ถ้ามีโอกาสได้คุยกับมนุษย์ต่างดาว คุณอยากจะถามอะไรเขา(เผื่อมีมนุษย์ต่างดาวมาตอบให้)

ขอถามหน่อยครับ คุณใช้อ่ะไรในการพิสูจญ์ว่าจักรวาลเกิดจากความว่างเปล่า

พลังแสงทั้งสามนั้นแท้จริงคืออ่ะไร

ถ้าคุณต่างดาวมาจากพลังงานแสงในจักรวาลที่ห่างไกล เป็นร้อยชาติพันชาติกระมั้งกว่าจะมาถึงโลก


พลังงานทั้งสามมันมีชีวิตหรือ ทำไมมันถึงมีความต้องการ ขึ้นชื่อว่าพลังงานมันไม่มีชีวิตไม่ใช่หรือครับ

พวกคุณใช้ทฤษฎีอ่ะไรในการสร้างประตูมิติ บอกแค่ทฤษฎีก็พอครับ

ขอความกรุณาด้วยครับ จากมนุษย์บนโลกที่สวยงาม

 

ในความเว้องว้างอันไกลโพ้น มีพลังงานอีเท่อร์อยู่ทุกหนทุกแห่ง กระแสของอีเท่อร์ก็เหมือนกับกระแสน้ำ ณ เวลา ปัจจุบันบนโลก มนุษย์ยังไม่สมควรรับรู้บางสิ่งบางอย่าง เพราะมนุษย์มีกิเลสหนา ยังไม่พร้อมที่จะใช้เทคโนโลยี่แบบนั้น การรับรู้อะไรบางอย่าง อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์เองก็ได้

 

เขาพิสูจญ์แล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าอีเทอร์นั้นไม่มีจริง

 

ลองนั่งหลับตา และหยุดความคิด ทำจิตให้ว่าง ลบข้อมูลขยะในสมองออกให้หมด เคลียร่างกายให้บริสุทธิโดยการกินมังสะวิรัต พยายามรักษาศีลให้ครบ สักระยะ จะได้คำตอบเอง ไม่ต้องไปเข้ากลุ่มอะไร กับใคร ที่ไหน เพราะตอนนี้ ของจริงมีน้อยมาก

 

ผมไม่ได้เข้ากลุ่มที่ไหน

ผมแค่อยากถามแล้วอยากได้คำตอบเท่านั้นครับ

ท่านช่วยตอบทีเถอะ

 

ทำไมท่านมนุษย์ต่างดาวถึงรู้เรื่องศาสนาพุทธดีจัง

ถ้าคำถามมันเกินขอบเขตทำไมถึงตอบคำตอบคุณมัมบุได้ ทั้งที่คำถามของผมก็ไม่ต่างจากคุณมัมบุ

 

บนดาวเคราะห์โลก ศาสนาพุทธมีคำอธิบายดีอยู่แล้ว มนุษย์ยังไม่ศีกษา ไม่อ่าน แต่อยากจะรู้คำตอบอย่างเดียว คำถามของคุณไม่เหมือนของคุณมัมโบ้ เพราะมีกิเลสปนมาด้วย ถ้าเราตอบ คุณจะเป็นผู้ค้นพบคนแรก อย่างนั้นหรือ ความอยากรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้คือกิเลสที่จะปิดกั้นความรู้ทั่งหมด เราจะตอบในสิ่งที่มนุษย์ควรรู้เท่านั้น

 

ขนาดท่านรู้ถึงการกำเนิดจักรวาล ท่านยังไม่รู้ถึงเครื่องมือที่ช่วยพิสูจญ์การกำเนิดจักรวาล

ขนาดอีเทอร์ที่ว่าไม่มีท่านยังบอกว่ามี

คำถามของผม มันอยากรู้ คำถามคุณมัมบุก็อยากรู้ ต่างกันตรงไหนครับ

 

นี่แหละที่เรียกว่ากิเลสบดบังความรู้ ลองกลับไปย้อนอ่านดูเอง ว่าแตกต่างกันหรือไม่ คนที่จะรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ต้องผ่านการทดสอบอย่างละเอียด มิฉนั้นจะมีความหมายอะไร ถ้าเชื้อโรค ไม่กลัวยา หรือ เกิดแล้วไม่ดับ เพราะทุกสิ่งมีเหตุผลในการสร้างอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าสร้างยังไงโดยอะไร แสงคิดเองได้ยังไง เพราะ ถ้าอยากรู้ต้องปฏิบัติเอง ถ้าไม่ปฏิบัติ ก็แสดงว่าเก่งแล้ว ไม่ต้องการรู้

