ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “แอร์บัส” คว้าสัญญาผลิตดาวเทียม 900 ดวง ป้อนโครงการอินเทอร์เน็ตจากนอกโลก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มิถุนายน 2558 16:38 น. (แก้ไขล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 18:49 น.)

    [​IMG]

    เดอะการ์เดียน - “แอร์บัส” คว้าสัญญาออกแบบและสร้างดาวเทียม 900 ดวงให้แก่ “วันเว็บ” บริษัทเอกชนที่มีแผนจะนำเสนอบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจากอวกาศแก่ประชาชนหลายพันล้านคนทั่วโลก

    <iframe width="640" height="390" src="https://www.youtube.com/embed/ZjpopfVJf1c" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    วันเว็บระบุว่า ดาวเทียมส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตขนาดน้ำหนักไม่เกิน 150 กิโลกรัม ประมาณ 700 ดวงจะเริ่มปล่อยขึ้นสู่วงโคจรในปี 2018 ส่วนที่เหลือจะอยู่บนพื้นโลก สำหรับส่งขึ้นไปทดแทนของเดิมในกรณีจำเป็น ด้านแอร์บัสบอกว่ากระบวนการผลิตดาวเทียมแบบใหม่สำหรับโครงการนี้สามารถทำได้วันละ 4 ดวง

    เกร็ก ไวเลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและเป็นผู้ก่อตั้งวันเว็บ บอกว่า โครงการนี้มีค่าใช้จ่ายประมาณ 1.5-2 พันล้านดอลลาร์ เงินทุนส่วนหนึ่งของโครงการนี้ได้มาจาก “เวอร์จิน กรุ๊ป” ของริชาร์ด แบรนสัน กับบริษัทผู้ผลิตชิป “ควอลคอม”

    แอร์บัส ดีเฟนซ์ แอนด์ สเปซ ระบุว่า จะสร้างดาวเทียม 10 ดวงแรกที่โรงงานในตูลูส ประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะย้ายกระบวนการผลิตไปที่สหรัฐอเมริกา

    ดาวเทียมบางส่วนของวันเว็บจะถูกปล่อยขึ้นสู่วงโคจรโดยบริษัท เวอร์จิน กาแล็กติกของแบรนสัน ซึ่งกำลังพัฒนาฐานปล่อยดาวเทียมขนาดเล็กต้นทุนต่ำ รวมถึงพยายามผลักดันยานอวกาศในระดับใต้วงโคจรเข้าสู่โครงการนี้ด้วย

    ไวเลอร์ปฏิเสธที่จะพูดถึงเงินลงทุนของเวอร์จินและควอลคอมในโครงการนี้ว่ามีมากเท่าไหร่ แต่ส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่มีการเปิดเผยในเดือนมกราคมก็คือ แบรนสัน และ พอล จาค็อบ ผู้เป็นประธานกรรมการของควอลคอม ได้เข้าร่วมเป็นบอร์ดบริหารของวันเว็บ


     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกาหลีใต้ทดลองรักษา “ผู้ติดเชื้อเมอร์ส” ด้วยการฉีดน้ำเลือด
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มิถุนายน 2558 15:59 น. (แก้ไขล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 18:42 น.)

    [​IMG]

    รอยเตอร์ - โรงพยาบาล 2 แห่งในเกาหลีใต้กำลังดำเนินการทดลองรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสกลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (เมอร์ส) โดยการฉีดน้ำเลือด (blood plasma) จากผู้ป่วยที่ฟื้นตัวแล้วเข้าไปในร่างกายพวกเขา กระทรวงสาธารณสุขระบุในวันนี้ (16 มิ.ย.)

    กระบวนการดังกล่าวมีขึ้นกับผู้ติดเชื้อเมอร์สที่ให้การยินยอม 2 รายโดยอยู่นอกเหนือไปจากการรักษาที่มีอยู่แล้ว ควอน จุน-วุค หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณสุขของกระทรวงฯ บอกในการบรรยายสรุปต่อสื่อ

    ทั้งนี้ น้ำเลือด (Plasma หรือ Blood plasma) คือ ส่วนทั้งหมดของเลือดที่ไม่มีเม็ดเลือด ซึ่งได้แก่ น้ำเหลืองเลือด และสาร/โปรตีนชนิดทำให้เลือดแข็งตัว

    “มีหลักฐานทางการแพทย์เกี่ยวกับผลลัพธ์ของการรักษาด้วยน้ำเลือด (plasma therapy) อยู่น้อยมากในหมู่ผู้เชี่ยวชาญในประเทศนี้” ควอนกล่าว แต่เสริมว่า “ทางกระทรวงฯมีความเชื่อมันอย่างยิ่งในตัวเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่กำกับดูแลการรักษานี้”

    ก่อนหน้านี้การรักษาด้วยน้ำเลือดเคยถูกใช้ในผู้ป่วยโรคซาร์ส และมีผลลัพธ์เชิงบวกในผู้ป่วยขั้นรุนแรงบางคน ซึ่งส่งผลให้อัตราผู้เสียชีวิตลดลงถึง 23 เปอร์เซ็นต์ ควอน กล่าว

    การรักษาด้วยน้ำเลือดไม่ได้มีนำไปทดสอบกับผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สอย่างแพร่หลาย เนื่องจากแทบจะไม่มีการรายงานผลการศึกษาทางการแพทย์ออกมาเลย ออม จุง-ซิค อาจารย์ด้านโรคติดต่อจากวิทยาลัยการแพทย์ของมหาวิทยาลัยฮัลลิม กล่าว

    หลังจากเชื้อไวรัสเมอร์สปรากฏขึ้นในมนุษย์ครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีหนทางรักษาหรือวัคซีนที่สามารถป้องกันคนจากการติดเชื้อไวรัสดังกล่าว อีกทั้งยังแทบจะไม่มีการพัฒนาวัคซีนเกิดขึ้นเลย ถึงแม้ว่าจะมีรายะละเอียดทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถเข้าถึงได้อยู่มากมายก็ตาม

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สื่อจีนเผย “ยอดเอเวอเรสต์” เคลื่อนที่ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 3 ซม.หลังแผ่นดินไหวเนปาล โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มิถุนายน 2558 14:56 น. (แก้ไขล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 18:43 น.)

    [​IMG]

    ยอดเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งมีความสูง 8,848 เมตร

    เอเอฟพี - เหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงที่เนปาลเมื่อเดือนเมษายน ส่งผลให้ยอดเขา “เอเวอเรสต์” ซึ่งสูงที่สุดในโลกเคลื่อนที่จากตำแหน่งเดิมไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 3 เซนติเมตร สื่อรัฐบาลจีนรายงานวันนี้ (16 มิ.ย.)

    หนังสือพิมพ์ไชนา เดลี ได้อ้างข้อมูลจากสำนักงานสำรวจ จัดทำแผนที่ และข้อมูลภูมิศาสตร์แห่งชาติจีน พบว่าแผ่นดินไหวขนาด 7.8 ตามมาตราแมกนิจูดในเนปาลเมื่อวันที่ 25 เม.ย. ทำให้แนวโน้มการเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเทือกเขาแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไป

    รายงานของจีนระบุว่า ก่อนจะเกิดแผ่นดินไหวยอดเขาเอเวอเรสต์มีการขยับไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราว 40 เซนติเมตรในช่วงเวลา 1 ทศวรรษ โดยเคลื่อนที่ในอัตราเร็ว 4 เซนติเมตรต่อปี ขณะที่ความสูงของเทือกเขาก็เพิ่มขึ้น 3 เซนติเมตรในช่วงเวลาเดียวกัน

    แผ่นดินไหวครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 80 ปีของเนปาลทำให้เกิดหิมะถล่มบนยอดเอเวอเรสต์ คร่าชีวิตนักปีนเขาไป 18 คน และทำให้เบสแคมป์พังเสียหายยับเยิน ทางการจีนและเนปาลต้องประกาศห้ามการปีนพิชิตยอดเอเวอเรสต์ตลอดทั้งปีนี้เพื่อป้องกันอันตราย

    ยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยซึ่งทอดขนานตามแนวพรมแดนระหว่างเนปาลและจีน

    แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นระลอกแรกเมื่อวันที่ 25 เม.ย. และอีกครั้งในวันที่ 12 พ.ค. ทำให้มีผู้เสียชีวิตในเนปาลถึง 8,700 คน และยังก่อให้เกิดดินถล่ม บ้านเรือนพังเสียหายหลายแสนหลัง และทำให้ชาวเนปาลหลายพันคนยังต้องไร้บ้านอยู่ ในช่วงที่ฤดูมรสุมกำลังย่างใกล้เข้ามา

    ไชนาเดลีระบุว่า แผ่นดินไหวครั้งที่ 2 วัดความรุนแรงได้ 7.3 ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนที่ของยอดเอเวอเรสต์เหมือนเช่นครั้งแรก

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Pics : ศึกนัดล้างตา บุช VS คลินตัน!! “เจบ บุช” ประกาศลงชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ “ผมลงสมัครเพื่อชนะเท่านั้น” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มิถุนายน 2558 12:58 น. (แก้ไขล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 18:38 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เมื่อวานนี้ (15 มิ.ย.) เจบ บุช (Jeb Bush) วัย 62 ปีอดีตผู้ว่าการรัฐฟลอริดา น้องชายของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และบุตรชายคนเล็กของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ประกาศอย่างเป็นทางการที่ไมอามี เดด คอลเลจ (Miami Dade College) เพื่อลงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 โดยยืนยันว่าประชาชนชาวสหรัฐฯ สมควรจะได้สิ่งที่ดีมากไปกว่านี้หลังจาก 8 ปีที่ยาวนานของบารัค โอบามาแห่งเดโมแครต ซึ่งการประกาศลงชิงการสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯของบุชคนที่ 3นี่ถือเป็นนัดล้างตาอีกครั้งระหว่างตระกูลบุชและตระกุลคลินตันนับตั้งแต่ปี 1992

    เอเอฟพีรายงานวันนี้ (16) ว่า หลังจาก 6 เดือนของการอุ่นเครื่องหยั่งเชิงของเจบ บุช (Jeb Bush) วัย 62 ปี อดีตผู้ว่าการรัฐฟลอริดา น้องชายของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และ บุตรชายคนเล็กของอดีตประธานาธิบดี จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช และไม่นับการที่บุชผู้พี่ได้เคยเปรยกับผู้สื่อข่าวในเดือนตุลาคม 2014 ว่า “เจบต้องการ “ทำเนียบขาว” ทั้งนี้ในวันจันทร์ (15) บุชคนที่ 3 ของตระกุล หรือที่รู้จักในนาม “เจบ” ในสหรัฐฯ ได้ประกาศลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2016 ที่ไมอามี เดด คอลเลจ (Miami Dade College) รัฐฟลอริดาว่า “ผมตัดสินใจแล้วว่า ผมจะลงสมัครท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ” เจบกล่าว

    ทั้งนี้ เจบ บุช ผู้ที่ถูกสังคมอเมริกันสงสัยในความสามารถจากการที่ทั้งพ่อและพี่ชายดำรงตำแหน่งในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 41 และคนที่ 43 แต่ในทางกลับกันเป็นเพราะความเป็นบุชทำให้ดูเหมือนว่าตัวแทนผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันอย่างเป็นทางการจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเมื่อเทียบกับผู้สมัครรายอื่นๆ ที่เปิดตัวไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น แรนด์ พอล มาร์โก รูบิโอ เท็ด ครูซ สก็อต วอล์กเกอร์ หรือ เจย์ คาร์สัน

    ในการเปิดแถลงการลงรับสมัครนั้น เจบได้แสดงวิสัยทัศน์ทางการเมืองที่เจบ บุชต้องการให้ผู้คนต่างรับรู้ว่าเขามีความเห็นต่างจากบุชผู้พี่อย่างไร รวมไปถึงความสำเร็จของการเป็นผู้ว่าการรัฐฟลอริดา 2 สมัยซ้อน “เราสามารถทำให้ฟลอริดาติดอันดับ 1 ในการเป็นรัฐที่มีการสร้างงานมากที่สุด รวมไปถึงอันดับ 1 ในการเป็นรัฐที่มีการสร้างธุรกิจขนาดเล็กมากที่สุด” เจบกล่าว และยังอ้างไปถึงความสำเร็จที่สามารถหั่นภาษีลงได้ถึง 19 พันล้านดอลลาร์

    “ผมรู้ว่าเราสามารถแก้ไขได้เพราะผมทำมาแล้ว” เจบกล่าวต่อ และยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “ผมจะหยุดฟังเสียงหัวใจของทุกคน และผมจะใช้หัวใจของตัวเองในการแข่งขันเพื่อเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯในครั้งนี้”

