ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ถังเชื้อเพลิงโรงงานซีเมนต์ระเบิดในโตโก สังเวยอย่างน้อย 4 ศพ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 กรกฎาคม 2558 19:09 น. (แก้ไขล่าสุด 2 กรกฎาคม 2558 11:49 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี / เอเจนซีส์ /ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย หลังเกิดอุบัติเหตุถังเก็บเชื้อเพลิงระเบิดภายในโรงงานซีเมนต์แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่นอกกรุงโลเม เมืองหลวงของโตโก

    รายงานข่าวในวันพุธ (1 ก.ค.) ซึ่งอ้าง พ.อ.ยาร์ค ดาเมฮาเม รัฐมนตรีซึ่งรับผิดชอบดูแลสายงานด้านความมั่นคงของรัฐบาลโตโกระบุว่า ในขณะที่เกิดโศกนาฏกรรมครั้งนี้มีคนงานจำนวน 6 รายกำลังทำการเชื่อมโลหะอยู่ด้านบนหลังคาของถังเก็บเชื้อเพลิงดังกล่าว ก่อนจะเกิดการระเบิดขึ้น และทำให้มีคนงานเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 4 ราย

    เหตุระเบิดในครั้งนี้ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันอังคาร (30 มิ.ย.) ถูกระบุว่าเกิดขึ้นที่โรงงานของบริษัท เวสต์ แอฟริกัน ซีเมนต์ (WACEM) ที่เมืองตาบลิกโบ ที่อยู่ห่างจากกรุงโลเม เมืองหลวงของโตโกไปทางเหนือราว 75 กิโลเมตร

    โดยนอกจากจะมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 รายในบริเวณที่เกิดเหตุแล้วยังพบคนงานรายหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาลแล้ว

    อย่างไรก็ดี มีรายงานว่ามีคนงานชาวอินเดียหายตัวไป 1 รายหลังเกิดเหตุระเบิดคราวนี้ และเจ้าหน้าที่กำลังเร่งตามหาคนงานรายนี้มาสอบสวนต่อไป

    ด้านเอ็มมานูเอล มงต์โช หนึ่งในผู้แทนเหล่าคนงานของโรงงานแห่งนี้ ออกมาเปิดเผยว่า คนงานชาวอินเดียที่หายตัวไปหลังเกิดการระเบิดนั้น แท้จริงแล้วมีหน้าที่เป็น “หัวหน้าคนงาน” และก่อนเกิดเหตุระเบิดมีคนงาน 13 รายที่กำลังซ่อมถังเชื้อเพลิงดังกล่าว

    ทั้งนี้ บริษัทซีเมนต์ WACEM ได้เข้ามาตั้งฐานในโตโกตั้งแต่เมื่อปี 1996 และว่าจ้างแรงงานท้องถิ่นเข้าทำงานมากกว่า 900 ตำแหน่ง

    [​IMG]

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000074518
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สาหัสกว่าที่คิด!! สื่อเยอรมันแฉเอกสารลับ IMF ถึงแม้กรีซยอมรับเงื่อนไขเจ้าหนี้ต่างชาติทั้งหมด “มาตรการรัดเข็มขัดไม่ช่วยเอเธนส์ปลดหนี้ก่อนปี 2030” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 กรกฎาคม 2558 18:51 น. (แก้ไขล่าสุด 1 กรกฎาคม 2558 19:27 น.)

    [​IMG]

    เอเจนซีส์ – Süddeutsche Zeitung สื่อเยอรมันรายงานเอกสารลับ IMF ระบุ จากการประเมินของ IMF พบว่าถึงแม้เอเธนส์ยอมรับข้อเสนอมาตรการรัดเข็มขัดทั้งหมดจากกลุ่มเจ้าหนี้ต่างชาติ “ทรอยกา” แต่ทว่าจะยังไม่สามารถช่วยให้กรีซออกจากเหววิกฤตหนี้ไปได้ โดยพบว่าในปี 2030 เพดานหนี้กรีซจะยังสูงถึง 118% ของตัวเลข GDP ในปีนั้น

    RT สื่อรัสเซียรายงานวันนี้(1)ว่า Süddeutsche Zeitung สื่อเยอรมันได้ตีพิมพ์เผยแพร่เอกสารลับ IMF ซึ่งมีการคาดการณ์ถึงวิกฤตหนี้สินกรีซว่า จากการวิเคราะห์ทาง IMF เชื่อว่ากรีซจะยังคงเผชิญหน้ากับวิกฤตหนี้สิ้นที่ไม่แน่นอนต่อไปในปี 2030 โดยเพดานหนี้กรีซจะยังสูงถึง 118% ของตัวเลข GDP ในปีนั้น ถึงแม้ว่าเอเธนส์จะรับปากตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเจ้าหนี้ “ทรอยกา” อันประกอบไปด้วยคณะกรรมาธิการยุโรป ธนาคารกลางยุโรป ECB และ IMF ซึ่งมาตรการเหล่านี้รวมไปถึง มาตรการขึ้นภาษี และการตัดลดงบประมาณใช้จ่ายประเทศเพื่อแลกรับความช่วยเหลือด้านการเงินในแพคเก็จช่วยเหลือ 5 เดือนมูลค่า 15.5 พันล้านยูโร

    ซึ่งจากการรายงานครั้งแรกโดยหนังสือพิมพ์เยอรมัน Süddeutsche Zeitung ที่เป็นผู้ได้รับเอกสาร หลังจากเอกสารลับเหล่านี้ได้ส่งไปยังคณะรัฐมนตรีเยอรมัน และสื่ออังกฤษ เดอะการ์เดียน รายงานต่อในภาษาอังกฤษหลังจากได้เห็นเอกสารเหล่านี้ชี้ว่า การคาดการณ์เหล่านี้ระบุอยู่ในเอกสารจำนวน 6 ชุด ที่ 1 ใน 6ของเอกสารเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของดีลเจรจาขั้นสุดท้ายที่ทางกลุ่มเจ้าหนี้ทรอยกาได้ยื่นให้กับเอเธนส์ในวันศุกร์(26มิถุนายน)ที่ผ่านมา

    และการประเมินเหล่านี้ RT รายงานว่า ได้สนับสนุนการตัดสินใจของเอเธนส์ในการไม่ตอบรับข้อเสนอของบรรดาเจ้าหนี้ต่างชาติ ซึ่งพิสูจน์ว่าทางที่จะทำให้กรีซรอดพ้นจากหายนะวิกฤตหนี้ครั้งใหญ่นี้ต้องมาจาก “มาตรการความช่วยเหลือผ่อนปรนหนี้อย่างจริงจัง” มากกว่าที่จะใช้ “มาตรการรัดเข็มขัด” กับกรีซ

    นอกจากนี้เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษยังชี้เพิ่มเติมว่า เพราะการวิเคราะห์ของ IMF พบว่า ข้อกำหนดตัวเลขเพดานหนี้สินต่ำกว่า 110% ของตัวเลขGDP ตามที่เกณฑ์ระบุที่ประชุมของคณะรัฐมนตรีการคลังประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปในเดือนพฤศจิกายน 2012 กำหนดนั้น กรีซจะไม่สามารถทำได้สำเร็จ เพราะในปี 2030 กรีซจะยังคงต้องแบกรับหนี้สินถึง 118% ของตัวเลข GDP ในปีนั้นถึงแม้ทางเอเธนส์จะยอมรับข้อเสนอมาตรการรัดเข็มขัดทุกประการ

    และโดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบัน กรีซต้องแบกรับตัวเลขหนี้สินถึง 175% ของ GDP และอีกทั้งตัวเลขหนี้นี้สามารถขยับเพิ่มขึ้นได้ง่ายมาก หากสภาพเศรษฐกิจของกรีซตกไปสู่สภาพเศรษฐกิจแบบถดถอย

    RT ยังรายงานต่ออีกว่า ถึงแม้เมื่อพิจารณาในสถานการณ์ที่เป็นบวกมากที่สุด ในสถานการณ์ที่เอเธนส์จะสามารถทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจรุดหน้าได้ไม่ต่ำกว่า 4% ต่อปีอย่างคงที่ในเวลาอีก 5 ปีข้างหน้า โดย IMF วิเคราะห์ว่า ระดับเพดานหนี้สินของกรีซจะลดลงไปที่ 124% เท่านั้นก่อนปี 2022

    “เป็นที่เห็นได้ชัดว่า นโยบายที่ถดถอยและแปรปรวนในช่วงเดือนท้ายๆส่งผลต่อความสำเร็จในเป้าหมายตามประกาศปี 2012ของคณะรัฐมนตรีการคลังประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ที่ต้องการให้เพดานหนี้กรีซต่ำกว่า 110% ของตัวเลข GDP ก่อนปี 2022 นั้นเป็นไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม” รายงานจากเอกสารลับ IMF หัวข้อหัวข้อ “The Preliminary Debt Sustainability Analysis for Greece”

    และนอกจากนี้ RT ยังรายงานว่า ชุดเอกสารลับ IMF เหล่านี้ได้ถูกส่งไปยังรัฐมนตรีเยอรมันทุกคนในคณะรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล เพื่อพิจารณาและอนุมัติ แต่ทว่ากลับไม่เคยเกิดขึ้นเนื่องจากนายกรัฐมนตรีกรีซ อเล็กซิส ซีปราส ได้ปฎิเสธเงื่อนไขทั้งหมดของเจ้าหนี้ต่างชาติ และประกาศให้ทำประชาพิจารณ์แทน

    ซึ่งในเอกสารลับ IMF ยังมีการบ่งชี้ด้วยว่า หากจะสามารถช่วยกู้วิกฤตกรีซให้สำเร็จจากการปลอดหนี้สินแล้ว “จำเป็นต้องมีการถอย”

    และสื่อรัสเซียยังรายงานถึงเอกสารลับ IMF อีกชิ้น ซึ่งเป็นเอกสารชิ้นที่ 3 เปิดเผยถึงรายละเอียดข้อตกลงเกี่ยวกับข้อตกลง ตัวอย่างเช่น อธิบายถึงสถานการณ์ที่จะทำให้เอเธนส์สามารถได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 15 พันล้านยูโร ซึ่งในแผนการจะแบ่งออกเป็น 5 ส่วนที่จะสามารถเริ่มขึ้นได้อย่างเร็วที่สุดในเดือนมิถุนายน และจะเร็วที่สุดตราบเท่าที่รัฐสภากรีซโหวตอนุมัติตอบรับข้อเสนอเจ้าหนี้ต่างชาติ แต่ทางกรีซต้องแลกกับการทำตามเงื่อนไขไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน

    โดยตามเอกสารระบุว่า ความช่วยเหลือก้อนนี้จะสามารถบรรเทาความต้องการเม็ดเงินของกรีซอย่างเร่งด่วนได้ ซึ่งพบว่า 93% ของจำนวนเงินทั้งหมดจะนำไปจ่ายคืนให้กับหนี้สินเดิมที่ถึงกำหนดชำระ

    นอกจากนี้ในเอกสารลับ IMF ยังเปิดเผยถึงการปฎิรูปต่างๆที่กรีซจำเป็นต้องทำหากยอมรับเงื่อนไขของกลุ่มเจ้าหนี้ทรอยกา โดยทางกลุ่มเจ้าหนี้ต้องการให้มีการปฎิรูปครั้งใหญ่ในประเทศเพื่อต้องการให้กรีซสามารถมีตัวเลขเหนือเป้าหมาย 1%, 2%, 3%, และ 3.5% ของตัวเลข GDPในปี 2015, 2016, 2017 และ 2018 ตามลำดับ จาการรายงานของสื่ออังกฤษ รวมไปถึงการปรับฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ใหม่เป็น 23% ที่รวมไปถึงร้านอาหารและธุรกิจการให้บริการจัดเลี้ยง โดยทาง IMF ระบุว่าการปรับอัตรา VAT จะส่งผลถึง 1% ต่อตัวเลข GDP โดยรวม

    แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีการเสนอลดอัตรา VAT ลงเหลือ 13% จำกัดเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหารพื้นฐาน พลังงาน โรงแรม และอัตราการใช้น้ำ(ยกเว้นค่าใช้จ่ายสำหรับปล่อยน้ำเสีย) และอัตรา VAT 6% ในส่วนของยารักษาโรค หนังสือ และโรงละคร และโรงภาพยนตร์

    เดอะการ์เดียนรายงานเพิ่มเติมว่า มีการเพิ่มขึ้นของภาษีมูลค่าเพิ่มในธุรกิจประกันภัย และอีกทั้งกำหนดให้ยกเลิกการไม่เก็บภาษี VAT ในบางเกาะของกรีซ ซึ่งแต่เดิมนั้น กลุ่มเจ้าหนี้ต่างชาติประสงค์จะให้มีระบบ VAT ของกรีซเป็นแบบ 2 ขั้นเท่านั้น


     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Focus : หลังกรีซฟุบผิดนัดชำระหนี้ IMF ฝันร้ายยังไม่หยุด ไทม์ชี้ “มาตรการควบคุมเงินทุน” ทุบการท่องเที่ยวกรีซให้ติดลบ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    1 กรกฎาคม 2558 16:04 น. (แก้ไขล่าสุด 1 กรกฎาคม 2558 16:06 น.)

