ประสบการณ์การนั่งสมาธิจากการเริ่มแยกขันธ์ ๕

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พลังขาว, 4 มีนาคม 2013.

  1. sonywarning

    sonywarning สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอบคุณ สำหรับประสบการณ์ดีๆที่นี่มาเล่าให้ฟังนะครับ ถ้ามีประสบการณ์อะไรอีกรบกวนมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับ ผมก้พึ่งเป็นสมาชิกใหม่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากอ่ะครับ
     
  2. พลังขาว

    พลังขาว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +61
    ขอบคุณมากๆ นะคะ ;)) ทำให้เข้าใจจเพิ่มอีกเยอะเลยค่ะ
     
  3. พลังขาว

    พลังขาว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +61
    เห็นด้วยเลยค่ะ. ไม่มีใครดับได้หรอกค่ะ ต้องลองปฏิบัตินะคะถึงจะรู้ลองไปนั่งดูสิคะ

    ไม่อยากเถียงคนรู้เยอะแต่ไม่ได้ปฏิบัติ. ยังไงก็แพ้อยู่ดี

    ธรรมมะคือธรรมชาติ ค่ะ.
     
  4. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ท่านเจ้าคุณๆ ท่านเจ้าคุณลุนช่อง ส่องให้ทั่ว

    การละของพระอรหันต์ เค้าเรียกว่า "นิสสรณปหาน" ขอรับ

    จาก "ปหาน5" ด้วย "ศีล สมาธิ มรรค ผล นิพพาน1"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มีนาคม 2013
  5. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  6. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ธรรมะ คือ ธรรมชาติ แต่เวลาภัยพิบัติมา

    ทำไมไม่มองให้เป็นธรรมชาติ กับตื่นตระหนกในความเป็นธรรมะ

    ไหนบอก ธรรมะเป็นธรรมชาติ ?
     
  7. พลังขาว

    พลังขาว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +61

    ธรรมะ คือ ธรรมดา

    ธรรมชาติ (สิ่งที่มีอยู่แล้วตลอดเวลา)

    สัจจะ (ความจริง) ความถูกต้อง ความดี ความงาม

    ความจริงที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลา

    กฏธรรมชาติ

    ความถูกต้อง

    สิ่งที่สมบูรณ์

    สิ่งที่มีอยู่จริงตลอดเวลา

    ปัญญา

    ทรงอยู่ในสภาพตามความเป็นจริง (สภาวะธรรม)

    ธรรมชาติของจิตใจ

    สิ่งที่สมบูรณ์อยู่ในตัวอยู่แล้วตลอดเวลา ไม่ต้องสร้างขึ้นมาและ

    ไม่สามารถทำให้หายไปได้

    สิ่งที่มีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้ามาค้นพบ และนำมาเผยแพร่​

    ธรรมมะเป็นธรรมชาติ สิ่งนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ
    แต่ที่ได้กล่าวไว้ว่าเหตุใดกับกลัวภัยธรรมชาติ
    ถามดิฉันว่ากลัวไหม ถ้าเกิดขึ้นก็คงจะมีความวิตกค่ะ แต่คงจะเข้าใจดีว่า
    มันเป็นเช่นนั้นของมันเอง ถ้าจะเกิดก็ต้องเกิด เราคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำสิ่งที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์และตัวเองไปทุกๆวัน

    ยังไงได้เกิดมาใน.ร่มกาเสาวาพัตร์ แค่นี้ก็ดีใจเหลือเกินเเล้วค่ะ
    เราอาจจะเห็นไม่ตรงกันในบางเรื่อง หรือดิฉันเองก็อาจจะไม่รู้จริง
    อายุเเค่17 นี้ศึกษาธรรมะมาเเค่ 7 ปีปฏิบัติเเค่ปีเดียว คงไม่รู้จริงอีกหลายเรื่อง
    แต่สุดท้ายตัวดิฉันเองและเราทั้งหลายก็คงมีจุดหมายเดียวกัน นั้นคือ นิพพาน

