ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub

    [​IMG]

    ภาคผนวก 3
    สงครามการเงินสหรัฐ vsจีนเต็มรูปแบบ
    Jim Rickards ผู้แต่งThe Death of Money สมกับเป็นซีไอเอทางการเงินตัวพ่อจริงเมื่อเขาเขียนบทความ "Why Most Gold Bugs and Bloggers are Dead Wrong About China’s Gold" อธิบายอย่างน่าฟังว่าทำไมจีนไม่ต้องการใช้ทองคำหนุนหยวน หรือไม่ต้องการกลับไปสู่ระบบมาตรฐานทองคำ เพราะว่าอำนาจที่แท้จริงของมหาอำนาจอยู่ที่การพิมพ์เงินกระดาษที่ไม่มีหลักทรัพย์อะไรหนุนหลังอย่างไม่อั้น
    เราทราบกันดีว่าหลายๆประเทศไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย อิหร่าน หรือซีเรียไม่ชอบระบบดอลล่าร์ที่ผูกขาด เพราะว่าเมื่อสหรัฐแซงชั่นระบบการชำระเงินดอลล่าร์ ประเทศเหล่านี้ที่ไม่ดำเนินนโยบายต่างประเทศ หรือขัดผลประโยชน์ของสหรัฐจะถูกตัดขาดจากระบบการเงินโลก ทำให้ค้าขายหรือทำธุกรกรรมทางการเงินไม่ได้
    จีนไม่ต้องการเล่นตามระบบดอลล่าร์เหมือนกัน แต่ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับสหรัฐโดยตรงๆ
    จีนมีทางเลือกที่จะใช้มาตรฐานทองคำเพื่อท้าทายดอลล่าร์กระดาษ หรือจะเล่นตามเกมผูกขาดเดิมผ่านกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่คุมระบบการเงินโลกผ่านตระกร้าเงินดอลล่าร์ ปอนด์ ยูโรและเยน ขณะนี้จีนกำลังสะสมทองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยะสำคัญ และสร้างสถาบันการเงินเช่น Asia Infrastructure Investment Bank, BRICS's Development Bank
    เมื่อได้เวลา จีนจะประกาศว่ามีทองคำสำรองแค่ใหน และหันหลังให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารโลก ดอลล่าร์จะพัง ราคาทองจะพุ่ง และระบบการเงินโลกใหม่จะเกิด คนที่ถือทองมากๆจะมีความสุข
    นี้คือสิ่งที่นักลงทุนทองหลายคนคาดการว่าจะเกิดขึ้น แต่Richardsบอกว่าความจริงมันสลับซับซ้อนมากไปกว่านั้น
    Rickardsกล่าวว่าจีนอาจจะตุนทองมากจริง แต่จีนไม่มีเจตนาที่จะทำลายสโมสรของพวกอิลิทเก่าที่คุมระบบการเงินโลก ในทางตรงกันข้ามจีนต้องการเข้าร่วมสโมสรที่รับเฉพาะสมาชิกพิเศษนี้เท่านั้น
    สาเหตุเป็นเพราะว่า ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะโตอย่างแข็งแรง และมีขนาดใหญ่ แต่เงินหยวนไม่พร้อมที่จะเป็นเงินสกุลหลักของโลก และจะไม่พร้อมในอีกหลายปีข้างหน้า
    ถึงแม้จะมีปริมาณการใช้หยวนเพิ่ม แต่ปริมาณของหยวนใตนระบบการชำระเงินของโลกมีเพียง2%เท่านั้น เทียบกับมากกว่า40%สำหรับดอลล่าร์
    การใช้เงินสกุลหนึ่งในระบบชำระเงินของโลกในปริมาณที่สูงมีความสำคัญ แต่ความสำคัญนี้ไม่ใช่ทั้งหมด หัวใจของการเป็นเงินสกุลหลักของโลกไม่ใช้ปริมาณการใช้ในระบบการชำระเงิน แต่เป็นการลงทุน
    มีความจำเป็นที่เงินสกุลหลักของโลกต้องมีตลาดพันธบัตรที่ทั้งลึกและมีสภาพคล่องสูง เพราะว่าเมื่อประเทศอื่นๆค้าขายได้ถือเงินสกุลหลักแล้ว พวกเขามีแหล่งที่จะลงทุน
    ตอนนี้ ถ้าหากเรามีหยวน เราทำอะไรมากไม่ได้ไปกว่าฝากเอาไว้ในแบงค์ฺ เพราะว่าไม่มีตลาดบอนด์ของหยวนให้ลงทุน
    นอกจากจะต้องมีตลาดบอนด์แล้ว เราจำต้องระบบที่ไปคู่กับตลาดบอนด์ ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายของดีลเลอร์ เครื่องมือตราสารทางการเงินไม่ว่าจะเป็นฟิวเจอร์ ออฟชั่น ข้อตกลงซื้อคืน อนุพันธ์ ระบบเคลียริ่ง ระบบกฎหมายที่จะครอบคลุมข้อพิพาททางธุรกรรม
    จีนยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ เพราะฉะนั้นหยวนยังไม่ถึงเวลาที่จะเป็นเงินสกุลหลักของโลก แม้ว่าจีนจะมีทองคำ10,000ตัน แต่ปริมาณทองคำจำนวนนี้มีค่าเพียง$385,000ล้าน เมื่อเทียบกับปริมาณเงินM1ของจีน ณ สิ้นเดือนเมษายนปี2015แล้ว ราคาทองคำจำนวนนี้เทียบเท่าเพียงแค่7%ของปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบของจีน
    ถ้าหากว่าต้องใช้ระบบมาตรฐานทองคำ จีนต้องมีทองอย่างน้อย20-40%หนุนพันธบัตรที่ออก หมายความว่าจีนจำต้องลดปริมาณเงินM1ลงเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณทองคำสำรองที่มี ถ้าทำเช่นนั้น ระบบการเงินจีนจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดอย่างรุนแรง และจะทำให้เกิดปัญหาทางการเมือง
    เพราะฉะนั้นจีนจะไม่ใช้ระบบมาตรฐานทองคำ และเนื่องจากจีนยังไม่มีตลาดบอนด์ที่พัฒนา เงินหยวนจึงยังคงเป็นเงินสกุลหลักของโลกไม่ได้
    แล้วแผนการของจีนคืออะไร?
    สิ่งที่จีนต้องการคือการคงไว้ระบบเงินกระดาษ เหมือนอย่างที่สหรัฐกำลังทำอยู่ วิธีการที่ดีที่สุดคือการเพิ่มอำนาจของจีนในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และให้หยวนอยู่ในตระกร้าเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เนื่องจากสหรัฐคุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ จีนจะเอาหยวนเข้าตระกร้าของกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้ต้องเจรจาต่อรองกับสหรัฐ คือเงินหยวนต้องผูกกับดอลล่าร์ในระดับปัจจุบัน ถึงแม้จีนจะมีทองมาก ต้องไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องทอง ถ้าหากต้องการเข้าอยู่ในสโมสรที่รับเฉพาะสมาชิกกิตติมศักดิ์นี้ และต้องยอมรับว่าเงินSpecial Drawing Rightsของกองทุนการเงินระหว่างประเทศเป็นเงินสกุลหลักของโลกที่แท้จริง
    ทองยังคงเป็นทรัพย์สินที่ปลอดภัยในการลงทุน ราคาทองจะพุ่งสูงในอีกหลายปีข้างหน้า แต้ไม่ใช่เพราะว่าจีนเผชิญหน้าสหรัฐด้วยการใช้ทองหนุนเงินหยวน แต่ราคาทองจะขึ้นสูงเมือ่ธนาคารกลางต่างๆทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤติการเงินรอบใหม่ที่จะเลวร้ายกว่าปี2008 และนักลงทุนจะวิ่งเข้าหาทองกันเพื่อปกป้องความร่ำรวยของตัวเอง เมื่อเวลานั้นทองจะหายไปจากตลาด ถ้าหากต้องการลงทุนในทอง ต้องทำเดี๋ยวนี้
    thanong
    18/7/2015
    http://dailyreckoning.com/why-most-gold-bugs-and-bloggers-…/
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “ลำตะคอง” โคราชยังฮวบเหลือแค่ 15% แจ้งประปา 5 อำเภอเร่งสูบน้ำฝนอย่าหวังพึ่งเขื่อน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2558 11:54 น. (แก้ไขล่าสุด 20 กรกฎาคม 2558 12:07 น.)

    [​IMG]

    @ลำตะคอง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ลดฮวบต่อเนื่อง ล่าสุดเหลือปริมาณน้ำใช้การได้แค่ 49.8 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็นร้อยละ 15.8 ของขนาดความจุระดับกักเก็บ 314 ล้าน ลบ.ม. วันนี้ ( 20 ก.ค.)

    ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “เขื่อนลำตะคอง” ลดฮวบต่อเนื่องล่าสุดเหลือน้ำใช้การแค่ 15 % แจ้งเตือนการประปาท้องถิ่น 5 อำเภอ เร่งสูบน้ำจากฝนตกไม่ต้องรอพึ่งเขื่อนเพราะมีน้ำน้อย ล่าสุดเขื่อนส่งน้ำช่วยทหารทภ.2 ทั้งค่ายสุรนารี-สุรธรรม ส่วนโรงไฟฟ้าสูบกลับกฟผ.ใช้น้ำได้แค่ 10 %หากเหลือ 30 ล้านลบ.ม.ต้องหยุดผลิตไฟฟ้าทันที ขณะชาวนาเพาะปลูกไปแล้วให้รอฝนอย่างเดียว

    วันนี้ (20 ก.ค.) นายสิทธิโรจน์ กองแก้ว ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรขนาดใหญ่ที่สุดของ จ.นครราชสีมาว่า ล่าสุดมีปริมาณน้ำในอ่าง 72 ล้าน ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) แต่เป็นน้ำใช้การได้จริงแค่ 49.8 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็นร้อยละ 15.8 ของขนาดความจุระดับกักเก็บ 314 ล้าน ลบ.ม. และ ระดับน้ำยังคงลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง

    ขณะนี้ทางโครงการฯได้ประกาศแจ้งเตือนไปยังการประปาขององค์กรปกครองท้องถิ่นในพื้นที่ใต้เขื่อน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อ.สีคิ้ว สูงเนิน ขามทะเลสอ เมืองนครราชสีมา และ อ.เฉลิมพระเกียรติ ให้ทำการเร่งสูบน้ำจากฝนที่ตกลงมาเข้าไปเก็บในอ่างน้ำดิบสำหรับผลิตประปาในช่วงนี้ เนื่องจากช่วงปลายสัปดาห์นี้จะเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ส่วนเขื่อนลำตะคองปริมาณน้ำลดลงอย่างต่อเนื่องเพราะไม่มีฝนตกเหนือเขื่อน

    โดยขณะนี้ทางโครงการฯ ได้งดการปล่อยน้ำเพื่อการเกษตรโดยสิ้นเชิงไปแล้ว เพียงแต่ระบายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและหล่อเลี้ยงระบบนิเวศน์ วันละ 400,000 ลบ.ม. ส่วนปริมาณการสูบน้ำจากเขื่อนลำตะคองเพื่อการผลิตประปา ประกอบด้วย เทศบาลนครราชสีมา 46,776 ลบ.ม./วัน , เรือนจำคลองไผ่ อ.สีคิ้ว 3,000 ลบ.ม./วัน , เทศบาลตำบลคลองไผ่ 1,361 ลบ.ม./วัน , ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 จำนวน 4,000 ลบ.ม./วัน และ ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ กองทัพภาคที่ 2 จำนวน 6,000 ลบ.ม./วัน

    นายสิทธิโรจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับเกณฑ์การสูบน้ำจากเขื่อนลำตะคองของโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา ซึ่งโรงไฟฟ้าแบบสูบกลับของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 1.กรณีน้ำในเขื่อนลำตะคองมีมากกว่า 100 ล้าน ลบ.ม.สามารถสูบน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้าได้ตามปกติ 2.กรณีน้ำในเขื่อนลำตะคองน้อย กว่า 100 ล้าน ลบ.ม. สูบน้ำเพื่อผลิตฟ้าได้ไม่เกิน 10% ของน้ำในเขื่อนลำตะคอง ณ วันนั้น ๆ และ 3.กรณีน้ำในเขื่อนลำตะคองมีน้อยกว่า 30 ล้าน ลบ.ม.ต้องหยุดการสูบน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้าทันที

    ส่วนมาตรการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรในภาวะฝนทิ้งช่วง 1-31 ก.ค.2558 นั้น พื้นที่ที่มีการเพาะปลูกไปแล้ว ขอให้เกษตรกรที่เพาะปลูกหว่านแห้งไปแล้ว ให้ใช้น้ำฝนที่ตกลงมาในพื้นที่ เนื่องจากเขื่อนลำตะคองยังไม่มีน้ำเพียงพอที่จะช่วยเหลือได้ในขณะนี้ และ หากมีน้ำไหลหลากเนื่องจากฝนตกในพื้นที่ ให้ใช้น้ำหลากดังกล่าว


    http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081809
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ธุรกิจรัดเข็มขัดรับมือแรงซื้อดิ่งครึ่งปีหลัง ลูกจ้างทำใจ! โอทีหายเกลี้ยง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2558 06:17 น. (แก้ไขล่าสุด 20 กรกฎาคม 2558 10:25 น.)

