ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ปูตินกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันชาติรัสเซีย : รัสเซียจะอยู่กับรากเหง้าแท้จริงของตัวเองตลอดไป

    [​IMG]

    -------------
    วันที่ 12 มิถุนายน คือวันชาติของรัสเซีย ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินกล่าวสุนทรพจน์ระหว่างพิธีมอบรางวัลชนะเลิศ State Prizes ในงานเฉลิมฉลองประเพณีว่า "รัสเซียไม่เพียงแต่สามารถจัดการให้รอดพ้นช่วงเวลาแห่งการทดสอบและความยากลำบากในไตรมาสที่สี่ของศตวรรษมาได้ และยังมุ่งมั่นสู่ความเป็นประชาธิปไตยและเศรษฐกิจในตลาดอีกด้วย รัสเซียยังสถาปนาตัวเองให้เป็นประเทศสมัยใหม่ เป็นประเทศเปิด และเป็นชาติที่มีเอกราชด้วย"
    ปูตินเน้นย้ำว่า "ประชาชนแห่งสหพันธรัฐรัสเซียได้ประสบความสำเร็จในการธำรงไว้ซึ่งแก่นแท้ของความเป็นรัฐ (อธิปไตย) ของพวกเรา ความหลากหลายในกลุ่มชาติพันธุ์และความเป็นเอกภาพในประวัติศาสตร์ ประเพณีที่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันและจริงใจต่อกันของพวกเรา การอุทิศตนเพื่อมาตุภูมิโดยไม่เห็นแก่ตัว และความสามารถที่จะยืนหยัดอย่างวีรบุรุษเพื่อปกป้องผลประโยชน์ เสรีภาพ และความเป็นเอกราชของประเทศของพวกเรา"
    ปูตินกล่าวต่ออีกว่า "อุดมการณ์ในความรักชาติเหล่านี้ (ideals of patriotism) ได้ฝังลึกและเข้มแข็งมากซึ่งไม่มีใคร (หน้าไหน) เคย หรือจะสามารถมาถอดรหัสรัสเซียให้เข้ากับเมทริกซ์ของพวกต่างด้าวได้ พันธสัญญาซึ่งผูกพันพวกเราเข้าไว้ด้วยกัน เป็นสิ่งที่แท้จริงตลอดกาลต่อรากเหง้าดั้งเดิมและประเพณีของพวกเรานั้น มีความแข็งแรงเกินกว่าที่จะตัดให้ขาดได้"
    ปูตินกล่าวเสริมอีกว่า "ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่จะทำงานร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ และหากว่าพวกเรายังคงทำงานนั้นได้ดี แน่นอนว่าพวกเราจะมันทำได้ ข้าพเจ้าไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนั้นเลย"
    ในการมอบรางวัล State Prizes ให้กับผู้ชนะเลิศในปีนี้สำหรับความสำเร็จที่โดดเด่นในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วรรณกรรมและศิลปะ ปูตินกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเชื่อว่าด้วยประชาชนอย่างพวกท่าน ประชาชนจากรุ่นและอาชีพที่แตกต่างกัน รัสเซียจะไม่มีวันล้มเหลวเด็ดขาด (Russia will never fail.)"
    ว้าว... อ่านวาทะอันคมคายของผู้นำรัสเซียแล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ (คนแปลก็ใช่ย่อย ใช่ป๊ะ? คริๆ) มีทั้งสร้างความฮึกเหิมให้กำลังใจสร้างความสามัคคีให้คนในชาติของตนเอง ทำให้ประชาชนของเขาเองรักชาติ รักแผ่นดินแม่ ภูมิใจในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนานของตัวเอง มีเหน็บไปถึงพวกที่จ้องจะเสี้ยมให้คนในชาติแตกแยกสามัคคีเพราะเป็นแก่ประโยชน์ส่วนตน โดยสมคบคิดกับต่างชาติเพื่อหวังกอบโกยและทำลายชาติของตัวเองอย่างไร้สามัญสำนึก
    ในสายตาของสหรัฐฯก็จะมองว่าการพูดอย่างนี้เป็นการส่งเสริมความคลั่งชาติ เพราะสหรัฐฯไม่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่แท้จริงและเป็นเอกลักษณ์ที่น่าภาคภูมิใจเป็นของตัวเองอย่างชาติอื่นๆเลย ดังนั้นความอิจฉาริษยาของบางคนจึงไม่อาจจะถูกปิดบังเอาไว้ได้ ในวันที่รัสเซียร่วมฉลองวันชาติของพวกเขา ก็มีสื่อฯกระแสหลักของตะวันตกออกมาเขียนข่าวโจมตีรัสเซียแทนด้วยพูดถึงความยากจนและเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
    แต่สื่อฯพวกนั้นลืมมองไปว่าทั้งสังคมและเศรษฐกิจในสหรัฐฯและตะวันตกนั้นตอนนี้ก็มีสภาพไม่ต่างอะไรกับรัสเซียนักหรอก บางประเทศในอียูเองแย่ยิ่งกว่ารัสเซียซะอีก ที่รัสเซียเป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะรัสเซียไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการที่ดี แต่เป็นเพราะมีบางพวกสุมหัวกันจ้องจะทำลายเขาต่างหาก แต่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าแม้จะถูกกดดันอย่างหนักอย่างจากสหรัฐฯและอียู รัสเซียก็ยังเข้มแข็งและอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ และกำลังจะเข้มแข็งยิ่งๆขึ้นไปอีก ในขณะเดียวกันตอนนี้กลับดูเหมือนว่าเป็นขาลงเขาพวกที่หาเรื่องกลั่นแกล้งรัสเซียก่อนต่างหาก
    The Eyes
    12/06/2558
    ----------
    Russia Will Always Stay True to Its Roots – Putin / Sputnik International
    Russia Day: How Do Citizens Celebrate the Holiday? / Sputnik International
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    สหรัฐฯส่งกองทัพเข้ายูเครนวางแผนระยะยาว โอกาสแห่งสันติภาพในยูเครนริบหรี่

    [​IMG]

    -------------
    เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.58 ที่ผ่านมามีการจับภาพขบวนรถฮัมวี่และรถบรรทุก HEMTT ของกองทัพของสหรัฐฯจำนวนมากบริเวณชายแดนฮังการีมุ่งหน้าเข้าสู่ยูเครน ต่อมาโฆษกของกองกำลังตระเวนชายแดนของยูเครน (Ukrainian State Border Service) ออกมาแถลงข่าวว่า ขบวนยานพาหนะของกองทัพสหรัฐฯที่เดินทางเข้าไปในยูเครนในครั้งนี้เพื่อซ้อมรบร่วมกับทหารยูเครนในภูมิภาค Lviv Region หลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจซ้อมรบร่วมกันแล้ว สหรัฐฯก็จะขนขบวนรถบรรทุก (เปล่าๆ) กลับออกไป
    รายงานข่าวบอกว่าเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สหรัฐฯส่งทหารจำนวน 300 นายเข้าไปในยูเครนเพื่อฝึกให้กับระดับผู้บังคับบัญชาและทหารยูเครนในพื้นที่เดียวกันนี้ ซึ่งมีโปรแกรมการฝึกนาน 6 เดือนภายใต้ปฏิบัติการ "Fearless Guardian 2015"
    (สมัยก่อนสหรัฐฯก็ไปฝึกแบบนี้ให้กองทัพของอิรัคเหมือนกัน ไม่รู้ว่าใช้ชื่อเดียวกันนี้หรือเปล่า แต่พอกองทัพอิรัคถูกไอซิสบุกที่เมือง Ramadi เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฎว่าทหารอิรัคบอกว่า ไม่เอาแล้วจ้า ขอโกยก่อนหละ ทั้งๆที่สหรัฐฯบอกว่ากองกำลังของอิรัค ณ จุดนั้นมีจำนวนมากกว่าฝ่ายไอซิสซะอีก สหรัฐฯมักจะโอ้อวดเสมอว่าทหารที่สหรัฐฯฝึกให้นั้นชั้นยอดทั้งนั้น และต่อมากลาโหมของสหรัฐฯออกมากล่าวโทษทหารอิรัคว่าไม่มีจิตใจฮึกเหิมที่จะต่อสู้กับศัตรู อ้าว! แล้วคุณพี่ไปฝึกให้เขาแบบไหนถึงได้ออกมารูปนั้นหละครับ? เฮ้อ…กลุ้มกับอเมริกาเหมือนกัน - Fearless Guardian 2015 : นักรบผู้พิทักษ์ไม่กลัวตาย 2015 ว่างั้นนะ ชื่อก็ดูน่าเกรงขามอยู่นะ แต่หลังจากปี 2015 หวังว่าคงจะไม่เหมือนที่อิรัคนะ ได้เหน็บอเมริกาแล้วสบายใจ คริๆ)
    ทางทูตของสาธารณรัฐปกครองตนเองโดเน็ทส์กออกมากล่าวว่า "DPR พิจารณาเห็นว่าการมาเยือนของครูฝึกกองทัพสหรัฐฯในยูเครนนั้น เป็นความพยายามที่จะขยายความตึงเครียดในภูมิภาคดอนบาสส์ออกไป ทาง DPR รู้สึกมีความกังวลใจว่ายวดยานพาหนะทางกองทัพ (ของสหรัฐฯ) อาจจะอยู่ยาวในยูเครนต่อไปหลังการฝึกเสร็จสิ้นลง" (ถูกต้องแล้วครับ! มันเป็นปรกติของสหรัฐฯอยู่แล้ว เข้าแล้วออกยาก เหมือนดึงหางเต่านั่นแหละ)
    ส่วนรมว.ต่างประเทศของรัสเซียออกมากล่าวว่า "การฝึกให้ทหารยูเครนใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ของตะวันตกนั้นสามารถประเมินได้ว่าเป็นก้าวแรกในการส่งมอบอาวุธที่ทันสมัยรุ่นใหม่ของสหรัฐฯให้กับยูเครน"
    ส่วนนักวิเคราะห์ไทยมองว่า "ฮื่ม! พี่แกต้องขนอะไรบางอย่างเข้าไปในยูเครนแน่ๆ แต่ตอนขากลับก็ตีรถเปล่ากลับออกไป อาจจะมีทหารสหรัฐฯกลับออกไปด้วย แต่อาวุธหนักก็ทิ้งไว้ที่ยูเครนนั่นแหละ พอจะขนเข้าไปรอบใหม่ก็อ้างการฝึกร่วมกันแบบนี้อีกรอบ ว่าป๊ะ?" (แอ็ดมินพูดเองครับ คริๆ)
    โอ้โห... นี่ฝั่งรัสเซียเขาทำนายไว้แล้ว ลูกไม้ตื้นๆแบบนี้ของสหรัฐฯ อย่าคิดนะว่าทีมงานของปูตินจะดูไม่ออก ศึกนี้ยังอีกยาวนาน ตราบใดที่รัฐบาลชุดปัจจุบันของยูเครนยังครองอำนาจอยู่ในปัจจุบันนี้ อย่าได้หวังเลยว่าสันติภาพจะเกิดขึ้นในยูเครนได้ง่ายๆ แล้วทำไงดีอ่ะ? จะยึดอำนาจแบบที่อียิปต์โมเดลหรือที่ไทยโมเดลได้ไหม? สหรัฐฯมีบทเรียนมาแล้ว สหรัฐฯมองว่านั่นคือความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่ไว้ใจทหารท้องถิ่นซึ่งไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นหัวหรือก้อย ยากที่จะเดาได้ ไม่เอา... เกมแบบนี้สหรัฐฯไม่ชอบเพราะไม่มั่นใจว่าจะชนะ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการยึดอำนาจซ้ำ หมายถึงปฏิวัติซ้อน
    ดังนั้นสหรัฐฯจึงให้โปโรเชนโก้ออกกฎหมายรองรับพวกกองทัพนีโอนาซี Azov และกลุ่มอื่นๆที่เป็นพวก Right Sector ในยูเครนให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ (แต่ในนาม) ซะเลย แต่รัฐบาลกลางไม่สามารถควบคุมพวกนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะผบ.ใหญ่ของทหารรับจ้างหัวรุนแรงเหล่านี้ก็คือเจ้าพ่อมหาเศรษฐีรายใหญ่ๆในยูเครนนั่นเอง ซึ่งพวกนี้ต่างก็เป็นคนของสหรัฐฯและอียูทั้งนั้น ตอนนี้จึงยังไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่านายทหารคนไหนของยูเครนจะกล้างัดกับสหรัฐฯตรงๆในเวลานี้
    The Eyes
    12/06/2558
    ----------
    Hungary for Action? US Military Vehicles Enter Ukraine / Sputnik International
    Mysterious Military Vehicles Spotted on Hungarian-Ukrainian Border / Sputnik International
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    รัสเซียประจานสหรัฐฯและพันธมิตรนาโต้ละเมิดสนธิสัญญาการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์

    [​IMG]

