ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กรีซ -> อียู เล๊ะ เรียบร้อยแล้ว
    จะว่าไป มาตรการรัดเข็มขัด พูดตรงๆ ก็เป็น มาตรการการละเมิดสิทธิมนุษยชนน่ะแหละครับ แต่ไม่มีใครยกมาใช้เป็นข้ออ้าง เพราะเป็นมาตรการของอียูเอง อียู เอามาใช้เอง เลยไม่ละเมิอสิทธิมนุษยชน

    คณะกรรมการหนี้กรีกเพิ่งจะออกประกาศว่าหนี้ทั้งหมดของ Troika "ผิดกฎหมาย" "นอกระบบ" และ "น่ารังเกียจ" และนี้คือเหตุผล เขาบอกว่า "กรีซไม่เพียง แต่ไม่ได้มีความสามารถในการชำระหนี้นี้ และยังไม่ควรให้หนี้ตั้งแต่ครั้งแรก และที่สำคัญที่สุด เพราะการอุบัติของหนี้ที่เกิดขึ้นจากการเตรียมการของ Troika เป็นละเมิดโดยตรงต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของประชาชนกรีซ ดังนั้นเรามาถึงข้อสรุปที่ว่ากรีซไม่ควรจ่ายหนี้นี้ เพราะมันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย นอกระบบ และน่าเกลียด

    http://www.zerohedge.com/news/2015-...ared-all-debt-illegal-illegitimate-and-odious
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Chalee Na Roied ผ่าน RT
    ชาวกรีซกำลังแห่ถอนเงิน จำนวนมากนะครับ เอาเป็นว่างานนี้ เราจะได้เห็นกรีซ เป็นชาติแรกที่กำลังชักดาบ และกล้าท้าทายอิทธิพล บรรดาเจ้าของธนาคาร หน้าเลือดทั้งหลาย เพราะรัฐบาลกรีซ ไม่ยอมรับหนี้สินที่เกิดขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่ ผิดกฎหมายและไม่เป็นธรรมนั่นเอง
    http://www.zerohedge.com/news/2015-...ared-all-debt-illegal-illegitimate-and-odious

    อยากจะฝากเตือน บรรดาสถาบันการเงิน ทั้งหลายในบ้านเรานะครับ ที่พยายามเลี่ยงข้อกฎหมาย เรื่องอัตราดอกเบี้ย หันไปใช้คำว่า "ค่าทำเนียม" หรือ "ค่าอื่นๆ"แทน มันเข้าข่ายทำนาบนหลังคน อย่าไปเอารัดเอาเปรียบ คนไทยด้วยกันมาก คนเราพอมันถูกกดดันมาก มันสามารถทำอะไรก็ได้
    เพราะในต่างประเทศเวลานี้ เกิดขึ้นแล้วครับ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย และไม่ยอมให้ เล่ขายสินทรัพย์ ในประเทศใดๆทั้งสิ้น รับรองครับว่าปรากฎการณ์ ที่เกิดขึ้นกับกรีซ กำลังจะกลายเป็นโดมิโน ในบรรดาประเทศในกลุ่ม สหภาพยุโรปแน่นอน ...
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Chalee Na Roied

    [​IMG]

    บ้านเรามีกระแสข่าวไวรัสเมอร์ส นะครับซึ่งถูกตรวจพบเป็นรายแรก และกำลังติดตาม ผู้สัมผัสไกล้ชิดอีก 59 คน คงไม่ต้องไปวิตกกังวลครับอะไรมาก พยายามป้องกันตัวเอง ตามคำแนะนำของแพทย์ แม้ไวรัสเมอร์ส์ จะไม่เข้ามาแพร่ระบาดในไทย แต่คนไทยก็เสียชีวิต ป่วยด้วยโรคอื่นๆ รวมถึงอุบัติเหตุจำนวนมากอยู่แล้ว
    ในสหรัฐเวลานี้ มีเหตุกราดยิงที่โบสถ์ในเมือง ชาร์ลตัน เซาธ์แคโรไรนา ในขณะที่ชาวคริสต์ ซึ่งเป็นชาวอเมริกันผิวสี กลุ่มหนึ่งกำลังเรียนคำภีร์ไบเบิล จนมีผู้เสียชีวิต 9 คนนะครับ ตามรายงานข่าวที่ปรากฎ
    Nine Dead in Shooting Rampage Inside South Carolina Church; Gunman at Large | KTLA

    แต่แน่นอนครับว่า เหตุกราดยิงที่เกิดขึ้น สื่อต่างๆในสหรัฐกำลังประโคมข่าวในเรื่องนี้ สามารถเบี่ยงเบนความสนใจ ของชาวอเมริกันและชาวโลกได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เรื่องใหญ่ๆ และมีกระทบต่อชาวอเมริกันโดยตรง ถูกกลบกระแสไปโดยปริยาย ซึ่งก็คือข่าวที่ ทำเนียบขาวได้ให้ เพิ่มอำนาจพิเศษกับ บารัค โอบามา (fast track) เป็นผู้แทนการเจรจา การค้าเสรีสหรัฐเอเชียแปซิฟิก(TPP) และเขตการค้าเสรีสหรัฐและยุโรป( TTIP) ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นถกเถียง ในสภาครองเกรสมานาน http://rt.com/usa/268165-tpp-tpa-fast-track/

    เขตการค้าเสรีทั้งสองของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเขตการค้าเสรีระหว่างสหรัฐและยุโรป(TTIP) และสหรัฐกับเอเชียแปซิฟิก12 ประเทศ(TPP)นั้น ถ้าเจรจาประสบผลสำเร็จ ก็จะเปิดโอกาสให้ ทุนขนาดใหญ่ในสหรัฐ สามารถเคลื่อนย้ายมาลงทุน ในประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และสหภาพยุโรปได้อย่างเสรี ผูกขาดและครองโลกได้เลยทีเดียว
    Τhe Transnational Elite and the New World Order (NWO) | Global Research - Centre for Research on Globalization


    เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจครับว่า ทำไมรัสเซียและจีน ตลอดจนพันธมิตร ถึงต้องจับมือกัน เพื่อ สถาปนา ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม BRICS และสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย ที่จีนและรัสเซียพยายามผลักดัน เพื่อให้โลกแบ่งเป็น หลายขั้วมหาอำนาจ ต้องการผลักดันให้สกุลเงินอื่น ขึ้นมาแชร์ส่วนแบ่งดอลลาร์ ในตลาดโลกนั่นเอง
    BRICS: A thorny path to a multi-polar world | Russia & India Report

    อย่าลืมนะครับว่า ก่อนหน้านั้นรัสเซียและจีนได้ ใช้สกุลเงินแลกเปลี่ยนกันโดยตรง ไปล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว และที่กำลังจะเพิ่มขึ้นก็คือ บราซิล แอฟริกาใต้และ อินเดีย ที่เพิ่งลงนามเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ของสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย จะเริ่มมีการค้าขาย ด้วยสกุลเงินระหว่างกันโดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ "ดอลลาร์" ในการอ้างอิง ซึ่งกำลังจะมีผลบังคับใช้ ภายในก่อนสิ้นปี 2015 นี้
    http://www.themoscowtimes.com/busin...o-launch-100bln-multilateral-bank/501191.html

    นั่นหมายความว่า รัสเซียและประเทศในกลุ่มBRICS จะค่อยๆลดการถือครอง พันธบัตรสหรัฐเป็นสกุลเงินสำรอง ยิ่งเงินดอลลาร์ถูกเทขายมากขึ้นเท่าไหร่ "ทองคำ"ก็จะกลับมาเป็น โลหะที่มีค่าใช้ในการอ้างอิง กับสกุลเงินมากขึ้นเท่านั้น ทำให้รัฐบาลสหรัฐไม่สามารถ จัดทำงบประมาณขาดดุลย์ พิมพ์ดอลลาร์สร้างหนี้ต่อไปได้ การถือครองพันธบัตรสหรัฐ ของประเทศต่างๆที่ผ่านมานั้น เท่ากับเป็นการสนับสนุนรัฐบาลสหรัฐ ให้ทำสงคราม ในภูมิภาคต่างๆของโลก สร้างความมั่งคั่งให้กับ บรรดาผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งก็คือเจ้าของธนาคารกลางทั้งหลาย ที่กำลังทำนาบนหลังคน กอบโกยความร่ำรวย บนหยดเลือดและคราบน้ำตา ของเพื่อนร่วมโลก ทั้งนี้เพื่อรักษา "petrodollar" นั่นเอง
    Russia Kicks De-Dollarization Into High Gear: May Issue Bonds in Chinese Yuan
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    BRICS และ AIIB ทางเลือกใหม่สำหรับ IMF และ World Bank

    [​IMG]