    และเอเอฟพียังรายงานเพิ่มเติมว่า และหนึ่งในหัวข้อที่เจบกล่าวเมื่อวานนี้(15)ที่เมืองไมอามี เจบยังคงโจมตีการทำงานของรัฐบาลพรรคเดโมแครต บารัค โอบามา เหมือนเช่นเคย โดยเขาวิจารณ์การทำงานด้านการต่างประเทศว่า เป็นประเภท “นโยบายต่างประเทศแบบโฟนอิน” ของคู่หูดูโอ “โอบามา-เคร์รีย์” ที่เจบ บุชให้นิยามถึงความล้มเหลวด้านการต่างประเทศสหรัฐฯในสมัยรัฐบาลชุดปัจจุบันว่า “ วิกฤตที่ไม่อาจควบคุม ความรุนแรงที่ไม่สามารถระงับ เกิดศัตรูที่ไม่รู้จักชื่อ เพื่อนที่ไม่อาจปกป้อง และการแตกแยกของพันธมิตร”

    ทั้งนี้ เจบกล่าวกับผู้สนับสนุนในไมอามี เดด คอลเลจ ในวันจันทร์ (15) ว่า “คุณและผมต่างรู้ดีว่าอเมริกาสมควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้”

    ในขณะที่ทางฝั่งเดโมแครต ก่อนหน้านั้นในวันเสาร์ (13) ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 เปิดแคมเปญทางการเมืองครั้งใหญ่บนเกาะรูสเวลต์ รัฐนิวยอร์ก โดยอดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯใช้เวลากว่า 50 นาทีเป็นครั้งแรกในการหาเสียงบนเวทีใหญ่อย่างเป็นทางการที่มีผู้คนจับจ้องทั้งประเทศ

    ทั้งนี้ คลินตันกล่าวไฮด์ปาร์กโดยอ้างอิงถึงนโยบาย “รีบิลด์อเมริกา” เพื่อกลับมาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้งตามแบบอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ แฟรงกลิน ดี รูสเวลต์ หรือ FDR ผู้โด่งดังใน 4 หลักการเสรีภาพ

    “ความเท่าเทียมเพื่อโอกาส งานสำหรับทุกคน และความมั่นคงและปลอดภัยต่อประชาชนสหรัฐฯ การสิ้นสุดสำหรับอภิสิทธิ์ชน การคงอยู่ของสิทธิพลเมืองสหรัฐฯ รวมไปถึงการทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนสหรัฐฯนั้นดีขึ้นและมีสังคมชนชั้นกลางขยายตัวกว้างขึ้น ซึ่งทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ดิฉันเห็นด้วยอย่างที่สุด” คลินตันกล่าว และเสริมต่อว่า ถือเป็นสิ่งที่รู้กันดีในอเมริกาที่ว่า หากทุกคนทำหน้าที่ของตนเองอย่างสุดความสามารถ ทุกคนจะประสบความสำเร็จ และหากประชาชนอเมริกันสามารถเดินหน้าและประสบความสำเร็จ เป็นที่แน่ชัดว่า อเมริกาจะเดินไปข้างหน้าและเข้มแข็ง”

    โดยคลินตันชี้ว่า ที่ผ่านมามีเพียง 2 ผู้นำสหรัฐฯ ที่ดำเนินตามรูสเวลต์ในการสร้าง “ความเท่าเทียม” เพื่อคนทั้งชาติคือ อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน สามีของเธอ และประธานาธิบดี บารัค โอบามา อดีตผู้บังคับบัญชา โดยเธอให้ความเห็นว่า ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผิวขาว ผิวสี ละตินอเมริกา หรือเอเชีย ไม่ว่าจะร่ำรวย หรือยากจน ในอเมริกา ทุกคนควรมีโอกาสเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอเมริกาไปข้างหน้า เพราะหากทุกคนทำงานอย่างหนักตามกติกา ประเทศจะสามารถเดินหน้าได้และกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง โดยคลินตันต้องการให้อเมริกาเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสีเขียว และเด็กชาวอเมริกันทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาก่อนวัยเรียน และอนามัยและการดูแลของเด็ก รวมไปถึงการไม่เท่าเทียมในเงินเดือนระหว่างหญิงและชายในสหรัฐฯต้องหมดไป ที่ผู้หญิงอเมริกาได้ค่าแรง 70 เซนต์ทุก 1 ดอลลาร์ที่ชายอเมริกันได้รับในตำแหน่งและความรับผิดชอบเดียวกัน

    ทั้งนี้ การลงชิงสมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2016 เป็นที่จับตาของคนทั้งโลก เพราะเป็นการพบกันอีกครั้งในสนามการเลือกตั้งระหว่างตระกูลสำคัญทางการเมืองสหรัฐฯ 2 ตระกูลคือระหว่าง บุช และคลินตัน ซึ่งในปี 1992 อดีตประธานาธิบดี จอร์จ เอชดับเบิลยู บุช ผู้พ่อต้องพ่ายให้กับการลงสมัครชิงตำแหน่งสมัยที่ 2 ให้กับอดีตผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอ หนุ่มใหญ่ไฟแรงอย่าง บิล คลินตัน สามีของฮิลาราลี คลินตัน ในขณะนั้น

    เจบ บุช นอกจากต้องพบกับฮิลลารี ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีชื่อเสียง และผู้คนต่างทึ่งในความสามารถของเธอนับตั้งแต่สามีของเธอ บิล คลินตัน ยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในช่วงปี 1993-2001 แล้ว และอีกทั้งเธอยังได้แสดงความสามารถในฐานะอดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเธอถือเป็นผู้หญิงคนที่ 3 ที่ดำรงตำแหน่งระดับสูงนี้

    เจบ ยังต้องตอบคำถามต่อสังคมถึงนโยบายสงครามที่ชาวสหรัฐฯยังต้องการทราบว่า เขามีความเห็นอย่างไรต่อสงครามอิรักที่จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้เป็นพี่ชายทำให้อเมริกาต้องติดหล่มอยู่เป็นเวลานาน และชาวสหรัฐฯ ต่างเบื่อหน่ายในการต้องส่งญาติของตนไปสู้รบในสงครามคนอื่นร่วม 10ปีและกลับมาในสภาพไร้ซึ่งแขนและขา และยังนำมาสู่เศรษฐกิจถดถอยในประเทศในเวลาต่อมาอีกด้วย

    ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนของการอุ่นเครื่องก่อนประกาศลงชิงสมัครนั้น เจบต้องตอบคำถามถึงสงครามอิรักนับครั้งไม่ถ้วน และยังเคยถูก ไอวี ซีดริช (Ivy Ziedrich) วัย 19 ปี นักศึกษาระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยรัฐเนวาดาตะโกนใส่หน้าในระหว่างที่เขาและคณะเดินทางไปเยือนในเดือนพฤษภาคมล่าสุดว่า “บุชพี่ชายของคุณเป็นคนสร้างกลุ่มก่อการร้ายไอเอสขึ้นมา” และทำให้เจบต้องตอบคำถามชี้แจงนักศึกษาหญิงผู้นั้นอย่างใจเย็นกลับไปต่อหน้ากล้องโทรทัศน์ที่เฝ้าจับตาสังเกตอาการเขาอยู่ในเวลานั้น

    In Pics :
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินโดฯ อพยพชาวบ้านอีก 1,200 หนีภูเขาไฟ “ซินาบุง” ปะทุ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มิถุนายน 2558 03:14 น. (แก้ไขล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 11:42 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี - ชาวบ้านอินโดนีเซียมากกว่า 1,200 คน เมื่อวันจันทร์ (15 มิ.ย.) ต้องอพอพออกจากที่พักอาศัยซึ่งอยู่ติดกับภูเขาไฟลูกหนึ่งที่กำลังส่งเสียงคำรามบนเกาะสุมาตรา หลังจากมันเกิดปะทุรอบใหม่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

    ทางการได้ยกระดับเตือนภัยภูเขาไฟซีนาบุงที่มีความสูงราว 2,600 เมตร ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือน หลังตรวจพบมีความเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นอย่างมากของภูเขาไฟลูกนี้ และเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มันได้ปะทุขึ้นมาอีกรอบ ปล่อยเถ้าถ่านร้อนไหลออกมาตามแนวลาดเอียงของภูเขาไฟ อย่างไรก็ตามไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ

    จากคำสั่งออพยพเมื่อวันจันทร์ (15 มิ.ย.) ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นเดือนนี้ มีชาวบ้านแล้วเกือบ 4,000 คนที่ต้องหอบข้าวของออกจากบ้านเรือนของตนเอง “วันนี้ชาวบ้าน 1,274 คนในหมู่บ้าน 2 แห่งถูกอพยพไปยังสถานที่ปลอดภัย ห่างออกไปราว 10 กิโลเมตร” อาเซป ซูคาร์นา ผู้บัญชาการทหารท้องถิ่นบอกกับเอเอฟพี พร้อมเผยต่อว่า “เรามีแผนอพยพชาวบ้านเพิ่มเติมอีก 5 ถึง 6 หมู่บ้านในช่วงไม่กี่วันข้างหน้าซึ่งมีชาวบ้านรวมราวๆ 2,500 คน”

    ซีนาบุง กลับมาเป็นภูเขาไฟที่มีพลังอีกครั้งในปี 2013 หลังจากเคยสงบมาพักใหญ่ คราวนั้นมีชาวบ้านราวๆ 10,000 คนที่จำเป็นต้องอพยพออกจากที่พักอาศัย โดยในขณะที่มีบางส่วนสามารถกลับสู่ถิ่นฐานได้ครั้นที่ภูเขาไฟกลับมาสงบอีกรอบ แต่ที่เหลือก็ยังอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว

    ต่อมาภูเขาไฟซินาบุงเกิดปะทุครั้งใหญ่อีกหนในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 คราวนี้คร่าชีวิตประชาชนอย่างน้อย 16 ศพและอีกหลายพันคนต้องหลบหนีไปอยู่สถานที่ปลอดภัย

    ทั้งนี้ ภูเขาไฟซินาบุงถือเป็นหนึ่งในภูเขาราว 129 ลูกที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในอินโดนีเซีย

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจรจา “เอเธนส์-เจ้าหนี้” ล้มเหลว “กรีซ” อยู่หรือไป วัดใจยูโรกรุ๊ปพฤหัสฯ นี้
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2558 22:02 น. (แก้ไขล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 11:32 น.)

    [​IMG]

    เอเจนซีส์ - แนวโน้มที่กรีซจะผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงออกจากยูโรโซน ใกล้ที่จะกลายความเป็นจริงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ภายหลังการเจรจาเฮือกสุดท้ายกับคณะเจ้าหนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่าในเวลาไม่ถึงชั่วโมงเมื่อวันอาทิตย์ (14 มิ.ย.) ส่งผลให้ความหวังในการปลดล็อกเงินกู้ที่เหลือให้ทันก่อนสิ้นเดือนนี้ ต้องฝากไว้กับการหารือระดับรัฐมนตรีคลังยูโรโซนในวันพฤหัสบดี (18)

    ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าเป็นตัวการทำให้การเจรจาล่มในคราวนี้ แหล่งข่าวในสหภาพยุโรป (อียู) แสดงความเกรี้ยวกราดอย่างปิดไม่มิดว่า กรีซไม่ได้มีมาตรการปฏิรูปใหม่ๆ มาเสนอ ขณะที่เจ้าหน้าที่เอเธนส์โทษว่า การเจรจาล่มเพราะกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ผู้เป็นเจ้าหนี้ที่มีจุดยืนแข็งขืนที่สุด

    แหล่งข่าวทั้งของกรีซและยุโรปยืนยันว่า การเจรจาเมื่อวันอาทิตย์สิ้นสุดลงในเวลาไม่ถึงชั่วโมง โดยเอเธนส์ให้ตัวเลขที่ 45 นาที ขณะที่ยุโรปบอกว่าแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

    ความล้มเหลวดังกล่าวฉุดค่าเงินยูโรร่วงลงอยู่ที่ 1.1213 ดอลลาร์ และ 138.50 เยน ในตลาดโตเกียวในการซื้อขายช่วงเช้าวันจันทร์ (15) จาก 1.1260 ดอลลาร์ และ 138.92 เยนช่วงเย็นวันศุกร์ (1) ในตลาดนิวยอร์ก

    กระนั้น นักวิเคราะห์ไม่คิดว่ายูโรจะทรุดหนักเนื่องจากนักลงทุนยังคงรอลุ้นสถานการณ์กรีซต่อไป

    นอกจากนั้น ความล้มเหลวนี้ยังทำให้ดัชนีสำคัญของตลาดหลักทรัพย์เอเธนส์ร่วงลงอย่างหนักในวันจันทร์ โดยที่มีช่วงหนึ่งดิ่งลงมาถึงกว่า 7%

