ติดตามสถานะการณ์

สหรัฐใช้เงินวันละ 9 ล้านดอลลาร์เป็นค่าถล่มไอเอส | เดลินิวส์


„
ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของกองทัพสหรัฐ เพื่อปราบปรามกลุ่มไอเอสในอิรักและซีเรีย ที่เริ่มเมื่อเดือนส.ค.ปีที่แล้ว ใช้งบประมาณวันละไม่ต่ำกว่า 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2558 เวลา 9:46 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐ ( เพนตากอน ) ออกรายงานเผยงบประมารล่าสุดที่ไเรับการจัดสรรสำหรับปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ เพื่อทำลายกลุ่มไอเอสทั้งในอิรักและซีเรีย ที่เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนส.ค.ปีที่แล้ว ว่ามากกว่า 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 90,855 ล้านบาท ) หรือเฉลี่ยแล้ววันละไม่ต่ำกว่า 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 302.4 ล้านบาท )

ทั้งนี้ ในจำนวนค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้น ราว 2 ใน 3 เป็นของกองทัพอากาศ เนื่องจากเป็นผู้รับผิดชอบหลักในปฏิบัติการภาคสนาม โดยรายงานดังกล่าวได้รับการเผยแพร่หลังประธานาธิบดีบารัค โอบามา อนุมัติคำสั่งเพิ่ม "ที่ปรึกษาทางทหาร" ในอิรักอีก 450 นาย เพื่อสมทบกับเจ้าหน้าที่ซึ่งประจำการอยู่ก่อนแล้วราว 3,100 นาย ขณะที่พล.อ.มาร์ติน เดมป์ซีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐ กล่าวว่า ปัจจุบันเพนตากอนยังไม่มีนโยบายส่งทหารราบเข้าไปในแนวหน้าของการสู้รบกับกลุ่มไอเอส เนื่องจากผลลัพธ์ที่ออกมาอาจ "ตรงกันข้าม"“

อ่านต่อที่ : สหรัฐใช้เงินวันละ 9 ล้านดอลลาร์เป็นค่าถล่มไอเอส | เดลินิวส์

 

นายกฯออสซีป้องนโยบายผลักดันเรือผู้อพยพ | เดลินิวส์



นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียยืนยันใช้นโยบายอย่าง "สร้างสรรค์" เพื่อจัดการปัญหาเรือผู้อพยพ แต่ปฏิเสธกล่าวถึงรายงานเรื่องการผลักดันเรือด้วยวิธี "ติดสินบน" วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2558 เวลา 12:41 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ว่านายกรัฐมนตรีโทนี แอบบอตต์ ผู้นำออสเตรเลีย ให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุของสถายี "3 เอดับเบิลยู" ว่ารัฐบาลแคนเบอร์ราทำทุกวิถีทางที่ "จำเป็น" และ "สร้างสรรค์" เพื่อยับยั้งการไหลบ่าเข้าประเทศของเรือผู้อพยพผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันเรืออกนอกน่านน้ำ หรือการส่งผู้อพยพไปยังค่ายพักพิงในปาปัวนิวกินีและนาอูรู

อย่างไรก็ตาม แอบบอตต์พยายามเลี่ยงตอบข้อซักถามของผู้ดำเนินรายการ เกี่ยวกับรายงานของสื่อหลายสำนักทั้งในออสเตรเลียและอินโดนีเซีย ว่าหน่วยยามฝั่งของออสเตรเลียมอบเงินให้แก่ลูกเรือประมง 5 คน คนละ 5,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย ( ราว 132,000 บาท ) เพื่อให้นำเรือบรรทุกผู้อพยพที่ลักลอบนำเข้ามา 65 คน เปลี่ยนเส้นทางออกไปจากน่านน้ำของออสเตรเลีย โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนพ.ค. โดยผู้นำออสเตรเลียกล่าวเพียงว่า รัฐบาลต้องหยุดยั้งการค้ามนุษย์

ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลแคนเบอร์ราอีก 2 คน คือนางจูลี บิชอป รมว.กระทรวงการต่างประเทศ และนายปีเตอร์ ดัตตัน รมว.กระทรวงคนเข้าเมือง ปฏิเสธรายงานดังกล่าว ส่วนหนังสือพิมพ์ "ดิ อินเวสเตอร์ เดลี" รายงานโดบอ้างคำกล่าวของนายอาร์มานาธา นาเซียร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย ว่ากัปตันเรือซึ่งถูกดำเนิคดีในข้อหาค้ามนุษย์ ให้การต่อเจ้าหน้าที่เองว่าได้รับเงินสินบนจากเจ้าหน้าที่ยามฝั่งของออสเตรเลีย“

อ่านต่อที่ : นายกฯออสซีป้องนโยบายผลักดันเรือผู้อพยพ | เดลินิวส์

 

เนสท์เล่ร้องศาลสู้รัฐบาลอินเดีย | เดลินิวส์



บริษัทเนสท์เล่อินเดียยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งรัฐบาลอินเดีย ที่สั่งให้เก็บบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยอดนิยมยี่ห้อแม็กกี้ออกจากชั้นวาง หลังตรวจพบสารตะกั่วสูงเกินกำหนด วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2558 เวลา 6:17 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่12มิ.ย.ว่า บริษัทเนสท์เล่อินเดียยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลสูงทางตะวันตกของเมืองมุมไบเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพื่อร้องขอความเป็นธรรมหลังสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารอินเดีย(เอฟเอสเอสเอไอ) สั่งห้ามจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อแม็กกี้เมื่อวันที่5มิ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากตรวจพบสารตะกั่วสูงเกินกำหนด และขอให้ศาลตีความกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานและความปลอดภัยอาหารปี2554อีกด้วย

ทั้งนี้เนสท์เล่ได้ออกมายืนยันว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแม็กกี้ปลอดภัยสำหรับการบริโภค แต่ยังคงดำเนินการตามคำสั่งที่ให้นำสินค้าลงจากชั้นวางของ แม้จะยื่นคำร้องต่อศาลไปแล้วก็ตาม หลังกระแสข่าวดังกล่าวออกมาส่งผลให้หุ้นของบริษัทเนสท์เล่อินเดียในตลาดหุ้นเมืองมุมไบตกลงกว่าร้อยละ9 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ขณะที่นายพอล บลูค ประธานบริหารบริษัทเนสท์เล่ ได้บินมาอินเดียเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับเปิดโต๊ะแถลงข่าวสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคว่าผลิตภัณฑ์ของแม็กกี้นั้นมีความปลอดภัย อย่างไรก็ตามรัฐบาลอินเดียได้ออกมาตอบโต้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า การแถลงข่าวของเนสท์เล่จะยิ่งทำลายตัวบริษัทเองจากการออกมาให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแม็กกี้เป็นบะหมี่ยอดนิยมของชาวอินเดีย โดยสินค้ายี่ห้อแม็กกี้ได้เข้ามาจำหน่ายในอินเดียนานกว่า30ปีแล้ว และติด1ใน5 ตราสินค้าที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากที่สุดจากการทำการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว “

อ่านต่อที่ : เนสท์เล่ร้องศาลสู้รัฐบาลอินเดีย | เดลินิวส์

 

3นักบินอวกาศกลับถึงโลก | เดลินิวส์

<iframe width="750" height="500" src="https://www.youtube.com/embed/cAb4BHFYotY" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

มนุษย์อวกาศชาวตะวันตก2รายและรัสเซียอีก1ราย เดินทางกลับถึงโลกโดยสวัสดิภาพที่คาซัคสถาน ล่าช้าจากตารางที่วางไว้1เดือน จากความล้มเหลวในการปล่อยจรวดของรัสเซียเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา วันพฤหัสที่ 11 มิถุนายน 2558 เวลา 22:53 น.



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่11มิ.ย.ว่า ศูนย์ควบคุมปฏิบัติการรัสเซียและองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ(นาซา) เผยภาพแคปซูลยานโซยุซที่นำนักบินอวกาศ3รายคือนายแอนตัน ชคาเปรอฟ ชาวรัสเซีย น.ส.ซาแมนธา คริสโตฟอเร็ตติ ชาวอิตาลี และนายเทอร์รีย์ เวิร์ตส์ ชาวอเมริกัน เดินทางกลับสู่พื้นโลกอย่างปลอดภัยที่ประเทศคาซัคสถาน ล่าช้าจากตารางที่วางไว้1เดือน เนื่องจากรัสเซียประสบความล้มเหลวในการปล่อยจรวดเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงความล่าชั้าในการจัดส่งเสบียงขึ้นไปที่สถานีอวกาศนานาชาติ



ภาพของทั้ง3คน ซึ่งอยู่ในสภาพแข็งแรงดีกำลังได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ให้ออกมาจากยานแคปซูล หลังร่อนลงจอดทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเซสคาซกาน ประเทศคาซัคสถาน 3ชั่วโมงก่อนหน้านี้ยานได้ถอดชิ้นส่วนออกเดินทางจากสถานีอวกาศนานาชาติและทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น