    ------------
    เอาหละ... ได้ฤกษ์พูดเรื่อง BRICS ตามที่ได้แจ้งไว้ก่อนในโพสต์ก่อนหน้านี้ซะที วันนี้พึ่งกลับจากไปทำธุระข้างนอกมา พึ่งจะมีโอกาสมาเขียนข่าวให้แฟนเพจได้รับทราบความคืบหน้าสถานการณ์โลกก็ตอนดึกๆ นี่แหละครับ
    วันก่อนได้พูดถึงสามก๊กโมเดล ระหว่าง สหรัฐฯ-จีน-รัสเซีย ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการรวมพลังกันของสองฝ่ายเพื่อต้านมหาอำนาจ แบบ 2 ต่อ 1 นั่นไม่ได้หมายความเฉพาะว่าเขาจะสู้รบกันหรือยกทัพเข้าห้ำหั่นประลองกำลังกันด้วยการทำสงครามอย่างในสมัยสามก๊กนะครับ ในการที่จีนกับรัสเซียจะรับมือสหรัฐฯนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเปิดศึกทำสงครามก็ได้ ที่ฮึ่มๆกันอยู่นั้นก็เพราะสหรัฐฯต้องการจะแสดงให้โลกเห็นว่าตัวเองยังเป็นพี่เบิ้มของโลกอยู่เท่านั้นเอง แต่ถ้าจีนกับรัสเซียไม่รับมุกด้วย สหรัฐฯก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี อยู่เฉยๆสหรัฐฯจะยกทัพเข้าไปถล่มรัสเซียหรือจีน? หรือกดปุ่นนิวเคลียร์ระเบิดจีนกับรัสเซียไปเพียงเพราะจีนกับรัสเซียไม่ยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาของสหรัฐฯอย่างยุโรปอย่างนั้นหรือ?
    ถ้าทำอย่างนั้นมันเสียสติไปแล้ว สหรัฐฯจะเอาความชอบธรรมอะไรมาทำอย่างนั้น แล้วคิดหรือว่าหากสหรัฐฯทำอย่างนั้นได้ จีน รัสเซีย อินเดีย อิหร่าน หรือประเทศอื่นๆจะทำบ้างไม่ได้? แล้วสหรัฐฯและพวกพ่อค้าอาวุธมหาเศรษฐีที่คุมการเงินและชักใยการเมืองของสหรัฐฯอยู่ในปัจจุบันนี้จะมีอะไรเป็นหลักประกันว่าตัวเองจะรอดพ้นจากหายนะในครั้งนี้ไปด้วย เขาไม่กล้าเสี่ยงทำอย่างนั้นกันหรอก อย่างมากก็แค่พยายามสร้างสงครามตัวแทนสนามเล็กๆ เพื่อกอบโกยกำไรจากการค้าขายอาวุธสงครามในต่างแดนเท่านั้นเอง เช่นที่ อิรัค ลิเบีย ซีเรีย ยูเครน และเยเมนในทุกวันนี้ไง การสร้างสงครามภายนอกแบบนี้ทำให้สหรัฐฯและอียูสามารถทำกำไรจากการค้าอาวุธได้อย่างมากโข โดยที่ประเทศของตัวเองก็ยังปลอดภัยดี แต่ถ้าเปิดสงครามใหญ่จริงๆ ทุกฝ่ายมีแต่จะเสียหายด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นไม่มีใครกล้าเสี่ยงแน่
    ส่วนที่มีการปล่อยกระแสข่าวออกมาเป็นระยะๆ ว่าอาจจะเกิด WWIII หรือสงครามนิวเคลียร์ขึ้นในเร็วๆนี้ ก็เพื่อทำให้สังคมตื่นตะหนก และจะได้ไม่คัดค้านการอนุมัติงบกลาโหมก้อนใหญ่ๆในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกและบอลติกตามเกมที่สหรัฐฯวางไว้เท่านั้นเอง ถ้าอยู่เฉยๆ ไม่มีความตึงเครียดหรือไม่มีสถานการณ์ใดๆ ที่ส่อว่าจะกระทบกับความมั่นคงของประเทศและรัฐบาลของประเทศเหล่านั้นอนุมัติงบป้องกันประเทศก้อนใหญ่ในการจัดซื้อจัดหาอาวุธเป็นจำนวนมากออกมา มันก็เป็นเรื่องที่แปลกและผิดปรกติไป ดังนั้นเพื่อให้ดูสมเหตุสมผล สหรัฐฯและนาโต้ก็ออกแรงกระตุ้นซะหน่อย ขยันซ้อมรบประชิดชายแดนรัสเซียบ่อยครั้งเข้า เพื่อกระตุ้นให้รัสเซียรู้สึกระแวงในพฤติกรรมของเพื่อนบ้าน พอรัสเซียขยับและซ้อมรบและเสริมกำลังเข้าชายแดนของตนเพื่อความไม่ประมาท ก็เข้าทางสหรัฐฯและนาโต้พอดี
    การอนุมัติงบกลาโหมของยุโรปก็ผ่านฉลุย ผู้ที่เกี่ยวข้องก็กินกันอิ่มแปล้อย่างทั่วหน้า ก็ในเมื่อยุทธวิธีนี้มันได้ผลดี แล้วเรื่องอะไรสหรัฐฯจะถอนกำลังทหารของตนออกจากกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกและกลุ่มประเทศบอลติกซะหละ ถ้าสหรัฐฯและนาโต้เสริมกำลังเข้าไปเพิ่มอีก แน่นอนรัสเซียก็จะไม่อยู่เฉย รัสเซียก็จะเสริมทัพมากขึ้นตามไปด้วย คราวนี้สื่อฯสหรัฐฯและตะวันตกก็เล่นข่าวประโคมข่าวต่อไปสิว่าสถานการณ์เริ่มมีความตึงเครียดกันมากขึ้นเรื่อยๆ ตลาดหุ้นเอย ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเอย พวกนี้อ่อนไหวกับข่าวในลักษณะนี้มาก พวกนักลงทุนที่ตั้งใจจะไปลงทุนในรัสเซียและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่กำลังจะเดินทางไปเที่ยวในรัสเซียก็ต้องหยุดชะงักรอดูเหตุการณ์ไปก่อน เพราะกลัวว่าจะเกิดสงคราม ผลที่ตามมาก็คือเศรษฐกิจของรัสเซียไม่โตตามที่คาดการณ์ไว้ ก็เข้าทาง anti-Russia propaganda จากฝั่งสหรัฐฯและอียูอีก
    รัสเซียและจีนก็รู้ว่าทางสหรัฐฯและอียูพยายามจะเล่นมุกนี้ แต่ปูตินก็ไม่ได้บ้าจี้ตามสหรัฐฯพวกยุโรปตะวันออกไปซะทุกเรื่องหรอกนะ สหรัฐฯอยากจะใช้สงครามในการขยายอำนาจและรักษาอำนาจของจักรวรรดิอเมริกาก็ทำไป ทางด้านรัสเซีย จีน และอินเดียเดินหน้าหาพันธมิตรพัฒนาเศรษฐกิจต่อดีกว่า โดยไม่ยอมหลงกลของสหรัฐฯที่ต้องการจะให้รัสเซียและจีนหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องสงครามเท่านั้น
    เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.58 ที่ผ่านมานาย Paulo Nogueira Batista, Jr รองประธานธนาคาร New Development Bank (NDM) ของกลุ่ม BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยกาฝ่ายบริหารของ IMF (2007-2015) ออกมากล่าวว่า IMF กำลังจะล้าหลัง BRICS เนื่องจากยังยึดติดอยู่กับหลักปฏิบัติในศตวรรษที่ 20 และจีนมีบทบาทใน BRICS มาก สำนักงานใหญ่ของ BRICS จะตั้งอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ AIIB ก็จอยู่ที่จีน จีนจะกลายเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 ธนาคาร NDB แห่งใหม่ของ BRICS จะกลายเป็นกลไกในการทำงานร่วมกันกับองค์กรด้านการเงินที่มีอยู่ในปัจจุบันเช่น World Bank และ Asian Bank (ADB) (นี่แอ็ดมินสรุปมาจากข่าวของ Sputnik news)
    และในวันที่ 17 มิ.ย.58 ที่ผ่านมา สำนักข่าว RT news ของรัสเซียก็รายงานว่านาย Sergey Ryabkov รมช.ต่างประเทศของรัสเซียกล่าวว่า สมาชิกของกลุ่ม BRICS ได้เริ่มปรึกษาหารือกันในการจัดตั้งระบบการโอนเงินระหว่างประเทศขึ้นมาใช้ในกลุ่มของตนเองแทนระบบ SWIFT ที่สหรัฐฯและอียูควบคุมอยู่ในปัจจุบันนี้ นี่เป็นทางเลือกใหม่ของกลุ่ม BRICS เพื่อป้องกันปัญหาที่สหรัฐฯและอียูแซงชั่นธนาคารและบริษัทของรัสเซียและประเทศอื่นๆ ทำให้ประเทศเหล่านั้นไม่สามารถโอนเงินข้ามประเทศได้
    Sergey Ryabkov ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว RIA ของรัสเซียว่า "รัฐมนตรีคลังและผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกลางในกลุ่ม BRICS กำลังปรึกษาหารือกัน... ในการจัดตั้งระบบชำระเงิน และเปลี่ยนมาเป็นการใช้สกุลเงินของแต่ละประเทศ จะใช้ SWIFT หรือไม่นั้น พวกเรากำลังคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ระบบการชำเงินข้ามประเทศแบบพหุภาคี ซึ่งจะทำให้มีความเป็นอิสระมากขึ้นกว่าเดิม จะเป็นการสร้างหลักประกันให้กับประเทศในกลุ่ม BRICS ในความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจโดยพลการ... ซึ่งกระทำโดยประเทศที่มีระบบการชำระเงินที่อยู่ภายใต้อำนาจของพวกเขา" (นั่นคือการแสวงหาทางรอด และออกจากการกดขี่ของอเมริกากับพวก ที่ BRICS กำลังจัดตั้งขึ้นมาใหม่)
    ส่วนในที่ประชุม St.Petersburg International Economic Forum 2015 ซึ่งรัสเซียเป็นเจ้าภาพนั้น วันที่ 19 มิ.ย.58 สำนักข่าว Sputnik news รายงานว่า นาย Paulo Nogueira Batista รองประธานธนาคาร NDB กล่าวว่า "BRICS กำลังจะทำการเปลี่ยนแปลงการกำกับดูแลทั่วโลกและจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของมหาอำนาจประเทศอุสาหกรรมชั้นนำของโลก"
    Paulo Nogueira Batista กล่าวต่อว่า "ผมเชื่อว่าด้วยการรวมพลังกันในครั้งนี้ พวกเราสามารถที่จะสร้างความแตกต่างขึ้นมาได้ ประเทศต่างๆที่เกิดขึ้นมาใหม่ในโลกนี้ ซึ่งสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ในการอภิปรายในเวทีนานาชาติ ซึ่งก็คือกลุ่มประเทศอย่าง BRICS อาจจะมีการปฏิบัติตนที่เป็นอิสระจากตะวันตก"
    ก่อนหน้านี้ Paulo Nogueira Batista กล่าวว่ากลุ่ม BRICS เป็นกลุ่มเปิด พร้อมที่จะต้อนรับสมาชิกใหม่ๆเข้ามาสร้างผลประโยชน์ร่วมกันเสมอ BRICS ยินดีต้อนรับแม้กระทั่งประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยการลงทุนส่วนใหญ่ของ BRICS นั้นจะเน้นไปที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเป็นหลัก (นั่นหมายความว่าไม่ใช่สหรัฐฯและมหาอำนาจในอียู นะครับ)
    อะฮ่า!... คนนี้พลาดไม่ได้ครับ "ปูติน" เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.58) สำนักข่าว Sputnik news รายงานว่า "รัสเซียไม่ต้องการที่จะเป็นเจ้าโลก (hegemony/superpower) แต่รัสเซียแสวงหาความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน" ปูตินกล่าวในงาน St. Petersburg International Economic Forum 2015 (หมายความว่าอย่างไร? ปูตินกำลังพูดเหน็บใครและส่งสัญญาณถึงใครหรือเปล่า? ใครบางประเทศที่กำลังทำตัวเป็นเจ้าโลกเป็นตำรวจโลกอยู่ในปัจจุบันนี้ ดูเหมือนว่าประเทศต่างๆที่อยู่ภายใต้อำนาจของตำรวจโลกจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและเท่าเทียมในสายตาของปูตินนะ ใครเอ่ย?)
    ปูตินกล่าวต่ออีกว่า "กรุงมอสโคว์ได้เริ่มปกป้องผลประโยชน์ของตนเองในแนวทางที่แน่นอนชัดเจน แต่ไม่ใช่ด้วยการกระทำที่อุกอาจ (/ก้าวร้าว) พวกเราได้เริ่มต้นในการปกป้องผลประโยชน์ของตนเองอย่างเสมอต้นเสมอปลายมาโดยตลอด เราต้องการความสัมพันธ์ที่อยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันกับสมาชิกทั้งหมดในประชาคมนานาชาติ"
    สิ่งที่สหรัฐฯและอียูเป็นกังวลมากๆ และกลัวที่สุดในตอนนี้ก็คือการสร้างสายสัมพันธ์ Sino-Russian ระหว่างจีนกับรัสเซีย ไม่ใช่ในด้านของอาวุธและกองทัพเท่านั้น นั่นเป็นเพียงฉากหน้าหรือปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำที่ยังมองไม่เห็นนั้นก็คือเรื่องการล่มสลายของเศรษฐกิจของสหรัฐฯและอียูต่างหาก
    Catherine Boyle นักข่าวในลอนดอนกล่าวว่า "หมุดที่รัสเซียเล็งลงไปในตะวันออกนั้นคมมาก ด้วยความสัมพันธ์ที่มีกับจีนอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นผลกระทบจากการถูกแซงชั่นโดยตะวันตก (และสหรัฐฯ) การขยับที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น และผลที่ตามมาก็คือ (รัสเซีย) ลดความน่าเชื่อถือ (ลดการพึ่งพา) ในสหรัฐฯและตะวันตกลง ได้สร้างความหวาดกลัวขึ้นมาให้กับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของตะวันตก" (ชัดนะ... นี่ตะวันตกเองเขาก็มองอย่างนี้ เขาไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องของสงคราม แต่มองที่หายนะทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯและตะวันตกที่พวกเขาก่อขึ้นเองต่างหาก)
    ในขณะที่สหรัฐฯพยายามหาเรื่องรัสเซียและชวนจีนทะเลาะด้วยเพื่อเบนความสนใจจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของตัวเองไปยังเรื่องของสงครามระหว่างมหาอำนาจแทนนั้น รัสเซียกับจีนก็หันมาจับมือกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ร่วมทันแทน เช่น โครงการเส้นทางรถไฟสาย trans-Siberian Railroad และสาย trans-Eurasian และ China-led Silk Road โครงการท่อแก๊สระหว่างจีนกับรัสเซีย เมกาโปรเจกเหล่านี้ผ่านประเทศใด ประเทศนั้นๆจะเข้าร่วมลงทุนในโครงการเหล่านั้นด้วยเสมอ เพราะไม่อยากเสียโอกาส
    ส่วนเรื่องที่รัสเซีย จีนและพันธมิตรกำลังลดความสำคัญของเงินดอลล่าร์สหรัฐฯลงนั้น Catherine Boyl กล่าวเตือนว่า "ทั้งหมดนี้อาจจะมีผลกระทบในระยะยาวของการลดการพึ่งพาเงินดอลล่าร์ และจะส่งผลต่อการบั่นทอนทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯด้วย"
    หมายความว่าถ้าสหรัฐฯไม่อยากให้ดอลล่าร์ของตนเองกลายเป็นเศษกระดาษจริงๆในไม่ช้านี้ สหรัฐฯและอียูจะต้องรีบทำอะไรซักอย่าง (หรือหลายอย่าง) เพื่อหยุดยั้งกระบวนการแท็กทีมของจีนกับรัสเซียในครั้งนี้ ดังนั้นเราจึงได้เห็นสหรัฐฯออกอาการลุกลี้ลุกลน ดิ้นรนเหมือนคนกำลังจะขาดอากาศหายใจอย่างทุกวันนี้ไง ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง propaganda ถล่มรัสเซียและจีน (แต่ยังไม่กล้าแตะอินเดีย) การพยายามทำให้สงครามในตะวันออกกลางยืดเยื้อออกไปโดยไม่มีวันสิ้นสุด การพยายามสร้างสนามรบแห่งใหม่ขึ้นมาในยูเครน และยุโรปตะวันออก รวมถึงในทะเลจีนใต้ด้วย ขนาดจีนจะตั้งธนาคาร AIIB ขึ้นมาในตอนแรก อเมริกาตัวอิจฉาก็ยังพยายามบ่อนทำลาย ดิสเครดิสทุกช่องทาง แต่ก็ไม่เป็นผล (ยัง… ยังไม่รู้ตัว ยังไม่สำนึก หากสหรัฐฯยังไม่ปรับแก้นิสัยและพฤติกรรมถ่อยๆของตนแบบเดิมๆ ก็คงจะไม่มีประเทศใดในโลกนี้ช่วยได้แล้ว ไม่มีใครไปทำอะไรสหรัฐฯหรอก แต่สหรัฐฯจะจมน้ำตายเพราะการล่มสลายของตัวเองในนาทีสุดท้ายเอง)
    The Eyes
    20/06/2558
    ----------
    IMF Risks Falling Behind as BRICS Bank Rises / Sputnik International
    BRICS Bank May Interact With World, Asian Banks / Sputnik International
    ​BRICS starts examining SWIFT alternative — RT Business
    BRICS, AIIB Not a Challenge, But a Wake-Up Call for West – IMF Executive / Sputnik International
    Putin: Russia Rules Out Hegemony, Seeks Int'l Relations Based on Equality / Sputnik International
    Sino-Russian Rapid Rapprochement Giving Western Financiers the Shivers / Sputnik International
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    "ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ใกล้ถึงคราวล่มสลาย" - Ron Paul