    [​IMG]

    สภาองค์การนายจ้างฯ ส่งสัญญาณรับมือเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง นายจ้างรัดเข็มขัดรอบด้าน ลูกจ้างทำใจโอทีหายเกลี้ยง ไม่รับคนเพิ่ม เหตุเศรษฐกิจไทยเจอปัจจัย 3 เด้ง จากส่งออกติดลบ แรงซื้อดิ่งทั้งจากส่งออกและภาคเกษตรที่ประสบภัยแล้ง และรายได้รัฐที่อาจไม่พอกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ

    นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (ECONTHAI) เปิดเผยว่า เร็วๆ นี้ทางสภาองค์การนายจ้างฯ จะหารือถึงภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2558 ซึ่งจะนำภาพรวมสะท้อนให้ผู้ประกอบการและลูกจ้างมีการปรับตัวรองรับเนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควรจะเป็นตามทิศทางเศรษฐกิจโลก ดังนั้นภาคการผลิตครึ่งปีหลังมีแนวโน้มจะรัดเข็มขัดทุกด้านเพื่อประคองตัวให้อยู่รอดโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

    “หลายฝ่ายต่างก็ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังยังไม่มีปัจจัยบวกในการทำให้ฟื้นตัวได้มากนัก ดังนั้นภาคธุรกิจโดยเฉพาะขนาดกลาง และขนาดเล็ก ต้องปรับตัวประคองให้อยู่รอดในครึ่งปีหลังด้วยการลดต้นทุนทุกด้าน ชะลอการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มเพื่อรักษาเงินสดไว้ ลำพังธุรกิจขนาดใหญ่ไม่น่าห่วงเพราะเขาสายป่านเงินทุนยาว แต่ขนาดกลาง และเล็กเวลานี้สถาบันการเงินล็อกไม่ปล่อยกู้ให้กับการลงทุนใหม่ ส่วนที่ได้เงินทุนเป็นเรื่องของเดิมๆ ที่ทำกันไว้เท่านั้น” นายธนิตกล่าว

    นายธนิตกล่าวว่า ปัจจัยที่ภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะต้องรัดเข็มขัดรอบด้านในครึ่งปีหลังก็เนื่องจากจะต้องเจอกับภาวะ 3 เด้ง กล่าวคือ เด้งแรกเศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัว ทำให้ส่งออกทั้งปีมีโอกาสติดลบ 3% ปัจจุบันภาคการผลิตมีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ย 55% ซึ่งถือเป็นอัตราค่อนข้างต่ำ ขณะเดียวกันพบว่าภาคเกษตรของไทยเกิน 50% ก็พึ่งพิงตลาดส่งออกเช่นกัน ดังนั้นด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้บริษัทส่วนใหญ่ไม่มีค่าทำงานล่วงเวลาหรือโอทีให้พนักงาน ซึ่งเงินพิเศษส่วนนี้มีส่วนสำคัญต่อแรงซื้อในระบบอยู่ไม่น้อยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อทิศทางการส่งออกครึ่งปีหลังยังไม่ดีนักโอทีก็จะไม่มีเช่นกัน การรักษาพนักงานเก่าก็จะต้องพยายามประคองไว้แต่พนักงานใหม่ไม่มีนโยบายรับเพิ่ม ขณะที่รายจ่ายของคนกลุ่มนี้ก็เพิ่มขึ้นแต่เงินเดือนยังมีการเติบโตแบบชะลอตัวต่อเนื่องมา 2-3 ปี

    เด้งที่ 2 แรงซื้อคนไทยครึ่งปีหลังแนวโน้มจะลดลงต่อเนื่องที่ไม่เพียงผลกระทบจากส่งออกแต่ยังเผชิญกับเศรษฐกิจภายในที่เกิดภาวะภัยแล้งที่กระทบต่อปริมาณพืชผลทางการเกษตรลดต่ำภาคเกษตรกรจะยิ่งขาดรายได้เพิ่มมากขึ้น เมื่อแรงซื้อจากฟากลูกจ้างที่อยู่ในภาคการผลิตรวมกับคนต่างจังหวัดคือเกษตรกรทิศทางครึ่งปีหลังชะลอตัวการจำหน่ายสินค้าก็จะยากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่จำเป็น เช่น เสื้อผ้า จะมีการลด แลกแจกแถมเพื่อรักษาฐานลูกค้า ทิศทางการขึ้นราคาในสินค้าจากภาคการผลิตจึงยาก

    เด้งที่ 3 เมื่อภาคธุรกิจไม่เติบโตเท่าที่ควรจะเป็นนั่นย่อมหมายถึงรายได้จากการจัดเก็บภาษีต่างๆ ของรัฐบาลก็จะลดต่ำลงไปด้วย เมื่อรายได้น้อยกว่ารายจ่ายเม็ดเงินในการดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงอาจไม่เพียงพอในการดำเนินการ จึงเป็นประเด็นที่รัฐบาลพยายามที่จะเร่งผลักดันงบประมาณต่างๆ ให้เร็วขึ้น


    http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081715
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นายพลดังมะกันเตือนการกวาดล้างกลุ่มไอเอสอาจใช้เวลาถึง 20 ปี โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2558 07:35 น. (แก้ไขล่าสุด 20 กรกฎาคม 2558 11:00 น.)

    [​IMG]

    เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - นายพลชื่อดังแห่งกองทัพสหรัฐฯ คาดการต่อสู้เพื่อกวาดล้างกลุ่มนักรบรัฐอิสลาม (ไอเอส) อาจต้องใช้เวลายาวนาน 10-20 ปี ถือเป็นกรอบเวลาที่ยาวนานกว่าที่รัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามาประเมินไว้

    พล.อ.เรย์ โทมัส โอดีแอร์โน ประธานเสนาธิการกองทัพบกสหรัฐฯ ออกมาเปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวสายความมั่นคงจากเว็บไซต์ “ดีเฟนส์นิวส์ ดอตคอม” โดยระบุว่า เขาเชื่อว่าการกวาดล้างกลุ่มไอเอสจะไม่ใช่ปัญหาระยะสั้นที่แก้ได้ลุล่วงภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) เคยประเมินเอาไว้

    ขณะเดียวกัน การกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่มีแนวคิดสุดโต่งกลุ่มดังกล่าวก็จะไม่สามารถดำเนินการได้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 3-5 ปี อย่างที่รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามา คาดการณ์เอาไว้เช่นเดียวกัน

    นายพลระดับ 4 ดาว วัย 60 ปีรายนี้ซึ่งเคยผ่านการสู้รบในสงครามอ่าวเปอร์เซีย เมื่อปี ค.ศ. 1990 และสงครามบุกอิรักในปี 2003 มาแล้วระบุว่า สหรัฐอเมริกาและบรรดาชาติพันธมิตรอาจต้องใช้เวลายาวนาน 10-20 ปี กว่าจะกวาดล้างกลุ่มไอเอสได้สิ้นซาก และการกำจัดภัยคุกคามของกลุ่มอิสลามิสต์สุดโต่งกลุ่มนี้ ถือเป็นภารกิจระยะยาวที่ต้องอาศัย “ความต่อเนื่องในเชิงนโยบาย” ของบรรดาผู้ที่จะก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมืองลุงแซมอีกหลายคนนับจากนี้

    อย่างไรก็ดี แม่ทัพคนดังแห่งกองทัพบกสหรัฐฯ ซึ่งกำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนหน้านี้ออกโรงเตือนว่า ลำพังการใช้ปฏิบัติการทางทหารเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถกำจัดกลุ่มไอเอสได้ แต่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่สหรัฐฯ จะต้องใช้ทั้งเครื่องมือทางเศรษฐกิจและเครื่องมือทางการทูตควบคู่กันไป

    แหล่งข่าวด้านความมั่นคงภายในสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ประเมินว่าในขณะนี้กลุ่มไอเอสสามารถยึดครองพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่กว่า 10 ล้านคนทั้งในภาคตะวันออกของซีเรียและภาคตะวันตกของอิรัก รวมถึงพื้นที่ยึดครองอีกส่วนหนึ่งในลิเบีย

    ทั้งนี้ กลุ่มรัฐอิสลามหรือไอเอสนี้ในความเป็นจริงแล้วถือกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อปี 1999 ในชื่อกลุ่มติดอาวุธ “ญะมาอัต อัล-ตอว์ฮิด วัล-ญิฮัด” ก่อนจะประกาศตัวสวามิภักดิ์ต่อเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์เมื่อปี 2004

    อย่างไรก็ดี เหล่าแกนนำซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอิรัก ได้เห็นพ้องให้มีการเปลี่ยนชื่อของกลุ่มเป็นกลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรัก (Islamic State of Iraq : ISI) เมื่อเดือนตุลาคม 2006ก่อนจะมีการเปลี่ยนชื่อกลุ่มอีกหลายหน และตามมาด้วยการแยกตัวออกจากกลุ่มอัลกออิดะห์เพื่อเดินหน้าสร้างรัฐอิสลามสุดโต่งเป็นของตัวเอง

    ข้อมูลจากซีไอเอและแหล่งข่าวภายในกองกำลังชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ดระบุว่า ในปัจจุบันกลุ่มไอเอสมีนักรบในสังกัดระหว่าง 52,600–257,900 คน และมีแหล่งรายได้สำคัญมาจากการค้าน้ำมัน การค้าวัตถุโบราณ การขูดรีดภาษีจากประชาชนในพื้นที่ยึดครอง รวมถึงรายได้จากเงินบริจาคซึ่งเชื่อว่ามีต้นตอมาจากราชวงศ์ของกาตาร์ และซาอุดีอาระเบีย

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081723
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐฯ ยังพร้อมใช้ “มาตรการทางทหาร” หากอิหร่านผิดข้อตกลงนิวเคลียร์ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2558 11:14 น.

    [​IMG]

    @แอชตัน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

    เอเอฟพี – แอชตัน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุวานนี้ (19 ก.ค.)ว่า การบรรลุข้อตกลงควบคุมนิวเคลียร์ฉบับสมบูรณ์ไม่ได้หมายความว่าวอชิงตันจะหมดสิทธิ์ใช้ “มาตรการทางทหาร” เข้าสกัดกั้นในกรณีที่อิหร่านจะครอบครองอาวุธนิวเคลียร์

    “เหตุผลประการหนึ่งที่ข้อตกลงฉบับนี้เป็นข้อตกลงที่ใช้ได้ ก็เพราะไม่ได้มีเงื่อนไขห้ามใช้มาตรการทางทหาร” คาร์เตอร์ ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนระหว่างเดินทางไปยังอิสราเอล ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางแรกในภารกิจเยือนกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพื่อโน้มน้าวชาติพันธมิตรให้คลายกังวลต่อข้อตกลงนิวเคลียร์ที่มหาอำนาจ P5+1 ทำร่วมกับเตหะราน

    คาร์เตอร์ ซึ่งจะเดินทางเยือนอิสราเอล ซาอุดีอาระเบีย และจอร์แดน ย้ำว่า สหรัฐฯ ยังคงสงวนรักษาและปรับปรุงมาตรการทางทหารที่อาจจำเป็นต้องใช้ ในกรณีที่อิหร่านละเมิดข้อตกลง

    อิสราเอลนั้นไม่เชื่อถือในข้อตกลงที่อิหร่านทำร่วมกับสหรัฐฯ รัสเซีย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส บวกเยอรมนี ซึ่งกำหนดให้เตหะรานต้องลดทอนกิจกรรมนิวเคลียร์เพื่อแลกกับการที่ตะวันตกจะผ่อนคลายบทลงโทษทางเศรษฐกิจให้

    คาร์เตอร์ จะพบปะกับรัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล โมเช ยาลอน ในวันนี้(20) ก่อนจะเข้าพบนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ในวันอังคาร(21) หลังจากนั้นจะเดินทางต่อไปยังซาอุดีอาระเบียเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่พันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ อีกชาติหนึ่งที่ยังไม่ศรัทธาในข้อตกลงนิวเคลียร์

    เนทันยาฮู กล่าวปรามาสข้อตกลงนิวเคลียร์ว่าเป็น “ความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์” และเตือนว่ากองทัพยิวพร้อมที่จะตอบโต้ทันทีหากเห็นว่ากิจกรรมนิวเคลียร์อิหร่านเป็นภัยคุกคาม

    คาร์เตอร์ ย้ำว่าอเมริกาจะยังคงมีบทบาทเข้มข้นในภูมิภาคตะวันออกกลางเพื่อสกัดกั้นความก้าวร้าวและพฤติกรรมมุ่งร้ายของอิหร่าน ตลอดจนปราบปรามพวกนักรบหัวรุนแรง เช่น กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)

    รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ยังเอ่ยถึง “กิจกรรมต่างๆ ที่เราทำร่วมกับอิสราเอล” ซึ่งรวมถึง การปกป้องแสนยานุภาพที่เหนือกว่า (qualitative military edge) ระบบป้องกันขีปนาวุธ และการต่อต้านลัทธิก่อการร้าย

    ในส่วนของความร่วมมือกับซาอุดีอาระเบีย และอีก 5 ชาติสมาชิกในกลุ่มสภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ (จีซีซี) คาร์เตอร์ ชี้ว่า สหรัฐฯ จะยกระดับความร่วมมือในด้าน “การต่อต้านก่อการร้าย การจัดตั้งกองกำลังปฏิบัติการพิเศษ และการปกป้องความมั่นคงทางทะเล รวมถึงระบบป้องกันขีปนาวุธและการโจมตีทางไซเบอร์

    ทั้งนี้ คาดว่า คาร์เตอร์ จะได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานแห่งซาอุดีอาระเบีย รวมถึงเจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน พระราชโอรสซึ่งทรงเป็นรัชทายาทลำดับที่ 2 และทรงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม

    คาร์เตอร์ จะเดินทางไปเยี่ยมฐานทัพแห่งหนึ่งในจอร์แดน เพื่อพบปะกับทหารในหน่วยเดียวกับนักบินจอร์แดนที่ถูกกลุ่มไอเอสจับเป็นเชลยและเผาทั้งเป็น


    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081788
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปูตินสั่งตั้งกองกำลังทหารรับจ้างกองหนุนชุดใหม่เผื่อใช้ฉุกเฉิน - วอชิงตันเล็งตัดหางบริษัทหมีขาว “ลดระยะเวลากู้ยืมจาก 1 เดือน เหลือ 7 วัน” เล็งบีบปูตินเลิกสู้ในยูเครน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2558 16:44 น. (แก้ไขล่าสุด 19 กรกฎาคม 2558 20:45 น.)

