บุญใหญ่"เรือบุญ"นำพาชีวิตรุ่งเรือง

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย พชร (พสภัธ), 18 กันยายน 2010.

  1. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    กราบโมทนา สาธุ ๆ ๆ ครับ
     
  2. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    [​IMG]
     
  3. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    หลวงปู่ทวด
    เดิมชื่อปู เกิดที่อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๑๒๕ บิดาเป็นชาวอิสลาม มารดาเป็นชาวพุทธท่านชอบการบวชตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หลักจากบวชได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาต่อที่วัดพุทไธสวรรย์ เมืองอโยธยา ซึ่งเป็นเมืองหลวงในขณะนั้น ต่อมาพระเจ้าอู่ทองทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทไธสวรรย์
    ครั้งหนึ่งท่านได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านที่จังหวัดสงขลา การเดินทางในสมัยนั้นใช้เรือเป็นพาหนะ ระยะเวลาไปกลับใช้เวลาหนึ่งปี ขากลับพวกลูกเรือซึ่งเป็นชาวอิสลามเล่นการพนันกันจนลืมตักน้ำจืดใส่โองในเรือ เมื่อออกเรือไม่มีน้ำกิน ก็พากันกล่าวหาว่า เพราะมีภิกษุจัญไรอยู่ในเรือ จึงตกลงจะจับท่านปล่อยไว้ที่เกาะหนูเกาะแมว ท่านจึงอธิษฐานว่า
    “ หากแม้ข้านี้สามารถจะสืบต่อพระพุทธศาสนา ทำให้ศาสนารุ่งเรืองได้ ก็ขอให้น้ำทะเลบริเวณที่เท้าเหยียบลงไปนี้จงกลายเป็นน้ำจืดเถิด “ น้ำก็จืดตามคำอธิษฐาน
    ลูกเรือได้ตักไว้ใช้ ๑๓ โอ่ง มีใช้จนถึงอโยธยา ท่านจึงได้ฉายาว่า “ หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด “ ปี พ.ศ. ๒๑๙๐ พระรามาธิบดีที่ ๒ อู่ทอง ได้สถาปนาให้ท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงอโยธยา หลวงปู่ทวดไม่ติดยศถาบรรดาศักดิ์ จึงหนีไปบำเพ็ญที่น้ำตกทรายขาว จังหวัดปัตตานี จนสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์ที่นั่น
    วันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๒๔ ท่านได้ทิ้งสังขารที่เมืองอีโป ประเทศ
    มาเลเซีย
     
  4. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    ประวัติหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

    วัดพะโคะ

    (สมเด็จเจ้าพะโคะ)


    (พระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธานุภาพ และอิทธิฤทธิ์ด้านปาฏิหาริย์)