    [​IMG]

    ----------
    สวัสดีครับทุกท่าน... ช่วงสายวันนี้เข้ามาเช็คข่าวรอบโลกซะหน่อยก็เห็นว่ามีหลายข่าวที่น่าสนใจ เมื่อวานนี้ก็ยังเล่าไม่หมด เดี๋ยวจะทะยอยเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปนะครับ แต่วันนี้เห็น Sputnik news ของรัสเซียพาดหัวข่าวเรื่องหนึ่งว่า "Ron Paul: US Stock Market About to Collapse" ว้าว! น่าสนใจใช่ไหม? เนื้อหาต่อเนื่องจากโพสต์ที่แล้วพอดีเลย จึงคิดว่าน่าจะนำมาเล่าให้แฟนเพจ "ปอกเปลือก ทรราช" ฟังซักหน่อยนะ
    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 มิ.ย.58 ที่ผ่านมา Ron Paul วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันของสหรัฐฯ พูดในรายการ "Futures Now" ของสำนักข่าว CNBC ของสหรัฐฯว่า "ผมมองดูว่าตลาด [หุ้นของสหรัฐฯ] ว่าไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งหมายความว่าบางวันพุ่งขึ้นสูงมาก และบางวันก็ร่วงลงต่ำอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีความก้าวหน้าไปไกลเลยเมื่อคุณมองดูที่อัตราการเติบโตที่แท้จริง"
    วุฒิสมาชิก Ron Paul กล่าวต่ออีกว่า "FED จะไม่ปล่อยให้ตลาดนี้ร่วง นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงมักจะเอียงไปยังสมมุติฐานที่ว่า FED จะไม่เพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างจงใจ ผมคิดว่าตลาดหุ้นจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย"
    เมื่อวันพุธที่ผ่านมา FED ได้ออกแถลงการณ์ว่าจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งจะทำให้มีการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นในวันพฤหัสบดี หุ้นของ Nasdaq ทำยอดสูงสุดตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2000 ในขณะที่ S&P 500 ปิดต่ำกว่า 1% ในช่วงที่มียอดการซื้อขายสูงตลอดเวลา
    Paul กล่าวว่า "ผมประหลาดใจอย่างมากที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯสามารถเล่นกับ (เกม) หายนะกับตลาดหุ้น" นักวิจารณ์ฝีปากกล้าคนนี้ยังได้เรียกร้องให้มีการตรวจสอบการทำงานของสถาบันการเงินแห่งนี้ด้วย
    "คุณไม่มีทางรู้ระยะเวลาที่แน่นอนในเรื่องนี้ได้ มันอาจจะเป็นพรุ่งนี้ หนึ่งเดือนข้างหน้า หรืออาจจะราว 2 ปีข้างหน้านับจากนี้ไปก็ได้ เนื่องจากทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับการยอมรับทางจิตวิทยาของระบบ (it all depends on a psychological acceptance of the system)"
    Paul อดีตผู้สมัครแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2 สมัยกล่าวว่า "ผมไม่รู้ว่ามีวิธีใดที่จะรู้เวลาที่แน่ชัดได้ แต่หลังจาก 35 ปีของตลาดกระทิงใหญ่ (bull market) ในพันธบัตร เชื่อเถอะว่าพวกเขาจะไม่สามารถพลิกกลับประวัติศาสตร์ได้ และพวกเขาไม่สามารถที่จะพิมพ์เงินออกมาเพื่อหล่อเลี้ยงตลาดได้ตลอดไปแน่นอน ในที่สุดแล้วตลาดก็จะครอง และแน่นอนว่านั่นคือคำถามที่ว่าแล้วมันจะเกิดขึ้นเมื่อไร"
    [Bull Market หรือเรียกว่าตลาดกระทิง คือภาวะที่ตลาดหุ้นที่มีหลักทรัพย์ทั่วไปมีระดับสูงแบบต่อเนื่อง เป็นระยะเวลายาวนานไม่น้อยกว่า 2 เดือนขึ้นไป มีปริมาณการซื้อขายที่มาก มีสภาพคล่องสูง มีความคึกคักในการซื้อขาย เหมือนกับการเคลื่อนไหวของวัวกระทิง สภาพตลาดหุ้นที่ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนโปรดปรานมากที่สุด ทิศทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและนอกประเทศเป็นไปในทางที่ดี ราคาหุ้นและดัชนีหลักทรัพย์โดยรวมล้วนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    Bear Market หรือเรียกว่าตลาดหมี คือเป็นภาวะตลาดหุ้นที่ราคาหลักทรัพย์โดยทั่วไปที่มีระดับลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องและเป็นระยะเวลายาวนาน และปริมาณการซื้อขายหุ้นก็น้อย เปรียบเหมือนกับความเคลื่อนไหวของหมีที่อืดอาด เชื่องช้า เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายของนักลงทุน ดัชนีหลักทรัพย์และราคาหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นไปในทางทิศทางลบ]
    Paul กล่าวตำหนิว่า "(มันเป็น) ความเข้าใจผิดในการวางแผนทางเศรษฐกิจสำหรับการสร้างฟองสบู่ที่น่ากลัวขึ้นมาในตลาดพันธบัตร คุณไม่สามารถเก็บมัน (ฟองสบู่) เอาไว้ได้ มันเป็นของเทียม (artificial) มันไม่มีอะไรที่จะต้องทำกับเรื่องของเสรีภาพ และตลาดเสรี และทุนนิยม และ Sound Money แต่ทั้งหมดนี้มันเป็นของเทียม มันเป็นการเมืองทั้งหมด และนั่นแหละคือเหตุผลที่พวกเรามีความเสี่ยงมากๆ เมื่อฟองสบู่แตก มันก็จะกลายเป็นตัวจุดชนวนความความวุ่นวาย (chaos) ในตลาดหุ้น"
    สุดท้าย Ron Paul กล่าวว่า "ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงอยู่บนปากเหว ประเทศนี้ โลกใบนี้ต่างอยู่บนปากเหวของการมองไปที่ Detroit และ Greece มากกว่าสิ่งอื่นๆ แต่ [ใน/ช่วง] เวลาที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น มันอาจจะไม่เกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ หรือเดือนหน้า แต่ว่ามันจะเกิดขึ้น (แน่นอน) เพราะว่าสิ่งนี้มันไม่ยั่งยืน (because this is unsustainable)"
    นั่นคือมุมมองของนักการเมืองชาวอเมริกันบางคนผู้คร่ำหวอดในวงการการเมืองสหรัฐฯมายาวนาน พอได้อ่านบทความนี้ของ Ron Paul แล้วก็ทำให้นึกถึงอีกข่าวหนึ่งที่อ่านเจอเมื่อต้นเดือนนี้จาก Sputnik เช่นกัน ซึ่งพาดหัวเรื่องว่า "So Long Big Apple! Chinese Firms Look to Drop NYSE Listings, Return Home" ซึ่งแปลว่า "บั๊บบายแยงกี้! กลุ่มนักลงทุนบริษัทชาวจีนกำลังจะพากันถอนตัวจากตลาด NYSE ของสหรัฐฯแพ็กกระเป๋ากลับบ้านที่เมืองจีนกันแล้วนะ"
    เดิมทีว่าจะเล่าให้ฟังตั้งนานแล้วหละครับ แต่ข่าวค่อนข้างเยอะ ยังหาโอกาสเหมาะๆไม่ได้สักที วันนี้พอจะมีเวลาบ้างก็เลยนำมาเล่าประกอบกับข่าวข้างบนของ Ron Paul ซะเลย เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.58 ที่ผ่านมาสำนักข่าว Sputnik news ลงข่าวว่า "กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีของจีนไม่แยแส (disenchanted) ต่อสหรัฐฯ (อีกต่อไป) และกำลังมองหาช่องทางในการถอนรายชื่อออกจาก (ตลาดหุ้น) ในนิวยอร์ก และกลับบ้านที่กรุงปักกิ่งที่ซึ่งตลาดหุ้นกำลังมีความคุกคักพลุกพล่าน" (นี่ไงอีกยุทธศาสตร์แก้เผ็ดสหรัฐฯจากจีน โดยไม่ต้องก่อสงครามใหญ่ เล่นกันเรื่องเศรษฐกิจนี่แหละ สหรัฐฯถึงได้หงอยง่อยรับประทานในกรณีข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ในเวลานี้ไง โดยสหรัฐฯหันมาขอจับมือกับจีนแทน เล่นเอาญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ไปไม่เป็นเหมือนกันหลังจากที่ลูกพี่ใหญ่ยุให้ซัดกับจีนจนคลั่งในช่วงก่อนหน้านี้ สุดท้ายสหรัฐฯบอกว่างั้นขอเปลี่ยนไปเป็นซ้อมรบร่วมกับจีนแทนได้ป๊ะ? ญี่ปุ่นกับฟิลิปปินส์ก็งงสิครับ)
    สื่อรัสเซียรายงานว่า เหล่าผู้บริหารบริษัทด้านเทคโนโลยีชาวจีนกำลังเดิมพันในการประเมินมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้นในจีน นักลงทุนเหล่านี้หวังที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองติดกับดักในระเบียบกฎหมายเมื่อกรุงปักกิ่ง (ออกกฎหมาย) ควบคุมผู้ถือหุ้นชาวต่างชาติที่ไม่ถูกกฎหมายในบริษัทต่างๆ เพื่อปกป้องภาคเทคโนโลยี การอพยพครั้งยิ่งใหญ่ของนักลงทุนชาวจีนอาจจะหมายถึงบรรดาผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (underwriters) ใน Wall Street กำลังจะพลาดโอกาสในการทำกำไรจากการเก็บค่าธรรมเนียมเช่น $300 ล้านเหรียญจากหุ้น IPO มูลค่า $25 billion ของ Alibaba ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซของจีน ซึ่งถือว่าเป็น Initial Public Offering ที่ใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรกในโลก
    รอยเตอร์สรายงานว่า "ตัวเลขที่ชวนให้หลงไหล ดัชนีหุ้นคอมโพสิต ChiNext บริษัทด้านเทคโนโลยีของจีน มีผลประกอบการเกือบจะ 180% ในปีนี้ ซึ่งบดบัง (/สูงกว่า) Nasdaq OMX China Technology Index ถึง 30% ซึ่งติดตามการจดทะเบียนในต่างประเทศมีรายชื่ออยู่ในแผ่นดินใหญ่"
    บริษัทต่างๆ (ของจีน?) ที่มีรายชื่ออยู่ในดัชนี Nasdaq มีราคาหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 11 เท่าของรายได้ (ผลประกอบการ?) ของบริษัทเหล่านั้น เฉพาะ ChiNext นั้นมี 133 เท่า กลุ่มผู้บริหารชาวจีนมองว่าเป็นความเหลื่อมล้ำต่อสหรัฐฯที่เพิกเฉยต่อจีน รอยเตอร์สกล่าวว่า "พวกนักลงทุนชาวอเมริกันไม่เข้าใจโมเดลธุรกิจของบริษัทที่เล่นเกมแบบจีน นี่เป็นคำพูดของผู้บริหารระดับสูงในบริษัทแห่งหนึ่งที่วางแผนจะย้ายการลงทุนจาก New York ไปที่จีน" นักวิเคราะห์มองว่ามีบริษัทสัญชาติจีนที่ยังอยู่ในตลาดนิวยอร์กน้อยลงเรื่อยๆ
    กรุงปักกิ่งมุ่งมั่นที่จะทำให้เซี่ยงไฮ้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินโลกเหมือนกับลอนดอน ฮ่องกง และนิวยอร์ก ภายในปี 2020 แต่การที่จะกระทำอย่างนั้นได้ จีนจะต้องเตรียมพื้นที่ไว้สำหรับบริษัทที่มีนวัตกรรมมากที่สุดของตนเองด้วย ผู้แทนจากธนาคาร China Renaissance ของจีนล่อนจดหมายถึงรอยเตอร์สว่า "จีนได้ขจัดอุปสรรคต่างๆที่เป็นเครื่องขัดขวางในการกลับมาที่จีนของบรรดาบริษัทนักลงทุนออกไปหมดแล้ว ประเด็นปัญหาไม่ใช่สิ่งที่ประเมินคุณค่าที่คุณจะได้รับในจีน รูปแบบตลาดที่มีความร้อนแรงกำลังจะหายวับไปแล้ว (หมายถึงของสหรัฐฯ?)"
    และเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ Die Welt ของเยอรมันนีก็รายงานว่า "นับเป็นครั้งแรกที่การซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ต้องเผชิญคู่แข่งที่รุนแรง ตลาดหุ้นของจีนกำลังจะเปิดตัวในเร็วๆนี้ จะดึงดูดนักการเงินจากทั่วทุกมุมโลกเข้าไปทำการค้าขายที่ (ก่อนหน้านี้) พวกเขาไม่สามารถผ่านไปได้"
    รายงานข่าวบอกว่าคาดว่าจีนจะเชื่อมโยงตลาดหุ้นใน Shenzhen และที่ฮ่องกง และในเซี่ยงไฮ้เข้าด้วยกัน ดังนั้นตลาดหุ้นทั้งสามแห่งใหญ่ๆของจีนก็จะรวมเข้าด้วยกัน เป็นการสร้างศูนย์กลางการซื้อขายหุ้นทั่วโลกคล้าย Wall Street ของสหรัฐฯ ในกรณีที่จีนรวมตลาดหุ้นเข้าด้วยกันนั้น มูลค่าการลงทุนในตลาดหุ้นจีนทั้งหมดจะอยู่ที่ $13 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ประเทศจีนจะกลายเป็นมหาอำนาจ (superpower) ด้านตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจาก New York Stock Exchange ของสหรัฐฯที่มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ $16.5 ล้านเหรียญ และถือว่าเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของ Wall Street เลยหละ
    สหรัฐฯเห็นและรับรู้สัญญาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ การขยายอำนาจ และการเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของจีนเหล่านี้ทั้งหมด แต่สหรัฐฯก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งกระบวนการและสายน้ำของนักลงทุนที่กำลังหลั่งไหลไปสู่จีนได้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณบ่งบอกว่าจุดจบของสหรัฐฯใกล้จะมาถึงแล้วเช่นกัน จะเห็นได้ว่าในการก้าวขึ้นสู่ความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกนั้น จีนไม่จำเป็นต้องเอาเรือรบเครื่องบินรบไปจ่อประเทศอื่น หรือไปเที่ยวสร้างฐานทัพของตนในต่างประเทศ หรือเที่ยวก่อสงครามต่างแดนอย่างที่สหรัฐฯทำ จีนก็สามารถที่จะผงาดขึ้นมาแข่งกับสหรัฐฯได้ ญี่ปุ่นก็ใช้วิธีที่คล้ายๆกับจีนนี้ในการขยายอำนาจทางเศรษฐกิจของตนเองในอดีต (หมายความว่าไม่ต้องใช้อาวุธนำหน้าก็กลายเป็นมหาอำนาจได้เช่นกัน)
    The Eyes
    20/06/2558
    -----------
    Ron Paul: US Stock Market About to Collapse / Sputnik International
    http://www.federalreserve.gov/…/press/monetary/20150617a.htm
    So Long Big Apple! Chinese Firms Look to Drop NYSE Listings, Return Home / Sputnik International
    China Becomes Second Stock Market Superpower – German Newspaper / Sputnik International
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทหารปฏิรูปประเทศไทย

