ติดตามสถานะการณ์

ปิยวุฒิ ปิยาภิชาต

แรงซื้อ"ชั้นกลาง"ดิ่งไม่หยุด "รถ-บ้าน-ห้าง"ชะลอชัด/เร่งแคมเปญทุกทาง
updated: 08 มิ.ย. 2558 เวลา 07:01:06 น.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



สารพัด กระตุ้น ศก.ฝืดครึ่งปีหลังลุ้นไม่ขึ้น ฝันค้างกำลังซื้อพลิกกลับ ตลาดกลาง-ล่างเดี้ยงหนัก พิษเชื่อมั่นวูบกระทบถ้วนหน้าทั้ง กทม.-ตจว. สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า แฟชั่น เครื่องสำอางยัน "บ้าน คอนโดฯ รถยนต์" บิ๊กค้าปลีกฮึดสู้"เซ็นทรัล" ยิงแคมเปญแรง ชี้ไตรมาส 3 ชิงโชคท่วมตลาด

ผ่านพ้นครึ่งปีแรกสู่ช่วงเริ่มต้นของครึ่งหลังปี 2558 นอกจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะไม่มีให้เห็นชัดเจนแล้ว ความไม่แน่นอนจากความเสี่ยงที่อาจเผชิญกับปัจจัยลบทั้งภายในและนอกประเทศยัง ทำให้ความเปราะบางมีเพิ่มขึ้น ขณะที่ความคาดหวังว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ตั้งแต่ปลายปี 2557 ที่ผ่านมา จะพลิกกลับมาเป็นบวกช่วงไตรมาสแรกหรือไตรมาสที่สองปีนี้ หรืออย่างช้าช่วงครึ่งปีหลัง แต่เมื่อไม่เป็นไปตามคาดจึงกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ประกอบกับภาระภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น แต่รายได้ลดน้อยลง ฉุดกำลังซื้อและการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน รวมทั้งการลงทุนของเอกชน

ขณะที่ธุรกิจการค้าภาคเอกชนซึ่งได้กระทบโดยตรงจากการบริโภคและการจับจ่ายใช้สอย ที่ชะลอตัว โดยเฉพาะกำลังซื้อในกลุ่มคนชั้นกลางและคนในระดับรากหญ้าที่ตกต่ำลงรุนแรง ขึ้น ส่งผลให้ยอดขายสินค้าทั้งอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงบ้าน คอนโดฯ รถยนต์ ฯลฯ ทั้งในส่วนกลางและต่างจังหวัดซบเซาหนัก เริ่มดิ้นรนหาช่องทางสร้างรายได้ทุกวิถีทาง

ปลุกหนัก "กำลังซื้อ"

นาย บุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บมจ.สหพัฒนพิบูล เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สภาพกำลังซื้อไตรมาส 1 และ 2 ทรงตัว และไตรมาส 3 น่าจะขยับตัวดีขึ้น แม้เป็นช่วงหน้าฝน ทั้งในแง่ของมู้ดจับจ่ายและกำลังซื้อ เพราะการเร่งดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐน่าจะช่วยกระตุ้น แต่จะไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นรวดเร็ว จะค่อยเป็นค่อยไป บวกกับภาคธุรกิจมีการจัดแคมเปญทางการตลาดออกมาช่วยกระตุ้นให้คนออกมาจับจ่าย สินค้ามากขึ้น แนวโน้มดังกล่าว กลยุทธ์ราคาจะเป็นเครื่องมือการตลาดที่ได้ผลมากที่สุด รวมถึงโปรโมชั่น ณ จุดขาย จะกระตุ้นการตัดสินใจซื้อทันที แต่จะต้องเฟ้นกิมมิกใหม่ ๆ จูงใจ ให้ยอดขายดีขึ้น

นายสถิต สังขนฤบดี รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร เจ้าของ "แบรนด์ห้าดาว" ซึ่งเพิ่งลอนช์แคมเปญ "ลุ้นทองวันละ 2 บาท ทุกวัน" จำนวน 45 รางวัล และลุ้นรางวัลใหญ่ทอง 10 บาท 1 รางวัล เมื่อซื้อสินค้าที่ร่วมรายการตั้งแต่ 3 มิ.ย.-17 ส.ค.นี้ กล่าวว่า บริษัททำแคมเปญแจกทองเป็นครั้งแรก หากได้รับตอบรับดีก็จะทำทุกไตรมาส