    ชื่อของหลวงปู่ทวดที่ประชาชนทั่วไปเรียกตามประวัติมี 6 ชื่อคือชื่อ “ปู” เป็นชื่อที่บิดามารดาตั้งขึ้นเมื่อเกิดใหม่ๆ , ชื่อ สามีราม เป็นชื่อตามฉายาทางศาสนาเมื่อท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุ พระอุปัชฌาย์ให้ชื่อฉายาว่า สามีราโม , ชื่อ สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมาจารย์ เป็นชื่อพระราชทานสมณศักดิ์ เมื่อครั้งแก้ปริศนาธรรมชนะแก่พราหมณ์ทูตเมืองลังกา , ชื่อ สมเด็จเจ้าพะโคะ เมื่อท่านได้รับสมณศักดิ์ชั้นสมเด็จแล้วท่านมาบูรณปฏิสังขรณ์และจำวัดณวัดพะโคะ จึงเรียกสมเด็จเจ้าพะโคะ , ชื่อ ท่านลังกา บ้านสวนนายปัจจุบันอยู่ติดทางทิศใต้ของวัดพะโคะ เดิมเป็น หัวเมืองเรียกว่า เมืองลังกาพะโคะหรือลังกาชาติ เมื่อท่านจาริกธุดงค์ไปสถานที่ต่างๆชาวบ้านเรียกว่าท่านลังกา ชื่อ หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด เรียกย่อว่า หลวงพ่อทวด เพราะท่านเป็นพระที่สำคัญทางจิตสูง มีปาฏิหาริย์ ศักดิ์สิทธิ์ สามารถทำน้ำเค็มให้เป็นน้ำจืดได้
    กล่าวกันว่าสมเด็จเจ้าพะโคะองค์นี้ในปลายกัปปัจจุบันจะได้มาตรัสรู้เป็นองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระศรีอริยะเมตตรัย ในยุคศาสนาพระศรีอริยะ เมตตรัยบ้านเมืองจะอยู่เย็นเป็นสุข ผู้คนจะอายุยืนทุกคนจะตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มนุษย์จะมีหน้าตารูปร่างผิวพรรณและภาษาคล้ายคลึงกัน จะมีต้นกัลปพฤกษ์ทุกมุมเมือง ความเดือดร้อนของหมู่มนุษย์จะไม่มีในยุคนั้น
    ซึ่งจะได้กล่าวถึงประวัติสมเด็จเจ้าพะโคะดังนี้ มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ชื่อนายหู นางจัน เป็นคนยากจนแต่ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม เมื่อถึงวันพระก็จะเข้าวัดทำบุญ ทำทานสมาทานศีล และฟังพระธรรมเทศนาเป็นประจำ นายหูกับนางจันปลูกบ้านเรือนอยู่ในที่ดินของเศรษฐีปานเจ้าของสวนจันทร์ ปัจจุบันชื่อว่าบ้านเลียบ หมู่ที่ 1 ตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เศรษฐีปานผู้นี้มีข้าทาสและลูกหนี้ชายหญิงมากมาย และนายหูกับนางจันก็เป็นลูกหนี้ของเศรษฐีปานด้วย ต่อมาจันได้คลอดบุตรชายคนหนึ่ง เมื่อวันศุกร์ เดือน 5 ปีมะโรง ตรงกับ พ.ศ.2125 ในวันที่ถึงกำหนดคลอดนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอันเป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง นายหู ผู้เป็นบิดาได้เอารกของบุตรชายไปฝังไว้ที่ใต้ต้นเลียบ ซึ่งอยู่ใกล้สวนจันทร์ของเศรษฐีปาน ซึ่งต้นเลียบนั้นได้เจริญงอกงามจนปัจจุบันนี้ มีลำต้นใหญ่มาก ประชาชนถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านเลียบ ซึ่ง ต้นเลียบใหญ่นั้นวัดโดยรอบประมาณ 13 เมตร(อยู่ในบริเวณบ้านสวนจันทร์ในอดีต) ปัจจุบันอยู่ในบริเวณบ้านเลียบ ซึ่งอยู่ทางทิศอาคเนย์ของวัดพะโคะ ระยะทางประมาณ 2 กม. อายุต้นเลียบ 425 ปีกว่า บัดนี้เป็นที่อยู่สำนักสงฆ์ต้นเลียบ สร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ และรูปจำลองของสมเด็จเจ้าพะโคะ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สักการบูชาได้ศึกษาประวัติความเป็นมา
    ครั้งนั้นเป็นเทศกาลเดือน 4 อันเป็นฤดูเกี่ยวข้าวเศรษฐีปานจึงเร่งรัดข้าทาสชายหญิง และลูกหนี้ให้ไปเกี่ยวข้าวในนา ในจำนวนนี้มีนางจันที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ๆ ถูกรบเร้าให้ไปเกี่ยวข้าวด้วย นางจันได้ขอผัดเอาไว้ แต่เศรษฐีปานไม่ยอมยกเว้นยังคงเร่งรัดให้นางจันไปเกี่ยวข้าวให้ได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการชดเชยกับการชำระหนี้นางจันจึงยอมออกไปเกี่ยวข้าวให้เศรษฐีปานในวันต่อมา ในกาลนี้นางจันได้พาบุตรน้อยซึ่งเพิ่งคลอดได้ไม่กี่วันไปด้วย ระหว่างที่ออกไปเกี่ยวข้าวในนาพร้อมๆ กับลูกจ้างของเศรษฐีปานนั้น นางจันได้ให้บุตรของนางอยู่ในแปลซึ่งมีผ้าผูกขึงระหว่างต้นไม้ใหญ่ ครั้นเกี่ยวไปได้เวลาพอสมควรนางจันก็ขึ้นจากนามาที่บุตรเพื่อให้กินนม ทันใดนั้นนางก็ได้เห็นงูใหญ่ ขนาดเท่าต้นหมากนอนขดอยู่รอบๆเปล ที่บุตรของนางนอนอยู่ นางตกใจเป็นอันมากก็ได้ตะโกนให้คนทั้งหลายมาช่วย แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยได้ ในที่สุดนางคิดได้จึงนั่งลงพนมมือไหว้ระลึกถึงคุณบิดามารดา คุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์ทั้งหลาย ให้ช่วยคุ้มครองบุตรน้อยของนาง ซึ่งจากการอธิฐานจิตของนางได้ผลเป็นอย่างยิ่ง เพราะในบัดดลนั้นเองงูใหญ่ได้เลื้อยจากไป และนางได้เห็นดวงแก้วขนาดใหญ่เท่าไข่นกพิราบวางอยู่ในฝ่ามือของบุตรน้อย เพื่อนบ้านทุกคนที่ไปดูอยู่ด้วยต่างก็เห็นเป็นดวงแก้วมีสีเป็นประกายแวววาว ส่วนเศรษฐีปานนั้นเมื่อเห็นดวงแก้วอันเป็นสิ่งประหลาดก็มีความอยากได้เป็นอย่างมาก จึงเฝ้าวิงวอนขอดวงแก้วอันนั้นจากนางจัน โดยยินยอมยกที่นาและข้าวในนาให้เป็นการแลกเปลี่ยน ตอนแรกนางไม่ยินยอมเพราะดวงแก้วนั้นเป็นของบุตรชายของตน แต่เศรษฐีปานก็ไม่ละความพยายาม เฝ้าวิงวอนอยู่เรื่อยมาๆ และยังเพิ่มทรัพย์สินเงินทองให้นางจันอีกมากมาย ในที่สุดนางจันก็รู้สึกเกรงใจเศรษฐีปาน ในฐานะที่เคยเป็นลูกหนี้มาก่อนจึงได้มอบดวงแก้วให้ไป เมื่อนางจันกลับมาถึงบ้านได้เล่าเหตุการณที่เกิดขึ้นให้นายหูสามีฟัง นายหูเสียใจมากที่ดวงแก้วของบุตรชายตกไปอยู่กับเศรษฐีปาน จึงขอร้องให้นางจันไปขอดวงแก้วนั้นคืน