    -------------
    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (11 มิ.ย.58) รมว.ต่างประเทศของรัสเซียออกแถลงการณ์ว่า "หนทางเดียวที่แก้ไขปัญหานี้ได้ก็คือการนำอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด (ของสหรัฐฯ) กลับเข้าประเทศสหรัฐฯ สั่งห้ามไม่ให้มีการติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ในต่างประเทศ ทำลายเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และปฏิเสธที่จะมีการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ (อีกต่อไป)"
    แถลงการณ์จาก ก.ต่างประเทศของรัสเซียกล่าวต่ออีกว่า "สิ่งที่เรียกว่าภารกิจด้านนิวเคลียร์ร่วมกันซึ่งมีปฏิบัติการร่วมกันระหว่างสหรัฐฯและชาติพันธมิตรนาโต้ถือว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญา [NPT] อย่างร้ายแรง"
    สนธิสัญญา NPT (Nuclear Non-Proliferation Treaty - สนธิสัญญาว่าด้วยการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์) ได้มีการทำข้อตกลงและบังคับใช้ในปี 1970 เพื่อป้องกันการกระจายอาวุธนิวเคลียร์ ในช่วงที่มีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในภาคพลเรือน สนธิสัญญาฉบับนี้มีประเทศต่างๆร่วมลงนามมากที่สุดถึง 191 ประเทศทั่วโลก
    เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา นาย Sergei Lavrov รมว.ต่างประเทศของรัสเซียกล่าวว่าสหรัฐฯละเมิดสนธิสัญญา NPT โดยการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ไว้ในประเทศเบลเยี่ยม อิตาลี ตุรกี เยอรมันนี และเนเธอร์แลนด์ ล่าสุดในการประชุมว่าด้วยการลดปริมาณหัวรบนิวเคลียร์ทั่วโลกลงซึ่งจัดขึ้นโดยยูเอ็นที่สหรัฐอเมริกา ทางรัสเซียและสมาชิกยูเอ็นอีกร้อยกว่าประเทศทั่วโลกได้เสนอร่างข้อบังคับให้มีการลดหัวรบนิวเคลียร์ลง แต่สหรัฐฯ แคนาดา และอังกฤษ บอกให้ฉีกเอกสารสันติภาพฉบับนี้ทิ้งซะ เพราะไม่มีทางที่สหรัฐฯจะปฏิบัติตามหรือลดหัวรบนิวเคลียร์ของตัวเองลดเด็ดขาด (เคยเสนอข่าวนี้ไปแล้ว)
    และเมื่อเร็วๆนี้สหรัฐฯเสนอให้มีการติดตั้งขีปนาวุธ Cruise missile ต่อต้าน ballistic missile ไว้ในอังกฤษด้วย ตอนนี้นายกฯคาเมรอนของอังฤษกำลังอยู่ในอาการงึกงึกงักงัก กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก เพราะว่าสหรัฐฯเพื่อนซี้ดันเอาข้าวหลามยักษ์ซึ่งไม่รู้ว่าติดหัวรบนิวเคลียร์ด้วยหรือเปล่ามาไว้ใจกลางเกาะอังกฤษซะอย่างนั้น (แต่สหรัฐฯไม่ได้เสนอให้อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือเยอรมันนีนำขีปนาวุธของตัวเองไปติตั้งไว้ในประเทศสหรัฐอเมริกาบ้างเลย แปลกมะ?)
    ก็ง่ายๆ หากวันใดวันหนึ่งสหรัฐฯเห็นว่าชักจะคุมอียูไม่อยู่แล้ว อาจจะมีอุบัติเหตุเล็กๆเกิดขึ้นจากขีปนาวุธเหล่านั้นที่สหรัฐฯกำลังจะติดตั้งในอังกฤษก็ได้
    คำถามที่ชวนให้สงสัยมีอยู่ว่านอกจากสหรัฐฯพยายามจะกลืนอียูหรือทำให้อียูอยู่ในอำนาจการบังคับบัญชาของสหรัฐฯแล้วมีปัจจัยอะไรอีกที่สหรัฐฯต้องการจากอียูอีก? เท่าที่สังเกตความเคลื่อนไหวของประเทศเหล่านี้จากข่าวต่างประเทศรายวันมาได้สักพัก พบว่าเมื่อต้นปีนี้ ก่อนที่อังกฤษจะมีการเลือกตั้ง ทางสหรัฐฯได้เคลื่อนเรือรบขนาดใหญ่เข้าสู่อังกฤษบอกว่าไปพักร้อน โดยก่อนหน้านั้นสหรัฐฯได้ออกมาเรียกร้องให้อังกฤษและชาติสมาชิกนาโต้เพิ่มงบประมาณทางกองทัพให้นาโต้ขึ้นเป็น 2% ของ GDP
    ในตอนแรกหลายประเทศไม่ค่อยจะเห็นด้วยและไม่ค่อยจะชอบใจนัก เพราะเกิดการประท้วงและต่อต้านจากภาคประชาชนในยุโรปค่อนข้างมากเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่ตกต่ำโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอียูเอง อังกฤษจึงบ่ายเบี่ยงไปว่าจะขอตัดสินใจหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปละกัน และจนบัดนี้อังกฤษก็ยังไม่มีคำตอบให้สหรัฐฯ
    ส่วนนาง Nicola Sturgeon ผู้นำพรรค SNP ของอังกฤษที่ออกมาเรียกร้องการทำประชามติแยกสก็อตแลนด์ออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรนั้นก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวถี่ขึ้นในช่วงนี้ ไม้ตายของนางก็คือ "แยกสก็อตแลนด์ออกจาสหราชอาณาจักร" นางได้รับฉายาว่าเป็น "ผู้หญิงที่อันตรายที่สุดในอังกฤษ" ในตอนนี้ ก่อนหน้านี้รัฐบาลอังกฤษคิดจะเพิ่มงบให้กับโครงการสร้างเรือดำน้ำ Trident ของอังกฤษโดยเพิ่มมาตรการรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจในประเทศแทนเพื่อจะได้มีเงินไปหนุนด้านกองทัพของอังกฤษ นางก็งัดไม้ตายมาขู่ซึ่งก็ได้ผล
    เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.58 ที่ผ่านมานางให้สัมภาษณ์กับสื่อฯว่า "โอบามาเข้าข้างพรรคชาตินิยมสก็อตแลนด์" (ข่าวจาก RT) วันที่ 11 มิ.ย.58 RT news พาดหัวข่าวอีกว่า "นาง Nicola Sturgeon กล่าวว่ากรุงวอชิงตันกลัว Brexit" (Britain Exit - หมายถึงสหราชอาณาจักรกำลังจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปหรือที่เรียกว่าอียู นั่นหมายความว่าอียูคงต้องถึงคราวหายนะแน่ๆ จะโทษกรีซฝ่ายเดียวก็คงจะไม่ถูกหละเพราะอังกฤษก็อยากจะออกจากอียูเช่นกัน)
    ดังนั้นไม้ตายของสหรัฐฯที่จะใช้บีบรัฐบาลกลางของอังกฤษให้เพิ่มงบกลาโหมให้กับนาโต้ได้ก็ด้วยการออกมาบอกว่าสหรัฐฯเห็นด้วยกับสาวอันตรายชาวสก็อตนี้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอังกฤษเองว่าจะเพิ่มงบให้กับนาโต้ตามที่สหรัฐฯเรียกร้องหรือไม่นั่นเอง
    แล้วสหรัฐฯไปยุ่งอะไรกับงบนาโต้ด้วย? มันมีหลายเรื่อง เอาเฉพาะที่เป็นข่าวออกมาเมื่อเร็วๆนี้ก่อนละกัน เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.58) สำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียรายงานว่า กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯกำลังเสนอร่างกฎหมายต่อสภาคองเกรสซึ่งอาจจะมีการปรับลดเงินบำนาญทหารลงร้อยละ 20 หลังจากที่ทหารเกษียณอายุไปแล้ว 20 ปี
    เห็นได้ชัดว่าสหรัฐฯกำลังถังแตกอย่างหนักถึงกับตัดลดเงินบำนาญทหารลง 20% และเนื่องจากกองทัพของสหรัฐฯมีขนาดใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลกลางไม่มีงบมากพอที่จะดูแลกองทัพของตนที่มีกระจายอยู่ทั่วโลกได้ ทางออกที่ดีที่สุดและสหรัฐฯคิดว่าฉลาดที่สุดก็คือเอางบจากประเทศสมาชิกนาโต้นี่แหละมาบำรุงกองทัพของสหรัฐฯส่วนหนึ่งที่ประจำการอยู่ในนาโต้แทน ง่ายมะ? (แค่คิดเล่นๆหนะ)
    อ้อ… เกือบลืมไป... เมื่อวานนี้ Sputnik news รายงายว่า สหรัฐฯกำลังจัดรณรงค์เรียกเสียงสนับสนุนจากภาคประชาชนเกี่ยวกับการยิงนิวเคลีียร์ถล่มรัสเซีย (Nuke Russia petition) โดยใช้นาย Mark Dice ออกสำรวจความคิดเห็นของคนทั่วไปว่าเห็นด้วยหรือไม่หากสหรัฐฯจะบอมรัสเซียด้วยนิวเคลียร์ หากมีผู้เห็นด้วยซัก 20,000 คนอาจจะมีปฏิกิริยาบางอย่างจากกรุงวอชิงตันก็ได้ เอากะสหรัฐฯสิ คิดแต่ละอย่างสร้างสรรค์ทั้งนั้น อันนี้ไม่ได้พูดเล่นหรือใส่ร้ายสหรัฐฯนาาาา ข่าวเขาลงอย่างนั้นจริงๆ มีคลิปด้วยสามารถดูจากลิ้งค์อ้างอิงด้านล่างก็ได้
    ป.ล. คราวนี้คงจะทราบที่มาของปริศนาภาพการ์ตูนล้อเลียนที่ชายหูกางคนหนึ่งเอาบางอย่างคล้ายขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ไปวางไว้ในกรุงลอนดอนแทนบิ๊กเบนในโพสต์ที่แล้วครับ?
    The Eyes
    12/06/2558
    ----------
    Moscow Accuses US, NATO of Violating Nuclear Non-ProliferationTreaty / Sputnik International
    Obama Urges Cameron to Keep UK Defense Spending at 2% of GDP / Sputnik International
    New Pentagon Plan Would Cut Future Military Pensions by 20% / Sputnik International
    ‘Obama helped Scottish Nationalists,’ claims SNP leader Nicola Sturgeon — RT UK
    ‘Washington fears Brexit,’ says Nicola Sturgeon — RT UK
    Live and Let Live: Russians Refuse to Nuke United States / Sputnik International
    Americans Sign Petition to Preemptively Nuke Russia / Sputnik International
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โสมขาวพบผู้ป่วย MERS ดับแล้ว 14 ราย - อนามัยโลกเตือนเชื้อมีการระบาดอย่าง "กว้างขวาง-ซับซ้อน” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 มิถุนายน 2558 10:15 น.

    [​IMG]

    เอเจนซีส์ – กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้พบผู้ป่วยเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสกลุ่มทางเดินหายใจสายพันธุ์ตะวันออกกลาง (MERS) เป็นรายที่ 14 ของประเทศ และมีผู้ติดเชื้อใหม่อีก 12 รายในวันนี้ (13 มิ.ย.) โดยหนึ่งในนั้นเป็นคนขับรถพยาบาล ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่าวิกฤตการแพร่ระบาดในเกาหลีใต้ทั้ง “กว้างขวางและซับซ้อน”

    ผู้เสียชีวิตรายล่าสุดเป็นหญิงชราวัย 68 ปี ซึ่งได้รับเชื้อมาจากโรงพยาบาลในเมืองพยองแต๊ก ห่างจากกรุงโซลไปทางใต้ราว 65 กิโลเมตร

    กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 14 รายล้วนมีโรคประจำตัวอยู่ก่อน โดยรายล่าสุดนี้มีอาการความดันโลหิตสูง และต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยผิดปกติ (hypothyroidism)

    ผู้ป่วยใหม่ 12 รายที่พบทำให้ยอดผู้ติดเชื้อ MERS ทั้งหมดในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นเป็น 138 คน ซึ่งนับเป็นการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะครั้งใหญ่ที่สุด รองจากในซาอุดีอาระเบีย

    ผู้ติดเชื้อใหม่รายหนึ่งเป็นพนักงานขับรถพยาบาลซึ่งล้มป่วยหลังจากนำสตรีวัย 75 ปีไปส่งที่ศูนย์พยาบาลซัมซุงทางตอนใต้ของกรุงโซล เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. โดยหญิงชราคนดังกล่าวก็เสียชีวิตในอีก 3 วันต่อมา

    ศูนย์พยาบาลซัมซุงซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สุดของกรุงโซลคือสถานที่ที่พบการแพร่ระบาดมากที่สุด โดยมีผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อ MERS จากที่นี่ถึง 60 ราย

    การแพร่กระจายของไวรัส MERS ในเกาหลีใต้มีต้นตอมาจากผู้ป่วยรายแรก ซึ่งเป็นชายวัย 68 ปีที่เพิ่งเดินทางกลับจากซาอุดีอาระเบีย และแพทย์ได้ยืนยันอาการป่วยของเขาเมื่อวันที่ 20 พ.ค.

