยอมรับว่างงเหมือนกัน เพราะไม่เคยรู้ข้อมูลมาก่อนเลย แต่ดันเห็นก่อนและเห็นถูกด้วยซะงั้น แล้วเราก็งงว่าภูเขาสีทองนี่มาจากไหน ใจนึกไปถึงภูเขาทองวัดสระเกศอะไรทำนองนั้น พอเข้าพระจุฬามณีแล้วเราก็ไปกราบพระพุทธเจ้า และท่านอื่นๆที่พระจุฬามณีค่ะ (ครูฝึกให้อธิษฐานขอเห็นท่านที่เคยเป็นพ่อแม่ พี่น้อง คู่ครองร่วมกันมาด้วย และกราบท่านเหล่านั้น รวมถึงคุณพ่อในชาติปัจจุบันด้วยค่ะ)


    แต่ที่ฮาคือ ตอนครูฝึกให้ตัดวิปัสสนาญาณเพื่อไปพระนิพพาน นิวรณ์เข้ามากิน เพราะอยาก เพราะเครียด(จริงจัง) และเหน็บชาที่ขาค่ะ พอครูฝึกถาม เราเห็นเป็นเรือนไม้หลังหนึ่งเล็กๆ อยู่ในดงต้นไม้เขียวครึ้มร่มรื่นเลย สรุปว่าวันนั้นไปได้แค่พระจุฬามณี และกลับบ้านไปด้วยความปลื้ม(โดยเฉพาะที่ไปเห็นท่านปู่พระอินทร์มา เอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง เพื่อนเราก็ทำหน้าแปลกๆค่ะ T^T)


    ตอนกลับครูฝึกบอกว่าให้ไปฝึกซ้อมที่บ้านด้วยตนเอง ด้วยความเป็นเด็ก(อายุ14-15)และเป็นเด็กขี้เกียจด้วย เลยไม่ได้ฝึกซ้อม ทั้งนี้ข้อหนึ่งที่ทำให้เราไม่ได้ซักซ้อมด้วยก็คือ ไม่รู้จะไปเริ่มต้นที่บ้านยังไง ไปไม่เป็นไปไม่ถูก อย่างมากก็นั่งสมาธิพุทโธค่ะ


    ดังนั้นวันหนึ่งเรามีโอกาสไปรอบที่สอง(หรือรอบที่สาม ถ้าจำไม่ผิด) เราก็เตรียมตัวเต็มที่ค่ะ อะไรที่หลวงพ่อท่านแนะนำ เราก็ตั้งใจ พยายามไม่สงสัย ไม่จริงจัง ทำสมาธิอย่างเดียว พอให้คิดพิจารณาตามในวิปัสสนาญาณที่ตัดร่างกายก็ทำตามนั้น สรุปว่าฝึกแบบเด็กที่ไม่รู้อะไรเลย ทำตัวว่านอนสอนง่ายอย่างเดียว แล้วก็สำเร็จผลมากกว่าครั้งแรกจริงๆ โดยที่สามารถไปพระนิพพานได้ค่ะ


    และเราก็ไม่ได้กลับมาฝึกที่บ้านอีกตามเคย แต่ได้ไปฝึกกรรมฐานที่อื่นๆ และได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมโนมยิทธิตามเว็บไซต์ ว่าเป็นนิมิตหลอก เป็นอุปาทาน เป็นจินตนาการ เป็นการชักจูงให้เห็นภาพตาม และเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่อ ว่าท่านเป็นพระที่เน้นฤทธิ์เดช เน้นให้เห็นนรก สวรรค์ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่สามารถนำเราให้พ้นทุกข์ได้ ยอมรับว่าตอนนั้นจิตใจไขว้เขวค่ะ จึงได้ห่างไป จนในที่สุดได้มาพบกับอ.ฆราวาส ด้วยเ่หตุที่ปรารถนาพุทธภูมิค่ะ


    ตอนที่ฝึกมโนมยิทธิรอบที่ 4 เป็นต้นไป จขกท.เป็นเหมือนพี่ notanumber เลยค่ะ คือด้วยความที่อยากซักซ้อมให้คล่อง ให้มั่นใจ เราก็เทียวไปเทียวมาแต่ชั้นคนฝึกใหม่ค่ะ อิอิ และก็เพิ่งทราบว่ามีห้องฝึกท่องเที่ยวด้วย ซึ่งใจก็ลังเลว่า เอ เราฝึกได้แล้วหรือยัง ได้พอที่จะไปฝึกห้องท่องเที่ยวเหมือนกับคนอื่นๆไหม แล้วด้วยความบังเอิญอีกครั้ง ตอนนั่งรอให้ครูฝึกเรียกไปเข้าห้อง เราโดนเรียกให้ไปฝึกห้องท่องเที่ยวค่ะ ฮ่าๆ ถ้าจำไม่ผิดจะฝึกกับหลวงพี่องค์หนึ่ง สนุกมากค่ะ แต่ฝึกค่อนข้างนาน และใช้สมาธินานเลย เล่นเอาเพลียไปเหมือนกัน


    สุดท้ายพอฝึกกับอ.ฆราวาส (ประมาณว่าฝึกมโนมิยทธิได้ 2-3 ปีขึ้นไป ถ้าจำไม่ผิด) เราก็มาฝึกที่บ้านสายลมอีกครั้ง โดยเข้าห้องญาณ 8 ค่ะ ด้วยความที่พอรู้แล้วว่านิวรณ์เป็นอย่างไร แล้วคนเราเวลาที่ยังไม่เคยฝึกจะตื่นเต้น สงสัยอย่างไร (เหมือนตอนที่เราฝึกมโนมยิทธิครั้งแรก) เราก็พยายามทำจิตให้ดีที่สุดค่ะ แล้วเวลาคำตอบมา จะเป็นแว๊บๆแบบไม่น่าเชื่อ เช่นอายุคนที่ตายไป มีอยู่ครั้งนึงแว๊บมาแบบนั้นจริงๆ หรือเวลาครูฝึกถามถึงเพศชายหญิง ก็จะมีคำตอบมาเองทำนองนี้ค่ะ ;)



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...