    ทุกฝ่ายต่างลงความเห็นว่า การเจรจาช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นโอกาสท้ายๆ ที่เอเธนส์จะปลดล็อกเพื่อให้ได้รับเงินกู้งวดสุดท้ายที่เหลืออยู่ โดยแลกกับมาตรการปฏิรูปที่นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซีปราส วัย 40 ปีของกรีซ ยังคงคัดค้านหัวชนฝา

    แหล่งข่าวในเอเธนส์สำทับว่า จุดยืนของไอเอ็มเอฟแข็งกร้าวและไม่อาจประนีประนอมได้ เนื่องจากไอเอ็มเอฟยืนกรานให้กรีซลดการจ่ายบำนาญและขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้าพื้นฐาน เช่น ค่าไฟฟ้า

    อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาไอเอ็มเอฟได้ออกคำแถลงด้วยน้ำเสียงประนีประนอมชนิดที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักว่า การบรรลุข้อตกลงต้องการการตัดสินใจที่ยากลำบากจากทุกฝ่าย ซึ่งรวมถึงหุ้นส่วนในยุโรปของกรีซ

    แต่ขณะเดียวกัน โอลิวิเยร์ บลองชาร์ด หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ ยืนยันว่า เอเธนส์ต้องจัดการแก้ไขระบบบำนาญอันอุ้ยอ้ายเป็นภาระหนัก โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 16% ของมูลค่าเศรษฐกิจของกรีซ

    เศรษฐกิจกรีซเวลานี้กำลังแตกเป็นเสี่ยงหลังเผชิญวิกฤตนาน 6 ปี แม้เข้ารับโครงการเงินกู้สองครั้งตั้งแต่ปี 2010 รวมมูลค่า 240,000 ล้านยูโร (270,000 ล้านดอลลาร์) ก็ตาม เงินกู้เหล่านี้ได้มาจาก 3 เจ้าหนี้ ได้แก่ อียู, ไอเอ็มเอฟ และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักๆ นั้นเป็นพันธมิตรยุโรป นำโดยเยอรมนี และฝรั่งเศส

    ปัจจุบันประเทศเมดิเตอร์เรเนียนขนาดเล็กแห่งนี้กำลังจมอยู่ใต้กองหนี้ที่มีมูลค่าเทียบเท่า 180% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) นั่นคือ เกือบสองเท่าตัวของผลผลิตเศรษฐกิจต่อปีของประเทศ

    จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวในอียู งบประมาณที่สามารถประหยัดได้จากมาตรการปฏิรูปซึ่งรัฐบาลกรีซที่ต่อต้านการรัดเข็มขัดเสนอออกมา ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายอยู่ถึง 2,000 ล้านยูโร ทำให้ไม่สามารถปลดล็อกและรับเงินกู้งวดสุดท้าย 7,200 ล้านยูโรที่เหลืออยู่ ก่อนที่ข้อตกลงกับเจ้าหนี้ฉบับปัจจุบันจะหมดอายุลงในวันที่ 30 เดือนนี้

    ในเวลาเดียวกัน สิ้นเดือนนี้ยังเป็นกำหนดเวลาที่เอเธนส์ต้องจ่ายหนี้คืนไอเอ็มเอฟ 1,600 ล้านยูโร และจะต้องจ่ายอีก 6,700 ล้านยูโรให้ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในเดือนหน้าและเดือนกรกฎาคม ซึ่งเจ้าหน้าที่กรีซแย้มว่า รัฐบาลไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายได้

    โฆษกอียูชี้ว่า หลังจากนี้การเจรจาจะถูกโอนไปที่เวทีการประชุมรัฐมนตรีคลังยูโรโซน หรือที่เรียกกันว่า “ยูโรกรุ๊ป” ณ ลักเซมเบิร์ก ในวันพฤหัสบดี (18)

    ฌอง-โคลด จุงเกอร์ ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของอียู ยังแสดงความเชื่อว่า จะสามารถตกลงกันได้ก่อนสิ้นเดือน หากกรีซพยายามในการปฏิรูปมากขึ้น และทุกฝ่ายแสดงเจตจำนงทางการเมือง

    ขณะเดียวกัน ยานิส วารูฟากิส รัฐมนตรีคลังกรีซ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์บิลด์ของเยอรมนีฉบับวันจันทร์ว่า ข้อตกลงยังเป็นไปได้ กระทั่งสามารถตกลงกันได้ในคืนเดียว หากนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ร่วมหารือด้วย

    ขณะนี้ สายตาทุกคู่กำลังจับจ้องตลาดการเงินในวันจันทร์ ท่ามกลางความรู้สึกที่ชัดเจนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนว่าในที่สุดแล้วเอเธนส์อาจต้องเลิกใช้เงินยูโร โดยเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว มีข่าวกระเซ็นกระสายว่า ประเทศในยูโรโซนกำลังเตรียมแผนฉุกเฉินรับมือการเบี้ยวหนี้ของเอเธนส์

    ข่าวดังกล่าวมีขึ้นหนึ่งวันหลังจากไอเอ็มเอ็มประกาศถอนทีมเจ้าหน้าที่เทคนิคจากบรัสเซลส์ เนื่องจากการเจรจาไม่มีความคืบหน้า

    ทั้งนี้ หากต้องการให้ทันเส้นตายสิ้นเดือนนี้ ที่ประชุมรัฐมนตรีคลัง 19 ชาติยูโรโซนต้องได้ข้อสรุปเกี่ยวกับมาตรการปฏิรูปกรีซในวันพฤหัสบดี อย่างไรก็ดี ข้อตกลงดังกล่าวจะต้องส่งต่อให้รัฐสภาของชาติสมาชิกเห็นชอบก่อนจึงจะมีผล และหลายประเทศในจำนวนนี้ ซึ่งรวมถึงเยอรมนี ยังไร้ความแน่นอนว่า จะยอมอนุมัติให้หรือไม่

    นอกจากนั้น การที่ปราศจากข้อตกลงที่เป็นไปได้ทางเทคนิค จึงมีแนวโน้มว่า ยูโรกรุ๊ปจำเป็นต้องตัดสินใจทางการเมืองที่ยากลำบากเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกยูโรโซนของกรีซ

    เจค็อบ ฟังก์ เคิร์กเคการ์ด นักวิเคราะห์เศรษฐกิจในสหรัฐฯ ไม่มั่นใจว่า รัฐบาลกรีซจะมีอายุยืนยาว เนื่องจากดูเหมือนยุโรปขณะนี้เลิกล้มความพยายามในการกล่อมซีปราส และเลือกที่จะเผชิญหน้าแทน ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่ที่ยึดถือหลักความจริงมากขึ้น

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สโลวาเกียโล่ง! ผลตรวจผู้ป่วยคนงานเกาหลีใต้ไม่ได้ติดเชื้อ “เมอร์ส”
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มิถุนายน 2558 02:01 น. (แก้ไขล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 11:41 น.)

    [​IMG]

    คนงานเกาหลีใต้ที่ต้องสงสัยติดเชื้อเมอร์สในสโลวาเกีย แต่สุดท้ายผลตรวจออกมาเป็นลบ

    เอเอฟพี - การตรวจร่างกายรอบใหม่ของคนงานเกาหลีใต้คนหนึ่งซึ่งถูกกักกันโรคในโรงพยาบาลสโลวาเกีย หลังต้องสงสัยติดเชื้อเมอร์ส มีผลออกมาเป็นลบในวันจันทร์ (15 ขมิ.ย.) จากการเปิดเผยโฆษกกระทรวงสาธารณสุข คลายความกังวลต่อการแพร่ระบาดนอกเอเชียของไวรัสายพันธุ์นี้

    “เรายืนยันว่าผลตรวจล่าสุดออกมาเป็นลบ” ปีเตอร์ บูบลา โฆษกกระทรวงสาธารณสุขสโลวาเกียบอกกับเอเอฟพี พร้อมระบุคนไข้รายนี้ยังคงพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

    ด้านเปตรา สตาโน มาตาซอฟสกาเผยกับเอเอฟพีในวันจันทร์ (15 มิ.ย.) ว่าชายชาวเกาหลีใต้รายดังกล่าวที่เข้าใจว่าน่าจะล้มป่วยจากอาการหลอดลมอักเสบและโรคทางเดินทางอาหาร ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว

    ชายวัย 38 ปีผู้นี้เดินทางถึงสโลวาเกียตั้งแต่วันที่ 3 ที่ผ่านมา โดยทำงานให้บริษัทรับเหมาช่วงของค่ายรถยนต์เกียของเกาหลีใต้ ที่มีโรงงานอยู่ในประเทศดังกล่าว ทั้งนี้เขาถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินเมื่อวันเสาร์ (13 มิ.ย.) หลังมีอาการท้องร่วง มีไข้และ รอยโรคที่ผิวหนัง ขณะที่ผลตรวจรอบแรกไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าเขาป่วยเป็นโรคใด

    อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้แถลงว่า ชายคนนี้ยืนยันว่าก่อนออกเดินทางสู่สโลวาเกียไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยเมอร์ส รวมทั้งไม่เคยไปโรงพยาบาลใดๆ และแจ้งสถานเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ในสโลวาเกียเมื่อวันเสาร์หลังจากมีอาการไข้

    ในวันอาทิตย์ (14 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่สโลวาเกียได้สั่งปิดโรงแรมที่เขาเข้าพักอาศัยในเมืองซิลินา ทางเหนือของประเทศ และกักกันโรคแขกของโรงแรม แต่จากผลตรวจล่าสุด จึงได้ยกเลิกมาตรการดังกล่าวแล้ว “เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในซิลินาได้ยกเลิกมาตรการต่างๆที่บังคับใช้กับโรงแรมดังกล่าวแล้ว ตามผลผลตรวจเมื่อวันจันทร์” โฆษกกระทรวงสาธารณสุขสโลวาเกียเผย

    จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก “กลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลาง” (เมอร์ส) ซึ่งยังไม่มีวัคซีนหรือวิธีรักษา มีอัตราการตายอยู่ที่ร้อยละ 35 โดยในเกาหลีใต้ พบผู้ติดเชื้อ 150 คน เสียชีวิต 16 ราย จากจุดเริ่มต้นที่ชายวัย 68 ปีคนหนึ่งติดไวรัสชนิดนี้ระหว่างเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม

    โดยรวมแล้วมีผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สราว 1,200 คน ส่วนใหญ่อยู่ในซาอุดีอาระเบีย และมีผู้เสียชีวิตแล้วประมาณ 450 คน นับตั้งแต่มันปรากฏตัวครั้งแรกในปี 2012


     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เนปาลกลับมาเปิดโบราณสถาน หวังฟื้นการท่องเที่ยวตามหลังแผ่นดินไหว
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2558 23:40 น. (แก้ไขล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 11:39 น.)

    [​IMG]
    @เนปาล กลับมาเปิดจัตุรัสบัคตาปูร์ ดูร์บาร์ อันเป็นที่ตั้งของหมู่วัดวาอารามและปราสาทเก่าแก่ ให้สาธารณะได้เยี่ยมชมอีกครั้งในวันจันทร์(15มิ.ย.)