    ชายผู้นี้ได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลถึง 4 แห่ง ส่งผลให้เชื้อแพร่ไปยังคนไข้และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหลายราย ก่อนที่แพทย์จะตรวจพบว่าเขาติดไวรัส MERS

    คณะผู้เชี่ยวชาญจาก WHO แถลงวันนี้(13)ว่า ไวรัส MERS ที่ระบาดในเกาหลีใต้มีการแพร่กระจายอย่าง “กว้างขวางและซับซ้อน” พร้อมเตือนให้ทุกฝ่ายเตรียมพร้อมรับผู้ป่วยที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก


     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kaokala Fc
    13 มิ.ย. อีโบลายังระบาดเซียร์ราลีโอน สั่งเคอร์ฟิว 21วัน

    [​IMG]

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงฟรีทาวน์ ประเทศเซียร์ราลีโอน เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ว่า ประธานาธิบดีเออร์เนสต์ ไบ โกโรมา ผู้นำเซียร์ราลีโอน แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ ประกาศมาตรการห้ามออกนอกเคหะสถาน และห้ามเข้าออกพื้นที่ในเขตกัมเบีย และพอร์ตโลโก ระหว่างเวลา 18.00 น. - 06.00 น. เป็นระยะเวลา 21 วันนับจากนี้ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา

    พื้นที่ดังกล่าวเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างกรุงฟรีทาวน์และพรมแดนทางตอนใต้ของกินี ซึ่งเป็นจุดที่พบผู้ติดเชื้อรายล่าสุด จะมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนในช่วงเวลากลางคืนเพื่อเฝ้าระวังการลักลอบเดินทางออกนอกพื้นที่ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกจับกุมและดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้ รัฐบาลยังยืดระยะเวลาการปกครองภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขออกไปอีก 90 วัน

    มาตรการดังกล่าวมีออกมา หลังมีรายงานจากองค์การอนามัยโลก (ฮู) ระบุว่า ช่วงระยะเวลา 1 สัปดาห์นับจนถึงวันที่ 7 มิ.ย. เซียร์ราลีโอพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 15 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขรายสัปดาห์ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค. เป็นต้นมา โดยสาเหตุหลักที่ยังมีการกระจายของเชื้ออยู่ คือการที่ผู้ติดเชื้อละเมิดมาตรการกักตัว ทั้งนี้ นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของเชื้ออีโบลาครั้งนี้เมื่อเดือน ธ.ค. 2556 ปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตในแอฟริกาตะวันตกซึ่งเป็นที่ที่สถานการณ์รุนแรงสุดกว่า 11,000 ราย ขณะที่ไลบีเรียสามารถประกาศปลอดการติดเชื้อไปได้แล้ว แต่กินีและเซียร์ราลีโอนยังคงมีการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างต่อเนื่อง

    : อีโบลายังระบาดเซียร์ราฯสั่งเคอร์ฟิว21วัน | เดลินิวส์
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kaokala Fc

    13 มิ.ย. อนามัยโลกวิตกสถานการณ์ไวรัส "เมอร์ส" ในเกาหลีใต้

    [​IMG]

    องค์การอนามัยโลกวิเคราะห์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเมอร์สในเกาหลีใต้ทั้ง "ซับซ้อน" และอาจลุกลาม หลังพบผู้เสียชีวิตแล้ว 14 ศพ ขณะที่รัฐบาลวอนประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ

    อนามัยโลกวิตกสถานการณ์ไวรัส "เมอร์ส" ในเกาหลีใต้ | เดลินิวส์
    องค์การอนามัยโลกวิเคราะห์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเมอร์สในเกาหลีใต้ทั้ง "ซับซ้อน" และอาจลุกลาม หลังพบผู้เสียชีวิตแล้ว 14 ศพ ขณะที่รัฐบาลวอนประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลา 9:30 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ว่ากระทรวงสาธารณสุขของเกาหลีใต้รายงานการพบผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนากลุ่มโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง ( เมอร์ส ) คนที่ 14 ซึ่งเป็นหญิงวัย 67 ปี เสียชีวิตที่โรงพยาบาลพยองแต็ก ชานกรุงโซล ซึ่งเป็นโรงพยาบาล 1 ใน 2 แห่งที่เข้ารับการกักบริเวณ เนื่องจากมีอัตราการแพร่ระบาดสูง ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยืนยันผู้เสียชีวิตทั้ง 14 ศพเป็นผู้ที่มีสุขภาพอ่อนแอจากโรคประจำตัวเรื้อรังมาก่อนแล้ว และส่วนใหญ่เสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อนที่เป็นผลจากโรคความดันโลหิตสูงและภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์

    ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 12 คน เพิ่มจำนวนผู้ป่วยสะสมทั่วประเทศเป็นอย่างน้อย 138 คน หนึ่งในนั้นเป็นพนักงานขับรถพยาบาลฉุกเฉินของศูนย์การแพทย์ซัมซุงในกรุงโซล ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่าได้รับเชื้อขณะขับรถรับส่งผู้ป่วยหญิงวัย 75 ปี มายังโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. โดยเธอเสียชีวิตในอีก 3 วันต่อมา ปัจจุบันศูนย์การแพทย์ซัมซุงเป็นโรงพยาบาลที่รับรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์ส 60 คน มากที่สุดในเกาหลีใต้

    อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ที่ต้องเข้ารับการกักบริเวณเพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อลดลงจาก 3,805 คน มาอยู่ที่ 3,680 คน เมื่อวันศุกร์ รัฐบาลเกาหลีใต้จึงเรียกร้องให้ประชาชนกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ เนื่องจากเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมวงจรการแพร่ระบาดของเชื้อโรคให้อยู่เฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น กระนั้นองค์การอนามัยโลก ( ฮู ) ออกรายงานวิเคราะห์สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมรณะในเกาหลีใต้ว่า "ซับซ้อนและอาจลุกลาม" หมายความว่ามีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง

    เกาหลีใต้ถือเป็นประเทศที่มีอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเมอร์สสูงที่สุดในโลกเป็นอันดับ 2 รองจากซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศแรกที่มีการพบผู้ป่วยเมื่อปี 2555 โดยผู้ป่วยคนแรกของเกาหลีใต้เป็นชายวัย 68 ปี ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อเมื่อวันที่ 20 พ.ค.“

    อ่านต่อที่ : อนามัยโลกวิตกสถานการณ์ไวรัส "เมอร์ส" ในเกาหลีใต้ | เดลินิวส์

    อ่านต่อที่ : อนามัยโลกวิตกสถานการณ์ไวรัส "เมอร์ส" ในเกาหลีใต้ | เดลินิวส์
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตองกาแผ่นดินไหวรุนแรง 6.3 แมกนิจูด | เดลินิวส์

    [​IMG]

    แผ่นดินไหวรุนแรงใต้ทะเลนอกชายฝั่งประเทศเกาะตองกา ในมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อคืนวันศุกร์ แต่ไม่มีรายงานความเสียหาย หรือเตือนภัยสึนามิ วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลา 0:50 น.

    สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ว่า เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง วัดได้ 6.3 แมกนิจูด เขย่าประเทศเกาะตองกา ในมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อคืนวันศุกร์ โดยสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ หรือ ยูเอสจีเอส รายงานว่า ตรวจจับแผ่นดินไหวครั้งนี้ได้เมื่อเวลา 23.07 น. ตามเวลาท้องถิ่น (18.07 น. ตามเวลาในประเทศไทย) จุดกำเนิดอยู่ลึกใต้ทะเล 30 กิโลเมตร ห่างชายฝั่งเมืองฮิฮิโฟของตองกา ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 89 กิโลเมตร และ 235 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงอาปีอา เมืองหลวงซามัว

    ไม่มีรายงานความเสียหายจากทางการตองกา และศูนย์เตือนภัยสึนามิแปซิฟิก ที่หมู่เกาะฮาวายของสหรัฐ แจ้งว่า หลังการประเมินสถานการณ์แล้วเชื่อว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่น่าจะทำให้เกิดคลื่นสึนามิเข้าหาชายฝั่ง

    ตองกาเป็นหนึ่งในประเทศที่ตั้งอยู่บนแนว "วงแหวนไฟ" รอบริมขอบมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นแนวโค้งรูปเกือกม้า ที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง จากการกระทบกันของแผ่นเปลือกโลกลานทวีป.“

    อ่านต่อที่ : ตองกาแผ่นดินไหวรุนแรง 6.3 แมกนิจูด | เดลินิวส์
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกาหลีใต้ต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อปราบไวรัส "เมอร์ส" | เดลินิวส์

    [​IMG]

    องค์การอนามัยโลกบรรเทาความกังวลของทุกฝ่าย เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเมอร์สในเกาหลีใต้ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 14 ศพ ภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ว่ารัฐบาลโซลเริ่มควบคุมวงจรการแพร่ระบาดได้แล้ว แต่หนทางสู่การปลอดเชื้ออย่างถาวรยังอีกยาวไกล วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2558 เวลา 15:25 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ว่านพ.เคอิจิ ฟุคุดะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ( ฮู ) แถลงเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนากลุ่มโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง ( เมอร์ส ) ในเกาหลีใต้ ว่าลักษณะการแพร่ระบาดของเชื้อโรคมีรูปแบบใกล้เคียงกับการแพร่ระบาดที่ยังคงเกิดขึ้นในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศแรกในโลกที่พบผู้ป่วยเมื่อปี 2555 และจนถึงปัจจุบันทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 400 ศพ

    ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างของเชื้อไวรัสเมอร์สที่พบในเกาหลีใต้ยังไม่ปรากฏแนวโน้มของการดื้อยาหรือการกลายพันธุ์ ที่อาจเพิ่มความรุนแรงให้กับการถ่ายทอดเชื้อจากมนุษย์สู่มนุษย์ อีกทั้งอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อโรคเริ่มทรงตัว โดยเจ้าหน้าที่พยายามควบคุมวงจรการแพร่ระบาดให้อยู่แต่ภายในโรงพยาบาลเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเกาหลีใต้จำเป็นคงระดับมาตรการควบคุมโรคและเฝ้าระวังไว้ในระดับสูงสุดต่อไป ที่รวมถึงการสั่งห้ามมิให้ผู้ต้องสงสัยติดเชื้อเดินทางไปยังสถานที่สาธารณะ

    นพ.ฟุคุดะกล่าวด้วยว่า เจ้าหน้าที่ควรระมัดระวังเรื่องการปล่อยให้มีการเข้าเยี่ยมผู้ป่วยได้อย่างอิสระ เนื่องจากอาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการขยายวงจรการแพร่ระบาด ขณะเดียวกัน ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่าเกาหลีใต้สามารถป้องกันเชื้อไวรัสเมอร์สได้แล้ว เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคในขณะนี้ยัง "ซับซ้อน" และ "กว้างขวาง" หมายความว่าเป็นไปได้ที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นจาก 138 คน และจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจากอย่างน้อย 14 ศพ นับตั้งแต่พบผู้ป่วยคนแรกในประเทศ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.“

    อ่านต่อที่ : เกาหลีใต้ต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อปราบไวรัส "เมอร์ส" | เดลินิวส์
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตามรอยไวรัส 'เมอร์ส' แพร่กระจายในเกาหลีใต้ได้อย่างไร?
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 12 มิ.ย. 2558 05:30

    [​IMG]
    (ภาพ: AP)

    เกาหลีใต้กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส เมอร์ส ซึ่งทำให้มีผู้ติดเชื้อในประเทศแล้ว 122 คน เสียชีวิตไปแล้ว 10 ราย และถูกกักตัวเพื่อสังเกตการณ์มากกว่า 3,800 คน ทำให้แดนโสมขาวกลายเป็นประเทศที่มีการระบาดของไวรัสเมอร์สมากที่สุด รองจากซาอุดีอาระเบีย โดยที่ใครจะเชื่อว่าวิกฤติครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นจากอาการป่วยเล็กน้อยอย่างการไอเท่านั้น

    แต่ก่อนที่เราจะไปพูดถึงต้นตอการระบาดในเกาหลีใต้ เรามาทำความรู้จักกับไวรัส เมอร์ส หรือชื่อเต็มว่า ไวรัสโคโรนา สายพันธ์ุกลุ่มอาการโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง กันก่อนดีกว่า


    ต้นกำเนิดของไวรัสเมอร์ส เชื่อว่ามาจากไวรัสในค้างคาว และติดต่อไปยังอูฐมาตลอดช่วงเวลาอย่างน้อย 20 ปีที่ผ่านมา และเริ่มแพร่กระจายเข้าสู่มนุษย์ โดยยังไม่มีใครรู้ จนกระทั่งแพทย์ชาวอียิปต์ประกาศการค้นพบไวรัสตัวนี้ ซึ่งอยู่ภายในปอดของคนไข้ในซาอุดีอาระเบียเมื่อ เม.ย.ปี 2012 โดยตอนแรกมีชื่อเรียกว่า โนเวล โคโรนาไวรัส 2012

    หลังจากนั้น ไวรัสชนิดนี้ก็ระบาดอย่างรุนแรง โดยพบผู้ติดเชื้อมากที่สุดในซาอุดีอาระเบีย โดยมีผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยัน 938 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตถึง 402 คน คิดเป็นอัตราเสียชีวิต 43% รองลงมาคือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ติดเชื้อ 74 ราย เสียชีวิต 10 คน นอกจากนี้ยังมีรายงานพบผู้ติดเชื้อเมอร์สในอีกกว่า 24 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งมาเลเซียและฟิลิปปินส์ แต่มีผู้ติดเชื้อรวมกัน และทั้งหมดติดเชื้อมาจากซาอุดีอาระเบีย

    หลังจากการระบาดครั้งใหญ่ในปี 2012 ก็มีรายงานพบผู้ติดเชื้อเมอร์สประปรายในประเทศต่างๆ แต่ไม่รุนแรงเหมือนเมื่อครั้งระบาดใหม่ๆ กอปรกับถูกกระแสตื่นตัวเชื้อไวรัสอีโบลา ในแอฟริกาตะวันตกกลบจนมิด ทำให้เชื้อเมอร์สหายไปจากหน้าสื่อ แต่ไม่ได้หมายความว่าไวรัสตัวนี้หายไปด้วย และเมื่อ 20 พ.ค. 2015 เกาหลีใต้ประกาศพบผู้ติดเชื้อเมอร์สรายแรกในประเทศ โดยเป็นชายชาวเกาหลีใต้อายุ 68 ปี ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากภูมิภาคตะวันออกกลาง

    ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับชายคนนี้ถูกเปิดเผยออกมามากนัก แต่จากการสัมภาษณ์ภรรยาของชายคนนี้ทำให้รู้ว่า เขาเดินทางไปพบหมอหลายคนที่สถานพยาบาลหลายแห่งในกรุงโซล เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับอาการป่วยของเขา ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขของเกาหลีใต้เชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เชื้อไวรัสติดต่อไปยังผู้คนอย่างน้อย 30 คน ทั้งคนไข้และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล

    ขณะที่ตามการเปิดเผยของกระทรวงสาธารณสุขในเบื้องต้น หลังจากที่ชายวัย 68 ปีรายนี้ เดินทางกลับถึงบ้านเกิดเมื่อวันที่ 9 พ.ค. เขาก็เริ่มมีอาการไอ จึงเดินทางไปหาหมอที่โรงพยาบาลในเมืองอาซาน ทางใต้ของกรุงโซล และเพียงวันเดียวหลังจากนั้นอาการป่วยของเขาก็แย่ลงและเดินทางไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลอีกแห่งที่อยู่ใกล้กับแห่งแรก ซึ่งแพทย์จัดให้เขานอนในห้องผู้ป่วยคู่ กับคนไข้อีกคนหนึ่ง โดยรู้ว่าชายคนนี้ติดเชื้อเมอร์ส