ขณะที่นาย ชคาเปรอฟ ผู้ควบคุมยานโซยุซหวังว่าจะได้ร่วมงานต่ออีกในอนาคต โดยนักบินอวกาศทั้ง3คน ได้ปฏิบัติภารกิจนอกโลกเป็นเวลานานเกือบ200วัน และทำให้น.ส.คริสโตฟอเร็ตติ วัย38ปี ทำลายสถิติเป็นผู้หญิงที่อยู่ในอวกาศนานที่สุดอีกด้วย ส่วนภารกิจส่งมนุษย์ขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติน่าจะมีขึ้นอีกครั้งระหว่างวันที่23-25ก.ค.นี้ จากฐานปล่อยในคาซัคสถาน ซึ่งจะมีนักบินอวกาศชาวรัสเซีย ญี่ปุ่น และอเมริกัน ถูกส่งขึ้นไปยังสถานีอวกาศ“

อ่านต่อที่ : 3นักบินอวกาศกลับถึงโลก | เดลินิวส์

 

อังกฤษต้องการ "ความคุ้มครอง" การอยู่นอกยูโรโซน | เดลินิวส์



รัฐบาลอังกฤษขอการการันตีจากอียู ในเรื่องการอยู่นอกยูโรโซนโดยไม่ต้องรับ "บทลงโทษ" ถือเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องสำคัญของการเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่าย ก่อนการลงประชามติชี้ชะตาภายในอีกกว่า 2 ปีนับจากนี้ วันพฤหัสที่ 11 มิถุนายน 2558 เวลา 14:22 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ว่านายจอร์จ ออสบอร์น รมว.กระทรวงการคลังของอังกฤษ กล่าวเมื่อวันพุธ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำของนักการธนาคารและผู้ประกอบการธุรกิจ ที่ศาลาว่าการกรุงลอนดอน เกี่ยวกับหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาลเวสต์มินสเตอร์ สำหรับใช้ในการเจรจากับอียู เพื่อการปฏิรูปโครงสร้างและสถานภาพความเป็นสมาชิกของสหราชอาณาจักร ว่าหนึ่งในหัวข้อสำคัญ คือ "ความเสมอภาค" ระหว่างกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโร กับประเทศที่อยู่นอกกลุ่ม และกระบวนการบูรณาการเพื่อรองรับการจัดตั้งตลาดเดียว

ทั้งนี้ ออสบอร์นอ้างถึงการตีความใหม่ให้กับเนื้อหาตอนหนึ่งในสนธิสัญญาโรม เมื่อปี 2497 ซึ่งเป็นรากฐานของสหภาพยุโรป ( อียู ) ในปัจจุบัน ที่ระบุจุดประสงค์ของการรวมตัวในนามสหภาพ คือเพื่อให้ทุกประเทศมี "ความใกล้ชิด" กันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สหราชอาณาจักรและเดนมาร์กซึ่งเข้าเป็นสมาชิกอียูพร้อมกันเมื่อปี 2516 เป็นเพียง 2 ประเทศจาก 28 ประเทศสมาชิกปัจจุบันเท่านั้น ซึ่งมี "สิทธิชอบธรรม" ในการแสดงบทบาทต่อเงินยูโร ขณะที่อีก 26 ประเทศที่เหลือต่างทั้งร่วมใช้เงินยูโรหรือยอมรับการมีอยู่ของสกุลเงินดังกล่าว

ออสบอร์นยืนยันว่า สหราชอาณาจักรต้องการเห็นความสำเร็จของเงินยูโรในฐานหนึ่งในสกุลเงินแข็งแกร่งที่สุดของโลก รัฐบาลเวสต์มินสเตอร์จึงตระเตรียมแผนสนับสนุนการบูรณาการสกุลเงินที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุโรป แต่ในทางกลับกัน สหราชอาณาจักรต้องการบรรลุข้อตกลงตลาดเดียวที่ยั่งยืนและเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่ายด้วย

แนวโน้มที่สหราชอาณาจักร ประเทศซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับ 5 ของโลก อาจถอนตัวจากการเป็นหนึ่งในสมาชิกอียู โดยผ่านการลงประชามติของประชาชนภายในปี 2560 สร้างความกังวลอย่างแพร่หลายให้แก่นักลงทุน โดยดอยเชอร์ แบงก์ ธนาคารอันดับ 1 ของเยอรมนี เผยเมื่อเดือนที่แล้ว เรื่องการอาจลดขนาดธุรกิจในสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับธนาคารชั้นนำของยุโรปอีกหลายแห่ง“

อ่านต่อที่ : อังกฤษต้องการ "ความคุ้มครอง" การอยู่นอกยูโรโซน | เดลินิวส์

 

ออสซีจี้ทุกฝ่ายร่วมหยุดการใช้โซเชียลมีเดียของไอเอส | เดลินิวส์



รัฐบาลออสเตรเลียเรียกร้องนานาประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก ร่วมกันหาทางหยุดยั้งการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของกลุ่มไอเอส ที่กำลังเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อหาสมาชิกใหม่ของกลุ่มหัวรุนแรง วันพฤหัสที่ 11 มิถุนายน 2558 เวลา 13:00 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ว่านายกรัฐมนตรีโทนี แอบบอตต์ ผู้นำออสเตรเลีย แถลงหลังเข้าร่วมการประชุมต่อต้านการก่อการร้ายระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่เมืองซิดนีย์ ซึ่งมีรัฐบาลจาก 25 ประเทศเข้าร่วม รวมถึงผู้แทนจากบริษัทกูเกิ้ล เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และไมโครซอฟท์ ว่าประเด็นสำคัญที่ทุกฝ่ายควรร่วมกันหาทางแก้ไขให้ได้เร็วที่สุดในเวลานี้ คือการยับยั้งไม่ให้กลุ่มคนหนุ่มสาวหลงเชื่อโฆษณาชักชวนของกลุ่มไอเอส ที่หันมาใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นช่องทางในการ "ล่อลวง" และ "ปลุกระดม" สมาชิกใหม่มากขึ้น และประสบผลสำเร็จอย่างต่อเนื่องด้วย

ผู้นำออสเตรเลียกล่าวด้วยว่า การเอาชนะกลุ่มไอเอสไม่ใช่ "การเจรจา" แต่ต้องเป็น "การต่อสู้" สถานเดียวเท่านั้น เนื่องจากกลุ่มไอเอสไม่ใช่ภัยคุกคามระดับภูมิภาคอีกต่อไป แต่คือภัยร้ายระดับโลก ปัจจุบันออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศมีพลเมืองลักลอบเดินทางเข้าไปในอิรักและซีเรียมากที่สุด เพื่อร่วมการสู้รบร่วมกับกลุ่มไอเอส ซึ่งมีฐานที่มั่นสำคัญอยู่ในทั้งสองประเทศ โดยรัฐบาลแคนเบอร์ราประเมินว่าอาจมีจำนวนมากกว่า 100 คน

สถิติดังกล่าวกระตุ้นให้ทางการออสเตรเลียยกระดับมาตรการต่อต้านการก่อการร้ายภายในประเทศเป็นขั้นสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มระดับเตือนภัยเป็นขั้นสูง และปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยเป็นที่พักพิงของบุคคลที่มีแนวคิดหัวรุนแรง หรือซ่อมสุมเพื่อเตรียมวางแผนก่อวินาศกรรมในประเทศ อีกทั้งยังเพิ่มงบประมาณสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานข่าวกรองและความมั่นคง

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของออสเตรเลียต่อกลุ่มไอเอสมีขึ้น หลังรัฐบาลสหรัฐเตรียมส่ง "ที่ปรึกษาทางทหาร" เข้าไปในอิรักอีก 450 นาย เพื่อเพิ่มศักยภาพของกองกำลังท้องถิ่นในการสู้รบกับกลุ่มไอเอส“

อ่านต่อที่ : ออสซีจี้ทุกฝ่ายร่วมหยุดการใช้โซเชียลมีเดียของไอเอส | เดลินิวส์

 

อียิปต์รอดสังหารหมู่สกัดก่อการร้ายได้ทัน | เดลินิวส์



ตำรวจอียิปต์สามารถสกัดก่อการร้ายได้ทันเวลา ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากรอดพ้นจากการถูกสังหารหมู่ในวิหารโบราณที่เมืองลักซอร์ วันพฤหัสที่ 11 มิถุนายน 2558 เวลา 17:01 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองลักซอร์ประเทศอียิปต์ เมื่อวันที่11มิ.ย.ว่า ตำรวจอียิปต์หลีกเลี่ยงการสังหารหมู่หลังทำลายแผนการโจมตีหนึ่งในเมืองโบราณแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศด้วยอาวุธปืนและระเบิดฆ่าตัวตายของผู้ก่อการร้าย ซึ่งการโจมตีภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของอียิปต์ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยแม้ระยะหลังอียิปต์เผชิญการโจมตีหลายครั้งจากกลุ่มหัวรุนแรงนับตั้งแต่กองทัพโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเมื่อสองปีก่อน

แต่เหตุการณ์ในเมืองลักซอร์ทางใต้ของประเทศกลุ่มคนร้ายมุ่งโจมตีเป้าหมายที่เป็นนักท่องเที่ยว ซึ่งตำรวจบอกว่า คนร้าย 2รายเสียชีวิต และอีกคนบาดเจ็บสาหัส ภายหลังยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ใกล้วิหารคาร์นัคในลักซอร์เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมที่อยู่ติดแวลลีออฟ เดอะ คิงส์ และไม่มีนักท่องเที่ยวคนใดบาดเจ็บเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังรถแท็กซีคันหนึ่งที่มีผู้โดยสารนั่งมาด้วย2 คนพยายามเข้าไปในบริเวณที่จอดรถแต่ถูกตำรวจสกัดเอาไว้