    ขอบคุณมากๆนะคะที่เข้ามา ให้อะไรได้คิดมากขึ้น จนได้เจอบางอย่างที่ลืมคิดไปบ้าง ยินดีที่ได้สนธนาธรรมร่วมกันนะคะ
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวโดยสรุปแล้ว ปัญจุปาทานักขันทิ์ เป็นตัวทุกข์ นั้นเป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ปัญจุปาทานักขันธิ์ ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ ขันธิ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือ รูป ขันธิ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือเวทนา ขันธิือันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือ สัญญา ขันธิ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือสังขาร และ ขันธิือันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือ วิญญาน เหล่านี้แล เรียกว่ากล่าวโดยสรุปแล้วปัญจุปาทานักขันธิ์ เป็นตัวทุกข์---มหา.ที.10/344/245....:cool:
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ภิกาุทั้งหลาย ในโลกนี้ปุถุชน ผู้ไม่ได้ยินได้ฟัง ไม่ได้เห้นเหล่าพระอริยะเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะเจ้า ไม่ถูกแนะนำในธรรมของพระอริยะเจ้า ไม่ได้เห็นเหล่าสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ถูกแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ----------------ย่อมตามเห้นพร้อม ซึ่งรูป โดยความเป็นตน หรือตามเห็นพร้อมซึ่งตนว่ามีรูป หรือตามเห็นพร้อม วึ่งรูปว่ามีอยู่ในตนหรือตามเห็นพร้อม ซึ่งตนว่ามีอยู่ในรุปบ้าง..........ย่อมตามเห็นพร้อม ซึ่งเวทนา โดยความเป้นตน หรือตามเห้นพร้อมซึ่งตนว่ามีเวทนา หรือตามเห็นพร้อมซึ่งเวทนาว่ามีอยู่ในตน หรือตามเห็นพร้อมซึ่งตนว่ามีอยู่ในเวทนาบ้าง...............ย่อมตามเห็นพร้อม ซึ่งสัญญาโดยความเป็นตน หรือตามเห็นพร้อมซึ่งตนว่ามีสัญญา หรือตามเห้นพร้อมซึ่งสัญญาว่ามีอยู่ในตน หรือตามเห้นพร้อมซึ่งตนว่ามีอยู่ในสัญญา บ้าง.................ย่อมตามเห็นพร้อม ซึ่งสังขารทั้งหลาย โดยความเป็นตน หรือตามเห็นพร้อมซึ่งตนว่ามีสังขาร หรือตามเห็นพร้อมซึ่งสังขารทั้งหลาย ว่ามีอยู่ในตน หรือตามเห็นพร้อมซึ่งตนว่ามีอยู่ในสังขารทั้งหลาย.......................ย่อมตามเห็นพร้อม ซึ่งวิญญานโดยความเป้นตน หรือตามเห็นพร้อมซึ่งตนว่ามีวิญญาน หรือตามเห็นพร้อมซึ่งวืญญาน ว่ามีอยู่ในตน หรือ ตามเห็นพร้อมซึ่งตน ว่ามีอยู่ในวิญญานบ้าง......................ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้ยินได้ฟังนี้ เราเรียกว่าผู้ผูกพันด้วยเครื่องผูกคือรูปบ้าง ผู้ถูกผูกพันคือเวทนาบ้าง ผู้ถูกผูกพันด้วยเครื่องผูกพันคือสัญญาบ้าง ผู้ถูกผูกพันด้วยเครื่องผูกพันคือสังขารทั้งหลายบ้าง ผู้ถูกผูกพันด้วยเครื่องผูกพัน คือ วิญญานบ้าง................เป็นผู้ถูกผูกพันด้วยเครื่องผูกพันทั้งภายในและภายนอก เป้นผู้ไม่เห็นฝั่งนี้ เป้นผู้ไม่เห็นฝั่งโน้น เกิดอยู่อย่างผู้มีเครื่องผูกพัน แก่อย่างผู้มีเครื่องผูกพัน ตายอย่างผู้มีเครื่องผูกพัน จากโลกนี้ไปสู่โลกอื่นอย่างผู้มีเครื่องผูกพัน แล...----------ขนธ.สํ.17/200/304.....:cool:
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ " ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อพิจารณาสืบต่อไป ย่อมพิจารณาลึกลงไปอีกว่า อุปธินี้เล่า มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด และมีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมีอยู่ อุปธิก็มีอยู่ เมื่ออะไรไม่มี อุปธิก็ไม่มี ดังนี้..............ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้น เมือพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ได้ชัดอย่างนี้ว่า อุปธิมีตัณหาเป็นเหตุให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีตัรหาเป็นเครื่องกำเนิด และมีตัณหาเป็นแดนเกิด เมื่อ ตัรหามีอยู่ อุปธิก็มีอยู่ เมื่อ ตัรหาไม่มี อุปธิก็ไม่มี ดังนี้แล---นิทาน.สํ.16/131/257....
     
