ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เมเฆนทร์, 25 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. สปาต้า

    สปาต้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +46
    อ้าว ตกลงแถวบ้าน คุณ ไม่ได้สอน ควาย ให้เป็นอรหันต์หรือ ก็ธรรมที่คัดลอกมาลงนะ เราบอกว่าถ้า ควายฟังยัง เป็นอรหันต์เลย เราชมนะว่าฟังง่าย สำหรับ ควาย แล้ว ควาย ไม่สุภาพตรงไหน หรือจะให้เรียกว่า "โลกันตมหานรกในกะลาครอบ" 555555 เรานะด่าเฉพาะพวกที่จ้อง ทำลายพระพุทธศาสนาเท่านั้น 55555555
     
  2. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +53

    ...........................................................................




    รับทราบแล้วครับ
    ว่าคุณไม่ใช่สายใหน



    แต่คุณก็พูดถึงเรื่องธรรมกาย


    ธรรมกายของคุณคืออะไร


    ธรรมกายของคุณ
    ต้องเป็นขั้นเป็นตอน
    เป็นหลักเป็นเกณฑ์
    เป็นแบบเป็นแผนอีกมั๊ย



    ช่วยอธิบาย
    ธรรมกาย
    ของคุณหน่อยสิ
    ที่คุณอ้าง
     
  3. สปาต้า

    สปาต้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +46
    พระอานนท์ ท่านปฏิบัติมามากเท่าไหร่แล้ว ยังมาว่าไม่มีขั้นตอน
    ถามหน่อยซิว่า คุณนะรู้อะไรบ้าง ในการปฏิบัติ ขนาดอาจารย์คุณ ยังเอาตัวไม่รอด นรก แล้วคุณมีอะไรมาโพสต์มั่วๆแบบนี้ ขอเตือนก่อนนะ คุณยังโพสต์ อีก เกิน สามข้อความ จะได้เจออะไรดีดีนะ มีคนที่มองไม่เห็นมากระซิบบอกเรานะ ระวังๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  4. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +53

    ...............................................................................


    ในความรู้ของคุณปุณฑ์
    มันจะสมังคีกันด้วยวิธีอะไร
    มันจะสมังคีกันตอนใหน
    และต้องทำอย่างไร....มันถึงจะสมังคีในธรรม



    ช่วยอธิบายให้ละเอียดด้วย
     
  5. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +53


    ........................................................................

    แล้วพาหิยะล่ะครับ
    เป็นชีเปลือยคลุกฝ่น
    ขอทานกินไปวันๆ
    จิตพาหิยะนั้นมืดสนิท
    ถือสีลพรตปรามาส.....ในลัทธิอื่นมาด้วยซ้ำ
    เพียงก้มกราบพระบาทตถาคต
    เข้าใจเรื่องขันธ์ 5 ไม่เที่ยงโดยธรรมชาติแห่งขันธ์มันเอง

    พาหิยะ
    ไม่มีเวลาไปปฏิบัติด้วยซ้ำ
    แล้ว
    พาหิยะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร
    ช่วยตอบให้เป็นเหตุเป็นผลหน่อยสิ








    นี่คุณ
    ใช้วิธีขู่คนอื่นแล้วหรือ
    เป็นมาเฟีย
    ในเว็บพลังจิตนี้แล้ว
    ใช่มั๊ย
    คุณนับไปเลยนะ
    เนี่ย
    โพสต์ที่ 1 แล้ว
    ไม่เกินสามใช่มั๊ย
    งงน่ะ
    เรื่องกระซิบข้างหู
    คุณติดนิมิต
    ติดฌานมากไปหรือเปล่า
    เสียงใครครับ
    เขามีอำนาจในกรรมวิสัยในยุคนี้
    ขนาดใหน
    ชี้เป็นชี้ตายคุณได้เลยหรือ




    นี่มันกระทู้ผมตั้งขึ้นมา
    ผมมีหน้าที่
    ต้องตอบกระทู้ของทุกๆท่าน
    มันต้องเกินสามด้วยซ้ำ



    ใจใสๆ
    ครับ
    คุณสปาต้า



    เกินสาม
    ดีกว่านะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2011
  6. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +53





    .............................................................





    คุณจะใช้จิตของคุณ
    จิตชนิดใหนของคุณ
    ด่าใคร
    ก็เรื่องของคุณ



    ขอบคุณนะครับ
    ที่กรุณามีความเมตตา
    เข้ามาโพสต์ในกระทู้นี้


    เนื้อหาที่คุณโพสต์
    ก็บ่งบอกว่าคุณเป็นคนเช่นไร



    คนอ่านทั่วไป
    ก็คงพอวิเคราะห์ได้




    เลือดบูชิโด.........แห่ง.........สปาต้า
    เข้มข้นครับ





     
  7. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692

    ท่่านพาหิยะ ต้องจิตควรงานก่อนค่ะ คือจนจิตสงบควรงานแล้ว
    พระพุทธองค์จึงเทศน์โปรด
    ท่านเป็นเอตทัคคะด้านตรัสรู้เร็ว (ปัญญานำ)
    อินทรีย์ห้า คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา แก่กล้าแล้ว
    อริยมรรคสมังคีขณะฟังธรรมจบ คือทำลายขันธ์ห้าตัวตนลงได้
    ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อ
    ทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
    ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