    หลังจากนอนในโรงพยาบาล 3 วัน ชายวัย 68 ปี ก็ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล เขาซึ่งอาการป่วยยังไม่หายดีจึงเดินทางเข้ากรุงโซลและพบแพทย์ที่คลินิกเอกชน เซนต์ แมรี ก่อนจะเดินทางไปรับการตรวจที่โรงพยาบาล ซัมซุง เมดิคัล เซ็นเตอร์ และถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉิน จากนั้นจึงได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อเมอร์ส ในวันที่ 20 พ.ค. 9 วันหลังกลับจากตะวันออกกลาง

    ความล่าช้าในการรับมือกับโรคของรัฐบาล เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทุกภาคส่วน ซึ่งนาย มูน ฮยอง-เปียว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้ก็ออกมายอมรับผิดว่า การแพร่กระจายของไวรัสเมอร์ส น่าจะยุติได้เร็วกว่านี้ หากพวกเขาตอบสนองได้เร็วกว่านี้

    แต่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า แพทย์ไม่ได้ตรวจหาเชื้อเมอร์สในตัวชายคนนี้ทันที เนื่องจากเขาบอกกับเจ้าหน้าที่การแพทย์ว่า เขาเดินทางไปยังประเทศบาห์เรน ซึ่งเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคคาบสมุทรอาระเบียไม่มีประวัติพบผู้ติดเชื้อเมอร์ส รวมทั้งไม่ได้สัมผัสกับผู้ป่วยหรืออูฐ สัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคเมอร์สสู่คน แต่ทราบในภายหลังว่า ชายคนนี้เดินทางไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดีอาระเบียด้วย โดยภรรยาของชายคนนี้อ้างว่า สามีของเธอสับสนเรื่องการเดินทางเพราะพิษไข้

    การแพร่กระจายของไวรัสเมอร์ส เกิดขึ้นเป็นกระบวนการลูกโซ่ จากชายวัย 68 ปีคนนี้ ไปยังคนไข้คนอื่นๆ และคนไข้เหล่านั้นก็ถูกส่งไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลอื่นๆ ทำให้เกิดห่วงโซ่การแพร่กระจายใหม่ขึ้นอีก โดยในปัจจุบัน (นับจนถึงวันที่ 11 มิ.ย.) เกาหลีใต้สั่งกักบริเวณหรือกักตัว ผู้ต้องสงสัยว่าสัมผัสกับผู้ติดเชื้อเมอร์สแล้วกว่า 3,800 คน

    การแพร่กระจายของไวรัสเมอร์สในเกาหลีใต้ทำให้หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ ตื่นตัวออกมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสร้ายตัวนี้เดินทางเข้าสู่ประเทศได้ โดยลูกพี่ใหญ่ของภูมิภาคอย่างจีน สั่งให้โรงพยาบาลและแพทย์รายงานทันทีที่พบคนไข้โรคปอดบวมหรือไข้หวัด ที่เกิดอาการโดยไม่ทราบสาเหตุ และยกระดับการเฝ้าระวังผู้ป่วยก่อนที่ชาวจีนมุสลิมจะเดินทางไปทำพิธีฮัจญ์ที่เมืองเมกกะ ในซาอุดีอาระเบียในเดือน ก.ย.

    ส่วนญี่ปุ่น กระทรวงสาธารณสุขออกคำสั่งในวันพฤหัสบดี ให้สนามบินนาริตะเริ่มโครงการตรวจสอบสุขภาพของผู้มาเยือนจากเกาหลีใต้ ถ้าพบผู้ต้องสงสัยติดเชื้อ ก็สามารถกักตัวเพื่อสังเกตการณ์ได้นาน 14 วัน ขณะที่ฮ่องกง ประกาศเตือนพลเมืองที่เดินทางไปยังกรุงโซล ให้หลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้ศูนย์พยาบาลต่างๆ และสั่งให้กักตัวคนไข้ที่มีอาการป่วยหลังจากเดินทางไปยังเกาหลีใต้ในช่วง 2-14 วันที่ผ่านมาทันที โดยจนถึงตอนนี้มีผู้ถูกกักตัวแล้ว 19 คน

    ด้านเกาหลีเหนือ ได้ร้องขอเครื่องตรวจอุณหภูมิจากเกาหลีใต้ เพื่อตรวจสอบผู้จัดการโรงงานชาวเกาหลีใต้ในนิคมอุตสาหกรรมแคซอง ส่วนกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ ประกาศให้ใครก็ตามที่เพิ่งกลับจากตะวันออกกลางและเกาหลีใต้ และป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจหรือโรคปอดบวม เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาล ขณะที่อินโดนีเซีย เริ่มการใช้งานเครื่องวัดอุณหภูมิซึ่งติดตั้งไว้ที่ท่าอากาศยานนานาชาติและท่าเรือ 13 แห่งทั่วประเทศใหม่อีกครั้งนับตั้งแต่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อในจีนและเกาหลีใต้ โดยผู้เดินทางมาจาก 2 ประเทศนี้ จะต้องกรอกข้อมูลในการ์ดเตือนสุขภาพ และทุกสายการบินต้องแจ้งต่อแพทย์สนามบินหากมีลูกเรือหรือผู้โดยสารป่วย

    ที่ประเทศมาเลเซีย รัฐบาลยกระดับมาตรการเฝ้าระวังการส่งผ่านเชื้อบริเวณทางเข้าเมืองระหว่างประเทศ ส่วนกระทรวงสาธารณสุขเวียดนาม ประกาศให้นักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้และ 10 ประเทศในตะวันออกกลาง ต้องกรอกเอกสารเกี่ยวกับสุขภาพเมื่อเดินทางถึงสนามบินและชายแดนต่างๆ ของเวียดนาม ขณะที่ประเทศไทยประกาศให้ เมอร์ส เป็นโรคติดต่ออันตรายชนิดที่ 7 และเตรียมออกคำแนะนำสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงผู้ที่จะเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงอื่นๆ ด้วย

    ตามรอยไวรัส 'เมอร์ส' แพร่กระจายในเกาหลีใต้ได้อย่างไร? - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Weekend Focus: ครบ 1 ปี “ไอเอส” ยึดดินแดนอิรัก-ซีเรีย สงครามยังไร้จุดจบ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 มิถุนายน 2558 09:02 น.

    [​IMG]

    ผ่านมาแล้ว 1 ปีเต็มหลังจากที่กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้เริ่มต้นปฏิบัติการรุกคืบบุกเข้ายึดเมืองสำคัญทางตอนเหนือของอิรักและซีเรีย ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ในวันนี้ยังคงมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และดูเหมือนความรุนแรง ความแตกแยกเกลียดชัง และการเข่นฆ่าอย่างป่าเถื่อนที่ถือเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษยชาติจะยังคงไม่ยุติลงง่ายๆ

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2014 กลุ่มไอเอสได้ส่งกองกำลังเข้ายึดเมืองต่างๆ ทางภาคเหนือของอิรักจนครอบครองพื้นที่ถึง 1 ใน 3 ของประเทศ และได้ประกาศพื้นที่ที่พวกเขายึดครองไว้ได้ในอิรักและซีเรียเป็น “รัฐคอลีฟะห์” ปรากฏการณ์ที่ทั่วโลกได้เห็นหลังจากนั้นคือการประหารชีวิตเชลยด้วยวิธี “ฆ่าตัดหัว” อย่างโหดเหี้ยม รวมไปถึงการสังหารหมู่ จับเป็นทาส และข่มขืนกระทำชำเรา

    แม้กองทัพอิรักและสามารถขับไล่นักรบญิฮาดและยึดคืนพื้นที่บางส่วนกลับมาได้บ้าง ทว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคตะวันตกยังคงตกอยู่ใต้อิทธิพลของพวกไอเอส นักรบอิสลามิสต์ยังสามารถรุกคืบไปสู่เมืองอื่นๆ แม้จะถูกต่อต้านอย่างหนักจากกองทัพแบกแดด และปฏิบัติการโจมตีทางอากาศกว่า 4,000 ครั้งโดยสหรัฐฯและชาติพันธมิตรในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา

    สงครามกลางเมืองซีเรียที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2011 เป็นเสมือนแหล่งฟูมฟักและสนามฝึกยุทธวิธีสำหรับกลุ่มไอเอส ขณะที่ความโกรธแค้นในหมู่ชาวสุหนี่อิรักซึ่งมองว่ารัฐบาลชีอะห์กำลังกดขี่ข่มเหงและเลือกปฏิบัติต่อพวกเขา ก็เป็นเชื้อไฟอย่างดีที่ช่วยกระตุ้นให้ปฏิบัติการของกลุ่มติดอาวุธสำเร็จลุล่วงได้ง่ายขึ้น

    “สาเหตุสำคัญที่ทำให้ไอเอสเฟื่องฟูขึ้นมาได้ ยังไม่ได้รับการแก้ไข” แพทริก สกินเนอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาด้านข่าวกรอง ซูฟาน กรุ๊ป ให้สัมภาษณ์ “และนั่นหมายความว่า ถึงแม้พวกเขาจะถูกขับไล่ออกจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แต่ไอเอสจะยังคงแฝงตัวเหมือนเชื้อโรคร้ายในเส้นโลหิตของประเทศอิรักต่อไป”

    เมื่อปีที่แล้ว นักรบไอเอสใช้เวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงในการบุกยึดโมซุล เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอิรัก ทั้งๆ ที่คนของพวกเขามีจำนวนน้อยกว่าทหารของรัฐบาลมาก และเมื่อพวกเขาร่วมมือกับกลุ่มติดอาวุธพันธมิตรอื่นๆ เพื่อรุกคืบลงสู่ทิศใต้ ก็ทำให้หลายฝ่ายเริ่มหวั่นเกรงว่าแม้แต่ “กรุงแบกแดด” เองก็อาจจะต้องเสียให้แก่พวกนักรบญิฮาดในที่สุด

    ความสำเร็จของไอเอสในการบุกเข้าโจมตีค่ายทหารของอิรัก และยึดเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ และเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆ ไปเป็นของฝ่ายตน ชี้ให้เห็นชัดเจนถึงความไร้ประสิทธิภาพ และผลของการทุจริตคอรัปชันที่นำมาซึ่งความอ่อนแอปวกเปียกของกองทัพแห่งชาติ

    ชนกลุ่มน้อยยาซิดีทางตอนเหนือของอิรักตกเป็นเหยื่อการลักพาตัว การจับเป็นทาส และการข่มขืนโดยพวกนักรบไอเอส ซึ่งองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกมาประณามว่าเทียบได้กับความพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide)

    ไอเอสยังได้สังหารหมู่ทหารมุสลิมนิกายชีอะห์หลายร้อยคนบริเวณแม่น้ำไทกริสในเมืองติกริต (Tikrit) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านเริ่มหันไปสนับสนุนกองกำลังของแบกแดด ประชาชนนับหมื่นคนอาสาเข้าไปเป็นกองกำลังต่อสู้ไอเอสตามคำเรียกร้องของ อยาตอลเลาะห์ อาลี อัล-ซิสตานี ผู้นำสูงสุดของมุสลิมชีอะห์ในอิรัก แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่เป็นฟันเฟืองหลักของ “ขบวนการประชาชน” (Popular Mobilisation Forces) ต่อสู้ไอเอสกลับเป็นพวกกองกำลังท้องถิ่นนิกายชีอะห์ที่ได้รับการฝึกฝนมาจากอิหร่าน

    กลุ่มติดอาวุธชีอะห์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการช่วงชิงเมืองและจังหวัดใหญ่ๆ คืนมาจากพวกไอเอส และเป็นที่รักใคร่ของชาวอิรักนิกายชีอะห์ด้วย แต่หากจะมองอีกด้านหนึ่ง อิทธิพลของกองกำลังชีอะห์เหล่านี้ก็นับว่าเป็นภัยคุกคามสำหรับรัฐบาลอิรัก ซึ่งที่ผ่านมาอ้างว่าสามารถ “บัญชาการ” พวกเขาได้ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่มีอำนาจ “ควบคุม” และท้ายที่สุดก็เป็นไปได้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายอาจหันมาจับอาวุธห้ำหั่นกันเอง

    ช่วงเวลา 1 ปีที่ไอเอสขยายอิทธิพลยังส่งผลให้เส้นพรมแดนและลักษณะทางประชากรในอิรักเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ประชาชนเกือบ 3 ล้านคนต้องพลัดถิ่นฐานตั้งแต่ช่วงต้นปี 2014 พื้นที่ซึ่งเคยเป็นถิ่นของชาวชีอะห์และเคิร์ดก็มีชาวอาหรับสุหนี่อพยพเข้าไปอาศัยอยู่ นอกจากนี้ เมื่อทหารอิรักถูกไอเอสโจมตีจนต้องเป็นฝ่ายล่าถอย พวกชาวเคิร์ดที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถานก็ฉวยโอกาสขยายอาณาเขต และการที่กรุงแบกแดดจะต่อสู้เพื่อชิงดินแดนเหล่านั้นคืนมาในภายหลังก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

    การแผ่อิทธิพลของไอเอสยังทำให้สหรัฐฯ ถูกดึงกลับมาสู่วังวนความขัดแย้งในอิรักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา พยายามปิดฉากสงครามอิรักลงได้แล้วเมื่อปี 2011