    [​IMG]

    โอ้ว..กรุงเทพฯ ทรุดตัวปีละ 1-2 ซม. ย่านรามคำแหงหนักสุดจะจมลงเรื่อย ๆ
    ภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า จากการศึกษาในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่ากรุงเทพฯ มีการเกิดแผ่นดินทรุดตัวเฉลี่ยปีละประมาณ 1 เซนติเมตร และมีระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 4 มิลลิเมตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกซึ่งอยู่ที่ 1.8 มิลลิเมตรเท่านั้น
    ส่งผลต่อการเคลื่อนของแผ่นดิน อีกทั้งเมืองยังมีการขยายตัวทำให้แผ่นดินเกิดการทรุดตัวอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ในปี 2557 พื้นที่กรุงเทพฯ มีการทรุดตัว โดยเฉพาะพื้นที่ย่านรามคำแหง ถือเป็นพื้นที่ที่เกิดการทรุดตัวมากที่สุดจำนวนกว่า 2 เซนติเมตร ในอดีตมีการใช้น้ำบาดาลในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อการทรุดตัวของพื้นที่เป็นอย่างมาก
    แต่เมื่อภาครัฐเข้ามาควบคุมการใช้น้ำบาดาล ก็สามารถป้องกันการทรุดตัวของพื้นที่ได้บางส่วน แต่พื้นที่ที่เกิดการทรุดตัวจากการใช้น้ำบาดาลและยังไม่สามารถฟื้นฟูพื้นที่ได้ คือ จังหวัดสมุทรสาคร และพื้นที่ย่านลาดกระบัง นอกจากนี้อาจส่งผลกระทบต่อระบบน้ำประปา
    โดยเฉพาะท่อน้ำประปาบางส่วนที่อยู่ในพื้นที่ดินอ่อน อาจส่งผลกระทบได้ อีกทั้งกรณีน้ำทะเลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี จะส่งผลต่อคุณภาพน้ำดิบในการผลิตน้ำประปาอย่างมาก
    ------------------------------>
    อืมม..พื้นดินทรุดลงเฉลี่ย 1-2 ซม.ต่อปี แต่น้ำทะเลเพิ่มขึ้น 4 มม.ต่อปี นั้นหมายความว่าอีกราว 3 ปี ระดับน้ำทะเลจะอยู่สูงกว่าแผ่นดิน กทม.และยิ่งในระยะยาวกว่านี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะน้ำทะเลจะสามารถย้อนทะลักเข้ามาท่วม กทม.ได้โดยง่าย
    @ เสธ น้ำเงิน4
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทหารปฏิรูปประเทศไทย

    [​IMG]

    อึ้งมาก..มีแผ่นดินไหวบนดวงจันทร์ได้ แต่ที่ช็อคโลกกว่านั้นคืออะไร??
    ศาสตราจารย์วิชาธรณีวิทยา พร้อมทั้งนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเยาวฮาลาลเนห์รู ของประเทศอินเดีย ได้วิเคราะห์ภาพถ่ายของพื้นผิวดวงจันทร์ ที่ถูกถ่ายจากยานอวกาศจันทรายาน 1 โดย พบว่า แผ่นเปลือกผิวดินของดวงจันทร์ก็มีการขยับเคลื่อนที่ได้เช่นคล้ายโลก ซึ่งถ้าหากผิวเปลือกดวงจันทร์เกิดการชนหรือยันกัน ก็จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้
    สรุปได้ว่า แผ่นเปลือกของดวงจันทร์นั้นก็มีการเคลื่อนแบบเดียวกับโลกจนเกิดแผ่นดินไหว นั่นหมายถึง ดวงจันทร์ก็อาจมีแกนกลางเช่นเดียวกันกับโลกของเรา ซึ่งแกนกลางของโลกเองมีความร้อนสูงมากหลายพันองศา และสร้างสนามแม่เหล็กปกป้องโลกมาจนถึงปัจจุบัน
    แต่ที่อึ้งกว่า คือ รัสเซีย เพิ่งออกมาแฉว่า นักบินอวกาศอเมริกา ไม่ได้ไปดวงจันทร์จริงๆ เมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว เป็นการจัดฉากถ่ายทำแบบภาพยนต์เท่านั้น และ NASA ของอเมริกาเอง ก็เพิ่งออกมาสารภาพเสียงอ่อยๆ เช่นกันว่า "เผลอลบทำภาพ และหลักฐานครั้งนั้นหายเกลี้ยง" ไปหมดแล้วไม่เหลืออะไรเลย
    เฮ้ย..ถ้ามันเคยไปจริงๆ แล้วจะไม่มีหลักฐานเหลือเลย จะเอาอะไรมาตรวจสอบกัน สมัยนั้นหลอกคนก็ง่าย เทคโนโลยีการจับผิดต่างๆ ไม่มีเหมือนสมัยนี้..อเมริกามันแต่งเรื่องประวัติศาสตร์อะไรให้คนทั่วโลกเรียนมาตั้งกว่า 50 ปีหรือเนี่ย..โห ช็อคกันไปทั้งโลกจริงๆ งานนี้
    @ เสธ น้ำเงิน4
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทหารปฏิรูปประเทศไทย

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สัตว์ประหลาดบุกโลก แมงกะพรุนยักษ์นับล้านเกยตื้นตายเกลื่อนหาดอังกฤษ
    เกิดเหตุประหลาด เมื่อมีแมงกะพรุนยักษ์เกยตื้นหาดทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะอังกฤษ โดยไม่ทราบสาเหตุ เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจปิดชายหาดดังกล่าวชั่วคราว เนื่องจากหวั่นว่าจะเกิดอันตรายกับนักท่องเที่ยว แมงกะพรุนยักษ์นี้มีลักษณะลำตัวใส และมีจำนวนมากมายมหาศาล
    เปลี่ยนสภาพชายหาดนี้จนดูเหมือนว่าจะเป็นดาวเคราะห์ดวงอื่นที่ไม่ใช่โลก ยังไม่ทราบสาเหตุที่แมงกะพรุนยักษ์มาเกยตื้น แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าพวกมันอาจมีมาอีกแน่นอน
    เจ้าตัวใสๆ นี่มันหนีอะไรมา ??
    @ เสธ น้ำเงิน4
    แจ้งความประสงค์ขอรับ หนังสือรวมเล่ม แฉ ความลับ และ ebook คลิ๊กไปที่ https://t.co/KxhM77h8oO
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai ได้แชร์รูปภาพของ Seed Ikwan

    ทำไมอเมริกาถึงพิมพ์ดอลล่าได้เอง ?

    [​IMG]

    เรื่องในตอนนี้ผมจับเนื้อหามาจาก กมล กมลตระกูล ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550 นะครับ

    อย่างที่อ่านกันไปในตอนที่ 1-3 นายมูกาเบ้ เคยทำยังไงเอาไว้ บุช, โอบาม่าก็กำลังดำเนินรอยตามแบบนั้นเช่นกันครับ หากยังไม่หักดิบเปลี่ยนนโยบาย เส้นทางที่สหรัฐอเมริกากำลังเดินไปจุดหมายคือ Hyperinflation อย่างแน่นอน

    ไม่สำคัญว่า จะเป็น ซิมบับเวียน ดอลลล่าร์ห์ หรือ US ดอลลล่าร์ห์
    เมื่อกระทำ“เหตุ” อย่างเดียวกัน ก็ย่อม ให้ “ผล” ที่ไม่ต่างกัน.