    [​IMG]

    เอเจนซีส์ – หลังจากพ้นเส้นตายกำหนดชำระหนี้ IMF จำนวน 1.6 พันล้านซึ่งล่าสุด IMF ซึ่งล่าสุด IMF ออกแถลงการณ์แจง รัฐบาลกรีซติดต่อขอยืดอายุกำหนดการชำระออกไป และในช่วงระหว่างมาตรการควบคุมเงินทุน และการปิดตลาดหลักทรัพย์ และรวมไปถึงธนาคารทั่วประเทศเป็นเวลาราว 1 สัปดาห์ ล่าสุด สื่อไทม์ได้ออกรายงานจากข้อเขียนของเจย์ แอล ซากอร์สกี (Jay L. Zagorsky)ให้ความเห็น เหตุใดมาตรการควบคุมเงินจึงเป็นผลร้ายมากกว่าดีในสภาวะวิกฤตหนี้กรีซ

    ไทม์รายงานเมื่อวานนี้(30 มิถุนายน) ถึงสถานการณ์ประชาชนกรีกที่ต้องตกในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อต้องพบกับมาตรการควบคุมเงินทุนเป็นครั้งที่ 2 รวมไปถึงการสั่งปิดระบบธนาคารทั่วประเทศเป็นเวลาราว 1 สัปดาห์ในวันที่ 29 มิถุนายน หลังจากผู้คนต่างแห่ไปถอนเงินสดออกจากตู้ ATM ก่อนหน้านี้ หลังเกรงว่าการผิดนัดชำระหนี้ IMF ที่ผ่านไปนั้นกรีซจะไม่สามารถหาเงินมาชำระได้ตามกำหนด และทางธนาคารกลางยุโรป ECB ไม่ปั้มเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน ELA เข้าอุ้มระบบธนาคารกรีซอีกต่อไป

    และแน่นอนที่สุดในสภาพเช่นนี้ เกิดคำถามขึ้นว่า ในหมู่ผู้มีอันจะกินซึ่งยังคงมีเงินฝากในระบบธนาคารในดินแดนเฮลเลนิสติกแห่งนี้ จะต้องดำรงชีพอยู่เช่นใดในสถานการณ์ที่สามารถถอนเงินสดออกจากธนาคารได้เพียงวันละ 60 ยูโรเช่นนั้น

    และที่สำคัญที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกรีซซึ่งถือเป็นหนึ่งในรายได้หลักเข้าประเทศ มาตรการควบคุมการเงินที่ออกมาบังคับใช้ล่าสุด ส่งผลทำให้ชาวต่างชาตินักท่องเที่ยวต้องพกเงินสดสกุลยูโรหรือดอลลาร์ไปเองในระหว่างเดินทางในดินแดนมากเกาะเช่นนี้ หรือไม่เช่นนั้นบรรดานักท่องเที่ยวต่างต้องเพียรพยายามหาตู้ ATM ที่ใช้สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ ซึ่งจะไม่ถูกจัดภายใต้มาตรการควบคุมการเงินของกรีซ

    แต่ทว่าไทม์ชี้ว่า ในสถานการณ์ที่สับสนอลหม่านเช่นนี้ นักท่องเที่ยวซึ่งมีเงินการท่องเที่ยวจำกัดนั้นประสบปัญหาอย่างมากในการหาตู้ ATM ที่มีเงินบรรจุอยู่ภายใน ซึ่งก่อนหน้านั้นมีรายงานว่า มีเพียงแค่ 40% ของตู้ATMทั่วประเทศเท่านั้นที่ยังพอมีเงินสกุลยูโรหลงเหลืออยู่

    และที่แย่ไปกว่านั้น สำหรับในมาตรการควบคุมเงินทุนตามทัศนะของไทม์ รัฐบาลกรีซได้กำหนดห้ามการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินออกนอกประเทศ ยกเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังกรีซก่อน

    และแน่นอนที่สุด มาจนถึงวินาทีนี้ยังไม่มีใครทราบถึงผลกระทบวิกฤตการเงินต่อกรีซ และต่อทั้งโลก แต่กระนั้นในทัศนะของไทม์ ชี้ว่า ก่อนที่กรีซจะเข้าร่วมกับสหภาพยุโรป กรีซได้เคยประสบปัญหาวิกฤตการเงินอย่างรุนแรงจยถึงขั้นต้องใช้มาตรการควบคุมการเงิน และห้ามการเคลื่อนย้ายเงินออกนอกประเทศมาแล้ว และจากเหตุการณ์ในอดีตทำให้เจย์ แอล ซากอร์สกี (Jay L. Zagorsky)คอลัมนิสของไทม์ชี้ว่า ผลกระทบการใช้มาตรการควบคุมเงินทุนนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาวอย่างแน่นอน

    ซากอร์สกีได้มีโอกาสมาเยือนกรีซในช่วงกลางปียุค 80 ซึ่งประจวบเหมาะเป็นเวลาที่รัฐบาลกรีซกำหนดใช้มาตรการควบคุมเงินทุนอย่างเข้มงวด การซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตรานอกระบบธนาคารถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เป็นต้น

    และเป็นที่น่าสนใจว่า รัฐบาลต่างๆในโลกนี้มักออกมาตรการเหล่านี้เพื่อสามารถควบคุมธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย หลีกเลี่ยงภาษีในระบบแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งการหลบเลี่ยงภาษีเกิดขึ้นอย่างแน่ชัดจากการที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากอัตราแลกเปลี่ยนในระบบตลาดอัตราแบบลอยตัว เช่น อาร์เจนตินา โดยซากอร์สกีอธิบายว่า เรตอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์ในตลาดมืดนั้นต่างราวฟ้ากับดินกับอัตราที่ทางรัฐบาลอาร์เจนตินากำหนดไว้

    ซากอร์สกีได้ยกประสบการณ์ตรงของเขาในการใช้ชีวิตเป็ยเวลา 10 วันในกรีซในช่วงยุค 80 ซึ่งก่อนการเดินทางเขาไม่มีปัญหาในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯเป็นสกุลเงินเก่าของกรีซ “แดรชมาส์กรีก” ในขณะนั้น เป็นช่วงเวลาก่อนที่กรีซจะเข้าร่วมกับสหภาพยุโรป และหันมาใช้สกุลเงินยูโรอันแข็งแกร่งแทน

    ซึ่งในช่วงเวลาที่แสนวิเศษในกรีซ ซากอร์สกีได้เดินทางไปเยือนวิหารอันเลื่องชื่อหลายแห่งในประเทศ เช่น วิหารพาร์เธนอน รวมไปถึงได้ลองลิ้มอาหารพื้นเมืองลือรสเลื่องชื่อของกรีซ และวันสุดท้ายของทริปซึ่งตรงกับวันกลางสัปดาห์นั้น คอลัมนิสไทม์ผู้นี้อยู่ในกรุงเอเธนส์ และได้ซื้อตั๋วโดยสารเรือเฟอร์รีเพื่อเดินทางต่อไปอีกประเทศหนึ่งเรียบร้อยแล้ว

    ซากอร์สกีกล่าวว่า เขาตื่นเช้าในโรงแรมที่พัก และชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมด และทำให้เงินแดรชมาส์ในกระเป๋าสตางค์นั้นถูกใช้หมดเกลี้ยง ก่อนที่ชายผู้นี้ได้วางแผนที่จะไปยังธนาคารที่ใกล้ที่สุดในการแลกเปลี่ยนเงินท้องถิ่นเพิ่มเพื่อชำระบิลค่าซักรีดที่ซากอร์สกีได้ส่งซักไปเมื่อ 2 วันก่อนหน้านั้น และหลังจากนั้นนักเขียนไทม์คาดว่าจะมุ่งหน้าไปยังท่าเรือเพื่อหาอาหารรองท้องก่อนออกเดินทางไปยังประเทศอื่นตามกำหนด

    แต่ทว่า นักเขียนไทม์ระบุว่า มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นเมื่อเขาโผล่หน้าออกไปยังท้องถนนที่เคยพลุกพล่าน แต่กลับเงียบสงัดไร้สิ่งมีชีวิต ร้านค้าปิดตัว รวมไปถึงธนาคารอันเป็นเป้าหมายของซากอร์สกีในวันพุธกลางสัปดาห์นั้น ซึ่ง ชายผู้นี้จำได้แม่นยำว่า เป็นวันที่ 1 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันเมย์เดย์ หรือวันกรรมกรโลก และในไม่ช้าถนนที่เคยโล่งต่างกลับพลุกพล่านไปด้วยผู้ประท้วงชาวกรีกที่ส่งเสียงร้องประกาศข้อเรียกร้องออกไป

    แต่ช่างโชคดีสำหรับซากอร์สกีที่ร้านรับซักแห้งของเขาเปิดทำการในวันนั้น แต่ยังคงเป็นข่าวร้ายของนักเขียนผู้นี้ที่ในกระเป๋าสตางค์ซึ่งยังคงมีเงินสดดอลลาร์อยู่เป็นจำนวนมาก พร้อมกับเครดิตการ์ดอเมริกันเอ็กซเพรสที่สามรถรูดได้ทั่วโลก แต่อนิจากลับไม่มีสกุลเงินแดรชมาส์ของกรีซติดเลยซักฉบับ

    เป็นที่น่าเศร้ามากกว่านี้จากเปิดเผยจากปากคำของเจ้าของร้านซักแห้งว่า หากเธอยอมรับการชำระเงินด้วยสกุลเงินดอลลาร์นั้น จะทำให้เธอถูกจับเข้าคุกแทนได้เนื่องจากเธอได้ฝ่าฝืนมาตรการควบคุมเงินทุนของรัฐบาลกรีซเข้าให้แล้ว ซึ่งในที่สุดเจ้าของร้านซักแห้งแห่งนี้ใจดีเป็นที่สุด และเห็นใจในโชคชะตาและความพยายามที่จะชำระบิลค่าซักแห้งของนักท่องเที่ยวรายนี้ ด้วยการไม่คิดค่าใช้จ่ายกับซากอร์สกีแต่อย่างใดในครั้งนั้น พร้อมทั้งยังให้เหรียญสำหรับใช้กับระบบรถไฟฟ้าใต้ดินกรีซแก่นักท่องเที่ยวผู้อับโชค เพื่อที่จะนำเขาไปยังท่าเรือได้สำเร็จ

    และผลจากมาตรการควบคุมเงินทุนของกรีซในครั้งนั้นส่งผลทำให้ซากอร์สกี ที่อยู่ในกรีซในฐานะนักท่องเที่ยวต้องประสบปัญหาในการใช้เงิน และยังขยาดที่จะกลับไปเยือนกรีซอีกครั้ง

    และทำให้เขาได้ตั้งคำถามกับบรรดานักการเมืองกรีซทั้งหลายในขณะนี้ว่า มาตรการทางการเงินที่ได้ประกาศใช้ในขณะนี้สามารถต่อชีวิตระบบการธนาคารของกรีซที่เกือบล้มละลายได้จริงหรือ

    เพราะในความเห็นของซากอร์สกีแล้ว การควบคุมระบบการแลกเปลี่ยนตราจะส่งผลร้ายต่อการท่องเที่ยวกรีซอย่างมหันต์ ซึ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีส่วนแบ่งในการค่าจีดีพีของกรีซถึง 16 % และอีกทั้งมาตรการควบคุมการเงินนี้จะไม่ช่วยระบบการธนาคารมากนัก เพราะประชาชนกรีซต่างหมดความเชื่อมั่นไปแล้วว่าจะสามารถทำธุรกรรมบัญชีเงินฝากของพวกเขาได้ตามปกติ

    การลดศักยภาพการท่องเที่ยวอันแข็งแกร่งของตนเองลง และอีกทั้งไม่ยอมฟื้นความเชื่อมั่นของระบบธนาคารกรีซที่ง่อนแง่น เพราะซากอร์สกีเชื่อมั่นว่า การฟื้นกลับมาของเศรษฐกิจประเทศอีกครั้งจะยาวนานกว่า หลังจากวิกฤตหนี้สินกรีซได้จบสิ้นลงไปแล้วอย่างแน่นอน เพราะในความคิดของนักเขียนไทม์ผู้นี้ มาตรการควบคุมการเงินนั้นเป็นแค่ “พลาสเตอร์ปิดแผล เพื่อรอให้แผลติดเชื้อกลัดหนองนั้นบ่มเพาะให้ลุกลามในระยะยาว”

    Focus :
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โพลชี้ชาวกรีซส่วนใหญ่จะโหวต “โน” ประชามติเงินช่วยเหลือ แต่กระแสชักแผ่วหลังเจอมาตรการปิดธนาคาร โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 กรกฎาคม 2558 15:29 น.