เจ้าหน้าที่ขอตรวจค้นหีบใส่ของขนาดใหญ่ ก็พบกระเป๋าสัมภาระ2ใบยิ่งสร้างความสงสัยให้แก่ตำรวจ ดังนั้นเมื่อตำรวจขอร้องให้เปิดกระเป๋าหนึ่งในสองผู้โดยสารได้กระโดดออกจากรถพร้อมกับจุดชนวนระเบิดเสื้อกั๊ก ส่วนอีกคนโผล่ออกมาจากรถและร่วมกับเพื่อนคนที่สามดึงอาวุธปืนไรเฟิลจู่โจมออกจากกระเป๋ากราดยิงใส่ตำรวจ จนเกิดการดวลปืนอย่างสนั่นหวั่นไหว ส่งผลให้คนร้ายเสียชีวิต1 รายและอีกคนบาดเจ็บ ขณะที่มือระเบิดฆ่าตัวตายเสียชีวิต ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2ศพ บาดเจ็บสาหัส 1ราย

นายนาห์เอ็ดโมฮัมเหม็ด เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขบอกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวพลเรือน2 คน และตำรวจ2 นายได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่เป็นอันตราายต่อชีวิต ส่วนคนขับรถแท็กซีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตำรวจบอกว่า หากปล่อยให้คนร้ายเข้าไปถึงวิหารจะเกิดการสังหารหมู่เนื่องจากพบซองบรรจุกระสุนปืนไรเฟิลเต็มพิกัด19 อันในกระเป๋าคนร้าย และช่วงเกิดเหตุ นักท่องเที่ยว604 คนอยู่ในวิหารด้วย “

อ่านต่อที่ : อียิปต์รอดสังหารหมู่สกัดก่อการร้ายได้ทัน | เดลินิวส์

 

ผู้นำรัสเซียเยือนอิตาลี | เดลินิวส์



ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ยกย่อง "ความสัมพันธ์พิเศษ" กับอิตาลี ขณะที่รัฐบาลโรมยืนยันมิตรภาพอันดีที่มีต่อกัน แม้มีความเห็นในเรื่องสำคัญยังไม่ลงรอยกัน วันพฤหัสที่ 11 มิถุนายน 2558 เวลา 9:04 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ว่านายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เรนซี ผู้นำอิตาลี แถลงร่วมกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เมื่อวันพุธ ในโอกาสที่ผู้นำรัสเซียเดินทางเยือนอิตาลีอย่างเป็นทางการ โดยเรนซียกย่องมิตรภาพ "ตามประเพณี" ระหว่างทั้งสองประเทศ แต่ยอมรับระดับความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอิตาลีกำลังเผชิญกับภาวะยากลำบาก เนื่องจากสถานการณ์โลกในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน

เรนซีกล่าวถึงสถานการณ์ในยูเครนด้วยว่า หนทางเดียวที่จะนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งได้ นั่นคือคู่กรณีทุกฝ่ายต้องยึดมั่นตามหลักการในข้อตกลงสันติภาพมินสก์ ซึ่งลงนามร่วมกันที่เบลารุส เมื่อเดือนก.พ. อันจะช่วยยุติการเผชิญหน้าและมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมด

ด้านปูตินกล่าวว่า ข้อตกลงสันติภาพมินสก์ไม่ได้รับการปฏิบัติตามและให้ความสำคัญอย่างจริงจัง และกล่าวถึงมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่สหรัฐและสหภาพยุโรป ( อียู ) บังคับใช้ต่อรัสเซียว่า อิตาลีเองได้รับความเสียหายจากมาตรการดังกล่าวหลายพันล้านยูโรเช่นกัน เนื่องจากพลาดโอกาสในการลงทุนและการสร้างงานใหม่ระหว่างกัน โดยอิตาลีถือเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของรัสเซียรองจากจีนและเยอรมนี ด้วยมูลค่าการค้าระหว่างกัน 30,000 ล้านยูโร เมื่อปีที่แล้ว ( ราว 1.15 ล้านล้านบาท )

ขณะเดียวกันผู้นำรัสเซียยังกล่าวถึงกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก "จี 7" ที่ประกอบด้วย สหรัฐ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี แคนาดา อังกฤษ และญี่ปุ่น ว่าเป็นเพียง "การรวมกลุ่ม" ไม่ใช่ "องค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจ" ตามที่อีกฝ่ายต้องการนำเสนอ กระตุ้นให้เรนซีกล่าวว่า ประชาคมโลกยังต้องการการแสดงบทบาทของรัสเซียในกรณีอิรัก ซีเรีย และลิเบีย

ทั้งนี้ การปรากฏตัวในยุโรปของปูตินเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก โดยผู้นำรัสเซียใช้โอกาสนี้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก ที่สำนักวาติกันด้วย“

อ่านต่อที่ : ผู้นำรัสเซียเยือนอิตาลี | เดลินิวส์

 

ปอกเปลือก ทรราช
การล่มสลายของจักรวรรดิอเมริกาสไตล์โซเวียต ตอนที่4 : ผลกระทบทั่วโลก (Global Consequences)