    [​IMG]

    รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ออกคำสั่งบริหารให้มีการจัดตั้งกองกำลังทหารกองหนุนพิเศษชุดใหม่ที่ทำหน้าที่คล้ายกับการทำหน้าที่ของทหารรับจ้าง โดยทำหน้าที่เป็นทหารกองหนุนแบบไม่ประจำการ แต่มีการจ่ายเงินเดือนอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับการฝึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นกองกำลังสนับสนุนในยามรัสเซียต้องการกำลังเสริม ด้านสหรัฐฯเตรียมพร้อมพิจารณาแนวทางลงโทษรัสเซียมากขึ้น หากยังไม่ทำตามข้อตกลงสงบศึกมินสค์ และมีแผนการที่จะระงับการเข้าถึงช่องทางความช่วยเหลือทางการเงินจากโลกตะวันตก โดยจะลดระยะเวลาการกู้เงินแก่บริษัทรัสเซียที่อยู่ในสหรัฐฯจาก 30 วัน 7 วัน

    รอยเตอร์ และ ดิ อินดีเพนเดนต์ สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวานนี้ (18) ว่า ในช่วงเวลาที่รัสเซียยังต้องถูกคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ได้ออกคำสั่งจัดตั้งกองกำลังทหารกองหนุนหน่วยใหม่ ซึ่งต่างจากกองกำลังทหารกองหนุนเดิมของกองทัพรัสเซียที่เคยมีมาแต่อดีต ซึ่งคำสั่งนี้ได้ถูกสั่งการขึ้นไม่นานหลังจากที่ปูตินเข้ารับตำแหน่งผู้นำของประเทศอีกครั้งในปี 2012 โดยคำสั่งทางบริหารคำสั่งนี้ได้ถูกเผยแพร่ในค่ำวันศุกร์ (17) ที่ผ่านมา

    รอยเตอร์รายงานว่า ถึงแม้ว่าในขณะนี้รัสเซียจะมีทหารกองหนุนจำนวนหลายล้านนาย ซึ่งรวมไปถึงทหารที่ปลดประจำการ แต่ทหารเหล่านี้กลับไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเพียงพอ เนื่องจากกฎข้อบังคับอย่างเข้มงวดที่ระบุว่า ทางกองทัพจะสามารถออกคำสั่งเรียกคนเหล่านี้ที่เป็นประชาชนรัสเซียในยามสงบสามารถเข้ารับการฝึกทางทหารได้จำนวนครั้งมากเพียงใด

    และก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ได้เปิดเผยตัวเลขของจำนวนกองพันตั้งใหม่ที่คาดว่า จะมีทหารกองหนุนพิเศษเข้าประจำในเบื้องต้นราว 5,000 นาย ซึ่งเป็นจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับทหารประจำการแนวหน้าของรัสเซียที่มีถึง 750,000 นาย

    ทั้งนี้ สื่อรัสเซียรายงานว่า ความล่าช้าในการจัดตั้งกองกำลังใหม่นี้ เนื่องมาจากรัสเซียประสบปัญหาด้านการคลัง อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีรัสเซียได้ออกคำสั่งให้รัฐบาลของเขาควานหาเงินอุดหนุนกองพันใหม่จากงบประมาณทางทหารที่มีเหลือจากงบที่ได้อนุมัติไว้

    ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ความตรึงเครียดระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตกยังคงเป็นไปอย่างตึงเครียด ล่าสุด ดิ อินดีเพนเดนต์ ได้รายงานในวันเสาร์ (18) ว่า แหล่งข่าวสหรัฐฯได้เปิดเผยว่า ทางวอชิงตันมีแผนที่จะหาทางตัดช่องทางความช่วยเหลือด้านการเงินของบริษัทรัสเซียจากโลกตะวันตกหากรัสเซียยังไม่ปฏิบัติตามตามสัญญาหยุดยิงมินสค์

    ทั้งนี้ สื่ออังกฤษรายงานว่า สื่อไทม์สได้เปิดเผว่า แหล่งข่าวสหรัฐฯระดับสูงได้เสนอแผนการตัดช่องทางการได้รับเงินกู้จากตะวันตกหากรัสเซียยังไม่สามารถหยุดการสู้รบในยูเครนตะวันออกได้

    ซึ่งภายใต้สถานการณ์ที่รัสเซียถูกคว่ำบาตร บริษัทสัญชาติรัสเซียในสหรัฐฯสามารถมีเครเดิตเงินกู้ได้เพียงแค่ 30 วันเท่านั้น ต่างจากการกู้ยืมระดับนานาชาติที่จะให้ระยะเวลาเป็นเวลาหลายปี แต่ทว่าจากการเปิดเผยของไทม์ส พบว่า ภายใต้ข้อเสนอใหม่ที่จะมีขึ้นนั้น บริษัทรัสเซียจะสามารถมีระยะเวลาเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น ในการคืนเงินกู้ ซึ่งเป้าหมายแผนการณ์ครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อบั่นทอนความสามารถในการทำธุรกิจของบริษัทสัญชาติรัสเซียทั้งหลายในสหรัฐฯ

    จากการรายงานของบลูมเบิร์กในวันนี้ (19) พบว่า หนึ่งในบริษัทรัสเซียที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯคือ Gazprom Marketing & Trading USA, Inc.บริษัทลูกของบริษัทพลังงานที่มีรัฐบาลรัสเซียเป็นเจ้าของ กาซปรอม รัสเซีย โดยบริษัทพลังงานที่ให้บริการกาซธรรมชาติและมีฐานอยู่ในรัฐเทกซัส ก่อตั้งขึ้นในปี 2006

    อย่างไรก็ตาม บริษัทพลังงานแห่งนี้ตกอยู่ในข่ายถูกอียูและสหรัฐฯคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากบริษัทพลังงานรัสเซียที่ตกเป็นเป้าหมายแล้ว ยังรวมไปถึงธนาคารรัฐ และบริษัทค้าอาวุธ เป็นต้น

    และจากการรายงานล่าสุดในการจัดลำดับของ the Bloomberg Billionaires Index พบว่า เศรษฐีรัสเซียที่มั่งคั่งมากที่สุด 21 อันดับแรกต่างสูญเงินรวมกันถึง 61 พันล้านดอลลาร์เพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น ในปี 2014 เนื่องมาจากการคว่ำบาตร



    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081597
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฝนทำภาคเหนือฟิลิปปินส์ท่วมหนัก ชาวบ้านตาย 4 หนีน้ำอีกหลายพัน
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2558 17:05 น. (แก้ไขล่าสุด 19 กรกฎาคม 2558 20:49 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี - รัฐบาลฟิลิปปินส์ระบุในวันอาทิตย์ (19 ก.ค.) ว่า มีผู้เสียชีวิต 4 ราย กับอีกหลายพันคนที่ต้องทิ้งบ้านเรือนเพื่อหนีน้ำท่วมในหลายพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศ

    เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันพลเรือน ระบุว่า ฝนที่ตกหนักจากอิทธิพลของมรสุม ได้เกิดขึ้นในบรรดาจังหวัดที่ทำการเกษตรมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว ทำให้มีน้ำท่วม ถนนไม่สามารถสัญจรได้ ประชาชนราว 3,000 คนต้องอพยพหนีน้ำ

    มีอย่างน้อย 4 รายที่เสียชีวิตจากผลที่ตามมาของฝนตก ในจำนวนนั้นมีเด็กทารกวัย 6 เดือน ที่ถูกดินถล่มฝังร่างในจังหวัดปังกาซินัน ทางตอนเหนือของประเทศ

    สวัสดิการสังคมและหน่วยงานบรรเทาทุกข์ ได้ถูกจัดส่งไปช่วยเหลือบริเวณพื้นที่ ซึ่งได้รับผลกระทบ ขณะที่กรมโยธาธิการกำลังเตรียมเข้าไปซ่อมแซมโครงสร้างที่ได้รับความเสียหาย

    แม้จะไม่มีการพยากรณ์ถึงพายุที่จะเข้ามากระทบ แต่หน่วยงานอุตุนิยมวิทยาก็ได้เตือนว่า ฝนที่ตกหนักจากอิทธิพลของมรสุมอาจทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่ม บริเวณทางเหนือของฟิลิปปินส์ในวันอาทิตย์

    ประเทศที่ประสบกับภัยพิบัติอยู่บ่อยครั้งอย่างฟิลิปปินส์ ต้องเจอกับไต้ฝุ่นราว 20 ลูก ในแต่ละปี ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีความรุนแรงมาก

    เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ พายุโซนร้อนลินฟาได้ทำให้มีน้ำท่วมหลายเมืองทางตอนเหนือ อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บล้มตายในตอนนั้น

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Pics : แขวนคอผิวดำ KKK อเมริกา แบกธงคอนเฟเดเรต-ธงสวัสดิกะนาซีเยอรมัน ปะทะกลุ่มป้องชีวิตคนผิวสี “แบล็กแพนเตอร์” หน้าสภาท้องถิ่นรัฐเซาท์แคโรไลนา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2558 13:52 น. (แก้ไขล่าสุด 19 กรกฎาคม 2558 20:39 น.)

    [​IMG]

    เอเจนซีส์ – สมาชิกกลุ่มเหยียดผิว KKK อเมริกาที่ที่ในอดีตมีฮูดสีขาวคลุมหน้าจำนวน 50 คน ต่างถือธงสมาพันธ์อเมริกา หรือธงคอนเฟเดอเรตสีแดงน้ำเงินที่มีดาวประดับเดินขบวนบริเวณด้านหน้าที่ว่าการรัฐสภารัฐเซาท์แคโรไลนาในวันเสาร์ (18) และเกิดปะทะกับกลุ่มปกป้องสิทธิแอฟริกันอเมริกัน “แบล็กแพนเตอร์” ที่เดินขบวนเกือบจะเสร็จสิ้นในบริเวณใกล้เคียงกันในช่วงเวลาเดียวกัน

    NBC News สื่อสหรัฐฯ รายงานเมื่อวานนี้ (18) ว่า ในบรรดาคลื่นธงสมาพันธ์อเมริกา หรือธงคอนเฟเดอเรตที่กลุ่มเคลื่อนไหวเหยียดผิว KKK อเมริกาต่างถือในการเดินขบวนนั้น พบว่า มีสัญลักษณ์ธงสวัสดิกะของนาซีเยอรมันที่เป็นสัญลักษณ์ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองอย่างน้อยปรากฏอยู่ด้วย พร้อมกับคำขวัญที่ตะโกนเพื่อแสดงการเหยียดผิวอย่างรุนแรง ในการต่อต้านการเคลื่อนไหวกลุ่มปกป้องสิทธิมนุษยชนของแอฟริกันอเมริกัน “แบล็กแพนเตอร์” ที่ได้ออกเดินขบวนก่อนหน้านั้น

    ทั้งนี้ ทางกลุ่มแบล็กแพนเตอร์ที่อยู่ในสถานที่เดียวกันถูกกั้นให้ห่างจากกลุ่ม KKK ด้วยที่แบริเออร์ และจุดที่ทางกลุ่มยืนอยู่นั้นห่างจากบริเวณขั้นบันไดทางชึ้นสภาผู้แทนราษฎรรัฐเซาท์แคโรไลนา

    และภายในไม่ถึงชั่วโมง กลุ่มผู้ประท้วงทั้งฝ่ายต้านและฝ่ายหนุนธงคอนเฟเดอเรตต่างถูกตำรวจรักษาความสงบจำนวนมาก ที่อยู่ในชุดปราบจลาจลผลักดันให้ออกห่างจากตัวที่ตั้งเชตศูนย์อำนาจรัฐเซาท์แคโรไลนา แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม ในจุดหนึ่งเกิดการปะทะขึ้น และผู้แย่งธงคอนเฟเดเรตมาได้ ทำลายธงสัญลักษณ์แห่งการพ่ายแพ้ของรัฐทางใต้เป็นชิ้น ๆ

    ด้านตำรวจรัฐเซาท์แคโรไลนาออกแถลงการณ์ประเมินตัวเลขจำนวนผู้ที่อยู่ที่หน้ารัฐสภารัฐเซาท์แคโรไลนา ว่า มีประมาณ 2,000 คน ในช่วงเวลาสูงสุดของการชุมนุมทั้งสองกลุ่ม และยังแถลงเพิ่มเติมว่า มีผู้ถูกจับกุมจำนวน 5 คน หลังจากกลุ่ม KKK ปรากฏตัวพร้อมกับแสดงการฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานโดยการทะเลาะวิวาท และก่อความไม่สงบ และมีรายงานว่า ได้มีการระดมจำนวนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว

    นอกจากนี้ NBC News รายงานต่อว่า ไม่มีรายงานการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ของฝั่งตำรวจ แต่ทว่ามีการแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายในช่วงเวลาดังกล่าวถึง 23 ครั้ง และมีคนจำนวน 7 คน ถูกหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินนำตัวส่งโรงพยาบาลในบริเวณใกล้เคียง และมีรายงานว่าในช่วงเวลานั้นในเมืองโคลัมเบียอันเป็นเมืองหลวงของรัฐเซาท์แคโรไลนามีอุณหภูมิสูงถึง 90 องศาฟาเรนไฮต์

    และก่อนการปะทะ กลุ่มแบล็กแพนเตอร์ ซึ่งได้เริ่มเปิดฉากการประท้วงรวมตัวราว 200 คน ที่รวมไปถึงกลุ่มนักกฎหมายผิวสีเพื่อความยุติธรรม และกลุ่มครูผิวสีเพื่อความยุติธรรมต่างผลัดออกมากล่าวโจมตีบนโพเดียมด้วยถ้อยคำอันดุดัน พร้อมกับตะโกนว่า “แบล็กพาวเวอร์”

    ทั้งนี้ ก่อนที่จะมีการจัดชุมนุม ผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนา นิกกี เฮลี ได้ออกแถลงการณ์ในวันศุกร์ (17) เตือนไม่ให้ประชาชนออกนอกเคหาในช่วงการชุมนุมของทั้งสองกลุ่มนี้ ในขณะที่นายกเทศมนตรีเมืองโคลัมเบียได้รณรงผ่านทวิตเตอร์ #อย่าสนใจทั้งสองกลุ่มนี้ เพื่อปรามไม่ให้การชุมนุมขยายเป็นวงกว้าง

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081541
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กลุ่มต่อต้านอิสลามปะทะฝ่ายตรงข้ามในออสเตรเลีย ตำรวจระดมกำลังเข้าคุมสถานการณ์ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2558 15:24 น. (แก้ไขล่าสุด 19 กรกฎาคม 2558 20:42 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี - มีการเดินขบวนประท้วงของผู้คนสองกลุ่มที่ไม่ลงรอยกันทั่วออสเตรเลียในช่วงสุดสัปดาห์ ระหว่างกลุ่มต่อต้านอิสลามและกลุ่มต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ โดยมีการปะทะกันที่เมลเบิร์น ตำรวจในหลายเมืองต้องกันทั้งสองฝ่ายออกจากกัน

    ผู้ประท้วงต่อต้านอิสลามประมาณ 100 คนจากกลุ่ม “รีเคลม ออสเตรเลีย” และ “ยูไนเต็ด แพทริออต ฟรอนต์” ได้พากันโบกธงชาติและร้องตะโกนขณะเดินขบวนที่ซิดนีย์ในวันอาทิตย์ พร้อมป้ายที่เขียนว่า “ไม่เอาชารีอะห์” กับ “ผู้อพยพคือช้างใหญ่ในห้องเล็ก”

    พวกเขาได้เจอกับคนของกลุ่มที่เป็นฝ่ายตรงข้าม ที่มีประมาณ 250 คน ซึ่งเดินขบวนประท้วงพร้อมป้าย “ไม่เหยียดเชื้อชาติ” และ “ไม่รังเกียจอิสลาม”

    บรรดาตำรวจ ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่หน่วยปราบจลาจลและหน่วยตำรวจม้า ได้ถูกระดมมายังบริเวณมาร์ตินเพลส อันเป็นใจกลางย่านธุรกิจของซิดนีย์ เพื่อคอยกันทั้งสองฝ่ายออกจากกัน

    โฆษกตำรวจรัฐนิวเซาต์เวลส์ บอกเอเอฟพีว่า มีผู้ถูกจับกุม 5 รายในการเดินขบวนประท้วงที่ซิดนีย์ โดยมี 2 รายที่คาดว่าจะถูกตั้งข้อหา

    มีการตะลุมบอนกันช่วงสั้น ๆ ระหว่างทั้งสองฝ่ายในวันเสาร์ที่เมลเบิร์น แต่ไม่มีสัญญาณความรุนแรง โดยทางตำรวจได้ใช้สเปรย์พริกไทยในการหยุดยั้งบรรดาผู้ประท้วง

    “ในขณะที่มีคนกลุ่มน้อยเลือกที่จะทำในสิ่งผิด คนส่วนใหญ่ยังคงให้ความร่วมมือกับทางตำรวจ ซึ่งยอมให้มีการชุมนุมประท้วงโดยสันติ” ตำรวจระบุในคำแถลง