    [​IMG]

    รอยเตอร์ – ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดวันนี้ (1 ก.ค.) เผย ประชาชนชาวกรีซส่วนใหญ่จะโหวต “โน” ไม่เอาแผนปฏิรูปรับเงินช่วยเหลือจากองค์กรเจ้าหนี้ ในการทำประชามติวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ (5 ก.ค.) แต่กระแสเริ่มแผ่วลงมา โดยมีคะแนนนำฝ่ายที่จะโหวต “เยส” อยู่เพียงเฉียดฉิว ภายหลังรัฐบาลเอเธนส์ประกาศมาตรการควบคุมเงินทุนและสั่งปิดธนาคาร

    ผลสำรวจซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 28-30 มิ.ย. และเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ Efimerida ton Syntakton พบว่า ชาวกรีซ 54% ที่จะออกไปใช้สิทธิ์ลงประชามติในวันอาทิตย์นี้ ไม่เห็นด้วยกับการยอมรับเงื่อนไขปฏิรูปที่สหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เสนอมา ขณะที่อีก 33% คิดว่ากรีซควรกัดฟันยอมรับเพื่อความอยู่รอด

    อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบผลสำรวจในช่วงก่อนและหลังจากที่รัฐบาลกรีซได้ประกาศควบคุมเงินทุนและปิดสถาบันการเงินทั่วประเทศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา(28 มิ.ย.) พบว่าช่องว่างระหว่างกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเริ่มจะ “แคบลง”

    ชาวกรีซ 57% ที่ตอบคำถามก่อนปิดธนาคาร ระบุว่าพวกเขาจะโหวต “โน” ในขณะที่ผู้โหวต “เยส” มีเพียง 30% เท่านั้น แต่หลังจากที่มีการปิดธนาคาร กลุ่มที่จะโหวต “โน” ลดลงมาเหลือ 46% แต่พวกที่คิดจะโหวต “เยส” กลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 37%

    ผลสำรวจยังพบด้วยว่า กลุ่มที่สนับสนุนให้โหวต “โน” มากที่สุดคือฐานเสียงของพรรครัฐบาลฝ่ายซ้ายไซรีซา (77%) พรรคขวาจัดโกลเดนดอว์น (80%) และพรรคคอมมิวนิสต์ เคเคอี (57%) ส่วนเสียงเชียร์โหวต “เยส” เข้มแข็งเป็นพิเศษในกลุ่มฐานเสียงของพรรคกลางขวาประชาธิปไตยใหม่ (65%) พรรคสายกลางโปรยุโรป โต โปตามี (68%) รวมถึงพรรคกลางซ้ายปาซ็อก (65%)

    กระแสโหวต “โน” ค่อนข้างแรงในกลุ่มพลเมืองกรีซที่ว่างงาน (62%) และในภาพรวมของประชาชนทุกกลุ่มก็ยังพบว่ามีผู้จะโหวต “โน” มากกว่า “เยส” ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ คนวัยเกษียณที่รับเงินบำนาญ พนักงานบริษัท และแม่บ้าน

    หลังจากที่กลายเป็นชาติพัฒนาแล้วประเทศแรกในโลกที่ “ผิดนัดชำระหนี้” กับไอเอ็มเอฟ ล่าสุดวันนี้ (1 ก.ค.) รัฐบาลกรีซได้พยายามหันไปขอความช่วยเหลือจากหุ้นส่วนในยูโรโซนและธนาคารกลางแห่งยุโรป (อีซีบี) โดยยื่นข้อเสนอกับกลุ่มรัฐมนตรีต่างประเทศยูโรโซน (ยูโรกรุ๊ป) ว่าจะขอทำข้อตกลงเงินกู้ก้อนใหม่ในช่วงเวลา 2 ปี และขอปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ซีปราส ของกรีซเองก็แบะท่าว่าอาจจะยอมยกเลิกแผนทำประชามติในวันอาทิตย์(5) หรือไม่ก็หนุนให้ประชาชนโหวต “เยส” หากการเจรจากับสหภาพยุโรปเป็นผลสำเร็จ

    โพลชี้ชาวกรีซส่วนใหญ่จะโหวต “โน” ประชามติเงินช่วยเหลือ แต่กระแสชักแผ่วหลังเจอมาตรการปิดธนาคาร

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    UNHCR เผยครึ่งแรกปีนี้มีผู้อพยพข้ามทะเลเข้ายุโรปสูงขึ้นจากปีก่อน 80%
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 กรกฎาคม 2558 14:17 น.

    [​IMG]

    รอยเตอร์ – ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเดินทางข้ามทะเลเข้ามาในยุโรปมากกว่า 135,000 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2015 และภาระดังกล่าวส่วนใหญ่ตกอยู่กับบรรดาประเทศในยุโรปใต้ ทั้งนี้อ้างจากรายงานล่าสุดของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)

    “เหล่าผู้คนที่หมดหวังกำลังพึ่งพาอาศัยวิธีที่สิ้นหวัง และโชคร้ายที่ตัวเลขดังกล่าวคาดว่าจะยังคงพุ่งสูงต่อไปอีก” ไบรอัน แฮนส์ฟอร์ด โฆษกของ UNHCR กล่าว

    จำนวนของผู้ลี้ภัยและผู้อพยพที่เข้ามาในยุโรปในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2015 เพิ่มขึ้นกว่า 80 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2014 รายงานชิ้นนี้ของ UNHCR ระบุ

    รายงานชิ้นนี้มีออกมาในขณะที่บรรดาผู้นำยุโรปยังคงไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขวิกฤติผู้อพยพนี้ที่กำลังหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

    การเพิ่มจำนวนมากขึ้นของผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ ซึ่งส่วนมากเสี่ยงตายข้ามทะเลเมดิเตอเรเนียนมาด้วยเรือที่ไม่ปลอดภัย มีผลกระทบหนักโดยเฉพาะกับประเทศในยุโรปใต้ รายงานระบุ

    กรีซ ซึ่งเป็นจุดลงเรือที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2015 กำลังมีปัญหาทางเศรษฐกิจและเพิ่งถูกประกาศว่าผิดนัดชำระหนี้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศเมื่อเช้าวันนี้ (1)

    ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพกำลังไหลหลั่งเข้าสู่พื้นที่ทางตะวันตกของคาบสมุทรบอลข่านจากกรีซ และนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิถุนายน ทุกๆ วันจะมีผู้เดินทางเข้ามากว่า 1,000 คน “เทียบกับ 200 คนเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น” รายงานระบุ

    นายกรัฐมนตรี มัตเตโอ เรนซี ของอิตาลีต่อว่าเหล่าผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากเรื่องความล้มเหลวในการตกลงกันเกี่ยวกับแผนการที่จะรับผู้แสวงหาที่พักพัง 40,000 คนจากอิตาลีและกรีซ

    “ในขณะที่ผู้อพยพเข้ามากำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ศักยภาพและปัจจัยแวดล้อมในการต้อนรับยังไม่เพียงพออย่างร้ายแรง” แฮนส์ฟอร์ด กล่าว “นี่เป็นปัญหาในภูมิภาคที่จำเป็นต้องใช้การตอบสนองและความสามัคคีในภูมิภาค”

    ซีเรีย ซึ่งตกอยู่ในภาวะสงครามกลางเมืองมาตั้งแต่ปี 2011 เป็นประเทศที่มีผู้อพยพลี้ภัยมาขึ้นชายฝั่งของยูโรปมากที่สุดด้วยจำนวนเกือบ 44,000 คน รายงานชิ้นนี้ระบุว่า ความไร้เสถียรภาพในลิเบียก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของจำนวนผู้ลี้ภัยที่เพิ่มขึ้นนี้ เอริเทรียและอัฟกานิสถานเป็นประเทศต้นทางอันดับที่ 2 และอันดับที่ 3 ตามลำดับ รายงานระบุ

    อย่างไรก็ตาม รายงานชิ้นนี้เสริมว่า การที่อียูจัดหาเงินทุนให้กับปฏิบัติการกู้ภัยเพิ่มขึ้นทำให้ตัวเลขการเสียชีวิตกลางทะเลลดลงนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000074317
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “ศรีวราห์” ชน “สมยศ” โร่ฟ้อง “บิ๊กป้อม” อ้างมติมิชอบ-เก้าอี้ ผบ.ตร.สั่นสะท้าน
    โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 2 กรกฎาคม 2558 12:31 น. (แก้ไขล่าสุด 2 กรกฎาคม 2558 13:00 น.)

    [​IMG]

    @พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล (แฟ้มภาพ)

    ยุทธจักรสีกากีใก้ลระเบิด “ศรีวราห์” ฮึดสู้ ทำหนังสือร้อง “บิ๊กป้อม” มติลับ 3-2 อุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองเยียวยาการเสียโอกาสจากนับทวีคูณอายุราชการ ชนแหลก “เอก-พงศพัศ” หาเป็นคู่ขัดแย้ง เคยสอยตัวเองเมื่อปี 2555 ซัด “สมยศ” ฉวยโอกาสเล่นกลตอนประธาน ก.ตร.เดินทางไปทำภารกิจ แฉลงคะแนนครั้งแรกเสมอ 2-2 แต่ให้นับใหม่จนแพ้ไป 1 แต้ม กระฉ่อนศึกนี้ใหญ่หลวงมีเดิมพันด้วยเก้าอี้ “ผบ.ตร.”

    จากกรณีคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ได้พิจารณาตามคำสั่งศาลปกครองให้เยียวยา พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น.เกี่ยวกับการนับทวีคูณอายุราชการ แต่ปรากฏว่าที่ประชุมได้ลงมติลับ 3-2 ให้อุทธรณ์มีรายงานข่าวว่า พล.ต.ท.ศรีวาห์ได้ทำหนังสือร้องเรียนถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีมติการประชุม (ลับ) ก.ตร. ครั้งที่ 8/2558 เมื่อ 25 มิ.ย. 2558 เรื่องให้อุทรณ์คำสั่งศาลปกครองการนับวันทวีคูณโดยอ้างว่าทราบจาก ก.ตร.ท่านหนึ่งซึ่งเข้าประชุมเมื่อวันดังกล่าว 11.00 น. ประธาน ก.ตร.ติดภารกิจออกจากที่ประชุม และได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ทำหน้าที่ประธานแทน จากนั้น ผบ.ตร.ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาว่าจะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองต่อศาลปกครองสูงสุดหรือไม่ และขอให้มีมติในเรื่องนี้ ที่ประชุมพิจารณาให้มีการลงคะแนนลับ มี ก.ตร.ร่วมพิจารณา 7 ท่าน

    คำร้อง ผบช.น.ระบุต่อไปว่า ปรากฏผลการลงคะแนนลับ ไม่อุทธรณ์ 2 ให้อุทธรณ์ 2 งดออกเสียง 3 เสียง ทำให้คะแนนเท่ากัน ประธานในที่ประชุมจึงได้กล่าวในที่ประชุมว่า “ถ้าให้ประธานลงคะแนนเสียงด้วยก็จะถูกฟ้องคนเดียว” และได้สั่งพักการประชุม ก่อนที่ประธานจัดให้มีการลงคะแนนเสียงใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยทางลับ ผลคือไม่อุทธรณ์ 2 ให้อุทธรณ์ 3 งดออกเสียง 2 เสียงนั้น ขอเรียนว่าการดำเนินการออกเสียงลงคะแนนและมีมติดังกล่าว ขัดต่อกฎหมายและข้อบังคับ ก.ตร.