ขณะ ที่ธุรกิจขายตรง "แอมเวย์" ออกแรงฮึด จัดแคมเปญซื้อยาสีฟันกลิสเทอร์ 1 หลอด แถม 1 หลอด และลุ้นโชคแจกไอโฟน โดย นางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บจ.แอมเวย์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า เป็นครั้งแรกที่แอมเวย์มีโปรโมชั่นลักษณะนี้ เป็นอีกกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ให้ได้ทดลองใช้ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้นักขาย ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี

เซ็นทรัลยิงแรงทุกสาขา

ด้านกลุ่มเซ็นทรัลโหมกระตุ้นกลางปีจัดแคมเปญ "อภิมหาวันเซลแห่งชาติ" ลดทั้งศูนย์ ลดทั้งห้าง ทั่วประเทศ เป็นการผนึกกำลังของศูนย์การค้าในกลุ่มเซ็นทรัล คือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล, เซน และโรบินสัน รวม 58 สาขาทั่วประเทศ ลดสูงสุดถึง 80% ใน 45 วัน ตั้งแต่ 5 มิถุนายน-19 กรกฎาคม 2558 โดยเฉพาะกลยุทธ์ "ช้อป 1,000 บาท ได้คืน 1,000 บาท"

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วย กก.ผจก.ใหญ่ สายงานการตลาด บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับต้นปีที่ผ่านมา มีสัญญาณบวกจากอัตราตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีน มาเลเซีย และเกาหลีที่เข้ามา และค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ และแคมเปญใหญ่ที่เข้ามาปลุกกำลังซื้อกลางปี เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยคาดว่า จะเพิ่มยอดทราฟฟิกเข้าศูนย์ได้ 20-30% เงินสะพัด 12,000 ล้านบาท

นางสาวปิยวรรณ ลีละสมภพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บจ.สรรพสินค้าเซ็นทรัล กล่าวในทำนองเดียวกันว่า แคมเปญนี้มีความโดดเด่นและเหนือกว่าคู่แข่ง ด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกันของกรุ๊ปที่ขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์กรุ๊ปซินเนอร์ ยี่ ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศ และขนทัพสินค้าแบรนด์ดังกว่า 5,000 แบรนด์ จากทุกแผนกลด 10-50%

30 แบรนด์แฟชั่นเปิดเอาต์เลต

ส่วนนางสาวอภิญญา เกิดศิลป์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า เปิดเผยว่า ได้ปรับพื้นที่ภายในศูนย์รอบใหม่เพื่อปั้นอาณาจักรค้าปลีกรูปแบบ "เอาต์เลต" ใจกลางเมือง ดึง 30 แบรนด์ดังทั้งไทยและเทศ อาทิ Jaspal GEOX Reebox Billabang Nike Adidas เป็นต้น รองรับความต้องการทุกกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ สินค้าจะเป็นคอลเล็กชั่นใหม่ล่าสุดส่งตรงมาจากช็อป แต่สามารถเลือกซื้อในราคาที่คุ้มค่า ควบคู่กับรุ่นเซลที่ให้ส่วนลด 80-90%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสินค้ากลุ่มแฟชั่นไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ชุดชั้นใน ไปจนถึงแบรนด์หรู ต่างส่งอีเวนต์โปรโมชั่นเพื่อปลุกความคึกคักช่วงนี้ ยาวไปถึงปลายเดือน มิ.ย. รวมถึงเคลียร์สต๊อกของคอลเล็กชั่นเก่า ลดราคา ทั้งในรูปแบบ End of Season Sale และ Mid Year Sale อาทิ ซาบีน่า จัดงาน Mid Year Sale ลดสูงสุด 70% คลับ 21 จัด End of Season Sale 30% off ทุกแบรนด์ในเครือ ขณะที่กลุ่มเครื่องสำอางก็เคลื่อนไหวอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นบิวตี้บุฟเฟต์ จัดโปรโมชั่น Beauty-Full of ลดสูงสุด 70% หรือบู๊ทส์ จัด Mid Year Sale สินค้ากว่า 4,000 รายการ โปรโมชั่นจากบิวตี้ฮอลล์ ของเครือเดอะมอลล์ กับงาน Beauty Wishes Graphic Glimpse ลดสูงสุด 15% ฯลฯ