    ในตอนที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ หลายๆ คนหลายๆ สำนักวิเคราะห์กันว่าปัญหาของซับไพรมหรือหนี้ด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นต้นเหตุของวิกฤตการณ์ แต่อันที่จริงสาเหตุเศรษฐกิจขาลงทางด้านเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐยังไม่ใช่สาเหตุหลักของหายนะของค่าเงินดอลลาร์ และจุดเริ่มความล่มสลายของระบบเศรษฐกิจอเมริกันในทศวรรษหน้า

    สาเหตุที่แท้จริงคือ การซื้อขายน้ำมันในตลาดโลกกำลังจะเปลี่ยนไปใช้เงินตราสกุลอื่น เช่น ยูโรหรือเยน ที่เกิดจากการผลักดันของประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ แห่งเวเนซุเอลา และล่าสุดในการประชุมกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันหรือโอเปก (OPEC) ครั้งที่ 146 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่เมืองอาบูดาบี ประเทศสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ผ่านมานี้ อิหร่านได้กระโดดเข้ามาผลักดันแนวคิดนี้อย่างจริงจัง โดยเสนอให้ตั้งธนาคารโอเปกขึ้นมา และให้เลิกซื้อขายน้ำมันในตลาดโลกด้วยเงินดอลลาร์

    ทำไมการเลิกใช้เงินดอลลาร์เป็นการคุกคามเศรษฐกิจอเมริกา

    ปีที่แล้วอเมริกาขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (current account deficit) $811 พันล้านเหรียญ - 8.11 ล้านล้านเหรียญ หรือ 6% ของจีดีพี ตัวเลขนี้ คือ รายจ่ายที่มากกว่ารายรับ

    การที่อเมริกาเป็นประเทศเดียวที่สามารถ ขาดดุลชำระเงินและขาดดุลการค้าได้มากขนาดนี้ หรือ เรียกว่า “การขึ้นรถฟรี (free rider)” ก็เพราะได้ใช้อิทธิพลทำข้อตกลงกับกลุ่มประเทศโอเปกเมื่อปี 1971ให้การซื้อขายน้ำมันโลกใช้เงินดอลลาร์เพียงสกุลเดียว

    ข้อตกลงนี้ทำให้ทุกประเทศที่บริโภคน้ำมัน ต้องสะสมเงินดอลลาร์เพื่อใช้ในการซื้อน้ำมันเข้าประเทศ และการซื้อขายน้ำมันโลกร้อยละ 85 ซื้อขายกันนอกประเทศสหรัฐอเมริกา และหมุนเวียนกันอยู่ภายนอกอเมริกา

    ยกตัวอย่างสมมติว่าไทยอยากได้ดอลลล่าร์มาเก็บไว้ ก็เอาข้าวไปให้อเมริกา อเมริกาก็เอาเงินดอลลล่าร์มาให้ไทย เป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน บังคลาเทศอยากได้ดอลลล่าร์ ก็เอาเครื่องนุ่งห่มไปให้อเมริกาเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน

    ดังนั้นเงินที่ดอลลล่าร์ที่พิมพ์ออกมานี้ก็คือเงินที่ใช้ในการซื้อสินค้าหรือจ่ายหนี้ให้ประเทศที่อเมริกานำเข้าสินค้านั่นเอง มาตรฐานชีวิตคนอเมริกัน จึงสูงที่สุดในโลก เพราะพิมพ์เงินออกมาซื้อฟรี กินฟรีสินค้าจาก ทั่วโลก หรือลงทุนในประเทศอื่นๆเพื่อหากำไร ส่งกลับเข้าประเทศ ประเทศที่ขายสินค้าให้ อเมริกาก็นำเงินดอลลาร์มาเป็นเงินสำรอง หรือนำมาไว้ใช้ซื้อน้ำมันมาบริโภค และเพื่อนำเข้ามาผลิตสินค้าไว้ขายอเมริกาต่อไปเป็นวงจรไป

    หรือไม่ก็นำมาซื้อพันธบัตรของรัฐบาลอเมริกัน (U.S. Treasury Bonds) ซึ่งก็คือ นำเงินที่ขายสินค้าได้ดุลมาให้อเมริกาที่เป็นผู้บริโภคกู้เพื่อนำมาซื้อสินค้ากลับไปกินไปใช้ใหม่ (recycle)

    ด้วยเหตุนี้ ธนาคารกลางสหรัฐจึงสามารถพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาได้อย่างไม่จำกัด (ตามข้อตกลงของไอเอ็มเอฟ โดยที่ไม่ต้องมีทองคำมาสำรองตามจำนวนที่พิมพ์ออกมา) และไม่ต้องหวั่นว่าจะเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นภายในประเทศ

    ตัวเลขในปี 2007 จีน ถือพันธบัตรอเมริกันไว้ทั้งสิ้น 396.7 พันล้านเหรียญ หรือเกือบๆ 4 แสนล้านเหรียญ ส่วนญี่ปุ่นเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ ที่สุดของอเมริกา คือ 582.2 พันล้านเหรียญ หรือเกือบ 6 แสนล้านเหรียญ

    ประเทศผู้ขายน้ำมันก็นำเงินดอลลาร์มาขาย ในตลาดเงิน - Foreign Exchange Markets (Forex) เช่น ที่ลอนดอน หรือนิวยอร์ก สิงคโปร์ ให้ประเทศที่ต้องการบริโภคน้ำมันซื้อไปเพื่อใช้ซื้อน้ำมันต่อไป

    เงินดอลลาร์จึงหมุนเวียนอยู่ภายนอกอเมริกาเป็นเช่นนี้มาหลายสิบปีติดต่อกันมา

    แต่วงจรนี้กำลังจะถูกทำให้สะดุด และอเมริกาจะยอมไม่ได้ เพราะว่าถ้าปล่อยให้มันเกิดขึ้น หนี้สินจำนวน 8.11 ล้านล้านเหรียญที่อเมริกาเป็นหนี้ชาวโลก ก็ต้องหามาจ่าย และอเมริกาก็ไม่มีเงินนี้จ่าย นอกจากจะต้องขายทรัพย์สิน หรือบริษัทไปสักครึ่งประเทศ

    ประธานาธิบดีซัดดัมแห่งอิรักบังอาจท้าทาย ความเป็นอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของอเมริกา โดยขายน้ำมันของตน ด้วยเงินยูโรแทนดอลลาร์ ในปี 2000 และเปลี่ยนเงินสำรองประเทศของตนเป็นยูโรด้วย ทำให้หลายๆ ประเทศ ที่ซื้อน้ำมัน จากอิรักต้องเปลี่ยนตามไปด้วย

    ความต้องการ (demand) ดอลลาร์ในตลาดโลกจึงทยอยลดลง ในปี 2002 เงินดอลลาร์ มีค่าลดลงร้อยละ 18 พอถึงปี 2003 อเมริกา จึงบุกอิรัก โดยอ้างว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ (อิหร่าน อาจจะโดนเช่นเดียวกัน) จากนั้นก็เปลี่ยนการ ซื้อขายน้ำมันของอิรักจากเงินยูโรกลับมาเป็น เงินดอลลาร์ใหม่

    อิหร่านเริ่มยุติการซื้อขายน้ำมันของตนจากเงินดอลลาร์มาเป็นเงินยูโรแทนเมื่อปี 2003 และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ค่าเงินดอลลาร์ก็ลดลงแล้วถึงร้อยละ 30 ในวันนี้ ตามหลักความต้องการซื้อ (demand) และความต้องการขาย (supply) เมื่อความต้องการซื้อลดลง ราคาของสิ่งนั้นก็ลดตามด้วย

    การแก้เกมของอเมริกาคือ การปั่นราคาน้ำมันโลกให้สูงขึ้นเพื่อสร้างความต้องการซื้อดอลลาร์ให้อยู่ในระดับเดิม ทุกวันนี้ราคาน้ำมันจึงพุ่งทะยานขึ้นเกือบแตะ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลแล้ว

    ถ้าวิธีนี้ไม่ได้ผล อเมริกาอาจจะตัดสินใจ โจมตีอิหร่านเหมือนเช่นที่ทำกับอิรักด้วยเหตุผลเดียวกันคือ กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โดยใช้ยุทธวิธี “โจมตีก่อนแล้วพิสูจน์ทีหลัง” (pre-emptive strike )

    อย่างไรก็ตามอิหร่านเป็นประเทศใหญ่กว่าอิรักมาก มีประชากรมากกว่า ถ้าอเมริกาโจมตี และเข้ายึดครอง ก็อาจจะเป็นสงครามยืดเยื้อกว่าสงครามอิรัก และอาจจะต้องลงทุนด้วยชีวิต ทหารอเมริกันมากกว่าอิรักอีกหลายเท่า

    คนอเมริกันจำนวนมากจึงไม่เห็นด้วย รวมทั้งสมาชิกรัฐสภาจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ รัฐบาล และสื่อมวลชน ดังนั้นจึงมีรายงานวิจัย เผยแพร่ออกมาว่าอิหร่านได้ยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มาแล้วตั้งแต่ปี 2003 เพื่อป้องกัน ไม่ให้ประธานาธิบดีบุชโจมตีอิหร่านเสียก่อน แล้วพิสูจน์ทีหลัง

    ประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ก็ยุติการขาย น้ำมันของตนด้วยเงินดอลลาร์ไปแล้ว แต่ขายเป็นเงินยูโรแทน ดังนั้นโอกาสที่ค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่ากลับมามีอิทธิพลในตลาดเงินโลกเหมือนเดิมจึงมีโอกาสน้อย หรือเป็นไป ไม่ได้เลย

    สถานการณ์ข้างต้นเป็นสัญญาณขาลงของอภิมหาอำนาจที่ครองความเป็นเจ้ามาเป็นเวลาเกือบ 60 ปี ซึ่งสั้นกว่ายุคล่าอาณานิคมที่ยาวนานเป็นร้อยปี

    ผมย้อนกลับไปข้อความข้างต้นที่ผมจั่วหัวไว้ครับว่า “ไม่สำคัญว่า จะเป็น ซิมบับเวียนดอลลล่าร์ หรือ US ดอลลล่าร์ เมื่อกระทำ“เหตุ” อย่างเดียวกัน ก็ย่อม ให้ “ผล” ที่ไม่ต่างกัน” ครับ

    จากเหตุการณ์ที่เล่ามา ย่อมส่งผลถึงประเทศที่ยึดเอาเงินดอลลาร์เป็นพ่อหรือพระเจ้าโดยไม่ยอมเปลี่ยนเงินสำรองของชาติ ไปเป็นเงินสกุลอื่น และทำให้เราพอมองออกว่าทำไมอเมริกาถึงต้องหาเรื่องซัดดัมแห่งอิรัก ในสงครามอ่าวเปอร์เซีย และกำลังโจมตีอิหร่านในข้อหามีอาวุธนิวเคลียร์

    # ก่อนพิมพ์ดอลลาร์ยังปล้นทองจากทั่วโลกอีกต่างหาก โดยเฉพาะหลอกประเทศต่าง ๆ ให้เอาทองคำไปแลกดอลลาร์
    เนื่องจากศก.อเมริกามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก USAจึงสามารถเกลี้ยกล่อมให้ ประเทศต่าง ๆ ใช้เงินสกุลของตนเป็นสกุลหลัก โดยตกลงให้ค่าเงินดอลลาร์อิงกำทองคำ ใครจะเอาเงินดอลลาร์ก็ให้เอาทองคำไปแลกตามข้อตกลงเบรตันวูดส์ (Bretton Woods Agreement) ซึ่งสุดท้ายพอศก.ตัวเองแย่ก็แอบพิมพ์เงินเพิ่ม พอถูกจับได้อัตราการอ้างอิงราคาดอลลาร์ต่อทองคำก็พุ่งพรวด(เรียกได้ว่าลอยตัวค่าเงินเทียบทอง) แต่ถึงตอนนั้นใคร ๆ ก็ใช้ดอลลาร์เป็นตัวกลางซะแล้ว ในขณะที่อเมริกาก็กลายเป็นประเทศที่มีทองคำมากที่สุดในโลก และการพิมพ์เงินออกมาเองอย่างต่อเนื่องโดยไม่อ้างอิงทองคำของอเมริกาก็ทำให้เข้าสู่ยุคเริ่มต้นของการเก็งทองคำอันเนื่องจากความไม่น่าเชื่อถือของเงินดอลลาร์

    ปล. เป็นบทความเก่าๆหลายปีมาแล้วครับ ใครเป็นศัตรูของพญาอินทรีย์ ท้ายที่สุดคืออาชญากรโลก ตามที่ฮอลิวูดร่วมกันครอบงำโลกมาเป็นเวลานาน

    นอกจากนี้มีใครรู้บ้างว่าปริมาณเงินดอลลาร์ที่มีในโลกใบนี้มีเท่าไร?
    เงินดอลลาร์ที่พิมพ์เพิ่มจาก QE1-3 เป็นเงินเท่าไรเทียบกับที่มีอยู่ในโลกใบนี้?