    “กรณี พล.ต.อ.สมยศ ทำหน้าที่แทนประธาน ก.ตร.นั้น ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 42 วรรค 2 บัญญัติไว้ว่า ในการประชุมฯ ถ้าประธาน ก.ตร.ไม่อยู่ให้ ก.ตร.เลือก ก.ตร.คนใดคนหนึ่งเป็นประธาน แต่ในการประชุมนี้ไม่มีการเลือกแต่อย่างใด จึงทำให้การประชุม ก.ตร.ครั้งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

    นอกจากนั้น ในกรณีการประชุม ก.ตร.ดังกล่าวที่ลงคะแนนลับในครั้งแรก ผลคะแนนเท่ากัน ตามข้อบังคับ ก.ตร.ว่าด้วยการประชุมและการลงคะแนน พ.ศ. 2547 กำหนดให้ว่ากรณีเสียงเท่ากัน ให้ประธานออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาดโดยพลัน แต่การที่ประธานในที่ประชุมได้สั่งให้พักแล้วมีการลงคะแนนใหม่อีกครั้ง มติดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ และ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร.ที่ร่วมลงมตินั้น ทั้งคู่เป็นกรณีและมีส่วนได้เสียเนื่องจากอยู่ร่วมประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 9/2555 เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2555 ที่ตนได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในกรณีที่ ก.ตร.มีมติไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้มีมติเพิกถอนมติ ก.ตร.ดังกล่าว

    ดังนั้น ผู้มีส่วนได้เสียดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้กระทำการพิจารณาทางการปกครอง ตามมาตรา 13 (1) แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และ ข้อบังคับ ก.ตร.ว่าด้วยการประชุมและการลงมติของ ก.ตร.และอนุ ก.ตร. พ.ศ. 2547 มติดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การประชุม ก.ตร.ดังกล่าวได้พิจารณาว่าจะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ของตน ต่อศาลปกครองสูงสุดหรือไม่ เป็นการพิจารณาทางปกครอง การกระทำดังกล่าวจึงต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 จึงได้มีหนังสือขอเข้าชี้แจงต่อที่ประชุม ก.ตร.เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม การประชุมดังกล่าวจึงมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเรียนมาเพื่อขอได้โปรดสั่งการให้ยกเลิกมติในการประชุมดังกล่าวเพื่อให้ถูกต้องต่อไป

    ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า พล.อ.ประวิตรได้สั่งการให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองเลขาฯ นายกรัฐมนตรี มีหนังสือแจ้งถึง ผบ.ตร.ระบุว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ ได้มีหนังสือด่วนมาก ลงวันที่ 25 มิ.ย. 58 คัดค้านการลงมติในการประชุม ก.ตร.อันขัดต่อกฎหมาย และข้อบังคับ จากการประชุม ก.ตร.เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 58 วาระเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงที่ 1360 /2558 ให้ ผบ.ตร.ตรวจสอบ โดยพิจารณาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย แล้วเสนอความเห็นโดยด่วนในวันที่ 29 มิ.ย. 58 แต่เนื่องจาก ผบ.ตร.เดินทางไปราชการต่างประเทศ พล.ต.อ.เอก รรท.ผบ.ตร.ได้รับหนังสือดังกล่าว และสั่งการไปยัง พล.ต.อ.ชัยยง กีรติขจร ที่ปรึกษา (สบ 10) ให้หารือเรื่องนี้ร่วมกับตัวแทนสำนักงานกฎหมายและคดี และตัวแทนสำนักงาน ก.ตร.เพื่อพิจารณาตามที่มีการสั่งการและร้องเรียน โดยผลการหารือเบื้องต้น ได้ข้อสรุปว่า

    ประเด็นที่ว่าไม่มีการเลือก พล.ต.อ.สมยศทำหน้าที่ประธานการประชุมแทน พล.อ.ประวิตรนั้น สามารถทำได้ เพราะมีประกาศ คสช.ฉบับที่ 88/57 การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วย ตร.เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ก.ตร.โดยกำหนดให้ ผบ.ตร.เป็นรองประธาน ก.ตร. ดังนั้นการทำหน้าที่ของ พล.ต.อ.สมยศสามารถทำได้

    ส่วนที่ พล.ต.ท.ศรีวราห์ โต้แย้งกรณี พล.ต.อ.เอก และ พล.ต.อ.พงศพัศ ไม่มีสิทธิร่วมประชุมเพราะเป็นคู่กรณีและมีส่วนได้เสียนั้น ประเด็นนี้ชี้ว่าเป็นการร่วมพิจารณาว่าจะอุทธรณ์คำพิพากษาหรือไม่ ซึ่งเป็นการพิจารณาในฐานะ ก.ตร.ซึ่งเป็นคู่ความตามคำพิพากษาของศาลปกครอง รอง ผบ.ตร.ทั้ง 2 คนจึงมีสิทธิพิจารณา

    โดยสรุปว่าการประชุม ก.ตร.ครั้งที่ผ่านมาชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปตามกฏข้อบังคับ ทั้งนี้ ตร.ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประวิตร เพื่อขอขยายเวลาการชี้แจงเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปอย่างรอบคอบและรอให้ พล.ต.อ.สมยศ กลับจากไปราชการได้ร่วมพิจารณาอีกครั้ง

    มีรายงานด้วยว่า ศึกเยียวยาทวีคูณอายุราชการ น.1 ที่มีการลงมติลับ 3-2 มาจนถึงการแฉแหลกของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ครั้งนี้ ทำให้บรรยากาศภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกิดความเคร่งเครียดขึ้นมาทันที โดยเฉพาะ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ที่เคยเฮฮากับกลุ่มผู้สื่อข่าว กลับเงียบขรึม แม้แต่คดีมือปืนยิงนายสมยศ สุธางค์กูร หรืออดีตเจ้าพ่อพระราม 9 คาเฟ่ ผบ.ตร.ยังสงวนท่าทีต่างจากทุกครั้ง ทั้งนี้เชื่อกันว่านอกจาก พล.ต.อ.สมยศจะไม่สบายใจแล้วยังมีนายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.อีกหลายนายพลอยรู้สึกอึดอัดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอาจมีเดิมพันกันด้วยเก้าอี้ และศักดิ์ศรีของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ในฐานะผู้นำสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลยก็ว่าได้


    http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000074743
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศูนย์ฝนหลวงพิเศษเชียงใหม่ลุยแก้แล้งต่อเนื่อง-ส่วน 2 เขื่อนใหญ่น้ำยังวิกฤต
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กรกฎาคม 2558 15:45 น. (แก้ไขล่าสุด 2 กรกฎาคม 2558 16:03 น.)

    [​IMG]

    ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ศูนย์ฝนหลวงพิเศษเชียงใหม่นำเครื่องบินออกปฏิบัติการต่อเนื่องทุกวันเช้า-บ่าย หวังเร่งคลี่คลายภัยแล้งและความเดือดร้อนของประชาชนที่ขาดแคลนน้ำ ยอมรับเบื้องต้นอาจยังมีฝนตกลงมาไม่มากนัก แต่เชื่อมั่นว่าจะได้ผลดีขึ้นตามลำดับ ขณะที่ปริมาณน้ำในเขื่อนใหญ่ทั้ง 2 แห่งของเชียงใหม่ยังไม่พ้นวิกฤต ชลประทานต้องวางแผนบริหารจัดการใช้อย่างรอบคอบให้เพียงพอใช้

    วันนี้ (2 ก.ค. 58) นางสาวหนึ่งหทัย ตันติพลับทอง ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าของวานนี้ (1 ก.ค. 58) ทางศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือได้บินออกปฏิบัติการพิเศษรวม 2 เที่ยวบินเพื่อบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้ง และเน้นไปยังการปฏิบัติการในพื้นที่ลุ่มน้ำ เพื่อเติมน้ำให้กับจุดลุ่มแม่น้ำต่างๆ

    โดยใช้เครื่อง CN 2221 ขึ้นบินจากสนามบินเชียงใหม่ไปยังพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ถึงทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ต่อเนื่องไปถึงทิศตะวันออกเฉียงใต้ อ.อมก๋อย ถึงทิศตะวันตกเฉียงใต้ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ และเครื่อง CASA 1511 ไปยังพื้นที่เป้าหมายได้แก่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ถึงทิศตะวันตกเฉียงใต้ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่

    ขณะที่ช่วงบ่ายมีการออกปฏิบัติการอีก 2 เที่ยวบินในพื้นที่ อ.ฮอด อ.จอมทอง และ อ.ดอยเต่า อย่างไรก็ตาม จากการปฏิบัติการดังกล่าวยังทำให้เกิดฝนตกในพื้นที่ไม่มากนัก และได้ปริมาณฝนเพียงเล็กน้อยในพื้นที่ที่ดำเนินการ เนื่องจากฐานเมฆสูงเกือบ 9,000 ฟุต ทำให้มีฝนตกเป็นละอองบางแห่ง และส่วนใหญ่ไม่น่าจะถึงพื้น

    ทั้งนี้ ยังเชื่อมั่นว่าจากปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องของศูนย์ฝนหลวงพิเศษจังหวัดเชียงใหม่ที่ทำการขึ้นบินโปรยสารฝนหลวงในพื้นที่ที่ร้องขอ และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ จะสามารถช่วยบรรเทาภาวะแล้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ได้ไม่มากก็น้อย

    สำหรับสถานการณ์ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่นั้น ข้อมูล ณ วันที่ 2 ก.ค. 58 เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล อำเภอแม่แตง มีปริมาณน้ำ 61.664 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 23.27 ของความจุอ่าง 265 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 2557 ที่มีปริมาณน้ำ 106.861 ล้านลูกบาศก์เมตร

    ส่วนเขื่อนแม่กวงอุดมธารา อำเภอดอยสะเก็ด มีปริมาณน้ำ 32.078 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 12.20 ของความจุอ่าง 263 ล้านลูกบาศก์เมตร น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 2557 ที่มีปริมาณน้ำ 70.341 ล้านลูกบาศก์เมตร

    ขณะเดียวกันยังเกิดภาวะฝนตกทิ้งช่วงและมีน้ำไหลลงเขื่อนน้อย ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ชลประทานเตรียมวางแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างรอบคอบเพื่อให้มีน้ำเหลือเพียงพอใช้

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ระกำจริง! เศรษฐกิจสุดฝืด-คนบางระกำหมดทางออก แม้แต่ครกยังต้องจำนำ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กรกฎาคม 2558 11:38 น. (แก้ไขล่าสุด 2 กรกฎาคม 2558 11:57 น.)

    [​IMG]

    พิษณุโลก - ชาวบ้านบางระกำสุดช้ำ เจอภัยแล้งไม่พอ เศรษฐกิจฝืดเคือง แห่นำทองเข้าโรงจำนำ 2 เดือนเกือบร้อยล้าน รวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือทางการเกษตรก็ต้องจำนำ ไม้เว้นแม้แต่พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เรือน ยัน “ครกหิน” ยังขนเข้าโรงตึ๊ง

    [​IMG]

    วันนี้ (2 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่ายอดผู้ใช้บริการสถานธนานุบาล หรือโรงรับจำนำ นับเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงสภาพเศรษฐกิจแต่ละท้องถิ่นได้ดีที่สุดเช่นกัน ซึ่งขณะนี้พบว่าชาวบ้าน “บางระกำ จ.พิษณุโลก” นอกจากจะประสบปัญหาภัยแล้งเช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ แล้ว ยังเจอปัญหาสภาพเศรษฐกิจฝืดเคืองด้วย

    [​IMG]

    โดยที่สถานธนานุบาลเทศบาลตำบลบางระกำมีประชาชนนำทองคำมาจำนำในช่วง 2 เดือนมานี้มากกว่า 90 ล้านบาท นอกจากนี้ยังขนเครื่องมือการเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ อีกจำนวนมากมาจำนำ ล่าสุดเงินสำรองที่สถานธนานุบาลเตรียมไว้ถูกนำมาใช้จนหมดทั้ง 95 ล้านบาท และต้องเตรียมสำรองเงินเพิ่มเพื่อรองรับเกษตรกรที่จะเข้ามาใช้บริการ

    นายสุนทร เพิ่มพูล ผู้จัดการสถานธนานุบาลเทศบาลตำบลบางระกำ เปิดเผยว่า บางระกำเป็นพื้นที่ที่มีเกษตรกรจำนวนมาก ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีรายได้เป็นรอบๆ จากการทำการเกษตร ช่วงที่ประชาชนขัดสนก็จะนำทองคำ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือทรัพย์สินมีค่ามาจำนำไว้กับสถานธนานุบาลเทศบาลตำบลบางระกำ

    โดยแต่ละปีที่ผ่านมาจะมีประชาชนมาใช้บริการเฉลี่ยเดือนละไม่กี่ล้านบาท แต่เป็นที่น่าแปลกใจสำหรับในปีนี้มีประชาชนนำทรัพย์มาจำนำเพิ่มมากขึ้น จนวงเงินที่เตรียมไว้ 95 ล้านบาทไม่เพียงพอ ขณะนี้ได้ขยายวงเงินเพิ่มขึ้นอีกกว่า 500,000 บาท

    นายสุนทรกล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ภัยแล้งที่รุนแรงและยาวนานทำให้ประชาชนขาดรายได้ในช่วงนี้ จนถึงขั้นต้องนำพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว จำนวน 4 องค์ ซึ่งเก็บสะสมไว้ออกมาจำนำองค์ละ 800 บาท ที่แย่ที่สุดก็คือมีประชาชนเป็นหญิงวัยกลางคนในเขตเทศบาลตำบลบางระกำนำครกหิน จำนวน 2 ลูก มาจำนำไว้ 400 บาท นานถึง 8 เดือนแล้ว โดยจ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน เดือนละ 2 บาท บอกว่าจะนำไปจ่ายค่าน้ำ เราก็รับจำนำไว้เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ขัดสน

    “เฉพาะในช่วง 1-2 เดือนนี้มีเกษตรกรมาใช้บริการมากขึ้น คาดว่าเกษตรกรจะนำไปลงทุนทำนาปี หรือลงทุนปลูกพืชอายุสั้นเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมา เนื่องจากปีนี้ประสบปัญหาภัยแล้งมาก เกษตรกรที่จะทำนาต้องลงทุนมากขึ้นเพื่อดึงน้ำบาดาลขึ้นมาทำนาก่อนระหว่างที่รอฝนตกตามฤดูกาล”

    สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่สถานธนานุบาลฯ คิดจากลูกค้าคือ วงเงินไม่เกิน 5,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 50 สตางค์ แต่หากวงเงินมากกว่า 5,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาท

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “น้ำยวม” แห้งรุนแรงกระทบประปาเทศบาล ถึงขั้นเฉลี่ยจ่ายน้ำแล้ว (ชมคลิป)
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 กรกฎาคม 2558 08:54 น. (แก้ไขล่าสุด 1 กรกฎาคม 2558 11:20 น.)