"เครื่องใช้ไฟฟ้า" เบนเข็มบุกหรู

สำหรับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า นายถกล นิยมไทย ผู้จัดการทั่วไป บจ.โตชิบา ไทยแลนด์ กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรกผู้บริโภค
ระดับ กลาง-ล่างไม่มีเงินใช้จ่ายมากนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือน แต่ผู้บริโภคระดับบนกระทบน้อย บริษัทจึงโฟกัสตลาดนี้ ด้วยสินค้าระดับพรีเมี่ยม และนวัตกรรมมาสร้างสีสัน โดยหันไปจับกลุ่มผู้บริโภคระดับบนมากขึ้น ทั้งแบรนด์เกาหลีและญี่ปุ่น โดยเปิดตัวสินค้าอย่างทีวีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้น ด้วยฟังก์ชั่นมากขึ้น อาทิ จอโค้ง เช่น ซัมซุง ที่เปิดตัวทีวี 7 รุ่น 55-105 นิ้ว แบ่งเป็นจอโค้ง 5 รุ่น จอแบน 2 รุ่น ราคาตั้งแต่ 1.09 แสน-3.99 แสนบาท หรือทีวี 4 เค พร้อมระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของโตชิบา เป็นต้น นอกจากนี้เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ซัมซุงเปิดโครงการซีอาร์เอ็ม "ซัมซุงอัลติเมท" มอบสิทธิพิเศษให้ผู้ซื้อสินค้าซัมซุงครบ 2 แสนบาท ภายในเวลา 1 ปี

ชี้ชิงโชคท่วมไตรมาส 3

นางสาว สุภาวดี ตันติยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจ.โลว์ ประเทศไทย ให้มุมมองว่า ตั้งแต่ต้นปีสินค้าส่วนใหญ่ก็จัดโปรโมชั่น แคมเปญชิงโชคอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว เพื่อกระตุ้นยอดขาย เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย แต่ที่แคมเปญชิงโชคเพิ่มดีกรีเข้มข้นในช่วงไตรมาส 3 เพราะเศรษฐกิจที่เติบโตลดลง และเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น

บ้าน-คอนโดฯ 1-3 ล้านขายอืด

ความเคลื่อนไหวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการสำนักงานกรรมการผู้จัดการ บมจ.ปริญสิริ เปิดเผยว่า บรรยากาศซื้อขายบ้าน-คอนโดฯ 5 เดือนแรกที่ผ่านมายังชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะระดับกลาง-ล่าง ราคายูนิตละ 1-3 ล้านบาท จากการเก็บสถิติพบว่า เดิมทุก ๆ ปริมาณลูกค้าที่แวะชมโครงการ 2.5 ครั้ง จะปิดการขายได้ 1 ราย แต่ปัจจุบันเพิ่มเป็น 4 ครั้ง จึงปิดการขายได้ 1 ราย อย่างโครงการเซลล์ รัตนาธิเบศร์ คอนโดฯ
8 ชั้น 8 อาคาร รวมกว่า 500 ยูนิต เปิดตัวเฟสแรกก่อนปลายปีที่ผ่านมา สร้างเสร็จพร้อมโอน 4 อาคาร กว่า 200 ยูนิต เริ่มต้นยูนิตละ 1.59 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขาย 50% ช้ากว่าที่ตั้งเป้าไว้