    ส่วนพระสารีบุตร ต้องฟังเรื่องของอภิธรรม
    อินทรีย์ห้าพละห้าแก่กล้าอยู่แล้ว (ปัญญานำเช่นกัน)
    ปล่อยวางตัวตนเมื่อบารมีของท่านได้ทำให้แจ้งแล้ว
    ท่านเป็นเอตทัคคะทางผู้มีปัญญา เป็นเลิศด้านปัญญา

    พระอานนท์ เราสันนิษฐานเอง ว่าน่าจะเป็นกายานุปัสสนา
    เพราะท่านเจริญสติมาตลอดวัน
    แต่เคร่งเครียดกับภาระในการต้องทำสังคายนา
    พอปล่อยวาง(อุปาทาน)หน้าที่ขณะล้มตัวลงนอน หมดความยึดมั่น
    อริยมรรคสมังคีขณะล้มตัวลง


    ขั้นตอนการถึงธรรม นั้นคุณคิดว่าชั่วขณะอริยมรรคสมังคี
    มันเกิดโดยอินทรีย์ห้าพละห้ามันไม่มีกำลังเหรอ
    คนที่จะบรรลุธรรมได้ต้องกำลังดี
    (พละห้ามีกำลังแต่ยังไม่เสมอแค่นั้น ส่วนตัวไหนนำ แล้วแต่จริต)
    เคยรู้จักคำว่าอยู่ตัวไหม คนเขาอยู่ตัวอ่ะ เจริญสติอยู่ตลอด
    ไม่ใช่นักกีฬา ไม่เคยวอร์ม แล้วจะวิ่งเข้าเส้นชัยได้



    ๑๐. พาหิยสูตร

    [๔๘] ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันจงกรมอยู่ในที่แจ้ง พาหิยทารุจีริยะ
    เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้ถามภิกษุเหล่านั้นว่า ข้าแต่ท่านทั้งหลาย
    ผู้เจริญ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ
    ข้าพเจ้าประสงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ภิกษุ
    เหล่านั้นตอบว่า ดูกรพาหิยะ พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อ
    บิณฑบาต ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะรีบด่วนออกจากพระวิหารเชตวัน เข้าไป
    ยังพระนครสาวัตถี ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนคร
    สาวัตถี น่าเลื่อมใส ควรเลื่อมใส มีอินทรีย์สงบ มีพระทัยสงบ ถึงความฝึก
    และความสงบอันสูงสุด มีตนอันฝึกแล้ว คุ้มครองแล้ว มีอินทรีย์สำรวมแล้ว
    ผู้ประเสริฐ แล้วได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มี-
    *พระภาคด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดง
    ธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาล
    นานเถิด ฯ
    [๔๙] เมื่อพาหิยทารุจีริยะกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรพาหิยะ เวลานี้ยังไม่สมควรก่อน เพราะเรายังเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อ
    บิณฑบาตอยู่ แม้ครั้งที่ ๒ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี ความ
    เป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดง
    ธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ตลอด
    กาลนานเถิด ฯ
    แม้ครั้งที่ ๒...แม้ครั้งที่ ๓ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี
    ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล ข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรด
    ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาล
    นานเถิด ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษา
    อย่างนี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็น
    สักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกร
    พาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อ
    ทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี
    ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า
    ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
    ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
    ทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มี-
    *พระภาค ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วย
    พระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ
    [๕๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน แม่โค
    ลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จ
    เที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เสด็จ
    ออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะ
    ทำกาละแล้ว จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจง
    ช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะยกขึ้นสู่เตียงแล้ว จงนำไปเผาเสีย แล้วจงทำ
    สถูปไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอ
    กับท่านทั้งหลาย ทำกาละแล้ว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ช่วยกัน
    ยกสรีระของพระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง แล้วนำไปเผา และทำสถูปไว้แล้ว
    เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้
    ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สรีระของพาหิยทารุจีริยะข้าพระองค์
    ทั้งหลายเผาแล้ว และสถูปของพาหิยทารุจีริยะนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายทำไว้แล้ว
    คติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเป็นอย่างไร ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิต
    ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะปรินิพพานแล้ว ฯ
    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทาน
    นี้ในเวลานั้นว่า
    ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด
    ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์
    ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี
    ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะรู้ (สัจจะ ๔) รู้แล้ว
    ด้วยตน เมื่อนั้น พราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจากรูปและอรูป
    จากสุขและทุกข์ ฯ


    จบสูตรที่ ๑๐ ​
    <CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=25&A=1607&Z=1698
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2011
  8. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ธรรมกาย(กายธรรมหรือขันธ์ธรรม) เป็นไฟในส่วนที่เห็น
    ส่วนไฟที่ไม่เห็น คือโลกุตตระภูมิ