    [​IMG] [​IMG]

    ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ระดับน้ำในแม่น้ำยวม เมืองสามหมอก แห้งตลอด จนกระทบถึงการผลิตน้ำประปา เทศบาลขุนยวมต้องประกาศสลับเวลาจ่ายน้ำให้ชาวบ้าน ส่วนราชการทั้งใน-นอกเขตแล้ว

    วันนี้ (1 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้สายน้ำในลำน้ำยวม สายน้ำหลักที่ไหลมาจาก อ.ขุนยวม ผ่าน อ.แม่ลาน้อย-อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเคยหล่อเลี้ยงผู้คนตลอดสองฝั่งน้ำมาหลายชั่วอายุคนแบบไม่เคยแห้งเหือดมาก่อน แต่ปีนี้ระดับน้ำในแม่น้ำสายนี้ลดลง และตื้นเขิน ฝายน้ำล้นของกรมชลประทานที่เป็นจุดผันน้ำดิบไปผลิตเป็นน้ำประปาแจกจ่ายให้ชาวบ้านเขตเทศบาลตำบลขุนยวมแห้งขอดอย่างเห็นได้ชัด

    สถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้น นอกจากจะทำให้เกษตรกรชาวนาไม่สามารถลงมือไถหว่านดำนาได้แล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำประปาของเทศบาลตำบลขุนยวมที่จะนำมาบริการแจกจ่ายแก่ประชาชน ตลอดจนส่วนราชการทั้งใน-นอกเขตเทศบาลฯ จนเทศบาลฯ ต้องประกาศแบ่งเวลาจ่ายน้ำในแต่ละเขตพื้นที่ชุมชน/ป๊อก หรือแบ่งจ่ายเป็นเขต 1 เขต 2 เพื่อเฉลี่ยน้ำตามจำนวนผู้ใช้น้ำ 1,626 ครัวเรือน

    ด้านนายสุรพล พนัสอำพล ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า สถานการณ์ภัยแล้งของจังหวัดแม่ฮ่องสอนขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นแล้งมาก ยังสามารถรับได้อยู่ จากการสังเกตน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กของกรมชลประทานทั้งหมด 31 อ่างยังเพียงพออยู่ จะมีก็บางพื้นที่ เช่น อ.ขุนยวม ที่น้ำดิบในลำน้ำยวมลดน้อยลง ส่งผลกระทบการผลิตน้ำประปาไม่พอใช้ ซึ่งหากเกิดฝนทิ้งช่วงก็ต้องขอทางกรมฝนหลวงเข้ามาช่วยเพื่อแก้ปัญหาอีกทาง

    http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000074134
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไม่น่าเชื่อ! น้ำปิงต้นเจ้าพระยาแห้งขอดจนคนเดินข้ามได้แล้ว
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 กรกฎาคม 2558 10:13 น. (แก้ไขล่าสุด 1 กรกฎาคม 2558 10:32 น.)

    [​IMG]

    นครสวรรค์ - ระดับน้ำปิงที่ “เก้าเลี้ยว” เขตต้นน้ำเจ้าพระยาแห้งขอด เหลือน้ำไหลรินจนคนเดินข้ามได้ กระทบต่อพื้นที่การเกษตร และระบบประปา จนเทศบาลเมืองนครสวรรค์ประกาศให้ประชาชนใช้น้ำอย่างประหยัด เตือนอาจถึงขั้นต้องแบ่งจ่ายน้ำเป็นเวลา

    [​IMG]

    วันนี้ (1 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม่น้ำปิงที่สะพานหลวงพ่อเฮงประชานุสรณ์ ต.เขาดิน อ.เก้าเลี้ยว จ.นครสวรรค์ ที่จะไหลไปบรรจบกับแม่น้ำน่านที่ต้นน้ำเจ้าพระยาในเขตตลาดปากน้ำโพ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 10 กม. ขณะนี้มีสภาพแห้งขอด สันดอนทรายโผล่เหนือน้ำหลายจุด ระดับน้ำที่ไหลผ่านใต้สะพานตื้นจนคนสามารถเดินข้ามได้

    [​IMG]

    จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ไม่สามารถส่งน้ำเข้าคลองสาขาไปยังพื้นที่การเกษตร ในเขต ต.เขาดิน อ.เก้าเลี้ยว, ต.บ้านแก่ง ต.วัดไทร อ.เมืองนครสวรรค์ และเริ่มส่งผลกระทบต่อระบบประปาของชุมชนดังกล่าวด้วย

    ด้านนายจิตตเกษมณ์ นิโรจน์ธนรัฐ นายกเทศมนตรีเมืองนครสวรรค์ ได้ลงพื้นที่ตรวจโรงผลิตน้ำประปาและจุดสูบน้ำดิบจากแม่น้ำปิง พบว่าระดับน้ำลดต่ำเกือบจะพ้นหัวสูบน้ำอยู่แล้ว แต่ยังไม่กระทบต่อระบบผลิตน้ำประปา

    อย่างไรก็ตาม ทางเทศบาลฯ ได้ประชาสัมพันธ์ผ่านรถขยายเสียง สถานีวิทยุชุมชน และเคเบิลท้องถิ่น ให้ชาวปากน้ำโพใช้น้ำอย่างประหยัด เพราะหลังจากนี้หากระดับน้ำปิงยังลดลงต่อเนื่องเทศบาลฯ อาจต้องแบ่งจ่ายน้ำให้ประชาชนเป็นเวลา

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มุขมนตรีกะเหรี่ยงสั่งปล่อยรถบรรทุกก๊าซไทยแล้ว หลัง BGF กักในเมียวดีร่วมสัปดาห์ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 กรกฎาคม 2558 08:20 น. (แก้ไขล่าสุด 1 กรกฎาคม 2558 09:18 น.)

    [​IMG]

    ตาก - มุขมนตรีรัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า สั่งการกองกำลัง BGF ปล่อยรถบรรทุกก๊าซของไทยแล้ว หลังกองกำลังติดอาวุธกักไว้ในค่ายทหารกลางเมียวดีนานร่วมสัปดาห์ พร้อมไฟเขียว 3 บริษัทพม่าค้าก๊าซกับไทยได้

    วันนี้ (1 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ของพม่า สกัดรถบรรทุกก๊าซ LPG สยามแก๊ส ไว้ตรวจสอบที่เมืองเมียวดี ฝั่งประเทศพม่า ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ว่า ล่าสุด พลจัตวา ซอมิน มุขมนตรีรัฐกะเหรี่ยง ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาพัฒนา และการแก้ไขปัญหาการค้าก๊าซ LPG ร่วมกับผู้ประกอบการชาวพม่าในพื้นที่จังหวัดเมียวดี กับการค้าด่านศุลกากรแม่สอด-เมียวดี ที่ห้องประชุมฝ่ายปกครองมุขมนตรี จังหวัดผาอัน รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า

    โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมการประชุม 7 บริษัท ผลการประชุมและพิจารณา พลจัตวา ซอมินอนุญาตให้ 3 บริษัทสามารถซื้อขายก๊าซ LPG จากฝั่งไทยได้ ประกอบด้วย บริษัท ตอง ยิ่น อ่อง เมี๊ยะ จำกัด บริษัท อัมรา เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท เอชานอ่องอ่อง เพาเวอร์ จำกัด

    พร้อมกันนั้น พลจัตวา ซอมินได้สั่งการให้กองกำลังกะเหรี่ยงติดอาวุธที่เป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) กับกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงอิสระ (KNU) กลุ่มนายพล พอโด้ ผู้บัญชาการกองพล 7 KNU ส่งมอบรถยนต์บรรทุกก๊าซ LPG ของบริษัท สยามแก๊ส จำกัด ที่กักไว้ตรวจสอบในค่ายทหารกองพัน 275 ค่ายเอซานเพียว จ.เมียวดี คืนให้สยามแก๊ส ผ่านทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย เช่น ศุลกากร ฝ่ายความมั่นคงไทยทันที

    สำหรับขบวนรถบรรทุกก๊าซ LPG ของสยามแก๊ส ที่ถูกกองกำลัง BGF พม่าถูกปล่อยกลับมาทั้ง 5 คันนั้นถูกกักไว้ตั้งแต่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยฝ่ายกะเหรี่ยงอ้างว่าจับกุมเพราะบรรทุกเกิน 25 ตันข้ามสะพานมิตรภาพไทย-พม่า จนทำให้ผู้ประกอบการรายอื่นไม่กล้าส่งก๊าซ-น้ำมันข้ามฝั่งไปยังเมืองเมียวดีร่วมสัปดาห์ ทั้งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยต่างยืนยันว่าการส่งออกก๊าซ LPG ทั้งหมดถูกต้องตามระเบียบและข้อกฎหมายการนำเข้า-ส่งออกทั้ง 2 ประเทศ

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โขงชีมูลในตำนาน! ชาวบ้านลุ่มน้ำชียื่นหนังสือ รมต.เกษตรฯ ทวงถามการแก้ปัญหาสร้างเขื่อน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กรกฎาคม 2558 14:47 น.

    [​IMG]
    @รองผู้ว่าฯจ.ร้อยเอ็ดรับหนังสือจากชาวบ้าน

    ร้อยเอ็ด - ตัวแทนชาวบ้านลุ่มน้ำชีที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร และเขื่อนธาตุน้อย ปั่นจักรยานยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ทวงถามความคืบหน้าในการแก้ปัญหาจากการสร้างเขื่อน

    รายงานข่าวแจ้งว่า ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ตัวแทนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร และเขื่อนธาตุน้อย ลุ่มน้ำชี จ.ร้อยเอ็ด ประมาณ 30 คน ได้ร่วมกันปั่นจักรยานเข้าไปยังศาลากลางจังหวัด เพื่อยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีนายพศิน โกมลวิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดรับหนังสือ

    ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมากลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำชี จังหวัดยโสธร ได้ยื่นหนังสือในประเด็นปัญหาเดียวกันต่อนายจรรยา สุคนธ์คันธชาติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ที่ศาลากลางจังหวัดยโสธรไปแล้วเช่นกัน

    นางอมรรัตน์ วิเศษหวาน ชาวบ้านดอนแก้ว ต.บึงงาม อ.ทุ่งเขาหลวง จ.ร้อยเอ็ด ตัวแทนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำชี กล่าวถึงการยื่นหนังสือครั้งนี้ว่า เนื่องจากปัญหาจากการสร้างเขื่อนที่อยู่ภายใต้โครงการโขง ชี มูล ได้สร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิตชาวบ้านที่อยู่ในลุ่มน้ำชี โดยชาวบ้านได้เรียกร้องสิทธิผ่านมา 2 รัฐบาลแล้ว

    ตอนนี้อยู่ในรัฐบาลที่ 3 ซึ่งการแก้ไขปัญหายังไม่มีความคืบหน้า ดังนั้นชาวบ้านลุ่มน้ำชีจึงมายื่นหนังสือเพื่อทวงสัญญากับรัฐมนตรีถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา

    นายนิมิต หาระพันธ์ ชาวบ้านบุ่งหวาย ต.สงเปือย อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร กล่าวว่า พวกเราอยากถามความจริงใจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าปัญหาที่ชาวบ้านเผชิญมาจากการสร้างเขื่อนหลังจากมีการแต่งตั้งกรรมการแก้ปัญหาจากการสร้างเขื่อน ชาวบ้านก็รอว่าเมื่อไหร่จะแต่งตั้งอนุกรรมการแก้ไขปัญหา เพราะหลังจากการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำชี มติกรรมการชัดเจนว่าจะต้องแต่งตั้งอนุกรรมการแก้ไขปัญหาจากการสร้างเขื่อน 4 ชุด