นายปิยะ ประยงค์ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท เปิดเผยว่า เปรียบเทียบยอดขายทาวน์เฮาส์ช่วงปลายปีที่ผ่านมากับปัจจุบัน พบว่ากำลังซื้อทาวน์เฮาส์ระดับล่างราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ชะลอตัวลง และมีปัญหากู้ไม่ผ่านกว่า 10% มาจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นพนักงานโรงงาน เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีก็มีผลกระทบรายได้ ส่วนตลาดทาวน์เฮาส์ระดับ กลาง-ล่างต่างจังหวัดชะลอตัวบางแห่ง เช่น ขอนแก่น เปิดตัวบ้านเดี่ยว ราคายูนิตละกว่า 3 ล้านบาท จากปลายปีที่ผ่านมายอดขายเฉลี่ยเดือนละ 7-8 ยูนิต ปัจจุบันเหลือ 4-5 ยูนิต เพราะผู้บริโภคชะลอซื้อ

เก๋งเล็กหดตัว-รถหรูวิ่งฉิว

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมยอดขายรถยนต์ 4 เดือนแรกปีนี้ ทำได้ทั้งสิ้น 251,845 คัน ลดลง 15.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาดรถยนต์นั่งอัตราการเติบโตลดลง 15.7% กระบะ 1 ตันและรถพีพีวีลดลง 20.6% มาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อปรับตัวลงต่อเนื่อง ทำให้ทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนต่างระมัดระวังทั้งในเรื่องการลงทุน และการใช้จ่าย ตลาดรถยนต์เดือนเมษายน มียอดขาย 54,058 คัน ลดลง 26.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งยังลดลงจากยอดขายช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ทำได้ 83,983 คัน

แหล่งข่าวฝ่ายบริหารบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า กลุ่มรถยนต์ขนาดเล็กและรถยนต์นั่งขนาดกลางลดลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นผลจากภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งสถาบันทางการเงินยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ทำให้สภาพคล่องในระบบลดลง ส่งผลกระทบถึงกำลังซื้อโดยรวมของผู้บริโภค อย่างไรก็ตามในกลุ่มรถหรูหรือรถระดับราคา 2-5 ล้านบาท ยังคงเติบโต

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ตลาดรถยนต์นั่งระดับราคาต่ำกว่าล้านบาท หรือกลุ่มรถเก๋งเล็กได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว ชัดเจน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นและกำลังซื้อในตลาดลดลง โดยเฉพาะลูกค้าระดับล่าง กลุ่มรถยนต์ตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไปยังมีการทำตลาดกันคึกคัก ล่าสุดเมอร์เซเดส-เบนซ์เปิดเกมรุกต่อเนื่อง ทั้งแผนเปิดตัวรถใหม่ปีนี้ถึง 15 รุ่น พร้อมอัดแคมเปญส่งเสริมการขาย ดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิ.ย. 2558 พร้อมรับประกันคุณภาพ 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

ตจว.ซบหนักจี้รัฐกระตุ้นเพิ่ม

นายสาธิต บุญทอง ประธานบริหาร บริษัท นราไฮเปอร์มาร์ท จำกัด กลุ่มทุนท้องถิ่นธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งรายใหญ่จังหวัดน่าน เปิดเผยว่า ปัจจุบันกำลังซื้อจากกลุ่มชนชั้นกลางยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งในจังหวัดน่านไม่คึกคักเท่าที่ควร โดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการ เนื่องจากส่วนใหญ่จะมีหนี้สิน แต่การปรับขึ้นเงินเดือนรอบใหม่จะส่งผลต่อภาพรวมให้ขยายตัวได้แม้ไม่มาก เพราะส่วนหนึ่งจะทยอยชำระหนี้สินเดิม และบางรายจะก่อหนี้สินเพิ่มหลังจากเงินเดือนเพิ่มขึ้น ในอนาคตอาจเกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ รัฐจึงต้องหามาตรการมากระตุ้นให้ชนชั้นกลางมีกำลังซื้อ