    ฝ่ายเศรษฐีปานเมื่อได้รับแก้ววิเศษไปแล้ว ปรากฏว่าทั้งบุตรและภรรยาได้เกิดล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ส่วนเศรษฐีปานเองเมื่อนอนหลับฝันเห็นเป็นลางร้ายว่าจะต้องตายกันทั้งครอบครัว เศรษฐีปานตกใจกลัวเป็นอันมาก จึงได้นำเอาแก้ววิเศษพร้อมด้วยทรัพย์สินเงินทองมาทำขวัญให้แก่บุตรชายของนางจัน และขอขมาต่อบุตรชายที่ได้ทำการล่วงเกิน ส่วนที่ดิน นา และข้าวในนาที่มอบให้แล้วไม่เอากลับคืนได้มอบแก่บุตรชายของนางด้วย เพราะขณะนั้นเศรษฐีปานได้เกิดศรัทธาในตัวบุตรชายของนางจันแล้ว ดังนั้นฐานะความเป็นอยู่ของนายหูนางจันจึงได้พ้นจากความยากจนขึ้นมาทันที ทั้งนี้เพราะบารมีของบุตรชาย
    บุตรชายคนนี้ต่อมามีนามว่า ปู เมื่อเด็กชายปูมีอายุได้ 7 ขวบ บิดาได้นำไปฝากไว้กับท่านสมภารจวงวัดกุฎีหลวง (วัดดีหลวง)เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือ เด็กชายปูมีความเฉลียวฉลาดมาก สามารถเรียนทั้งหนังสือขอมและไทยได้อย่างรวดเร็ว ครั้นอายุได้ 15 ปี สมภารจวงก็บวชสามเณรให้ พร้อมกันนั้นนายหูผู้บิดาได้มอบแก้ววิเศษไว้เป็นของประจำตัวด้วย ต่อมาสมเณรปูได้ไปศึกษาต่อกับสมเด็จพระชินเสนที่วัดสีหยัง(สีคูยัง) ซึ่งพระชินเสนองค์นี้เป็นอาจารย์ที่เชี่ยวชาญมีชื่อเสียงมาจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อสามเณรปูเรียนธรรมบททศชาติมูลบทบรรพกิจจบแล้ว จึงได้เดินทางไปศึกษาต่อที่เมืองนครศรีธรรมราช ครั้นอายุได้ 20 ปีบริบูรณ์ ขุนลกก็นำสามเณรปูไปสู่สำนักพระมหาเถระปิยะทัสสี เพื่อขออุปสมบทเป็นภิกษุ เนื่องจากเวลานั้นที่วัดท่าแพยังไม่มี พัทธสีมาขุนลกจึงได้จัดเรือมาดตะเคียนลำหนึ่ง เรือมาดพะยอมลำหนึ่ง เรือมาดยางลำหนึ่ง เอามาผูกขนานกันที่คลองที่เรือ ซึ่งอยู่กับวัดท่าแพ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อใช้เป็นที่อุปสมบทแก่สามเณรปู ขุนลกและญาติพี่น้องทั้งหลายได้มาร่วมในพิธีอุปสมบทโดยพร้อมเพรียงกันในพิธีอุปสมบทสามเณรปูมีพระมหาปิยะทัสสีเป็นพระอุปัชฌายะ พระมหาพุทธสาครเป็นพระกรรมวาจา พระมหาเถระศรีรัตนเป็นอนุกรรมวาจา สามเณรปูเมื่ออุปสมบทแล้วมีฉายาว่า สามีราโม แต่คนทั่วไปเรียกว่า เจ้าสามีราม เจ้าสามีรามได้ศึกษาที่วัดท่าแพ และวัดเสมาเมือง เมื่อเห็นว่าเพียงพอแก่การศึกษาที่เมืองนครศรีธรรมราชแล้ว จึงตั้งใจไปศึกษาต่อที่กรุงศรีอยุธยาโดยไปลงเรือที่ วัดคงคาเลียบ พอดีทราบว่ามีเรือสำเภาของนายอินชาวเมืองสทิงพระ จะไปค้าขายยังกรุงศรีอยุธยาและมาแวะที่เมืองนครศรีธรรมราชด้วยจึงขอโดยสารเรือสำเภาลำนั้นไปยังกรุงศรีอยุธยา ซึ่งนายสำเภาอินก็อนุโมทนารับนิมนต์ไปกับเรือสำเภานั้น เมื่อถึงวันเดินทางเจ้าสามีรามก็อำลา ชีต้นผู้เป็นอาจารย์และโยมทั้งหลายไปกับเรือของนายอิน ครั้นเรือสำเภาแล่นเข้าเขตหน้าเมืองชุมพร ได้บังเกิดคลื่นลมแรงทะเลปั่นป่วนเรือไม่สามารถฝ่าคลื่นลมไปได้ ต้องทอดสมออยู่ 7 วัน 7 คืน เป็นเหตุให้เสบียงอาหารรวมทั้งน้ำจืดที่อยู่ในเรือสำเภาขาดแคลนลง บรรดาลูกเรือต่างก็ตั้งข้อสงสัยกันว่า การเกิดอาเพทครั้งนี้เป็นเพราะเจ้าสามีรามโดยสารมาในเรือดังนั้นทั้งเรือสำเภาและลูกเรือต่างก็ตกปลงใจให้ส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะ ดังนั้นจึงได้นิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรือมาด ขณะที่เจ้าสามีรามนั่งอยู่ในเรือมาดนั้น ได้ห้อยเท้าข้างซ้ายซึ่งมีลักษณะทู่ลงในทะเล ก็บังเกิดอัศจรรย์น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็นประกายแวววาวโชติช่วง เจ้าสามีรามจึงบอกให้ลูกเรือตักน้ำบริเวณนั้นขึ้นมาดื่ม ก็รู้สึกว่าเป็นน้ำจืด จึงช่วยกันตักใส่เรือไว้จนเพียงพอ ทั้งนายสำเภาอินและลูกเรือก็สำนึกในความผิดก้มลงกราบขอขมาเจ้าสามีราม และนิมนต์ขึ้นเรือสำเภาอีก และนับถือเจ้าสามีราม เป็นชีต้นหรืออาจารย์แต่นั้นมา หลังจากนั้นเรือสำเภาก็ได้แล่นเร็วเกินความคาดหมายมุ่งตรงเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา
    ช่วงที่ศึกษาเล่าเรียนที่กรุงศรีอยุธยาได้พำนักอยู่ที่วัดแค และศึกษาธรรมะที่ วัดลุมพลีนาวาส และหลังจากนั้นได้รับนิมนต์ไปพำนักอยู่ที่วัดสมเด็จพระสังฆราช โดยได้ศึกษาธรรมและภาษาบาลีจนมีความรู้เชี่ยวชาญจึงขอลาสมเด็จพระสังฆราชไปจำพรรษาที่ วัดราชานุวาสซึ่งอยู่นอกกำแพงเมืองและสงบดี
