ทำสมาธิที่ไรหลับทุกที.!!!

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ทิพย์พิมล, 22 กรกฎาคม 2010.

  1. aomice

    aomice สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +13
    เราเคยเป็นค่ะ สอบถามท่านผู้รู้ ท่านบอกว่า "เพราะกำลังสมาธิของเราอ่อนเกินไป"
    ในความหมายของเรา คงหมายความว่า เพราะความตั้งใจในการปฏิบัติน้อยไปนั่นแหละ

    เรื่องการหลับในระหว่างสมาธิเราก็เคยเป็นนะคะ "นอนสมาธิ" ค่ะ
    คือตอนนอน ลองนอนสมาธิดู สงบเงียบมากมายเลยค่ะ
    เรารู้สึกตัวอีกทีท้องป่องเหมือนลูกโป่งเลยค่ะ เลื่อนขึ้นหัวมาเรื่อยๆ มันค่อยๆขึ้นมาบีบหัวใจ ตอนนั้นคิดว่า
    "ตายแน่ๆ"
    พอมันผ่านช่วงหัวที่เราคิดว่าเราตายแน่ มันผ่านไปเฉยๆค่ะ แล้วกลายเป็นสมาธิเงียบๆแบบเดิม
    แล้วช่วงที่เรางีบไป ต้องเป็นช่วงนั้นแน่ๆที่คุณข้างบนเค้าบอกว่า หลับระหว่างสมาธิ

    ขอให้ทุกท่านก้าวหน้าในการปฏิบัติจนบรรลุมรรคผลนิพพานโดยเร็วทั่วกันทุกท่านค่ะ

    สาธุ .. สาธุ .. สาธุ
     
  2. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ลองเดินจงกรม หรือยืนสมาธิดูนะคะ
    แต่ยืน ก็ยังหลับได้นะคะ
     
  3. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  4. ทิพย์พิมล

    ทิพย์พิมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    245
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,511
    เคยเดินอยู่นะค่ะ...แต่ไม่สงบเลย..รึว่าเราจะทำไม่เป็น!!
    พอนั่งก็ไม่สงบ (ปวดหลังมากๆ)
    นอนเนี่ยสงบที่สุด...แต่พอสงบที่ไร..หลับไปเองทุกทีค่ะ
     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ใกล้เคียงนะครับ ที่ปรารภว่า "นอนนี่สงบที่สุด" ที่ปรารภว่านอนสงบที่สุด
    นั่นก็เพราะว่า คุณจำรสธรรมที่ได้จากการ "หลับ" ซึ่งมีการ "นอน" เป็นเหตุ

    คุณอาศัยความสงบ ที่ได้หลังจากการ "หลับ" เป็นเนื้อหาสาระ เป็นแก่น
    ของธรรมรสที่สัมผัส ที่น่าติดใจ จึงทำให้จิตมันเพียรอยู่ที่การทำส่วนเหตุ

    ส่วนเหตุที่คุณเพียรกระทำ ไม่เห็นหนทางอื่นยิ่งกว่า หนทางนี้สะดวกแต่เรา
    หนทางอื่นไม่สะดวกแก่เรา จึงเฝ้ากระทำแต่ วิธีการ "นอน"

    ฟังๆดูเหมือนคนห่างไกลธรรมะ แต่ผมยกว่า ใกล้เคียง ตรงนี้หมายถึง
    อะไร

    ผมก็หมายถึงคุณเข้าใจดีอยู่แล้วว่า คุณอาศัยความเพียรเพื่อทำอะไร

    คุณรู้เหตุ และ ผล ของสิ่งที่คุณทำดี และถ้วนด้วย คุณจึงเพียร
    กระทำอยู่อย่างนั้น ไม่นึกอยากไปทำวิธีการอื่นซึ่งไม่เหมาะแก่คุณ

    แต่......คุณก็ทราบอยู่แล้วว่า ...มันมีบางอย่างมันขาดๆไป เหมือน
    มันจะดี แต่มันไม่ครบ สิ่งที่ไม่ครบนั้น ก็คือ ขาดการเห็นอริยสัจจ4