    นิพพานจะว่าสูญก็ไม่ได้
    มีอยู่ก็ไม่ได้ เพราะไม่ตกอยู่ในสังสาร ไม่ใช่ขันธ์ห้า และไม่ใช่ตัวตน
    แต่ก็นะ จะสื่อกับฝ่ายบัญญัติ ก็ต้อง มีเสียง มีตัว ให้ฝ่ายบัญญัติรับรู้ว่าใคร แม้นท่านจะดับความเป็นใครในชาติสุดท้ายไปด้วยแล้วก็ตาม

    ส่วนธรรมกายที่หลวงปู่สดนำมาทำเป็นกรรมฐาน(เก่งมากๆ)
    ไม่เคยฝึกนะ หากคุณสนใจไปหาศึกษาเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2011
  9. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    อย่างต่ำปฐมฌาน ไปถึงฌานสี่ หากเลยไปอรูปฌานต้องถอยกลับมาเพราะต้องเป็นจิตที่ตื่นด้วยสติอย่างยิ่ง คือมีสติบริบูรณ์พอ ที่จะตามรู้การทำงานของกายและจิตที่ตกอยู่ในกฏไตรลักษณ์ตลอดเวลา เวลาที่บอกว่า ถอยกลับมาที่ฌานสี่และดับขันธ์ลงไป ตรงนี้ หมายถึง เอกัคตา คือเป็นเอกัคตาของปฐมฌานไปถึงฌานสองสามสี่ แต่ด้วยความเป็นเอกัคตา จึงเรียกว่าฌานสี่ (อันนี้ความคิดส่วนตัวนะ)

    โพธิปักขิยธรรม 37 ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ , ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8

    สติปัฏฐานสี่ เป็นทางสายเอกเพื่อการบรรลุธรรมอย่างไร
    สติปัฏฐาน ๔ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์.
    โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ ย่อมยัง วิชชา และ วิมุตติ ให้บริบูรณ์.

    ทวนโพชฌงค์เจ็ดอีกทีนะคะ
    สติ(สติสี่ฐานไหนก็ได้)
    ธัมมะวิจยะ(ปัญญาตามรู้สภาพจริงของรูปนาม)
    วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา(สมาธิ)

    เมื่อสติต่อเนื่องมีกำลัง
    ย่อมหนุนให้พละห้ามีกำลัง คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

    การเจริญสติสี่ เป็นการเจริญอริยมรรคองค์แปดอยู่แล้ว
    คือศีล (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ)
    สติ สมาธิ (สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาวายามะ)
    ปัญญา(สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ)

    เมื่ออินทรีย์ห้าพละห้ามีกำลัง ย่อมตามรู้ทันรูปนามได้อย่างว่องไว
    นิยมเรียกเกิดสภาวธรรม สภาวธรรมไม่ใช่การคิด แต่เห็นจริงตามจริง
    บางคนเห็นรูปดับชัดเจน หรือเห็นกายเป็นธาตุดินน้ำลมไฟชัดเจน ฯลฯ
    ต่อเมื่อ เห็นจิตดับลง คือ ขาดความปรุงแต่งลงไป (อริยมรรคสมังคี หรือเรียกพละห้าเสมอกัน)
    จึงจะเห็นว่า จิตนั้นก็ตกอยู่ในกฏไตรลักษณ์ ไม่ใช่คิดเอานะ เพราะเป็นการใช้จิตตัวใหม่ไปคิดว่าจิตดวงเก่าดับ แต่การเห็นจิต(นามขันธ์สี่)ดับลงจริงๆ คือเข้าไปเห็นจริง ว่าสภาพนิพพานนั้นไม่มีขันธ์ห้าอย่างไร ไม่มีตัวตนอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2011
  10. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +53


    .............................................................................



    กลับแน่นอนครับ
    ในฐานะ
    วิสุทธิเทพ


    บังเอิญ
    มีบทความ
    เกี่ยวกับ
    การกลับไป........ตาวะติงสา
    อีกครั้ง
    พระอาจารย์ท่านรจนาไว้




    อ่านเล่นๆนะ
    คุณปุณฑ์



    ...........................................