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ผู้มีอวิชชา(ปฎิจสมุปันธรรม ที่ว่าด้วย อวิชชา ปัจจยสังขาร สังขารปัจจัยวิญญาน วิญญานปัจจัย นามรูป--เป็นต้น)ก็คือผู้ไม่รู้อริยะสัจสี่............ทุกข์ สมุทัย(เหตุเกิดทุกข์) นิโรธ (ความพ้นทุกข์) มรรค(ทางให้ถึงความพ้นทุกข์).....ก็ มาสู่การภาวนา คือ มรรค(อริยมรรคมีองค์แปด) นี่แหละ เพื่อเข้าใจอริยสัจทั้งหมด พอที่ จะ เข้าใจคำว่าอวิชชาได้ดีขึ้น :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2013
  12. phat_ph

    phat_ph เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +106
    ตอนนี้ จขกท เห็นจิตกับกายแยกกันเป็นคนละส่วนต่างหากหรือยังค่ะ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ต้องขอชมก่อนนะครับ.อายุ๑๗ ปีแต่มีความสนใจเรื่องทำนองนี้.
    .ที่น้อง พลังขาว ขออนุญาติเรียก น้องนะครับ.ได้พูดและนำประสบการณ์มานำเสนอก็ถือว่ามีเจตนาที่ดี..
    และอายุแม้ว่าจะยังน้อย.แต่ก็รู้
    จักอ่อนน้อมถ่อมตน..


    ความเข้าใจในแต่ละช่วงของน้อง พลังขาว ถ้าแยกเป็นส่วนๆ.
    ก็ถือว่าเข้าใจถูกในแต่ละส่วนนั้นๆไป แม้ตอนนี้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด.
    ในอนาคตก็จะเข้าใจได้เอง.แต่พอพยายามนำเอาในแต่ละส่วนมารวมกัน
    ..เลยเป็นเหตุให้ผู้อ่านจะตีหรือเข้าใจความหมาย
    คลาดเคลื่อนจากเจตนาที่จะสื่อได้และจะหาจุดจบได้ยาก..


    เด่วจะขอเล่าให้ฟังอย่างนี้นะครับ
    จากประโยค(ให้เป็น**ประโยค ๑) คือ''ดิฉันเริ่มจากการเเยกขันธ์ ๕ จับให้ถูกว่าสิ่งไหนคือ เวทนา สังขาร สัญญา วิญญาน และ รูปกาย''ความเข้าใจเบื้องต้นของน้อง. เริ่มจากจุดนี้นี่หละ..ที่จะเป็นปัญหาในการสื่อสารทั้งตัวผู้ถ่ายทอด
    และคนที่จะเข้ามาอ่าน.


    .และจากหัวข้อกระทู้ ''ประสบการณ์การนั่งสมาธิจากการเริ่มแยกขันธ์ ๕''
    เหตุผลนั้นหรือครับ.... เพราะหัวข้อกระทู้ที่น้องนำมาลง จะสื่อได้ ๒ ทางคือ ๑.นั่งสมาธิจากการเริ่มแยกขันธ์สื่อ
    ได้ว่าก็คือการแยกขันธ์ ๕ ส่วนรูปธรรมคือร่างกายกับสภาวะที่จะพยายามเข้าถึง
    การแยกกายกับจิตชั่วคราว(ทำให้ไม่รู้สึกใดๆ) ซึ่งของน้องตอนนี้ยังเป็นความคิดที่ปรุ่งร่วมกับจิตอยู่.เพียงแต่เปลี่ยน
    ไปสู่สภาวะที่ลืมเวทนาแบบของน้องชั่วคราว จุดนี้อ่านจากการปฏิบัตินะครับ


    และข้อที่ ๒ จาก**ประโยค ๑ ของน้องการอธิบายเริ่มต้น คือสื่อว่า แยกขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ประกอบด้วย เวทนา สังขาร วิญญาน และสัญญา และขันธ์ ๕ ส่วนรูปธรรมก็คือ ร่างกายอย่างที่น้องเข้าใจ.เป็นเพียงการที่เพียงรู้ว่าขันธ์ ๕ ประกอบด้วยอะไรบ้าง.
    แล้วไปจับมาใช้ตอนนั่งสมาธิจะทำให้น้อง
    ติดสมมุติบัญญติแบบไม่รู้ตัว.
    .และที่น้องทำอยู่เป็นการที่จิตลืมเรื่องเวทนา
    แบบชั่วคราวเฉยๆ
    ไม่ใช่สภาวะการแยกกันจริงๆ..ถ้าอย่าง **ประโยค ๑ ที่น้องเขียนและพยายามจะสื่อ.จริงๆคือ การแยกขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมออกจากจิต..ออกจากความคิดที่เกิดจากจิต.ซึ่งจะใช้
    เป็นพื้นฐานสำหรับการเดินปัญญา.ซึ่งถ้าน้องสามารถแยกได้จริงๆ
    จะสามารถเห็นเป็นส่วนๆได้อย่างชัดเจน..ไม่ใช่
    แบบที่น้องจะพยายามเล่าการ
    ปฏิบัติแล้วสื่อและอธิบายไปในทำนองนี้..
    .


    เพราะขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมก็มีฐานอยู่ มีลักษณ์กิริยาเฉพาะอยู่
    เช่นเดียวกับ ความคิดที่เกิดจากจิต ก็จะมีกิริยาเฉพาะอยู่
    มีต้นกำเนิดอยู่ และจิตก็มีฐานของจิตอยู่.
    .และที่สำคัญในตอนนี้หากน้องเค้าใจว่าน้องแยกได้


    ***๓๓ น้องจะต้องทราบแล้วว่า อาการที่เกิดจากความคิดที่เกิดจากจิตเป็นอย่างไร.
    .อาการที่เกิดจากความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมเป็นอย่างไร.
    . กิริยาของจิตเวลาที่ความคิดที่เกิดจากจิต เข้ามาปรุ่งร่วมกับจิตเป็นอย่างไร
    กิริยาของจิตที่ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมมาปรุ่งร่วมกับจิตเป็นอย่างไร..
    จิตกระเพื่อมเป็นอย่างไร ฐานของจิตอยู่ตรงไหน..อาการจิตว่างหรือจิตเป็นกลางพร้อม
    ที่จะพิจารณาเรื่องต่างๆหลัง
    จากที่ปล่อยให้จิต รู้เห็นตาม ความเป็นจริง ด้วยความเป็นกลางเพื่อเดิน
    ปัญญาเป็นอย่างไร.ส่วนนี้นะครับ...ที่เรียกว่าการแยกขัน ๕ .หรือที่เรียกว่า แยกรูปแยกนาม...


    ถ้าจากหัวข้อกระทู้.''ประสบการณ์การนั่งสมาธิจากการเริ่มแยกขันธ์ ๕'' และอธิบายลักษณะการปฏิบัติของน้อง
    ในขั้นนี้่จากประโยคนี้นะ ''บทเรียนแรกคือเริ่มจากการขยับกระดูกทีละข้อเพื่อตามดูจิตอย่างละเอียดกับ
    ร่างกายจนจับได้ทุกข้อทุกเส้นเอ็นและเลือดที่ไหลไปตามร่างกาย''


    เป็นการสร้างสติหรืออุบายในการระลึกความรู้สึกตัวให้อยู่ที่ฐานกาย
    เพื่อให้จิตมีที่ยึด..และเกิดความต่อเนื่อง เพื่อรักษาอารมย์จิตให้เป็นสมาธิ.แต่ในขณะที่น้องนั่ง
    สมาธิมักจะเกิดอาการทางกายหรือที่น้องเข้าใจว่าเวทนา
    .พอไม่เกิดเวทนาแบบที่เราเข้าใจเลยเหมาว่าเป็น
    การแยกขันธ์ ๕ อย่างที่เราเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ ณ ขณะนี้..


    อาการที่น้องเป็นหรือบางคนเรียกว่าเพิกเฉย จริงๆยังไม่ใช่แบบที่คน
    ที่ฝึกสติปัฏฐาน๔ แบบเวทนาซะด้วยซ้ำ ดูจากกิริยาของน้องคล้ายๆคนนั่ง
    สมาธิแบบสมถะหรืออาปาฯ ที่เริ่มนั่งแล้วเหมือนมีแมลง มาไต่มาตอมเฉยๆเท่านั้นเอง..หรือแค่การทดสอบหรือ
    ก่อกวนในเบื้องต้น...ถ้าบุคคลที่ผ่านเวทนาจริงๆก็คือ นั่งจนร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งปวดจนแทบจะขาดใจ..
    แล้วทนต่อไปจนจิตสามารถถึงขั้น
    ที่แยกกับกายได้อย่างเด็ดขาดชั่วคราว
    ซึ่งจะผ่านสภาวะต่างๆมากกว่านี้เยอะจนเหลือเพียงอารมย์เดียว