    ซึ่งไม่ว่าวิธีการไหนก็ตามที่เราเพียรแล้ว เขาเพียรแล้ว แล้วรู้สึกว่า
    ยังติดๆ ยังขาดๆ ส่วนใหญ่ก็คือ ขาดการเห็นอริยสัจจ เหมือนกัน
    หมด

    ดังนั้น สิ่งที่คุณควรถาม อาจจะไม่ใช่วิธีการใหม่ๆ แต่เป็นวิธีการเดิม
    นั้นแหละ คุณต้องเล็งเห็นอริยสัจจ4 ในสิ่งที่คุณเพียรอยู่ ยกขึ้นพิจารณา
    ให้ได้ พิจารณาได้ก็จะหลุดออกจากภพที่เป็นอยู่ พอใจอยู่ เหมาะกับ
    เราอยู่ ไปสู่ความไม่มีเรา ไปสู่ความไม่มีอะไรเหมาะ ไปสู่การละนันทิราคะ
    ความพอใจ ไปสู่การหลุดออกจากภพ เมื่อหลุดออกจากภพ จึงรู้ว่าหลุด
    ออกจากภพ

    พอหลุดออกจากภพได้ ก็เรียกว่าเห็นอริยสัจจ4กลายๆ ก็จะแจ้งเหตุผล
    ประการหนึ่งว่า สุขจากการไม่ยึด ไม่อยู่ ไม่เป็น ไม่เอา ไม่ถือ นั้น
    มีอยู่ สุขชนิดนี้ดีกว่า สงบกว่าสุขที่ยังต้องอาศัยการอยู่ การเป็น การ
    ถือ การนอน
     
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    แต่ถ้าจนแล้วจนรอด ก็ยังเห็นว่า การนอนนั้น จะทำให้เกิดความสงบได้ แบบนี้
    ก็ใช่ว่าไม่มี

    ถ้าเป็นแบบนี้ เราต้องต่อยอดหลังจากการนอนครับ

    คุณจะต้องใช้ประโยชน์จากความ สงบ หลังการนอนมา ต่อยอดทางธรรมให้
    ได้ วิธีการที่เขาทำกันก็คือ เมื่อไหร่ที่คุณตื่น ตอนนั้นคือ นาทีทอง

    ให้ลืมๆ เรื่องระหว่าง หรือ ก่อนหน้าที่ทำให้หมด อย่าไปคว้ามาพิจารณา ทำ
    ไปอย่างเดิม จนกระทั้งหลับไปก็ช่างมัน แต่ ตอนที่ตื่นนอน ตอนนี้ คุณจะรู้
    อยู่ว่าจิตมีความสงบ สงัด ไม่มีสิ่งร้อยรัด สิ่งร้อยรัดจะยังไม่ปรากฏ และหาก
    นิวรณ์ถีนมิททธะไม่ทำให้มึนๆ กุกกุจจะไม่ทำให้ปวดหัว อุธธัจจะไม่ทำให้สะดุ้ง
    พยาคติไม่ทำให้ละเมอ กามตัณหาไม่ทำให้ขอต่อเวลา คุณเอาจิตในขณะนั้นรู้
    สภาพร่างกายของตนที่นอนแข็งทื่ออยู่ไปตรงๆ พอขยับก็รู้ แก้ทุกข์ก็รู้ คัน
    ก็รู้ เจ็บก็รู้ ปวดก็รู้ ชาก็รู้ ซ่าๆก็รู้ ง่อยๆก็รู้ ดูมันไปด้วยสภาพจิตที่ยังราบเรียบ
    อย่ากระโจนไปจ่อจ้องจุดที่รู้ ให้ตั้งมั่น เป็นกลางต่อการเห็นสภาวะ รู้ลงปัจจุบัน
    ไปเรื่อยๆ แล้วจิตคุณจะค่อยๆพัฒนาขึ้น สัมปชัญญะจะเจริญขึ้น