    สหรัฐฯ ได้จับมือกับประเทศพันธมิตรส่งเครื่องบินเข้าไปทิ้งระเบิดโจมตีฐานที่มั่นของไอเอส และยังส่งทหารหลายพันนายเข้าไปช่วยฝึกฝนยุทธวิธีให้แก่กองทัพอิรัก แต่ภาพที่ปรากฏในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นักรบไอเอสนั้นมีความแข็งแกร่งและทนทานต่อการโจมตียิ่งกว่าที่ฝ่ายตะวันตกคาดคิด และเมื่อเดือนที่แล้วก็สามารถยึดรามาดี (Ramadi) เมืองเอกที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของจังหวัดอันบาร์ไปได้

    แม้จะต้องปะทะกับกองกำลังฝ่ายตรงข้ามทั้งในอิรักและซีเรีย แต่ไอเอสก็ยังสามารถแผ่ขยายอิทธิพลออกไปสู่ภูมิภาคอื่น ด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรกับนักรบท้องถิ่น เช่น กลุ่มติดอาวุธในลิเบีย โบโกฮารัมในไนจีเรีย และกลุ่มติดอาวุธย่อยๆ ในซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น

    การถือกำเนิดของไอเอสไม่เพียงบั่นทอนอนาคตของอิรัก แต่ยังทำลายมรดกทางวัฒนธรรมในอดีต ซากเมืองโบราณที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายแห่ง เช่น นิมรูด และฮาตรา ถูกนักรบไอเอสใช้เครื่องมือทุบหรือระเบิดทำลาย ขณะที่โบราณวัตถุจำนวนมากถูกกลุ่มติดอาวุธขโมยไปขายเพื่อนำเงินมาเป็นทุนปฏิบัติการ

    สหรัฐฯ มีแผนส่งทหารเข้าไปช่วยฝึกฝนกองกำลังอิรักเพิ่มเติมอีกหลายร้อยนาย รวมถึงจัดส่งอาวุธผ่านทางรัฐบาลแบกแดด แต่ถึงกระนั้น โอบามา ก็ยอมรับเมื่อวันจันทร์ (8 มิ.ย.) ว่า สหรัฐฯ ยัง “ไม่มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน” ที่จะช่วยอิรักกำจัดพวกไอเอส และต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายอิรักเป็นสำคัญที่จะต้องปรับปรุงทั้งในด้านการบริหารจัดการกองทัพ และการเกณฑ์คนให้เข้ามาร่วมต่อสู้ในสงครามครั้งนี้

    Weekend Focus:
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ราคาน้ำมันขึ้นลง ตามการเทหน้าตักของผู้ที่ต้องการกดราคาน้ำมัน แต่ก็ต้องลงทุนด้วยทุนที่มีอยู่ในมือสูง เพราะเมื่อมาตรการที่พยายามกดราคาเริ่มใช้ไม่ได้ผล ก็ต้องเพิ่มทุนลงไปอีก

    น้ำมันร่วง$1หลังซาอุฯแย้มผลิตเพิ่ม หุ้นสหรัฐฯดิ่ง-ทองคำทรงตัว
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 มิถุนายน 2558 05:14 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - ราคาน้ำมันลอนดอนลงแรงกว่า 1 ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์(12มิ.ย.) หลังรัฐวิสาหกิจพลังงานยักษ์ใหญ่ของซาอุดีอาระเบียแย้มอาจเพิ่มกำลังผลิตแม้อุปทานล้นตลาด ส่วนวอลล์สตรีทร่วงหนักจากความกังวลวิกฤตหนี้กรีซ ส่วนทองคำขยับลงในกรอบแคบๆ

    น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม ลดลง 81 เซนต์ ปิดที่ 59.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 1.24 ดอลลาร์ ปิดที่ 63.87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

    สำหรับปัจจัยที่ฉุดรั้งราคาในวันศุกร์(12มิ.ย.) นักวิเคราะห์ชี้ไปที่ความเห็นของนายอาห์เมด อัล-ชูบาเอย์ ผู้บริหารของซาอุดี อารัมโก บริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ที่กล่าวในอินเดีย ว่าผู้ส่งออกเชื้อเพลิงรายใหญ่ที่สุดของโลกแห่งนี้อาจเพิ่มกำลังผลิตจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เพื่อให้พอดีกับอุปสงค์ โดยเวลานี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาจัดส่งน้ำมันกับเหล่าผู้ซื้ออินเดียเพิ่มเติม

    นักวิเคราะห์มองว่าจากท่าทีดังกล่าวของซาอุดีอาระเบีย นั่นหมายความว่าทางเดียวที่จะเห็นตลาดผกผันสู่ภาวะอุปทานตึงตัว ก็คือเหล่าชาติผู้ส่งออกนอกสมาชิกโอเปกต้องลดกำลังผลิตลง

    ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อวันศุกร์(12มิ.ย.) ปรับลดหนัก หลังการเจรจาหนี้กรีซเข้าสู่ทางตันและความกังวลว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆนี้

    ดาวโจนส์ ลดลง 140.53 จุด (0.78 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 17,898.84 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 14.75 จุด (0.70 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,094.11 จุด แนสแดค ลดลง 31.41 จุด (0.62 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 5,051.10 จุด

    ข้อมูลบวกทั้งด้านความเชื่อมั่นผู้บริโภคและตัวเลขทางเศรษฐกิจอื่นๆของสหรัฐฯ เพิ่มมุมมองว่าเศรษฐกิจกำลังหวนคืนสู่ภาวะแข็งแกร่ง แต่ขณะเดียวกันมันก็ก่อความกังวลแก่นักลงทุนก่อนหน้าที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางอเมริกา มีกำหนดนัดหารือกันในสัปดาห์หน้า

    นอกจากนี้แล้วยังมีความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้กรีซ หลังไอเอ็มเอฟลุกจากโต๊ะเจรจาเงินช่วยเหลือกับเอเธนส์ ขณะที่เจ้าหน้าที่อียูยอมรับว่าพวกเขาจะมีการหารืออย่างเป็นทางการครั้งแรก เพื่อรับมือกับกรณีที่เลวร้ายสุดที่จะเกิดขึ้นกับกรีซ

    อย่างไรก็ตามในส่วนของราคาทองคำเมื่อวันศุกร์(12มิ.ย.) ไม่สนใจต่อการร่วงลงของตลาดทุนและความไม่แน่นอนของวิกฤตหนี้กรีซ โดยปิดในกรอบแคบๆ ขณะที่นักลงทุนจับตาไปที่การประชุมเฟด โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 1.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,179.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000066847
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kaokala Fc
    13 มิ.ย. ปาเลาเผาเรือเวียดนามลักลอบจับสัตว์น้ำ

    [​IMG]

    สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ว่า ทางการปาเลา ประเทศเกาะขนาดเล็กในมหาสมุทรแปซิฟิก เผาทำลายเรือประมงของชาวเวียดนาม 4 ลำ ซึ่ีงเป็นเรือที่เจ้าหน้าที่ปาเลาจับได้ หลังลักลอบเข้าไปจับปลิงทะเลและสัตว์น้ำอื่นๆ ในเขตน่านน้ำของปาเลา

    ประธานาธิบดีทอมมี่ เรเม็งเกเซา จูเนียร์ ผู้นำปาเลา ซึ่งกำลังอยุ่ในระหว่างการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพีทางโทรศัพท์ ว่า เรือทั้ง 4 ลำถูกเผาในทะเลใกล้ชายฝั่งเมื่อเช้าวันศุกร์ ตามมาตรการป้องปราม เพื่อจะเปลี่ยนเขตน่านน้ำของประเทศ ให้กลายเป็นเขตอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตในทะเลแห่งชาติ ห้ามทำการประมงเพื่อการพานิชย์และการส่งออก ยกเว้นในพื้นที่จำกัด ที่สงวนไว้เพื่อใช้โดยชาวประมงท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว

    "เราต้องการส่งสัญญาณอันแข็งกร้าว ให้ทุกคนได้เห็นว่า เราจะไม่อดทนอีกต่อไป กับกลุ่มโจรสลัดเหล่านี้ที่เข้ามาลักขโมยทรัพยากรของเรา" ประธานาธิบดีเรเม็งเกเซา กล่าว

    สาธารณรัฐปาเลา ประเทศเกาะทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ประชากร 17,948 คน (ปี 2558) อยู่ห่างฟิลิปปินส์ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 970 กิโลเมตร

    ปาเลาก่อตั้งเขตอนุรักษ์ฉลามเป็นแห่งแรกของโลกในปี 2552 แต่จนถึงปัจจุบันมีเรือลาดตระเวณเพียงแค่ลำเดียว เพื่อช่วยปกป้องปลาฉลามกว่า 130 สายพันธุ์ในเขตน่านน้ำรอบชายฝั่ง รวมทั้งปลากระเบนที่ใกล้สูญพันธุ์

    เรือประมง 4 ลำของเวียดนามที่ถูกเผาทำลายเมื่อวันศุกร์ เป็นส่วนหนึ่งของเรือ 15 ลำ ที่เจ้าหน้าที่ปาเลาจับกุมได้ ฐานลักลอบเข้าไปทำการประมงในเขตน่านน้ำ ตั้งแต่ปีที่แล้ว ในเรือพบปลาฉลาม ครีบ (หู) ฉลาม กุ้งมังกร ปลิงทะเล และปลาชนิดต่างๆ เรือหลายลำที่ถูกรับอุปกรณ์ประมง จะนำลูกเรือประมง 77 คนเดินทางกลับเวียดนาม

    : ปาเลาเผาเรือเวียดนามลักลอบจับสัตว์น้ำ | เดลินิวส์
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “แฮกเกอร์จีน” เจาะข้อมูลจนท.อเมริกันหลายล้าน-อาจได้รหัสเข้าถึงชั้นความลับกลาโหม-ข่าวกรอง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 มิถุนายน 2558 09:38 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – แฮกเกอร์จีนได้เจาะระบบล้วงข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่รัฐบาลอเมริกันไปหลายล้านคน ซึ่งอาจทำให้พวกเขาได้รหัสเข้าถึงข้อมูลชั้นความลับด้านกลาโหมและข่าวกรอง หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานเมื่อวานนี้ (12 มิ.ย.)

    พนักงานสอบสวนสหรัฐฯ ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบหาต้นตอการเจาะเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสำนักงานจัดการบุคลากรสหรัฐฯ (Office of Personal Management – OPM) ที่เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง โดยเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือแฮกเกอร์จากแดนมังกร

    ข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้ “เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และมีความเชื่อมโยงกับหลายภาคส่วน” เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับวอชิงตันโพสต์โดยไม่ขอเปิดเผยชื่อ

    รายงานฉบับนี้ชี้ว่า การเจาะข้อมูลเป็นไปอย่าง “กว้างขวางยิ่งกว่าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมายอมรับในช่วงแรก” และแม้แต่ข้อมูลลับเฉพาะของเจ้าหน้าที่สำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) บางคนก็อาจรั่วไหล

    “เรื่องนี้จะกระทบต่อการทำงานของซีไอเอหรือไม่... ยังต้องรอคำตอบ... มันอาจกลายเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ เพราะพวกแฮกเกอร์อาจเปิดเผยตัวตนของเจ้าหน้าที่เหล่านั้น”

    ฐานข้อมูลที่ถูกโจมตีประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานรัฐ เช่น ประวัติด้านการเงิน, การลงทุน, ครอบครัว, การติดต่อกับชาวต่างชาติ ตลอดจนรายชื่อเพื่อนบ้านและมิตรสหาย เป็นต้น

    เมื่อต้นสัปดาห์นี้ สหภาพพนักงานสาธารณะได้ออกมาแถลงว่า พวกแฮกเกอร์สามารถล้วงเอาข้อมูลลับเฉพาะของพนักงานรัฐบาลสหรัฐฯ ทุกภาคส่วนไปได้

    แซมมูเอล ชูแมค โฆษกโอพีเอ็ม ปฏิเสธที่จะยืนยันว่า การโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นนี้มีต้นตอจาก “จีน” จริงหรือไม่

    กระบวนการสอบสวนซึ่งมีเอฟบีไอร่วมด้วย บ่งชี้ว่า “มีความเป็นไปได้สูงที่แฮกเกอร์จะสามารถเข้าถึงข้อมูลการตรวจสอบประวัติพนักงานรัฐบาลอเมริกัน ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และผู้ที่กำลังสมัครเข้าทำงานใหม่”

    โอพีเอ็มกำลังประเมินว่ามีพนักงานรัฐจำนวนมากน้อยเท่าใดที่ได้รับผลกระทบ

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000066873
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กรีซยังเสียงแข็งบอกถ้าไม่ได้เงินช่วยเหลือภายใน 18 มิ.ย. เจอชักดาบแน่
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มิถุนายน 2558 16:47 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - สองรัฐมนตรีกรีซระบุในวันศุกร์ (12 มิ.ย.) ว่าจำเป็นจะต้องบรรลุข้อตกลงกับบรรดาเจ้าหนี้จากอียูและไอเอ็มเอฟให้ได้ในการประชุมของชาติสมาชิกยูโรโซน วันที่ 18 มิถุนายนนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้

    รัฐมนตรีกลาโหม ปานอส คัมเมนอส ระบุในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เมกาแชแนล ว่าข้อตกลงความช่วยเหลือเหล่านั้นจะต้องบรรลุให้ได้ภายในวันที่ 18 มิถุนายน

    คัมเมนอส ระบุในวันศุกร์ว่า การชำระหนี้ให้กับไอเอ็มเอฟอาจไม่เกิดขึ้น หากการเจรจาเพื่อให้บรรลุข้อตกลงความช่วยเหลือนั้นล้มเหลว

    "หากยังไม่พบหนทางแก้ไขภายในสิ้นเดือนนี้ เราจะไม่จ่ายเงินให้ไอเอ็มเอฟ" คัมเมนอส กล่าว

    ส่วนทางด้าน อเลคอส ฟลามบูลาริส รัฐมนตรีที่ประสานงานใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ซีปราส ได้บอกกับสื่อมวลชนว่า เขาคาดหวังให้มีการตกลงกันได้ในวันที่ 18 มิถุนายน ในการประชุมของประเทศยูโรโซน