    เก็บงานดาวดึงส์<O:p</O:p

    สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นพื้นที่พิเศษอันเกิดจากแรงบุญของมฆะมานพและเพื่อนอีก 32 คน ดวงจิตทั้งหลายที่ได้มาจุติในสวรรค์ชั้นนี้ในสถานะเทวานางฟ้าต่างอยู่ร่วมกันมาในฐานะเพื่อนผองน้องพี่กันมาตลอด ในยุคแรกๆตั้งแต่คราวที่มฆวาฬหรือสักกะเทวราชผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์ได้พานางสุชาดาอสูรกัญญาเมียรักขึ้นมาอยู่ด้วยในฐานะนางแก้วคู่บุญคู่อธิษฐาน ด้วยเหตุแห่งนางสุชาดาอสูรกัญญาทำให้ท้าวเวปปจิตติจอมอสูรผู้เป็นบิดาก่อศึกท้าสักกะทำสงครามเทวเทวาเรื่อยมาตลอดทุกปีทิพย์สวรรค์ การที่เพื่อนๆเทวาทุกดวงในสวรรค์ดาวดึงส์และในหกชั้นฟ้าช่วยสักกะออกรบกับเหล่าเทวาอสูรตลอดมานั้นเพียงเพื่อเห็นแก่ความรักระหว่างสักกะและนางสุชาดาอสูรกัญญา ทำให้เกิดความผูกพันความสามัคคีกลมเกลียวระหว่างเหล่าเทวานางฟ้าทั้งหมด ความผูกพันเหล่านี้เกิดจากการร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่เป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายในสนามรบกันมา คำว่า “เพื่อนผองน้องพี่” คำ คำนี้จึงดังก้องอยู่ในหัวใจสักกะมาตลอด เทวานางฟ้าดาวดึงส์ต่างก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมามีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันอยู่ร่วมกันมาในฐานะเสมอกันด้วยดวงจิตของผู้มีบุญเท่านั้น ไม่เคยใช้ระบบเจ้าขุนมูลนายปกครองให้เกิดความแตกต่างกันเลย อยู่แบบเสมอภาคกันถ้วนหน้า<O:p</O:p
    ร่องรอยในอดีตที่ผ่านมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้ “เลือดแห่งความเป็นชาวฟ้าดาวดึงส์” ยังเข้มข้นไม่จืดจาง ผู้เขียนในฐานะเทวาดวงหนึ่งแห่งดาวดึงส์สวรรค์ยังจดจำภาพในอดีตไม่เคยลืมเลือน เมื่อละสังขารไปจากโลกใบนี้แล้วก็อยากจะกลับไปเยี่ยมบ้านเก่าอีกสักครั้ง กลับไปเพื่อเอานิพพานธาตุไปบอกกล่าวชี้แนะแนวทางให้เทวาอีกหลายกลุ่มแห่งดาวดึงส์ได้เรียนรู้ทำความเข้าใจและปฏิบัติตามเพื่อดำเนินไปในเส้นทางหลุดพ้น เป็นการทดแทนคุณแก่แผ่นดินสวรรค์ผืนนี้ที่เคยอยู่ร่วมกันกับบรรดาเพื่อนผองน้องพี่มาตลอดเป็นกัปป์อย่างยาวนานที่ผ่านมา<O:p</O:p
    ศาลาสุธรรมาเทวสภาจักเป็นสนามใหญ่ให้แก่เหล่าอริยเจ้าทั้งหลายที่อดีตเคยเป็นเทวานางฟ้าในสวรรค์ชั้นนี้ที่ลงมาจุติทำบารมีในยุคกึ่งพุทธกาลได้สำเร็จ เป็นสนามใหญ่เพื่อขึ้นเทศน์บอกธรรมให้แก่เทวานางฟ้ารุ่นหลังทุกดวงจิตที่มีความปราถนาขึ้นฝั่งพระนิพพาน พวกเราจักไม่รอ.......บรมมหาโพธิสัตว์ดวงไหนมาโปรดชาวฟ้าดาวดึงส์อีกต่อไปแล้ว พวกเราเหล่าอริยเจ้าศิษย์เก่าดาวดึงส์จักจะเป็นเสาหลักสอนธรรมให้แก่เทวานางฟ้ารุ่นน้อง พวกเราจักสอนกันเอง นี้คือการเก็บงานดาวดึงส์<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p





    เลือดแห่งดาวดึงส์............................ชาวฟ้า<O:p</O:p
    ความผูกพันเทวา.............................น้องพี่<O:p</O:p
    ตอบแทนผืนแผ่นฟ้า.........................เคยอยู่<O:p</O:p
    เป็นเทวาวิสุทธิ.................................เทศนา บอกธรรม




    ..............................................................................................

    คัดลอกมาจาก
    หนังสือ
    ชาวฟ้าดาวดึงส์ ธรรมานุสรณ์

    ..............................................................................................

    [​IMG]






    [​IMG]
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  11. pichak

    pichak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +69
    สาธุ สาธุ
    -กลับมาแล้ว ไปสร้างกุฎิมา 1 อาทิตย์ ตัวดำเลย หาที่หลบภัยไว้ก่อน

    -กาลนี้ข้างบน ได้ลงมากันมากมาย เพื่อมาช่วยพระโพธิสัตว์ เพื่อฉุดช่วยเหล่ามนุษย์ และ โปรด สามภพ สามโลก กันมากมาย จึงมิแปลกที่แต่ละองค์จะมีของเก่าติดตัวกันมาหลาย ๆองค์ แต่ละองค์ต่างช่วยกันทำหน้าที่มีวิชาเฉพาะพระองค์แบบเร่งด่วน

    -แต่ละพระองค์มาทำหน้าที่ วิชาแต่ละพระองค์เฉพาะกิจ เฉพาะกาลเร่งด่วน ผู้ใดเข้าหา หรือพบพาล ก็ยินดีในกาลนี้ด้วย

    -พระลับ 5 พระองค์ ก็ลงมาในกาลบัดนี้ด้วยแล้ว

    -พระคู่บารมีบ้านเมืองก็กำลังจะเกิดขึ้นอีกองค์

    -พญานาค พญาเต่า พญาหงษ์ พญามังกร ก็จะรวมตัวกันเผยแผ่ศาสนา

    -การขนถ่ายเหล่าสรรพสัตว์ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่สำคัญในพุทธกาล ช่วงรอยต่อ สร้างสัมพันธุ์สู่พุทธศรีอารย์