    เอเอฟพี - เนปาลกลับมาเปิดจัตุรัสบัคตาปูร์ ดูร์บาร์ อันเป็นที่ตั้งของหมู่วัดวาอารามและปราสาทเก่าแก่ ให้สาธารณะได้เยี่ยมชมอีกครั้งในวันจันทร์ (15 มิ.ย.) ในความพยายามดึงนักท่องเที่ยวให้หวนคืนมา ตามหลังแผ่นดินไหวใหญ่เมื่อช่วงปลายเดือนเมษายน ที่สร้างความเสียหายแก่แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศและของโลกเกือบทั้งหมด

    ในพิธีเปิดในเมืองโบราณ “ภักตปุระ” อันเป็นที่ตั้งของหนึ่งใน 3 จัตุรัสพระราชวัง ยุคศตวรรษที่ 12 ในหุบเขากาฐมาณฑุ มีทั้งการเต้นรำตามประเพณีและแสดงดนตรี ท่ามกลางประชาชนหลายร้อยคนที่มารวมตัวกัน ณ จัตุรัสบัคตาปูร์ ดูร์บาร์ ที่เคยดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั่วโลกก่อนเกิดแผ่นดินไหว

    แผ่นดินไหวระดับ 7.8 ที่เขย่าเนปาลเมื่อวันที่ 25 เมษายน ได้คร่าผู้คนมากกว่า 8,700 ศพ สั่นสะเทือนบ้านเรือนและปูชนียสถานจนได้รับความเสียหายจำนวนมาก ในแถบหุบเขากาฐมาณฑุ อันเป็นที่ตั้งของ 3 เมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ กรุงกาฐมาณฑุ ปะฏัน และภักตะปุระ

    จัตุรัสพระราชวังเก่าแก่ทั้ง 3 กลับมาเปิดแก่สาธารณะอีกครั้งในวันจันทร์(15มิย.) แต่พิธีหลักถูกจัดขึ้นในภักตปุระ โดยมีรัฐมนตรีท่องเที่ยว นายคริปาเซอร์ เชอร์ปา เป็นประธานและประกาศอย่างเป็นทางการว่า “หุบเขากาฐมาณฑุ” เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้ว

    อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเนปาลได้รับความเสียหายร้ายแรงจากแผ่นดินไหวดังกล่าว ที่สั่นสะเทือนขึ้นมาในช่วงพีคสุดของฤดูกาลปีนเขา คร่าชีวิตนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ขณะที่หัวหน้ากรมโบราณคดี เรียกร้องนักท่องเที่ยวต่างชาติหวนคืนสู่ประเทศแถบเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้ “เนปาลมีความปลอดภัย โปรดจงอย่ากังวล นี่คือการส่งสารอย่างชัดเจนของเราในวันนี้”

    อย่างไรก็ตาม มีคำเตือนจากหน่วยงานทางวัฒนธรรมของสหประชาชาติที่บอกว่าโครงสร้างที่ได้รับความเสียหายอาจก่ออันตรายแก่นักท่องเที่ยว “ยังมีความเสี่ยงที่อาคารต่างเหล่านั้นจะพังถล่มลงมา” คริสเตียน แมนฮาร์ท หัวหน้ายูเนสโกประจำเนปาลกล่าว

    เนปาล อีโคโนมิก ฟอรัม สถาบันวิจัยเอกชนในกาฐมาณฑุ บอกว่านับตั้งแต่แผ่นดินไหว ห้องพักต่างๆได้ถูกยกเลิกการจองกว่า 80 เปอร์เซ็นต์

    แม้ว่าอาสาสมัครชาวอเมริกันรายหนึ่งที่ปฏิบัติภารกิจอยูในเนปาล หวังว่านักท่องเที่ยวจะหวนคืนมา แต่คนอื่นๆแสดงความสงสัยต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวอย่างทันใดทันใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่สหรัฐฯ อังกฤษและแคนาดา เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ ที่ยังออกคำเตือนหลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็นต่อเนปาล โดยอ้างถึงความเสี่ยงจากอาฟเตอร์ช็อกและเหตุดินถล่มบ่อยครั้ง

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีประชาชนหลายสิบคนต้องมาเสียชีวิตจากเหตุดินถล่มอันมีต้นตอจากฝนตกหนักทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเนปาล



     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “ประธานาธิบดีซูดาน” บินออกจากแอฟริกาใต้ ท้าทายคำสั่งอำนาจศาลสูงห้ามออกนอกประเทศ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2558 20:59 น. (แก้ไขล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 11:26 น.)

    [​IMG]

    เอเจนซีส์ - รัฐมนตรีกระทรวงข้อมูลซูดานแถลงยืนยันว่า ประธานาธิบดีซูดาน โอมาร์ อัล-บาร์เชียร์ (Omar al-Bashir) ได้บินออกนอกแอฟริกาใต้ถึงแม้ว่าศาลสูงแอฟริกาใต้จะมีคำสั่งห้ามก็ตาม

    อัลญะซีเราะฮ์ สื่อกาตาร์ รายงานวันนี้ (15) ว่า อาเหม็ด ไบลาล อูซมาน (Ahmed Bilal Osman) รัฐมนตรีกระทรวงข้อมูลซูดาน กล่าวยืนยันกับอัลญะซีเราะห์ว่า “ใช่ เขาเดินทางออกนอกแอฟริกาใต้แล้ว” หลังจากมีรายงานว่าประธานาธิบดีซูดาน โอมาร์ อัล-บาร์เชียร์ (Omar al-Bashir) ได้บินออกนอกแอฟริกาใต้ถึงแม้ว่าศาลสูงแอฟริกาใต้จะมีคำสั่งห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศจนกว่าคำขอการจับกุมตัวของอัล-บาเชียร์จะถูกพิจารณา

    โดยอูซมานเสริมว่า แอฟริกาใต้สัญญามาโดยตลอดว่าจะไม่จับกุมตัวประธานาธิบดีอัล-บาเชียร์ในขณะที่เขายังอยู่ในแอฟริกาใต้เพื่อร่วมการประชุมแอฟริกันยูเนียนซัมมิต และรัฐมนตรีกระทรวงข้อมูลให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เครื่องบินจะนำประธานาธิบดีซูดานกลับถึงประเทศในเวลา 18.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น

    ด้านสื่อแอฟริกาใต้ SABC เป็นสื่อแรกที่รายงานว่าเครื่องบินของอัล-บาเชียร์บินออกจากสนามบินกองทัพอากาศแอฟริกาใต้ Waterkloof นอกกรุงพริโตเรียในวันจันทร์ (15) เวลาราว 10.15 น. แต่ทว่า ทนายความของรัฐบาลแอฟริกาใต้ยืนยันต่อศาลสูงในกรุงพิโตเรียว่า อัล-บาเชียร์ไม่ได้อยู่ในรายชื่อบนเครื่องบินที่ออกจากสนามบินกองทัพอากาศแอฟริกาใต้ Waterkloof แต่อย่างใด

    ทั้งนี้ ศาลสูงแอฟริกาใต้ต้องตัดสินว่าจะส่งตัวประธานาธิบดีซูดานผู้นี้ไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC ตามหมายจับของศาลระหว่างประเทศหรือไม่

    โดยผู้สื่อข่าวอัลญะซีเราะห์ในกรุงโจฮันเนสเบิร์กรายงานว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางดึกวันอาทิตย์ (14) เครื่องบินของอัล-บาเชียร์ถูกย้ายไปยังสนามบินกองทัพแอฟริกาใต้ เพราะกองทัพอากาศไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นคู่กรณีในคดีนี้จึงทำให้ไม่มีอุปสรรคต่อประธานาธิบดีซูดานที่จะบินออกนอกประเทศ

    สื่อกาตาร์รายวานว่า คำสั่งฉุกเฉินชั่วคราวของศาลสูงแอฟริกาใต้มีขึ้นในวันอาทิตย์ (14) ห้ามไม่ให้ประธานาธิบดีซูดาน โอมาร์ อัล-บาร์เชียร์ บินออกนอกประเทศตามการฟ้องร้องของหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไร ซิวิลโซไซตี ออแกร์ไนเซชันส์ ขอให้ศาลออกหมายจับกุมจากข้อหา “อาชญากรสงคราม” ในสงครามดาร์ฟูร์ (Darfur) หรือที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เรียกว่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ดาร์ฟูร์” ซึ่งในปี 2009 ศาล ICC เคยออกหมายจับอัล-บาเชียร์ในปี 2009 แต่เขาปฏิเสธข้อกล่าวหา

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้โดยสารยูไนเต็ดแอร์ไลน์สสุดเดือด ถูกยัดค่ายทหารขณะลูกเรือนอนโรงแรม
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2558 21:43 น. (แก้ไขล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 11:30 น.)

    [​IMG]

    @ภาพจากแฟ้มแสดงให้เห็นเครื่องบินโดยสารลำหนึ่งของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ขณะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มีรายงานว่าผู้โดยสารพากันแสดงความโกรธเกรี้ยว ภายหลังเที่ยวบินชิคาโก-ลอนดอน เมื่อวันศุกร์ (12) ของพวกเขา ถูกเปลี่ยนเส้นทางให้ไปลงจอดที่แคนาดา แล้วพวกเขาถูกจัดให้พักอย่างลำบากในโรงทหาร ขณะพวกลูกเรือนอนสบายในโรงแรม

    เอเจนซีส์ - ผู้โดยสารของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ส แสดงอาการเดือดดาลสุดขีดผ่านโซเชียลมีเดียในวันเสาร์ (13 มิ.ย.) หลังจากเที่ยวบินชิคาโก-ลอนดอนของพวกเขาถูกหันเหเส้นทางไปลงจอดที่แคนาดา และพวกเขา 176 คนถูกปล่อยให้อาศัยอยู่ในค่ายทหารนานกว่า 20 ชั่วโมง โดยที่ต้องนอนในโรงนอนท่ามกลางอากาศหนาวต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส แถมเครื่องฮีตเตอร์ก็เสีย และที่ร้ายไปกว่านั้นไม่มีตัวแทนของสายการบินมาสื่อสารแจ้งข่าวใดๆ ขณะที่ในคืนดังกล่าวนั้นเองลูกเรือทั้งหมดของเที่ยวบินได้เข้าเช็กอินพักที่โรงแรมในบริเวณนั้น

    สื่อสหรัฐฯ อย่างเช่น เอ็นบีซีนิวส์, ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เหล่าผู้โดยสารที่โกรธเกรี้ยวเล่าว่า เที่ยวบิน UA958 ของพวกเขาซึ่งบินขึ้นจากนครชิคาโกมุ่งหน้าสู่กรุงลอนดอน ต้องเปลี่ยนเส้นทางไปลงจอดที่เมืองกูซเบย์ รัฐนิวฟันด์แลนด์ของแคนดา จากนั้นพวกเขาถูกนำไปพักค้างคืนในคืนวันศุกร์ (12) ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง โดยที่พวกลูกเรือในเที่ยวบินกลับได้เข้าพักในโรงแรม แถมลูกเรือเหล่านี้ไม่ได้ติดต่อแจ้งอะไรให้ทราบ ส่วนผู้โดยสารซึ่งอยู่ในค่ายทหารก็ไม่สามารถติดต่อหาตัวลูกเรือเหล่านี้ได้เลย

    “หลังจากที่เราไปถึงที่นั่นแล้วก็ไม่มีใครสักคนจากยูไนเต็ดแอร์ไลนส์มาให้เห็นหน้า ไม่มีแม้แต่คนเดียว” ลิซา แวน ผู้โดยสารคนหนึ่งในเที่ยวบินดังกล่าวให้สัมภาษณ์ เอ็นบีซี นิวส์ ทันทีที่เดินทางถึงกรุงลอนดอนในเวลา 48 ชั่วโมงหลังจากเธอเริ่มต้นการเดินทางเที่ยวนี้ “ไม่มีตัวแทนของยูไนเต็ดแอร์ไลน์สติดต่อมาถึงใครสักคนเลย ไม่มีทั้งเสียงโทรศัพท์ ไม่มีทั้งคนตัวเป็นๆ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น” เธอกล่าวด้วยความหงุดหงิด

    ขณะที่ บ็อบ แชปเปลล์ ผู้โดยสารในเที่ยวบินนี้อีกคนหนึ่งบอกว่า การติดต่อกับทางสายการบินไม่ได้ ยิ่งชวนหงุดหงิดสับสนเป็นพิเศษ เนื่องจากที่พักในค่ายทหารนั้นไม่มีความสบายเอาเลย และไม่มีใครสักคนทราบว่าพวกเขาจะสามารถเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางได้เมื่อใด

    เขาเล่าว่า เขากับภรรยาต้องนอนอยู่บนเตียงที่เป็นเตียงสำหรับคนเดียว อีกทั้งยังต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับห้องพักข้างเคียง และต้องทนนอนหนาวสั่นตลอดทั้งคืนเพราะเครื่องฮีตเตอร์ทำความร้อนไม่ทำงาน

    กระทรวงกลาโหมแคนาดาแถลงยืนยันกับโทรทัศน์แคนาดา ซีทีวีนิวส์ ว่าระบบฮีตเตอร์ในค่ายทหารซีเอฟบี กูซเบย์ แห่งนั้นสียจริงๆ และอุณหภูมิในคืนดังกล่าวอยู่ที่ 6 องศาเซลเซียส

    เมื่อถึงตอนเช้าวันเสาร์ (13) ผู้โดยสารยังคงไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ จากยูไนเต็ดแอร์ไลน์ส พวกเขาได้รับประทานอาหารเช้าจากการจัดหาให้ของทหารในค่าย และต่อมาก็ได้รับประทานอาหารกลางวันด้วย

    กระทั่งถึงช่วงดึกคืนนั้นจึงมีเครื่องบินมารับในที่สุด และเมื่อผู้โดยสารเดินทางจากค่ายทหารกลับมาที่สนามบิน พวกเขาก็พบว่าลูกเรือในเที่ยวบินของพวกเขาดูเหมือนจะได้เข้าพักผ่อนนอนหลับสบายในโรงแรม โดยมีผู้โดยสารชื่อ แซลลี โคเวนทรี ทวีตภาพของพวกลูกเรือเป็นหลักฐาน พร้อมกับข้อความกระแนะกระแหนทางสายการบินที่ปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับผู้โดยสาร

    ปรากฏว่ายูไนเต็ดแอร์ไลน์สได้ทวีตตอบผู้โดยสารซึ่งไม่พอใจรายหนึ่ง โดยให้เหตุผลว่า “ลูกเรือต้องพักผ่อนเพื่อให้สามารถทำการบินต่อไปสู่จุดหมายปลายทาง คุณสามารถนอนขณะอยู่บนเครื่องบินได้โดยทราบว่าพวกเขายังกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่”

    ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ในกูซเบย์นั้นมีโรงแรม 4 แห่ง และมีที่พักแบบให้ที่นอนและอาหารเช้าอีก 3 แห่ง แต่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามีห้องพักเหลือพอสำหรับให้ผู้โดยสารทั้งหมดเข้าพักหรือไม่

    ขณะที่ในคำแถลงซึ่งส่งไปชี้แจงเอ็นบีซีนิวส์ ทางยูไนเต็ดแอร์ไลนส์สกล่าวว่า การที่เครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 767 ลำนี้ต้องเปลี่ยนเส้นทางบินกะทันหันเนื่องจากเกิดปัญหาทางด้านการซ่อมบำรุง และได้จัดให้ผู้โดยสารค้างคืนในค่ายทหารก็เพราะไม่มีห้องพักในโรงแรม

    เอ็นซีบีนิวส์ระบุว่า จากสนามบินกูซเบย์ ผู้โดยสารได้ถูกนำต่อไปยังท่าอากาศยานนานาชาตินวร์ก มลรัฐนิวเจอร์ซีย์ ใกล้ๆ นิวยอร์ก และจากนั้นก็เดินทางต่อไปสู่กรุงลอนดอน ทั้งนี้ เที่ยวบินนี้ออกจากชิคาโกในเวลา 17.26 น.ตามเวลาท้องถิ่น (หรือ 18.26 น.ตามเวลามาตรฐานฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ หรือ ET) วันศุกร์ และลงจอดที่กู๊ซเบย์ เวลาประมาณ 23.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น (22.00 น. ET) เที่ยวบินนี้ขึ้นจากกู๊ซเบย์ ไป นวร์ก ในเวลาประมาณ 20.00 น. (20.30 น.ET) วันเสาร์ และขึ้นบินจากนวร์ก ไปถึงลอนดอนเมื่อตอนบ่ายวันอาทิตย์ ET

    ในเวลาต่อมา ยูไนเต็ดแอร์ไลน์สได้ออกคำแถลงขอโทษผู้โดยสารสำหรับการสะดุดติดขัดและได้รับความไม่สะดวกอย่างมากมายคราวนี้ พร้อมกับแจ้งว่าจะคืนเงินค่าโดยสารเที่ยวไปลอนดอน รวมทั้งยังจะให้การชดเชยเพิ่มเติมอีก

    ขณะที่ ชาร์ลี ลีโอชา ประธานของแทรเวลเลอส์ ยูไนเต็ด ให้ความเห็นว่า สายการบินแห่งนี้อาจถูกลงโทษหนักจากกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ โดยทางกระทรวงสามารถสั่งปรับยูไนเต็ดแอร์ไลน์สได้ จากการไม่ติดต่อแจ้งข่าวคราวแก่ผู้โดยสาร

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ธนาคารกลางรัสเซียปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกรอบ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจแดนหมีขาว
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2558 20:33 น. (แก้ไขล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 11:25 น.)

    [​IMG]

    เอเอฟพี - ธนาคารกลางรัสเซียได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอยู่ที่ 11.5 เปอร์เซ็นต์ในวันจันทร์ (15 มิ.ย.) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังย่ำแย่จากการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกและราคาน้ำมันตกต่ำ

    นับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 ของปีนี้ โดยก่อนหน้านี้รัสเซียเคยปรับดอกเบี้ยขึ้นไปสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 17 เปอร์เซ็นต์ในเดือนธันวาคม ช่วงที่ค่าเงินรูเบิลดิ่งเหว

    ธนาคารกลางแดนหมีขาวได้อธิบายถึงความเคลื่อนไหวครั้งนี้ โดยอ้างว่ายังคงมีความเสี่ยงเมื่อพิจารณาถึงเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว พร้อมทำนายว่าจดีพีจะตกลงมาอยู่ที่ 3.2 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2015

    เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ความหวาดกลัวในเรื่องของเงินเฟ้อนั้นได้ลดลงขณะที่มีการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อต่อลมหายใจให้กับเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังย่ำแย่

    คำแถลงของแบงค์ชาติรัสเซียระบุว่า เงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนปีนี้ได้ลดลงมาอยู่ที่ 15.6 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยสูงมากในเดือนมีนาคม พร้อมทั้งคาดว่าจะลงไปอยู่ต่ำกว่า 7.0 เปอร์เซ็นต์ภายในเดือนมิถุนายน 2016

    อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นทางธนาคารได้เตือนว่าอาจมีข้อจำกัดสำหรับการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์

    “ธนาคารแห่งชาติรัสเซียพร้อมจะลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงตามที่ทำนายไว้ แต่การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินจะมีข้อจำกัดจากความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า” คำแถลงระบุ

    เศรษฐกิจรัสเซียเข้าสู่ภาวะถดถอยจากการถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตรเพราะเรื่องวิกฤติการสู้รบในยูเครน รวมถึงราคาน้ำมันที่ตกต่ำ

    ค่าเงินรูเบิลที่มูลค่าหายไปราว 40 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปี 2014 ได้เริ่มแข็งค่าขึ้นเมื่อตอนต้นปีนี้ ก่อนที่จะเริ่มร่วงอีกครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา


     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Pics : ฮิลลารีทิ้งโอบามาในดีลการค้า หลังเยินยอผู้นำผิวสีตามรอยปธน.รูสเวลต์ “รีบิลด์อเมริกา” ในไฮปาร์กเปิดตัว – รัสเซียอัด “โคตรล้าหลัง ใช้หมีขาว-ปักกิ่งสังเวยอำนาจเหมือนเคย” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2558 18:52 น.

    [​IMG]

    เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ส – ล่าสุดในวันอาทิตย์(14) ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2016 ได้ประกาศกับบรรดาเดโมแครตในรัฐไอโอวาว่า เธอมีความเห็นต่างในเรื่องนโยบายการค้าระหว่างประเทศกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา หลังจากก่อนหน้านี้ 1 วันจากการเปิดแคมเปญทาวการเมืองครั้งใหญ่บนเกาะรูสเวลต์ รัฐนิวยอร์ก อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯเยินยอผู้นำผิวสีว่า เป็น 1 ใน 2 ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ดำเนินรอยตามการสร้างอเมริกาให้กลับมาเข้มแข็งตามแบบอดีตประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี รูสเวลต์ หรือ FDR ผู้โด่งดัง ในขณะที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย มาเรีย ซาคาโรวา ( Maria Zakharova) กล่าวโต้ว่า แคมเปญหาเสียงของคลินตันในวันเสาร์(13)ไม่มีอะไรใหม่ นอกจากพยายามสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวอเมริกันเพื่อหวังโกยคะแนนเสียงตามแบบที่เคยทำมาแต่ครั้งอดีต โดยใช้รัสเซียและจีนเป็นเครื่องสังเวยความเกลียดชังเพื่ออำนาจในทำเนียบขาว

    เมื่อวานนี้(14) ในเวทีการหาเสียงรัฐไอโอวากับบรรดาสมาชิกพรรคเดโมแครต ฮิลลารี คลินตัน ตัวเก็งผู้สมัครประธานาธิยบดีสหรัฐฯปี 2016 ได้กล่าวตำหนิแนวทางนโยบายการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา เพื่อนร่วมพรรคเดโมแครต และคู่ปรับในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2009 ว่า โอบามาควรฟังจากเพื่อนร่วมพรรคมากกว่านี้ในการเจรจาเขตการค้าเสรี ทรานสแปซิกพาร์ทเนอร์ชิฟ หรือ TPP ซึ่งสหรัฐฯกำลังเจรจากับประเทศในฝั่งเอเชีย

    เอพีและNBC News สื่อสหรัฐฯรายงานว่า คลิตตันเห็นควรว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯควรเริ่มต้นฟังเพื่อนร่วมพรรค โดยเริ่มจากอดีตประธานสภาสหรัฐฯ แนนซี เพโลซี ถึงปัญหาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่อาจเกิดกับแรงงานในสหรัฐฯเพื่อจะทำให้สหรัฐฯมีความเข้มแข็งในการเจรจาต่อรองกับประเทศคู่ค้าทั้งสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อผลประโยชน์ที่มากที่สุดสำหรับอเมริกา

    ทั้งนี้เอพีระบุว่า จากบิลฟาสแทร็กที่อนุญาตให้รัฐบาลสหรัฐฯมีอำนาจพิเศษสร้างความไม่พอใจกับฝั่งเดโมแครต และถึงกับทำให้โอบามาถูกพรรคเดโมแครตโดดเดี่ยว โดยล่าสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อนสมาชิกสภาล่างสหรัฐฯจากพรรคของโอบามาหนุนพรรครีพับลิกันคู่แข่งที่คุมเสียงข้างมากคว่ำกฎหมายสร้างงานสหรัฐฯที่นำกลับเข้าสภาใหม่อีกครั้งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โอบามา เพื่อตอบโต้นโยบาย TPP ของโอบามา โดยฝั่งเดโมแครตที่นำโดยวุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ เอลิซาเบธ วอร์เรน ไม่เห็นด้วยต่อนโยบายการค้า TPP นี้ และสมาชิกส่วนมากของพรรคเดโมแครตต่างเชื่อว่า นโยบาย TPP จะโยกย้ายตำแหน่งงานจำนวนมากออกนอกประเทศ และเป็นผลทำให้ชาวอเมริกันโดยเฉพาะระดับชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงานที่เป็นฐานเสียงสำคัญของเดโมแครตต้องตกงานเป็นจำนวนมาก

    ในขณะที่คริสเตียนไซน์ มอร์นืเตอร์ สื่อการเมืองสหรัฐฯรายงานถึงแคมเปญหาเสียงเปิดตัวครั้งใหญ่ของฮิลลารี คลินตัน ในการหาเสียงการเลือกตั้งปี 2016 บนเกาะรูสเวลต์ รัฐนิวยอร์ก ในวันเสาร์(13) ที่อดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯใช้เวลากว่า 50 นาทีเป็นครั้งแรกในการหาเสียงบนเวทีใหญ่อย่างเป็นทางการที่มีผู้คนจับจ้องทั้งประเทศ รวมไปถึงกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย

    ทั้งนี้คลินตันกล่าวไฮปาร์กโดยอ้างอิงถึงนโยบาย “รีบิลด์อเมริกา” เพื่อกลับมาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้งตามแบบอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ แฟรงกลิน ดี รูสเวลต์ หรือ FDR ผู้โด่งดัง ใน 4 หลักการเสรีภาพ

    “ความเท่าเทียมเพื่อโอกาส งานสำหรับทุกคน และความมั่นคงและปลอดภัยต่อประชาชนสหรัฐฯ การสิ้นสุดสำหรับอภิสิทธิ์ชน การคงอยู่ของสิทธิพลเมืองสหรัฐฯ รวมไปถึงการทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนสหรัฐฯนั้นดีขึ้นและมีสังคมชนชั้นกลางขยายตัวกว้างขึ้น ซึ่งทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ดิฉันเห็นด้วยอย่างที่สุด” คลินตันกล่าว และเสริมต่อว่า ถือเป็นสิ่งที่รู้กันดีในอเมริกาที่ว่า หากทุกคนทำหน้าที่ของตนเองอย่างสุดความสามารถ ทุกคนจะประสบความสำเร็จ และหากประชาชนอเมริกันสามารถเดินหน้าและประสบความสำเร็จ เป็นที่แน่ชัดว่า อเมริกาจะเดินไปข้างหน้าและเข้มแข็ง”

    โดยคลินตันชี้ว่า ที่ผ่านมามีเพียง 2 ผู้นำสหรัฐฯที่ดำเนินตามรูสเวลต์ในการสร้าง “ความเท่าเทียม” เพื่อคนทั้งชาติคือ อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน สามีของเธอ และประธานาธิบดี บารัค โอบามา อดีตผู้บังคับบัญชา โดยเธอให้ความเห็นว่า ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผิวขาว ผิวสี ลาตินอเมริกา หรือเอเชีย ไม่ว่าจะร่ำรวย หรือยากจน ในอเมริกา ทุกคนควรมีโอกาสเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอเมริกาไปข้างหน้า เพราะหากทุกคนทำงานอย่างหนักตามกติกา ประเทศจะสามารถเดินหน้าได้และกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง โดยคลินตันต้องการให้อเมริกาเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสีเขียว และเด็กชาวอเมริกันทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาก่อนวัยเรียน และอนามัยและการดูแลของเด็ก รวมไปถึงการไม่เท่าเทียมในเงินเดือนระหว่างหญิงและชายในสหรัฐฯต้องหมดไป ที่ผู้หญิงอเมริกาได้ค่าแรง 70 เซนต์ทุก 1 ดอลลาร์ที่ชายอเมริกันได้รับในตำแหน่งและความรับผิดชอบเดียวกัน