    เมื่อ สติสัมปชัญญะมีปริมาณหนึ่ง ขณะที่คุณหลับ คราวนี้มันจะภาวนาของมันได้
    ก็จะคล้ายๆ คนที่นอนแต่กาย แต่จิตลุกขึ้นมาภาวนา เมื่อทำไปแบบนี้ สติสัมปชัญญะ
    เจริญขึ้นอีกระดับหนึ่ง มันก็จะทำให้ เวลาที่คุณจะล้มตัวลงนอนก็เริ่มรู้ และหากฝึกไป
    อีกก็จะรู้ว่า กรรมฐานที่กำลังดำเนินอยู่กำลังพาไปสู่การหลับก็รู้

    พอมาถึงจุดนี้ คุณก็จะไม่รู้สึกว่า ติดแล้ว เพราะ คุณจะรู้เหตุที่นำไปสู่การหลับ ได้แล้ว

    พอรู้ตรงนี้แล้ว คราวนี้จะทำกรรมฐานอะไรก็ไม่ใช่ปัญหาสักเท่าไหร่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2010
  7. ทิพย์พิมล

    ทิพย์พิมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    245
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,511
    พี่ค่ะ...หนูมันเป็นคนโง่..ความรู้น้อยอ่านแล้วมีบางประโยคที่เข้าใจแต่บางประโยคก็ไม่เข้าใจ...ยอมรับตรงๆ เลยว่าตัวเองโง่มาก ก็ยอมรับ การที่นอนสมาธิจนหลับนั้นอันที่จริงมันเป็นสุขมากๆ....พอเริ่มนอนหลับตาภาวนาไปเรื่อยๆ ลมหายใจมันเริ่มเบาลงๆ จนกระทั่งหายไป พอๆกับหลับทุกที ซึ่งก่อนหน้าลองนั่งสมาธิมันไม่สงบ หายใจติดขัด พอนั่งสักพักก็เกิดปิติตัวหมุนไปหมุนมา ซะนาน ไม่สงบซะที พอนอนสมาธิก็กลัวว่าผลการปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้าเพราะยิ่งทำ ยิ่งหลับเร็วมาก...นี่แหละค่ะ ปัญหาทั้งหมด
     
  8. ทิพย์พิมล

    ทิพย์พิมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    245
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,511
    แต่เอ๊ะ...พี่คนนี้เค้าบอกว่านอนเป็นฌาน.. ลิ้งที่พี่เค้าให้มาก็เข้าไม่ได้
    ไม่รู้ว่านอนแล้วเป็นฌานที่ว่า...นี่คืออะไรค่ะ
     
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เคยได้ยินไหม จิตมันไม่ใช่เรา

    เคยได้ยินไหมว่า พระป่าท่านจะเน้นเลยว่า ห้ามตำหนิจิต

    การที่คุณปรารภว่า คุณมันโง่ อันนี้ จริงๆแล้ว คุณไม่ได้ตำหนิตัวเอง เพราะ
    คุณรู้อยู่ว่า คุณตั้งใจทำอะไร แต่ผลที่ออกมามันไม่ตรงกับความตั้งใจ ดังนั้น
    แปลว่า สิ่งที่เป็นตัวแปรให้เราเป็นแบบนั้นไม่ใช่คุณ แต่เป็น"จิต"

    ที่นี้คุณไปปรารภว่า คุณโง่ อันนี้โดยทางธรรมแล้ว คุณกำลัง ตำหนิ "จิต"
    จากเหตุผลที่ชี้ไปแล้ว

    และการที่ พระป่าท่านเน้นกับลูกศิษย์ว่า อย่าไปตำหนิจิต นั่นก็เพราะ จิตมันจะงอน

    เวลาจิตที่ไม่ใช่เรามันงอน มันจะพาไปเจออะไร มันก็จะพาให้เราตกใจกับการเจอ
    เพื่อให้เขวไป

    พอจิตจะเข้าได้เข้าเข็มจะตั้งมั่น มันจะพาล้มตัวลงนอนเสีย พอจะเข้าถึงความสงบ
    จิตมันจะงอนพาไปแล่นออกไปจากฐานให้ไปเห็นความไม่สงบเสีย

    ทำให้ พอจวนเจียนๆ จิตมันงอน มันก็พาลพาเราไปเห็นอย่างอื่น ไปหมด เหตุผล
    ก็คือ ไปตำหนิตัวเองว่า "โง่" ซึ่งเป็นการตำหนิ "จิต" ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำเลย

