บทความให้กำลังใจ( เตรียมใจยอมรับทุกสิ่ง)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,035
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    (ต่อ)
    เพื่อนคนหนึ่งเรียกรถแท็กซี่ไปวัดพระแก้วเพื่อจะไปทำบุญ เช้าวันนั้นรถติดมาก เขาต้องโทรศัพท์บอกพี่สาวหลายครั้งว่าจะไปสาย เขาหงุดหงิดรุ่มร้อน แต่สังเกตเห็นว่าคนขับรถแท็กซี่ไม่มีอาการรุ่มร้อนเลย เปิดวิทยุแถมฮัมเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข เขาจึงถามคนขับรถว่าพี่ไม่หงุดหงิดเหรอ คนขับรถตอบดี เขาตอบว่า “ผมไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไมครับ หงุดหงิดแล้วมันก็ติดเท่าเดิม”

    เขายังพูดต่ออีกว่า แต่ก่อนเขาทำงานบริษัท ตอนหลังเบื่อเลยลาออกมาขับแท็กซี่ มันอิสระดี ที่น่าสนใจคือเขาพูดว่า “ผมรู้ว่าผมเลือกทำอาชีพอะไร แล้วจะต้องเจอกับอะไร ถ้าเลือกขับแท็กซี่ก็ต้องยอมรับได้ว่าต้องเจอรถติด”

    คนขับแท็กซี่ไม่หงุดหงิดเวลารถติดเพราะเขายอมรับมันได้ ส่วนคนที่ทุกข์ใจก็เพราะยอมรับมันไม่ได้ แถมยังคิดปรุงแต่งต่อไปว่าถ้ารถติดหนักกว่านี้จะไปทำงานสาย จะไปส่งลูกไม่ทัน จะตกเครื่องบิน ก็เลยกระสับกระส่าย

    ไม่ว่าเจอทุกข์อะไรก็ตาม ถ้าเรายอมรับไม่ได้ ใจจะเป็นทุกข์มาก เป็นทุกข์ยิ่งกว่าความทุกข์อันแรกที่เจอ

    หญิงผู้หนึ่งพูดไว้ดีว่า “มะเร็งไม่ได้ทำให้ยิ้มคุณหายไป ทุกข์ในใจต่างหากเป็นตัวทำ” ถามว่าทุกข์ใจเพราะอะไร คำตอบคือยอมรับความจริงไม่ได้ สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นสัจธรรมมาก เธอพูดว่า “ในขณะที่เราคิดว่าความจริงมันโหดร้าย แต่การไม่ยอมรับความจริงนั้นโหดร้ายกว่า เพราะมันเปรียบเหมือนคุกที่ขังใจเราไว้”

    ประโยคข้างต้นเธอพูดจากประสบการณ์ของตัวเอง เธอเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะตอนอายุ 30 ปี ขณะที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ หมอเองทีแรกก็ยังไม่เชื่อ เพราะมะเร็งที่เกิดกับเธอนั้นมักเกิดขึ้นผู้สูงอายุหรือสูบบุหรี่จัด แต่เธอไม่เคยสูบบุหรี่ ตอนที่เธอรู้ว่าเป็นมะเร็ง เธอรู้สึกทุกข์มาก ทุกข์กายไม่เท่าไหร่แต่ทุกข์ใจมากเธอเอาแต่คร่ำครวญว่า ว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นมะเร็งชนิดนี้ มันไม่น่าจะเกิดกับฉัน ฉันอายุแค่ 30 ปีเท่านั้น พอเธอไม่ยอมรับความจริงนี้ ก็เครียด จนเหวี่ยงวีนใส่หมอ เหวี่ยงวีนแม้กระทั่งกับคนที่บ้าน
    ภายหลังเธอหันมาสนใจการปฏิบัติธรรม เจริญสติ เมื่อสังเกตจิตใจของตนก็พบว่า สาเหตุของความทุกข์ใจคือการไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับโรคมะเร็ง แต่พอเธอยอมรับมันได้ ใจก็สงบ แม้ว่ามะเร็งจะลามไปเยอะแล้ว
    คนเรามักจะมองข้ามความจริงว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราไม่ร้ายเท่ากับการไม่ยอมรับความทุกข์นั้น สิ่งที่เรากลัวเราเกลียด ไม่ร้ายเท่ากับความกลัวความเกลียดสิ่งนั้น ลองพิจารณาดูให้ดีว่า คนที่เป็นปัญหากับเรา ยังไม่ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับความรู้สึกเกลียดชังหรือโกรธคนนั้น มะเร็งก็เหมือนกัน มันไม่ร้ายเท่ากับความกลัวความเกลียดและการไม่ยอมรับมะเร็ง
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,035
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    (ต่อ)
    เหตุผลที่เราควรยอมรับความทุกข์
    ประการแรก เราควรยอมรับมันก่อนอื่นใด ก็เพราะมันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถปฏิเสธ ผลักไสไปได้
    ประการที่สอง ให้ตระหนักว่า ยิ่งผลักไสก็ยิ่งทุกข์ เป็นการซ้ำเติมตัวเอง อย่างที่คนขับแท็กซี่พูด “ผมไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม หงุดหงิดแล้วรถมันก็ติดเท่าเดิม” ความหงุดหงิดทำให้จิตใจรุ่มร้อน ส่วนปัญหาหรือความทุกข์เดิมก็ไม่ได้หายไปไหน