    -สรุปธรรม เพื่อเข้าสู่เนื้อหากาลโปรดเหล่าจิตญาณทั้งหลาย ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกชั้น ขนถ่ายเหล่าเวนัย์เข้าสู่นิพพาน

    -ธรรมแต่ละท่านที่ได้ อาจจะไม่เป็นไปตามขั้นตอนบ้าง แต่จะมีเฉพาะบุคคล เพราะแต่ละท่านมีของเก่ามาแล้ว ก็มิต้องสงสัยว่าทำไมไม่เดินตามลำดับ มีการลัดแบบทีเดียวถึงก็มี
    -ขอน้อมบารมีพระพุทธเมตตา เมตตามหาเมตตา ปกป้องลูกหลานพุทธสานิกชนให้รอดปลอดภัยได้นิพพานกันทั่วหน้าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2011
  12. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692

    กลับดาวดึงส์ ในฐานะวิสุทธิเทพ(พระอรหันต์) เลยเหรอ
    ก็ขอให้คุณทำได้นะ

    ;k07
     
  13. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +53




    """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

    จริงๆ
    ไม่มีการบรรลุ และ การถูกบรรลุ หรอกครับ




    จริงๆ
    ทุกสรรพสิ่งย่อมไม่เที่ยงอยู่แล้ว
    ทุกสรรพสิ่งย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว
    เป็นสามัญลักษณะ......ของทุกสรรพสิ่งสรรพธาตุ



    แต่เมื่อไม่เข้าใจ
    ในกฎธรรมชาตินี้


    ก็จะปรุงแต่ง
    ความมีตัวตน.....คือมีเราอยู่เสมอ

    ก็จะปรุงแต่ง
    ว่าเรายังมีกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน อยู่เสมอ


    ก็จะปรุงแต่ง
    ว่าเราต้องทำแบบโน้นแบบนี้....เพื่อให้หลุดพ้นเสมอ



    ทั้งๆที่

    จิตที่ปรุงแต่งว่ามีเรา

    จิตที่ปรุงแต่งว่าเรายังมีกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน

    จิตที่ปรุงแต่งว่าเราต้องทำแบบโน้นแบบนี้....เพื่อให้หลุดพ้น


    จิตที่ปรุงแต่ง.....เหล่านี้
    ก็ล้วนไม่เที่ยง
    ดับไปอยู่แล้วโดยสภาพมันเอง โดยธรรมชาติมันเอง
    จิตที่ปรุงแต่งเหล่านี้....มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา



    ธรรม
    มันก็คงสภาพสุญญตา
    สุญญตา....ตามธรรมชาติ....
    อยู่แล้ว




    หาก
    ไม่เอาความเป็นเรา
    เข้าไปยุ่ง
    หรือก้าวก่ายมัน


    อย่าเอาความเป็นเรา
    เข้าไปคิดแทน
    หรือ
    เข้าไปทำแทน
    สุญญตา....ตามธรรมชาติ


    เมื่อไม่เข้าไปยุ่ง



    สุญญตา.....ตามธรรมชาติ
    มันก็จะคงสภาพ
    สุญญตาตามธรรมชาติล้วนๆอยู่อย่างนั้น
    เป็นธรรมชาติแห่งความดับสนิทไม่มีเหลือ
    อยู่อย่างนั้น


    มันจะคงที่ถาวรเอง
    มันจะดับสนิทไม่มีเหลือเอง
    มันจะคงความเป็นธรรมชาติล้วนๆเอง
    หาก
    เข้าใจ
    ธรรมชาติ
    ก็ปล่อยให้ธรรมชาติ
    มันทำหน้าที่มันอยู่อย่างนั้น



    เลยไม่มี
    การบรรลุ
    หรือ
    ถูกบรรลุ























     
  14. จิตโต

    จิตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +163
    จขกท. มีหน้าที่ สักแต่ว่า..หน้าที่เท่านั้น ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    ในขณะที่ตอบโต้กระทู้ จิตไม่มีการปรุงแต่ง ว่ามีเรา
    ไม่เอาความเป็นเราเข้าไปยุ่งหรือก้าวก่ายมัน
    ทุกสรรพสิ่งย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน


    เวลาเสด็จกลับ...ดาวดึงส์
    เดินทางกลับไปอย่างไม่มีตัวตน
    สักแต่ว่า..กลับเท่านั้น
    ไม่เอาความเป็นเราเข้าไปยุ่งหรือก้าวก่ายมัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2011
  15. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ชาวฟ้าดาวดึงส์ ธรรมานุสรณ์ พอจะอ่านมาได้หลายตอนแล้ว สรุปว่า เป็นการยำ ปฎิรูป ไปยำเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งยำพระธรรม ยำประวัติพระเซน แล้วมาตีความตามมิจฉาทิฐิความหลงนึกคิด ตามความเข้าใจของตน และนำเผยแพร่ต่อ