    "จิต" มันจะแอบสอนธรรมคุณทันทีว่า มันไม่ใช่ของๆคุณนะ คุณจะไปบังคับมันไม่ได้นะ
    คุณจะมาตำหนิไม่ได้นะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2010
  10. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อันนี้โพสตอบวิธีการเจริญ เหตุและผลที่ควรจะเป็นไปแล้วในข้อ 28

    แต่ต้องอ่านดีๆนะ สุดท้ายนั้นจะต้องมาที่ไร้กระบวนท่า ไม่ใช่นอน
    อยู่อย่างนั้น เราจะต้องเข้าถึงธรรมในอริยาบทไหนก็ได้ จังหวะไหน
    ก็ได้ กำลังตกหน้าผาก็ต้องได้ ไม่ใช่ต้อง ท่านอนท่าเดียว จะเหมือน
    พระเจ้าพิมพิศาล ที่เดินจงกรมเป็นท่าเดียว เข้าฌาณได้ท่าเดียว ไม่ต้อง
    กินข้าวกินน้ำได้ถึง 7 วันโดยการเดินอยู่อย่างนั้น พอโดนพระโอรสเอามีด
    เฉือนหนังฝ่าเท้าทำให้เข้าฌาณไม่ได้ พอเข้าฌาณไม่ได้ก็ทนพิษบาดแผลไม่
    ไหวก็ถึงกับสวรรคตไป
     
  11. ทิพย์พิมล

    ทิพย์พิมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    245
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,511
    สงสัยคำว่าจิตงอน... แบบนี้คนที่นอนไม่หลับ ก็จิตงอนเหมือนกันมั้ยค่ะ
    คือร่างกายง่วงมาก แต่จิตไม่ยอมหลับ แบบนี้รึเปล่าค่ะคุณเล่าปัง
     
  12. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ไปอ่านของพี่ มะหน่อ มาเหรอ

    แบบนั้นไม่ใช่หลอก อันนั้นไม่ใช่ จิตงอน เรียกว่า เราพอๆเห็นแล้ว
    ว่า

    ชิวิตนี้ ดำเนินอยู่ด้วย ปัจจัยสองอย่างคือ กายเป็นคูหา และ มีสัญญา
    หมายมีวิญญาณครอง(ส่วนหลังนี่ ติต่างเรียกว่า จิต ไปก่อน แต่ในทาง
    ปฏิบัตินั้นจะถือว่ายังไม่เห็น จิต)

    ทำให้เราสามารถมองการทำงานของ กาย ที่มันทำงานเป็นเอกเทศน์ได้

    และ เห็น จิต ที่ทำงานเป็นเอกเทศน์ได้

    ทั้งกาย และจิตนั้นต่างเป็นปัจจัยในการปรุงการเกิดการดับต่อกันและกัน

    ส่วน "จิตงอน" ก็จะหมายเอาแค่ คนที่ชอบตำหนิตัวเอง หรือคนที่ชอบ
    ยกตนเอง คนทั้งสองประเภทนี้จะโดน จิตเล่นงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้
    เห็นผิดธรรมไป ดังนั้น จึงไม่ควรตำหนิจิตตัวเอง ตัดแต้มตัวเอง หรือ
    ยกย่องตัวเอง ให้แต้มตัวเอง ไม่เช่นนั้นมันจะพาไปติดทุกข์(การที่มันพา
    ไปติดทุกข์ เราก็เลยติต่างเรียกว่า มันงอน)

    จริงๆว่าตามบาลี มันคือเรื่อง อัสมิมานะ ต่อไปหากจะค้นหาเรื่อง "จิตงอน"
    ก็ใช้คำว่า อัสมิมานะ แทน เนาะ

    อันนี้เอาพุทธพจน์มาแสดง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2010
  13. อยู่เย็น

    อยู่เย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +137
    เวลานั่งสมาธิพอถึงจุดจุดหนึ่งจิตสงบ คำว่าพุทโธหายใป ลมหายใจเบาๆ แล้วจะหลับง่วงมาก เคลิ้มๆ สบายๆ อยากหลับทุกที ก็ นอนเลย เป็นทุกครั้ง ต้องเริ่มพุทโธใหม่ แล้วก็เป็นอีก ทำไงดี
     