 

ท่านผู้นี้ อ่านแล้วเข้าใจ ก็จะเข้าถึงข้อมูลระดับลึกได้ไม่ยาก ความท้าทายรออยู่ให้ค้นหาคำตอบด้วยตนเอง สู้ๆ

 

มนุษย์คนไหน ถ้ารู้สึกชอบมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืน หรือชอบดูดาวและรู้สึกหลงไหล แสดงว่าเป็นสตาร์ซีด ให้รีบค้นหาความสามารถพิเศษของตนเองโดยเร็ว เมื่อเจอความสามารถพิเศษทางจิตในตัวแล้ว ให้รีบติดต่อกับสตาร์ซีดคนอื่นที่มีความสามารถพิเศษเช่นกัน จะได้เริ่มทำภารกิจเสียที

 

ค้นหายังไงครับท่าน java108

 

แล้วถ้าในกรณี ชอบมองท้องฟ้า (แต่ไม่ใช่ยามค่ำคืน) จะเกี่ยวกับสตาร์ซีดด้วยหรือไม่ครับ

 

ค้นหาว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษทางจิต อะไรบ้างรึเปล่า หรือลองกระตุ้นตัวเองโดยการฝึกจิตในรูปแบบต่างๆ ถ้าเป็นสตาร์ซีด จะมีพลังงานเกิดขึ้น หรือมีความสามารถที่ไม่ธรรมดาเกิดขึ้นเอง แต่ส่วนใหญ่จะมีเสียงเรียกจากกายในของตนเอง

 

ผมเข้าใจว่าการกลับขั้วแม่เหล็กโลก จะเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่
ผมจึงอยากทราบว่า อะไรเป็นเหตุกลับขั้วแม่เหล็กโลก

ผมก็พยายามอธิบายถูๆไถๆ ไปว่าเกี่ยวกับดวงอาทิตย์กลับขั้ว กับ
การที่ระบบสุริยะโคจรตัดผ่านศูนย์กลางของกาแลคซี่พอดี และอื่นๆ
จนแม่ยอมรับในที่สุด และเริ่มจริงจังกับการเตรียมตัว เพื่อรับมือกับ
เหตุการณ์ในอนาคต

ซึ่งผมรู้แต่เพียงว่าจะทำให้รังสีเข้ามามากขึ้น
และลมสุริยะมีผลต่อการเกิดภัยพิบัติ
แต่ยังไม่เข้าใจเท่าไรว่า มันทำให้เกิดการกลับขั้วได้ยังไง
ถ้าจะไปอธิบายกับคนที่มีความรู้หน่อย และโดนถามตรงจุดนี้
ผมคงไม่สามารถอธิบายได้

 

ผมเจอแหล่ะครับ

 

เรื่องเอกภพ มนุษย์ต่างดาวก็คงอยากจะบอกว่า ก็ไม่รู้เหมือนกัน กำลังสงสัยอยู่
ส่วนเรื่องมาที่โลกได้อย่างไร มนุษย์ต่างดาวก็คงอยากตอบว่า อย่ามโน พวกเราไม่เคยไปถึง ลำพังกาแลคซี่ของตัวเองยังเดินทางให้พ้นไปไม่ได้ด้วยอายุขัย เรื่องที่จะไปโลกที่อยู่คนละกาแลคซี่เป็นไปไม่ได้ เอาแค่ระยะทางจากดวงอาทิตย์มาถึงโลก แสงที่เดินทางไวที่สุด 300000 กิโลเมตรต่อวินาที ยังใช้เวลาเดินทางมาตั้ง 50 กว่าปี ครึ่งอายุมนุษย์แล้วนะ ถ้าบินไปด้วยยานธรรมดา ชาติหน้ายังก็ไม่ถึงเลย ดาวที่มีสิ่งมีชีวิตในแต่ละกาแลคซี่เกิดได่ยากนะ ต้องมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ที่พอเหมาะ ดาวนั้นๆต้อวหมุนเร็วไม่มากไปไม่น้อยไป ถ้ามากไปโลกจะหนาวจัด ถ้าช้าไปโลกจะร้อน สิ่งมีชีวิตจะไม่กำเนิด ฉะนั้นแล้ว ถ้าดาวไหนๆจะมีมนุษย์ก็จะมีสภาพและระบบสุริยะรวมถึงระยะห่างต่างๆ ต้องคล้ายกันหมด สรุป หนึ่งระบบสุริยะ( กาแลคซี่ ) โอกาสเกิดโลกแบบนี้ยังยาก ถ้าจะมีก็ต้องเกิดคนละระบบสุริยะ ฉะนั้นการเดินทางมา เป็นไปไม่ได้นะ แก่ตายก่อน