    ทางกลุ่ม “รีเคลม ออสเตรเลีย” ระบุว่า พวกเขาไม่ได้เหยียดเชื้อชาติ แต่การเดินขบวนนี้คือการตอบสนองของสาธารณชนที่มีต่อการกระทำอันโหดร้ายและน่าตกใจของพวกมุสลิมหัวรุนแรง ทั้งในและนอกประเทศออสเตรเลีย

    พอลลีน แฮนสัน อดีตนักการเมืองออสเตรเลีย ได้กล่าวต่อผู้เดินขบวนในร็อคแฮมตัน ตอนกลางของรัฐควีนส์แลนด์ ว่าเธอนั้นต่อต้านการขยายตัวของศาสนาอิสลาม

    “เรามีศาสนาอื่น ๆ ที่ไม่เคยสร้างปัญหาในออสเตรเลีย ฉันไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ชาวมุสลิม แต่ฉันพุ่งเป้าไปที่หลักความเชื่อของศาสนาอิสลาม”

    นอกจากนี้ การเดินขบวนยังมีขึ้นที่กรุงแคนเบอร์รา เมืองหลวงของประเทศ รวมถึงเมืองทางตะวันตกอย่างเพิร์ธ กับเมืองโฮบาร์ตของรัฐแทสเมเนีย

    การเดินขบวนประท้วงของกลุ่ม “รีเคลม ออสเตรเลีย” เคยเกิดขึ้นในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยการเข้าร่วมของผู้คนหลายร้อยรายที่บอกว่าพวกเขาต่อต้านมุสลิมหัวรุนแรง

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081572
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เสียงสนับสนุนรัฐบาลอาเบะลดฮวบ หลังดึงดันผ่านกฎหมายด้านกลาโหม โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2558 20:08 น. (แก้ไขล่าสุด 19 กรกฎาคม 2558 20:48 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี - มีการเปิดเผยผลสำรวจครั้งใหม่ ปรากฏว่า กระแสสนับสนุนของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ได้ตกต่ำลงมามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา หลังจากที่มีการผลักดันกฎหมายด้านกลาโหมให้ผ่านสภาผู้แทนฯ แม้ว่าสาธารณชนจะไม่พอใจก็ตาม

    จากผลสำรวจที่ถูกตีพิมพ์ในวันอาทิตย์ (19 ก.ค.) โดยหนังสือพิมพ์ ไมนิชิ ปรากฏว่า สาธารณชนที่สนับสนุนและเห็นพ้องกับรัฐบาลลดลงมาอยู่ที่ 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่อาเบะก้าวขึ้นครองอำนาจในช่วงปลายปี 2012 โดยลดลงมา 7 จุด จากเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ขณะเดียวกัน ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลได้เพิ่มขึ้น 8 จุด ไปอยู่ที่ 51 เปอร์เซ็นต์

    เมื่อวันพฤหัสบดี สภาล่างของญี่ปุ่นได้ผ่านกฎหมายความมั่นคง ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ อันจะทำให้เกิดการขยายบทบาทของกองกำลังป้องกันตนเอง ทำให้ทหารญี่ปุ่นออกไปสู้รบในต่างแดนได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2

    หนึ่งวันก่อนการลงคะแนนเสียงของสภาล่าง มีผู้คนประมาณ 60,000 คน ออกมาเดินขบวนบริเวณด้านนอกรัฐสภา แล้วมีการตะลุมบอนกับตำรวจ ทำให้ชาย 2 คน ที่มีอายุประมาณ 60 กว่า ๆ ถูกจับกุมเพราะต้องสงสัยว่าทำร้ายเจ้าหน้าที่

    “เสียงวิจารณ์จากสาธารณชนนั้นดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อกฎหมายด้านกลาโหมฉบับใหม่นี้ วิธีที่ฝ่ายบริหารและพรรครัฐบาลใช้ในการรับมือกับประเด็นนี้ ได้ฉุดให้คะแนนนิยมตกต่ำลง” หนังสือพิมพ์ ไมนิชิ ระบุ

    ก่อนหน้านี้ 1 วัน ทางสำนักข่าวเกียวโดนิวส์ ก็เผยผลสำรวจของตนเอง ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลอาเบะมีคะแนนสนับสนุนตกต่ำลง จากเดิม 47.4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเดือนที่แล้ว เหลือแค่ 37.7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนฝั่งที่ไม่สนับสนุนนั้นได้เพิ่มขึ้นเป็น 51.6 เปอร์เซ็นต์ จากเดิม 43 เปอร์เซ็นต์ในเดือนที่แล้ว

    ทั้งสองโพลได้ทำการสำรวจประชาชนราว 1,000 คน ผ่านทางโทรศัพท์เมื่อวันศุกร์และวันเสาร์ที่ผ่านมา


    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081660
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เขื่อนอุบลรัตน์ลดปริมาณระบายน้ำ-เตือนใช้น้ำประหยัดแม้ฝนตกต่อเนื่อง
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2558 11:27 น. (แก้ไขล่าสุด 20 กรกฎาคม 2558 12:23 น.)

    [​IMG]

    ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ฝนที่ตกลงมาต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาส่งผลทำให้มีน้ำไหลเข้าเขื่อนอุบลรัตน์เพิ่ม ขณะที่ทางเขื่อนได้ลดการระบายเหลือวันละ 1.5 ลูกบาศก์เมตรเพื่อกักสำรอง พร้อมเตือนแม้ฝนตกต่อเนื่องก็ต้องช่วยกันใช้น้ำอย่างประหยัด

    รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากที่มีร่องมรสุมพัดผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมีการทำฝนหลวง ทำให้มีฝนตกลงมาต่อเนื่องในตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะพื้นที่ จ.เลย จ.หนองบัวลำภู และ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์ก็มีฝนตกติดต่อกันหลายวันเช่นกัน ส่งผลให้มีน้ำไหลเข้าเขื่อนอุบลรัตน์ต่อเนื่อง โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีน้ำไหลเข้าเขื่อนแล้วกว่า 10 ล้านลูกบาศก์เมตร

    นายวนิช แสงสุวรรณ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าพลังน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนอุบลรัตน์มีปริมาณ 661 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 27 ของความจุอ่าง โดยมีน้ำใช้งาน 79 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 4 โดยทางเขื่อนฯ ได้ลดการระบายน้ำจากเดิมวันละ 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร เหลือวันละ 1.5 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อกักเก็บน้ำสำรองไว้ในเขื่อน

    ทั้งนี้ เขื่อนอุบลรัตน์ยังสามารถรับน้ำได้อีก 1,770 ล้านลูกบาศก์เมตร และมั่นใจว่าผลจากฝนที่ตกลงมาต่อเนื่องจะทำให้มีน้ำไหลเข้าเขื่อนเพิ่มมากขึ้นไปอีก แต่อย่างไรก็ตามแม้ฝนจะตกลงมาติดต่อกันหลายวันก็ขอให้ประชาชนได้ใช้น้ำอย่างประหยัดด้วย

    http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081772
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จากตลกคณิตศาสตร์ถึงจำนำข้าวและถ่านหินราคาถูก/ประสาท มีแต้ม โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2558 11:18 น. (แก้ไขล่าสุด 20 กรกฎาคม 2558 11:41 น.)

    คอลัมน์ : โลกที่ซับซ้อน
    โดย...ประสาท มีแต้ม

    ในวงสนทนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงสังสรรค์เพื่อนฝูงมักจะมีการเล่าเรื่องตลกเพื่อเรียกเสียงหัวเราะ แต่เรื่องตลกบางเรื่องก็อาจจะไม่ขำสำหรับคนต่างอาชีพกัน เพราะไม่มีความเข้าใจในลักษณะพิเศษ หรือความเชื่อ ความคิดของเพื่อนต่างอาชีพ เรื่องตลก หรือ Joke จึงถูกจำแนกออกเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มมักจะเข้าใจกันเอง เช่น ในกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ และนักคณิตศาสตร์ เป็นต้น ผมเองเคยเล่าเรื่องตลกบางเรื่อง ปรากฏว่าผู้ฟังซึ่งอยู่คนละวงการไม่ขำเลย ในขณะที่ผมเองขำเสียจนเล่าได้ลำบาก

    ในฐานะที่เป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ ผมเห็นว่า ตลกคณิตศาสตร์ (Mathematical Joke) มีประโยชน์มาก เพราะมันสะท้อนถึงลักษณะสำคัญลึกๆ ของวิชาที่คนไม่มีวันลืม

    เรื่องตลกคณิตศาสตร์ที่ผมจะนำมาเล่านี้ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายให้แก่คนไทยคิดเป็นมูลค่า 6-7 แสนล้านบาท และเกี่ยวข้องกับเรื่องถ่านหินราคาถูกที่ท่านนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พูดถึงในกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินจังหวัดกระบี่ ที่กำลังเป็นประเด็นของสังคมไทยอยู่ในขณะนี้

    เริ่มเลยนะครับ

    กาลครั้งหนึ่ง นักวิชาการซึ่งถูกกล่าวหาว่า อยู่แต่บนหอคอยงาช้าง จึงได้รวมตัวกัน 3 คนเพื่อออกไปหาชาวบ้าน ในกลุ่มนี้ประกอบด้วย วิศวกร นักฟิสิกส์ และนักคณิตศาสตร์

    ชาวนาคนหนึ่งได้ขอคำปรึกษาต่อนักวิชาการกลุ่มนี้ว่า “ผมต้องการจะทำคอกวัว มีวัสดุที่จะใช้ทำคอกวัวยาว 100 เมตร ผมควรจะทำคอกวัวเป็นรูปทรงอะไรดีจึงจะสามารถขังวัวได้จำนวนมากที่สุด”

    วิศวกรใช้เวลาครุ่นคิดอยู่เพียงแป๊บเดียวก็ได้คำตอบว่า “ต้องทำเป็นรูปวงกลมสิ จึงจะได้พื้นที่มากที่สุด” (หมายเหตุ ถ้าทำเป็นรูปวงกลมจะได้พื้นที่ 796 ตารางเมตรซึ่งมากที่สุด ในขณะที่ถ้าทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส จะได้พื้นที่ 625 ตารางเมตรเท่านั้น ความรู้ส่วนนี้อยู่ในหัวข้อว่าด้วยการหาค่าสูงสุด และต่ำสุดซึ่งใช้สอนกันในระดับชั้นปีที่หนึ่งของมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ พื้นที่ภาคตัดขวางของลำต้นของพืชจึงเป็นรูปวงกลม ไม่เป็นรูปเหลี่ยมเลย-เท่าที่เคยเห็น)

    นักฟิสิกส์กล่าวเสริมว่า “ถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็จงต้อนฝูงวัวให้ยืนกันแบบชิดๆ แน่นๆ ด้วย ก็จะสามารถขังวัวได้มากขึ้น”

    นักคณิตศาสตร์ ก็กล่าวตบท้ายในเชิงขี้โม้ว่า “ผมมีวิธีการที่ดีกว่า ขังวัวได้มากกว่า และมากที่สุดด้วย คือ โดยการเปลี่ยนนิยามใหม่”

    “ทำอย่างไรนะครับ” ชาวนาถามด้วยความกระหายใคร่รู้

    นักคณิตศาสตร์ผู้ถูกฝึกฝนมาว่าให้เริ่มต้นด้วยบทนิยาม แล้วตามด้วยทฤษฎีบท แล้วบทพิสูจน์ในที่สุดเขาขยายความว่า “เราก็เขียนนิยามใหม่โดยเรียกพื้นที่ที่อยู่ในคอกว่านอกวงกลม หรือนอกคอก และส่วนที่อยู่ข้างนอกคอกว่า ในวงกลมหรือในคอก เพียงเท่านี้คอกวัวของคุณก็จะสามารถขังวัวได้จำนวนมากมายมหาศาล”

    ถ้ายังไม่ขำ กรุณาอ่านอีกครั้งครับ

    คราวนี้มาถึงเรื่องของโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในราคาเกวียนละ 15,000 บาท ในขณะที่ราคาตลาดในขณะนั้นไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาทต่อเกวียน สาเหตุสำคัญที่โครงการรับจำนำข้าวนำไปสู่ความสูญเสียเงินรายได้ของรัฐจำนวนมหาศาลก็เนื่องมาจากการเปลี่ยนความหมาย หรือนิยามของคำว่า “จำนำ” เสียใหม่ ในลักษณะเดียวกับที่นักคณิตศาสตร์ทำกับเรื่องคอกวัวของชาวนานั่นแหละครับ

    พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายคำว่า “จำนำ” พร้อมยกตัวอย่างว่า “ทำสัญญาส่งมอบสังหาริมทรัพย์ให้แก่เจ้าหนี้เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้”

    พระราชบัญญัติโรงรับจำนำ 2505 ได้ให้ความหมายเพิ่มเติมว่า “โดยมีข้อตกลงหรือเข้าใจกันโดยตรงหรือโดยปริยายว่าจะได้ไถ่คืนในภายหลังด้วย” นอกจากนี้ พระราชบัญญัติดังกล่าวยังได้กำหนดให้เจ้าของโรงรับจำนำสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยได้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 2 ต่อเดือน

    แต่โครงการ “จำนำ” ข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้ยกเลิกนิยามเดิมทิ้งไป แล้วสร้างนิยามใหม่ขึ้นมาแทน คือ (1) ไม่ต้องไถ่คืนในภายหลัง เพราะมูลค่าสังหาริมทรัพย์ หรือมูลค่าข้าวที่นำไปเป็นหลักประกันนั้นมีค่าน้อยกว่าจำนวนเงินที่ชาวนาได้รับไปแล้ว และ (2) และไม่มีการคิดดอกเบี้ย

    แล้วจะมีชาวนาเจ้าของข้าวสติไม่ดีที่ไหนจะมาไถ่เอาข้าวคืนไป ดังนั้น ความหมายดั้งเดิมที่กำหนดในกฎหมายของคำว่า “จำนำ” จึงได้ถูกฉีกทิ้งไปเฉยเลย แล้วสร้างนิยามขึ้นมาใหม่

    ข่าวล่าสุดที่ผมได้ยินจากโทรทัศน์ว่า ทางรัฐบาลชุดนี้กำลังจะเอาข้าวที่รับจำนำไว้ไปเผาทำเป็นเชื้อเพลิง เพราะนอกจากจะเป็นข้าวเสียใช้บริโภคไม่ได้แล้วยัง ต้องจ่ายค่าเช่าโกดังเก็บอีกเดือนละประมาณสองพันล้าน (ถ้าผมจำไม่ผิด)

    ตลกคณิตศาสตร์ในเรื่องนี้ช่างเหมือนกับเรื่องโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เปี๊ยบเลย ต่างกันเพียงแต่ว่าเรื่องหลังเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าเท่านั้นเอง

    คราวนี้มาถึงเรื่อง ถ่านหินราคาถูกในการนำมาผลิตไฟฟ้าที่ท่านนายกฯ ประยุทธ์ พูดในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ก็เป็นเรื่องของการสร้างนิยามที่ไม่สอดคล้องต่อหลักความจริงของระบบธรรมชาติ โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ก่อความสูญเสียต่องบประมาณแผ่นดินของรัฐบาลในระดับ 6-7 แสนล้านบาท ซึ่งเราคิดว่ามากมายมหาศาลแล้ว แต่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดกระบี่จะสูญเสียมากกว่านั้นอีก ไม่เชื่อตามผมมาครับ ผมมีหลักฐานอ้างอิงครบถ้วน ไม่กล่าวอะไรลอยๆ