หนี้ครัวเรือนเพิ่ม-เชื่อมั่นลด

ผู้สื่อข่าวรายงานข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ณ สิ้นไตรมาส 4/2557 เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนอยู่ที่ 10.432 ล้านล้านบาท ซึ่งยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 85.9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แม้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะระบุว่า รายงานภาวะสังคมไทย ไตรมาส 1/2558 แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนชะลอตัวลง โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2558 มียอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ เพิ่มขึ้น 7.6% ซึ่งเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่เพิ่มขึ้นถึง 10.7% หนี้สินที่ก่อให้เกิดสินทรัพย์และกึ่งสินทรัพย์ (ที่ดิน ที่อยู่อาศัย รถยนต์ และรถจักรยานยนต์) เพิ่มขึ้น 5.9% ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นที่ 8.5% หนี้เพื่อการบริโภคอื่นเพิ่มขึ้น 12.4% มีอัตราชะลอลงเช่นกัน แต่หนี้เสียยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ขณะที่ศูนย์พยากรณ์ เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค. 2558 ปรับตัวลดลงที่ 75.6 จากเดือน เม.ย. 76.6 ลดลงต่ำสุดในรอบ 11 เดือน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อประชาชน โดยเฉพาะระดับกลางและระดับล่าง เห็นได้จากการซื้อขายสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งรถยนต์ชะลอตัว แต่ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต น่าจะกลับมาฟื้นได้ครึ่งหลังของปี

แรงซื้อ"ชั้นกลาง"ดิ่งไม่หยุด "รถ-บ้าน-ห้าง"ชะลอชัด/เร่งแคมเปญทุกทาง : ประชาชาติธุรกิจออนไล

 

กบง.เก็บเงินแอลพีจีเข้ากองทุนฯเพิ่ม มีมติไม่ปรับลดราคาตามตลาดโลก ชง"ณรงค์ชัย"เก็บภาษีเพิ่ม2บ./ลิตร updated: 09 มิ.ย. 2558 เวลา 10:30:20 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน มีการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยผลประชุมว่า มีมติให้คงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ขายปลีกเดือนมิถุนายน 2558 เท่าเดือนพฤษภาคมที่ระดับ 23.96 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) แม้ว่าราคาตลาดโลกจะลดลงเพื่อนำเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนบัญชีแอลพีจีจะเพิ่มเป็น 330 ล้านบาทต่อเดือน จากที่จัดเก็บอยู่ 112 ล้านบาทต่อเดือน หรือมีอัตรานำส่งเพิ่มจาก 0.63 บาทต่อ กก. เป็น 0.95 บาทต่อ กก. โดยมีผลวันที่ 9 มิถุนายนนี้

นายณรงค์ชัยกล่าวถึงกรณีการปรับภาษีสรรพสามิตแอลพีจีของกระทรวงพลังงานว่า ขอย้ำว่าเป็นนโยบายที่จะดำเนินการในส่วนของแอลพีจีภาคขนส่ง ตามนโยบายปรับโครงสร้างภาษีเชื้อเพลิงภาคขนส่งให้มีอัตราเท่าเทียมกัน จากปัจจุบันแอลพีจีขนส่งมีภาษีต่ำกว่าน้ำมัน 20-30% ทั้งนี้จะดำเนินการหลังกฎหมายภาษีสรรพสามิตใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว ?เป็นการเก็บภาษีปลายทางที่หัวจ่าย มั่นใจว่าจะไม่มีการลักลอบใช้ข้ามประเภท ผู้คิดจะใช้แอลพีจีภาคขนส่งต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าจะคุ้มหรือไม่ กระทรวงพลังงานส่งสัญญาณแล้ว? นายณรงค์ชัยกล่าว

ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ถึงความจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่มีกระแสบางส่วนโจมตีว่าทั่วโลกเลิกใช้แล้ว นายณรงค์ชัยกล่าวว่า อยากทำความเข้าใจ จากที่เดินทางไปฝรั่งเศสเมื่อเร็วๆ นี้พบว่ายังใช้กันอยู่ ยกเว้นสหรัฐที่ตั้งเป้าลดโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะพบแหล่งก๊าซจากชั้นหินดินดาน (เชลล์แก๊ส) จำนวนมาก ขณะที่ยุโรปมีนโยบายใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหินเพิ่มขึ้น ดังนั้นไทยยังคงเดินหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหิน กระบี่ตามแผน