    ประมาณ พ.ศ. 2149 กษัตริย์ประเทศลังกาคิดจะแผ่อำนาจมายังประเทศสยาม เพราะครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรสยามตอนใต้ด้วยการท้าพนันเมืองกันในการแปลธรรมะ โดยคิดว่าประเทศสยามคงจะหาผู้เชี่ยวชาญมาแปลไม่ได้ คงจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่ในที่สุดก็มีนักปราชญ์มาจากทิศใต้ คือหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สามารถแปลธรรมะครั้งนี้ได้สำเร็จรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของประเทศลังกา ซึ่งเปรียบเสมือนการทำสงครามแบบใหม่ เรียกว่า “ ธรรมยุทธ” ซึ่งการแปลปริศนาธรรมแผ่นทองคำจารึกอักขระ 7 คัมภีร์ พรหมณ์ราชทูตทั้ง 7 จึงยอมแพ้ก้มลงกราบเจ้าสามีรามด้วยความเคารพเลื่อมใสยิ่ง ชัยชนะในครั้งนี้ได้รับการโห่ร้องแสดงความยินดี ดังกึกก้องไปทั่วท้องพระลานหลวง และได้มีการตีกลองสัญญาณประโคมสังคีตดนตรีกันอย่างครื้นเครง พราหมณ์ราชทูตทั้ง 7 ได้นำเครื่องราชบรรณาการเหล่านั้นมาถวายแก่เจ้าสามีราม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าแต่งตั้งสมณศักดิ์ว่า “สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมาจารย์” สมเด็จเจ้าฯไม่ยอมรับเครื่องบรรณาการ และได้ถวายคืนแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้สร้างกุฏิขึ้น 1 หลัง ถวายแก่สมเด็จเจ้าฯพร้อมกับเมืองอีกกึ่งหนึ่ง สมเด็จเจ้าพำนักอยู่ที่กุฎิหลังนั้น 3 วัน ก็ถวายกุฎิและเมืองคืนแก่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จเจ้าฯก็ไปพำนักอยู่ที่วัดราชานุวาส ซึ่งเป็นสถานที่สงบดังเดิม
    เมื่ออยู่ในช่วงระยะหนึ่ง กรุงศรีอยุธยาได้เกิดโรคห่าระบาดอย่างร้ายแรง ประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก สมเด็จเจ้าฯจึงได้ทำพิธีปลุกเสกน้ำพระพุทธมนต์ ระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย เพ่งเอาพระบารมีที่สมเด็จเจ้าฯสร้างมาพร้อมทั้งเอาดวงแก้ววิเศษเป็นแรงอธิฐาน นำไปประพรมแก่ประชาชนในไม่ช้าก็หายจากโรคร้ายดังกล่าวไปในที่สุด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ทรงมีดำรัสว่าถ้าสมเด็จเจ้าฯประสงค์จะบูรณะวัดพะโคะ หรือวัดใดๆ พระองค์จะอุปถัมภ์ทุกประการ
    หลังจากอยู่กรุงศรีอยุธยาหลายปี ต่อไม่นานสมเด็จเจ้าฯ ได้ทูลลาสมเด็จพระสังฆราชาธิบดี และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อเดินทางกลับวัดพะโคะ ซึ่งเป็นปิตุภูมิ มาตุภูมิ ในการเดินทางกลับจาริกธุดงค์ประมาณ 3 เดือน เดินป่าผ่านแม่น้ำลำคลองแห่งหนึ่ง ไม่มีเรือแพจะข้ามสมเด็จเจ้าฯจึงแสดงปาฏิหาริย์เดินบนผืนน้ำ บรรดาสัตว์น้ำต่างก็กราบไหว้วันทาทั่วกัน ได้บิณฑบาต และเที่ยวเทศนาสั่งสอนผู้คน ที่ไหนมีผู้เจ็บไข้ได้ป่วย สมเด็จเจ้าก็ทำน้ำมนต์รักษาให้ตลอดเส้นทางที่เดินทาง
    ต่อมาสมเด็จเจ้าฯได้บูรณะปฏิสังขรณ์วัดพะโคะ โดยได้รับอนุโมทนา และอุปถัมภ์จากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะการบูรณะพระมาลิกเจดีย์(พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ) , พระอุโบสถ , ธรรมศาลา , พระพุทธไสยาสน์(พระพุทธโคตมะ) ฯ โดยเวลาในการดำเนินงานเป็นเวลาประมาณ 3 ปี
    สมเด็จเจ้าฯจำพรรษาอยู่ในวัดพะโคะหลายพรรษา และได้แสดงปาฏิหาริย์ มากมาย โดยเฉพาะการเหยียบน้ำทะเลเค็ม น้ำก็เป็นประกายโชติช่วงเป็นน้ำจืดเอาน้ำมาดื่มกินได้เลย
    ในช่วงวาระสุดท้ายเล่ากันว่า วันหนึ่งเป็นวันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 สมเด็จเจ้าฯได้ทำสังฆกิจ และเข้าฌานสมาบัติ และหายไปในคืนวันนั้นซึ่งเป็นวันเพ็ญ เดือน 6 ไปพร้อมกับสามเณรรูปหนึ่งซึ่งได้นำดอกมณฑาสวรรค์มากราบไหว้สมเด็จเจ้าฯ (ซึ่งต่อมาเล่าขานกันว่า สามเณรรูปนั้น คือ หลวงปู่ทิม นั่นเอง)
    หลังจากที่สมเด็จเจ้าฯหายไปจากวัดพะโคะแล้ว ก็ได้จาริกธุดงค์ไปในที่หลายแห่ง ท้องที่หรือเมืองใด ที่สมเด็จเจ้าฯเห็นว่าประชาชนมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา สมเด็จเจ้าฯก็จะไปเผยแพร่ที่นั่น บางแห่งก็ผ่านไป บางแห่งก็พำนักอยู่หลายปีหลายเดือน
    โดยบางตำนานกล่าวว่าสมเด็จเจ้าฯได้ละสังขารขณะจาริกธุดงค์ไปที่ประเทศมาเลเซีย และพญาช้างสารได้นำพระศพเดินทางกลับแผ่นดินเกิดประเทศไทย พญาช้างสารได้หยุดที่ใดได้สร้างวัดที่นั่น ที่นั้นก็คือวัดช้างให้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ. ปัตตานี เป็นที่มาของวัดช้างให้ หรือ หลวงพ่อทวดวัดช้างให้ ก็คือ หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด นั้นเอง
    (รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ประวัติหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด และวัดพะโคะ สามารถดูได้จากหนังสือของวัดพะโคะ)
    --------------------------------------------------------------------------------
    “ไม่มีใครที่ห้อยหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดแล้วตายโหง”
    (เป็นคำพูดของเจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยที่มีประสบการณ์ในการช่วยเหลือ คนที่เกิดอุบัติเหตุในทุกเหตุการณ์ )