    อเมริการู้ตัวเองดีที่สุด ว่าควรหยุดพิมพ์ที่เท่าไร เพื่อส่งผลกระทบต่อตัวเองน้อยที่สุด ได้เปรียบมากที่สุด
    ผลกระทบต่อการอ่อนค่าของดอลลาร์จะมากที่สุดก็ต่อเมื่อ 'ประเทศต่าง ๆ เลิกถือครองดอลลาร์' -->เราจะได้เห็นเหตุการณ์ซิมบับเวเกิดกับอเมริกา

    เหตุการณ์ปัญหาค่าเงินในซิมบับเว
    ทำไมอเมริกาถึงพิมพ์ดอลล่าได้เอง (ตอนที่ 1) | SquareWa - บริษัทตรวจสอบบ้านด้วยบุคคลากรของบริษัทเอ

    <iframe width="854" height="510" src="https://www.youtube.com/embed/SF98Ng1zouQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    [​IMG]

    .. "ปริศนาการตายของนายธนาคารสิบกว่าศพ : อาจจะเกี่ยวกับการฆ่าปิดปากพยานการโกงในตลาดการค้าแลกเปลี่ยนเงินตรา"
    ... เมื่อปลายปี 2013 จนต่อเนื่องมาถึงต้นปี 2014 มีเกือบยี่สิบศพของนายธนาคารได้เสียชีวิตไปแบบน่าสงสัยในหลายประเทศทั่วโลก ตอนนั้นคริสโตเฟอร์ กรีน ของ AMTV ได้บอกว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับข่าวการ "ล็อคหวย" โกงอัตราแลกเปลี่ยนการค้าเงินตรา ( foreign exchange rates ) ของ JP Morgan ก็ได้ ที่ขณะนั้นกำลังมีการไต่สวนหาความจริงอยู่
    ... แล้วสิ่งที่เขาคาดการณ์วิเคราะห์ไว้ก็เหมือนจะเป็นจริงมากขึ้น เพราะเมื่อ 21 พฤษภาคม ปีนี้ 2015 โดยพวกเขา ( ธนาคารข้ามชาติขนาดใหญ่ 6 ราย ) ได้ถูกตัดสินให้จ่ายเงินค่าปรับใน "การยอมความนอกศาล" ( ถ้าเข้าศาลอาจจะโดนหนักกว่านี้ = นี้เป็นสิ่งที่กฎหมายการเงินของโลกอ่อนมาก )
    ... ธนาคารข้ามชาติขนาดใหญ่ 6 ราย คือ Citigroup, JP Morgan Chase, Barclays, UBS และ Royal Bank of Scotland ถูกปรับเกือบ 5,600 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 185,000 ล้านบาท แก่ "กระทรวงยุติธรรม" และ "ธนาคารกลาง" ของอเมริกา และ "คณะกรรมการกำกับดูแลสถาบันการเงิน" ของทั้งอเมริกาและอังกฤษ... ( ไม่มีใครจ่ายให้บรรดาแมงเม่าที่เล่นเกมการเทรดอัตราแลกเปลี่ยนเงินทั่วโลกเลยหรือ ? )
    ... หลังจากยอมรับผิดในข้อหาร่วมกันพยายามสร้างหรือชี้นำอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ( ที่ส่วนใหญ่เป็นดอลล่าร์ และ ยูโร ) ที่ซื้อขายผ่านบริษัทตัวเอง ในธุรกิจค้าเงินตราที่มีมูลค่าซื้อขายในแต่ละวันสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
    ... ธนาคาร ถูกทางการสหรัฐและอังกฤษกล่าวโทษว่าได้ร่วมกัน "ฉ้อโกงลูกค้า" เพื่อเพิ่มกำไรให้กับบริษัทของตนโดยอาศัยเครื่องมือแชตรูมทางคอมพิวเตอร์และใช้รหัสส่วนตัวในการติดต่อ เพื่อเอาข้อมูลนั้นมาสร้างกำไรให้กับบริษัทตัวเอง
    ... ข่าวนี้บอกอะไรแก่เรา "การค้าเงินตรา" ที่เราเห็นว่าเงินดอลล่าร์แลกได้เงินบาทเท่ากับเท่านั้นเท่านี้บาทนั้น ไม่ได้มาจากการเคลื่อนไหวตามการค้าการขายเศรษฐกิจแต่อย่างใด แต่มันเป็นการ "ล็อคหวย" เอาไว้แล้วโดยนักค้าเงินนักการธนาคารใหญ่ๆของโลกทั้งนั้น เป็นการทำกำไรจากแมงเม่าหูเบาทั่วโลก แถมมีการ "ฆ่าปิดปาก" พยานที่รู้เห็นในการฉ้อโกงมากมาย ถามว่าจะมีการสืบสวนขยายผลต่อไปในคดีอาญาที่อาจจะเกี่ยวข้องสำหรับคนที่ตายไปแล้วหรือไม่ ? อเมริกาเงียบไป ก็ได้แค่ปรับเอาเงินเข้าประเป๋าตัวเอง แล้วเรื่องคนตายก็ตายฟรีไป
    ... นักค้าเงินตราของไทยและทั่วโลกคงได้ตาสว่างกันแล้วว่า โลกเราไม่ได้สวยงามโปร่งใสอย่างที่คิด แม้จะมีคณะกรรมการกำกับควมคุม ( ไม่รู้ว่าจะรู้เห็นด้วยหรือเปล่า ) ก็ไม่สามารถห้าม "มาเฟียทางการเงิน" แห่งวอลล์สตรีทที่ปกครองทั่วโลกได้ ความเลวร้ายของเขาเริ่มเปิดเผยมาให้เห็นเรื่อยๆ และไม่นานอาณาจักรของเขามันจะพังทลายลงมาเพราะความโลภมากของพวกเขาเอง
    .
    https://www.youtube.com/watch?v=lyUiXgtHR8E
    https://www.youtube.com/watch?v=dsmEKXnY38s
    http://www.reuters.com/…/us-banks-forex-settlement-idUSKBN0…
    http://www.moneychannel.co.th/…/ธนา…
    Zero Hedge | On a long enough timeline the survival rate for everyone drops to zero
    jpmorgan-banker-jumps-his-death-hong-kong-said-be-http://www.nationtv.tv/…/fo…/378456652/33-year-old-fx-trader
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai ผ่าน เปลว สีเงิน - Plew Seengern

    [​IMG]

    ... "ไทยเคยมีคาสิโนของรัฐบาล ... เปิดได้เพียง 4เดือนเท่านั้นต้องสั่งปิด"
    ... เหรียญกษาปณ์กาสิโน(เนื้อนิเกิล) เป็นเหรียญที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ในบ่อนคาสิโนที่รัฐบาลเปิดให้เล่นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2488 ในรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์
    ... จากคำบอกเล่า…นั้น เพราะราษฎรเล่นกันจนหมดเนื้อหมดตัว มีคดีมากมาย ต่อมาทางการจึงได้สั่งปิดบ่อนคาสิโนดังกล่าว ในวันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2488
    .
    ขอขอบคุณ เพจ ปราชญ์ สามสี

    ไทยเคยมีคาสิโนของรัฐบาล แล้วเป็นไง! ขอขอบคุณ เพจ ปราชญ์ สามสี

    [​IMG]

    [​IMG]

    เหรียญกษาปณ์กาสิโน(เนื้อนิเกิล) รูปนกวายุพักตร์ สั่งผลิตจากประเทศอังกฤษ เหรียญคาสิโนเหล่านี้เป็นเหรียญที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ในบ่อนคาสิโนที่รัฐบาลเปิดให้เล่นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2488 ในรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ ซึ่งมีการผลิตเหรียญนี้ขึ้นเพื่อใช้แทนชิพ มีจำนวนทั้งหมด 4ราคา คือ 1,10,20 และ 100
    ปี พ.ศ.2488 รัชกาลที่8 จากคำบอกเล่า…นั้น กาสิโน เปิดได้เพียง 4เดือนเท่านั้นต้องสั่งปิด เพราะราษฎรเล่นกันจนหมดเนื้อหมดตัว มีคดีมากมาย ต่อมาทางการจึงได้สั่งปิดบ่อนคาสิโนดังกล่าว ในวันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2488
    เหรียญกษาปณ์กาสิโน(เนื้อนิเกิล) รูปนกวายุพักตร์ เหล่านี้คือสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ ในอดีตและได้มอบบทเรียนไว้แล้วว่าสังคมไทยเหมาะสมกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่
    บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า ก่อนจะพูดถึงว่า จะมีกาสิโนหรือไม่นั้น? ก็ควร ศึกษาให้ลึกซึ้งถึงเจตนา ที่แท้จริงของการมีกาสิโนก่อนว่าจะสร้างมาเพื่อเหตผลอันใด? สร้างเพื่อนำเม็ดเงินเข้าประเทศ หรือเป็นเพียงธุรกิจที่ค้าความหวังแค่คนภายในประเทศ ที่สุดท้ายแล้วก็มีแต่คราบน้ำตา?

    ไทยเคยมีคาสิโนของรัฐบาล แล้วเป็นไง! | Social Talk
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    ... "อเมริกา : ศึกนอกไม่น่ากลัวเท่าศึกใน ... ที่หลายรัฐอยากแยกตัวออกเป็นอิสระ เพราะเบื่อกับการบริหารประเทศที่เต็มไปด้วยหนี้สิน ที่ถูกครอบงำโดยวอลล์สตรีท สร้างภาระให้กับชาวอเมริกัน แถมด้วยการสอดแนมไร้ความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยจาก NSA ... และที่สำคัญต้องรีบแยกออกมา ก่อนที่ระเบิดหนี้สินและฟองสบู่เศรษฐกิจจะแตก"

    <iframe width="854" height="510" src="https://www.youtube.com/embed/vstZ3N2zXLo" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เบื้องหลังความสัมพันธ์ของราชวงศ์ซะอูดกับอัลกออิดะฮ์
    Category: News & Event Published on Saturday, 20 June 2015 00:32 Written by Islamicstudiesth Team.

    [​IMG]

    เจ้าชายซาอุฯ ยอมรับว่ามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอัลกออิดะฮ์

    เจ้าชายนายิฟยอมรับว่า อุซามะฮ์ บินลาดิน และกองกำลังภายใต้การบัญชาการของเขาได้ดำเนินการตามคำสั่งของราชวงศ์ซะอูดในอัฟกานิสถาน เจ้าชายนายิฟ อัชชะอ์ลาน เป็นหนึ่งในเจ้าชายที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลมากที่สุดของประเทศซาอุดิอารเบีย

    ญอมนิวส์รายงานโดยอ้างจาก "อัลอาลัม" ว่า : นายิฟ อัชชะอ์ลาน สามีของลูกสาวของอับดุลลอฮ์ บินอับดุลอะซีซ อดีตกษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย ยอมรับว่ามีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับอุซามะฮ์ บินลาดิน อดีตผู้นำอัลกออิดะฮ์ เว็บไซต์ข่าว "Al-marsd" รายงานว่า นายิฟ อัชชะอ์ลานและซะอูดพี่ชายของเขามีความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกับอุซามะฮ์ บินลาดิน และนายิฟได้กล่าวในรายการโทรทัศน์ว่า ในช่วงเวลาที่ทำการต่อสู้กับกองกำลังของสหภาพโซเวียตในอัฟกานิสถาน เขาได้มีส่วนร่วมในการยึดครองกรุงคาบูล

    นายิฟถือว่าการยึดครองกรุงคาบูลนั้น คือความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ และกล่าวอ้างว่า : "ผมเป็นหนึ่งในผู้จัดเตรียมแผนในการพิชิตกรุงคาบูล เป็นแผนที่เป็นที่รู้จักในขื่อ"Domino" แผนพิชิตกรุงคาบูลได้ถูกจัดเตรียมขึ้นโดยความรู้และได้รับความเห็นชอบจาก "อับดุลเราะห์มาน บินอับดุลอะซีซ อาลิซะอูด" รองรัฐมนตรีว่าการกระทรงกลาโหมของซาอุดิอาระเบีย"

    เจ้าชายนายิฟยอมรับว่า อุซามะฮ์ บินลาดินและกองกำลังภายใต้การบัญชาการของเขาได้ดำเนินการตามคำสั่งของราชวงศ์ซะอูดในอัฟกานิสถาน เจ้าชายนายิฟ อัชชะอ์ลาน เป็นหนึ่งในเจ้าชายที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลมากที่สุดของประเทศซาอุดิอารเบีย ศาลในฝรั่งเศสได้ตัดสินจำคุกเจ้าชายนายิฟ อัชชะอฺลานเป็นเวลา 10 ปีในข้อหาลักลอบขนโคเคนจำนวนมากในปี 1999 เจ้าชายนายิฟยังถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า ใช้ประโยชน์ในทางมิชอบจากเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูตของตนในการลักลอบขนยาเสพติดเข้ามาในประเทศฝรั่งเศสด้วยเครื่องบินส่วนตัวของตน

    ที่มา : jamnews

    VDO.