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงานแจ้งว่า เบื้องต้นมีการกำหนดภาษีสรรพสามิตแอลพีจีขนส่งเพื่อเสนอนายณรงค์ชัยแล้ว โดยกำหนดเพิ่มอีกประมาณ 2 บาทต่อ กก. หรือประมาณ 1 บาทกว่าต่อลิตร จากปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 2.17 บาทต่อกก. หรือประมาณ 1.10 บาทต่อลิตร ดังนั้นเบ็ดเสร็จภาษีปลายทางจะอยู่ที่ 2 บาทต่อลิตร ไม่น่าเกินกว่านี้ เมื่อรวมกับราคาเนื้อแอลพีจีจึงถือว่าต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลและเบนซินมาก




ที่มา : นสพ.มติชน


กบง.เก็บเงินแอลพีจีเข้ากองทุนฯเพิ่ม มีมติไม่ปรับลดราคาตามตลาดโลก ชง"ณรงค์ชัย"เก็บภาษีเ

 

มาเลย์เปิดรายชื่อกลุ่มฝรั่งนู้ด บนเขา"คินาบาลู" โยงต้นเหตุธรณีพิโรธ-เกิดแผ่นดินไหว updated: 09 มิ.ย. 2558 เวลา 11:55:16 น.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2558 เดลี่เมล์รายงานว่า มาเลเซียเปิดเผยรายชื่อบางส่วนของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวตะวันตก 10 คน ที่โพสต์รูปถ่ายเปลือยกายบนยอดเขาคินาบาลูในรัฐซาบาห์ บนเกาะบอร์เนียว ซึ่งทางการและชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งดูแลรักษา เขาคินาบาลู และทำให้เหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.0 แม็กนิจูด เมื่อ 5 มิ.ย. จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย

นายโจเซฟ ไพริน คิตินกัน รองมุขมนตรีรัฐซาบาห์ ระบุว่าตำรวจได้สอบสวนจนพบว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวประกอบด้วย นายลินด์เซย์ และน.ส.ดาเนียล ปีเตอร์สัน ชาวแคนาดา นายดีแลน โธมัส และ น.ส.เอลีนอร์ ฮอว์รินส์ ชาวเนเธอร์แลนด์ และนายสตีเฟ่น โพลห์เนอร์ ชาวเยอรมัน

นายโจเซฟกล่าวด้วยว่า ตนเชื่อว่าการกระทำที่น่าประณามของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ก่อให้เกิดแผ่นดิน ไหว และนำมาซึ่งความสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้น ทางการได้ออกคำสั่งห้ามนักท่องเที่ยวทั้ง 5 คน เดินทางออกนอกประเทศ โดยจะกักตัวไว้สอบสวน และเตรียมยื่นเรื่องดำเนินคดี

เจ้าหน้าที่นำเที่ยวระบุว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ขึ้นเขาคินาบาลูพร้อมกับนักท่องเที่ยวอีก 17 คน แต่ออกนอกทางไปถ่ายรูปเปลือย เมื่อตนต่อว่ากลับถูกไล่ว่าให้ไปตายซะ

ด้านนายฟลอยด์ ปีเตอร์สัน พ่อของนายลินด์เซย์ และน.ส.ดาเนียล ให้สัมภาษณ์แคนา เดียนเพรส ว่าไม่คิดมาก่อนว่าลูกจะทำอย่างนี้ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศแคนาดาระบุว่า ทราบถึงการกักกันตัวสองพี่น้องปีเตอร์สันแล้ว ซึ่งกงสุลแคนาดาประจำมาเลเซียกำลังประสานงานกับทางการมาเลเซีย เพื่อช่วยเหลือพลเรือนชาวแคนาดาหากต้องถูกดำเนินคดีจริง


ที่มา : ข่าวสดออนไลน์

มาเลย์เปิดรายชื่อกลุ่มฝรั่งนู้ด บนเขา"คินาบาลู" โยงต้นเหตุธรณีพิโรธ-เกิดแผ่นดินไหว : ประ

 

โพลเผย “ชาวเกาหลีใต้-ชาวญี่ปุ่น” ส่วนใหญ่ไม่ไว้ใจกันและกัน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มิถุนายน 2558 12:53 น.