    ฉะนั้นสิ่งที่เผยแพร่ออกมาจึงเป็นทางปฎิบัติที่เนิ่นช้า ติดขัด อยู่กับที่ เสียเวลา ไม่ได้เป็นการละกิเลส ไม่ได้ทำให้เห็นความจริงใด ๆ เลย เพราะเป็นการพยายามจะสร้างภพที่เต็มไปด้วยความพอใจอยู่

    ส่วนตัวเจ้าของกระทู้ ขอตำหนิว่ามัวเมาเป็นอย่างมาก เอาธรรมที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ มาเผยแพร่ โดยไม่ยอมรับคำตักเตือนของมิตรในกระทู้ เดี๋ยวก็ว่าธรรมไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่มีบรรลุ ในขณะที่พระศาสดาก็สอนเรื่องมิจฉาทิฐิ สัมมาทิฐิ และการบรรลุมรรคผลอยู่เสมอ

    การที่เราจะปล่อยวางสิ่งใด เราต้องรู้จักมันอย่างถ่องแท้ จนเ็ห็นแน่แล้ว ว่ามันเป็นโทษ เป็นสิ่งไร้ประโยชน์ จับแล้วมันร้อน อย่างนี้ต้องปล่อย

    แต่กับมรรค กับทาง กับวิธีปฎิบัติ พูดให้ง่าย คือ สิ่งที่ทำแล้วประเสริฐ ส่งผลดีกับตน มันจะไปปล่อยให้โง่ทำไม เปรียบจะข้ามห้วงน้ำ ก็ต้องใช้เครื่องมือ

    อันสัมมาทิฐิ มีอาทิ
    รู้ในทุกข์ รู้ในสมุทัย รู้ในนิโรธ รู้ในมรรค
    รู้ในกระบวนการเกิดดับแห่งทุกข์ (ปฎิจจสมุปบาท)
    พวกนี้เป็นองค์มรรคแปด เป็นสัมมาของพระอริยเจ้าทั้งหลาย

    สัมมาทิฐิอย่างอ่อนแบบปุถุชน
    ก็พวกมีความมั่นคงเชื่อในบาป บุญ คุณ โทษ
    เชื่อในโลกนี้ โลกหน้า โอปปาติกะมี
    เชื่อในวิบากกรรม เชื่อในกรรม ทานมีผล บูชาบวงสรวงมีผล
    เชื่อในคุณบิดา มารดา
    สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนบรรลุมรรคผลนิพพาน รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองแล้วสอนให้ผู้รู้ตามด้วยมีจริง

    จึงอยากจะของตำหนิและตักเตือนเจ้าของกระทู้ด้วยความหวังดียิ่งว่า "อย่าประมาท"
     
  16. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    อยากให้คุณเข้าใจในสิ่งที่คุณกล่าว
    ไม่มีผู้บรรลุ คือนิพพานเป็นสุญญตาธรรม ว่างไปจากตัวตนหรือขันธ์ห้า
    ไม่มีสิ่งที่บรรลุ เพราะนิพพานนั้นต้องดับเหตุปัจจัยทั้งหมดลง ไม่ได้บรรลุถึงสิ่งใดเลย นอกจากดับเหตุปัจจัยของการสร้างต่างๆด้วย

    การจะทำได้ดังนั้น ก็คือเจริญอริยมรรค
    หนทางมีอยู่ แต่ไม่มีผู้ดำเนินไป
    คือในทางสายเอกนี่ สอนวิธีการละตัวตน จนกระทั่งทำได้จริง
    เราคือนิพพาน นิพพานคือเรา

    ไม่เช่นนั้น คุณก็เป็นคุณ ปล่อยให้นิพพานเขาว่างอยู่อย่างนั้น
    นิพพานก็เลยเป็นนิพพาน บรรจบกันกับคุณไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2011
  17. pichak

    pichak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +69
    -ว่างไม่ต้องกระทำ ไม่ต้องใส่
    -ว่างเอาออก เอาออก
    -ว่าง วางจากตัวรู้
    -ว่่่าง ไม่ต้องกระทำ หรือปฎิบัติ แค่คลาย ท่ามกลาง
     
  18. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +53


    .........................................................................


    ก็เพราะ
    อวิชชาพาปรุงแต่งเสมอๆ
    ว่ามีคุณ
    คุณมีปัญหา
    และ
    ต้องเข้าไปแก้ไขปัญหา



    ดีหน่อย
    ที่ยังศึกษามาว่า
    อัตตาตัวตน(จิตที่ปรุงแต่ง)นั้น
    มันไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา



    ขอย้ำนะครับ
    ก็ถ้าหากคิดว่า
    ยังมีอวิชชา
    ในส่วนมืดข้างใหนส่วนใหนของคุณ
    สิ่งนั้นก็ไม่เที่ยง



    ปรุงเมื่อไร
    มันก็
    ไม่เที่ยงโดยสภาพมันเองเมื่อนั้น
    อันนี้ธรรมชาติ......