 

อืมกระทู้นี้ไม่ได้เล่นซะนาน พอดีติดภารกิจ วันนี้มีแฟนคลับ up ขึ้นมาก็จะมาอธิบาย ว่า แสง คิดเองได้อย่างไร แสง เป็นพลังงาน ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็ก และเป็นทั่งคลื่น ในเวลาเดียวกันเมื่อแสงมีความหนาแน่นถึงจุดๆหนึ่งจะรวมตัวทำให้เกิดเป็นมวลสาร หรือวัตถุธาตุ และจะแปรสภาพกลับไปเป็นแสง เมื่อความหนาแน่นแปรเปลี่ยน ในทุกอณูของอนุภาค จะมีการสั่นสะเทือนของสนามพลังงานควอนตัม ซึ่งเป็นต้นกำเหนิดของจิตวิญญาณในเอกภพ

 

สวัสดี ชาวโลก ถ้าคุณคิดว่าวิทยาศาสตร์ และฟิสิกข์ ของมนุษย์ สุดยอดแล้วละก็ คุณกำลังเข้าใจผิด จริงๆแล้ว การจะเข้าใจ และไขความลับของจักรวาลนั้น ไม่ต้องใช้ยานอวกาศ หรือจรวดทะลุมิติ แต่มันอยู่ภายในตัวของมนุษย์เองนั้นแหละ แค่มิติ ที่ซ้อนกัน อยู่ต่อหน้าท่าน ยังมองไม่เห็น แต่จะไปศึกษาดาวดวงอื่น มันจะไปเจอมนุษยืต่างดาวได้ยังไง เทคโนโลยี่ของมนุษย์ ไม่มีทางไปถึงแน่นอนอยู่แล้ว แต่การเดินทางด้วยจิตนั้น ไปได้ทั่วเอกภพ พระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบวิธี แต่มนุษย์ ไม่ศึกษากันเอง มัวแต่ทะเลาะกัน แย่งกันเป็นใหญ่ แล้วจะไปจักรวาลอื่นได้ยังไง ถ้ายังไม่เข้าใจธรรมชาติ ของจักรวาล

 

เข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่เคยคิดว่าฟิสิกข์สุดยอดเลย มันก็วิชาตรรกะนั่นแหละ และก๋ไม่ได้อยากจะไขความลับจักวาลให้เสียเวลาเลย เกิดมนุษย์คนไหนมัวมาเสียเวลาหาความลับจักวาบเกรงว่าคงตายเปล่า เสียเวลาโดยใช้่เหตุ พุทธองค์ยกให้เป็นเรื่องอจินไตย ถ้าจะรูัก็รู้ได้เองตามวาระ ถ้าจะไม่รู้ก็ไม่ควรไปมุ่งมั่นค้นหาให้เสียเวลา แค่คิดว่าจะฝึกเพื่อใช้จิตไปค้นหาคำตอบให้ทั่วเอกภพ นั่นก็เป็นสิ่งที่พุทธองค์ไม่ได้สอนให้ใฝ่ไปในทางนั้น เพราะเรื่องของจิตมีอุปาทานและความปรุงแต่งมาก สิ่งที่ไปสัมผัสย่อมแตกต่างกันไปได้มากมายหลายแบบ แต่ละคนย่อมยึดมั่นในสิ่งที่ตนสัมผัส หากไปสัมผัสมาสิบคน เกิดสัมผัสได้แตกต่างกันกัน 3-4 กลุ่ม ก็ยากแล้วที่จะหาว่าสัมผัสของผู้ใดถูกต้อง การมโนไปเองก็ไม่ต่างจากฟิสิกตรรกะ ฉะนั้นแล้วว่าด้วยเรื่องเหตุและผล จขกท ถามถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาวมสโลกได้อย่างไร ประกอบกัยเอารูปจานบินมาโพส ผมก็ตอบด้วยเหตุผลของความเป็นจริงในเรื่องของการเดินทางไปมาด้วยกายนั่นเอง ส่วนเรื่องของจิตนั้นผมทราบดีอยู่แล้วว่าไปได้แบบไร้ขีดจำกัด แต่ที่คุณไม่รู้ ก็คือ จิตพิสูจน์ความจริงของจักวาลในสิ่งที่ไปสัมผัสไม่ได้ หากไปยึดแต่เรื่องของสิ่งที่จิตตนไปสัมผัสและมองข้ามกฏแห่งความจริง ความสมเหตุสมผลอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาแล้วล่ะก็ จะกลายเป็นความเพ้อเจ้องมงายไป