    อย่างไรก็ตาม ในส่วนหนึ่งของการไฮปาร์กในวันเสาร์(13)นั้น คลินตันได้กล่าวถึงประเทศที่มีทิศทางการเมืองตรงข้ามสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น รัสเซีย จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ทั้งนี้ RT สือรัสเซียรายงานวันนี้(15)ว่า โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย มาเรีย ซาคาโรวา ( Maria Zakharova) กล่าวโต้ว่า แคมเปญหาเสียงของคลินตันในวันเสาร์(13)ไม่มีอะไรใหม่ นอกจากพยายามสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวอเมริกันเพื่อหวังโกยคะแนนเสียงตามแบบที่เคยทำมาแต่ครั้งอดีต โดยใช้รัสเซียและจีนเป็นเครื่องสังเวยความเกลียดชังเพื่อชิงอำนาจในทำเนียบขาว

    “ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการทำให้อเมริกาตกอยู่ในความเสี่ยงจากประเทศที่ได้ถูกสร้างว่าเป็น “ศัตรูตัวฉกาจ” ไม่ว่าจะเป็น รัสเซีย เกาหลีเหนือ อิหร่าน และประเทศที่กำลังจะเป็นหนึ่งในขุมอำนาจใหม่ เช่น จีน โดยผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรคเดโมแครต “ฮิลารี คลินตัน” ได้กล่าวในการปราศรัยทางการเมืองครั้งสำคัญในวันเสาร์(13)ประกาศว่า “ดิฉันจะทำทุกอย่างในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯของทุกคนเพื่อปกป้องชีวิตชาวอเมริกันให้ปลอดภัย” ซาคาโรวา หัวหน้าโฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซียแถลง

    และเธอยังได้โต้กลับอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 สหรัฐฯว่า เดโมแครตพยายามสร้างชื่อจากการฆ่าสิงโตโดยการสร้างสิงโตขึ้นมาขู่ให้คนหวาดกลัว “ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างชื่อว่าเป็นผู้มีความสามารถในการสังหารเจ้าแห่งสัตว์ป่า เดโมแครตจำเป็นต้องสร้างสัตว์ตัวนี้ขึ้นมาก่อนโดยทำให้ผู้คนหวาดกลัวในความโหดร้าย ซึ่งดูเหมือนว่าเดโมแครตประสบความสำเร็จในการสร้างข่าวโคมลอยเช่นนี้มาไม่กี่ปีมานี้”

    โดยซาคาโรวาแถลงผ่านเฟสบุ๊กว่า ในการทำแคมเปญทางการเมืองจำเป็นต้องมี “ภัยตัวใหม่ของโลก” เพื่อเรียกคะแนนเสียง แต่ทว่าเกาหลีเหนือนั้นเป็นประเทศที่เล็ก และไม่มีความสำคัญเพียงพอที่จะรับบทนี้ได้สำหรับ “ซูปเปอร์พาวเวอร์ ที่มีความสามารถในทุกสิ่ง” และอีกทั้งอิหร่าน ประเทศที่สหรัฐฯกำลังป้อยอให้ลงนามในสัญญาลดอาวุธนิวเคลียร์ในเวลานี้ไม่เหมาะสมเพียงพอในการเล่นบทร้ายนี้

    โดยโฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซียแถลงเพิ่มเติมว่า ในการปราศรัยครั้งใหญ่ของคลินตันนั้น คล้ายกลับกลายว่า อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯได้หยิบยกเอาความคิดในยุค 50 กลับมาใช้อีกครั้งเพื่อใช้เป็นแทคติกในการกวาดคะแนนเสียงการเลือกตั้ง ดังนั้น “ขอต้อนรับศัตรูแห่งความมั่นคงของประชาคมโลกตัวใหม่คือ รัสเซีย และจีน ขุมอำนาจใหม่ของโลก” ซาคาโรวากล่าวทิ้งท้าย


    In Pics :
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทัพเคนยาอ้างเด็ดหัว “ผู้บัญชาการกลุ่มอัลเชบับ” พร้อมนักรบต้องสงสัยเป็นชาวอังกฤษ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2558 17:18 น. (แก้ไขล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 11:17 น.)

    [​IMG]

    รอยเตอร์ - กองทัพเคนยาระบุว่าได้สังหารผู้บัญชาการส่วนท้องถิ่นของกลุ่มอัลเชบับจากโซมาเลีย และนักรบรายหนึ่งของกลุ่มนี้ที่อาจเป็นชาวอังกฤษในการสู้รบตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

    กลุ่มติดอาวุธชาวโซมาเลีย 7 คนและทหารเคนยา 2 นายถูกสังหารหลังจากที่นักรบกลุ่มอัลเชบับที่เกี่ยวโยงกับกลุ่มอัลกออิดะห์บุกจู่โจมค่ายทหารแห่งหนึ่งในเทศมณฑลลามู พื้นที่ชายฝั่งทางเหนือของเคนยา เจ้าหน้าที่กล่าว

    กลุ่มอัลเชบับยืนยันการโจมตีเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ และระบุว่า “มีทหารเคนยาถูสังหารจำนวนมาก” โดยไม่ได้ให้ตัวเลขที่แน่ชัด และไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสมาชิกกลุ่มอัลเชบับที่ถูกสังหารเลย ทั้งนี้กลุ่มนี้มักอ้างยอดผู้เสียชีวิตสูงกว่าทางการ

    ในหมู่ผู้ที่ถูกสังหารเหล่านั้นคือ ลุกมาน ออสมาน อิสซา ของกลุ่มอัลเชบับ หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า ชีร์วา ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้นำการโจมตีเขตอึมเปเคโทนีของเคนยาเมื่อปีที่แล้ว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 65 ราย พ.อ.เดวิด โอบอนโย โฆษกของกองกำลังป้องกันเคนยา กล่าวในวันนี้ (15)

    “นี่เป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของเราและยังเป็นความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของพวกอัลเชบับ เพราะว่าในตอนนี้ไม่มีผู้บัญชาการตัวหลักในพื้นที่ลามูแล้ว” เขาบอกกับรอยเตอร์ และเสริมว่าร่างของชีร์วาอยู่ในห้องเก็บศพแห่งหนึ่งในอึมเปเคโทนี

    เขากล่าวด้วยว่า ผู้เสียชีวิตอาจรวมถึง โทมัส อีแวนส์ หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า อับดุล ฮาคิม ชาวอังกฤษวัย 20 ปีกว่าๆ ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามเมื่ออายุ 19 ปี และต่อมาได้เข้าร่วมกับกลุ่มอัลเชบับ โอบอนโยกล่าวว่า ข้อมูลเกี่ยวกับอีวานส์และภาพต่างๆ ที่หาได้ทั่วไป “บ่งชี้ว่าเป็นเขา”

    “แต่เราไม่สามารถแน่ใจได้ เนื่องจากลักษณะภายนอกอาจกำลังหลอกตา ตอนนี้ได้มีการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ขึ้นแล้วรวมถึงการทดสอบดีเอ็นเอ” เขากล่าว และเสริมว่าตำรวจกำลังดำเนินการทดสอบดังกล่าว

    โอบอนโยกล่าวว่า มีชายชายอีกคนหนึ่งที่เป็นคนผิวชาวหรือชาวอาหรับอยู่ในหมู่ผู้เสียชีวิตกลุ่มนี้ ขณะที่คนอื่นๆ ที่ถูกฆ่าเป็นคนจากพื้นที่ดังกล่าว

    กลุ่มอัลเชบับซึ่งพยายามที่จะโค่นล้มรัฐบาลโซมาเลียที่ตะวันตกหนุนหลังและบังคับใช้การตีความกฎหมายอิสลามแบบเคร่งครัดของตน กล่าวว่า พวกเขากำลังตอบโต้การที่เคนยาส่งทหารเข้าร่วมกองกำลังรักษาสันติภาพของสหภาพแอฟริกาในโซมาเลีย

    ในเดือนเมษายน กลุ่มติดอาวุธอัลเชบับได้บุกโจมตีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองการิสซาทางตอนเหนือของเคนยา สังหารนักศึกษาไปเกือบ 150 ราย และในเดือนกันยายนปี 2013 คนอย่างน้อย 67 คนถูกสังหารในการโจมตีศูนย์การค้าเวสต์เกตของกรุงไนโรบี

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เปิดหน้าเว็บ-ขอ 1 ล้านคน ร่วมค้านรัฐยกเลิกใช้ก๊าซ LPG ในรถยนต์
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มิถุนายน 2558 20:15 น. (แก้ไขล่าสุด 16 มิถุนายน 2558 21:31 น.)

    [​IMG]

    [​IMG]


    สมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทย เปิดหน้าเว็บไซต์ tagba-thai.com รวบรวมเสียงผู้ร่วมคัดค้าน 1 ล้านคน คัดค้านการยกเลิกใช้ก๊าซ LPG ในรถยนต์ เตรียมเข้าพบ ผู้บริหารกระทรวงพลังงาน - กรมการขนส่งทางบก ชี้แจงข้อเท็จจริง

    วันนี้ (16 มิ.ย.) ที่ห้องประกายเพชร รร.เอเชีย สมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทย จัดแถลงข่าวคัดค้านนโยบายของ คสช. ที่ประกาศจะยกเลิกการใช้ก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง โดย นายสุรศักดิ์ นิตติวัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทย ระบุว่า กำลังเป็นการทำร้ายผู้ใช้ LPG ในรถยนต์นับล้านคัน และจะก่อให้เกิดวิกฤตพลังงานขาดแคลนในอนาคต

    ทั้งนี้ ยังรณรงค์ให้ร่วมโหวตคัดค้านแนวคิดยกเลิก ไม่ส่งเสริม การใช้ระบบแก๊ส LPG ในรถยนต์ ให้ได้มากกว่า 1,000,000 รายชื่อ โดยเร็วที่สุด ช่วยกันส่ง Link นี้ให้กับคนที่ท่านรู้จัก และได้รับผลกระทบ หรือไม่เห็นด้วยกับนโยบายรัฐบาล เพราะพลังงานของชาติเป็นของประชาชนคนไทยทุกคน ไม่ใช่ของกลุ่มทุนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

    ทั้งนี้ สมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทย เห็นว่า หลังจากที่กระทรวงพลังงาน ได้มีนโยบายให้กระทรวงการคลังปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ณ หัวจ่ายสถานีปั้มก๊าซ LPG อีกลิตรละ 3 - 5 บาท และกระทรวงคมนาคมปรับขึ้นภาษีรถยนต์ เฉพาะรถระบบก๊าซ LPG แต่ปรับลดภาษีรถยนต์สำหรับรถ NGV รวมถึงพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ยังให้สัมภาษณ์ แสดงแนวคิดแผนยกเลิกการใช้แก๊ส LPG ในภาคขนส่ง ภายใน 2 ปี

    โดยสมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทย เห็นว่า แนวความคิดและนโยบายดังกล่าว ได้สร้างผลกระทบอันใหญ่หลวงในทันที ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ของสิทธิการเลือกใช้พลังงานเชื้อเพลิง ทั้งภาคประชาชนที่ใช้รถยนต์โดยสารทั่วไป ค่าครองชีพ การจ้างงาน และการขนส่งเชิงพาณิชย์ทั้งระบบ

    ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกใช้ก๊าซ LPG ในรถยนต์ ทางสมาคมฯ ได้จัดทำหน้าเว็บไซต์ tagba-thai.com เพื่อรวบรวมรายชื่อประชาชนที่เดือดร้อน สะท้อนให้ทางรัฐบาลได้เห็น และนำไปสู่การลงประชามติทั่วประเทศอย่างเป็นทางการ พร้อมเสนอให้รัฐบาล คสช. จัดตั้งคณะทำงานภาคประชาชน โดยมีส่วนร่วมในการออกนโยบาย หรือกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทางเลือก LPG ภาคขนส่ง เพื่อความโปร่งใส เป็นธรรม และเท่าเทียมกันในการได้ใช้ทรัพยากรของชาติ

    “เรียกร้องให้รัฐบาล คสช. โดย พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับทราบถึงปัญหาและแนวทางออกที่เหมาะสมด้วยกันทุกฝ่าย ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาล คสช. จะเน้นย้ำนโยบายช่วยเหลือประชาชนรายได้น้อยมาตลอด เน้นการเข้าถึงทรัพยกรธรรมอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน แต่แนวคิดยกเลิกใช้ LPG ภาคขนส่งนั้น เป็นแนวคิดที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง”

    มีรายงานว่า ตัวแทนสมาคมฯ เตรียมเข้าพบหารือกับกระทรวง หรือกรมที่เกี่ยวข้อง ที่จะขึ้นภาษีดังกล่าว โดยการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องอีกด้าน ที่ทางกระทรวงหรือกรมไม่เคยได้รับ และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม สังคม เศรษฐกิจ และประเทศชาติ ทั้งนี้ยัง เตรียมเข้าพบผู้บริหารกรมการขนส่งทางบก เพื่อปูทาง สร้างสัมพันธ์อันดี และเสนอภาพบวกของ LPG พร้อมผลักดัน กฎหมาย การตรวจ ตรอ. แก๊ส รายปี เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้รถแก๊สทั่วประเทศ ฯลฯ รวมถึงการจัดสัมมนาพลังงานทางเลือกที่เหมาะกับรถยนต์ไทย โดยเชิญวิทยากรแขกรับเชิญทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งผู้ใช้จริง โดยเนื้อหาสร้างภาพลักษณ์ที่ดีกับอุตสาหกรรม LPG and NGV ภาคขนส่ง


     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นายกฯ วอนทุกคนรวมพลังสู้คอร์รัปชั่น หวังเปลี่ยนสังคมโกงกินให้โปร่งใส
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2558 11:21 น.