    แต่ถ้า
    รู้ว่า
    ปรุงเมื่อไร
    มันก็
    ไม่เที่ยงโดยสภาพมันเองอยู่แล้วเมื่อนั้น
    อันนี้
    กำลังแห่ง
    สติ
    สมาธิ
    ปัญญา
    เริ่มมีอินทรีย์แกร่งกล้าขึ้น
    อินทรย์ในธรรมเหล่านี้
    ล้วนปรับสภาพ
    จากอวิชชา....อันมืดมน
    ไปสู่
    วิชชา.....ความรู้แจ้งในเรื่องธรรมชาติอันไม่ใช่ตัวใช่ตนอยู่แล้ว



    แต่ถ้าหากยังฝังใจในความเข้าใจว่า
    มีคุณอยู่
    คุณมีปัญหา

    มันก็เทียบเคียงว่า
    จิตคุณปรุงแต่งอยู่เสมอว่า
    จิตคุณยังไม่หลุดพ้น


    จิตที่ปรุงแต่งอยู่เสมอว่า
    จิตยังไม่หลุดพ้นนี้
    มันก็ไม่เที่ยงล้วนดับไป
    เพราะความแปรปรวนเป็นธรรมดาธรรมชาติอยู่แล้ว


    คุณก็ปฏิบัติไปตามความเข้าใจในระดับคุณไปเถอะ

    จนกว่าคุณจะเข้าใจว่า
    ธรรมชาติที่แท้จริง
    มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว


    หากคุณเข้าใจตรงนี้
    คุณจะเข้าใจในธรรมะ
    ที่ผมลงโพสต์ไว้





     
  19. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +53


    .......................................................................
    เมื่ออวิชชาพาปรุงแต่ง
    จนกลายเป็นจิต
    เป็นจิตที่ปรุงแต่งว่า
    จิตเรายังไม่หลุดพ้น


    จิตที่ยังไม่หลุดพ้น
    ชนิดใหน ขนาดใหน อะไร ของคุณ
    มันก็ไม่เที่ยงดับไปอยู่แล้ว
    ตามธรรมชาติของมัน


    พระพุทธองค์ตรัสไว้แบบนี้



    สมมุตินะ
    ว่า
    หากคุณเห็น
    ธรรมชาติแห่งความไม่เที่ยงว่า
    จิตที่ปรุงแต่งว่า
    จิตไม่หลุดพ้น
    มันไม่เที่ยงมีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
    ตามธรรมชาติมันอยู่แล้ว
    ผมขอถาม
    คุณปุณฑ์ต่อนะว่า
    แล้วจะดำเนินอะไรต่อไปตามขั้นตอนปฏิบัติของคุณปุณฑ์



    หากคุณปุณฑ์
    ยังไม่เคยเห็นความไม่เที่ยง
    ของจิตชนิดนี้
    ก็ไม่เป็นไรครับ
    ไม่ต้องตอบก็ได้




     
  20. เมเฆนทร์

    เมเฆนทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +53

    ............................................................................


    ข้อความที่ขีดเส้นใต้ตัวใหญ่ข้างบน
    ที่คุณโพสต์ไว้


    คุณก็กล่าวไว้ถูกแล้วนี่ครับ
    ตรงกับธรรมะที่ผมลงโพสต์ไว้
    แต่คุณคงอ่านไม่เจอ
    ผมเอาลงมาให้อ่านใหม่ก็ได้



    ......................................................

    ในส่วนของธรรมนุปัสสนาสตินั้น มีธรรมอยู่ 5 แบบ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้คือ <O:p</O:p
    ขันธบรรพะ อายตนบรรพะ นิวรณ์บรรพะ โพชฌังคบรรพะ สัจจะบรรพะ โดยเนื้อหาแห่งธรรมต่างๆแล้วนี้ เป็นส่วนที่ต้องเข้าไปศึกษาพิจารณาเพื่อทำลายความเห็นอันเป็นสักกายทิฐิและความลังเลสงสัยอันเป็นความไม่เข้าใจในธรรม คือ วิจิกิจฉา เพื่อทำให้ความเข้าใจในธรรมทั้งปวงเกิดขึ้น เป็นความเข้าใจในธรรมที่ว่า โดยธรรมชาตินั้นย่อมไม่เที่ยงอยู่แล้วโดยตัวมันเองเป็นธรรมดา โดยธรรมชาตินั้นย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว<O:p</O:p


    การที่พระพุทธองค์ตรัสถึงธรรมานุปัสสนาสตินั้น พระพุทธองค์ทรงประสงค์ที่จะเกื้อกูลหมู่สัตว์ที่มีปัญญามากพอที่จะดำเนินไปในเส้นทาง ธรรมชาติ อันเป็นเส้นทางหลุดพ้นได้ แต่ยังติดที่ยังมีความไม่เข้าใจในธรรมในส่วนต่างๆที่เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ถึงปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างถูกวิธี<O:p</O:p