    สมเด็จราชมุณีสามีรามคุณูปรมาจารย์
    สมเด็จเจ้าพะโคะ
    (หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด)
    คาถาอาราธนา
    ปาทัง ราชะมุนีสามีรามัง อาราธะนัง สาระณัง อาคัจฉามิ ( 3 ครั้ง )
    คาถาบูชา
    นะโมโพธิสัตโต ราชะมุณีสามีราโม มหาปุญโญ อานุภาเวนะ เมรักขันตุ (3 ครั้ง) ​


    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1>
     
  5. 3303

    3303 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +1,284
    อนุโมทนาบุญกับทุกท่าน
    และร่วมทำบุญด้วย 300 บาทครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    กราบโมทนาเป็นอย่างยิ่งๆครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    กราบโมทนาสาธุๆๆครับ ถ้าพระคุณเจ้ามีประสบการดีๆเอามาให้ได้อ่านด้วยนะครับ สาธุ สาธุ สาธุ:cool:
     
  8. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    [​IMG]
    กราบโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
     
  9. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    ขออนุโมทนา ทุกท่านทีมีความเมตตาให้ทางวัด
    ขอพรสมเด็จองค์หลวงปู่ทวด ให้ทุกท่านมีแต่ความสุขความเจริญทุกประการ...พระวินัยขอ เจริญพร.<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. Kavinpat

    Kavinpat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +298
    ร่วมทำบุญ เป้นเงิน 200 บาท

    โอนเงิน เมื่อวันที 5 ต.ค.

    ขออนุโมทนาบุญกัยทุกท่านด้วยนะครับ

    ขอบคุณครับบ
     
  11. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    ขออนุโมทนาบุญนี้กับท่านด้วย พระวินัย ขอเจริญพร
     
  12. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    อนุโมทนา สาธุ
     
  13. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    กราบโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
     