-------------
สวัสดีแฟนเพจและท่านผู้อ่านทุกท่านครับ... ไหนๆ ก็แปลมาได้ตั้ง3 ตอนแล้วนี่ ครั้นจะไม่แปลตอนสุดท้ายต่อก็จะเกิดอาการอารมณ์ค้างทั้งผู้แปลและผู้อ่านเอานาาาา ช่วงนี้ข่าวมีทั่วโลกโดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับรัสเซีย จีน สหรัฐฯ และอียูนี่ที่ค่อนข้างเยอะและน่าสนใจทั้งนั้นเลย เดี๋ยวขอแปลบทความของ ศาสตราจารย์ Antonio Gelis-Filho ตอนสุดท้ายให้จบก่อน แล้วค่อยกลับเข้าสู่โหมดเล่าข่าวตามปรกติเพื่ออัพเดทสถานการณ์โลกให้แฟนเพจและผู้อ่านทั่วไปได้รับทราบกันเป็นลำดับต่อไปนะครับ
ในมุมมองของศาสตราจารย์ Antonio Gelis-Filho นั้นการล่มสลายของสหรัฐฯอาจจะเป็นสิ่งที่อันตรายและเป็นความน่ากลัวที่ไม่อาจจินตนาการได้ ผลกระทบทั่วโลกจากการล่มสลายของสหรัฐฯอาจจะสาหัสสากรรจ์ถึงขนาดที่ว่า: มีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อโลกไปได้ไกลกว่าการล่มสลายของสหภาพโซเวียตที่เคยเกิดขึ้นแล้วซะอีก
สหภาพโซเวียตสร้างขึ้นมาจากศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ที่หลากหลายซึ่งก็คือรัสเซีย การดำรงอยู่ของศูนย์กลางที่ว่านี้ก่อให้เกิดการล่มสลายตามแนวเส้นประวัติศาสตร์ที่มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว นี่เป็นความจริงอันเดียวกันในสาธารณรัฐอื่นๆ (ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่ง) ของอดีตสหภาพโซเวียต สาธารณรัฐเหล่านั้นได้มีวิถีชีวิตตามขนบธรรมเนียมของพวกเขาเองอยู่ภายในสหภาพโซเวียตอยู่แล้ว และเส้นแบ่งการแตกแยกเหล่านั้นได้ถูกวาดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ที่ใดที่เส้นแบ่งเหล่านี้ไม่มีความชัดเจน ที่นั้นก็จะมีสงครามตามมา : การสู้รบกันใน Abkhazia และ South Ossetia เพื่อเรียกร้องความเป็นเอกราชจากจอร์เจีย การสู้รบกันระหว่าง Armenia กับ Azerbaijan เพื่อครอบครอง Nagorno-Karabakh และ Nakhichevan ประเทศ Moldova ถูกแยกส่วน ยูเครนและรัสเซียกำลังมีข้อขัดแย้งกันในการครอบครองเขต Sevastopol [ในไคร์เมีย] ความขัดแย้งเหล่านี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขมาจนถึงทุกวันนี้ บางแห่งกำลังจะเลวร้ายลงกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำไป (กรณีการสู้รบและความเป็นมาของ Abkhazia และ South Ossetia เคยเล่าให้ฟังแล้วในโพสต์ก่อนๆ แฟนเพจเก่าคงจะพอจำได้นะ ส่วนกรณีความขัดแย้งระหว่าง Armenia กับ Azerbaijan นี้ยังไม่เคยเขียนนะครับ)
ศาสตราจารย์ Antonio Gelis-Filho กล่าวต่ออีกว่า คราวนี้ลองจินตนาการ (เล่นๆ?) ถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐฯดูบ้าง ซึ่งเป็นประเทศที่พลเรือนมีอาวุธอยู่ในครอบครองของตนมากกว่า 200 ล้านชิ้น มันดูไม่เหมือนกับว่าการแบ่งแยกกระจัดกระจายตามสมมุติฐานนี้จะเกิดขึ้นตามแนวเส้นแบ่งของมลรัฐต่างๆ (เพราะไม่มีกลุ่มชาติพันธุ์หลักที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานอาศัยอยู่ในพื้นที่ของแต่ละมลรัฐเลย ยกเว้นพื้นที่ที่เคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวอินเดียนแดงในอดีต) ในขณะที่บางมลรัฐของอเมริกามีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีความรุ่งเรืองมากพอที่ดูแลตัวเองได้ ตรงกันข้ามกับหลายๆมลรัฐที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยไร้อาณาเขต (แต่) ได้ลากเส้นเขตแดนมากบ้างน้อยบ้างขึ้นมาตามอำเภอใจ แนวเส้นตรงยาวๆที่ใช้กำหนดเขตแดนของมลรัฐต่างๆทางตะวันตกเป็นหลักฐานของความจริงข้อนี้ มลรัฐหลายแห่งเหล่านี้ไม่มีทางออกสู่ทะเล (landlock) และต้องพึ่งพามลรัฐอื่นๆในการส่งออกสินค้าที่ผลิตขึ้นมา ยิ่งกว่านั้น ชนบทหลายแห่งที่มีชายแดนติดกับเม็กซิโกมีประชากรชาวเม็กซิกันและอเมริกันเม็กซิกันอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วอาจจะต้องพึ่งพาการคุ้มครองจากเพื่อนบ้านทางทิศใต้ของสหรัฐฯ ในกรณีที่เกิดการล่มสลาย
ตามความคิดเห็นของศาสตราจารย์ Antonio Gelis-Filho นั้น มีอีกเหตุผลหนึ่งน่าหวั่นกลัวและไม่น่าไว้วางใจเกี่ยวกับการล่มสลายโดยสมมุติฐานซึ่งก็คือ "จักวรรดิกองทัพสหรัฐฯ (US empire of military - หากแปลว่า "กองทัพของจักรวรรดิสหรัฐฯ" จะฟังดูดีกว่าไหม?) ซึ่งมีฐานทัพอยู่ทั่วโลก กองทัพเหล่านั้นมีอาวุธชั้นยอดและติดตั้งอาวุธมากกว่ารัฐบาลท้องถิ่นซะอีก ใครจะบริหารกองทัพเหล่านั้นและจะทำอย่างไร? นี่คือบทเรียนจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตซึ่งไม่ใช่แหล่งที่มาสำหรับการมองโลกในแง่ดีเลย (source for optimism)" (หากผู้อ่านดูภาพแผนที่ฐานทัพของสหรัฐฯที่กระจายอยู่ทั่วโลกตามที่แนบมากับบทความนี้ก็จะเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในอดีตโซเวียตไม่เคยมีฐานทัพนอกประเทศทั่วโลกมากเท่ากับสหรัฐฯในเวลานี้เลย)
สุดท้าย (finally) ศาสตราจารย์ Antonio Gelis-Filho ก็พามาถึงปัญหาที่หนักอึ้งที่ใหญ่ที่สุดที่ทั่วโลกกำลังจะเผชิญกับความเป็นไปได้ของการล่มสลาย (ของจักรวรรดิอเมริกา) : (ซึ่งมันก็คือ...) คลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกา (ยังไงหละครับท่าน ซวยหละสิ... พอมาถึงตรงนี้ไม่อยากแปลต่อแล้วอ่ะ อีกไม่กี่บรรทัดเองนะ? มันทำใจลำบากอ่ะ ขอถอนหายใจก่อนนะ...) ในมุมมองของศาสตราจารย์ Antonio Gelis-Filho นั้นก็คือ "ในการเปรียบเทียบกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วในสหภาพโซเวียต ที่ซึ่งกรุงมอสโคว์มีความสามารถมากพอที่จะควบคุมกองกำลังด้านยุทธศาสตร์ของโซเวียตเพื่อดึงกองกำลังเหล่านั้นให้มาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียในช่วงที่มีการล่มสลาย (แต่) ไม่มีหลักฐานชนิดใตที่บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ในกรณีของสหรัฐฯบ้างเลย" (กรรม!)
สุดท้ายของสุดท้าย (ultimately) (ก็เขาเขียนมาอย่างนี้ก็ต้องแปลอย่างนี้ดิ คริๆ) ศาสตราจารย์ Antonio Gelis-Filho เชื่อว่ามีเหตุผลมากพอ "สำหรับเหล่านักวางแผนนโยบายที่ฉลาด (มองการณ์ไกล) ในการเกิดขึ้นของประเทศมหาอำนาจโลกอื่นๆเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้ - การล่มสลายสไตล์โซเวียตของสหรัฐฯ (Soviet-style collapse of the United States)"
พออ่านดูคอมเม้มท์ใต้บทความภาคภาษาอังกฤษจากสำนักข่าว Sputnik news พบว่ามีบางคนมาเม้นท์ว่า ศาสตราจารย์ Antonio Gelis-Filho ไม่ใช่คนแรกที่ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ ในปี 2009 Immanuel Wallerstein ก็เคยเขียนบทความชื่อ The Eagle Has Crash Landed มาแล้ว โดยพาดหัวว่า "Pax Americana จบเห่แล้ว ความท้าทายจากเวียตนามและบัลข่านส์จนถึงตะวันออกกลาง และเหตุการณ์ 9/11 ได้เปิดเผยให้เห็นถึงข้อจำกัดของการเป็นอำนาจสูงสุดของอเมริกา (American supremacy) สหรัฐฯจะเรียนรู้เพื่อให้มันค่อยๆเลือนหายไป หรือว่าสหรัฐฯจะยืนกรานต่อต้านอยู่แบบเดิม และจากนั้นก็เปลี่ยนจากการเสื่อมโทรมที่กำลังเกิดช้าๆเข้าสู่ความทรุดโซมที่รวดเร็วและอันตราย" (อันนี้ยาว... ไม่แปลหละนะครับ พอหละ หากสนใจก็สามารถหาอ่านได้จากลิงค์ข้างล่างนะครับ)
- จบ -
ป.ล.ย้ำอีกที... บทความนี้เป็นตอนที่ 4 และเป็นตอนสุดท้าย ซึ่งแปลมาจากบทความภาษาอังกฤษชื่อ "Unthinkable: Brazilian Journalist Mulls Soviet-Style Collapse of US" จากสำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซีย เขียนโดยศาสตราจารย์ Antonio Gelis-Filho ชาวบลาซิล ต้นฉบับเดิมนั้นเขียนเป็นภาษาบาซิลชื่อ "Deveríamos nos preparar para um colapso dos Estados Unidos ao estilo soviético?" ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ของสำนักข่าว Carta Maior ของบราซิลเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.58 ที่ผ่านมา (ลิ้งค์อ้างอิงอยู่ด้านล่าง) แอ็ดมิน-The Eyes นำมาแปลเป็นภาษาไทยให้แฟนเพจได้อ่านกันแบบฟรีๆ
อ้อ… หากสำนวนการแปลไม่ถูกใจผู้อ่านก็ขออภัยด้วย เนื่องจากไม่ใช่นักแปลมืออาชีพ หากเห็นว่ามีตรงไหนแปลผิดก็สามารถแจ้งแอ็ดมินมาได้เลยนะครับ ยินดีแก้ไขให้ครับผม (ขอบคุณล่วงหน้าครับ) อีกอย่างผู้อ่านบางท่านที่เก่งภาษาอังกฤษอาจจะมองว่าสำนวนการแปลบางส่วนรู้สึกไม่ค่อยจะราบรื่นสักเท่าไรนัก คืออย่างนี้นะ แอ็ดมินพยายามที่จะรักษาเนื้อหาและรูปประโยคตามต้นฉบับและให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับ (ภาษาอังกฤษ) มากที่สุดจึงไม่ได้แปลแบบโลดโผนนักนะครับ
The Eyes
11/06/2558
----------
Unthinkable: Brazilian Journalist Mulls Soviet-Style Collapse of US / Sputnik International
http://cartamaior.com.br/…
The Eagle Has Crash Landed | Foreign Policy

 