    กรีซจำเป็นจะต้องหาเงิน 1.6 พันล้านยูโร มาชำระหนี้ให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในช่วงสิ้นเดือนนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องบรรลุข้อตกลงเพื่อรับเงินช่วยเหลืองวดสุดท้ายจำนวน 7.2 พันล้านยูโรให้ได้ ก่อนที่แผนความช่วยเหลือของอียู-ไอเอ็มเอฟจะหมดอายุลง

    ช่วงที่ผ่านมา การเจรจาที่ยาวนานถึง 5 เดือนระหว่างกรีซกับเจ้าหนี้ยังไม่อาจตกลงกันได้ในเรื่องงบประมาณ การปฏิรูปเศรษฐกิจ กับรายได้จากการจัดเก็บภาษี

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผ่าตัดเปลี่ยนไอ้จ้อนใช้งานได้จริง หมอเผยคนไข้ซัดแฟนป่อง 4 เดือนแล้ว
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มิถุนายน 2558 18:49 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - แพทย์เปิดเผยในวันศุกร์ (12 มิ.ย.) ว่าหนุ่มชาวแอฟริกาใต้ผู้เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเพศจนสำเร็จเป็นรายแรกของโลก กำลังจะกลายเป็นพ่อคนแล้ว หลังผ่านมือหมอมาได้เพียงไม่กี่เดือน

    อันเดร ฟาน เดอ เมอร์เว ผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินปัสสาวะ ผู้นำทีมในการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเพศครั้งประวัติศาสตร์ของโลก ได้บอกกับเอเอฟพีว่า ตอนนี้แฟนสาววัย 21 ปีของคนไข้ ได้ตั้งครรภ์แล้ว

    "เขาบอกผมว่าตอนนี้แฟนเขาท้องได้ 4 เดือนแล้ว เรายินดีมากที่ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน แถมอวัยวะเพศของเขาก็ใช้งานได้ดี ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขามีลูกไม่ได้ เพราะสเปิร์มของเขาไม่ได้รับผลกระทบอะไร" ฟาน เดอ เมอร์เว ผู้ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัย สเตลเลนบอช บอกเอเอฟพี

    ก่อนหน้านี้ ฟาน เดอ เมอร์เว ได้เคยยอมรับว่าเขาแปลกใจกับความเร็วในการฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศของคนไข้รายนี้ โดยบอกด้วยว่าตั้งเป้าในตอนแรกว่ากว่าจะกลับมาใช้งานได้อย่างสมบูรณ์คงต้องใช้เวลา 2 ปี

    สำหรับหนุ่มชาวแอฟริกาใต้ผู้ไม่เปิดเผยตัวตน ที่เข้ารับการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเพศ เขาได้รับการผ่าตัดเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาลไทเกอร์เบิร์ก ในเมืองเคปทาวน์ ซึ่งใช้เวลาผ่าตัดนานถึง 9 ชั่วโมง ด้วยอวัยวะเพศอันใหม่ของผู้บริจาคอวัยวะ

    ทั้งนี้ อวัยวะเพศเดิมของคนไข้นั้น ถูกตัดทิ้งเมื่อ 3 ปีก่อน เพราะการขลิบตามประเพณีที่เก็บงานไม่เรียบร้อย

    ฟาน เดอ เมอร์เว บอกว่า ทีมงานของเขาได้รับคำขอแบบท่วมท้นจากบรรดาชายหนุ่มที่ถูกตัดอวัยวะเพศด้วยปัญหาลักษณะคล้ายกัน แต่เขาไม่สามารถช่วยได้ทุกคน

    "ตอนนี้เรามีประมาณ 9 คนในโครงการ" เขาบอกนักข่าว พร้อมอธิบายเพิ่มว่า การหาอวัยวะเพศจากผู้บริจาคอวัยวะนั้นถือเป็นหนึ่งในงานที่ท้าทาย เช่นเดียวกับอวัยวะอื่นๆ

    "ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นงานที่ง่าย แต่เชื่อว่าจะมีคนก้าวออกมาข้างหน้ามากขึ้น เพราะผลการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะที่ออกมาในเชิงบวกแบนี้" เขากล่าว


     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นับวัน ศัตรูของ IS ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งอิรัก ซีเรีย และตอนนี้ลิเบีย ส่วนซาอุ ไม่นับน่ะครับ เพราะอาจเป็นมิตรกันก็ได้

    ยิงถล่มขบวนต้านISในลิเบีย ตาย7บาดเจ็บหลายสิบ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 มิถุนายน 2558 02:28 น.

    [​IMG]

    รอยเตอร์ - กลุ่มมือปืนไม่ทราบฝ่ายสาดกระสุนถล่มขบวนชุมนุมต่อต้านพวกนักรบอิสลาม(ไอเอส) ในเมืองเดอร์นา ทางภาคตะวันออกของลิเบียในวันศุกร์(5มิ.ย.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย

    ชาวบ้านหลายคนบอกกับรอยเตอร์ว่าพวกมือปืนเริ่มกราดยิงเข้าใส่ฝูงชน ระหว่างที่ผู้ชุมนุมเริ่มเดินขบวนมุ่งหน้าไปยังฐานทัพหลักของพวกไอเอสซึ่งตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งของเมืองเดอร์นา โดยนอกจากผู้เสียชีวิตข้างต้นแล้ว ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกราว 30 คน อย่างไรก็ตามเบื้องต้นยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบ

    พวกรัฐอิสลามรุ่งเรืองขึ้นในลิเบีย หลัง 2 รัฐบาลคู่ปรับเริ่มต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน จนเกิดสูญญากาศด้านความมั่นคงมานานกว่า 4 ปี นับตั้งแต่อดีตประธานาธิบดีมูอัมมาร์ กัดดาฟี ถูกโค่นอำนาจ

    เหล่าชาติตะวันตกมีความกังวลมากขึ้นว่าพวกไอเอสจะขยายฐานที่มั่นออกไปนอกอิรักและซีเรีย เพิ่มความยุ่งเหยิงแก่ลิเบียที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่งขบวนการเคลื่อนไหวมุสลิมสุหนี่หัวรุนแรงกลุ่มนี้ถูกต่อต้านจากชาวบ้านท้องถิ่น และต้องเผชิญการแข่งขันช่วงอำนาจ อาณาเขตและทรัพยากรในลิเบีย กับพวกนักรบและกลุ่มอิสลามิสต์อื่นๆ

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Pics & Clips : ข่าวร้ายและข่าวร้าย!! ขนส่งระหว่างประเทศ IATA หดไซส์กระเป๋าหิ้วขึ้นเครื่อง คาเธ่ย์แปซิฟิคตอบรับกฎใหม่ ขาชอปบินการบินไทยอาจกรี๊ด “เนื้อที่หายไปถึง 45%” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มิถุนายน 2558 12:35 น. (แก้ไขล่าสุด 12 มิถุนายน 2558 14:04 น.)

    [​IMG]

    @บริษัทผู้ผลิตกระเป๋าเดินทางชั้นนำไม่ว่าจะเป็น แซมโซไนท์ เดลซี และทูมี ผลิตสัญลักษณ์ “IATA Cabin OK” ติดบนกระเป๋าเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีเรื่องปวดหัวหากพบว่า กระเป๋าใบใหม่ที่เพิ่งซื้อมาไม่สามารถบินไปพร้อมกับผู้โดยสารได้

    เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ผู้โดยสารชาวสหรัฐฯ และผู้โดยสารชาติอื่นที่บินด้วยสายการบินสหรัฐฯ และสายการบินนานาชาติเป็นต้นว่า เอมิเรตส์ และคาเธ่ย์แปซิฟิค ต้องกุมขมับและทำใจ เมื่อพบว่าสายการบินทั้งสองได้ตอบรับข้อเสนอของสมาคมการขนส่งระหว่างประเทศ หรือ The International Air Transport Association (IATA) ที่ได้ประกาศเป็นแนวทางการปฏิบัติในวันอังคาร (9) ที่ผ่านมา สำหรับแนวทางปฏิบัติข้อกำหนดของมาตรฐานกระเป๋าเดินทางส่วนตัวที่อนุญาตนำขึ้นห้องเคบินผู้โดยสารนั้นจะต้องมีขนาดเล็กลงกว่าปัจจุบัน 21% โดยอ้างว่าจะทำให้ผู้โดยสารบนเครื่องขนาด 120 นั่งสามารถมีที่เพียงพอในการเก็บกระเป๋าเดินทางเคบินได้ทุกคน ซึ่งในส่วนสายการบินสัญชาติไทยยังไม่มีรายงานความเคลื่อนไหว แต่ทว่า หากสายการบินสัญชาติไทย เป็นต้นว่า ไทยแอร์เวย์ส หรือไทยสไมล์แอร์ ยอมตอบรับแนวทางใหม่ของ IATA แล้วจะทำให้ผู้โดยสารต้องยอมขนสัมภาระออกถึงเกือบครึ่งของขนาดกระเป๋าที่กำหนดในปัจจุบัน

    อแลสกา ดิสแพตช์ นิวส์ สื่อสหรัฐฯ รายงานในวันพฤหัสบดี (11) ว่าหลังการออกมาประกาศถึงแนวทางปฏิบัติจากกลุ่มสมาคมการขนส่งระหว่างประเทศ หรือ The International Air Transport Association (IATA) ในวันอังคาร (9) ที่ผ่านมา ที่เห็นควรให้เปลี่ยนแปลงข้อกำหนดการอนุญาตผู้โดยสารหิ้วกระเป๋าเดินทางแบบโหลดบนเคบินใหม่ โดยเห็นควรให้ลดขนาดกระเป๋าเดินทางลงราว 21% หรือ 21.5 *13.5 *7.5 นิ้ว จากแต่เดิมในปัจจุบันที่มาตรฐานกระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องทั่วไปจะมีขนาด 22 * 14 * 9 นิ้ว วอชิงตันโพสต์ สื่อสหรัฐฯ รายงาน

    และไทมส์ยังรายงานเพิ่มเติมว่า หนึ่งในเหตุผลที่ทาง IATA ต้องการกำหนดให้กระเป๋าเดินทางให้มีขนาดเล็กลงเพื่อที่ว่าจะทำให้ผู้โดยสารบนเครื่องบินขนาด 120 ที่นั่งทุกคนสามารถนำกระเป๋าเดินทางส่วนตัวโหลดภายในห้องผู้โดยสารได้

    แต่ทว่าจากความเห็นของ Henry Harteveldt ที่ปรึกษาอุตสาหกรรมธุรกิจการบินให้สัมภาษณ์กับเอพีผ่านการรายงานของอแลสกา ดิสแพตช์อธิบายว่า เหตุที่พื้นที่โหลดกระเป๋าเหนือศีรษะของผู้โดยสารไม่เพียงพอ เป็นเพราะความเห็นแก่ได้ของบริษัทสายการบินที่ผลักภาระให้กับผู้โดยสารที่ต้องให้เสียเงินสำหรับการนำกระเป๋าเดินทางติดตัวไปด้วย และยังเพิ่มจำนวนที่นั่งเข้าไปบนเครื่องบินอย่างแออัด จนทำให้พื้นที่สัมภาระไม่เพียงพออย่างที่ปรากฏ

    แต่อย่างไรก็ตาม วอชิงตันโพสต์รายงานเพิ่มเติมว่า แนวทางปฏิบัติเหล่านี้ขึ้นกับการตัดสินใจของบริษัทสายการบินแต่ละแห่งที่จะเห็นควรนำไปใช้ แต่ทว่าเป็นที่น่าตกใจว่า สายการบินระดับอินเตอร์เนชันแนลขนาดใหญ่จำนวน 8 แห่งอ้าแขนรับแนวทางปฎิบัติใหม่นี้เรียบร้อยแล้ว รวมไปถึง แอร์ไชน่า เอเวียนกา อาซุล คาเธ่ย์แปซิฟิค ไชน่าเซาเทิร์น เอมิเรตส์ ลุฟท์ฮันซ่า และกาตาร์

    และยังพบว่าสายการบินสัญชาติสหรัฐฯ เช่นอเมริกัน แอร์ไลน์สนั้นยังคงต้องการเวลาตัดสินใจที่จะตอบรับแนวทางปฏิบัติของ IATA แต่ทว่า คริส โกเตอร์ (Chris Goater) โฆษก IATA ให้สัมภาษณ์ว่า “เราจะประกาศรายชื่อบริษัทสายการบินรายใหญ่ที่ตอบรับแนวทางปฏิบัติใหม่มากขึ้นอย่างแน่นอน”

    ไทม์สยังรายงายเพิ่มเติมในรายละเอียดที่ผู้โดยสารนอกจากต้องวางแผนในการจัดกระเป๋าสัมภาระใหม่ ยังไม่รวมไปถึงต้องเสียเงินให้กับบรรดาบริษัทผู้ผลิตกระเป๋าเดินทางชั้นนำไม่ว่าจะเป็น แซมโซไนท์ เดลซี และทูมี รวมไปถึงวิกตอริน็อกซ์ สวิสอาร์มี ในการซื้อกระเป๋าใบใหม่ที่จะมีตราโลโก้ “IATA Cabin OK” ติดบนกระเป๋าเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีเรื่องปวดหัวหากพบว่ากระเป๋าใบใหม่ที่เพิ่งซื้อมาไม่สามารถบินไปพร้อมกับผู้โดยสารได้

    โดยไทมส์ชี้ว่า หากแนวทางปฏิบัติของ IATA เป็นที่ยอมรับแล้ว ผู้โดยสารที่บินกับบริติชแอร์เวย์จะต้องเสียเนื้อที่ในการนำสัมภาระขึ้นเครื่องไปถึง 45% เพราะในปัจจุบันบริษัทสายการบินสัญชาติอังกฤษอนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถนำกระเป๋าเคบินขนาด 22*18*10 นิ้ว ขึ้นเครื่องได้ ส่วนอแลสกา แอร์ไลน์ส นั้นจะทำให้ผู้โดยสารต้องมีเนื้อที่บรรจุสัมภาระลดลงถึง 46% เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ทางสายการบินอนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถนำกระเป๋าขนาด 24 *17*10 นิ้ว ขึ้นเครื่องได้ และผู้โดยสารสายการบินลุฟท์ฮันซ่าจะต้องยอมนำสัมภาระออกไปราว 28% เพราะในปัจจุบันผู้โดยสารสายการบินสัญชาติเยอรมันได้รับอนุญาตให้นำกระเป๋าขนาด 21*15.7*9 นิ้ว ขึ้นห้องผู้โดยสารได้

    นอกจากนี้ ในส่วนสายการบินไทย เช่น ไทยสไมล์แอร์ และการบินไทยกำหนดให้กระเป๋าโหลดเหนือศีรษะต้องมีขนาด 22 *18*10 นิ้ว และผู้โดยสารต้องยอมนำสัมภาระออกไปราว 45% หรือเกือบครึ่งหนึ่งของมาตรฐานปัจจุบันของสายการบินแห่งนี้หากไทยสไมล์แอร์ หรือบริษัทการบินไทยตอบรับกับแนวทางปฏิบัติใหม่ของ IATA ที่กำหนดให้กระเป๋าแบบแครีออลมีขนาดไม่เกิน 21.5 *13.5 *7.5 นิ้ว

    In Pics & Clips :
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีนจะลงทุน 900,000 ล้านดอลลาร์ใน ‘เส้นทางสายไหมสายใหม่’
    โดย เอเชียอันเฮจด์ 6 มิถุนายน 2558 17:56 น.