    “แต่กระบวนการแต่งตั้งอนุคณะกรรมการแก้ไขปัญหานั้นล่าช้ามาก ผ่านมา 4 เดือนแล้วยังไม่มีการแต่งตั้ง พวกเราจึงขอยื่นหนังสือเพื่อถามความจริงใจในการแก้ไขปัญหาจากรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ อีกครั้ง”

    ขณะที่นายพศิน โกมลวิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งออกมารับหนังสือจากชาวบ้าน กล่าวว่า ตอนนี้ได้ประสานกับทางชลประทานในพื้นที่แล้ว ซึ่งทางชลประทานชี้แจงว่าต้องรอคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหา และรองบประมาณในการดำเนินการ ทันทีที่มีคำสั่งอนุกรรมการแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้ทันที

    ด้านนายสิริศักดิ์ สะดวก ผู้ประสานงานศูนย์พิทักษ์สิทธิการจัดการทรัพยากรชุมชนลุ่มน้ำชีตอนล่าง ระบุว่า ประเด็นเรื่องการแก้ปัญหาจากการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำชี ชาวบ้านแสดงเจตนารมณ์ชัดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและแนวทางในการแก้ปัญหา เหลือเพียงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องที่จะดำเนินการตามแนวทาง เข้าสู่รัฐบาลที่ 3 แล้วที่ตนเห็นชาวบ้านยังต้องออกมาเรียกร้องในการแก้ไขปัญหาอีก

    “ปัญหาของชาวบ้านนั้นมันมีทางออก ถ้ารัฐบาลจริงใจกับการแก้ปัญหา จึงไม่ควรที่จะปล่อยให้ยืดเยื้ออย่างนี้”



     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เขื่อนใหญ่โคราชแห้ง “ลำตะคอง” เหลือแค่ 17% กระทบผลิตไฟฟ้าสูบกลับ “กฟผ.” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กรกฎาคม 2558 12:19 น. (แก้ไขล่าสุด 2 กรกฎาคม 2558 13:09 น.)

    [​IMG]

    @เขื่อนลำตะคอง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา แหล่งน้ำขนาดใหญ่โคราชแห้งต่อเนื่อง ล่าสุดเหลือน้ำแค่ 17% ของขนาดความจุ 314 ล้าน ลบ.ม. กระทบผลิตไฟฟ้าแบบสูบกลับของ กฟผ. วันนี้ ( 2 ก.ค.)

    ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - แล้งทวีรุนแรง “เขื่อนลำตะคอง” อ่างใหญ่โคราชน้ำแห้งต่อเนื่อง ล่าสุดเหลือน้ำใช้การได้แค่ 56 ล้าน ลบ.ม.หรือ 17% ของความจุ ขณะ กฟผ.สูบน้ำขึ้นไปผลิตไฟฟ้าพลังงานแบบสูบกลับได้แค่ 10% หากเหลือน้ำ 30 ล้าน ลบ.ม.ต้องหยุดสูบผลิตไฟฟ้าทันที ด้าน ผอ.โครงการฯ ยังประเมินสถานการณ์ไม่ได้ รอความหวังฝนตกเติมน้ำในเขื่อน วอนประชาชนประหยัด

    วันนี้ (2 ก.ค.) นายสุทธิโรจน์ กองแก้ว ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ว่า ล่าสุดมีปริมาณน้ำใช้การได้ 56.24 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 17.8 จากขนาดระดับกักเก็บ 314 ล้าน ลบ.ม. และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยทางเขื่อนได้ลดการปล่อยน้ำลงจากเดิม 700,000 ลบ.ม./วัน เหลือ 430,000 ลบ.ม./วัน เพื่อหล่อเลี้ยงลำน้ำลำตะคอง

    ขณะนี้การประปาเทศบาลนครนครราชสีมาได้ลดการสูบน้ำดิบจากคลองสาธารณะลำตะคองมาผลิตประปาแล้ววันละ 20,000 ลบ.ม. เหลือเพียงการสูบน้ำจากตัวเขื่อนลำตะคองส่งผ่านท่อโดยตรงวันละ 77,000 ลบ.ม. โดยปรับเปลี่ยนไปสูบน้ำดิบจากเขื่อนลำแชะ อ.ครบุรี วันละ 35,000 ลบ.ม./วัน มาผลิตประปาเพิ่มเติมแทน

    ส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำลำตะคองแบบสูบกลับของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บนเขายายเที่ยงนั้น มีข้อตกลงว่าหากปริมาณน้ำในเขื่อนลำตะคองเหลือน้อยกว่า 100 ล้าน ลบ.ม.จะสูบได้แค่ร้อยละ 10 ของน้ำที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันเท่านั้น แต่หากน้ำเหลือ 30 ล้าน ลบ.ม. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ จะต้องหยุดการสูบน้ำจากเขื่อนทันที

    “ในปี 2548 ที่ จ.นครราชสีมาประสบภัยแล้งรุนแรงมากที่สุดนั้นเขื่อนลำตะคองมีปริมาณน้ำเหลือน้อยสุดที่ระดับ 35 ล้าน ลบ.ม. ส่วนปีนี้ยังประเมินสถานการณ์ไม่ได้ ต้องรอดูอีก 3-4 เดือน เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว จ.นครราชสีมาจะมีฝนตกชุกในช่วงเดือน ส.ค.- ต.ค.” นายสุทธิโรจน์กล่าว

    ทั้งนี้ ต้องขอความร่วมมือเกษตรกรในพื้นที่แนวเขตลุ่มน้ำลำตะคองทั้ง 5 อำเภอได้แก่ อ.เมืองนครราชสีมา อ.สีคิ้ว อ.สูงเนิน อ.ขามทะเลสอ และ อ.เฉลิมพระเกียรติ ให้เลื่อนการปลูกข้าวนาปีไปเป็นเดือนสิงหาคม 2558 และขอให้ประชาชนใช้น้ำอย่างประหยัด ไม่เปิดน้ำไหลทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ในการประกอบกิจกรรมที่ต้องใช้น้ำ เช่น แปรงฟัน ล้างจาน ล้างผัก ล้างรถ รถน้ำต้นไม้ เป็นต้น

    พร้อมให้จัดหา ทำความสะอาด ซ่อมแซมภาชนะกักเก็บน้ำ ให้สามารถกักเก็บน้ำสำรองไว้ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคและปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ทำให้สิ้นเปลืองน้ำ และหมั่นตรวจสอบท่อส่งน้ำ ก็อกน้ำให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดีอยู่เสมอเพื่อลดการรั่วไหลของน้ำโดยเปล่าประโยชน์ หากประชาชนช่วยกันประหยัดการใช้น้ำอย่างจริงจังเราจะรอดพ้นจากวิกฤตแล้งครั้งนี้ไปได้

    http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000074727
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปลากระชังเมืองเลยน็อกน้ำตายเป็นเบือ ระดมทหารช่วยตักหวั่นน้ำเน่า-โรคระบาด
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กรกฎาคม 2558 13:24 น. (แก้ไขล่าสุด 2 กรกฎาคม 2558 14:12 น.)

    [​IMG]

    เลย - ปลากระชังน้ำเลยน็อกตายเป็นเบือ สาเหตุจากอากาศร้อน ขาดออกซิเจน เจ้าของเร่งตักขายในราคาถูก 4 กิโลฯ 100 บาท ขณะที่ จทบ.เลยสั่งระดมกำลังพลช่วยตักปลาขึ้นจากน้ำ หวั่นเน่าเสีย เกิดโรคระบาด

    เช้าวันนี้ (2 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปลากระชังที่เกษตรกรเลี้ยงไว้ในแม่น้ำเลย บ้านท่ามะนาว ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย ลอยตายจำนวนมาก สาเหตุจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งและร้อน ระดับน้ำลดต่ำลงมาก ทำให้ปลาขาดอากาศหายใจ สร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรเป็นอย่างมาก

    นายนวลจันทร์ สถิต เกษตรกรผู้เลี้ยงปลากระชังที่ได้รับความเสียหาย กล่าวว่า ระดับน้ำในปีนี้ลดต่ำลงมากกว่าทุกปีหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสังเกตว่าปลาเริ่มมีอาการโผล่ขึ้นมาหายใจบ่อยขึ้น และมีอาการอ่อนแรงตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา พอรุ่งเช้าก็พบว่าปลาลอยตายจำนวนมาก ซึ่งปลาที่ตนเลี้ยงไว้มี 8 กระชัง อายุ 2-4 เดือนพร้อมที่จะขายแล้ว แต่เหตุที่เกิดขึ้นทำให้ต้องขาดทุนกระชังละประมาณ 10,000 บาท จึงต้องเร่งให้คนงานและลูกหลานช่วยกันตักขึ้นมาออกเร่ขายถูก 4 กิโลกรัม 100 บาท ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

    ทั้งนี้ พล.ต.เถลิงศักดิ์ พูลสุวรรณ ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกเลย สั่งระดมกำลังพลออกช่วยตักปลาขึ้นจากกระชังอย่างเร่งด่วน เพราะหากปล่อยไว้จะทำให้เกิดโรคระบาดและน้ำเน่าเสีย ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลนาอ้อออกสำรวจความเสียหาย ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีเกษตรกรได้รับความเดือดร้อน ปลาตาย 6 ราย รายละ 8-10 กระชัง โดยจะรายงานให้ทางอำเภอเมืองทราบ และประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ เพื่อจัดสรรงบประมาณมาช่วยเหลือเยียวยาต่อไป

    ด้านนายยงยุท ชัยวรรณ เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลตำบลนาอ้อ ระบุถึงสาเหตุของปลาตายครั้งนี้ว่า แม่น้ำเลยทางด้านเหนือในพื้นที่ตำบลชัยพฤกษ์และตำบลนาอ้อ เกษตรกรจำนวนมากได้สูบน้ำขึ้นไปใส่ในที่นา เพราะข้าวที่ปักดำไว้แล้วกำลังจะแห้งตาย ประกอบกับเขื่อนยางกั้นแม่น้ำเลยที่ตำบลนาอานห่างขึ้นไปทางเหนือประมาณ 15 กิโลเมตร กักเก็บน้ำไว้ไม่ยอมปล่อยลงมา ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเลยลดลงอย่างรวดเร็ว จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปลากระชังตายจำนวนมาก


     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฝายกั้นน้ำลำเซบายปิดประตูงดจ่ายน้ำ หลังระดับน้ำเหลือไม่ถึงครึ่งอ่าง
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กรกฎาคม 2558 13:26 น. (แก้ไขล่าสุด 2 กรกฎาคม 2558 14:14 น.)

    [​IMG]

    อุบลราชธานี - ฝายกั้นลำน้ำเซบายหยุดจ่ายน้ำแล้วเพราะเหลือเพียงร้อยละ 46 ส่วนชาวนานอกเขตชลประทานต้องรอน้ำฝนอย่างเดียว ทำให้ต้นข้าวบางส่วนเริ่มแห้งตายแล้ว

    นายพงศพัศ คำศรี หัวหน้าโครงการพัฒนาลุ่มน้ำชีและเซบายตอนล่าง จ.อุบลราชธานี กล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งในจังหวัดอุบลราชธานีทำให้ฝายเก็บกักน้ำอำนาจเจริญ ซึ่งกั้นลำน้ำเซบายในบ้านข่าโคม ต.ปะอาว อ.เมือง มีน้ำเหลือในการเก็บกักร้อยละ 46 ของความจุที่ 13 ล้านลูกบาศก์เมตร

    ทางฝายต้องบริหารจัดการน้ำให้มีน้ำเหลือใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค และชะลอการจ่ายน้ำให้ภาคเกษตรกรรม แต่ยังคงปล่อยน้ำใช้เลี้ยงระบบนิเวศของลุ่มน้ำ และช่วยสนับสนุนเติมน้ำให้ฝายทางด้านล่างของลำน้ำวันละ 6,000-7,000 ลูกบาศก์เมตร

    ส่วนพื้นที่เกษตรกรรมในเขตชลประทานประมาณ 20,000 ไร่ ชาวนาได้เริ่มทำการเพาะปลูกราวร้อยละ 60 ที่เหลือยังรอดูท่าทีของสถานการณ์น้ำฝน เพราะเกรงจะไม่มีน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูก แต่หากถึงคราวจำเป็นฝายสามารถจ่ายน้ำให้เกษตรกรที่อยู่ในเขตชลประทานได้ สำหรับชาวนาที่อยู่นอกเขตชลประทานอีกกว่า 60,000 ไร่ จำเป็นต้องรอน้ำจากน้ำฝนเพียงอย่างเดียว ทำให้มีต้นข้าวยืนต้นตายเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยงไปแล้วส่วนหนึ่ง

    http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000074774
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อนาถชีวิตชาวนาไทย! ควักเงินขุดบ่อบาดาล แต่เจอน้ำน้อยไม่พอใช้
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กรกฎาคม 2558 15:56 น. (แก้ไขล่าสุด 2 กรกฎาคม 2558 16:09 น.)