    <iframe width="720" height="400" src="https://www.youtube.com/embed/A0qpZm8bErQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="720" height="400" src="https://www.youtube.com/embed/hVeZwkYCb4Q" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    เบื้องหลังความสัมพันธ์ของราชวงศ์ซะอูดกับอัลกออิดะฮ์
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เอาเงินเป็นตัวล่อเพื่อให้คนโลภ หลงติดกับ !
    กรณีโรฮีนจามีผลกับความมั่นคงภายในประเทศมาก และเพื่อป้องกันการก่อการร้ายภายในประเทศ ซึ่งมีข่าวลือว่าไอเอสจะมาปักหลักในเอเซีย และเงินช่วยเหลือที่รัฐบาลจะให้เงินช่วยเหลือองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เพื่อที่จะได้นำเงินไปใช้เพื่อจัดหาที่พักอาศัยและบริการด้านสุขภาพให้แก่ชาวโรฮีนจาที่ยังติดค้างอยู่ในเรือประมงนอกน่านน้ำของประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งผมเข้าใจว่าเงินก้อนนี้เป็นเหมือนทุนประเดิมที่จะให้โรฮีนจาได้มีหลักแหล่งที่อยู่ แต่ทุนในการดูแลโรฮีนจาล้านกว่าคน เงิน $3.5 ล้าน ไม่เพียงพอที่จะที่จะดูแลได้ตลอดไป ก็ต้องใช้งบประมาณของประเทศที่เห็นแก่ได้ที่รับโรฮีนจาเข้ามาอยู่ (กรณีเห็นแก่เงินน่ะครับ ไม่ขอรวมประเทศที่เขามีน้ำใจแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง) ว่าองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)” มีเงินจ่ายในการจัดหาที่พักอาศัยและบริการด้านสุขภาพให้แก่ชาวโรฮีนจาที่ยังติดค้างอยู่ในเรือประมงนอกน่านน้ำของประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซุ้งเงิรที่จ่ายก็คืดรายได้ของประเทศที่ยอมรับโรฮีนจาให้มาอยู่ด้วยน่ะครับ

    ญี่ปุ่นประกาศมอบเงินฉุกเฉิน $3.5 ล้านช่วยเหลือ “โรฮีนจา”
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มิถุนายน 2558 14:48 น.

    [​IMG]
    @ฟูมิโอะ คิชิดะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น กล่าวสุนทรพจน์ในการเสวนาระดับสูงว่าด้วยการเสริมสร้างสันติภาพ ความปรองดองในชาติ และการส่งเสริมประชาธิปไตยในเอเชีย ณ มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ ในกรุงโตเกียว วันนี้ (20 มิ.ย.)

    เอเจนซีส์ – รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศมอบเงินฉุกเฉินจำนวน 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 117 ล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือชาวมุสลิมโรฮีนจาจากเมียนมาที่ยังติดค้างอยู่กลางทะเล วันนี้ (20 มิ.ย.) ขณะที่ปัญหาผู้อพยพทางเรือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่ทั่วโลกเฝ้าจับตา

    ฟูมิโอะ คิชิดะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ได้แถลงสุนทรพจน์ในงานเสวนาที่จัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยสหประชาชาติในกรุงโตเกียวว่า “ในส่วนของผู้ที่โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ รวมถึงสตรีและเด็กที่พยายามล่องเรือข้ามมหาสมุทรอินเดีย รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจที่จะมอบเงินช่วยเหลือ 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)”

    [​IMG]

    นี่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลแดนปลาดิบเสนอความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อบรรเทาวิกฤตมนุษยธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับชาวมุสลิมโรฮีนจา ซึ่งหลบหนีการกดขี่ข่มเหงจากพลเมืองชาวพุทธที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของเมียนมา

    กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นชี้ว่า เงินช่วยเหลือก้อนนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อจัดหาที่พักอาศัยและบริการด้านสุขภาพให้แก่ชาวโรฮีนจาที่ยังติดค้างอยู่ในเรือประมงนอกน่านน้ำของประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นระบุว่า ที่ผ่านมารัฐบาลโตเกียวมีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่กลุ่มประเทศอาเซียนในยามจำเป็น เพื่อส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาคนี้

    คิชิดะ ได้ให้คำมั่นต่อบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐและนักวิชาการซึ่งเข้าร่วมการเสวนาระดับสูงว่าด้วยการเสริมสร้างสันติภาพ ความปรองดองในชาติ และการส่งเสริมประชาธิปไตยในเอเชีย ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะยังคงมีบทบาทส่งเสริมสันติภาพในพื้นที่ขัดแย้งส่วนอื่นๆ ของเอเชีย

    “ญี่ปุ่นไม่ควรเป็นชาติเดียวที่ได้สัมผัสคุ้นเคยกับคำว่าสันติภาพ เราจะมีสันติภาพที่ยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อผลพวงของสันติภาพและความสัมพันธ์ฉันมิตรได้เผื่อแผ่ไปยังทั่วทั้งภูมิภาค และทั่วโลก”

    รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นยังกล่าวเน้นถึงความสำคัญในการรักษาประชาธิปไตย เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และความหลากหลาย “เราต้องสกัดกั้นการแพร่ขยายของลัทธิหัวรุนแรงสุดโต่งในเอเชีย ซึ่งกลุ่มติดอาวุธอย่างเช่น ไอเอส (รัฐอิสลาม) กำลังพยายามเผยแผ่อยู่”

    ผู้ที่เข้าร่วมการการเสวนาได้แบ่งปันข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ได้กระทำมา รวมถึงปัญหาท้าทายต่อกระบวนการสร้างสันติภาพและความปรองดองในชาติ โดยยกตัวอย่างกรณีของเกาะมินดาเนาทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ เมียนมา และกัมพูชา เป็นต้น

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พันธมิตรซาอุฯโจมตีทางอากาศใน “เมืองเอเดน” ของเยเมน หลังเจรจาสันติภาพล้มเหลว โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มิถุนายน 2558 19:02 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – เครื่องบินรบที่นำโดยซาอุดีอาระเบียเปิดฉากโจมตีกวาดล้างกลุ่มกบฎนิกายชีอะห์ในเมืองท่าเอเดนทางตอนใต้ของเยเมนเมื่อช่วงรุ่งสาง กองทัพระบุ ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่การเจรจาสันติภาพจบลงโดยไม่มีการทำข้อตกลงใดๆ

    แหล่งข่าวฝ่ายนิยมรัฐบาล กล่าวว่า มีการโจมตีทางอากาศอย่างน้อย 15 ระลอกบริเวณทางเข้าสู่เมืองเอเดนทางเหนือ , ทางตะวันออก และทางตะวันตก

    “เป้าหมายครั้งนี้คือเพื่อปิดแนวโอบล้อมกลุ่มกบฏฮูตีในเมืองเอเดนและให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่อต้าน” ที่ภักดีต่อประธานาธิบดี อาเบดรับบู มันซูร์ ฮาดี แหล่งข่าวรายนี้ ระบุ

    เขากล่าวว่า กลุ่มกบฏยิงปืนใหญ่ใส่ชุมชนหลายแห่งในเอเดน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 รายและบาดเจ็บอีกหลายราย ยอดซึ่งได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล

    ความรุนแรงดังกล่าวมีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ อิสมาอีล อูลด์ ชัยค์ อาเหม็ด ผู้แทนพิเศษยูเอ็นประจำเยเมนประกาศเมื่อวานนี้ที่นครเจนีวาว่า การเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายคู่ขัดแย้งจบลงโดยมไม่มีการทำข้อตกลง

    กบฏกลุ่มนี้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพวกนักรบที่ภักดีต่ออดีตประธานาธิบดี อาลี อับดุลเลาะห์ ซเลห์ ได้เข้าบุกยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวสุหนี่แห่งนี้ และไม่ยอมรับความชอบธรรมของรัฐบาล ทั้งยังบีบให้ อาเบดรับบู ต้องหลบหนีไปยังซาอุดีอาระเบีย

    กลุ่มพันธมิตรที่นำโดยซาอุดีอาระเบียดำเนินการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มฮูตีและพันธมิตรของพวกเขามาตั้งแต่วันที่ 26 เดือนมีนาคม

    มีคนถูกสังหารไปแล้วกว่า 2,600 คนในการสู้รบดังกล่าว ซึ่งทำให้ 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรหรือราว 20 ล้านคนอยู่ในภาวะจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมโดยเร่งด่วน ทั้งนี้อ้างจาการประเมินของยูเอ็น

    กลุ่มบรรเทาทุกข์และยูเอ็นระบุว่า วิกฤติด้านมนุษยธรรมอันเลวร้ายกำลังแผ่ขยายออก และร้องขอให้ทุกฝ่ายยุติการสู้รบเพื่อเปิดทางให้พวกเขาสามารถนำความช่วยเหลือเข้าไปยังเยเมนและแจกจ่ายสิ่งของจำเป็นให้กับประชาชนได้

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วิกิลีกส์แฉ “ลูกชายบินลาดิน” เคยขอให้สหรัฐฯ ออก “ใบมรณบัตร” ยืนยันการตายของพ่อ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มิถุนายน 2558 10:17 น.

    [​IMG]
    @อับดุลเลาะห์ บินลาดิน บุตรชายคนโตของอดีตผู้นำอัลกออิดะห์ที่เกิดจากภรรยาคนแรก "นัจวา ฆอนีม"

    เอเอฟพี – บุตรชายของ อุซามะห์ บินลาดิน อดีตผู้นำเครือข่ายอัลกออิดะห์ เคยขอให้ทางการสหรัฐฯ ออกใบมรณบัตรให้ หลังบิดาของเขาถูกหน่วยปฏิบัติการสงครามพิเศษ “ซีล” บุกสังหารถึงบ้านพักในปากีสถานเมื่อปี 2011 เว็บไซต์จอมแฉ “วิกิลีกส์” เผยเมื่อวันพฤหัสบดี (18 มิ.ย.)

    วิกิลีกส์ได้เริ่มปล่อยเอกสารลับชุด“โทรเลขการทูตซาอุฯ” (The Saudi Cables) ราว 70,000 ฉบับ ซึ่งในจำนวนนี้มีจดหมายซึ่งระบุว่าส่งจากสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงริยาดถึงบุตรชายคนโตของ บินลาดิน ที่เกิดจากภรรยาคนแรก

    จดหมายฉบับนี้ลงนามโดย เกล็น คีเซอร์ กุงสุลใหญ่สหรัฐฯ ประจำกรุงริยาด โดยส่งถึง อับดุลเลาะห์ บินลาดิน บุตรชายคนโตของอดีตผู้นำอัลกออิดะห์ เมื่อวันที่ 9 กันยายน ปี 2011 หรือประมาณ 4 เดือนหลังจากที่ บินลาดิน ถูกสังหาร

    “ผมได้รับทราบคำร้องของคุณ ซึ่งต้องการขอใบมรณบัตรให้แก่ อุซามะห์ บินลาดิน ผู้เป็นบิดา” คีเซอร์ เขียนตอบในจดหมาย พร้อมอ้างผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งยืนยันว่าไม่มีการออกหนังสือดังกล่าวให้แก่ บินลาดิน

    “นี่เป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไป สำหรับบุคคลที่ถูกสังหารในปฏิบัติการทางทหาร”

    เมื่อไม่อาจออกใบมรณบัตรให้ได้ คีเซอร์ จึงจัดส่งเอกสารของศาลสหรัฐฯ ให้แก่ อับดุลเลาะห์ ซึ่งยืนยันว่า อุซามะห์ บินลาดิน เสียชีวิตแล้ว และข้อหาอาชญากรรมทั้งหมดถูกยกเลิก

    “ผมหวังว่าเอกสารของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคุณและครอบครัวได้บ้าง” กงสุลสหรัฐฯ ระบุ

    อุซามะห์ บินลาดิน เกิดในตระกูลนักธุรกิจที่มั่งคั่งและมีชื่อเสียงของซาอุดีอาระเบีย ทว่ากิจกรรมต่อต้านอเมริกาและการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซาอุฯ ทำให้เขาถูกเพิกถอนสัญชาติเมื่อปี 1994

    วิกิลีกส์ประกาศจะนำโทรเลขการทูต ตลอดจนเอกสารของกระทรวงและสถาบันต่างๆ ในซาอุดีอาระเบียรวมกว่า 500,000 ฉบับ ออกมาเผยแพร่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์หน้า

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ซาอุฯ จะเพิ่มผลผลิตน้ำมันเพื่อกดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอีกแล้ว เชื่อไหมอาจมีข่าวว่าราคาน้ำมันลงเพราะกังวลว่าปริมาณน้ำมันสำรองในตลาดโลก (อุปทาน) สูงเกินความเป็นจริง กลุ่มคนพวกนี้น่ารักกันดีน่ะครับ