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ Asia Times)

    China to invest $900 billion in New Silk Road
    Author: Asia Unhedged
    29/05/2015

    ธนาคารการพัฒนาแห่งประเทศจีน (CDB) เปิดเผยในวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า โครงการเส้นทางสายไหมสายใหม่ หรือ “หนึ่งพื้นที่เศรษฐกิจ, หนึ่งเส้นทาง” จะมีการลงทุนเป็นเงินมากกว่า 890,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านั้น 1 วัน รองนายกรัฐมนตรี จาง เกาลี่ ของจีน ระบุว่าในโครงการนี้จะมีการสร้างระเบียงเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงเอเชียกับยุโรปรวมทั้งสิ้น 6 ระเบียงเศรษฐกิจ โดยที่เงินทุนสนับสนุนในเรื่องนี้จะมาจากธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (AIIB) และกองทุนเส้นทางสายไหม

    เท่าที่ผ่านมา สิ่งที่จีนเปิดเผยเกี่ยวกับระเบียงเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมสายใหม่ของแดนมังกร ซึ่งทอดยาวไปยังเอเชียกลางและยุโรป ส่วนใหญ่แล้วเป็นประดุจการวาดภาพกว้างๆ ด้วยปลายพู่กันเท่านั้น

    แต่มาถึงเวลานี้พวกเจ้าหน้าที่จีนกำลังแจกแจงรายละเอียดให้ฟังกัน ธนาคารการพัฒนาแห่งประเทศจีน (China Development Bank ใช้อักษรย่อว่า CDB) แถลงเปิดเผยในวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถึงแผนการต่างๆ ซึ่งจะมีการลงทุนเป็นเงินมากกว่า 890,000 ล้านดอลลาร์ ในโครงการดังกล่าวนี้ ที่ทางการจีนเองนิยมเรียกขานด้วยคำย่อว่า “หนึ่งพื้นที่เศรษฐกิจ หนึ่งเส้นทาง” (One Belt, One Road)

    CDB ธนาคารสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งทางการจีนใช้งานเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบาย แถลงแจกแจงว่า เงินก้อนมหึมาดังกล่าวจะถูกจัดสรรให้เป็นเงินทุนดำเนินโครงการต่างๆ กว่า 900 โครงการซึ่งเกี่ยวข้องพัวพันกับประเทศต่างๆ 60 ประเทศ โครงการเหล่านี้มีทั้งพวกถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ, เหมืองแร่, กระแสไฟฟ้า, การสื่อสารโทรคมนาคม, โครงสร้างพื้นฐาน, การเกษตร, และการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนกับประชาชน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนส่งเสริมการไหลเวียนทางการค้าและการไหลเวียนของเงินทุน

    ในเวลาเดียวกัน ณ พิธีเปิดประชุม “การสนทนาทางอุตสาหกรรมว่าด้วยการเชื่อมต่อ” (Industry Dialogue on Connectivity) ภายใต้กรอบของการประชุมเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Meeting หรือ ASEM) เมื่อวันพุธที่ 27 พฤษภาคม รองนายกรัฐมนตรี จาง เกาลี่ (Zhang Gaoli) ของจีน กล่าวว่าประเทศจีนต้องการสร้างระเบียงเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงเอเชียกับยุโรปรวมทั้งสิ้น 6 ระเบียงเศรษฐกิจ โดยที่เงินทุนสนับสนุนในเรื่องนี้จะมาจากธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank หรือ AIIB) และกองทุนเส้นทางสายไหม (Silk Road Fund)

    จางระบุว่า ระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 6 แห่งดังกล่าวจะประกอบด้วย จีน-มองโกเลีย-รัสเซีย (China-Mongolia-Russia), แลนด์บริดจ์ยูเรเชียสายใหม่ (New Eurasian Land Bridge), จีน-เอเชียกลางและเอเชียตะวันตก (China-Central and West Asia), จีน-คาบสมุทรอินโดจีน (China-Indo-China Peninsula), จีน-ปากีสถาน (China-Pakistan), และ บังกลาเทศ-จีน-อินเดีย-พม่า (Bangladesh-China-India-Myanmar) ทั้งนี้ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี่ (ดูรายละเอียดได้ที่ China to invest $900b in Belt and Road Initiative|Policies|chinadaily.com.cn)

    รายงานระบุว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐบาลและตัวแทนของภาคบริษัทเอกราชจาก 53 ประเทศสมาชิกอาเซม เข้าร่วมการประชุมรายการนี้ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วันที่นครฉงชิ่ง

    (จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000064178
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เส้นทางสายไหมและแบงก์ AIIB กับการที่จีนมุ่งผลักดันระเบียบใหม่ในเศรษฐกิจโลก โดย จาง จิว์น 12 มิถุนายน 2558 15:54 น.

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ Asia Times)

    China’s pursuit of a new world economic order: Chinese view
    By Zhang Jun
    05/06/2015

    จีนจะสามารถประคับประคองอัตราเติบโตอย่างรวดเร็วของจีดีพีเอาไว้ต่อไปอย่างยั่งยืนได้หรือไม่ ภายในขอบเขตข้อจำกัดของระเบียบแห่งโลกในปัจจุบัน ซึ่งหมายรวมครอบคลุมทั้งระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางการค้าด้วย หรือว่าจำเป็นที่ระเบียบในปัจจุบันซึ่งครอบงำโดยสหรัฐฯจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล จึงจะสามารถรองรับอำนวยความสะดวกให้จีนก้าวผงาดขึ้นทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องได้?

    เซี่ยงไฮ้ - พวกนักเศรษฐศาสตร์กำลังมีความคิดเห็นแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องเกี่ยวกับอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศจีน ผู้ที่มองการณ์แง่ดีหยิบยกเน้นย้ำถึงศักยภาพของจีนในเรื่องการเรียนรู้และการสั่งสมเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วในด้านทรัพยากรมนุษย์ ส่วนผู้ที่มองการณ์แง่ร้ายก็โฟกัสไปที่เรื่องความเสื่อมถอยอย่างรวดเร็วในด้านการปันผลทางประชากร (demographic dividend), อัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพีที่สูงลิ่ว, การหดตัวของตลาดส่งออก, และศักยภาพด้านอุตสาหกรรมที่ล้นเกินของจีน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกลุ่มนี้ต่างละเลยอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดพื้นฐานสำหรับทิศทางอนาคตของเศรษฐกิจจีน ยิ่งเสียกว่าปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น นั่นก็คือ ระเบียบโลก (world order)

    คำถามง่ายๆ ธรรมดาๆ เลยก็คือ: ประเทศจีนจะสามารถประคับประคองอัตราเติบโตอย่างรวดเร็วของจีดีพีเอาไว้ต่อไปอย่างยั่งยืนได้หรือไม่ ภายในขอบเขตข้อจำกัดของระเบียบแห่งโลกในปัจจุบัน ซึ่งหมายรวมครอบคลุมทั้งระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางการค้าด้วย หรือว่าจำเป็นที่ระเบียบในปัจจุบันซึ่งครอบงำโดยสหรัฐฯจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล จึงจะสามารถรองรับอำนวยความสะดวกให้จีนก้าวผงาดขึ้นทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องได้? คำตอบสำหรับคำถามนี้ ยังไม่มีความชัดเจนเอาเลย

    หนทางหนึ่งซึ่งจีนกำลังพยายามกระทำอยู่เพื่อให้ได้คำตอบในเรื่องนี้ ได้แก่การผลักดันให้สกุลเงินเหรินหมินปี้ (เงินหยวน) ถูกเพิ่มเข้าไปในตะกร้าสกุลเงินตราต่างๆ ที่เป็นตัวกำหนดมูลค่าสินทรัพย์สำรองของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งเรียกกันว่า สิทธิพิเศษในการถอนเงิน (Special Drawing Right หรือ SDR) ทั้งนี้ตะกร้าดังกล่าวในปัจจุบันประกอบด้วยสกุลเงินยูโร, เยน, ปอนด์อังกฤษ, และดอลลาร์สหรัฐฯเท่านั้น

    ประเด็นเรื่อง SDR นี้ คือสิ่งที่ผู้ฟังให้ความสนใจมากที่สุด เมื่อตอนที่กรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ คริสทีน ลาการ์ด (Christine Lagarde) ไปพูดแสดงปาฐกถาในเซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จุดยืนของเธอที่บอกออกมา –ซึ่งก็คือเงินเหรินหมินปี้จะต้องถูกเพิ่มเข้าไปในตะกร้านี้อย่างแน่นอน เพียงแต่จะเป็นเมื่อใดเท่านั้น— ได้รับความใส่ใจจากสื่อมวลชนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง (อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่สื่อมวลชนตีความคำพูดของเธอจนเลยเถิดเกินไป)

    อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (U.S. Federal Reserve) เบน เบอร์นันกี (Ben Bernanke) ก็เผชิญกับคำถามเดียวกันนี้ในเซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่าเขาให้คำตอบที่ดูจงใจทำให้มัวๆ ไม่ชัดเจน นั่นคือ: การนำเหรินหมินปี้เข้าไปรวมอยู่ใน SDR ด้วย จะเป็นก้าวเดินในทางบวก แต่จะยังไม่สามารถทำเช่นนี้ได้จนกว่าจีนจะได้ดำเนินการอย่างคืบหน้าไปยิ่งกว่านี้อีกมาก ทั้งในเรื่องการปฏิรูปภาคการเงินของตน และในการเปลี่ยนผ่านโมเดลแห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของตน

    คาดหมายกันว่าไอเอ็มเอฟจะออกเสียงลงคะแนนเรื่องจะให้เหรินหมินปี้เพิ่มเข้าไปใน SDR หรือไม่ในเดือนตุลาคมนี้ ในวาระการทบทวนส่วนประกอบของตะกร้า SDR ตามปกติ ซึ่งกระทำกันทุกๆ 5 ปี อย่างไรก็ดี กระทั่งถ้าหากสถานการณ์ผิดแผกไปจากในปี 2010 โดยในคราวนี้คะแนนเสียงส่วนข้างมากออกมาว่าสนับสนุนให้นำเหรินหมินปี้เข้าไปอยู่ในตะกร้าด้วย สหรัฐฯก็ยังอาจจะใช้อำนาจยับยั้งของตนออกมาขัดขวาง

    หากผลลัพธ์ออกมาเช่นนั้นก็จะไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร เมื่อพิจารณาจากการที่สหรัฐฯก็ได้คัดค้าน (ถึงแม้เป็นการคัดค้านในรัฐสภา ไม่ใช่ในคณะบริหารของประธานาธิบดีบารัค โอบามา) การปฏิรูปด้านต่างๆ ซึ่งได้ตกลงกันในปี 2010 เพื่อเพิ่มอำนาจการออกเสียงของจีนภายในไอเอ็มเอฟ

    SDR นั้นมีการใช้กันอย่างจำกัด ดังนั้นถ้าเงินเหรินหมินปี้ถูกเพิ่มเข้าไป ก็จะเป็นความเคลื่อนไหวที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์เสียมากกว่า แต่กระนั้นมันก็จะเป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังประการหนึ่ง เมื่อพิจารณาในแง่มุมที่ว่ามันจะเป็นการให้การรับรองรูปแบบหนึ่งว่าสกุลเงินตรานี้สมควรแก่การใช้สอยในระดับทั่วโลก ผลลัพธ์ดังกล่าวจะไม่เพียงสร้างความก้าวไกลให้แก่กระบวนการในการทำให้เหรินหมินปี้กลายเป็นเงินตราสากลเท่านั้น หากยังจะทำให้เกิดความกระจ่างอย่างชัดเจนลึกซึ้งด้วยว่า มีที่ว่างอยู่มากน้อยเพียงใดสำหรับจีนภายในระเบียบเศรษฐกิจโลกที่ดำรงอยู่ในเวลานี้