    สาระสำคัญของเรื่องอยู่ตรงนี้ ในเชิงเศรษฐศาสตร์ ต้นทุนของโรงไฟฟ้าถ่านหินประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ต้นทุนภายใน (Internal Cost) คือ ต้นทุนที่บริษัทผลิตไฟฟ้าจะต้องจ่าย ซึ่งประกอบไปด้วย ค่าเชื้อเพลิง คือ ถ่านหิน ค่าดำเนินการรวมทั้งค่าสายส่งไฟฟ้า กับต้นทุนภายนอก (External Cost) ซึ่งหมายถึงต้นทุนผลกระทบเชิงลบต่อบุคคลภายนอก ตั้งแต่การทำเหมืองถ่านหิน การดำเนินการผลิตไฟฟ้า น้ำเสีย มลพิษทางอากาศ สารพิษจากขี้เถ้าถ่านหิน รวมถึงความเสียหายในระยะยาวต่อระบบนิเวศ และการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศที่เป็นต้นเหตุสำคัญของภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วม พายุ แผ่นดินไหว ปะการังฟอกขาวจนตายเกือบหมด ตลอดจนการระบาดของเชื้อโรคบางชนิด

    แต่ที่ท่านนายกฯ ประยุทธ์ บอกว่า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินมีราคาถูกที่สุดนั้น ก็เป็นเพราะว่า ท่านคิดเฉพาะต้นทุนภายในซึ่งเป็นต้นทุนของบริษัทเท่านั้น แต่ท่านไม่คิดถึงต้นทุนภายนอกซึ่งชุมชนใกล้โรงไฟฟ้า และสังคมโดยรวมเป็นผู้จ่าย

    ท่านนำนิยามของต้นทุนมาใช้ไม่ครบถ้วนซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากเรื่องตลกคณิตศาสตร์ที่ผมได้เล่ามาแล้ว แต่นั่นมันเป็นเรื่องเล็กๆ แต่คราวนี้มันมีมูลค่ามหาศาล และผลกระทบระยะยาวนานนับ 30-40 ปีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

    เรามาดูกันสิว่า ผลกระทบ หรือต้นทุนภายนอกที่สังคมต้องแบกรับนั้นมีค่าเท่าใดกันแน่ จากรายงานการวิจัยโดย Epstein และคณะ (2011) ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Annals of the New York Academy of Sciences ซึ่งเป็นวารสารทางวิชาการทางวิทยาศาสตร์ที่เก่าแก่ (ก่อตั้งปี 1823) พบว่า ต้นทุนภายนอกของโรงไฟฟ้าถ่านหินอยู่ระหว่าง 9-27 เซ็นต์ต่อหน่วยไฟฟ้า (kwh) โดยมีค่าเฉลี่ยมัธยฐานที่ 18 เซ็นต์ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 6.16 บาทต่อหน่วยไฟฟ้า

    ถ้าโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ขนาด 800 เมกะวัตต์ (ซึ่งมีมูลค่าการก่อสร้างที่จะประมูลในราคากลางประมาณ 5 หมื่นล้านบาท) จะมีต้นทุนภายนอกปีละ 28,000 ล้านบาท (ถ้าอยากรู้ทั้งโครงการก็คูณด้วยอายุการใช้งาน) รายละเอียดของต้นทุนภายนอกอยู่ในแผ่นสไลด์พร้อมกับแหล่งอ้างอิงครับ ซึ่งผู้วิจัยอ้างว่าเป็นการประเมินที่ค่อนข้างต่ำ

    [​IMG]

    @ เรื่องราวที่ได้กล่าวมาแล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าการหลอกลวงกันทางปัญญา คือ การเปลี่ยนนิยามหรือความหมายเพื่อให้คนหลงเชื่อตามว่า ถ่านหินราคาถูก แต่ในความเป็นจริงแล้วหาได้ถูกจริงไม่ แต่กลับแพงกว่าการผลิตจากเชื้อเพลิงชนิดอื่น วัตถุประสงค์ของการหลอกลวงก็เพื่อต้องการจะขายถ่านหินที่พ่อค้ามีสำรองไว้เป็นจำนวนมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์อนุญาตให้ใช้ได้ถึง 5 เท่าตัวเท่านั้นเอง

    ผมเคยเปรียบเทียบการหลอกลวงเรื่องถ่านหินซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน ยากที่คนที่ไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดจะรู้ทันต่อการนับจำนวนขาช้างจากภาพลวงตาข้างล่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ซับซ้อน แต่เราก็นับผิดกันเพราะเขาหลอกเรา


    เรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน จังหวัดกระบี่ กำลังได้รับการคัดค้านจากคนกระบี่ และคนใน 6 จังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน แต่กระทรวงพลังงาน และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ไม่สนใจ จนนำไปสู่การอดอาหารประท้วงนานกว่า 7 วันติดต่อกันแล้ว

    ข้อเรียกร้องของพวกเขาง่ายๆ คือ ไม่ได้คัดค้านโรงไฟฟ้า แต่คัดค้านเชื้อเพลิงถ่านหินเพราะ (1) จะทำลายการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้ที่มากที่สุดของประเทศ และ (2) ทำลายสุขภาพและวิถีชีวิต รวมทั้งอาชีพของพวกเขา

    พวกเขาซึ่งประกอบด้วยทุกภาคส่วน ทั้งอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และอื่นๆ เสนอให้ใช้ของเสียจากอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มซึ่งข้อมูลจากราชการเองก็ยืนยันว่ามีมากเหลือเฟือ แต่กระทรวงพลังงานก็ไม่รับฟัง กลับฉวยโอกาสใช้อำนาจพิเศษของคณะรักษาความสงบแห่งชาติผลักดัน

    ท่านนายกฯ ประยุทธ์ เองแม้จะเข้ามาด้วยเหตุผลเพราะการยับยั้งไม่ให้คนถูกฆ่ารายวัน ท่านอาจจะไม่มีเวลามากพอที่จะครุ่นคิดในเรื่องที่ซับซ้อน แต่ขณะนี้ท่านอาจจะยังไม่รู้ตัวเองว่ากำลังถูกพ่อค้าถ่านหินใช้เป็นเครื่องมือซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อประเทศ และต่อโลกไปอีกยาวนาน

    คำถามที่ชาวบ้านถามว่า ทำไมไม่ใช้ของเสียจากโรงหีบน้ำมันปาล์มซึ่งเป็นไบโอแก๊ส สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องทั้งกลางวัน และกลางคืนทุกฤดูกาล และมีจำนวนเยอะด้วย ไม่มีคำตอบจากภาครัฐครับ

    ท่านอาจจะคิดว่าไบโอแก๊สเป็นเรื่องจิ๊บๆ แต่ข้อมูลจากประเทศเยอรมนี ในปี 2557 เขาสามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 49,100 ล้านหน่วย หรือเกือบ 1 ใน 3 ของปริมาณไฟฟ้าที่คนไทยทั้งประเทศใช้

    นี่ยังไม่นับจากแสงแดดอีก 34,930 ล้านหน่วยถ้าไม่เชื่อก็ลองเข้าไปดูที่ Renewable Electricity Generation in Germany

    อีกเรื่องหนึ่งที่ทางหน่วยงานของรัฐอ้างว่า โรงไฟฟ้าในภาคใต้ไม่พอ นั่นเป็นการให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน เช่นไม่นับระบบสายส่งจากภาคกลางซึ่งเป็นการลงทุนตามแผนแล้ว ไม่นับความร่วมมือระหว่างไทยกับมาเลเซียที่น่าเกลียดกว่านั้น ในการชี้แจงต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ประมาณเดือนพฤษภาคมนี้) เขาไม่นับโรงไฟฟ้าจะนะ 2 ซึ่งเปิดใช้งานแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2557

    ท่านที่สนใจในรายละเอียดกรุณาดูในแผ่นภาพนะครับ ถ้าการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในภาคใต้เท่ากับ 2,683 เมกะวัตต์ ไฟฟ้าสำรองในภาคใต้จะอยู่ที่ 52%

    [​IMG]


    @ เมื่อปี 2545 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยกล่าวว่า “ขณะนี้เรามีโรงไฟฟ้าสำรองสูงเกินไปคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 4 แสนล้านบาท เพราะการคำนวณที่ผิดพลาด จึงเป็นภาระต่อประชาชน”

    สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า ในกรรมาธิการพลังงานมีการเสนอให้นำไฟฟ้าจากประเทศไทยไปขายให้ประเทศอินเดีย เพราะเรามีสำรองล้นเกินซึ่งจะเกินมากในอีกประมาณ 5 ปีข้างหน้า แต่ความคิดนี้ก็ตกไปเพราะต้องใช้เวลา และทุนในการเตรียมสายส่ง

    ทำไมเราจึงผิดแล้วผิดอีกโดยไม่มีการทบทวน หรือที่หลอกๆ กันว่า “ปฏิรูป” อะไรเลย?

    ผมค่อนข้างจะแปลกใจมากว่า ทำไมสังคมไทยจึงไม่เชื่อมโยงระหว่างปัญหาภัยแล้งรุนแรงที่เรากำลังเผชิญอยู่กับปัญหาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่สุดของปัญหาโลกร้อน และนำมาสู่ปัญหาภัยแล้ง

    เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา องค์พระสันตะปาปาฟรานซิส ได้ทรงเรียกร้องให้ชาวโลกแก้ปัญหาโลกร้อนด้วยการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งก็คือการลดการเผาพลังงานฟอสซิลนั่นเอง

    ในวันถัดมา องค์ทะไล ลามะ ก็ออกมาตอกย้ำด้วยกล่าวว่า “ผู้นำทางศาสนาทั้งหลายมีหน้าที่ในการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ”


    ผมขอปิดท้ายบทความนี้ด้วยการนำเสนอทางออกในการจัดการพลังงานของประเทศสหรัฐอเมริกา จากรายงานล่าสุดของ Energy Information Administration สรุปได้ดังนี้ ในช่วงเมษายน 2014 ถึงเมษายน 2015

    (1) การผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหินลดลง 20% และไม่มีแผนจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเลยอย่างน้อยจนถึงปี 2016

    (2) การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้น 60%

    นอกจากนี้ จากเอกสารของหน่วยงานการตรวจสอบของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา Government Accountability Office พบว่า ในช่วงประมาณ 15 ปีมานี้ การใช้ไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกาลดลง (ประเทศเยอรมนีก็เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ)

    ในปี 2001 สหรัฐอเมริกาใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าร้อยละ 51 แต่ในปี 2013 ได้ลดลงมาเหลือเพียง 40% เท่านั้น

    [​IMG]

    @ ขอแถมอีกนิดครับ สั้นๆ เมื่อคืนผมไปงานสังสรรค์ศิษย์เก่า เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นรองศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ทางเคมี ได้บอกผมว่า การเผาปิโตรเลียมจะทำให้น้ำท่วมโลก ไม่ใช่แค่เรื่องน้ำแข็งละลายเท่านั้น

    ผมถามด้วยความตื่นเต้นว่า “ยังไง? เขียนสมการให้ดูซิ” แม้ผมจะได้เกรดเอในวิชาเคมี แต่ผมก็ลืมไปเกือบหมดแล้วเพื่อนเขียนให้ผมดู แล้วบอกว่ายังไม่มีใครคิดเรื่องนี้ ชาวโลกใช้ปิโตรเลียมวันละกว่า 100 ล้านบาร์เรล สมการที่ว่าคือ “มีเทนบวกออกซิเจน (เพราะการเผาไหม้) จะได้คาร์บอนไดออกไซด์กับสองโมเลกุลของน้ำ”

    ผมได้แต่ร้องว่า “เออ เป็นไปได้โว้ย!”

    http://manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081784
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Pics : กบฏยูเครนตะวันออกถอนอาวุธเบาออกห่างจากแนวรบ 3 กม. อ้างทำตามข้อตกลงหยุดยิงมินสก์ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2558 12:34 น. (แก้ไขล่าสุด 20 กรกฎาคม 2558 12:42 น.)

    [​IMG]

    เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - กบฏยูเครนตะวันออกออกแถลงการณ์ล่าสุดในลูกันสค์ประกาศสั่งถอนอาวุธเบาประเภทปืนคาลิเบอร์ที่ต่ำกว่า 100 mm.ออกจากแนวรบในระยะ 3 กม. ยกเว้นบริเวณหมู่บ้าน Schastie เคียฟลังเลที่จะเชื่อ และยังไม่มีความคืบหน้าว่าจะปฏิบัติตาม

    RT สื่อรัสเซียรายงานเมื่อวานนี้ (20) อว่า กบฏยูเครนตะวันออกในลูกันสค์ออกแถลงการณ์ว่า “ผู้บัญชาการรบทุกนายได้รายงานการถอนอาวุธ ดังนั้นยุทโธปกรณ์ทางทหารไม่ว่าจะเป็นรถถังทุกประเภท APCs หรือ MT-LBs ที่ติดตั้งเครื่องต่อสู้อากาศยาน รวมไปถึงอาวุธปืนคาลิเบอร์ขนาดน้อยกว่า 100 mm. ได้ถูกสั่งถอนออกมาจากแนวหน้าหมดแล้ว”

    ก่อนหน้านี้ เซอร์เก คอซลอฟ (Sergey Kozlov) หัวหน้าคณะทำงานของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนลูกันสก์ ที่อยู่ใต้การปกครองของกลุ่มกบฎยูเครนตะวันออก แถลงว่า “เรากำลังแสดงถึงการทำตามข้อตกลงสัญญาหยุดยิงมินสก์ และเราได้แสดงจุดยืนในการทำตามอย่างเปิดเผยและกระทำฝ่ายเดียว แต่ทว่าเราหวังว่าทางเคียฟจะดำเนินกาในแนวทางเดียวกันด้วยเช่นกัน”

    และสื่อรัสเซียรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าระดับสูงจากสาธารณรัฐโดเนตสก์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มกบฎยูเคนรนตะวันออกได้ออกมาประกาศแถลงการณ์ในทำนองเดียวกัน พร้อมเสริมว่าเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ OSCE เป็นประจักษ์พยานในการเคลื่อนอาวุธออกนอกแนวรบ

    ทั้งนี้ โฆษกของสาธารณรัฐโดเนตสก์ เอดูอาร์ด บาซูริน ( Eduard Basurin) ได้ระบุว่า มีการสั่งถอนยุทโธปกรณ์รถถังจำนวน 40 คัน และรถต่อสู้ทหารราบ IFV จำนวน 80 คันในวันอาทิตย์(19)

    แต่อย่างไรก็ตาม เคียฟกลับออกมาโต้ว่ามีความสงสัยว่าทางกองกำลังกลุ่มกบฏได้สั่งถอนกำลังออกจากแนวสู้รบจริงหรือไม่ เพราะทางกลุ่มกบฏมักพูดอย่างทำอย่าง อเล็กซานเดอร์ โมตุซยานิก (Aleksander Motuzyanik) โฆษกประธานาธิบดียูเครนฝ่ายปฏิบัติการทหารให้สัมภาษณ์สื่อรัสเซีย RIA Novosti

    ทั้งนี้ ในเบื้องต้นยังไม่มีความแน่ชัดว่าทางเคียฟจะปฏิบัติตามหรือไม่

    อย่างไรก็ตาม ข่าวการสั่งถอนอาวุธจากแนวสู้รบเพื่อทำตามข้อตกลงมินสก์ของทางโดเนตสก์ และลูกันสก์มีขึ้นในช่วงวันเสาร์ (18) โดยโฆษกของกบฏยูเครนได้บอกกับ RIA Novosti ว่า “ทางเราพร้อมที่จะเริ่มต้นเพื่อก้าวไปสู่หนทางแห่งสันติภาพ และเพื่อจุดมุ่งหมายนี้ ทางเพราพร้อมที่จะถอนกองกำลังพร้อมกับรถถัง รวมไปถึงรถหุ้มเกราะ และอาวุธปืนเบาที่ต่ำกว่า 100 mm. ออกไปให้ห่างจากแนวสู้รบอย่างน้อย 3 กม.”