    และจิตจะพบสภาวะความเป็นทิพย์หลายๆอย่าง.ไม่ถอดจิตได้เลยตอนนั้นก็
    เห็นตัวเองนั่งอยู่ก็มีหรือไม่ถ้ากำลังสติมากพอก็จะเห็นร่างกายแตก
    ย่อยสลายเป็นเสี่ยงไปเลยก็มีครับ.ส่วนของน้อง
    ไปติดสมมุติมากไปฝ่ายมารเลยเล่นงานน้องให้รู้สึกเหมือนเวทนา
    ในจุดนี้เพราะรู้ว่าเป็นจุดอ่อนของเรา.
    .ส่วนพอเราไม่สนใจหรือเพิกเฉยก็เลยไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร..
    เพราเป็นความคิดที่เกิดจากจิตจากคำว่า เวทนาหนอๆ นั้นหละ
    หลักง่ายๆก็คือ จิตจะคิดได้ที่ระเรื่องเป็นปกติอยู่แล้ว.
    และไม่ใช่แบบเวทนาจริงๆแบบสติปัฏฐาน ๔ แน่นอน


    และกำลังสมาธิของน้องสุงสุดตอนนี้ยังอยู่ที่กำลังฌาน ๑ เพราะกำลังระดับ
    นี้ก็ไม่รู้สึกเวทนาอะไรแล้วยกเว้นอาการปิติบางอย่าง..
    ยิ่งพอรู้สึกว่าเวทนาแบบที่น้องคิดแล้วไปดึงด้วยคำ
    ว่าเวทนาหนอ เวทนาหนอ ยังๆไงก็ไม่เกินกำลังฌาน ๑ เวทนาที่เป็นเวทนาจริงๆนั่นไม่หายหรอกครับ..


    แต่ถ้าเวทนาแบบที่น้องเป็นที่ไม่ใช่
    อาการเจ็บป่วยทางร่างกายนะหายแน่ เพราะไปใช้ความคิดที่เกิดจากจิต.พอจิตไปสนคำว่า
    เวทนาหนอ ๆๆ เลยทำให้เราลืมอาการที่เราเป็นแต่จริงๆมันไม่หายไปไหนครับ.
    .แยกขันธ์ ๕ แบบน้องยังเป็นคล้ายๆการเพิกหรือไม่สนใจเรื่องร่างกายที่เราเป็น ไปอยู่ที่คำภาวนาอยู่.
    .

    ร่างกายยังไม่ได้แยกออกจากจิตชั่วคราวเหมือน
    นั่งสมาธิสายเวทนา จริงๆครับ..
    ซึ่งที่น้องพูดมาความหมายจะสื่อว่าเป็นสิ่งเดียวกันจะพยายามพูดให้เป็นอย่างเดียวกัน
    ความจริง..ขันธ์ ๕ ส่วนรูปธรรมก็ส่วนหนึ่ง
    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมก็ส่วนหนึ่ง
    ร่างกายกับจิตแยกกันชั่วคราวก็ส่วนหนึ่ง
    จิตเริ่มเป็นสมาธิในอารมย์ไม่สนใจร่างกายก็ส่วนหนึ่ง
    เราจะเอามาพูดรวมกันเพื่อให้เป็นเรื่องในทำนองเดียวกัน
    อย่างที่ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ ณ ปัจจุบันนี้ จะทำให้ตัวเรา
    เองก็ไม่เข้าใจจริง.ผู้ที่จะแนะนำก็จะแนะนำได้ยาก.พูดเท่าไร
    ก็จะไม่มีปลายทางซักที..พอเข้าใจที่อธิบายนะครับ....


    ลองดูความเข้าใจน้องในเบื้องต้นก็ได้นะครับ..ที่น้องเล่ามาเหมือนกับ
    ว่าไปไกลแล้ว..แต่หลายๆคนที่แนะนำก็เข้าใจ น้องดีว่าเป็นอย่างไร.
    ลองดูนะครับ..ถ้าน้องอ่านประโยค***๓๓ เข้าใจและทราบดีนั่นหละ
    ถึงจะเป็นอย่างที่น้องพยายามสื่อ ณ เวลานี้ครับ.ถ้ายังให้ลองพิจารณา
    ดูอีกครั้ง.ทบทวนการปฏิบัติให้ดีๆ อายุยังแค่นี้.ถือว่าใช้ได้แล้วครับ..
     