  14. ทิพย์พิมล

    ทิพย์พิมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    245
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,511
    คุณเล่าปังค่ะ คือก่อนหน้านี้ที่ชอบทำสมาธิแล้วหลับคิดว่านอนทำสมาธิมันดีแล้ว มันง่ายดี มันสงบไวดี แต่หลังจากที่ขอคำแนะนำจากกัลยาณมิตรหลายๆ ก็ลองกลับไปปฏิบัติดู...แต่ก็ไม่ได้ผล...จิตไม่สงบเลย ทรมานมาก..... นั่งได้สักพักก็ไม่ไหล.. ต่อมาอีกหลายวัน (กลางวัน) รู้สีกง่วงจึงเอนตัวนอนลง..แต่ติดนิสัยชอบนอนสมาธิ มันมีความสงบเป็นสุขมาก ก็นอนจับลมหายใจและภาวนาและจับภาพพระ ไว้ในใจ พอสักพักมันเริ่มสงบ มันเหมือนคล้ายว่ามันหลับ
    แต่!!!นาทีนั้นเอง...เรื่องมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น คือว่าได้ยินเสียงพระเทศน์ เสียงไพเราะมาก....บอกประมาณว่าภิษุ ภิษุณี...ทั้งหลายการทำสมาธิควรงดนั่งนอน บนอาศนะอันหนานุ่ม..............มีต่ออีกแต่จำไม่ค่อยได้เพราะเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยคุ้นหูเลย...ไพเราะมาก มีศัพท์ของพระเยอะ
    จับความว่า...การทำสมาธิ ไม่ควรนอนหรือนั่งบนที่หนานุ่ม..(ควรมีความเพียรให้มาก) อะไรประมาณนี้ค่ะ............... ไม่ไม่แน่ใจว่าเสียงใคร แต่แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง.....แบบนี้แปลว่าไงค่ะ
     
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ผมว่า ไม่น่าจะต้องแปลนะครับ ให้ลองทำตามเลยครับ ไม่เสียหาย ไม่เสียตังค์


    ********************************************

    แต่ ถ้าจะหมายถึง คำตอบ นั้นมาจากไหน

    อันนี้ หลวงพ่อพุธท่านเทศน์บ่อย มันเกิด จาก จิตเราเอง ตอบคำถามตัวเอง
    ไม่ใช่ใครที่ไหน

    พอพูดแบบนี้ ครูบาอาจารย์ก็จะเกรงว่า จะเกิด กูเก่ง ขึ้นมา ก็เลยต้องพูด
    ใหม่ว่า ธรรมมะถ่ายทอด เพื่อให้ดูเหมือนว่า ไม่ได้มาจากตัวเอง เพื่อป้องกัน
    การสำคัญตัวผิดว่า กูเก่ง

    แต่พอ ติต่างว่า ธรรมะถ่ายทอด ก็เอาอีก กลายเป็น ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา
    ตรงนี้แรกๆก็จะเป็นเสียงถามตอบ พอวิปลาสไปกว่านี้ก็จะเห็นเป็นภาพด้วย เพื่อให้
    สมจริงสมจัง(สังขารมันย้อกย้อนปลิ้นปล้อนที่สุด) แบบนี้ก็จะเพี้ยนกันไปอีกหากไปยึด
    เอาการเห็นเป็นเนื้อหาสาระ

    จริงๆแล้ว จิตนั้นมันเป็นสิ่งที่เก็บข้อมูลได้ การที่มันเก็บได้ก็เพราะมีอวิชชา ข้อมูล
    ที่เราฟังเทศน์ฟังธรรมมา เราอาจจะไม่ทราบว่า จิตมันเก็บลงไปหมด แต่มันเก็บ
    ในลักษณะของขันธ์5 ซึ่งธรรมะที่เก็บไว้นี้อาจจะมาจาก 3 4 พุทธันดรที่แล้ว
    ทีนี้เราเวียนว่ายตายเกิดมาเรื่อย หากไม่ได้ปฏิบัติธรรม ข้อมูลที่เป็นกุศลเหล่านี้ก็
    ไม่ถูกเรียกขึ้นมาใช้ ยิ่งใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ก็จมลึกลงไปเรื่อยๆ