Jaroen Compeerapap



จากการประชุม G7 สู่การประชุมกลุ่ม บิลเดอร์เบิร์ก Bilderberg 2015: 14 มิถุนายน 2558 บนยอดเขาที่เมือง เทลเบอร์เคน ประเทศออสเตรีย ต่างกันตรงที่ G7 เป็นการประชุมของผู้นำ กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมร่ำรวย ขณะที่การประชุมของ กลุ่ม Bilderberg เป็นการประชุมผู้ทรงอิทธิพล ทั้งทางความคิด และ อำนาจทางเศรษฐกิจ การเมืองในประเทศร่ำรวย ที่ว่าไปแล้วคือผู้กำกับนักการเมืองอีกชั้นหนึ่ง คนไทยต้องทำความรู้จักติดตามให้ดี เพราะ ผลผลิตที่ตามมาคือ เครื่องมือ ทางนโยบาย การจัดระเบียบโลกใหม่ หรือ New World Order (NWO) ที่ประเทศร่ำรวย และ ผู้นำนักเซ็งลี้เหล่านี้ใช้เพื่อ เอารัดเอาเปรียบประเทศต่าง ๆ รวมถึงการควบคุมสื่อกระแสหลักในโลกไว้ในมือ สามารถสร้างความคิดความเชื่อ หรือปกปิดข้อมูลให้คนในโลก (รวมถึงคนไทยเราด้วย) ให้เชื่อ หรือ ไม่ให้รู้เรื่องอะไร ๆ ก็ได้ ความพยายามของกลุ่มนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้มี รัฐบาลโลก ว่าง ๆ จะเล่าให้ฟังภายหลัง แต่ในที่นี้อยากจะบอกว่า เรื่องความจริงเกี่ยวกับ การเดินทางผ่านของระบบ Planet x และ ดาว NIbiru (นิบิรุ) ที่ประชาชนในโลกไม่มีโอกาสรู้ ก็มาจากแถว ๆ นี้ ปิดกันจนไม่สามารถจะปิดได้แล้ว เพราะผู้คนในที่ต่าง ๆ ในโลกเริ่มมองเห็น พระอาทิตย์ดวงที่สองกันแล้ว เหลือแต่วันเวลาจะโคจรผ่าน (crossing) ซึ่งจะทิ้งหายนะไว้กับดาวโลก สอดคล้องกับความคิดอ่านของคนกลุ่มข้างต้น เพื่อเป็นการลดจำนวนประชากรของโลกให้ลดน้อยลง ที่กลุ่มนี้เสนอที่รู้จักในนาม Depopulation ที่ทำให้ผู้คนอยากสอบถามคนกลุ่มนี้ว่า ใครมีสิทธิที่จะอยู่ หรือ จะต้องตายไปจากความไม่รู้ สิทธิที่จะรู้ของคนเราทำไมต้องปิด เท่าที่ทราบมาตอนนี้ รัฐเซีย จีน และ บราซิล ( กลุ่ม BRICS) กำลังจะให้คำเตือนประชาชนของตนเองเรื่องการเดินทางผ่านของ ระบบ Planet x และ นิบิรุ ยิ่งไปกว่านั้นได้มีการสร้างสถานที่หลบภัย และ ที่อยู่อาศัยไว้รองรับ เรียบร้อยแล้ว ใครว่า จีน สร้างบบ้านชุมชนผี (ไม่มีคนอยู่) ว่าไม่มีเหตุผลนั้น จริง ๆ ไม่ใช่ครับ จีนรู้จากองค์ความรู้โบราณเรื่องนิบิรุ มาก ๆ ตึกรามบ้านช่องที่สร้างไว้นะ เขาเตรียมอพยพคนมาอยู่ ก่อนเกิด การสลับขั้วแม่เหล็กโลก Ploe shift และ การเดินทางผ่านของระบบ Planet x และ นิบุรุ มีแต่ประเทศไทยนี้แหล่ะไม่ได้เตรียมอะไรเลย แตกความสามัคคี ไม่เห็นทางจะดีขึ้นได้อย่างไร ขณะที่ดาวผู้ทำลายกำลังใกล้เข้ามา ๆ จนทำอะไรไม่ทันแล้ว เราจึงต้องเตรียมตัวกันเอง… จริงไหมครับ

 

พู่กัน ทอง ผ่าน Thairath

ลงจอดฉุกเฉิน! บินโดยสารมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ไฟไหม้เครื่องยนต์
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 12 มิ.ย. 2558 13:09



สุดระทึก... เครื่องบินโดยสารมาเลเซีย แอร์ไลน์ส จากเมืองเมลเบิร์น มุ่งหน้าสู่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เกิดเหตุไฟไหม้เครื่องยนต์ จนกัปตันต้องนำเครื่องกลับมาขอลงจอดฉุกเฉินที่เมลเบิร์น

เมื่อ 12 มิ.ย. 58 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเหตุระทึก เครื่องบินโดยสารของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH148 จากเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย มุ่งหน้าไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงมาเลเซีย ได้เกิดเหตุไฟไหม้เครื่องยนต์เครื่องหนึ่ง ก่อนกัปตันจะขอบินกลับมาลงจอดฉุกเฉินที่ท่าอากาศยานนานาชาติในเมืองเมลเบิร์นเมื่อช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 12 มิ.ย.

สื่อต่างประเทศแจ้งว่า เที่ยวบินMH148 ได้บินเป็นวนหลายรอบ เพื่อพยายามเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิง ก่อนจะลงจอดฉุกเฉินที่ท่าอากาศยานเมลเบิร์น ขณะที่ สำนักงานดับเพลิงในเมืองเมลเบิร์น ยืนยันว่า ทางสำนักงานได้รับแจ้งขอให้อยู่ในความเตรียมพร้อมสำหรับการช่วยเหลือเครื่องบินโดยสารของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เพียงแต่ไม่ทราบรายละเอียดมากกว่านี้


อย่างไรก็ตาม ต่อมา เจ้าหน้าที่ประจำท่าอากาศยานเมืองเมลเบิร์นกล่าวยืนยันว่า เครื่องบินโดยสารมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH148 สามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัยแล้ว.

ลงจอดฉุกเฉิน! บินโดยสารมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ไฟไหม้เครื่องยนต์ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

 

กินี-เซียร์ราลีโอนมีผู้ป่วยอีโบลาเพิ่มขึ้น 2 สัปดาห์ติดต่อกัน
Written by: กอง บก.ข่าวต่างประเทศ2015/06/11 8:55 AM



เจนีวา 11 มิ.ย.- องค์การอนามัยโลกเผยว่า จำนวนผู้ติดเชื้ออีโบลาในกินีและเซียร์ราลีโอนเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกันแล้ว

สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 มิถุนายน กินีพบผู้ป่วยใหม่ 16 ราย เซียร์ราลีโอนพบผู้ป่วยใหม่ 15 ราย หลังจากสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม กินีพบผู้ป่วยใหม่ 13 ราย เซียร์ราลีโอนพบผู้ป่วยใหม่ 12 ราย เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่พบผู้ป่วยใหม่ 9 รายและ 3 รายเท่านั้น

รายงานล่าสุดขององค์การอนามัยโลกระบุว่า อีโบลาคร่าชีวิตคนไปแล้ว 11,158 คน ติดเชื้อ 27,237 คน ส่วนจำนวนเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ติดเชื้อในกินี เซียร์ราลีโอนและไลบีเรียเพิ่มขึ้นเป็น 869 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิต 507 คน นับตั้งแต่เชื้ออีโบลาระบาดในแอฟริกาตะวันตกเมื่อเดือนธันวาคม 2556 องค์การอนามัยโลกประกาศให้ไลบีเรียปลอดอีโบลาแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม.-สำนักข่าวไทย

http://www.tnamcot.com/content/206172

 

แล้งหนัก ! นักวิชาการจุฬาฯ หวั่นพายุแรง-ซุปเปอร์ไต้ฝุ่น รับมือไม่ดีอ่วม !
วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 20:33:13 น.



จากวิกฤติภัยแล้งหนักทั่วประเทศในปัจจุบัน ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล นักวิชาการหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาเปิดเผยแล้วว่า เป็น "ปรากฏการณ์เอลนีโญ่" ซึ่งประเทศไทยประสบกับปรากฏการณ์นี้มาตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว ส่งผลให้ประเทศไทยจะแล้งฝนไปอีก 6 เดือนอย่างแน่นอน

ดร.ธนวัฒน์ ยืนยันว่า ภัยแล้งในปัจจุบันยังไม่ใช่ภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี แต่คาดการณ์จากสถิติได้ว่าในปี 2559-2560 น่าจะเป็นปีที่ประเทศไทยประสบกับวิกฤติภัยแล้งหนักที่สุด

"ที่น่ากังวลก็คือสถานการณ์ภัยแล้งที่เราพบในปัจจุบัน และความรุนแรงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่สิ่งที่เป็นผลตามมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่อีกอย่างหนึ่งคือ พายุ ซึ่งพายุมีหลายรูปแบบตั้งแต่ พายุโซนร้อนที่ความเร็ว 63-118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, พายุไต้ฝุ่นที่ความเร็ว 118กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป และที่น่ากลัวที่สุดคือพายุซุปเปอร์ไต้ฝุ่นที่มีความเร็วมากกว่า 200กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้ว่าประเทศไทยจะไม่เคยประสบกับพายุชนิดซุปเปอร์ไต้ฝุ่น แต่หากดูจากผลกระทบจากภาวะโลกที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน คาดว่าก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นกัน" ดร.ธนวัฒน์ กล่าว

ดร.ธนวัฒน์ ระบุว่า การรับมือกับพายุไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถคาดเดาพายุได้ล่วงหน้าเพียง 7 วัน เพราะฉะนั้นทางออกเดียวหากมีพายุเกิดขึ้นคือ การอพยพ

อย่างไรก็ตาม ดร.ธนวัฒน์ ระบุต่อว่า พายุเป็นสิ่งที่นำเอาน้ำมาด้วย ยิ่งถ้าเป็นพายุที่รุนแรงก็จะนำเอาน้ำเข้ามาในปริมาณมากขึ้น เพราะฉะนั้นในสถานการณ์ภัยแล้งแบบนี้ก็ขอเตือนว่าต้องอย่าชะล่าใจ คือในสภาพโดยรวมขณะนี้มันมีแนวโน้มที่จะเกิดภัยแล้งเพราะฝนตกน้อยลง แต่ว่ามันก็ยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย คือถ้าเกิดว่ามีพายุแรงๆเติมเข้ามา อาจจะช่วยแก้วิกฤติภัยแล้งได้ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือจะเกิดแผ่นดินถล่ม ฝนตกหนัก และมีแนวโน้มที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่