  14. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    หนทางยังอีกยาวไกลนัก จาก สมาธิ ก็ไป ปัญญา ต่อ

    ขออนุญาตครับ

    ถ้าท่าน จิตเป็นสมาธิ จิตจะมีอาการสามอย่างคือ

    "รู้ลมหายใจ"
    "รู้ความคิด"
    "รู้ความว่าง"

    เราก็ภาวนา สะสมกำลังสติ กำลังสมาธิไปเรื่อยๆ
    เมื่อเรามี กำลังสติ กำลังสมาธิ มากขึ้นๆ

    "ความว่าง" ก็จะลดลงๆ ความรู้ คือ "รู้ลมหายใจ" , "รู้ความคิด" ก็จะมีมากขึ้นๆ

    เมื่อ กำลังสติ กำลังสมาธิ สมบูรณ์ "ความว่าง" ก็จะเหลือ น้อยที่สุด

    เมื่อร่างกาย อ่อนเพลีย จึงอยู่กับ "ความว่าง" มากขึ้น เพื่อ ให้ร่างกายได้พักผ่อน

    จิตจะอยู่ืั้ "รู้ลมหายใจ", "รู้ความคิด", "รู้ความว่าง" ในสัดส่วนเท่าใด
    มันจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ ตามกำลังสติ ตามกำลังสมาธิ ที่ท่านได้สะสมเอาไว้

    เมื่อกำลังสติ กำลังสมาธิ เต็มเปี่ยม ท่านจะสามารถ เดินจงกลมบนพื้นกระเบื้องที่โดนแดดเผาจนร้อน ได้

    เมื่อกำลังสติ กำลังสมาธิ เต็มเปี่ยม ท่านจะสามารถ เดินจงกลม รวดเดียว นานถึง 8 ช.ม. ได้

    เมื่อ จิตเริ่มพิจารนาธรรม รู้อันไหน เห็นอันไหน ให้พิจารนา อันนั้น ก่อน

    รู้ กายก่อน ให้พิจารนา กายก่อน
    รู้ เวทนาก่อน ให้พิจารนา เวทนาก่อน
    รู้ จิตก่อน ให้พิจารนา จิตก่อน
    รู้ ธรรมก่อน ให้พิจารนา ธรรมก่อน

    การรู้ธรรม เห็นธรรม ไม่มี เด็ก ไม่มีผู้ใหญ่ ไม่มีช้า ไม่มีเร็ว
    เพราะเป็นไปตาม บุญ วาสนา บารมี ที่ได้สะสมเอาไว้มาแต่ชาติปางก่อน เป็นตัวหนุนเสริม

    เมื่อท่าน เริ่มเห็น "จิต"
    เมื่อท่าน เริ่มเห็น "ธรรม"

    นั่นคือ ท่านเริ่มเห็น "ปัญญา" แล้ว
    ท่านเริ่มเห็น "ปัญญา" แล้ว
    ท่านก็สามารถ สะสม "ปัญญา" ได้ ต่อไป

    เมื่อ มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทางกาย ให้อยู่กับ "ความว่าง"
    เมื่อ มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทางจิต ให้อยู่กับ "รู้ลมหายใจ"
    เมื่อ รู้เห็น "ความคิด" เกิดขึ้น แสดงว่า กำลังสติ กำลังสมาธิ เริ่มจะมีบ้างแล้ว
    อย่าเพิ่งไปพิจารนา "ความคิด" นั้น

    เพราะถ้า กำลังสติ กำลังสมาธิ ไม่พอ จะกลายเป็น ความฟุ้งซ่าน แทน
    ความฟุ้งซ่าน คือ การที่เราคิดไปเอง ปรุงแต่งไปเอง โดยหลุดออกมาจาก
    กำลังสติ กำลังสมาธิ ที่ควบคุมอยู่

    ถ้า เรา "รู้ความคิด" มากๆจนชำนาญ ภายใต้ กำลังสติ กำลังสมาธิ ที่ควบคุมอยู่

    เราจึงจะสามารถ "พิจารนาธรรม" ได้

    การ "พิจารนาธรรม" ก็คือ

    เมื่อเกิด "คำถาม" ผุดขึ้นในจิต
    ก็จะมี "คำตอบ" ผุดขึ้นตามมา

    เหมือน จิตหนึ่ง ถาม แล้ว จิตหนึ่ง ตอบ เป็นเช่นนี้ เรืื่อยไปๆ
    ตามกำลังสติ ตามกำลังสมาธิ ที่หนุนเนื่องอยู่