    น้ำมันลอนดอนหล่น$1ซาอุฯแย้มผลิตเพิ่ม หุ้นสหรัฐฯ-ทองคำปิดลบ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มิถุนายน 2558 05:16 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี/รอยเตอร์ - ราคาน้ำมันลอนดอนเมื่อวันศุกร์(19มิ.ย.) ขยับลงแรงกว่า 1 ดอลลาร์ หลังซาอุุดีอาระเบียแย้มอาจเพิ่มกำลังผลิต ส่วนสอลล์สตรีทและทองคำปิดลบ นักลงทุนจับตาการเจรจาระหว่างกรีซกับเจ้าหนี้นานาชาติ

    น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม ลดลง 84 เซนต์ ปิดที่ 59.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม ลดลง 1.24 ดอลลาร์ ปิดที่ 63.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

    ตลาดตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากท่าทีของซาอุดีอาระเบีย ที่บ่งชี้ว่าอาจเพิ่มกำลังผลิตท่ามกลางอุปทานที่ล้นตลาดอยู่ก่อนแล้ว

    "อาลี อัล-ไนมี รัฐมนตรีน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย ดึงดูดความสนใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของภาวะอุปทานล้นตลาดยืดเยื้อในวันพฤหัสบดี หลังเขาแสดงความตั้งใจจะใช้กำลังผลิตส่วนเกินของประเทศ 1.5-2.0 ล้านบาร์เรลต่อวันโดยเร็วที่สุด เมื่ออุปสงค์เพิ่มขึ้นสู่ระดับที่จะสามารถซึมซับน้ำมันเพิ่มเติม" นักวิเคราะห์จากซิตี ฟิวเจอร์บอก

    ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันศุกร์(19มิ.ย.) ปรับลดปานกลาง ก่อนการประชุมซัมมิทสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจได้ข้อสรุปว่ากรีซจะต้องเลิกใช้ยูโรและจำเป็นต้องพิมพ์เงินของตนเองหรือไม่

    ดาวโจนส์ ลดลง 99.89 จุด (0.55 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 18,015.95 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 11.25 จุด (0.53 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,109.99 จุด แนสแดค ลดลง 15.95 จุด (0.31 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 5,117.00 จุด

    เหล่าผู้นำยูโรโซนมีกำหนดประชุมกันในค่ำคืนวันจันทร์(22มิ.ย.) ในความพยายามครั้งสุดท้ายเพื่อบรรลุข้อตกลงปฏิรูปแลกเงินช่วยเหลือกับเอเธนส์ ท่ามกลางคำเตือนของไอเอ็มเอฟว่าจะไม่เลื่อนกำหนดเวลาชำระหนี้แก่กรีซในช่วงสิ้นเดือนนี้ ส่อเค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเอเธนส์อาจผิดนัดชำระหนี้และออกจากยูโรโซน

    ส่วนราคาทองคำในวันศุกร์(19มิ.ย.) ปิดในกรอบแคบๆ นักลงทุนจับตาแนวโน้มจุดลงเอยของวิกฤตหนี้สิน โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม ลดลง 10 เซนต์ ปิดที่ 1,201.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ความเชื่อมั่นของชาวสหรัฐฯต่อตำรวจ ร่วงแตะระดับต่ำสุดรอบ2ทศวรรษ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มิถุนายน 2558 04:01 น.

    [​IMG]

    รอยเตอร์ - ความเชื่อมั่นต่อตำรวจในสหรัฐฯ ลดลงแตะระดับต่ำสุดรอบกว่า 2 ทศวรรษ หลังมีอเมริกันชน 52 เปอร์เซ็นต์ที่รู้สึกเชื่อมั่นมากหรือมากที่สุด จากผลสำรวจความคิดเห็นแกลลัพ โพล ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์(19มิ.ค.) ท่ามกลางข่าวคราวอื้อฉาวและครหาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ในระยะหลัง

    ระดับความเชื่อมั่นดังกล่าวถือเป็นต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1993 ซึ่งเป็นปีที่ แกลลัพ โพล เริ่มดำเนินการสำรวจเป็นครั้งแรก ตามสิทธิพลเรือนถูกทดสอบจากกรณี รอดนีย์ คิง ชาวแอฟริกัน-อเมริกัน โดนเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวนครลอสแองเจลิส รุมทำร้ายเมื่อปี 1991 หลังถูกโบกให้จอดรถจักรยานยนต์ เนื่องจากขับรถเร็ว

    นับตั้งแต่ปี 1993 ความเชื่อมั่นของชาวสหรัฐฯที่มีต่อตำรวจ แกว่งตัวอยู่ระหว่างต่ำสุดร้อยละ 52 ไปจนถึงสูงสุดร้อยละ 64 ในปี 2004

    ทั้งนี้ข้อมูลล่าสุดปรากฎอยู่ในผลสำรวจประจำปีเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันต่างๆของสหรัฐฯซึ่งจัดทำเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา โดยมันเป็นผลสุ่มสอบถามความคิดเห็นพลเรือนอายุปี 18 ปีขึ้นไป 1,527 คน ที่พักอาศัยอยู่ตามมลรัฐต่างๆ 50 แห่งทั่วอเมริกาและกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ขณะที่โพลนี้มีค่าความคาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 3

    การค้นพบดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางคำถามเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติกับชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันของตำรวจในสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นนี้ปะทุขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ตามหลังเหตุเจ้าหน้าที่ยิงชายผิวดำปราศจากอาวุธเสียชีวิตหลายคดีทั้งในเฟอร์กูสัน มลรัฐมิสซูรี นิวยอร์กและที่อื่นๆ

    "ดูเหมือนเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้จะเป็นตัวสนับสนุนความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อตำรวจ แม้ข้อสังเกตสำคัญคือรากฐานความเชื่อมั่นของชาวอเมริกาที่มีต่อตำรวจไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป มันยังคงสูงอยู่ แม้ว่าจะแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์" เจฟฟรีย์ โจนส์ จากแกลลัพระบุในรายงาน

    ข้อมูลของแกลลัพ โพล ยังพบด้วยว่ามีร้อยละ 18 ที่เชื่อมั่นตำรวจน้อยมากหรือไม่เชื่อมั่นเลย ถือเป็นระดับสูงที่สุดเท่าที่เคยทำการสำรวจความคิดเห็นมา ขณะที่ แกลลัพ บอกด้วยว่าความเชื่อมั่นต่อตำรวจของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ช่วง 2 ปีหลังสุด มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 30 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 53 และต่ำกว่ากลุ่มย่อยอื่นๆค่อนข้างมาก

    รายงานบอกว่าความเชื่อมั่นต่อตำรวจของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ลดลงร้อยละ 6 จากปี 2012-2013 ซึ่งในช่วงปีเดียวกันนี้ ความเชื่อมั่นต่อตำรวจของชาวสหรัฐฯโดยรวมก็ลดลงร้อยละ 7

    ทั้งนี้เหตุผลหนึ่งที่สัดส่วนความเชื่อมั่นต่อตำรวจของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันในช่วง 2 ปีหลังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก นั่นก็เพราะว่าพวกเขามีความเชื่อมั่นในระดับต่ำอยู่แล้ว



     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกาหลีเหนือโวพัฒนาวัคซีนสารพัดโรค รักษาได้หมดทั้งเมอร์ส-อีโบลา-เอดส์
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มิถุนายน 2558 02:32 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - เกาหลีเหนืออ้างว่าพวกเขาได้พัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิผลอย่างยิ่งในการรักษาโรคร้ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เมอร์ส อีโบลาและเอดส์ เช่นเดียวกับโรคอื่นๆและอาการเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลายแหล่ เคซีเอ็นเอ สำนักข่าวกลางแดนโสมแดง รายงานเมื่อวันศุกร์(19มิ.ย.)

    สำนักข่าวเคซีเอ็นเอรายงานว่ายาตัวดังกล่าวชื่อว่า กัมดัง-2 มีสรรพคุณรักษาได้ทุกโรค ไล่ตั้งแต่เอดส์ ไปจนถึงวัณโรคและมะเร็ง เช่นเดียวกับอันตรายจากการใช้คอมพิวเตอร์และอาการแพ้ท้อง

    ปัจจุบันเกาหลีใต้กำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์ส ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนแล้ว 24 ศพจากผู้ติดเชื้อ 166 คน ถือเป็นการแพร่ระบาดใหญ่ที่สุดนอกเหนือจากซาอุดีอาระเบีย

    ข้อมูลบนเว็บไซต์ของยาตัวดังกล่าวระบุว่าวัคซีนนี้พัฒนาโดยบริษัทปูกัง ฟามาซูติคของเกาหลีเหนือ โดยสกัดจากโสมที่ฉีดพ่นธาตุหายากและได้รับการโปรโมทภายใต้สโลแกน "ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์"

    "การฉีดยา กัมดัง-2 สารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ซึ่งผลิตในเกาหลีเหนือ มีประสิทธิผลอย่างยิ่งในการรักษาโรคร้ายต่างๆที่มีต้นตอจากไวรัสร้ายแรงนานาชนิด อย่างเช่นซาร์ส, อีโบลา และเมอร์ส" รายงานของเคซีเอ็นเอระบุ

    เป็นที่ทราบกันดีว่าชาติคอมมิวนิสต์ที่ขัดสนแห่งนี้มรโครงสร้างพื้นฐานทางสาธารณสุขที่อ่อนแอ แต่พวกเขาบอกว่าได้ทดสอบยารักษาสารพัดโรคนี้มาตั้งแต่ปี 1989 และก่อนหน้านี้ก็เคยอ้างความมีประสิทธิผลของมันมาแล้ว

    ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือมักใช้มาตรการเข้มข้นในการป้องกันโรคระบาดร้ายแรง ในนั้นรวมถึงเมื่อปีที่แล้ว ที่กำหนดห้ามนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศเป็นเวลา 4 เดือน สืบเนื่องจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของอีโบลา และเมื่อเร็วๆนี้ ก็ได้เพิ่มความเข้มงวดด้านการคัดกรองและประกาศใช้มาตรการรัดกุมต่างๆ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติและจุดผ่านแดน ท่ามกลางวิกฤตไวรัสเมอร์สในเกาหลีใต้

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โสมขาว “ไม่พบ” ผู้ติดเชื้อไวรัส MERS รายใหม่เป็นวันแรก-ยอดตายรายวันเป็น “ศูนย์” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มิถุนายน 2558 09:10 น. (แก้ไขล่าสุด 20 มิถุนายน 2558 09:17 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี – กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้ประกาศไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัสกลุ่มทางเดินหายใจสายพันธุ์ตะวันออกกลาง (MERS) รายใหม่ในวันนี้ (20 มิ.ย.) ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตรายวันก็เป็นศูนย์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า มาตรการกักกันโรคของทางการโสมขาวเริ่มที่จะได้ผลชัดเจน

    ยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อ MERS ยังคงอยู่ที่ 24 รายเท่าเดิม ส่วนตัวเลขผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันทั่วประเทศก็หยุดอยู่ที่ 166 คนในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 16 วันที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่

    กระทรวงฯ ระบุด้วยว่า ผู้ป่วย 6 คนมีอาการดีขึ้น และได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ทำให้เวลานี้เหลือผู้ป่วย MERS ที่ยังนอนรักษาตัวอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ เพียง 106 คน

    จนถึงขณะนี้ โรงพยาบาลในเกาหลีใต้ได้ทำการรักษาผู้ป่วย MERS จนหายขาดจากโรคแล้วทั้งสิ้น 36 ราย

    เมื่อวันศุกร์ (19) ทางการเกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะรายใหม่เพียงคนเดียว ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ และเป็นสัญญาณดีที่บ่งบอกว่า การแพร่กระจายของไวรัสเริ่มชะลอลงนับตั้งแต่พบผู้ป่วยรายแรกของประเทศเมื่อวันที่ 20 พ.ค.

    การแพร่กระจายของไวรัส MERS ในเกาหลีใต้มีต้นตอมาจากชายวัย 68 ปีที่เดินทางกลับจากซาอุดีอาระเบีย และแพทย์ได้ยืนยันอาการป่วยของเขาเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ก่อนหน้านั้นเขาได้ไปพบแพทย์ในสถานพยาบาล 4 แห่ง และได้นำเชื้อไปแพร่สู่เจ้าหน้าที่แพทย์และผู้ป่วยรายอื่นๆ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

    การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัส MERS ทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่พบผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากซาอุดีอาระเบีย และเป็นการแพร่เชื้อที่เกิดภายในสถานพยาบาลเกือบทั้งสิ้น

     

แชร์หน้านี้

Loading...