"จากการศึกษาพบว่าน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพในอดีต พายุมีความเกี่ยวพันโดยตรง ยกตัวอย่างเช่น ปีพ.ศ.2495 เกิดพายุเวย์ หรือในปีพ.ศ.2526 มีพายุคิม ล้วนแล้วแต่ทำให้กรุงเทพจมมาแล้วทั้งนั้น และไม่จำเป็นว่าน้ำท่วมครั้งใหญ่ๆจะต้องเกิดจากน้ำเหนือเหมือนในปี 2554 แต่อาจเกิดจากพายุก็ได้ ผมมองว่ามาตรการรับมือหลังจากน้ำท่วมใหญ่ในปี 54 เราวางมาตรการรับมือเพียงน้ำที่มาจากทางภาคเหนือ แต่ไม่ได้วางมาตรการรับมือน้ำฝนในกรณีที่ฝนตกหนักและมีปริมาณน้ำฝนจำนวนมาก คือมองง่ายๆ ปรากฏการณ์น้ำท่วมกรุงเทพเมื่อวันจันทร์ที่ 8มิถุนายนที่ผ่านมาก็เกิดจากสาเหตุนี้ เป็นต้น" ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ กล่าว


ดร.ธนวัฒน์ กล่าวสรุปว่า "ในขณะนี้สถานการณ์ภัยแล้งว่าแรงแล้ว แต่พายุที่เป็นผลตามมาน่ากลัวและรุนแรงกว่ามาก หากไม่มีการรับมือที่ดีพอ น้ำท่วมใหญ่อีกครั้งก็มีโอกาสเป็นไปได้สูง"

แล้งหนัก ! นักวิชาการจุฬาฯ หวั่นพายุแรง-ซุปเปอร์ไต้ฝุ่น รับมือไม่ดีอ่วม ! : มติชนออนไลน์

 

รัฐบาลเกาหลีใต้ระบุจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สรายใหม่กำลังลดลง
Written by: กอง บก.ข่าวต่างประเทศ2015/06/12 11:36 AM



โซล 12 มิ.ย. – กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้กล่าววันนี้เรียกร้องให้ประชาชนเอาชนะความกลัวไวรัสโคโรนากลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ เมอร์ส และใช้ชีวิตประจำวันอย่างเป็นปกติ พร้อมกับระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสรายใหม่ ๆ และจำนวนผู้ที่ถูกกักโรคกำลังลดลงเรื่อย ๆ

จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ล่าสุดที่ประกาศในวันนี้ลดลงเหลือ 4 คน จากรายงานเมื่อวานที่ 14 คน และ 13 คนจากเมื่อวันพุธ ทำให้ในขณะนี้มีผู้ติดเชื้อในเกาหลีใต้รวมทั้งสิ้น 126 คน และนับจนถึงตอนเช้าวันศุกร์มีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสเมอร์สในเกาหลีใต้ 10 คน ขณะนี้มีผู้ที่ถูกกักโรค 3,680 คน ลดลงจาก 3,805 คนที่มีรายงานเมื่อวานนี้ โดยมีผู้ที่ได้รับไฟเขียวให้หลุดจากการกักโรครวมทั้งสิ้น 1,249 คน รวมถึง 294 คน ในวันนี้

กระทรวงสาธารณสุขระบุในแถลงการณ์ด้วยว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างฮวบฮาบและมีความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยที่เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายและติดต่อกันทางอากาศ หรือติดต่อไปยังชุมชนนอกโรงพยาบาลที่มีการติดเชื้อไวรัส.-สำนักข่าวไทย

รัฐบาลเกาหลีใต้ระบุจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สรายใหม่กำลังลดลง | เว็บไซต์สำนักข่าวไทย

 

ญี่ปุ่นจะให้คนกลับบ้านภายใน 2 ปีหลังอพยพหนีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะ
Written by: กอง บก.ข่าวต่างประเทศ2015/06/12 2:36 PM



โตเกียว 12 มิ.ย.- รัฐบาลญี่ปุ่นเผยว่า เตรียมยกเลิกคำสั่งอพยพคนออกจากพื้นที่รอบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะภายใน 2 ปี ตามแผนลดการจ่ายเงินชดเชยและเร่งฟื้นฟูความเสียหาย แต่จะชะลอการเคลื่อนย้ายแท่งเชื้อเพลิงยูเรเนียมใช้แล้วออกไปก่อน

ชาวจังหวัดฟูกุชิมะจำนวนมากยังคงอาศัยอยู่ในบ้านพักชั่วคราวเนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัยและขาดแคลนสาธารณูปโภค แม้ว่าทางการเปิดพื้นที่ให้กลับไปอยู่ได้แล้ว แต่ก็มีหลายพื้นที่ที่อาจต้องปิดตายไปอีกหลายทศวรรษ รัฐบาลญี่ปุ่นแถลงวันนี้ว่า ได้อนุมัติแผนยกเลิกการใช้งานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะไดอิจิที่เกิดอุบัติเหตุจากแผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อ 4 ปีก่อน เป็นแผนที่ได้รับการแก้ไขเป็นครั้งที่สอง โดยจะชะลอการเริ่มเคลื่อนย้ายแท่งเชื้อเพลิงยูเรเนียมใช้แล้วที่เก็บไว้ในบ่อหล่อเย็นของเตาปฏิกรณ์ 3 เครื่องออกไปอีก 3 ปี หลังจากบริษัทไฟฟ้าโตเกียวใช้เวลาร่วมปีเคลื่อนย้ายแท่งเชื้อเพลิง 400 ตันออกจากเตาปฏิกรณ์เครื่องที่ 4 ไปแล้ว แต่ยังคงเป้าหมายเดิมเรื่องจะยกเลิกการใช้งานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ภายใน 30-40 ปี.- สำนักข่าวไทย

ญี่ปุ่นจะให้คนกลับบ้านภายใน 2 ปีหลังอพยพหนีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะ | เว็บไซต์สำนักข่

 

เกาหลีใต้ยืนยันพบผู้เสียชีวิตจากเมอร์สรายที่ 11 ปิด 2 ร.พ.ที่รักษาผู้ป่วย
Written by: กอง บก.ข่าวต่างประเทศ2015/06/12 1:44 PM



โซล 12 มิ.ย.- เกาหลีใต้ยืนยันพบผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสเมอร์สรายที่ 11 ในวันนี้ และสั่งปิดโรงพยาบาลที่รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์ส 2 แห่งเป็นเวลา 11 วัน เพื่อสกัดการแพร่ระบาด

กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการเกาหลีใต้แถลงว่า ผู้เสียชีวิตรายล่าสุดเป็นสตรีวัย 72 ปี เสียชีวิตในเช้าวันนี้ขณะรักษาตัวที่โรงพยาบาลในจังหวัดชอลลาเหนือ ตรวจพบว่าติดเชื้อเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนหลังจากรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมืองเปียงแต็ก จังหวัดคยองกีอยู่ 8 วัน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่รักษาผู้ติดเชื้อเมอร์สคนแรกของประเทศ ขณะนี้พบผู้ติดเชื้อแล้ว 126 คน ทั้งหมดติดเชื้อจากโรงพยาบาล แสดงว่าเชื้อยังไม่ระบาดในชีวิตประจำวัน ส่วนจำนวนผู้ถูกกักดูอาการในโรงพยาบาลเพราะใกล้ชิดผู้ป่วยหรือเคยไปโรงพยาบาลที่รักษาผู้ป่วยลดลงเหลือ 3,680 คนในวันนี้

ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่กรุงโซลเผยว่า ทางการสั่งปิดโรงพยาบาลที่รักษาผู้ป่วยเมอร์ส 2 แห่งเป็นเวลา 11 วัน ตามระยะเวลาการฟักตัวของโรค โดยห้ามผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ 133 คนออกจากโรงพยาบาล และห้ามคนภายนอกเข้าไปในโรงพยาบาล เนื่องจากผลการตรวจสอบยืนยันว่าผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมดมีที่มาจากชายวัย 68 ปีที่ไปรับการรักษาตัวในคลีนิกและโรงพยาบาลหลายแห่งหลังกลับมาจากตะวันออกกลาง จนกระทั่งตรวจพบว่าติดเชื้อเป็นคนแรกของประเทศเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมและเกิดการระบาดจนถึงขณะนี้.-สำนักข่าวไทย

เกาหลีใต้ยืนยันพบผู้เสียชีวิตจากเมอร์สรายที่ 11 ปิด 2 ร.พ.ที่รักษาผู้ป่วย | เว็บไซต์สำนักข่

 

ทูตสหรัฐประจำยูเอ็นกล่าวหารัสเซียโกหกซึ่งหน้าเรื่องยูเครน
Written by: กอง บก.ข่าวต่างประเทศ2015/06/12 10:50 AM



เคียฟ 12 มิ.ย.- นางซาแมนธา พาวเวอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กล่าวหารัสเซียว่า พล่ามพูดเรื่องโกหกซึ่งหน้ากรณียูเครน หวังปกปิดการที่รัสเซียเข้าไปข้องเกี่ยวโดยตรงกับสงครามในยูเครนที่รัสเซียเปิดฉากขึ้นเพื่อสกัดไม่ให้ยูเครนสนิทสนมกับตะวันตก