    [​IMG]

    หนองบัวลำภู - อนาถชีวิตชาวนาไทย! หลายครัวเรือนลงทุนขุดเจาะบ่อบาดาลหวังสูบน้ำเข้านาเลี้ยงต้นข้าวให้รอดตาย สุดท้ายเจอน้ำน้อยไม่พอใช้ ต้องทำใจรอฝนจากฟ้า

    วันนี้ (2 ก.ค.) ที่บ้านนาลาดควาย ต.หนองภัยศูนย์ อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู ซึ่งเป็นพื้นที่ทำนาหยอด ต่างประสบปัญหาแล้ง ไม่มีน้ำทำนา โดยเฉพาะปีนี้หลายครัวเรือนได้ลงทุนควักกระเป๋า บ้างก็กู้ยืมเงินมาลงทุนขุดเจาะบ่อบาดาลเพื่อหวังว่าจะสูบน้ำมาหล่อเลี้ยงต้นข้าวในนาระหว่างรอฝนตกลงมาหลังจากฝนทิ้งช่วงไปนาน ขณะที่ได้ลงทุนทำนาไปแล้ว

    นายคำมุก นามเลน อายุ 56 ปี ชาวนาบ้านนาลาดควาย เล่าว่า มีที่นาประมาณ 11 ไร่ เลือกทำนาหยอด และหวังว่าฝนจะตกลงมา แต่ปรากฏว่าฝนทิ้งช่วง จึงได้ลงทุนขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล ขนาด 6 นิ้ว ลึก 46 เมตร ใช้เงินประมาณ 15,000 บาท เพื่อหวังจะสูบน้ำจากบ่อบาดาลมาเลี้ยงต้นข้าวที่หยอดไว้ทั้ง 11 ไร่ซึ่งกำลังจะแห้งตาย แต่สูบน้ำไป 8 ชั่วโมงน้ำก็ไม่ไหล ส่วนน้ำที่สูบมาก่อนหน้านั้นนำไปเลี้ยงต้นข้าวได้เพียงแค่ 3 งานเท่านั้น

    วันต่อมาจึงได้ทดลองสูบน้ำอีกครั้ง น้ำที่ไหลออกจากบ่อบาดาลก็ยังน้อยมาก ตนและเพื่อนบ้านต่างก็คิดว่าถ้าฝนยังไม่ตกแบบนี้ข้าวในนาต้องแห้งตาย และไม่คุ้มกับการที่ต้องลงทุนชื้อน้ำมันมาเติมเครื่องสูบน้ำอย่างแน่นอน

    นายคำมุกกล่าวว่า น้ำในบ่อบาดาลของเพื่อนบ้านก็เป็นเหมือนกัน แถมเวลาตนเองสูบน้ำบาดาลเข้านาน้ำในบ่อบาดาลของเพื่อนบ้านก็จะไม่ไหล จึงได้แต่นั่งทำใจรอฝนจากฟ้าเท่านั้น


    ͹Ҷ
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โรงสกัดปาล์มน้ำมันกระบี่หยุดรับซื้อปาล์มแล้ว หลังระบายน้ำมันปาล์มไม่ได้
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กรกฎาคม 2558 15:37 น. (แก้ไขล่าสุด 2 กรกฎาคม 2558 15:45 น.)

    [​IMG]

    กระบี่ - โรงงานสกัดปาล์มน้ำมันกระบี่ หยุดรับซื้อแล้ว 3 โรง จ่อหยุดเพิ่มอีก 6 โรง พร้อมเครือข่ายลานเท หลังน้ำมันเต็มถังเก็บ โรงงานรีไฟล์หยุดซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ไม่สามารถระบายน้ำมันได้

    วันนี้ (2 ก.ค.) ชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดกระบี่ ได้ส่งหนังสือเวียนถึงเครือข่ายสมาชิก และเครือข่ายปาล์มน้ำมัน เรื่องหยุดรับซื้อผลผลิตปาล์มน้ำมันชั่วคราว เนื่องจากไม่สามารถระบายน้ำมันปาล์มดิบได้ โดยมีเนื้อหาว่า เนื่องด้วยชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ จำกัด เกิดผลกระทบด้านการระบายน้ำมันปาล์มดิบ เกรดเอ ไปยังโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ (รีไฟล์) สืบเนื่องจากโรงงานรีไฟล์หยุดรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ

    สาเหตุสำคัญ คือ สต๊อกเดือนพฤษภาคม 2558 มีปริมาณสูงถึง 384,000 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณรวมการนำไปใช้ภายในประเทศแล้ว ประกอบการส่งออกมีปริมาณลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มดิบของประเทศมาเลเซียมีราคาต่ำกว่าประเทศไทยถึงกิโลกรัมละ 5-6 บาท ส่งผลต่อความต้องการซื้อที่ลดน้อยลงของประเทศคู่ค้าเกิดปัญหาน้ำมันดิบล้นตลาด จึงต้องการให้ทางภาครัฐเข้ามาดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน

    ซึ่งมติคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 เห็นชอบให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ปริมาณ 100,000 ตัน ส่งมอบ ณ หน้าคลังสินค้าในเขตกรุงเทพฯ ระยะเวลารับซื้อ มิ.ย.-พ.ย.58 ระยะเวลาระบายจำหน่าย มิ.ย.58-มี.ค.59 ซึ่งปัจจุบัน ชุมนุมสหกรณ์ฯ ได้รับซื้อผลผลิตจากสมาชิก และเครือข่ายมาสกัดเป็นน้ำมันปาล์มดิบอย่างต่อเนื่อง

    ส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำมันปาล์มดิบเต็มถังทั้ง 2 สาขา รวม 9,500 ตัน ไม่สามารถระบายไปยังโรงงานรีไฟล์ได้ เบื้องต้น ชุมนุมสหกรณ์จะขอหยุดรับซื้อผลปาล์มชั่วคราวเพื่อประสานงานต่อภาครัฐให้เข้ามาดำเนินการช่วยเหลือโดยเร่งด่วน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะได้รับการแก้ไข

    ต่อมา ผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อสอบถามทางโทรศัพท์ นายสำเริง สุดศรี รองผู้จัดการชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดกระบี่ ทราบว่า กำลังประชุมเรื่องดังกล่าวนี้อยู่ยังไม่สะดวกให้รายละเอียดได้ ซึ่งจะขอให้รายละเอียดในภายหลัง และทราบว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งพาณิชย์จังหวัด การค้าภายใน ก็ติดประชุมเรื่องเดียวกันด้วย

    ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะนี้ลานเทปาล์มที่เป็นเครือข่ายชุมนุมสหกรณ์ฯ ได้ปิดประกาศหยุดรับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรแล้ว ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากไม่สามารถขายผลผลิตปาล์มน้ำมันได้ และคาดว่าจะมีโรงงานอื่นๆ ปิดรับซื้อผลปาล์มตามมาอีกหลายโรงฯ หากว่าทางรัฐบาลยังไม่มีนโยบายแก้ไขปัญหาที่แน่ชัด

    นายอรุณ ไม้ทิพย์ พาณิชย์จังหวัดกระบี่ กล่าวว่า ขณะนี้มีโรงงานสกัดปาล์มน้ำมัน หยุดรับซื้อแล้ว จำนวน 4 โรง ได้แก่ บริษัทศรีไสวปาล์มออยกรุ๊ป จำกัด บริษัทสยามโมเดิร์นปาล์ม จำกัด และโรงงานสกัดปาล์มน้ำมันของชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ ทั้ง 2 สาขา และคาดว่าจะหยุดรับผลิตปาล์มน้ำมันตามมาอีก 5-6 โรง สาเหตุเนื่องจากถังเก็บน้ำมันเต็ม โดยแนวทางแก้ไข กระทรวงพาณิชย์ได้ให้ทางองค์การคลังสินค้า (อคส.) เข้ามารับซื้อน้ำมันดิบจากโรงงานที่เข้าร่วมโครงการแล้ว คาดว่าไม่นานก็จะเข้าสู่สภาวะปกติ เนื่องจากผลผลิตปาล์มออกมาน้อยในช่วงนี้


    http://manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9580000074879
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช

    [​IMG]

    วันที่ 1 กรกฎาคม 2558 อินโดนีเซียบังคับใช้กฎหมายสั่งแบนสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯและสกุลเงินต่างประเทศทุกชนิด
    ------------
    ว้าว! กล้ามาก สุดยอด ไม่ต้องรอต้มยำกุ้งหรือฟองสบู่แตกรอบที่2 อินโดนีเซียใช้มาเลย์โมเดลเต็มรูปบบ เมื่อวานนี้สำนักข่าว RT news ของรัสเซียรายงานว่า ธนาคารกลางของอินโดนีเซียบังคับห้ามใช้เงินดอลล่าร์สหรัฐฯและสกุลเงินต่างประเทศอื่นๆโดยสมบูรณ์ในการโอนเงินระหว่างประเทศ เพื่อหยุดยั้งค่าเงินรูเปีย (rupiah) ตกอย่างไร้จุดสิ้นสุด นาย Eco Yulianto ประธานธนาคารกลางของอินโดนีเซียประกาศเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า การสั่งห้ามนี้จะมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศในวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป
    นาย Eco Yulianto กล่าวว่านี่เป็นการแบนเงินต่างชาติทุกชนิด รวมทั้งการชำระค่าที่พักในโรงแรม ค่าโดยสารเครื่องบิน ค่าบริการเช่าสถานที่ และการจ่ายค่าเงินค่าจ้างด้วย และยังเป็นการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (fixed prices) ในสกุลเงินทุกชนิดด้วย ยกเว้นเงินรูเปียของอินโดนีเซีย การฝ่าฝืนกฎหมายจะถูกลงโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 15,000 (ประมาณ 5 แสนบาท) (ทำได้ไงอ่ะ? ปรกติเขามีฟิกซ์กับลอยตัวค่าเงินของประเทศตัวเองเท่านั้น แต่นี่พี่แกเล่นฟิกซ์ค่าเงินต่างประเทศเลย)
    นาย Eco Yulianto กล่าวว่า "พวกเราไม่ต้องการเศรษฐกิจที่ขึ้นตรงกับเงินดอลล่าร์ (ของสหรัฐฯ) ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องรักษาอธิปไตยเงินรูเปีย" (We don't want a dollarised economy so we need to uphold the sovereignty of the rupiah) - รอยเตอร์ส
    อย่างไรก็ตามธนาคารกลางของอินโดนีเซียยังได้กล่าวอีกว่า แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับบริษัทต่างชาติที่จะได้รับอนุญาตให้จ่ายเป็นเงินดอลล่าร์ให้กับลูกค้าชาวต่างชาติของพวกเขา ส่วนอีกข้อยกเว้นหนึ่งก็คือ บริษัทต่างๆที่ลงทุนในการก่อสร้างด้านพลังงานและโครงสร้างขนาดใหญ่ ธนาคารกลางของอินโดนีเซียจะพิจารณาข้อยกเว้นอื่นๆสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมด้านยุทธศาสตร์เป็นกรณีพิเศษ
    ธุรกิจโรงแรมและภัตตาคารได้รับอนุญาตให้กำหนดราคาเป็นเงินดอลล่าร์ได้ในส่วนที่เป็นการโปรโมทสินค้าของผู้ประกอบการในอินเตอร์เน็ท แต่เวลาชำระค่าบริการจะต้องจ่ายเป็นเงินรูเปีย (rupiah)
    รายงานข่าวบอกอีกว่า การเสื่อมค่าเงินรูเปียของอินโดเนียเซียเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์ของสหรัฐฯ ทำให้สกุลเงินประจำชาติของอินโดนีเซียประสบความสำเร็จน้อยที่สุดในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาในเอเซีย เมื่อเดือนมีนาคม 2558 มูลค่าของเงินรูเปียได้ลดลงต่อสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 17 ปี มีการสูญเสียถึงร้อยละ 7 นับตั้งแต่ต้นปีนี้ อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 13,384 รูเปียต่อหนึ่งดอลล่าร์ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เช็คจากอัตราแลกเปลี่ยนในเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าอัตราขายถัวเฉลี่ยค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียอยู่ที่ 0.0026829 ต่อ 1 บาทไทย
    เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทางอินโดนีเซียได้ยืนยันแล้วว่าพร้อมที่จะมาทำการชำระเงินระหว่างประเทศได้สกุลเงินท้องถิ่นของตนเองกับรัสเซีย นาย Sofyan Djalil ผู้ประสานงานรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของอินโดนีเซียกล่าวว่า อินโดนีเซียมีความสนใจที่จะลดการพึ่งพาเงินดอลล่าร์ในระบบการเงินทั่วโลกลง
    และเมื่อปี 2012 ทางอินโดนีเซียประกาศว่าจะทำการกำหนดมาตรฐานค่าเงินรูเปียของตนใหม่ (Redenomination) โดยจะตัดเลขศูนย์ 3 ตัวสุดท้ายออกไปซึ่งจะเริ่มต้นในปี 2014 โดยธนบัตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะต้องหายไปจากระบบในปี 2018 และในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านนี้ธนบัตรทั้งแบบเก่าและแบบใหม่จะยังคงถือว่าถูกต้องตามกฎหมายด้วย แต่เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2013 แผนนี้ก็ถูกเลื่อนออกไป และยังถูกชะลอไว้จนถึงปัจจุบันเนื่องจากประสบปัญหาด้านการเงินอื่นๆที่มีความสำคัญสูงมากเช่น เงินเฟ้อ และการเลิกกิจการของบริษัทต่างชาติ (foreign divestment)
    งานนี้สหรัฐฯเสร็จแน่! อีกไม่นาน อีกไม่นาน... ถ้าสมมุติว่ากลุ่ม BRICS และ กลุ่ม AIIB ทำอย่างนี้บ้างอะไรจะเกิดขึ้นกับเงินดอลล่าร์สหรัฐฯบ้างนะ? แต่ในส่วนของ BRICS นั้นเขาประกาศตั้งแต่แรกเลยว่าจะไม่ใช้เงินดอลล่าร์ของสหรัฐฯในการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างกัน จะใช้สกุลเงินของแต่ละประเทศเท่านั้น ถ้าต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้กลุ่ม AEC เล่นมุกเดียวกับอินโดนีเซียบ้างจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?
    The Eyes
    02/07/2558
    ----------
    http://rt.com/bus…/271018-indonesia-bans-foreign-currencies/
    http://www.reuters.com/…/indonesia-currency-idUSL4N0X63PB20…
    https://en.wikipedia.org/wiki/Indonesian_rupiah
    http://investvine.com/indonesia-to-cut-3-zeros-off-the-rup…/
    http://rt.com/bus…/248325-russia-indonesia-local-currencies/
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub

    [​IMG]

    1. 4 บุรุษอาชามหาโลกาวินาศ
    ในบทวิวรณ์ของพระคำภีร์ไบเบิ้ล มีการกล่าวถึงการปรากฎตัวของ 4บุรุษอาชาแห่งวันโลกาวินาศในช่วงเวลาของการสิ้นสุดของยุค (end times) 4บุรุษอาชาเป็นสัญญลักษณ์ของเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน แต่เชื่อมโยงกันก่อนที่โลกจะเข้าสู่เวลาของความทุกข์ยากสาหัส เพื่อรอวันการกลับมาของพระเจ้าเพื่อที่จะพิพากษาโลก
    ม้าตัวแรกเป็นสีขาว บุรุษบนหลังม้าในมือถือคันธนู เขาได้รับการสวมมงกุฎ และเขาควบม้าออกไปเหมือนกับผู้ที่ได้รับชัยชนะ ถือว่าเป็นสัญญลักษณ์ของชัยชนะ ไม่มีใครสามารถต่อต้านเขาได้ มีคนตีความว่าบุรุษคนนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเยซู (Anti-Christ) หรือเลียนแบบเป็นพระเยซู
    บุรุษอาชาคนที่2 ควบม้าสีแดงเป็นเปลวเพลิงออกมา เขามีอำนาจที่จะยกเลิกสันติภาพบนโลก และทำให้คนเผชิญหน้าเพื่อฆ่ากัน เขาถือดาบเล่มโต บุรุษอาชาคนที่2 นี้เป็นสัญญลักษณ์ของสงครามที่จะเกิดขึ้นในช่วงสิ้่นสุดของยุค
    บุรุษอาชาคนที่3ขี่ม้าสีดำถือตาชั่งในมือ เขาตระโกนออกมาว่าค่าจ้างแรงงานคือข้าวสาลีหนึ่งควาร์ท(quart) 3ควาร์ทสำหรับข้าวบาร์เล่ย์ อย่าได้ทำให้น้ำมันและหล้าไวน์เสียไป บุรุษอาชาคนที่3นี้เป็นสัญญลักษณ์ของความอดอยากบนโลกเนื่องจากการก่อสงครามของบุรุษอาชาคนที่2
    บุรุษอาชาคนที่4นั่งอยู่บนม้าสีเทาซีด เขามีชื่อว่ามรณะ เฮเดส (Hades) หรือยมทูตเดินตามหลังเขาติดๆ เขามีอำนาจเหนือพื้นที่1ใน4ของโลกที่จะฆ่าคนด้วยดาบ ด้วยความอดอยากและโรคระบาด เขาเป็นสัญญลักษณ์ของความตายและความหายนะทั้งปวง เขาจะนำมาซึ่งสงคราม ความอดหยากอย่างรุนแรง รวมทั้งโรคระบาดและเชื้อโรคร้าย
    การปรากฎตัวของ4บุรุษอาชาเป็นเพียงแค่ปฐมบทของหายนะที่ใหญ่หลวงที่จะตามมาก่อนวันโลกาพินาศ
    เป็นเกือบ2,000ปีแล้วที่ชาวคริสต์อ่านบทวิวรณ์ หรือบทสุดท้ายของพระคำภีร์ไบเบิ้ลอย่างใจระทึก เตรียมพร้อมทั้งกายและใจที่จะเผชิญกับความเลวร้ายจากผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าของพวกเขา และสิ่งเลวร้ายที่จะตามมาจากความอดอยาก โรคระบาด ความทุกข์แสนเข็ญ สงครามและความตาย
    แต่ละครั้งที่เกิดเหตุการณ์ความอดอยาก โรคระบาด ความสิ้นหวัง และสงครามที่ก่อโดยพวกนอกศาสนา หรือในศาสนาแต่เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ่้าตลอดระยะเวลา2,000ปีที่ผ่านมา ชาวคริสต์ในแต่ละยุคต่างเชื่อว่าวันโลกาวินาศของยุคสุดท้ายกำลังมา พระเจ้าจะกลับมาบนโลกเพื่อไถ่บาปให้คนที่เชื่อในพระเจ้า และนำพาพวกเขาไปสวรรค์ และจะลงโทษทำลายคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าให้จมปลักอยู่ในนรกโลกันต์ในวันพิพากษาโลก (Judgement Day)
    แต่พระเจ้ายังไม่เคยปรากฎกาย แม่้ว่าการทำลายโลกผ่านความอดอยาก โรคระบาดและสงครามจะเกิดขึ้นหลายระลอกแล้วในยุคต่างๆของโลกที่ดำเนินไปตามวัฏฏะของการสร้างและการทำลาย
    ขณะที่เราได้มาถึงปากประตูของการสิ้นสุดยุคอีกครั้งของรอบวัฏฏะใหญ่ของการทำลาย พระเจ้าจะปรากฎกายเพื่อพิพากษาโลกหรือไม่ในช่วงท้าย เรามิอาจรู้ได้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละคน แต่4บุรุษอาชาแห่งวันโลกาพินาศกำลังปรากฎตัวให้มนุษย์โลกได้เห็นเป็นการชิมลาง หรือเพื่อเป็นการเตือนว่า:
    "เรากำลังมาแล้ว"
    thanong
    3/7/2015
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub

    [​IMG]

    2. 4 บุรุษอาชามหาโลกาวินาศ
    หลายคนเริ่มจะรู้ว่ากลุ่มทางการเงินเล็กๆมีอิทธิพลเหนือระบบเศรษฐกิจและการเงินของโลก อันนำไปสู่อิทธิพลมหาศาลเหนือการเมือง ความมั่นคงและทหารด้วย
    ความขัดแย้งบนโลก ไม่ว่าจะเป็นสงคราม หรือการล้มล้างประเทศต่างๆล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องที่มีการวางแผนเตรียมการและกระทำการมานานแล้ว
    กลุ่มหรือตระกูลที่มีอิทธิพลทางการเงินสูงที่รู้จักกันดีคือ
    Goldman Sachs, Rockefellers, Loebs Kuh and Lehmans in New York, the Rothschilds of Paris and London, the Warburgs of Hamburg, Paris and Lazards Israel Moses Seifs Rome
    กลุ่มนี้เป็นพวกยิวKhazars เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ร่วมก่อตั้งธนาคารกลางสหรัฐ หรือUS Federal Reserve ทำให้สามารถยึดระบบการเงินของสหรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์
    คนอเมริกันที่อวดเก่ง ความจริงแล้วเป็นแค่ทาสของเฟดและแบงค์Wall Street
    ใครก็ตามที่คุมการบริหารปริมาณเงิน (money supply management) ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริง และไม่มีอำนาจใดจะใหญ่กว่าอำนาจในการบริหารปริมาณเงินดอลล่าร์สหรัฐในปัจจุบันเพราะว่าดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก จะซื้อน้ำมันที จะซื้อทองทีต้องแลกเงินสกุลตัวเองเป็นดอลล่าร์ก่อน
    ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเฟดของสหรัฐ สามารถยกเมฆตัวเลขเศรษฐกิจอย่างไรก็ได้เพื่อที่จะกดดอกเบี้ยต่ำๆ ทำการปั๊มดอลล่าร์เข้าไปในระบบเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการบูมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเงิน และในทางตรงกันข้ามจะอ้างตัวเลขเศรษฐกิจใดๆก็ได้ที่จะดูดเงินออกจากระบบด้วยการขึ้นดอกเบี้ยวอย่างรุนแรง เพื่อทำให้เศรษฐกิจก็หัวคว่ำเกิดวิกฤติทางการเงิน
    วงจรทางธุรกิจไม่ใช้เป็นฤดูกาลทางธรรมชาติเหมือนชาวนาบ้านเราเวลาจะทำนาต้องคอยหน้าฝน แต่วงจรธุรกิจเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดจากผู้ที่บริหารปริมาณเงินของธนาคารกลาง จะสร้างทีก็ปั๊มเงินใส่สภาพคล่อง จะทำลายทีก็ดูดเงินออกมาให้สภาพคล่องเหือดหาย
    แต่ละรอบของการสร้างและการทำลาย กลุ่มที่คอนโทรลเฟดและธนาคารกลางต่างก็ร่ำรวยและมีอำนาจมากยิ่งขึ้น เป็นทวีคูณ เพราะว่าสามารถทำลายคู่แข่งให้ตายหมด และแอบปั๊มเงินช่วยพวกกันเองโดยสร้างภาพลวงตาว่าปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกลไกธรรมชาติของระบบทุนนิยม หรือการค้าเสรี
    ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ทุกอย่างเกิดจากการสร้างและการทำลายผ่านการควบคุมอย่างใกล้ชิด (manipulation)
    เราได้ยินชื่อกลุ่มBilderberg Group, Illuminati หรือ the Trilateral Commission แต่ใครหรือตระกูลใหนที่คอนโทรล UN, NATO หรือ IMF/World Bank?
    เริ่มดูที่แบงค์ก่อนว่าใครเป็นเจ้าของ ใครเป็นผู้คุมเกม
    แบงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ
    Bank of America, JP Morgan, Citigroup, Wells Fargo, Goldman Sachs and Morgan Stanley
    มาดูรายชื่อผู้ถือหุ้นBank of America:
    State Street Corporation, Vanguard Group, BlackRock, FMR (Fidelity), Paulson, JP Morgan, T. Rowe, Capital World Investors, AXA, Bank of NY, Mellon.
    มาดูรายชื่อผู้ถือหุ้นJP Morgan:
    State Street Corp., Vanguard Group, FMR, BlackRock, T. Rowe, AXA, Capital World Investor, Capital Research Global Investor, Northern Trust Corp. and Bank of Mellon.
    มาดูรายชื่อผู้ถือหุ้นCitigroup:
    State Street Corporation, Vanguard Group, BlackRock, Paulson, FMR, Capital World Investor, JP Morgan, Northern Trust Corporation, Fairhome Capital Mgmt and Bank of NY Mellon.
    มาดูรายชื่อผู้ถือหุ้นWells Fargo:
    Berkshire Hathaway, FMR, State Street, Vanguard Group, Capital World Investors, BlackRock, Wellington Mgmt, AXA, T. Rowe and Davis Selected Advisers.
    ผู้ถือหุ้นใหญ่ร่วมกันคือState Street Corporation, Vanguard Group, BlackRock and FMR (Fidelity).
    หรือBig Four
    หรือ4บุรุษอาชามหาโลกาวินาศนั่นเองที่กำลังเปิดหน้ากากให้เราเห็นหน้าทุกคน
    thanong
    3/7/2015
    The Large Families that rule the world - English pravda.ru
     

แชร์หน้านี้

Loading...