    [​IMG]

    “ประยุทธ์” ปาฐกถาพิเศษการประชุมทางวิชาการระหว่างประเทศ ด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริต เน้นย้ำทุกคนต้องเป็นพลังต่อสู้กับการคอร์รัปชั่น ย้ำรัฐบาลหวังเปลี่ยนสังคมจากการโกงกินซึ่งหยั่งรากลึก เป็นสังคมโปร่งใสและเป็นธรรม

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 มิ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุมทางวิชาการระหว่างประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ครั้งที่ 3 (The Third Conference on Evidence-Based Anti-Corruption Policies - CEBAP III) ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมจาก 12 ประเทศ ประกอบไปด้วย ผู้บริหารระดับสูง นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงาน องค์กร สถาบันต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ จำนวนประมาณ 200 คน นับเป็นโอกาสดีที่ทั้งนักวิชาการและผู้ปฏิบัติงานด้านการต่อต้านการทุจริตได้มาร่วมอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายการต่อต้านการทุจริตที่ตั้งอยู่บนหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้จากผลการวิจัยและการสืบสวนสอบสวน

    นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นปัญหาใหญ่ที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมายาวนานและนับวันจะยิ่งเลวร้ายมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ประเทศต้องสูญเสียโอกาสในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการขาดความเชื่อมั่นจากสายตาของชาวต่างชาติ ทำให้ถูกปิดกั้นการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งยังทำให้ประเทศสูญเสียทรัพยากรแบบสูญเปล่า พวกเราทุกคนล้วนเป็นพลังสำคัญที่จะต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่น และสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมการโกงกินที่หยั่งรากลึกมายาวนานให้เป็นสังคมที่โปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อให้สังคมและเศรษฐกิจของเราเดินหน้าต่อไปด้วยความเข้มแข็ง มั่นคง สร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศไทย ตลอดจนเป็นแนวทางที่ดีงามให้เยาวชนไทยยึดถือและนำไปปฏิบัติ รัฐบาลให้ความสำคัญกับนโยบายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น และกำหนดให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นอยู่ในทุกหัวข้อของการปฏิรูปและถือเป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศ

    นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าได้เน้นย้ำมาตลอดว่า การแก้ไขปัญหาทุกด้านจะเกิดผลเป็นรูปธรรมได้ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนในการร่วมกันเป็นพลังขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบราชการ ข้าราชการทุกคนต้องนำแนวทางของหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในการปฏิบัติงาน ซึ่งจะเป็นรากฐานที่ดีต่อการทำงานทุกระดับ ขั้นตอนการดำเนินงานทุกขั้นตอนต้องมีความโปร่งใส เป็นธรรม สามารถตรวจสอบได้ ไม่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแม้จะเพียงเล็กน้อย

    สำหรับหัวข้อของการประชุมปีนี้ คือ การต่อต้านคอร์รัปชั่นเชิงระบบ ซึ่งเป็นการคอร์รัปชั่นที่มีความเชื่อมโยงระหว่างเงินและการเมือง และการครอบงำสถาบันของภาครัฐโดยกลุ่มทุนที่มีอำนาจทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การยอมรับ เรียกร้อง และขู่เข็ญเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินสินบน การใช้อำนาจในทางที่ผิดผ่านทางระบบอุปถัมภ์และการเล่นพรรคเล่นพวก การยักยอกทรัพย์สินของรัฐ ตลอดจนการเปลี่ยนหรือผันการใช้งบประมาณภาครัฐอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นภัยอันตรายที่สามารถทำให้ประเทศเป็นอัมพาตได้

    ประเทศไทยต้องสร้างรากฐานเพื่อต่อต้านการคอร์รัปชั่น ในสถานการณ์ปัจจุบันบางครั้งอาจมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เข้มงวด เพื่อนำไปสู่การมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่มีการตรวจสอบและถ่วงดุลอย่างแท้จริง แม้จะมีมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบออกมาบังคับใช้ แต่ทางออกของการแก้ไขปัญหานี้ ต้องเริ่มจากตัวเราก่อน เปลี่ยนจากการเพิกเฉยและการยอมรับการทุจริตคอร์รัปชั่นมาเป็นพลังสำคัญในการต่อต้านอย่างจริงจัง และร่วมกันปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นสังคมที่มีบรรยากาศน่าอยู่ มีความชอบธรรมในทุกด้าน นำงบประมาณแผ่นดินที่ต้องสูญเสียไปกับการทุจริตคอร์รัปชั่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประเทศของเราเพื่ออนาคตที่ดีของลูกหลานเรา

    ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีกลไกหรือเครื่องมือที่เพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการภาครัฐแบบเดิม ได้แก่ กลไกด้านความโปร่งใส ด้านความพร้อมรับผิดและตรวจสอบได้ และกลไกการมีส่วนร่วมที่มากขึ้นของกลุ่มต่างๆ เช่นภาคประชาคมระหว่างประเทศ ภาคเอกชนในประเทศ ภาคการเงิน และกลุ่มวิชาชีพต่างๆ หรืออาจมีความจำเป็นที่ต้องใช้กลไกที่เป็นการสั่งการหรือการใช้อำนาจบังคับ

    รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชัน และได้ดำเนินการเพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านการรับรู้ข้อมูลข่าวสารโดยได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร การผ่านกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการประกอบธุรกิจ และอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้าร่วมใน Open Government Partnership หรือ ความร่วมมือรัฐบาลเปิด และการเข้าเป็นสมาชิกในข้อตกลงว่าด้วยการจัดซื้อภาครัฐขององค์การการค้าโลกเพื่อการพัฒนาด้านความโปร่งใส และความมีอิสระในการเข้าถึงของข้อมูลข่าวสารอันเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู่กับการคอร์รัปชัน

    นอกจากนี้ ยังได้ริเริ่มที่จะเป็นสมาชิกโครงการเพื่อความโปร่งใสในการสกัดทรัพยากรธรรมชาติ (Extractive Industries Transparency Initiative-EITI) ซึ่งเป็นมาตรฐานโลกที่กำหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้มีบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างเปิดเผยและตรวจสอบได้ โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ประเทศผู้สมัครจะต้องปฏิบัติก่อนเพื่อการเป็นสมาชิก EITI ต่อไป

    รวมทั้งได้จัดทำโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Construction Sector Transparency หรือ CoST) ในโครงการก่อสร้างภาครัฐขนาดใหญ่ และได้โยกย้ายเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมดที่มีส่วนพัวพันกับคดีการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งคดียังไม่สิ้นสุด เพื่อให้กระบวนการสืบสวนแล้วเสร็จโดยเร็วและสามารถดำเนินไปได้ โดยปราศจากการข่มขู่คุกคาม

    การสืบสวนสอบสวนคดีคอร์รัปชันและการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบธรรมภิบาลในระดับชาติ ถือเป็นความท้าทายของสำนักงาน ป.ป.ช. โดยนโยบายที่ดีต้องมาจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ดีมาจากงานวิจัย นายกรัฐมนตรีรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่สำนักงาน ป.ป.ช. ไม่ได้จำกัดตัวเองเพียงการทำงานด้านการสืบสวนสอบสวน หากแต่ยังได้สร้างเสริมสมรรถนะและความสามารถในการดำเนินงานผ่านการวิจัยและการบริหารจัดการข้อมูล

    การประชุมทางวิชาการระหว่างประเทศฯ ในครั้งนี้ จึงช่วยสนับสนุนการทำงานที่ท้าทายของสำนักงาน ป.ป.ช. และนายกรัฐมนตรีหวังว่าผลของการประชุมนี้จะนำมาซึ่งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรมต่อไป รัฐบาลพร้อมที่จะรับฟังและนำไปเป็นข้อมูลเพื่อส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และปราบปรามการทุจริตของชาติให้หมดไป สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในสังคมไทย และได้มุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมที่เราอาศัยอยู่ให้ดีขึ้น

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจออีก! ผู้ต้องสงสัยติดเชื้อ 'เมอร์ส' เข้าโรงพยาบาลในเช็ก
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 17 มิ.ย. 2558 05:15

    [​IMG]
    (ภาพ: AFP)

    โรงพยาบาลในเช็ก รับผู้ป่วยซึ่งต้องสงสัยว่าติดเชื้อไวรัส เมอร์ส เนื่องจากเพิ่งเดินทางมาจากเกาหลีใต้เข้ารับการรักษา ขณะเดียวกัน มีผู้ป่วยติดเชื้อเมอร์สเสียชีวิตในเยอรมนี...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า โรงพยาบาลในกรุงปราก เมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ก รับตัวผู้ป่วยคนหนึ่งซึ่งข่าวไม่เผยสัญชาติ, เพศ และอายุ แต่มีความเป็นไปได้ที่จะสัมผัสเชื้อไวรัส กลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ เมอร์ส เข้ารับการรักษาในแผนกแยกเดี่ยวผู้ป่วยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (16 มิ.ย.)

    นาย มาร์ติน ซาเลก โฆษกของโรงพยาบาล บูลอฟกา เผยว่า คนไข้รายนี้เพิ่งเดินทางมาจากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งมีการเพราะกระจายของเชื้อเมอร์สอย่างรุนแรง มีผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันแล้ว 154 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตไปแล้ว 19 ราย แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าคนไข้รายนี้ติดเชื้อเมอร์สหรือไม่

    ในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของประเทศเยอรมนีเผยว่า มีชายคนหนึ่งในเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เสียชีวิตจากการเกิดโรคแทรกซ้อนร่วมกับโรคเมอร์ส ส่วนที่ประเทศสโลวาเกีย ผลตรวจออกมาแล้วว่า คนไข้ชายชาวเกาหลีใต้ที่ต้องสงสัยว่าติดเชื้อเมอร์สก่อนหน้านี้ ไม่ติดเชื้อ

    ทั้งนี้ การแพร่กระจายของไวรัสเมอร์สในเกาหลีใต้ถือว่ารุนแรงที่สุดรองจากในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศที่พบการติดเชื้อตัวนี้ในคนเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2012 โดยเชื่อกันว่าไวรัสตัวนี้มีต้นกำเนิดจากค้างคาว และมีอูฐเป็นพาหะ เป็นไวรัสในกลุ่มโคโรนา เช่นเดียวกับไวรัสก่อโรคหวัด และโรคซาร์ส ซึ่งเคยระบาดในเอเชียเมื่อปี 2002-3 จนมีผู้เสียชีวิตถึง 800 คน อย่างไรก็ตาม เมอร์สมีอัตราทำให้เสียชีวิตมากกว่าซาร์ส แต่ติดต่อยากกว่า

    เจออีก! ผู้ต้องสงสัยติดเชื้อ 'เมอร์ส' เข้าโรงพยาบาลในเช็ก - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อียูจับมือนาโต้ ต้านรัสเซีย ใช้จรวดหัวรบนิวเคลียร์ ข้ามทวีป
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 17 มิ.ย. 2558 05:55

    [​IMG]
    ภาพจาก : nato.int

    สหภาพยุโรปจับมือนาโต้ ต้านรัสเซีย ใช้จรวดหัวรบนิวเคลียร์จำนวน 40 หัว ภายหลังประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ได้ประกาศก่อนหน้านี้ ชี้เป็นแผนที่เป็นอันตรายยิ่ง...

    เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2558 “บุญธง ก่อมงคลกูล” ผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำประเทศเบลเยียม รายงานจากกรุงบรัสเซลส์ ว่า เมื่อเวลา 17.44 น. สหภาพยุโรป (EU) และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมอย่างเป็นทางการภายหลังการพบปะหารือระหว่างนายเจนส์ สโตลเตนเบอร์ก เลขาธิการนาโต้กับนายฌองโคล๊ด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป ณ สำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรป กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ช่วงบ่ายของวันอังคารที่ 16 มิ.ย.นี้

    จากนั้นได้แถลงการณ์ร่วมระบุว่า "สหภาพยุโรปและองค์การนาโต้ เป็นหุ้นส่วนที่มีความเป็นเอกภาพและความสำคัญท่ีจะแบ่งปันคุณค่าและยุทธศาสตร์ของผลประโยชน์ร่วมกัน เราทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันในการบริหารจัดการวิกฤติการณ์ ความสามารถในการพัฒนาและให้การปรึกษาทางการเมืองอันจะช่วยสนับสนุนความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงระหว่างประเทศ ความร่วมมือของเรามีความสำคัญอย่างย่ิงยวดในการที่จะลดงบประมาณด้านการทหารของประเทศสมาชิก เราต้องกระชับศักยภาพของยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างกันเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน และเพิ่มขีดความสามารถด้านการทหารให้คุ้มค่างบประมาณ

    เรารู้สึกยินดีกับความพยายามของพันธมิตรองค์การนาโต้และประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ในการที่จะเพิ่มพูนขีดความสามารถทางด้านการป้องกันประเทศ ทั้งนี้ เราขอสนับสนุนความร่วมมือและการกระชับความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดของทั้งสององค์กรต่อไป การป้องกันตนเองที่เข้มแข็งของยุโรปจะสนับสนุนให้องค์กรนาโต้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ในการนี้ เราคาดหวังว่า ที่ประชุมคณะมนตรีสหภาพยุโรปในเดือนมิ.ย.นี้ จะมีการพิจารณาตัดสินใจในประเด็นดังกล่าวต่อไป”

    สำนักข่าวเอเอฟพี ได้รายงานเพิ่มเติมว่า นายเจนส์ สโตลเตนเบอร์ก เลขาธิการนาโต้ ได้กล่าวเตือนว่า การประกาศใช้จรวดหัวรบนิวเคลียร์จำนวน 40 หัว ตามที่ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสซียได้ประกาศก่อนหน้านี้นั้น เป็นแบบแผนของพฤติการณ์ที่เป็นอันตรายยิ่งของรัสเซีย

    "การสำแดงแสนยานุภาพของรัสเซียโดยไม่มีเหตุผลรองรับ กระทบกระเทือนต่อความมั่นคง และอันตรายอย่างยิ่ง" นายเจนส์ สโตลเตนเบอร์ก กล่าวภายหลังการแถลงข่าวร่วมกับนายฌองโคล๊ด จุงเกอร์ ประธาณคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป ณ สำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรป กรุงบรัสเซลส์

    อียูจับมือนาโต้ ต้านรัสเซีย ใช้จรวดหัวรบนิวเคลียร์ ข้ามทวีป - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยิวเกณฑ์ทัพหนู เข้าสู้ผู้ก่อการร้าย
    โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 17 มิ.ย. 2558 10:01

    [​IMG]

    ในยามที่การขับเคี่ยวกับผู้ก่อการร้ายดำเนินไปอย่างดุเดือด ในอาณาบริเวณหลายแห่งของโลก ทหารอิสราเอลได้เกณฑ์ฝูงหนูทั้งหลายมาเข้าร่วมการต่อสู้ เพื่อรักษาความสงบ เพื่อรักษาความปลอดภัยของการเดินทางทางอากาศ

    บริษัทความปลอดภัยของอิสราเอลแห่งหนึ่ง ได้เกณฑ์เอาหนูเข้ามาช่วยในการต่อสู้อันนี้ หลังจากที่ศึกษารู้ว่า พวกมันสามารถที่จะตรวจพบวัตถุระเบิดได้ยิ่งกว่ามนุษย์ สุนัขหรือแม้แต่เครื่องวัดต่างๆ หากว่า ระบบเกณฑ์หนูเข้าร่วมการทดสอบของบริษัทเอ็กซ์เพรสเป็นที่ยอมรับด่านตรวจตามท่าอากาศยานในวันหน้า จะต้องมีกรงหนูประกอบอยู่เข้าร่วมในการตรวจจับผู้ก่อการร้ายด้วย

    รองประธานบริษัท ผู้เคยเป็นหัวหน้าหน่วยปลดกับระเบิด ของกระทรวงกลาโหมอิสราเอล ได้แจ้งว่า ขณะนี้ได้คบคิดสร้างระบบตรวจจับวัตถุระเบิด ที่มีความไวสูงสุดเท่าที่เคยทำกันมา โดยใช้เจ้าหนูทั้งหลายเป็นพลประจำการ เขายังชมเชยมันว่า “มันทำงานได้เก่งในการตรวจดม แต่มันกลับมีตัวเล็ก จึงขนส่งไปได้ง่าย อีกทั้งยังมีราคาถูก และหากผ่านการฝึกฝนแล้ว มันจะสามารถกลายเป็นเครื่องตรวจวัดของสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมาได้

    หนูเหล่านี้ไม่ได้ถูกปล่อยให้วิ่งพล่านไปตามตัวผู้โดยสาร และกระเป๋าเดินทาง หากแต่พวกมันจะถูกจำกัดอยู่ไว้ในกรงตามบ้าน ตามด่านตรวจต่างๆ โดยให้มันค่อยๆ ทำงาน ด้วยการตรวจดมกลิ่นผู้คน และสิ่งของ โดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว และเมื่อมันตรวจพบอันตราย มันก็จะแจ้งให้ทราบ เขาอยากอวดข้อดีของหนูว่า ด้วยเหตุสามารถจะฝึกมันจำนวนมากๆ ด้วยเครื่องจักรได้ เพราะฉะนั้น มันจะทำงานให้ผลดีมากกว่า.

    ยิวเกณฑ์ทัพหนู เข้าสู้ผู้ก่อการร้าย - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยูเนสโกหวั่น! เนปาลเตรียมเปิด ‘มรดกโลก’ พังยับ หลังแผ่นดินไหวใหญ่
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 15 มิ.ย. 2558 16:45

    [​IMG]

    ยูเนสโกกังวล ทางการเนปาลเตรียมเปิดโบราณสถาน ‘มรดกโลก’ ที่พังเสียหายจากธรณีพิโรธครั้งใหญ่ หวังดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับมาเยือนเนปาลกันอีก ขณะที่ยูเนสโกออกแถลงการณ์เตือนประชาชนและนักท่องเที่ยว ‘ระวังเป็นพิเศษ’ ในการไปเที่ยวชม

    เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 58 สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ทางการเนปาลเตรียมเปิดโบราณสถาน ‘มรดกโลก’ หลายแห่ง รวมทั้งจัตุรัสดูร์บาร์ ในหุบเขากาฐมาณฑุ ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ คร่าชีวิตผู้คนกว่า 8,000 ราย เมื่อเดือนเมษายน ที่่ผ่านมา เพื่อต้องการดึงดูดเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวชมโบราณสถานในเนปาลกันอีกครั้ง เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ

    ขณะที่ ด้านองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวในการไปเที่ยวชมโบราณสถาน ‘มรดกโลก’ เหล่านี้ โดย อีรินา โบโกวา ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกอธิบายถึงความเสียหายของโบราณสถานต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในหุบเขากาฐมาณฑุ จากเหตุธรณีพิโรธรุนแรงว่า ได้รับความเสียหายอย่างกว้างขวาง และไม่สามารถซ่อมแซมให้คืนกลับมาดังเดิมได้ พร้อมกันนั้น ยูเนสโกได้จัดส่งทีมเจ้าหน้าที่มาประเมินความเสียหาย และเฝ้าติดตามสถานการณ์

    ทหารเนปาลช่วยกันเก็บซากปรักหักพังออกจากถนนบริเวณจัตุรัสดูร์บาร์
    ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ที่ผ่านมา ยูเนสโกได้ออกแถลงการณ์ขอร้องให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ในการเข้าไปเที่ยวชมโบราณสถานต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายเหล่านี้ พร้อมทั้งยังหวังว่าการตัดสินใจของทางการเนปาลที่จะกลับมาเปิดโบราณสถานเหล่านี้เพื่อให้นักท่องเที่ยวมาชม ควรได้รับการตรวจสอบใหม่อีกครั้ง

    ยูเนสโกหวั่น! เนปาลเตรียมเปิด ‘มรดกโลก’ พังยับ หลังแผ่นดินไหวใหญ่ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปธน.ฝรั่งเศส เตือนกรีซ ‘เวลาใกล้หมด’ ร่วมกลุ่มยูโร
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 16 มิ.ย. 2558 14:50

    [​IMG]

    ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เตือนเหลือเวลาอีกเล็กน้อยเท่านั้น ที่จะช่วยกรีซให้รอดจากการถูกอัปเปหิออกจากกลุ่มยูโร หลังการเจรจาของกรีซกับเจ้าหนี้ทั้งไอเอ็มเอฟ และอียู ที่ผ่านมา ล้มไม่เป็นท่า ส่งผลให้ดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยุโรปร่วงกราว

    เมื่อ 16 มิ.ย. 58 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าวิกฤตการณ์ผ่าทางตัน เจรจาแก้ปัญหาหนี้สิน ระหว่างรัฐบาลกรีซ กับ เจ้าหนี้รายใหญ่ คือสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ จนทำให้กรีซ กำลังเผชิญหน้ากับการถูกขับออกจากยูโรโซน (eurozone) อันประกอบด้วยสมาชิกประเทศอียู 19 ประเทศ จาก 28 ประเทศ ที่ใช้เงินสกุลยูโรเป็นสกุลเงินร่วมกัน และเป็นเงินสกุลเดียวที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายนั้น

    ด้านประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ แห่งฝรั่งเศส กล่าวด้วยความกังวลว่า ขณะนี้ เหลือเวลาอีกเพียงเล็กน้อยที่จะป้องกันหรือขัดขวางไม่ให้กรีซพ้นจากยูโรโซน แต่ขณะเดียวกัน อียูและไอเอ็มเอฟก็กำลังทำงาน และต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้กรีซยังคงอยู่ในกลุ่มยูโรต่อไป

    “มันไม่ใช่จุดยืนของฝรั่งเศสที่จะบังคับให้รัฐบาลกรีซต้องตัดเงินบำนาญลง แต่อยากจะถามถึงข้อเสนอของทางเลือกอื่นๆมากกว่า” ประธานาธิบดีออลลองด์กล่าวระหว่างเยือนกรุงแอลเจียร์ เมืองหลวงของประเทศแอลจีเรีย

    บีบีซี รายงานว่า รมว.คลังของกลุ่มยูโร จะร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของกรีซอีกครั้งในวันพฤหัสฯ ที่ 18 มิ.ย. หลังการเจรจาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 มิ.ย. ล้มเหลวไม่เป็นท่า ขณะที่นายยานิส วารูฟาคิส รมว.คลังกรีซ กล่าวกับนักข่าว นสพ.บิลด์ในเยอรมนีว่า เขาไม่มีแผนจะยื่นข้อเสนอใดๆ ต่อที่ประชุม รมว.คลังของกลุ่มยูโร พร้อมกับแสดงความเห็น ‘ รมว.คลังของกลุ่มยูโร ทำไม่เหมาะสมที่ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลกรีซ โดยไม่มีการหารือและเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ในระดับรองลงมาก่อนหน้านี้’ นายวารูฟาคิส กล่าว

    ขณะเดียวกัน บีบีซีแจ้งว่า บรรดานักลงทุนต่างมีความวิตกกังวลว่ากรีซจะสามารถชำระเงินให้แก่เจ้าหนี้ได้ตามกำหนดเวลาในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าได้หรือไม่นั้น ส่งผลให้ดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศในยุโรปปรับตัวลดลงกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะราคาหุ้นของธนาคารในประเทศกรีซได้รับผลกระทบหนักสุด โดยดัชนีหุ้นของธนาคาร Piraeus ของกรีซได้ร่วงลงไปถึง 12.2% เลยทีเดียว

    ทั้งนี้ ประเทศกรีซกำลังมีความเสี่ยง ที่จะผิดนัดชำระหนี้ตามกำหนด และย่อมจะส่งผลกระทบอย่างที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ต่อประเทศในยูโรโซนทุกประเทศ โดยกรีซจะต้องชำระหนี้ให้กับไอเอ็มเอฟจำนวน 1.6 พันล้านยูโร ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2558 และมีความเสี่ยงที่จะเบี้ยวหนี้จำนวนดังกล่าว หากไม่ได้รับการปล่อยกู้วงเงิน 7.2 พันล้านยูโร ที่ได้ถูกแขวนจากบรรดาเจ้าหนี้ เนื่องจากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา.

    ปธน.ฝรั่งเศส เตือนกรีซ ‘เวลาใกล้หมด’ ร่วมกลุ่มยูโร - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     

แชร์หน้านี้

Loading...