    มีคนเปรียบเทียบชีวิตไว้ดีว่า เหมือนกับการเล่นไพ่ บางครั้งเราก็จั่วได้ไพ่ที่ไม่ดี แต่ป่วยการที่จะบ่น ตีโพยตีพายว่า ทำไมได้ไพ่ใบนี้ คนที่เล่นไพ่เก่งเขาไม่บ่นโวยวายอย่างนั้น แต่เขาจะพยายามใช้ปัญญาเพื่อเล่นให้ดีที่สุด บางครั้งเขาก็ชนะทั้งที่ไพ่ในมือเขาไม่ดีเลย ถ้าเขาโวยวาย ก็หัวเสีย ปัญญาก็ไม่เกิด สู้ตั้งสติให้ดีว่าจะใช้ไพ่ที่มีในมือให้เกิดประโยชน์อย่างไร

    แม่ครัวซึ่งได้เครื่องเคราไม่ครบ เขาไม่มัวหัวเสียบ่นปอดแปดว่าว่าทำไมเครื่องไม่ครบ เขาจะคิดเพียงว่าทำอย่างไรจะปรุงอาหารให้อร่อยหรือดีที่สุดเท่าที่อุปกรณ์มีอยู่ ไม่มีเนื้อ มีแต่ผักก็ไม่เป็นไร ไม่มีน้ำตาล เอาอย่างอื่นแทนได้ไหม ในขณะที่แม่ครัวที่มีเครื่องครบแต่อาจปรุงอาหารไม่อร่อยก็ได้ มันไม่ได้อยู่ที่ว่าในมือมีอะไร แต่อยู่ที่ว่าเราจะใช้ของที่มีอยู่ในมือให้เกิดประโยชน์แค่ไหน แต่เราไม่สามารถใช้สิ่งที่มีอยู่ในมือให้เกิดประโยชน์ได้ดีที่สุดหากเรายังหัวเสียหงุดหงิด ไม่ยอมรับกับข้อจำกัดที่เกิดขึ้น

    ผู้ป่วยมะเร็งที่เพิ่งกล่าวถึง พอทำใจยอมรับได้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว นอกจากเธอจะยิ้มได้แล้ว เธอยังมีสติปัญญาที่จะเยียวยาตัวเองต่อไป แต่ถ้าหัวเสียหงุดหงิด ก็คิดอะไรไม่ออก แทนที่จะทุกข์จะบรรเทาทุกข์กลายเป็นทุกข์หนักขึ้น ป่วยการที่จะบ่นโวยวายว่า ทำไมต้องเป็นฉัน มันไม่ยุติธรรม ฉันอายุแค่ 30 ปี เอง ไม่เคยสูบบุหรี่ ทำไมฉันต้องเป็นมะเร็งปอด ฉันทำดีตลอดชีวิต ทำไมฉันต้องมาป่วย ทำไมต้องเสียลูกตั้งแต่ยังเล็ก ๆ หรือฉันออกกำลังกายเป็นปีทำไมต้องมาป่วย คิดแบบนี้เป็นการทำร้ายตัวเอง

    ผู้หญิงคนหนึ่ง ดูแลสุขภาพดีมาก กินอาหารชีวจิต อาหารแมคโครไบโอติก อาหารเสริมที่ใครบอกว่าช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจเธอหามากินหมด อาหารเสริมใดที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ รวมทั้งสไปรูไลนา ใบแปะก๊วย โคคิวเท็น แพงแค่ไหนเธอก็หามา ออกกำลังกายเธอก็ทำเป็นประจำ เพราะเชื่อว่าจะทำให้อายุยืน มีสุขภาพดี แล้ววันหนึ่งเธอพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เธอทำใจไม่ได้ โกรธมาก รู้สึกว่าถูกโกหก ถูกหลอกลวง ตลอดเวลาที่ป่วยเธอไม่มีความสุขทั้งกายทั้งใจ กราดเกรี้ยวใส่คนรอบข้าง จนกระทั่งวาระสุดท้ายก็ตายไม่สงบ ในขณะที่คนบางคนเจอโรคร้าย แต่เขารู้จักทำใจ จึงไม่ทุกข์มาก