  14. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    คอลัมน์ "อาถรรพณ์ ปาฏิหาริย์" ก็กลับมาพบกับท่านผู้อ่านอีกครั้งในนิตยสาร "ชีวิตต้องสู้" ฉบับต้อนรับเดือนแห่งความรัก โดยมีผม "หงสา ราชาวดี" คอยนำเรื่องราวลี้ลับที่เกิดขึ้นจริงทั้งกับตัวของผู้เขียนเอง และเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบุคคลรอบข้างนำมาเล่าสู่กันฟังโดยไม่มีการเสริมแต่งให้เกินจากความเป็นจริง...!
    รื่องลี้ลับที้จะนำมาเล่าสู่กันฟังในฉบับนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับตัวผู้เขียนเองตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของ "หลวงปู่ทวด" วัดช้างไห้ จังหวัดปัตตานี ที่เกิดปาฏิหาริย์อยู่หลายครั้งจนทำให้ผู้เขียนเกิดความเคารพศรัทธามาจนถึงทุกวันนี้ ดังตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนจะหยิบยกมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเหตุบังเอิญ หรือด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของ "หลวงปู่ทวด" กันแน่ "นะโม โพธิสัตโต อะคันติมายะ อิติภะคะวา" ท่านผู้อ่านที่มีความเคารพเลื่อมใสและศรัทธาในองค์ "หลวงปู่ทวด" คงจะคุ้นเคยกับคาถามงคลนี้กันเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับตัวผู้เขียนเองที่สามารถท่องคาถาบทนี้ได้อย่างขึ้นใจมาตั้งแต่อายุแค่เพียง 4 ขวบ...!
    และเป็นเวลา 50 กว่าปีมาแล้วที่ผู้เขียนได้สวดมนต์บทนี้ทุกวันไม่เคยขาด ทั้งก่อนที่จะเดินทางออกจากบ้าน และทุกค่ำคืนก่อนที่จะเข้านอน ซึ่งจำได้ว่าสมัยที่ยังเป็นเด็กคุณแม่ได้ให้พระมาคล้องคอเราเพื่อความเป็นสิริมงคล และคุ้มครองตัวเราให้พ้นภัยอันตรายทั้งปวง พระที่คุณแม่ให้มา 2 องค์นั้นเป็นพระ "หลวงปู่ทวด" องค์แรกนั้นเป็นเหรียญรูปไข่ด้านหน้าจะเป็นรูปหลวงปู่ทวด ส่วนด้านหลังจะเป็นรูป "หลวงปู่ทิม" ส่วนองค์ที่สองจะเป็นรุ่นที่เขาเรียกกันว่า "รุ่นหลังเตารีด" เป็นพิมพ์นูนทำจากทองเหลืองรูปร่างคล้ายเตารีด สร้างและปลุกเสกเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2500
    ตลอดระยะเวลา 50 กว่าปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้พบกับอิทธิปาฏิหาริย์ขององค์หลวงปู่ทวดอยู่หลายครั้ง จึงทำให้บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธามากยิ่งขึ้น และทำให้ผู้เขียนมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งลี้ลับที่ยากจะพิสูจน์ได้ในโลกนี้ยังมีอยู่จริง เพราะได้ประสบเหตุการณ์มากับตัวเราเอง ซึ่งก็เป็นการยากอย่างยิ่งที่จะอธิบายหรือบอกเล่าให้คนที่ไม่มีความเชื่อถือในเรื่องนี้ได้รับทราบ ดีไม่ดีเขาอาจจะหาว่าเรางมงายไร้สาระไปก็เป็นได้
    ปาฏิหาริย์ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2507 ซึ่งในขณะนั้นตัวผู้เขียนเองกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียนสันติราษฎร์บำรุง (ปัจจุบันคือโรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย) ถนนศรีอยุธยา กทม. และเหตุการณ์ที่ยากจะลืมเลือนนี้ก็ได้เกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ในเย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน เด็กๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะพากันเล่นอย่างสนุกสนานเพื่อรอเวลาที่ผู้ปกครองจะมารับ ตัวผู้เขียนเองก็มักจะชอบเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ อย่างเพลิดเพลินในบริเวณสนามฟุตบอลของโรงเรียน จนกระทั่งใกล้ค่ำจึงพากันแยกย้ายกลับบ้าน ซึ่งก็เป็นกิจวัตรประจำวันที่เรามักจะทำกันอยู่เสมอ
    ขณะที่เตรียมตัวจะกลับบ้านนั้น ผู้เขียนต้องใจหายวาบเมื่อรู้ตัวว่าพระหลวงปู่ทวดที่เราคล้องคอมาตั้งแต่เริ่มจำความได้นั้นได้ล่วงหล่นหายไปแล้ว และหายไปตั้งแต่เมื่อไรนั้นก็สุดที่คาดเดา ผู้เขียนพยายามนึกทบทวนว่าพระได้หล่นหายไปตอนไหน และมั่นใจว่าจะต้องหล่นไปขณะที่กำลังเล่นฟุตบอลอยู่ที่สนาม จึงได้เดินค้นหาไปจนทั่วสนามฟุตบอลด้วยใจที่กระวนกระวายและเสียดายเป็นอย่างมาก พยายามค้นหาเท่าไรก็ไม่พบจวบจนแสงตะวันเริ่มลับขอบฟ้าความมืดมิดเข้ามาปกคลุมจึงได้ตัดสินใจกลับบ้าน ตลอดทางที่เดินกลับบ้านนั้นในใจก็ครุ่นคิดไปตลอดทางว่าจะทำอย่างไรดี นี่ถ้าแม่รู้เข้าก็คงจะดุว่าเราแน่ๆ เพราะพระเป็นของเก่าและคล้องคอเรามาตลอดชีวิต
    เมื่อย่างกรายเข้าประตูบ้านคำถามแรกที่ได้ยินจากแม่ก็คือ "ไปไหนมาถึงได้กลับบ้านค่ำมืดอย่างนี้" ผู้เขียนคิดอยู่ในใจว่าจะบอกแม่ดีหรือไม่ แต่ถ้าไม่บอกสักวันแม่ก็จะต้องรู้จึงตัดสินใจเล่าความจริงให้แม่ฟัง ซึ่งก็ผิดคาดที่คุณแม่ไม่ได้ดุว่าอะไรแล้วยังบอกอีกว่า "ไม่เป็นไรหรอกลูก...พระท่านคงไม่อยากอยู่กับเราถึงได้มีอันเป็นไป" ค่ำคืนวันนั้นผู้เขียนนอนครุ่นคิดอยู่นานจนกระทั่งเผลอนอนหลับไป และคืนนั้นเองจะด้วยความวิตกกังวลที่พระหายไปจนทำให้เกิดฝันประหลาดขึ้นมา ซึ่งแม้กระทั่งความฝันนั้นจะล่วงเลยมาหลายสิบปีแล้วแต่ก็ยังจำได้ติดตามาจนกระทั่งทุกวันนี้ ในฝันนั้นผู้เขียนฝันไปว่าได้เดินอยู่คนเดียวในบริเวณโรงเรียน พลันก็มีชายแก่คนหนึ่งปรากฏร่างขึ้นมา ในฝันยังจำได้ว่าชายแก่คนนั้นมีรูปร่างผอมสูงนุ่งโจงกระเบนและใส่เสื้อสีขาวมีผ้าขาวพาดบ่า ผมยาวมีเคราสีขาววาววับท่าทางเป็นคนใจดี ชายคนนั้นเดินเข้ามาถามผู้เขียนว่า "หนูกำลังหาพระอยู่ใช่ไหม" ผู้เขียนพยักหน้า