    จวบจนถึงขณะนี้ ดูเหมือนว่าที่ว่างดังกล่าวยังไม่กว้างขวางเพียงพอ ในหนังสือที่เผยแพร่ออกมาเมื่อปี 2011 ของเขา นักเศรษฐศาสตร์ อาร์วินด์ สุบรามาเนียน (Arvind Subramanian) คาดการณ์พยากรณ์ไว้ว่า เหรินหมินปี้จะกลายเป็นสกุลเงินสำรองระดับโลกภายในสิ้นทศวรรษนี้ หรืออย่างช้าก็ในช่วงต้นๆ ของทศวรรษหน้า ทั้งนี้โดยอิงอยู่กับการสังเกตการณ์ของเขาเองที่ว่า ช่วงห่างระหว่างการมีฐานะครอบงำในทางเศรษฐกิจกับการมีฐานะครอบงำในด้านสกุลเงินตรานั้น มันแคบกว่าที่เคยเชื่อๆ กัน ทุกวันนี้ ประเทศจีนมีฐานะเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก (เมื่อวัดโดยใช้เกณฑ์ความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ purchasing power parity หรือ PPP ) และเป็นผู้มีส่วนร่วมในการค้าโลกรายใหญ่ที่สุด, ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลจีนก็กำลังส่งเสริมสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นต่อกระบวนการทำให้เหรินหมินปี้กลายเป็นสกุลเงินตราสากล เป็นต้นว่า โดยอาศัยการผ่อนคลายระเบียบกฎเกณฑ์ด้านการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ แต่กระนั้น เหรินหมินปี้ก็ถูกใช้ในระดับระหว่างประเทศ น้อยกว่าที่โมเดลของสุบรามาเนียนทำนายเอาไว้เป็นอย่างมาก

    ผลก็คือ จีนยังคงตกเป็นฝ่ายที่ต้องขึ้นต่อนโยบายด้านการเงินของสหรัฐฯ ถ้าหากธนาคารกลางสหรัฐฯขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จีนก็ต้องกระทำตามเพื่อป้องกันไม่ให้เงินทุนเคลื่อนย้ายออกไป ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยซึ่งสูงขึ้นจะส่งผลกระทบทางลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ เมื่อพิจารณาจากการที่เงินดอลลาร์มีฐานะครอบงำอยู่ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ พวกบริษัทจีนที่กำลังลงทุนในต่างแดนก็ต้องเผชิญความเสี่ยงอันเกี่ยวข้องโยงใยกับการผันแปรของอัตราแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกัน

    ในทางเป็นจริงแล้ว ตลอดรอบทศวรรษที่ผ่านมา ระเบียบกฎเกณฑ์ด้านการค้าระหว่างประเทศ ได้ทำให้จีนเกิดปัญหาตึงเครียดอย่างใหญ่โตพอดูกับประเทศอื่นๆ จำนวนมาก รวมทั้งกับสหรัฐฯด้วย

    เวลานี้ ยังกำลังมีการเจรจาเพื่อจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีฉบับสำคัญๆ อันได้แก่ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership หรือ TPP) และ ความตกลงหุ้นส่วนทางการค้าและการลงทุนภาคพื้นแอตแลนติก (Trans-Atlantic Trade and Investment Partnership หรือ TTIP) ซึ่งจะบ่อนทำลายการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกของจีน ในลักษณะที่ข้อตกลงเหล่านี้จะมีการตั้งกำแพงกีดกันการเข้าไปของบริษัทจีนทั้งหลาย

    เห็นได้อย่างชัดเจนว่า จีนกำลังเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่โตภายในระบบโลกที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ในขณะที่แดนมังกรเองพยายามเสาะแสวงหาบทบาทที่เหมาะสมสอดคล้องกับพลานุภาพทางเศรษฐกิจของตน นี่อาจเป็นเหตุผลอธิบายได้ว่า ทำไมแผนการริเริ่มเส้นทางสายไหมสายใหม่ ที่เรียกขานกันว่า “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (“one belt, one road”) และการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank หรือ AIIB) ขึ้นมา จึงเท่ากับรัฐบาลจีนกำลังพยายามหล่อหลอมเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกเสียใหม่ –โดยเฉพาะระบบเงินตราและระบบการค้าของโลก— เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขภาวการณ์ต่างๆ ของตนเอง

    แผนการริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างเส้นทางสายไหมทางบกและเส้นทางสายไหมทางทะเลในยุคโบราณ ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญในการลำเลียงขนส่งสินค้าและแนวความคิดต่างๆ จากเอเชียไปสู่ยุโรป ให้กลับคึกคักขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เมื่อพิจารณาจากการที่ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” จะทำให้จีนทำการลงทุนอย่างขนานใหญ่ซึ่งจะส่งผลไปถึงประเทศต่างๆ ราวๆ 50 ประเทศแล้ว มนตร์เสน่ห์ของโครงการนี้จะเป็นที่จับจิตจับใจของโลกกำลังพัฒนาขนาดไหน ก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากแก่การคาดหยั่ง

    ธนาคาร AIIB ก็เช่นเดียวกัน กำลังแสดงให้เห็นว่ามีมนตร์ขลังเป็นที่ต้องตาต้องใจ –และไม่ใช่เป็น “นางกวัก” เฉพาะสำหรับพวกประเทศกำลังพัฒนาเท่านั้นด้วย ในทางเป็นจริงแล้ว มีถึง 57 ประเทศทีเดียว รวมทั้งพวกมหาอำนาจใหญ่อย่างเช่น ฝรั่งเศส, เยอรมนี, และสหราชอาณาจักร ได้ลงนามเข้าร่วมเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของแบงก์แห่งนี้ ซึ่งน่าจะเป็นสะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักที่เพิ่มขึ้นทุกทีๆ ว่า ระเบียบเก่าที่ครอบงำโดยสหรัฐฯนั้นกำลังอยู่ในภาวะให้ผลตอบแทนลดต่ำลงไปเรื่อยๆ

    เมื่อมองจากจุดยืนมุมมองของจีนแล้ว การรักษาอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศเอาไว้ให้ยั่งยืนนั้น ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ภายในระบบโลกที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน –นี่เป็นความท้าทายชนิดที่ญี่ปุ่นและระบบเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกรายอื่นๆ ไม่เคยต้องประสบในระหว่างเวลาที่พวกเขาก้าวผงาดขึ้นมาในทางเศรษฐกิจ แท้ที่จริงแล้ว ประเทศเดียวซึ่งเคยประสบกับสภาพเช่นนี้มาก็มีแต่สหรัฐฯ เมื่อตอนที่เขาขึ้นมาแทนที่สหราชอาณาจักรในฐานะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและทางการเงินซึ่งมีฐานะครอบงำของโลกในช่วงก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โชคยังดีที่ตัวอย่างดังกล่าวเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนผ่านซึ่งมีความพยายามทำความตกลงกันและเป็นไปอย่างสันติ

    แน่นอนทีเดียวว่าจีนยังจำเป็นที่จะต้องดำเนินการปฏิรูปภายในประเทศอันสำคัญๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเงิน เพื่อจะได้ขจัดสภาพความบิดเบี้ยวในการจัดสรรทรัพยากรและสกัดกั้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทว่าการที่คณะผู้นำจีนปฏิเสธไม่ดำเนินการปรับลดค่าเงินตราเพื่อมุ่งผลในทางกระตุ้นส่งเสริมการส่งออก แม้กระทั่งในยามที่ต้องเผชิญกับการที่อัตราการเติบโตเสื่อมถอยลงเช่นนี้ ย่อมบ่งชี้ให้เห็นว่าพวกเขามีเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการยินยอมเสียสละที่จำเป็น เพื่อรักษาบทบาทระหว่างประเทศของสกุลเงินเหรินหมินปี้เอาไว้ ตลอดจนเพื่อรักษาสิ่งที่จักติดตามมากับการประคองบทบาทเช่นนี้เอาไว้ อันได้แก่การเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งรุ่งเรืองในระยะยาว

    ไม่ว่าสกุลเงินเหรินหมินปี้จะถูกเพิ่มเข้าไปในตะกร้า SDR ในเดือนตุลาคมนี้หรือไม่ก็ตามที การค่อยๆ ปรับเปลี่ยนระบบของโลกเพื่อรองรับอำนวยความสะดวกให้แก่ประเทศจีน ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่หลีกเลี่ยงได้แล้ว

    จาง จิว์น เป็นศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการของศูนย์จีนเพื่อเศรษฐกิจศึกษา (China Center for Economic Studies) มหาวิทยาลัยฟูตัน นครเซี่ยงไฮ้

    (จาก เจแปนไทมส์)


     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีนตั้งเว็บไซต์ติดตามแกะรอยพฤติกรรมทำธุรกิจไร้จริยธรรม
    โดย เอเชียอันเฮดจ์ 13 มิถุนายน 2558 00:02 น.

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ Asia Times)

    China gets website that tracks unethical business behavior
    Author: Asia Unhedged
    02/06/2015

    เมื่อวันจันทร์ที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา หน่วยงาน 37 แห่งของทางการจีนนำโดย คณะกรรมการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ และธนาคารกลางของประเทศ ได้ร่วมกันเปิดตัวเว็บไซต์首页 | 信用中国 ซึ่งจะอนุญาตให้สาธารณชนเข้าค้นหาฐานข้อมูลต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อดูบันทึกประวัติการกระทำความผิดของบรรดาเอกชนและบริษัททั้งหลาย อันจะเป็นประโยชน์แก่นักลงทุนภาคเอกชนที่จำเป็นต้องทราบข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ในการดำเนินธุรกิจของพวกตน

    ถึงแม้ประเทศจีนยังไม่อาจคุยได้ว่า สามารถสืบค้น “รู้ประวัติอาชญากรรมของทุกๆ คนไม่ว่าใครหน้าไหน” ด้วยการใช้บริการตรวจสอบภูมิหลังซึ่งมีอยู่เยอะแยะ แถมให้ใช้กันได้ฟรีๆ หลายไซต์หลายเจ้าเหลือเกินจนท่วมท้นอินเทอร์เน็ตของสหรัฐฯ ทว่าในเวลานี้แดนมังกรกำลังมีเจ้าสิ่งที่ดีเยี่ยมรองลงมาให้ได้ใช้งานกัน

    ในความพยายามที่จะสกัดกั้นการทุจริตคอร์รัปชั่นและการประพฤติมิชอบ เมื่อวันจันทร์ที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่จีนได้เปิดตัวเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ซึ่งจะอนุญาตให้สาธารณชนเข้าค้นหาฐานข้อมูลต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อดูบันทึกประวัติการกระทำความผิดของบรรดาเอกชนและบริษัททั้งหลาย

    “เว็บไซต์แห่งนี้ 首页 | 信用中国 เป็นผลผลิตจากการขบคิดพิจารณาของคณะกรรมการชุดหนึ่งที่ประกอบด้วยกระทรวงทบวงกรมต่างๆ โดยมี คณะกรรมการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (National Development and Reform Commission) ร่วมกับทางธนาคารกลางของประเทศ เป็นผู้นำ” รายงานของนิตยสาร “ไฉซิน” (Caixin) (ดูรายละเอียดได้ที่ Gov't Launches Website for Searches of Unethical Business Behavior) ระบุเอาไว้เช่นนี้ ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าว ยังมีศาลประชาชนสูงสุด (Supreme People’s Court), สำนักงานการภาษีอากรแห่งรัฐ (State Administration of Taxation), สำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาแห่งรัฐ (State Intellectual Property Office), ตลอดจนกระทรวงทบวงกรมของรัฐบาลส่วนกลางแห่งอื่นๆ และองค์กรต่างๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์เข้าร่วมด้วย รวมแล้ว 37 หน่วยงานทีเดียว

    เว็บไซต์แห่งนี้อนุญาตให้เข้าสืบค้นบันทึกประวัติที่เกี่ยวข้องกับบุคคลต่างๆ 870,000 บันทึก และบันทึกประวัติซึ่งโยงใยกับธุรกิจตลอดจนนิติบุคคลทั้งหลาย 260,000 บันทึก โดยบันทึกเหล่านี้มีตั้งแต่ประวัติการไม่ชำระเงินกู้ตามกำหนดเวลา และการหนีภาษี ไปจนถึงคำสั่งคำพิพากษาของศาลตลอดจนการทุจริตฉ้อโกงทางการพาณิชย์และทางวิชาการ นอกจากนั้นบรรดาหน่วยงานและองค์กรซึ่งเข้าร่วมในโครงการนี้ยังจะใช้เว็บไซต์แห่งนี้เพื่อเผยแพร่ข่าวสารและระเบียบข้อบังคับต่างๆ อีกด้วย

    ปัจจุบัน ธนาคารกลางคือผู้ทำหน้าที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลข่าวสารด้านเครดิตทั้งของบุคคลต่างๆ และของบริษัทต่างๆ เว็บไซต์แห่งนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยเหลือบรรดานักลงทุนเอกชนซึ่งจำเป็นต้องทราบข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ในการดำเนินธุรกิจของพวกตน “พวกนักวิเคราะห์ต่างกล่าวกันว่า เว็บไซต์นี้จะเป็นตัวเสริมและเป็นตัวขยายระบบข้อมูลเครดิตของทางธนาคารกลาง ซึ่งเวลานี้ส่วนใหญ่ถูกใช้โดยพวกธนาคารเมื่อพวกเขาทำการประเมินความเสี่ยงในการให้กู้ยืม” รายงานของไฉซินระบุ

    ไฉซินยังบอกอีกว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคมปีที่แล้ว กระทรวงทบวงกรมต่างๆ ของรัฐบาลส่วนกลาง ได้ลงนามในข้อตกลงที่จะปฏิบัติการร่วมกันเพื่อต่อต้านบุคคลและบริษัทซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดอาญาฐานหนีภาษีรายใหญ่ๆ ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวนี้ พวกผู้กระทำความผิดจะต้องเผชิญกับมาตรการถูกจำกัดกีดกันในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขอรับเงินกู้จากแบงก์ต่างๆ, การขอยื่นประมูลแข่งขันเพื่อทำข้อตกลงต่างๆ กับภาครัฐ, ตลอดจนการขอออกหุ้นกู้ ยิ่งไปกว่านั้น ในกรณีที่เป็นบุคคล หากมิได้ชำระภาษีให้ถูกต้อง ยังอาจถูกห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศอีกด้วย

    (จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000066816
     

แชร์หน้านี้

Loading...