    หมอคนหนึ่งได้รับมอบหมายให้ไปเยี่ยมผู้ป่วยชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เมื่อเธอดูประวัติแล้วก็รู้สึกหนักใจ ชายคนนี้เป็นมะเร็งที่ใบหน้า แผลใหญ่กินตั้งแต่แก้มไปถึงจมูกและริมฝีปาก หมอรู้ดีว่าคนที่เป็นมะเร็งชนิดนี้จะเจ็บปวดมาก ไม่แค่เฉพาะปวดกาย แต่อาจเจ็บปวดที่ใจด้วย เพราะส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเป็นที่รังเกียจ เนื่องจากแผลที่ใบหน้าเห็นชัด จนอยากเก็บตัวลบลี้หนีหน้าผู้คน และอันที่จริงโรคนี้ก็ไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยออกไปนอกบ้านเพราะถ้าโดนแสงแดดจะเจ็บปวดมาก จำเป็นต้องเก็บตัวในบ้าน แถมต้องมีม่านพรางแสงด้วย ซึ่งทำให้ผู้ป่วยทั้งหดหู่ ซึมเศร้า และเครียดมาก ในประเทศสหรัฐอเมริกา คนที่เป็นมะเร็งใบหน้า ฆ่าตัวตายถึง 1 ใน 4

    หมอเองรู้สึกหนักใจที่จะไปเยี่ยมผู้ป่วยคนนี้ เพราะกลัวว่าจะเจออารมณ์กราดเกรี้ยวของเขา แต่พอเจอเข้าจริง ๆ หมอก็แปลกใจ เพราะเขาโอภาปราศรัยดี คุยอย่างคนปกติ ไม่มีความก้าวร้าวอะไรเลย

    คนไข้เล่าว่า ตอนหนุ่ม ๆ เขาชอบกินเหล้าสูบบุหรี่มาก เมาหัวราน้ำ การงานก็ทำได้ไม่ดี มีครอบครัวก็ต้องเลิกกัน เมียทนไม่ได้ที่เขาเอาแต่กินเหล้า สูบบุหรี่ ลูกก็ต้องไปอยู่กับเมีย เขาเล่าเหมือนกับยอมรับ ว่าที่เขาเป็นมะเร็งก็เพราะมีพฤติกรรมเสี่ยงแบบนี้ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาสงบ ไม่มีอาการหงุดหงิดทุรนทุราย

    เขาเล่าว่าทุกวันเขาไม่มีอะไรทำ นอกจากวาดรูปและเปิดโทรทัศน์ ช่องที่ดูประจำคือ CNN ซึ่งมีข่าว 24 ชั่วโมง ส่วนใหญ่เป็นข่าวเกี่ยวกับการก่อการร้าย อุบัติเหตุ สงคราม ความอดอยากหิวโหย ภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว ไฟไหม้ น้ำท่วม เขาดู ๆ ไปไม่นานก็ได้คิดว่า คนเราไม่ว่ารวยหรือจน ชาติใด ภาษาใด นับถือศาสนาใด ก็หนีความทุกข์ไม่พ้น ความทุกข์เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษยชาติ พอคิดได้แบบนี้เขาก็มองมาที่ตัวเอง แล้วได้คิดว่า ความเจ็บป่วยของเรา ก็เป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ที่เกิดกับมนุษย์ทั้งโลก

    พูดง่าย ๆ ว่า เขามองว่าความทุกข์ที่เกิดกับตัวเองเป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกคน พอมองอย่างนี้ได้เขาก็ยอมรับมะเร็งได้ ไม่ปฏิเสธ ผลักไสมันอีกต่อไป ใจจึงสงบ
    เขายังบอกอีกว่า ตอนนี้เขาพยายามดูแลสุขภาพให้ดีเพื่อจะได้มีชีวิตยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้เพราะที่ผ่านมาเขาแทบไม่ได้อยู่กับลูกเลย ตอนนี้อยากจะอยู่กับลูกให้นานที่สุด
    หมอเจ้าของไข้บอกเขาว่า เขาจะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน แต่ชายคนนี้อยู่ได้ปีกว่า ช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ ก็ไม่ได้ทุกข์ทรมาน เหมือนผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ ตอนตายก็ตายอย่างสงบ
    ชายคนนี้แม้จะมีความทุกข์กายมาก แต่ใจเขาไม่ค่อยทุกข์เท่าไหร่ ทั้งนี้เพราะเขายอมรับความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น
    การยอมรับช่วยให้ใจสงบ เป็นทุกข์น้อยลง นี้คือเหตุผลหนึ่งที่เราควรยอมรับเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมาในรูปใด เช่น ความเจ็บป่วย ความสูญเสีย
    :- https://visalo.org/article/dhammamata14_3.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...