    ชายแก่คนนั้นพูดต่อไปอีกว่า "มา...มากับลุง...ลุงจะพาหนูไปหาพระ" พูดแล้วชายแก่คนนั้นก็จูงมือผู้เขียนเดินไปที่สนามฟุตบอลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เรายืนอยู่นัก พอมาถึงบริเวณใกล้กับเสาประตูฟุตบอล ชายแก่คนนั้นก็ชี้ไปที่กอหญ้าข้างเสาประตูแล้วพูดว่า "หนูแหวกกอหญ้านี่ดู...พระหล่นอยู่ตรงนี้" ในความฝันผู้เขียนได้แหวกกอหญ้าออกตามที่ชายแก่บอก ก็เห็นพระหลวงปู่ทวดที่หล่นหายอยู่ในกอหญ้า แล้วความฝันก็จบลงเพียงแค่นั้น พอรุ่งเช้าผู้เขียนรีบตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่แล้วรีบแต่งตัวไปโรงเรียน ในจิตสำนึกยังจำภาพของความฝันได้อย่างแม่นยำ ก่อนจะออกจากบ้านคุณแม่ได้ถามด้วยความแปลกใจว่า ทำไมวันนี้ถึงรีบไปโรงเรียนแต่เช้า ผู้เขียนจึงได้เล่าความฝันให้คุณแม่ฟังแล้วจึงรีบออกจากบ้านเพื่อไปให้ถึงโรงเรียนโดยเร็ว เพราะในใจนั้นมีความต้องการที่จะพิสูจน์ความฝันว่าจะเป็นจริงตามที่เราได้ฝันไปหรือเปล่า
    พอถึงโรงเรียนสิ่งแรกที่ผู้เขียนทำก็คือ รีบตรงดิ่งไปที่สนามฟุตบอลทันที และยืนเพ่งมองตามภาพแห่งความฝันเพื่อทบทวนความทรงจำ ซึ่งลักษณะของพื้นที่และภาพที่เห็นนั้นตรงกับในความฝันทุกอย่าง ผู้เขียนพยายามมองหาจนพบกอหญ้าที่มีลักษณะเหมือนในความฝันไม่มีผิด ไม่รอช้าจึงใช้มือแหวกกอหญ้านั้นออกดู สิ่งที่ปรากฏต่อสายตา และทำให้เป็นที่แปลกประหลาดใจมากก็คือ เหรียญ "หลวงปู่ทวด" องค์ที่หล่นหายตกอยู่ตรงนี้จริงๆ ผู้เขียนมีความรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว ไม่นึกไม่ฝันว่าความฝันของเราจะเป็นจริงไปได้
    เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียนพอกลับถึงบ้าน ผู้เขียนได้นำพระหลวงปู่ทวดมาให้คุณแม่ดู แล้วบอกว่าทุกอย่างเป็นไปจริงๆ ตามที่เราฝัน ซึ่งคุณแม่บอกว่าคงจะเป็นบุญของเราจึงได้พระกลับคืนมา และจากนั้นมาผู้เขียนจะเก็บพระหลวงปู่ทวดไว้บูชาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ แม้จะมีใครหลายคนมาขอเช่าให้ราคาสูงมากขนาดไหนผู้เขียนก็จะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปอย่างเด็ดขาด....!
    ปาฏิหาริย์ "หลวงปู่ทวด" เรื่องที่สอง เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวผู้เขียนโดยตรง แต่เกิดขึ้นจริงกับเพื่อนของผู้เขียนคนหนึ่งซึ่งเขาเป็นทหารพรานชื่อว่า "น้อย" เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2526 สงครามทางความคิดที่แตกต่างกันทางลัทธิของพรรคคอมมิวนิสต์กำลังแผ่ขยายไปทั่วโลก ประเทศไทยก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่กำลังประสบกับปัญหาการแทรกซึม และบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติจากคอมมิวนิสต์ ทั่วทุกภาคของประเทศไทยจะมีการสู้รบกันอย่างหนักระหว่างทหารและพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย
    สมรภูมิห้วยโกร๋นจังหวัดน่านในขณะนั้นก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีการสู้รบกันอย่างหนัก "น้อย" ทหารพรานหนุ่มในขณะนั้นก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ถูกส่งเข้าร่วมรบเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย ทหารและตำรวจที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องรางของขลังติดตัวเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ทหารพรานน้อยก็เช่นเดียวกัน เขามีพระ "หลวงปู่ทวด" ห้อยคอติดตัวอยู่เพียงองค์เดียว ซึ่งเป็นพระที่เขาเช่ามาในราคาเพียงองค์ละ 1 บาท จากแผงพระริมรั้ววัดมหาธาตุก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวเข้าสู่สมรภูมิเลือด
    วันหนึ่งขณะที่เขากำลังออกลาดตระเวนกับเพื่อนทหารพรานในป่าลึกของจังหวัดน่าน สิ่งที่ไม่ทันได้ระวังตัวก็เกิดขึ้น เมื่อเขาถูกซุ่มโจมตีอย่างหนักจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เสียงปืนดังก้องกังวานสนั่นป่าถี่ยิบ สลับกับเสียงระเบิดเป็นระยะๆ ทหารพรานน้อยถูกคมกระสุนปืน เอ็ม.16 กระหน่ำยิงเข้าใส่เต็มแผ่นหลังหลายสิบนัด เขารู้สึกได้ถึงความรุนแรงของหัวกระสุนปืนที่กระทบร่างของเขาจนเสื้อชุดทหารพรานขาดกระจุย ร่างของทหารพรานน้อยกระเด็นล้มลงกับพื้นดิน เขารู้สึกเจ็บและเสียววาบไปทั่วแผ่นหลัง ในขณะที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนอยู่นั้นสิ่งที่เขานึกถึงเป็นอันดับแรกก็คือ "หลวงปู่ทวด" ที่เขาห้อยคอติดตัวอยู่เป็นประจำ
    ทหารพราน "น้อย" กำเหรียญหลวงปู่ทวดไว้แน่นอยู่ในมือ พร้อมอาราธนาให้หลวงปู่ทวดช่วยคุ้มครอง และท่องบทสวดมนต์อยู่ในใจ พอฝ่ายผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ล่าถอยไป เพื่อนทหารต่างพากันกรูเข้ามาช่วยเหลือเขาทันที ภาพที่เห็นกับตาตอนแรกของการยิงต่อสู้กันนั้น ทุกคนคิดว่าเขาต้องเสียชีวิตอย่างแน่นอน แต่ทุกคนก็ต้องประหลาดใจเป็นอย่างมากที่คมกระสุนไม่สามารถระคายผิวของทหารพรานหนุ่มคนนี้แม้แต่น้อย ซึ่งตัวเขาเองได้กล่าวอย่างมั่นใจว่าเป็นเพราะพุทธานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวด ที่มาปกป้องคุ้มครองจึงทำให้เขารอดชีวิตมาได้อย่างน่าทึ่งนี่ก็เป็นปาฏิหาริย์อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นจริงกับทหารพรานน้อยเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้พระหลวงปู่ทวดที่เขาห้อยคออยู่นั้นจะไม่ได้ผ่านพิธีปลุกเสกมาก่อน และเช่ามาเพียงแค่องค์ละ 1 บาท จากแผงพระริมรั้ววัดมหาธาตุ แต่เมื่อเรามีความเคารพและศรัทธาอย่างแรงกล้าในองค์ท่านแล้ว พุทธานุภาพของท่านก็ย่อมที่จะช่วยปกปักรักษาให้เรารอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง..!
     