    In Pics :
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    tpbs โรงกรองน้ำทะเลเป็นน้ำจืด
    อัปโหลดเมื่อ 15 ก.ค. 2010
    รายงาน..โรงกรองน้ำทะเลเป็นน้ำจืด (ON AIR ทีวีไทย - 13/07/2010)
    ปัญหาวิกฤตขาดแคลนน้ำดิบเพื่อนำมาผลิตเป็น­น้ำประปา ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นเกาะ เช่น เกาะสมุย และเกาะพะงัน กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วยวิธีสูบน้ำทะเล­ไปกลั่นเป็นน้ำจืด เพื่อผลิตเป็นน้ำประปา นับเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่การประปาส่วนภูมิภ­าค ใช้แก้ไขปัญหา

    <iframe width="640" height="390" src="https://www.youtube.com/embed/UgCFhaJExa0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    https://youtu.be/UgCFhaJExa0
    ผู้สื่อข่าว ภัทราพร ตั๊นงาม
    ช่างภาพ ไพศาล วงศ์เศรษฐศิริ
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภาพจาก

    <iframe width="640" height="390" src="https://www.youtube.com/embed/vcLD-d6Y8Ng" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


    ของเฟส Nibiru Facts/Elenin Facts/2012/NWO/FEMA/Earth Quakes/T Cyclones etc

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีนมีทองคำสำรองเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 60 ใน 6 ปี
    Written by: กอง บก.ข่าวต่างประเทศ2015/07/20 2:34 PM

    [​IMG]

    ปักกิ่ง 20 ก.ค.- ธนาคารกลางจีนแจ้งว่า ทองคำแท่งสำรองของทางการเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 60 ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา

    ธนาคารกลางจีนเผยว่า ทองคำแท่งสำรองนับจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนปีนี้อยู่ที่ 1,658 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 1,054 ตันเมื่อสิ้นเดือนเมษายน 2552 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่มีการเปิดเผยตัวเลขทองคำแท่งสำรอง จีนเป็นประเทศผู้ผลิตทองคำรายที่สุดในโลก แต่ทองคำแท่งสำรองที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 57 ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2546-2552 ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 75 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างข้อมูลของธนาคารกลางจีนและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ว่า นับตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมาจีนซื้อทองคำมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากรัสเซีย และถือครองทองคำสำรองมากเป็นอันดับห้าของโลก

    ธนาคารกลางจีนเผยว่า จะปรับเปลี่ยนการถือครองทองคำสำรองตามทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศและความจำเป็นในการลงทุน โดยเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาจีนมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศที่ 3.69 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 126.75 ล้านล้านบาท) ถือว่ามากที่สุดในโลก ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้ว่า สัดส่วนทองคำสำรองต่อทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของจีนยังถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่น

    ราคาทองคำโลกร่วงลงในช่วงหลายเดือนมานี้เนื่องจากตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในทองคำ ราคาทองคำวันนี้เคลื่อนไหวที่ออนซ์ละ 1,110 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 38,126 บาท) ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 และลดลงจากที่เคยทะยานขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใกล้แตะออนซ์ละ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 61,820 บาท) เมื่อปี 2555 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตที่สุดของโครงการซื้อพันธบัตรกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐและปัญหาหนี้สินกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร (ยูโรโซน).-สำนักข่าวไทย

    จีนมีทองคำสำรองเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 60 ใน 6 ปี | เว็บไซต์สำนักข่าวไทย
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Focus : ฮือฮา! ล็อกฮีดทุ่ม $8,000ล้านซื้อกิจการ “ไซกอร์สกี” ผูกขาดสุดยอดอากาศยานทั้ง “ฮ.แบล็กฮอว์ก – F-35” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2558 13:25 น.

    [​IMG]

    @ รอยเตอร์ – ล็อกฮีดมาร์ตินคอร์ปเซ็นสัญญาซื้อกิจการ “ไซกอร์สกี” บริษัทอากาศยานในเครือยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ คอร์ปส ด้วยวงเงินสูงกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับเป็นการสยายอิทธิพลในตลาดอาวุธโลกด้วยการเป็นผู้ผลิตสุดยอดอากาศยานทั้งเฮลิคอปเตอร์โจมตี “แบล็กฮอว์ก” และเครื่องบินขับไล่สเตลธ์ F-35

    สัญญาควบกิจการครั้งนี้จะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ล็อกฮีดซึ่งมีผลประกอบการต่อปีราว 45,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และข่มคู่แข่งสำคัญๆ อย่าง โบอิ้ง และ นอร์ธร็อป กรัมแมน ให้ดูด้อยลงไปถนัดตา นอกจากนี้ ยังทำให้ล็อกฮีดไม่ต้องอิงอยู่กับโครงการพัฒนา F-35 มูลค่า 391,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เพียงอย่างเดียว และยังสามารถขยายตลาดต่างประเทศด้วยการเพิ่มเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กของไซกอร์สกีเข้าไปในรายการสินค้าของล็อกฮีดที่มีตั้งแต่ดาวเทียมเรื่อยไปจนถึงเรือรบ

    แหล่งข่าว 2 คนระบุว่า ล็อกฮีดและไซกอร์สกีเตรียมจะประกาศสัญญาควบกิจการในวันนี้(20 ก.ค.) ก่อนแถลงรายงานผลประกอบการไตรมาสสองในวันอังคาร(21)

    การดึงไซกอร์สกีเข้าร่วมอาณาจักรธุรกิจถือเป็นการควบกิจการครั้งใหญ่ที่สุดของล็อกฮีดถัดจากการซื้อบริษัท มาร์ติน มาเรียตตา คอร์ป ด้วยวงเงิน 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อ 2 ทศวรรษก่อน และยังเป็นการปรับยุทธศาสตร์ใหญ่ของ 2 ผู้บริหารมือดีอย่าง เกร็ก เฮเยส ซึ่งเลื่อนตำแหน่งเป็นซีอีโอ ยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว กับ มารีลีน ฮิวสัน ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอล็อกฮีด เมื่อเดือนมกราคม ปี 2013

    เท็กซ์ตรอน อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฮลิคอปเตอร์ “เบลล์” ก็ได้ยื่นซองประมูลกิจการไซกอร์สกีเช่นเดียวกัน แต่ตัดสินใจถอนตัวหลังมูลค่าพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ผลิต ฮ. ทั้ง 2 ค่ายต่างประสบปัญหารายได้ลดลงเนื่องจากอุปสงค์ที่ซบเซาจากจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ

    [​IMG]
    @เฮลิคอปเตอร์รุ่น UH-60L Black Hawk ของบริษัทไซกอร์สกี (ภาพ - วิกิพีเดีย)

    เจ้าหน้าที่เพนตากอนแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ จะตรวจสอบการขายกิจการไซกอร์สกีอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม และป้องกันการบิดเบือนตลาด (market distortions)

    ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มีอำนาจที่จะคัดค้านการควบรวมกิจการของซัพพลายเออร์ใหญ่ โดยอาศัยกระบวนการพิจารณาป้องกันการผูกขาด (antitrust) ซึ่งกระทำโดยกระทรวงยุติธรรม อย่างไรก็ดี ผู้บริหารในอุตสากรรมอาวุธเชื่อว่ากรณีนี้ไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากล็อกฮีดไม่ได้เป็นผู้ผลิตเฮลิคอปเตอร์

    “มันเป็นสัญญาที่มีมูลค่ามโหฬารก็จริง แต่ไม่ทำให้เกิดการผูกขาดมากไปกว่าที่เป็นอยู่เดิม... อันที่จริงแล้ว ตลาดเครื่องบินขับไล่กับตลาดอากาศยานปีกหมุน (rotorcraft) ไม่ได้ทับซ้อนกันเสียทีเดียว มันแยกกันคนละส่วน และมีลูกค้าหรือผู้ใช้งานคนละกลุ่มกัน” ลอเรน ทอมป์สัน ที่ปรึกษากลาโหมซึ่งมีฐานอยู่ในรัฐเวอร์จิเนียกล่าว

    ล็อกฮีด และ ไซกอร์สกี เคยมีความร่วมมือในโครงการพัฒนาเฮลิคอปเตอร์มาแล้วหลายรุ่น เช่น เฮลิคอปเตอร์สำหรับประธานาธิบดีสหรัฐฯ, เฮลิคอปเตอร์โจมตีและช่วยชีวิต รวมไปถึงเฮลิคอปเตอร์รุ่น MH-60R และรุ่น S ที่ผลิตให้กับกองทัพเรือและนาวิกโยธิน

    ริชาร์ด อบูฟาเลีย นักวิเคราะห์ด้านอากาศยานจากบริษัท ทีล กรุ๊ป ในรัฐเวอร์จิเนีย มองว่า ไซกอร์สกีมียอดจำหน่ายเฮลิคอปเตอร์ให้ลูกค้าต่างชาติค่อนข้างสูง ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อล็อกฮีดในการบุกตลาดนานาชาติ

    [​IMG]
    @เครื่องบินขับไล่ชนิดหลบหลีกเรดาร์ F-35 ของค่ายล็อกฮีดมาร์ติน

    [​IMG]

    Focus :
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศาลนัดฟังคำสั่ง “กองทัพบก” ฟ้องหมิ่น “ทักษิณ” 28 ส.ค.นี้ โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 20 กรกฎาคม 2558 14:35 น. (แก้ไขล่าสุด 20 กรกฎาคม 2558 14:46 น.)

    [​IMG]

    ศาลนัดฟังคำสั่งคดี “กองทัพบก” ฟ้องหมิ่น “ทักษิณ” พาดพิงทหารยึดอำนาจ 28 ส.ค.นี้ หลัง ผอ.พระธรรมนูญ ทหารบก เบิกความไต่สวนมูลฟ้องระบุ คำให้สัมภาษณ์กระทบกองทัพบก ยันไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่เพราะสังคมขัดแย้งรุนแรงมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

    วันนี้ (20 ก.ค.) ที่ห้องพิจารณา 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ครั้งแรก คดีหมายเลขดำ อ.1824/2558 ที่กองทัพบก มอบอำนาจให้ พล.ต.ศรายุทธ กลิ่นมาหอม ผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมนูญ ทหารบก เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328

    โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 26 พ.ค.2558 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 19-22 พ.ค. 2558 จำเลยได้ใส่ความโจทก์ว่าเป็นบุคคลน่ารังเกียจ เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ และเป็นบุคคลที่ทำความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ ซึ่งไม่ใช่ความจริง โดยจำเลยได้ให้สัมภาษณ์ถึงการเมืองในประเทศไทยที่มีการเผยแพร่ผ่านยูทิวบ์ และสื่อออนไลน์ การกระทำนั้นส่งผลให้ให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง

    โดย พล.ต.ศรายุทธ กลิ่นมาหอม ผอ.สำนักงานพระธรรมนูญ ทหารบก ผู้รับมอบอำนาจจากกองทัพบก โจทก์ เดินทางมาเบิกความด้วยตนเอง พร้อมยื่นแผ่นซีดีและคำถอดเทปการสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ วันที่ 22 พ.ค. 2558 ส่งศาลด้วย ซึ่งพล.ต.ศรายุทธ เบิกความสรุปว่า ระหว่างวันที่ 19-22 พ.ค. 2558 พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยได้ให้สัมภาษณ์จากประเทศเกาหลีใต้ เกี่ยวกับการยึดอำนาจกระทบต่อองคมนตรี และทหารที่หมายถึงกองทัพบก รวมทั้งกล่าวหาว่าโจทก์ชื่นชอบประชาธิปไตยแบบประเทศพม่า ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การให้สัมภาษณ์อยู่ในบรรยากาศที่เป็นห้องส่วนตัว แต่ไม่ทราบว่ามีบุคคลอื่นอยู่ด้วยหรือไม่ โดยเนื้อหาการสัมภาษณ์ส่วนหนึ่งในวันที่ 22 พ.ค. 2558 มีการพูดการยึดอำนาจ องคมนตรี และทหาร ซึ่งการยึดอำนาจที่ผ่านมา กองทัพบกเป็นผู้ริเริ่มจริง แต่ไม่ได้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้อง แต่เพราะก่อนหน้านั้นเกิดความขัดแย้งของหลายฝ่ายจนหาทางออกไม่ได้และมีการใช้อาวุธสงครามจนมีผู้บาดเจ็บเสียชีวิต ที่จะกระทบต่อความมั่นคง สังคม เศรษฐกิจ กองทัพบก จึงต้องสร้างความสงบสุข และป้องกันเหตุการณ์ไม่ให้เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ ขณะที่การยึดอำนาจไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะเท่าที่ทราบประชาชน 80-90% และนักวิชาการส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย ก็มีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยแต่ก็มีจำนวนน้อย ขณะที่การยึดอำนาจนั้นไม่ได้มีผู้ใดสั่งการ ไม่ว่าจะเป็นองคมนตรีหรือกระบวนการในวัง และโจทก์ ไม่เคยมีแนวคิดเป็นเผด็จการเหมือนประเทศพม่า ตามที่จำเลยสัมภาษณ์

    ทั้งนี้ พล.ต.ศรายุทธยังตอบการซักค้านของทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณด้วยว่า การชุมนุมของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และกลุ่ม กปปส.ไม่ได้เรียกร้องให้มีการยึดอำนาจ แต่เป็นการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะนั้นลาออก โดยการยึดอำนาจไม่ได้ทำให้ฝ่ายบริหารและสภาเสียหาย แต่การยึดอำนาจสืบเนื่องจากที่ฝ่ายบริหารทำให้เกิดความเสียหาย ส่วนที่ผ่านมาประชาชนไม่สามารถออกมาชุมนุมก็เนื่องมาจากมีกฎอัยการศึก แต่ก็เพราะก่อนหน้าที่จะมีการยึดอำนาจเคยเกิดการชุมนุมจนไม่สามารถจัดการได้ จึงต้องใช้กฎอัยการศึกควบคุมเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ส่วนถ้อยคำสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ส่วนหนึ่งก็ทราบมาจากเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อหยุดดัดจริตประเทศไทย แต่การโพสต์ลงสื่อโซเชียลฯ ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นใคร

    ภายหลัง พล.ต.ศรายุทธเบิกความเสร็จสิ้นแล้ว อัยการแถลงหมดโจทก์ที่จะนำมาไต่สวนมูลฟ้องอีก ดังนั้นศาลจึงนัดฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องคดีนี้หรือไม่ ในวันที่ 28 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น.