นางพาวเวอร์กล่าวสุนทรพจน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์เป็นเวลา 70 นาทีกับคนหลายร้อยคนที่กรุงเคียฟของยูเครน เธอกล่าวหารัสเซียว่า เปิดฉากสงครามในพื้นที่อุตสาหกรรมทางตะวันออกของยูเครนเมื่อ 14 เดือนก่อนหวังบั่นทอนฐานะการเงินของรัฐบาลประธานาธิบดีเปโตร โปโรเชนโกที่เพิ่งชนะเลือกตั้งและสั่นคลอนการสนับสนุนจากประชาชน จากนั้นรัสเซียก็พยายามปกปิดเจตนาด้วยการโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อและเวทีระดับโลก เช่น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ทำให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียได้เสียงสนับสนุนในประเทศมากเป็นประวัติการณ์ การถกเรื่องยูเครนในยูเอ็นเอสซีทำให้เธอในฐานะตัวแทนสหรัฐมีโอกาสนำเสนอหลักฐานการรุกรานและการโกหกทั้งเพของรัสเซีย

เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเอ็นไปกล่าวสุนทรพจน์ที่ยูเครนหวังสยบข่าวลือที่ว่าสหรัฐเริ่มอ่อนท่าทีให้กับรัสเซีย หลังจากนายจอห์น แคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐพบกับประธานาธิบดีปูตินเมื่อเดือนก่อนและบรรยากาศเป็นไปอย่างสร้างสรรค์.-สำนักข่าวไทย

ทูตสหรัฐประจำยูเอ็นกล่าวหารัสเซียโกหกซึ่งหน้าเรื่องยูเครน | เว็บไซต์สำนักข่าวไทย

 

เยอรมนีช็อกโลกประกาศปิดโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ภายในปี 2022
โดย Energy Saving วันที่ 28 พฤศจิกายน 2554



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ว่า นางอังกีล่า แมร์เคล นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี สร้างความแปลกใจให้กับคนทั่วโลกด้วยการประกาศว่าจะปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้ง 18 แห่งทั่วประเทศซึ่งผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นจำนวน 28% ของประเทศระหว่างปี 2015 - 2022 เพื่อป้องกันภัยพิบัตินิวเคลียร์เหมือนที่เกิดขึ้นที่ฟุกุชิมะเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ประเทศเยอรมนีได้ปิดโรงไฟฟ้าไปแล้ว 8 แห่ง แต่ฤดูหนาวเป็นช่วงที่ประชาชนใช้ไฟฟ้าค่อนข้างสูง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ในกรุงเบอร์ลินกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อหาแนวทางการผลิตพลังงานมาทดแทนส่วนนี้ ก่อนที่เมืองหลวงของประเทศจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะไฟดับทั้งเมือง หรือต้องเสียเงินเพื่อนำเข้าพลังงานจำนวนมาก

ขณะเดียวกันธนาคารหลักของประเทศ ถูกสั่งให้เตรียมงบประมาณสำหรับการลงทุนในการดำเนินโครงการด้านพลังงานหมุนเวียนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในประเทศเป็นจำนวนเงิน 137,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งรัฐบาลของเยอรมนีได้ประกาศว่า นอกจากจะเป็นการทำเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติแล้ว ยังจะมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน 12 แห่งเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการผสมผสานด้านการพลังงานของประเทศในอนาคตอีกด้วย

โครงการนี้ค่อนข้างขัดต่อความหวังของนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจำนวนมาก ที่เชื่อว่าเยอรมนีมีโอกาสที่จะสร้างประวัติศาสตร์ในการรณรงค์ใช้พลังงานหมุนเวียนมากกว่าสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งจะปล่อยมลพิษสู่ชั้นบรรยากาศค่อนข้างสูง

ปัจจุบันพลังงานทดแทนมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ซึ่งเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมาทางสมาคมอุตสาหกรรมพลังงานและผู้บริโภคพลังงานได้ออกมาแสดงความไม่พอใจโดยระบุว่า “ค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นแต่คุณภาพจะลดลง” โดยทางสมาคมฯ ตั้งข้อสังเกตว่าในปีหน้าค่าไฟฟ้าจะสูงขึ้นอย่างน้อย 9%

การปฏิรูปพลังงานดังกล่าวจะช่วยส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เนื่องจากการผลิตกระแสไฟฟ้าจากถ่านหินมีอัตราค่าใช้จ่ายเพียงแค่ 83 ดอลลาร์สหรัฐฯ / เมกาวัตต์ / ชั่วโมง ส่วนต้นทุนสำหรับการสร้างพลังงานลมเพิ่มขึ้นถึง 50% เป็น 124 ดอลลาร์สหรัฐฯ / เมกาวัตต์ / ชั่วโมง และค่าใช้จ่ายในการผลิตพลังงานลมนอกชายฝั่งเพิ่มเป็น 207 ดอลลาร์สหรัฐฯ / เมกาวัตต์ / ชั่วโมง ในขณะที่พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ก็เพิ่มขึ้นเป็น 268 ดอลลาร์สหรัฐฯ / เมกาวัตต์ / ชั่วโมง ซึ่งถือเป็น 3 เท่าของค่าใช้จ่ายสำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหิน

เนื้อหาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พลังงานหมุนเวียนมีค่าใช้จ่ายที่สูงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งชาวเยอรมันยอมรับได้และจากการสำรวจของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจภายในประเทศระบุว่า 79% ของชาวเยอรมันมองว่า ค่าใช้จ่ายในด้านพลังงานใหม่อยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีเพียง 15% เท่านั้นที่มองว่าสูงเกินไป ในขณะที่นายโทเบียส โฮมันน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเซลล์แสงอาทิตย์ ได้ให้ความเห็นว่า “โครงการยกเลิกการใช้พลังงานนิวเคลียร์ของประเทศในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับรัฐบาล ซึ่งประเทศเยอรมนีมีแนวโน้มสูงที่จะกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมแห่งแรกที่ใช้พลังงานทดแทนทั้งประเทศ”

แม้ปัจจัยด้านค่าใช้จ่ายจะเอื้ออำนวยในการดำเนินแผนการด้านพลังงานหมุนเวียน ซึ่งประเทศเยอรมนีก็ยังเป็นประเทศที่มีการผลิตกระแสไฟฟ้าจากลมสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ด้วยศักยภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 27 กิกะวัตต์ หรือ 16% ของปริมาณกระแสไฟฟ้าจากลมที่ผลิตได้ทั่วโลก ส่งผลให้ประเทศเยอรมนีคือประเทศที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าจากลมมากที่สุดในทวีปยุโรปในขณะนี้
โครงการปฏิรูปการใช้พลังงานของเยอรมนีครั้งนี้ กำหนดออกมาในช่วงที่ถือว่าผิดเวลาสำหรับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งออก เนื่องจากค่าพลังงานที่สูงขึ้นนั้นจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการส่งออกสูงขึ้นอีกด้วย แม้ประเทศเยอรมนีจะมีเจตนารมณ์ที่จะใช้โครงการนี้ในการรักษาค่าเงินยูโร แต่นโยบายปฏิรูปการใช้พลังงานนี้จะนำไปสู่ปัญหาด้านความไม่แน่นอนในการวางแผนทางเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศในอนาคต และโครงการยกเลิกการใช้พลังงานนิวเคลียร์และการรณรงค์ใช้พลังงานหมุนเวียนของประเทศเยอรมนีก็จะถูกจับตาจากนานาชาติทั่วโลก รวมไปถึงกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนและพลังงานนิวเคลียร์อย่างใกล้ชิด

ขณะที่ปัญหาเรื่องต้นทุนและการเปลี่ยนแปลงยังไม่ได้รับการแก้ไข ประเทศเยอรมนีกำลังเดิมพันด้วยอนาคตของประเทศและคนรุ่นต่อไปในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และลม โดยที่ไม่ต้องฝังกากนิวเคลียร์ที่ใช้เวลานานและยังเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง


----------------------------------------------------------
ข้อตกลงการเผยแพร่เนื้อหา:
บทความทั้งหมดบนเว็บไซต์นี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Energy Saving (นอกจากมีการระบุไว้) อนุญาตให้เผยแพร่ในกรณีที่ระบุ URL ชัดเจนว่ามาจากEnergy Saving Media เท่านั้น ห้ามนำไปใช้เพื่อการค้า และห้ามดัดแปลงแก้ไขใดๆ หากพบการละเมิดจะดำเนินการตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ในขั้นตอนต่อไป

 

งามขนาด! ปรากฏการณ์ “เมฆสีรุ้ง”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มิถุนายน 2558 18:49 น. (แก้ไขล่าสุด 10 มิถุนายน 2558 11:28 น.)