    แต่พอเรามาปฏิบัติสมาธิ แล้วเราตั้งคำถามเอาไว้ก่อนที่จะทำสมาธิ เมื่อจิตเขา
    ว่างจากหมอกควันของกองกิเลสได้มากพอ มันก็ไปดึง อภิสังขาร เหล่านี้
    ขึ้นมาถ่ายทอดได้เป็นธรรมดา

    สังเกตว่า ธรรมะถ่ายทอดแบบนี้ มันจะตอบคำถามเป็นคราวๆ สิ้นสงสัย
    ไปทีละเรื่อง นอกจากเอามาถามตอบทางการปฏิบัติธรรม ก็ยังสามารถ
    เอามาถามตอบในงานการปรกติได้ด้วย มันจึงเป็นความรู้แบบโลกียะ คือ
    รู้แล้วก็เอาออกมาพูดได้ด้วย รู้แล้วเอาไปสร้างโลกส่วนตัวได้ด้วย(เกิดกู เกิด
    เขา เกิดเรา)

    มันจึงไม่ใช่ ความรู้แท้ หรือ ปัญญาแท้ๆ ที่ต้องเป็นลักษณะ"แทงตลอด"
    รู้แล้วก็เห็นด้วย เห็นด้วยแล้ว ก็คลายความรู้นั้นไปเลย ไม่ยึดติด เพราะ
    ความรู้แท้ๆจะเห็นความเป็นธรรมดาปรากฏพร้อมกันด้วย คือ รู้แล้วมันก็
    แจ้งในโลกที่เขาเป็นกัน ที่เขาติดพันกัน(ไม่มีกู ไม่มีเขา ไม่มีเรา) และ
    จะเห็นเลยว่า ธรรมะที่แท้นั้นไม่มีผู้มาสอน ไม่มีอาจารย์ ไม่ใช่การทรงจำเอาไว้
    แต่ต้องเกิดจากการรู้เองเห็นเอง(ตรัสรู้) มีสติเป็นตัวพาให้ระลึกได้

    ดังนั้น อย่าไปให้ความสำคัญกับความรู้แบบนี้มากนัก เราเอาไว้ใช้เวลาจวน
    ตัวเท่านั้นและสิ่งหนึ่งที่พึงแลเห็นได้คือ

    "การฟังธรรมะทุกๆชนิด มีผล ไม่ใช่ไม่มีผล" จึงควรหมั่นสดับ

    แต่ผลของธรรมะถ่ายทอดแบบนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการ บรรลุ มันเป็นเพียง
    การช่วยให้เรา ผ่านจุดบางจุดเท่านั้น การฟังธรรมะจึงเป็นของยาก เราจะ
    รู้และเข้าใจมุมในการปฏิบัติได้ทีละน้อย การตั้งเป้าความสำเร็จใหญ่จึงควรตั้ง
    ไว้(อธิษฐาน) เพื่อให้มีทิศทาง และ ดำเนินอยู่ในหาทาง

    ขอจบด้วยคำสอนของหลวงปู่ดูลย์นะครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2010
  16. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    ท่องคาถายาว ๆ เช่น ...........

    หายใจเข้า ท่อง นะมะ นะอะ นอกอ นะกะ กอออ นออะ นะอะ กะอัง

    หายใจออก ท่อง อุมิ อะมิ นะหิ สุตัง สุนะ พุทธัง อะสุ นะอะ

    ท่องให้พอดีกับลมที่เข้า-ออก พิจารณาทุกคำที่ท่องไปด้วย สังเกตใจตามรู้อารมณ์

    ไปพร้อมๆ กัน ทีนี้ถ้าหลับก็ยอมวะ...
     
  17. เวลานาที

    เวลานาที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +1,349
    กินกาแฟสิ จะได้ ตาค้าง(deejai)
     
  18. ทิพย์พิมล

    ทิพย์พิมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    245
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,511
    +555 ไอเดียดี แน่!! อารมณ์ขันซะด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...