    เมื่อ กำลังสติ กำลังสมาธิ อ่อน ลง

    อาจจะเกิดการพลั้งเผลอ เกิด "จิตปรุงแต่ง" คิดเอง เออเอง

    ให้รีบกลับไป สะสม กำลังสติ กำลังสมาธิ ขึ้นมาใหม่

    ขอโมทนา ขออนุโมทนา ในบุญกุศล ในวาสนา ในบารมี ร่วมกับญาติธรรมทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2013
  15. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    เห้ย..คุณพลังขาว คุณนี่มันรอบจัดเกินไปแล้ว ปกติวุฒิภาวะของคนอายุ 17 รุ่นหลาน
    จะต้องสนใจดูดวง หน้าที่การงาน เนื้อคู่ความรัก ดูฤกษ์ยาม อุกาบาต อุบากอง ต่างๆ
    ทั้งแท๊บเล็ต ไอปูด ไอโปน พกเครื่องเรื่องฮา มีความยินดีที่จะได้รับคำชมต่างๆ

    ยิ่งถูกสอดแทรกด้วยสัญญาในภพชาติ กระตุ้นต่อมด้วยหลักปรัชญา เป่าหูด้วยยานนั้นยานนี้
    ก็จะกลายเป็น เมพขิงๆ...จุงเบย เต้นแรงเต้นกา หลงว่ามีพลังเยอะ เกรียนานุเกรียนชิดซ้ายไปเลย

    ดังนั้น จะดูต่อไปว่า วุฒิภาวะที่เหนือคนอายุ17 มีอุปนิสัยอธิวาสนา
    สนใจปฏิบัติพิจารณาในเรื่อง ธาตุ ขันธ์ อายตนะ ปฏิจจสมุปบาท มรรคอริยสัจ

    แต่ตอนที่เข็มมันตกสเกล ที่ว่าธรรมะคือธรรมชาติ มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
    แต่จะเห็นความเสื่อมไป ของธรรมชาติหรือไม่เท่านั้นเอง
    หากเห็นธรรมชาติเหล่านั้น ย่อมเป็นจิตที่เบื่อหน่ายคลายกำหนัด สมที่ได้เกิดภายใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา

    ส่วนที่บอกว่าได้เกิดมาใน ร่มกาสาวพัสตร์ นั่นหมายถึง การได้บวชเป็นพระ

    ใครที่กำลังสับสน! หนทางจนปูนนี้ ก็น่าจะละอาย
     
  16. พลังขาว

    พลังขาว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +61

    ขอบคุณมาๆเลยนะคะ หนูไม่รู้จริงๆว่ามันเรียกยังไง ทำให้หนูหายโง่เรียกผิดเรียกถูกเลยค่ะ แต่ทุกๆข้อความที่เขียนไปนั้น เป็นเจตนาที่ดีจริงๆนะคะ ขอบคุณมากๆนะคะที่วิเคาระพ์และอธิบายให้หนูได้เข้าใจขนาดนี้ หนูจะเขียนบอร์ใหม่ในครั้งต่อไป ถ้ามีเวลารบกวนมาดูได้ไหมค่ะ อยากได้คำแนะนำดีๆเช่นนี้อีก:]] ปลื้มใจจริงๆค่ะ
     
  17. พลังขาว

    พลังขาว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +61


    หนูนึกว่าหมายถึงเกิดในศาสนาพุทธ ขอโทษนะคะหนูจะเปลี่ยนใหม่ :]] ต้องพูดว่า ดีใจเหลือเกินที่ได้เกิดใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา :]] ขอบคุณนนะคะที่แนะนำ
     
  18. teerasak9e

    teerasak9e เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +187
    หากสนใจในเรื่องขันธ์ ๕ ก็ต้องเรียนรู้ ชีวิตที่เป็นปัจจุบัน
    รูป คือ กายของเรานี้ มีการเคลื่อนไหว มีความสกปรก เป็นธรรมดา
    เวทนา คือ ความที่ทนไม่ได้ ด้วยตัณหาต่างๆ จึงเกิดขึ้น
    สัญญา คือ สิ่งที่เมื่อเห็น หรือ นึกคิดได้ และรู้ว่าเป็นอะไร
    สังขาร คือการปรุงแต่งในสัญญา , เวทนา ,รูป ให้ก่อเกิดเป็นรูปร่าง ตัวตน ของเรา ของเขา ตัวกู ของกู อันให้เป็นภพ
    วิญญาณ คือ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ขันธ์ ที่กล่าวมา เป็นตัวกลางในการรับรู้ เข้ามาที่ ผู้รู้