  15. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    -
    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ผู้ศรัทธาองค์หลวงปู่ ดว้ยเทอญ สาธุ
     
  16. พัชรกันย์

    พัชรกันย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +622
    ขอร่วมทำบุญในกา่รซื้อเรือมาเป็นยานพาหะในการใช้ประโยชน์เพื่อกิจของสงฆ์และส่วนรวมของสังคม จำนวน 100 บาท โอนเงินแล้ว วันที่ 6 ตุลาคม 2553
     
  17. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    กราบโมทนาเป็นอย่างยิ่งๆครับ สาธุ ๆ ๆ
     
  18. AMORNTIP A

    AMORNTIP A เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +1,311
    ขอร่วมทำบุญด้วยเป็นจำนวน 30 บาท ค่ะ (7/10/53) เวลา 08.18น.
     
  19. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    กราบโมทนาเป็นอย่างยิ่งๆครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  20. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    [​IMG]
    จุตินันท์ ภิรมย์ภักดีแขวนพระหลวงปู่ทวดไม่ตายโหงจริงๆ
    ตายโหง คือ คนที่เสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วน แบบไม่ธรรมดาตามธรรมชาติ เช่น ยิงปืน (ใส่ตัวเอง) โดดน้ำ วิ่งหรือเดิน (ให้รถชน) ผูกคอตาย หรือตายทั้งกลม ก็ถือว่าเป็นการตายแบบตายโหงเช่นกัน
    ผีตายโหงมักสิงสถิตอยู่กับที่ที่ตัวเองตาย (เช่น ผีเฝ้าถนน ตามโค้งร้อยศพ เป็นต้น) เมื่อมีคนมาตายแทนจึงจะไปผุดไปเกิดได้
    อย่างไรก็ตาม ในวงการพระเครื่องมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า พระหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ แม้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยหลวงปู่ทวด และหลวงปู่ทวดไม่ได้ปลุกเสกในความขลังศักดิ์สิทธิ์ของพระหลวงปู่ทวดนั้น คงไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ นับจากพระพิมพ์มีปฐมบทมาแต่ครั้งปี ๒๔๙๗ มีการจัดสร้างขึ้นเรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน ใครที่แขวน หรือรถคันใดที่มีพระหลวงปู่ทวด ไม่ว่าจะเป็นของเก่า ของสร้างใหม่ รวมทั้งสร้างจากวัดใดก็ตาม จะไม่ตายโหง
    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปาฏิหาริย์พระหลวงปู่ทวดช่วยให้ไม่ตายโหงมากมาย แม้จะยากต่อการพิสูจน์ให้ใครๆ ได้เห็นก็ตาม แต่คนที่ศรัทธานับถือ โดยเฉพาะคนในวงการพระ เชื่ออย่างสนิทใจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...