บรรยากาศปรากฏการณ์ เมฆสีรุ้ง เมื่อประมาณ 5 โมงเย็นที่ผ่านมา

วันนี้ (9 มิ.ย.) เมื่อช่วงเวลา 17.00 น. บนท้องฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ได้เกิดปรากฏการณ์เมฆสีรุ้งขึ้นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยาก สำหรับเมฆสีรุ้งมีลักษณะจะแตกต่างจากรุ้งกินน้ำตรงที่ไม่ได้มาเป็นแถบบนท้องฟ้า แต่จะกินพื้นที่ก้อนเมฆขนาดใหญ่ เห็นเป็นสีรุ้งทั่วท้องฟ้า หรือก้อนเมฆเป็นสีรุ้งทั้งก้อน

ทั้งนี้ เมฆสีรุ้ง (Rainbow Clouds) ภาษาทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า Irisation (คำว่า irisation น่าจะมาจากคำว่า Iris ซึ่งในภาษากรีก คือ เทพธิดาแห่งรุ้ง) เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่เกิดจากการที่แสงอาทิตย์สีขาวตกกระทบเม็ดน้ำขนาดต่างๆ ในเมฆจางๆ ซึ่งเป็นเมฆที่มีจำนวนหยดน้ำไม่หนาแน่นมากนัก เมื่อแสงตกกระทบหยดน้ำแต่ละหยด จะเกิดการหักเหเปลี่ยนทิศทางไปจากแนวเดิม แต่เนื่องจากแสงสีต่างๆ (ที่ประกอบขึ้นเป็นแสงสีขาว) หักเหได้ไม่เท่ากัน ผลก็คือ แสงสีขาวแตกออกเป็นสีรุ้ง และเนื่องจากในเมฆจางๆ ที่ว่านี้มีเม็ดน้ำขนาดต่างๆ กัน ทำให้สีรุ้งสีหนึ่ง (เช่น สีเขียว) ที่หักเหออกจากเม็ดน้ำขนาดหนึ่งๆ ซ้อนทับกับสีรุ้งอีกสีหนึ่ง (เช่น สีเหลือง) ที่มาจากเม็ดน้ำอีกขนาดหนึ่ง จึงทำให้มองเห็นสีรุ้งมีลักษณะเหลือบซ้อนทับกันอย่างสลับซับซ้อน บางทีก็ซ้อนกันเป็นชั้นๆ เวลาที่สังเกตเห็นบ่อยๆ จะเป็นช่วงเวลาเย็นที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า

 

ปอกเปลือก ทรราช
อัยย๊ะ! สหรัฐฯซุ่มล้อมกรอบรัสเซียด้วยห้องทดลองอาวุธเคมี, เกาหลีเหนือโวยตกเป็นเป้าหมายอาวุธชีวภาพแอนแทร็กซ์ของสหรัฐฯ



-------------
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.58 ที่ผ่านมาสำนักข่าว RT news ลงข่าวว่า กรุงมอสโคว์ออกมากล่าวหาสหรัฐฯว่าสหรัฐฯขัดขวางความพยายามของนานาชาติที่ต้องการกำจัดอาวุธชีวภาพ ซึ่งสหรัฐฯพยายามดึงประเทศอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัยอาวุธเชื้อโรคอย่างลับๆ กรุงมอสโคว์บอกว่าบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการเก็บรักษาอาวุธชีวภาพของสหรัฐฯห่วยมาก
ข้อกล่าวหานี้เกิดขึ้นจากข้อผิดพาดเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพของสหรัฐฯ ซึ่งทางกระทรวงต่างประเทศของรัสเซียอ้างถึงรายงานเมื่อเร็วๆนี้ของกองทัพสหรัฐฯที่ส่งเชื้อแบกทีเรียไลฟ์แอนแทร็กซ์ โดยอ้างว่าเป็นข้อผิดพลาด สัปดาห์ที่ผ่านมาเพนตาก้อนออกมายอมรับว่าได้ส่งตัวอย่างเชื้อโรคมรณะที่อันตรายสูร้ายแรงไปยังห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ถึง 51 แห่งใน 17 รัฐทั่วสหรัฐฯ และอีก 4 ประเทศ (แคนาดา เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และล่าสุดคืออังกฤษ)
ก.ต่างประเทศของรัสเซียออกแถลงการณ์ว่า "การจัดส่ง (ไลฟ์แอนแทร็ก) นับเป็นการกระทำที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีการแพร่ระบาดได้ซึ่งไม่เพียงเป็นภัยคุกคามต่อประชากรของสหรัฐฯเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหลายประเทศอีกด้วย รวมทั้ง (ประชากรใน) ประเทศแคนาดา และออสเตรเลีย [รัสเซีย] รู้สึกมีความเป็นกังวลใจเป็นอย่างมากที่มีการจัดส่งแบกทีเรียไปยังฐานทัพของสหรัฐฯในประเทศที่สาม ซึ่งก็คือฐานทัพอากาศ Osan Air Base ในเกาหลีใต้"
สำหรับรัสเซียแล้วเหตุการณ์ในครั้งนี้ถือว่าสร้างความเป็นกังวลใจให้กับรัสเซียเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหนึ่งในเพื่อนบ้านของรัสเซียเป็นเจ้าภาพจัดหาสถานที่ให้กับตัวแทนองค์กรงานวิจัยอาวุธชีวภาพระดับสูง ทางรัสเซียเชื่อว่า ศูนย์ Richard G. Lugar Center for Public and Animal Health Research อยู่ใกล้เมือง Tbilisi ซึ่งเป็นห้องทดลองอาวุธชีวภาพลับของอเมริกา เป็นสาขาของสถาบันวิจัยอาวุธ (Walter Reed Army Institute of Research)
รมว.ต่างประเทศของรัสเซียกล่าวว่า "เจ้าหน้าที่อเมริกันและจอร์เจียกำลังอำพรางธรรมชาติที่แท้จริงของหน่วยทหารสหรัฐฯ ซึ่งทำการศึกษาเชื้อโรคที่อันตรายอย่างยิ่ง ทางเพนตาก้อนกำลังพยายามที่จะสร้างห้องทดลองลับด้านเวชศาตร์ชีวภาพ (medico-biological facilities) ขึ้นมาในประเทศเพื่อนของรัสเซีย"
กรุงมอสโคว์กล่าวว่า "โดยพฤตินัยนั้นสหรัฐฯได้ขัดขวางความพยายามของนานาชาติ ภายใต้สนธิสัญญา Biological and Toxin Weapons Convention (BTWC) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อขจัดอาวุธชีวภาพทั่วโลก"
+ กรุงเปียงยางเอาคืนโววายสหรัฐฯจ้องโจมตีเกาหลีเหนือด้วยอาวุธชีวภาพเชื้อแอนแทร็ก เรียกร้องให้ UNSC เข้าตรวจสอบสหรัฐฯด่วน
---------------
เกาหลีเหนือเอาจริง เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมานาย Ja Song Nam ทูตเกาหลีเหนือประจำสหประชาติส่งจดหมายถึงสหประชาชาติและถึงนายบัน คีมูน เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติและจดหมายดังกล่าวได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยทางเกาหลีเหนือตั้งข้อสงสัยและกล่าวหาว่าสหรัฐนมีแผนจะโจมตีเกาหลีเหนือด้วยอาวุธชีภาพเชื้อโรคแอนแทร็กซ์ และได้เรียกร้องให้ UNSC เข้าไปตรวจสอบกิจกรรมดังกล่าวของสหรัฐฯด้วย
ในจดหมายของเกาหลีเหนือกล่าวว่า "สหรัฐฯไม่เพียงแต่ครอบครองอาวุธมรณะที่มีอานุภาพในการทำลายสูงเท่านั้น แต่ [สหรัฐฯ] ยังพยายามที่จะให้อาวุธเหล่านี้ในการทำสงครามต่อต้าน [เกาหลีเหนือ] อีกด้วย" ทางสหรัฐฯส่งนาย Jeff Rathke โฆษกกระทรวงต่างประเทศออกมาพูดว่า นั่นเป็นเรื่องไร้สาระและไม่จำเป็นต้องตอบโต้
นั่นแหละสหรัฐฯ พอเขาจับได้ไล่ทัน หากไม่แถไปน้ำขุ่นๆจนสีข้างถลอกพี่แกก็จะพูดแบบนี้แหละ ก่อนหน้านี้ก็ถึงกับลงทุนสร้างหนังฮอลลิวูดเพื่อให้ดูสมจริงในการที่จะกล่าวหาว่าเกาหลีเหนือแฮ็กระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทโซนีฯ จะได้หาทำให้เกาหลีเหนือตกเป็นผู้ร้ายในสายตาของชาวโลกต่อไป เมื่อเร็วๆนี้ สหรัฐฯมามุกเดิมอีกแล้วว่าจีนแฮ็กระบบคอมของสหรัฐฯ ลูกไม้เดิมๆ แต่ก็มีหลายคนเชื่อนะ พิลึกดี ส่วนจีนรีบสวนกลับทันทีเลยว่าเอาหลักฐานมาพูดกันเลยดีกว่าไหม อย่าเอาแต่เที่ยวกุข่าวหลอกชาวบ้านไปวันๆอย่างนี้
แต่พอเกาหลีเหนือและจีนเอาคืนบ้างสหรัฐฯบอกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ซะงั้น ล่าสุดก็ปล่อยให้ซีไอเอออกมาปล่อยหลักฐานผ่านสื่อฯกระแสหลักของสหรัฐฯและตะวันตกที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลเหล่านั้นว่าซาอุดิฯอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ 9/11 ด้วย ซวยหละสิซาอุดิฯเอ๋ย... จะลอดพ้นเงื้อมของสหรัฐฯที่หลงคิดว่าเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นของตัวเองหรือเปล่า? ถูกเขาเสี้ยมให้ซัดกับชาติอาหรับด้วยกัน วันหนึ่งสหรัฐฯก็คิดจะแบล็คเมล์ซาอุดิฯซะเอง เสร็จแน่ๆงานนี้
The Eyes
13/06/2558
---------------
US encircling Russia with bioweapons labs, covertly spreads them – Russian FM — RT News
North Korea Claims It Was Targeted by US With Live Anthrax / Sputnik International
http://rt.com/usa/266890-north-korea-anthrax-accusations/
IMF Should Punish China For Cyber-Attack on US - US Senator / Sputnik International
China Demands Evidence After US Accuses Beijing of Hacking Federal Database / Sputnik International
Rand Paul Wants Classified Docs Exposing Saudi Connection to 9/11 Released / Sputnik International