    ต่อมา พล.ต.ศรายุทธ กลิ่นมาหอม ผอ.สำนักงานพระธรรมนูญ ทหารบก เปิดเผยว่า เดินทางมาเป็นพยานไต่สวนมูลฟ้อง ได้กล่าวถึงถ้อยคำตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์ ทั้งนี้ หากภายหลังศาลมีคำสั่งรับฟ้องแล้ว เรื่องการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณดำเนินคดีก็คงเป็นกระบวนการในชั้นศาล

    ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) มีการดำเนินคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯนั้นทางกองทัพบกจะพิจารณาฟ้องเองต่อศาลโดยตรงด้วยหรือไม่ พล.ต.ศรายุทธกล่าวว่า ทางกองทัพบกจะมีการฟ้องในส่วนที่มีการพาดพิงถึงหน่วยงานเท่านั้น ส่วนเรื่องคดี 112 ให้เป็นหน้าที่ของ ปอท.

    ด้าน นายวันชัย รุจนวงศ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าหลังจากที่นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพนักงานสอบสวนในคดี ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กระทำความฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในเหตุการณ์เดียวกันว่า เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมาอัยการสูงสุดได้มีการแต่งตั้งผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นเจ้าพนักงานผู้สอบสวนคดีนี้โดยมีพนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวนเข้าร่วมในทีมสอบสวนด้วย ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะทำงานก่อนส่งสำนวนการสอบสวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาสั่งคดี โดยในคดีนี้ทางอัยการสูงสุดไม่ได้มีการกำชับในเรื่องระยะเวลาการสอบสวนกับคณะทำงานแต่อย่างใด เนื่องจากต้องให้เป็นความอิสระแก่พนักงานสอบสวนซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งขึ้นอยู่กับการรวบรวมพยานหลักฐานในการทำสำนวนของคณะทำงาน

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พบหลุมยุบลึกเกือบ 10 เมตร บนถนนสายตรัง-กระบี่ หลังมีฝนตกหนัก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2558 13:40 น. (แก้ไขล่าสุด 20 กรกฎาคม 2558 13:52 น.)

    [​IMG]

    ตรัง - เร่งซ่อมแซมถนน 4 เลน สายตรัง-กระบี่ หลังเกิดหลุมยุบขนาดใหญ่ช่วงฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันที่ผ่านมา จนต้องปิดเส้นทางเพื่อความปลอดภัย คาดสาเหตุมาจากการกัดเซาะของน้ำใต้ดิน

    วันนี้ (20 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่แขวงการทางตรัง และบริษัท ซีวิลเอ็นจิเนียริง จำกัด ได้เดินทางไปสำรวจเร่งหาทางซ่อมแซมถนน 4 เลน สายตรัง-กระบี่ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 23 ช่วงห้วยยอด-วังวิเศษ ม.8 ต.บางกุ้ง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางสายหลักฝั่งอันดามัน จากจังหวัดตรัง เดินทางไปยังจังหวัดกระบี่ พังงา และภูเก็ต หลังจากได้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันมาหลายวัน ทำให้ถนนลาดยางบริเวณตรงกลางฝั่งซ้าย เกิดหลุมยุบเป็นโพรงขนาดใหญ่ จนต้องปิดเส้นทางในช่วงนี้เพื่อความปลอดภัย

    จากการสำรวจล่าสุดพบว่า ถนนลาดยางได้ยุบตัวเป็นบริเวณกว้างขึ้น โดยที่บริเวณปากโพรงมีเส้นผ่าศูนย์กลางความกว้างประมาณ 4 เมตร แต่ภายในโพรงมีความกว้างถึง 10 เมตร และมีความลึกประมาณเกือบ 10 เมตร ทั้งนี้ ยังมีแนวโน้มที่โพรงจะกว้าง และลึกมากกว่านี้อีก เนื่องจากพื้นดินด้านล่างเกิดการยุบตัวลงไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นหลุมยุบเดิมที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเพิ่งมีการซ่อมแซมเสร็จไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงต้องปิดกั้นถนนบริเวณโดยรอบอย่างเด็ดขาด เกรงผู้คน หรือรถจะตกลงไปได้รับอันตราย

    นายพิษณุ น้อยสวรรค์ วิศวกร บริษัท ซีวิลเอ็นจิเนียริง จำกัด ในฐานะผู้จัดการโครงการก่อสร้างช่วงห้วยยอด-วังวิเศษ กล่าวว่า ถนนตรงจุดนี้ได้เกิดการยุบตัวเป็นหลุมลึกมาแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเพราะการกัดเซาะของน้ำใต้ดินในช่วงที่มีฝนตกหนัก แต่แปลกตรงที่โดยปกติทั่วไป ถ้าถนนเกิดการยุบตัวดินทั้งหมดจะต้องกองอยู่ในหลุม แต่ตรงจุดนี้ทั้งคอนกรีต และดินที่เคยนำมาบดอัดไว้เมื่อครั้งก่อนกลับหายไปทั้งหมดโดยไม่ทราบสาเหตุผล ซึ่งทางบริษัทจะเร่งซ่อมแซมถนนให้กลับมาเปิดใช้งานได้ภายใน 1-2 วันนี้

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "น้ำประปารสกร่อย" เรื่องที่คนกรุงเทพฯ ต้องรับมือ โดย กิตตินันท์ นาคทอง
    17 กรกฎาคม 2558 23:52 น. (แก้ไขล่าสุด 18 กรกฎาคม 2558 05:31 น.)

    [​IMG]
    ช่วงนี้ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่ใช้น้ำประปาของการประปานครหลวงในการอุปโภคบริโภค เวลาบ้วนปากเพื่อแปรงฟันจะรู้สึกว่าน้ำประปามีรสชาติกร่อย ออกแนวรสเค็ม อีกทั้งเมื่อนำไปต้มก็จะมีคราบเกลือติดอยู่

    ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าน้ำดิบจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่นำมาใช้ผลิตน้ำประปานั้น ประสบปัญหาน้ำทะเลหนุนสูง ประกอบกับช่วงนี้บ้านเราอยู่ในช่วงภัยแล้ง น้ำที่ปล่อยออกมาจากเขื่อนหลักๆ มีปริมาณน้อยมาก

    ลองนึกภาพดูจะพบว่า แม่น้ำเจ้าพระยามีต้นกำเนิดมาจากแม่น้ำ 4 สายหลัก สมทบกับอีก 1 สายที่กลางทาง ส่วนใหญ่อาศัยการปล่อยน้ำในเขื่อน 4 เขื่อนหลักๆ ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

    เขื่อนแต่ละแห่งส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำเหนือเขื่อนน้อยมาก ทำให้ต้องปล่อยน้ำท้ายเขื่อนน้อยลงตามไปด้วย กระทั่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ปรับลดการใช้น้ำจากเดิมรวมกันวันละ 28 ล้านลูกบาศก์เมตร เหลือวันละ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร

    เน้นส่งน้ำเฉพาะการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศเท่านั้น!

    ตลอดระยะทาง 372 กิโลเมตรตั้งแต่นครสวรรค์ลงมา แม้ภาครัฐขอร้องเกษตรกรงดสูบน้ำทำนา แต่ก็ไม่ได้งดสูบน้ำเพื่อผลิตประปา เพราะฉะนั้นน้ำดิบก็ถูกสูบในหลายจังหวัดภาคกลาง กว่าจะมาถึงกรุงเทพฯ ก็ลดน้อยลงแล้ว

    เมื่อน้ำทะเลหนุนสูง ตามช่วงเวลาน้ำขึ้น-น้ำลง ทำให้น้ำเค็มมาผสมกับน้ำจืด กลายเป็นน้ำกร่อย และเมื่อน้ำจืดที่ปล่อยมาจาก 4 เขื่อนหลักมีปริมาณน้อยมาก ทำให้น้ำเค็มค่อยๆ รุกคืบไปเรื่อยๆ

    ปัจจุบัน กรมชลประทานได้รายงานค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นประจำทุกวัน โดยจุดตรวจวัดหลักๆ อยู่ที่ หน้ากรมชลประทาน สามเสน (กม.60) ท่าน้ำนนทบุรี (กม. 67) และสถานีประปาสำแล จ.ปทุมธานี (กม. 96)

    วิธีสังเกตง่ายๆ คือ ค่าความเค็มสำหรับทำการเกษตร คือไม่ทำให้พืชผลหรือพันธุ์ไม้ต่างๆ แห้งตาย ต้องไม่เกิน 2 กรัมต่อลิตร แต่ถ้าจะนำน้ำจากแม่น้ำไปผลิตน้ำประปา ค่าความเค็มต้องไม่เกิน 0.25 กรัมต่อลิตร

    เท่าที่ดูรายงานสถานการณ์ค่าความเค็มแม่น้ำเจ้าพระยา (17 ก.ค.) พบว่าปริมาณน้ำที่ระบายออกจากเขื่อนเจ้าพระยา 90 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ที่สถานีประปาสำแล จุดสูบน้ำดิบเข้าคลองประปา ค่าความเค็มอยู่ที่ 1 กรัมต่อลิตร

    เกินมาตรฐานสำหรับผลิตน้ำประปา เราถึงได้ใช้น้ำอุปโภค-บริโภคที่มีรสกร่อยแบบนี้

    ลงไปดูท่าน้ำนนทบุรี ค่าความเค็มอยู่ที่ 6.42 กรัมต่อลิตร หน้ากรมชลประทาน สามเสน 8.53 กรัมต่อลิตร สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ถ้าเอาไปรดต้นไม้ ใบพืช จะเริ่มเหี่ยวเฉา ขอบใบแห้งไหม้ ม้วนงอขึ้น ก้านใบและรอยต่อระหว่างก้านใบจะแห้ง

    ส่วนรากจะมีผลกระทบกับรากฝอยและปลายหมวกราก ส่งผลให้ใบพืชแสดงอาการขาดน้ำ หากอากาศร้อนจัดและแห้ง เมื่อพืชได้รับน้ำเค็มก็จะเหี่ยว แห้ง ทิ้งใบ ถ้ารุนแรงต้นพืชก็จะยืนต้นตายได้

    เพราะฉะนั้นเกษตรกรในพื้นที่นนทบุรี (ที่ยังไม่ขายที่ดินให้นายทุนไปทำบ้านจัดสรร) เช่น พื้นที่ท่าอิฐ บางพลับ อ้อมเกร็ด และเกาะเกร็ด โดยเฉพาะผู้ปลูกทุเรียนเมืองนนท์ที่มีชื่อเสียง เจอแบบนี้ก็เสียหายหลายแสนไปแล้ว

    ที่ผ่านมาวิธีแก้ปัญหาของพวกเขาก็ต้องแก้กันแบบตามมีตามเกิด ใครไม่อยากให้ต้นทุเรียนยืนต้นตาย บางแห่งลงทุนน้ำประปาใส่ร่องสวนทั้งวันทั้งคืน เพื่อให้น้ำปรับสภาพ ทำให้ค่าน้ำบางเดือนทะลุสูงถึง 3 พันบาท แต่ก็ต้องจำยอม

    จะว่าไปแล้ว คนกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเฉพาะนนทบุรี สมุทรปราการ ที่ใช้น้ำจากการประปานครหลวง ยังนับว่าโชคดีกว่าที่อื่นที่น้ำประปาไม่ขาดแคลน เพราะมีโรงผลิตน้ำขนาดใหญ่ที่ผลิตน้ำได้อย่างต่อเนื่อง

    จังหวัดที่อยู่ติดกันอย่างปทุมธานี อยู่ในความดูแลของการประปาส่วนภูมิภาค หากเป็นพื้นที่ปทุมธานี ลาดหลุมแก้ว สามโคก คลองหลวง ถึงคลอง 5 จะใช้น้ำที่ผลิตโดยบริษัทประปาปทุมธานี สูบจาก ต.บ้านปทุม อ.สามโคก

    แต่ถ้าเป็นพื้นที่คลอง 5 ถึงคลอง 15 จะเป็นเขตการประปาส่วนภูมิภาค สาขาธัญบุรี ที่ใช้น้ำจากคลอง 13 หรือ คลองระพีพัฒน์ ซึ่งรับน้ำจากแม่น้ำป่าสักที่ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา มาสูบผลิตน้ำประปาเป็นของเขาเอง

    เมื่อเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ลดการปล่อยน้ำ น้ำในคลองระพีพัฒน์ก็ถูกสูบจนเริ่มแห้งลงเรื่อยๆ กระทั่งไม่มีน้ำเหลือให้ผลิตน้ำประปา ต้องออกประกาศงดจ่ายน้ำ ทำเอาชาวบ้านกว่า 5 หมื่นครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นหมู่บ้านจัดสรรได้รับความเดือดร้อน

    เรื่องภัยแล้งคนกรุงเทพฯ เชื่อมาโดยตลอดว่าไม่มีผลกระทบ เพราะน้ำประปายังไหลตามปกติ อีกทั้งลำคลองส่วนใหญ่ถูกใช้เพื่อการระบายน้ำในฤดูฝน มีสภาพเน่าเสีย อุปโภคบริโภคไม่ได้ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย เฉยๆ กับเรื่องประหยัดน้ำ

    แต่ปัญหาน้ำประปารสเค็ม รสกร่อยอย่างคาดไม่ถึง จะทำให้คนกรุงเทพฯ รู้ซึ้งถึงคำว่า ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา

    [​IMG]
    @ ภาพจากเฟซบุ๊ก "การประปานครหลวง กปน. (Metropolitan Waterworks Authority - MWA)"


    น้ำประปาในกรุงเทพมหานครที่เราใช้กันอยู่นี้ ในปัจจุบันได้มาจากแหล่งน้ำอยู่ 2 แห่งใหญ่ คือ แม่น้ำเจ้าพระยา และ แม่น้ำแม่กลอง แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ร่วมกันได้ทั้งหมด เพราะความที่เป็นเมืองอกแตก แยกส่วนระหว่างฝั่งพระนครกับฝั่งธนบุรี

    น้ำดิบที่นำมาผลิตเป็นน้ำประปานั้น สูบมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ สถานีสูบน้ำดิบสำแล อ.เมืองฯ จ.ปทุมธานี ไหลมาตามคลองประปา ระยะทาง 31 กิโลเมตร ขุดมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