    แต่สำหรับผู้ที่มีปัญญามีความรอบรู้ มีความเข้าใจในธรรมเข้าใจถึงปัญหาและวิธีแก้ปัญหาอย่างชัดเจนตามวิธี ธรรมชาติแล้ว ผู้มีปัญญาเหล่านี้พึงรู้ว่า การพิจารณาธรรมเหล่านี้ ก็ล้วนเป็นจิตปรุงแต่งชนิดหนึ่ง และพึงรู้ชัดซึ่งเป็นธรรมชาติแห่งสัมมาสติว่า <O:p</O:p
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในการพิจารณาธรรมอันเป็นขันธบรรพะนั้น โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งในการพิจารณาธรรมอันเป็นขันธบรรพะนั้นล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไป โดยตัวมันเองอยู่แล้ว<O:p</O:p
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในการพิจารณาธรรมอันเป็นอายาตนะบรรพะนั้น โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งในการพิจารณาธรรมอันเป็นอายาตนะบรรพะนั้นล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไป โดยตัวมันเองอยู่แล้ว<O:p</O:p
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในการพิจารณาธรรมอันเป็นนิวรณ์บรรพะนั้น โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งในการพิจารณาธรรมอันเป็นนิวรณ์บรรพะนั้นล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไป โดยตัวมันเองอยู่แล้ว<O:p</O:p
    -จิตที่ปรุที่ปรุงแต่งในการพิจารณาธรรมอันเป็นโพชฌังคบรรพะนั้นล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไป โดยตัวมันเองอยู่แล้ว<O:p</O:p
    -จิตที่ปรุงแต่งไปในการพิจารณาธรรมอันเป็นอสัจจะบรรพะนั้น โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งในการพิจารณาธรรมอันเป็นสัจจะบรรพะนั้นล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไป โดยตัวมันเองอยู่แล้ว<O:p</O:p

    ............................................................................
    คัดลอกมาจาก
    หนังสือ
    ชาวฟ้าดาวดึงส์ ธรรมานุสรณ์
    ในบท สติปัฏฐาน
    ..............................................................................




    ชัดเจนน่ะครับ
    เนื้อหาธรรมที่ลงไว้
    ก็บอกอยู่แล้ว
    หากไม่รู้ไม่เข้าใจ
    ก็ศึกษา ก็พิจารณาสิครับ
    ว่า
    ขันธบรรพะ อายตนบรรพะ นิวรณ์บรรพะ โพชฌังคบรรพะ สัจจะบรรพะ
    คือธรรมะ เกี่ยวกับอะไร


    แต่ถ้าคุณ
    อยากจะหลุดพ้นจากกองทุกข์ ทั้งปวง

    คำว่าทั้งปวง.......คือ
    ปรุงแต่งหยาบ
    ปรุงแต่งละเอียด
    ก็ล้วนไม่เที่ยงดับไปตามธรรมชาติอยู่แล้ว


    จุดประสงค์
    ในเนื้อหาธรรม ชาวฟ้าดาวดึงส์ ธรรมานุสรณ์
    กำลังชี้ให้เห็น
    การปรุงแต่ง
    ในทุกระดับ
    ตั้งแต่หยาบ
    ยัน
    ละเอียด


    แต่สำหรับผู้ที่มีปัญญามีความรอบรู้ มีความเข้าใจในธรรมเข้าใจถึงปัญหาและวิธีแก้ปัญหาอย่างชัดเจนตามวิธี ธรรมชาติแล้ว
    ผู้มีปัญญาเหล่านี้พึงรู้ว่า การพิจารณาธรรมเหล่านี้ ก็ล้วนเป็นจิตปรุงแต่งชนิดหนึ่ง


    เอาแค่นี้ก่อน
    อ่านแล้ว
    แยกแยะรู้เรื่องหรือเปล่า

    เมื่อไม่เข้าใจไม่รู้
    ก็ศึกษาพิจารณาสิครับ
    ชาวฟ้าดาวดึงส์ก็นำเสนอแบบนี้


    แต่
    ชาวฟ้าดาวดึงส์
    ก็นำเสนออีกว่า
    การพิจารณาธรรม
    ก็เป็น
    สังขตธาตุ หรือ การปรุงแต่งอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน

    ก็นำเสนอไว้แบบ
    องค์ความรู้ถ้วนทั่ว


    แต่คุณกลับปฏิเสธ
    แถมมาใส่ร้ายป้ายสีอีกว่า
    เราไม่ให้ทำอะไรเลยในความรู้สึกของคุณ


    ทั้งนี้
    คุณจะเห็นว่า
    การพิจารณาธรรม
    มันก็ล้วนเป็นการปรุงแต่งอย่างหนึ่งโดยสภาพมันเอง
    มันก็ขึ้นอยู่กับ
    อินทรีย์แห่งปัญญาของคุณ
    ว่าจะรอบรู้ขนาดใหน
    ไม่ใช่เป็นการบังคับให้คุณต้องรู้นี่

    เมื่อคุณเข้าใจตรงนี้เมื่อไร
    คุณก็จะร้องอ๋อของคุณเองเมื่อนั้น




    ลองทำความเข้าใจในเนื้อความดูอีกทีนะครับ
    ไม่ใช่การบิดเบือน
    แต่เป็นการ
    ชี้ธรรม
    อันคาดไม่ถึงกันน่ะครับ
    เหมือนเส้นผมบังภูเขา









     

แชร์หน้านี้

Loading...