    ความต้องการเรียนรู้ขันธ์ ๕ ต้องอาศัยกรรมฐาน ที่เรียกว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็
    สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ได้กลิ่น ลิ้มรสก็สักแต่ลิ้มรส สัมผัสก็สักแต่สัมผัส และ รู้ในใจก็สักแต่รู้ในใจ ซึี่งการจะกระทำแบบนี้ได้ ก็ต้องเตรียมตัวโดยการมีสติให้พร้อม ดังพุทธโอวาท
    ที่ทรงประธานไว้ในวันมาฆะบูชา คือ
    ๑.การไม่ทำความชั่วทั้งปวง หมายถึง ถือศีล ๕ เป็นนิจ
    ๒.การทำความดีให้ถึงพร้อม หมายถึง มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา (สัมมาสติ)
    ๓.การทำจิตให้บริสุทธิ์ หมายถึงการกระทำมรรคให้แจ้ง คือ รู้สักแต่รู้ (ตามความเป็นจริง)

    และเมื่อมีสติที่เป็นมหาสติ แล้ว รู้ก็สักแต่รู้ ก็จักบังเกิด ขันธ์ ๕ คืออะไร ก็รู้ในนั้น

    หากสงสัยก็ควรหาครูอาจารย์ที่ชำนาญใน กรรมฐาน รู้สักแต่รู้ นั้นได้ครับ

    ขอให้เจริญในธรรม ปัญญา และ นิพพาน .... .
     
  19. คมวรรณ

    คมวรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +1,050
    ดีครับ..ที่เยาวชนคนรุ่นใหม่..สนใจใฝ่ธรรมะพุทธศาสนาเพื่อจรรโลงองค์พระรัตนตรัย..สืบต่อไปครบห้าพันปี.....ช่วงเป็นฆราวาสไม่ว่าหญิงหรือชาย..แนะนําให้ถือศีล5และหรือถือศีล8..เป็นพื้นฐานเลยนะขอรับ..เพื่อการสงบกายและวาจา...ส่วนการสงบใจ-จิต..เพียรมีภาวนาสมถ-สมาธิ(เข้าฌาณ1-ฌาณ4 ..มีสติจับจิตตามดูรู้ทันความคิด..และบังคับให้คิดแต่สิ่งดีๆมีกุศลเท่านั้น..ตามดูเฉยๆรู้แล้วละไว้วางสภาพธรรมชาติต่างๆที่มาปรกฏทางตา-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ..แล้วเฉยเสีย..นี้คือการเข้าฌาณสงบจิตใจ..)..จิตที่มันไม่สงบ..เพราะเราขาดสติ..ไม่มีสติตามดู ตามรู้ทัน..จิตก็ปรุงแต่งในเรื่องที่ได้ยินได้ฟังหรือได้เห็นในอดีตและในอนาคต(ในเรื่องความรัก-โกรธ-โลภ-หลง)..จึงทําให้จิตเป็นทุกข์..(นั่นเพราะขาดสติ)..คราวหน้าจะมาแนะเรื่องการปฏิบัติปัญญา(วิปัสสนากรรมฐานนะขอรับ)...
     
  20. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419

    ความเมา3อย่างมีอยู่คือ เมาในความยังหนุ่มยังสาว เมาในความไม่มีโรค เเละ ความเมาว่ายังมีชีวิตอยู่ เมื่อบุคคลมัวเมาอย่างนั้น ย่อมประพฤติ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ภายหลังเเต่การตายเพราะการเเตกทำลายแห่งกาย ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดเดรฉานบ้าง เปรียบเช่นบุคคลซัดท่อนไม้ขึ้นบนอากาศ บางคราวก็เอาโคนลง(กามภพ) บางคราวก็เอาท่ามกลางลง(รูปภพ) บางความก็เอาปลายลง(อรูปภพ) ได้ท่องเทียวไปมาอยู่ สัตว์เหล่านั้นได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้ามาตลอดกาลเหมือนฉะนั้น
    สุขโสมนัสอันเกิดจาก สีสรรเเห่งวรรณะนี้เรียกว่า อัสสาทะของรูป โดยกาลต่อมา จะได้เห็นน้องหญิงเเห่งกษัตริย์ก็ดีฯ อายุ15 หรือ16 ที่มีผ่ามือผ่าเท้าอันอ่อนนุ่มนิ่มนั้น ผ่านวัยปฐมวัยไป มีหลังงอดุจไม้โค มีกายคดไปคดมา มีไม้เท้ายันไปในเบื้องหน้า นี้เรียกว่าอทีนาวะเเห่งรูป ฯลฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...