    ระหว่างทางผ่านไป 18 กิโลเมตร น้ำดิบส่วนหนึ่งจะถูกดึงไปยัง โรงงานผลิตน้ำบางเขน ถนนประชาชื่น เป็นโรงงานผลิตน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ มีกำลังการผลิตสูงถึงวันละ 3.9 ล้านลูกบาศก์เมตร

    น้ำประปาจากโรงงานผลิตน้ำประปาบางเขน ให้บริการในพื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ รวมทั้งลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาผ่านอุโมงค์สี่พระยา-ท่าพระ ไปยังพื้นที่บางกอกใหญ่ ราษฎร์บูรณะ จอมทอง และ พระประแดง

    อาจเรียกได้ว่า น้ำประปากรุงเทพฯ ที่เราอุปโภคบริโภคในขณะนี้ ส่วนใหญ่มาจากโรงผลิตน้ำบางเขนนั่นเอง

    ผ่านไป 27 กิโลเมตร น้ำดิบส่วนหนึ่งจะถูกสูบที่โรงสูบน้ำดิบบางซื่อ ลงท่อขนาด 0.9 เมตร ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ถึง โรงงานผลิตน้ำธนบุรี ถนนจรัญสนิทวงศ์ กำลังการผลิตวันละ 1.7 แสนลูกบาศก์เมตร ให้บริการในพื้นที่บางกอกน้อย บางพลัด

    เมื่อมาถึงปลายคลองประปา 31 กิโลเมตร น้ำดิบจะถูกส่ง โรงงานผลิตน้ำสามเสน โรงผลิตน้ำประปาแห่งแรก จัดตั้งขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันมีกำลังการผลิตวันละ 7 แสนลูกบาศก์เมตร ให้บริการในพื้นที่พญาไท ดุสิต พระนคร และราชเทวี

    สมัยก่อนฝั่งธนบุรีใช่ว่าจะมีน้ำใช้เต็มที่ เพราะลำพังโรงผลิตน้ำธนบุรี อุโมงค์สี่พระยา-ท่าพระ และท่อส่งน้ำดิบคลองสาน-ราษฎร์บูรณะ ก็ยังไม่เพียงพอ จะดีกว่าก็หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่อประปาสะพานพุทธถูกทำลาย ก็ต้องใช้น้ำบาดาล

    กระทั่งการประปานครหลวงเริ่มก่อสร้าง โรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ ถนนกาญจนาภิเษก อ.บางกรวย จ.นนทบุรี โดยวางศิลาฤกษ์เมื่อเดือนมกราคม 2537 และเริ่มทำการทดลองเปิดจ่ายน้ำเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2539

    พร้อมกับขุดคลองประปาสายใหม่ รับน้ำจากเขื่อนแม่กลอง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ก่อนไหลลงอุโมงค์ลอดแม่น้ำท่าจีน ผ่านเข้าสถานีสูบน้ำดิบบางเลน อ.บางเลน จ.นครปฐม ถึงโรงผลิตน้ำประปามหาสวัสดิ์ ระยะทาง 107 กิโลเมตร


    [​IMG]
    @ โรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ (ภาพจากเว็บไซต์การประปานครหลวง)


    ปัจจุบัน โรงผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ มีกำลังการผลิตสูงสุดวันละ 1.5 ล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่าโรงผลิตน้ำสามเสนเท่าตัว ทำให้ฝั่งธนบุรีและนนทบุรีฝั่งตะวันตก ซึ่งเดิมประสบปัญหาขาดแคลนน้ำได้มีน้ำประปาใช้อย่างเพียงพอ

    โดยเฉพาะถนนกาญจนาภิเษก บางบัวทอง ไทรน้อย บางใหญ่ บางกรวย นนทบุรี ตลิ่งชัน ภาษีเจริญ หนองแขม และ บางขุนเทียน ส่วนท่าพระ บางกอกใหญ่ ราษฎร์บูรณะ จอมทอง ส่วนใหญ่ยังใช้น้ำจากโรงงานผลิตน้ำประปาบางเขน

    อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาการประปานครหลวงต้องใช้วิธีลดการสูบน้ำดิบจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าคลองประปา ในช่วงที่ค่าคลอไรด์สูง รอจนกว่าลิ่มความเค็มจะลดต่ำลง จึงจะสูบน้ำตามปกติ

    ส่งผลทำให้ต้องลดกำลังการผลิตและจ่ายน้ำประปาที่โรงงานผลิตน้ำบางเขนลง เหลือ 3.6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ส่งผลให้น้ำประปาไหลอ่อนลงกว่าเดิมในบางช่วงเวลา

    หากสถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นน้ำจืดในแม่น้ำเจ้าพระยาไม่สามารถผลักดันน้ำเค็มได้ จำเป็นต้องใช้วิธีผลิตน้ำประปารสกร่อย รสชาติที่ต่างไปจากเดิม รู้สึกปะแล่ม ไม่คุ้นเคย บางคนอาจไม่รับรู้ แต่ผู้ที่มีประสาทการรับรู้รสไว อาจรับรู้รสได้ง่าย

    พูดง่ายๆ ก็คือ แม้น้ำประปากรุงเทพฯ จะไหลเป็นปกติ แต่จะได้รับน้ำประปารสกร่อย ออกแนวเค็มๆ มาแทน

    แต่สำหรับพื้นที่ฝั่งธนบุรี ที่รับน้ำประปาจากโรงผลิตน้ำมหาสวัสดิ์จะไม่มีปัญหา เพราะแหล่งน้ำอยู่ห่างจากทะเลไกลถึง 130 กิโลเมตร อีกทั้งเป็นน้ำที่ไหลมาจากเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ ที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาตะนาวศรี

    การประปานครหลวงมีแผนลงทุนปรับปรุงกิจการประปาแผนหลัก ครั้งที่ 9 (2559-2565) โดยขยายกำลังการผลิตโรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์อีก 8 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน ทำให้ผลิตน้ำประปาเพิ่มขึ้นเป็น 2.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน

    รวมทั้งก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มอีกแห่ง ก่อสร้างสถานีสูบจ่ายน้ำแห่งใหม่ บริเวณตอนล่างทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ขยายถังเก็บน้ำใสที่สถานีสูบจ่ายน้ำลาดกระบัง บางพลี มีนบุรี ลาดพร้าว และสำโรง

    ผู้ว่าการการประปานครหลวง ธนศักดิ์ วัฒนฐานะ อธิบายว่า ที่ผ่านมาการประปานครหลวงได้หลีกเลี่ยงการสูบน้ำดิบในช่วงที่ค่าความเค็มในน้ำดิบเกิน 0.5 กรัมต่อลิตร ซึ่งเป็นค่าที่สามารถรับรู้รสกร่อยได้

    แต่เนื่องจากภาวะน้ำทะเลหนุนครั้งนี้สูงต่อเนื่องหลายวัน จึงจำเป็นต้องสูบน้ำดิบที่มีลิ่มความเค็มดังกล่าวมาผลิตน้ำประปาด้วย อาจส่งผลให้น้ำประปาในช่วงนี้มีรสชาติเปลี่ยนไปจากเดิมบ้างในบางช่วงเวลา โดยเฉพาะช่วงน้ำขึ้น

    โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่อยู่ในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ได้แก่ สำนักงานประปาสาขาสุขุมวิท พระโขนง สมุทรปราการ แม้นศรี ทุ่งมหาเมฆ ลาดพร้าว พญาไท มีนบุรี สุวรรณภูมิ ประชาชื่น และ บางเขน

    อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการการประปานครหลวง ย้ำว่า คุณภาพน้ำประปาในด้านอื่นๆ ยังได้มาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) ทุกประการ และสามารถดื่มได้อย่างปลอดภัย

    [​IMG]

    @ นอกจากนี้ การประปานครหลวงยังได้แนะนำเว็บไซต์ตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาออนไลน์ ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่ Map โดยจะเปลี่ยนแปลงค่าทุก 2 นาที

    จากการสังเกตของผู้เขียน คือ น้ำประปาที่มีรสชาติปกติ ค่าความเค็มในน้ำประปาจะอยู่ระหว่าง 0.08-0.10 กรัมต่อลิตร แต่ถ้ามากกว่า 0.50 กรัมต่อลิตรขึ้นไปจะเป็นค่าที่สามารถรับรู้รสกร่อยได้

    หรืออีกอย่างหนึ่ง คือค่าความนำไฟฟ้าในน้ำประปา มีหน่วยเป็น โมโครซีเมนส์ต่อเซนติเมตร (µs/cm) หากมีรสชาติปกติค่านำไฟฟ้าจะอยู่ระหว่าง 150-200 หน่วย แต่หากเกินกว่า 1,200 หน่วย จะส่งผลให้รับรู้รสกร่อยในน้ำประปาได้

    ซึ่งความเค็มและความกร่อยในน้ำประปา ถ้าใช้อุปโภคในชีวิตประจำวัน เช่น อาบน้ำ ซักผ้า ล้างจาน ทำความสะอาดจะไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากผ่านกระบวนการผลิต เติมปูนขาว คลอรีน สารส้ม ตกตะกอน ก่อนทำการกรองน้ำแบบเร็ว

    แต่ถ้าใช้บริโภคแม้จะผ่านการต้ม น้ำจะยังมีรสกร่อยและค่าคลอไรด์สูงอยู่ คนปกติดื่มได้แต่จะรู้สึกว่ายังกระหายน้ำ เว้นแต่ผู้ป่วยโรคไตห้ามบริโภคเด็ดขาด ต้องซื้อน้ำดื่มที่ผ่านเครื่องกรองระบบรีเวอร์ส ออสโมซิส (อาร์โอ) มาดื่มแทน

    ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อน้ำประปามีรสชาติกร่อย หากในชีวิตประจำวันบริโภคน้ำดื่มโดยใช้เครื่องกรองน้ำ ตู้กดน้ำหยอดเหรียญ หรือต้มน้ำก็ยังมีรสเค็ม เว้นแต่ไปเติมน้ำหยอดเหรียญละแวกฝั่งธนบุรีที่ไม่ได้รับผลกระทบ

    มีรายงานว่าช่วงภัยแล้ง ในพื้นที่รังสิต ปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา ยอดขายน้ำดื่มบรรจุขวดพุ่งสูงขึ้น 30–50% เนื่องจากบางพื้นที่มีการหยุดจ่ายน้ำประปา หลายคนจึงซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดไปกักตุนไว้

    ถึงกระนั้น กรมการค้าภายในตรวจสอบบริษัทผู้ผลิตน้ำดื่มรายใหญ่ เช่น ตราช้าง สิงห์ เนสท์เล่เพียวไลฟ์ น้ำทิพย์ คริสตัล ฯลฯ ได้รับการยืนยันว่าปัญหาภัยแล้งไม่กระทบต่อกระบวนการผลิตน้ำดื่ม เนื่องจากส่วนใหญ่ใช้น้ำใต้ดินในการผลิต


    ปัจจุบันราคาน้ำดื่ม ขวดพลาสติกใสขนาด 500-600 มิลลิลิตร ไม่แช่เย็น จำหน่ายไม่เกินขวดละ 7 บาท และแช่เย็นจำหน่ายไม่เกินขวดละ 10 บาท และที่ผ่านมาผู้ผลิตน้ำดื่มรายใหญ่มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึงร้อยละ 60

    สถานการณ์น้ำประปาที่มีรสชาติกร่อยแบบนี้ มีแนวโน้มว่าผู้บริโภคส่วนหนึ่งจะหันมาบริโภคน้ำดื่มมากขึ้น ทั้งในรูปแบบบรรจุขวด หรือน้ำดื่มบรรจุถังที่มีบริการส่งตามบ้านและสำนักงานมากขึ้น แม้จะแพงกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องกรองน้ำ

    จากการสำรวจราคาน้ำดื่มบรรจุขวดในห้างค้าปลีก 3 แห่ง ขนาด 1.5 ลิตร แพ็ค 6 ขวด พบว่าหากเป็นยี่ห้อเฮ้าส์แบรนด์ ที่ห้างค้าปลีกสั่งมาจำหน่ายราคาจะอยู่ที่ 46-59 บาท หากเป็นยี่ห้อที่นิยมตามท้องตลาด ราคาจะอยู่ที่ 49-72 บาท

    ส่วนน้ำดื่มขนาด 6 ลิตร พบว่าหากเป็นยี่ห้อเฮ้าส์แบรนด์ราคาจะอยู่ที่ 27-29 บาท แต่ยี่ห้อที่นิยมตามท้องตลาด ซึ่งมีจำหน่ายอยู่ประมาณ 3 แบรนด์ ได้แก่ สิงห์ เนสท์เล่เพียวไลฟ์ และตราช้าง ราคาจะอยู่ที่ 39-43 บาท

    สำหรับน้ำดื่มบรรจุถังขนาด 18.9 ลิตร จัดส่งสัปดาห์ละครั้ง พบว่าอยู่ที่ราคา 60-70 บาทต่อถัง หากซื้อคูปองจำนวนมากราคาจะลดลง แต่หากไม่เคยสั่งน้ำดื่มมาก่อน จะมีค่ามัดจำถัง (ได้รับเงินคืนเมื่อยกเลิก) ขั้นต่ำ 3 ถัง ตั้งแต่ 550-900 บาท

    ถึงกระนั้นความนิยมของน้ำดื่มบรรจุขวดจะเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง หากเห็นว่าน้ำประปามีคุณภาพปกติแล้ว การซื้อน้ำดื่มสิ้นเปลือง ในสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงไม่ฟื้นตัว ผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปใช้เครื่องกรองน้ำ หรือตู้กดน้ำดื่มตามเดิม

    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความต้องการน้ำดื่มบรรจุขวดจะมีมากขึ้นในช่วงภัยแล้ง แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะบางแบรนด์มีโรงงานในต่างจังหวัดที่ไม่ประสบปัญหาภัยแล้ง ในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออก ทำให้มีสินค้าไม่ขาดแคลน

    ปัญหาน้ำประปารสชาติกร่อย คงเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของคนกรุงเทพฯ ต่อจากมหาอุทกภัยในปี 2554 เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศเฉกเช่นจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ย่อมทำให้คนกรุงเทพฯ ต้องยอมรับสภาพ

    น่าคิดว่า คนกรุงเทพฯ นอกเหนือจากต้องรับมือกับน้ำท่วม จากฝนตกหนักและน้ำท่า แผ่นดินทรุดตัว น้ำเน่าเสียแล้ว ปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อชาวนา ยังส่งผลกระทบต่อระบบประปา ที่ใช้อุปโภคบริโภคร่วมกันนับสิบล้านคน

    ถึงเวลาที่ทุกฝ่ายจะต้องสรุปบทเรียนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อการแก้ไขปัญหาน้ำ ทั้งน้ำท่วม และน้ำแล้งอย่างยั่งยืนกันเสียที ก่อนที่ในวันข้างหน้าจะต้องประสบปัญหาเช่นนี้ และต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไม่รู้จักจบสิ้น.


     

แชร์หน้านี้

Loading...