เอเอฟพี – โพลล่าสุดเผยให้เห็นในวันนี้ (9) ว่า ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูงลิ่ว ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธมิตรหลักของวอชิงตันในเอเชียทั้งสองนี้ยังคงเสื่อมถอยลงจากความคับแค้นฝังใจทางประวัติศาสตร์

ชาวญี่ปุ่นสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 73 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่า เพื่อนบ้านของพวกเขาไม่น่าไว้ใจ ขณะที่ชาวเกาหลีใต้ 85 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่า ไม่เชื่อใจโตเกียว การสำรวจร่วมระหว่างหนังสือพิมพ์รายวัน โยมิอุริ ชิมบุน กับ ฮันกุก อิลโบ ระบุ

ผลสำรวจดังกล่าวมีออกมาไม่ถึง 2 สัปดาห์ก่อนที่ทั้งสองประเทศนี้จะถึงกำหนดจัดงานรำลึกครอบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ในเวลาที่สายสัมพันธ์ของทั้งสองยังคงมึงตึงจากข้อพิพาทอันข่มขื่นเรื่องประวัติศาสตร์และดินแดน

มีชาวแดนกิมจิเพียง 4เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่คิดว่า ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่ขออภัยสำหรับการปกครองช่วงอาณานิคมและความโหดร้ายอื่นๆ ในช่วงปี 1910-1945 นั้น “เพียงพอ” แล้ว เทียบกับ 94 เปอร์เซ็นต์ที่ระบุว่า มันไม่เพียงพอ การสำรวจระบุ

ตัวเลขดังกล่าวเปรียบเทียบกับชาวแดนปลาดิบ 76 เปอร์เซ็นต์ที่คิดว่า รัฐบาลของพวกเขากระทำเพียงพอแล้วในการไถ่โทษเรื่องสงครามในอดีต ขณะที่ 17 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่า มันไม่เพียงพอ

เมื่อถามชาวเกาหลีใต้ว่าประเทศไหนวางตัวเป็นภัยคุกคามต่อประเทศของพวกเขา 6 ใน 10 ระบุว่าเป็น “ญี่ปุ่น“ โดยเป็นรองเพียงเกาหลีเหนือ ประเทศซึ่งผู้ตอบแบบสำรวจ 78 เปอร์เซ็นต์มองว่าเป็นความกังวลใจ

ชาวญี่ปุ่น 84 เปอร์เซ็นต์มองว่าจีนเป็นภัยคุกคามรายใหญ่ที่สุด รองลงมาเป็นเกาหลีเหนือ , รัสเซีย , สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ซึ่งถูกมองเป็นภัยคุกคามเพียง 23 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่นได้เคยเชิญชวนประธานาธิบดี พัค กึน-ฮเย แห่งเกาหลีใต้จัดการประชุมสุดยอด แต่กลับถูกปฏิเสธ ทั้งนี้ ผู้นำทั้งสองขึ้นสู่อำนาจในช่วงปลายปี 2012 และต้นปี 2013 ตามลำดับ

พัค ระบุว่า ไม่อาจมีการประชุมเกิดขึ้นได้จนกว่าญี่ปุ่นจะชดเชยเรื่องระบบทาสกามช่วงสงครามของพวกเขา ซึ่งได้เห็นสตรีที่ส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีใต้มากถึง 200,000 คนถูกบังคับกลายเป็นทาสให้กับกองทัพจักรพรรดิ

 

ลามไม่หยุด! โสมขาวพบเหยื่อ MERS ดับ “รายที่ 7” มีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มอีก 8 ราย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มิถุนายน 2558 10:30 น.



รอยเตอร์ – กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้เผยพบผู้ติดเชื้อไวรัสกลุ่มทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS) เพิ่มขึ้นอีก 8 รายในวันนี้ (9 มิ.ย.) ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มเป็น 95 ราย ขณะที่มีผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มอีกเป็นรายที่ 7

ทางการฮ่องกงได้สั่งเพิ่มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสจากเกาหลีใต้เป็นขั้น “รุนแรง” (serious) ขณะที่ในเกาหลีใต้เองก็เริ่มมีความวิตกกังวลว่าวิกฤตสาธารณสุขครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ

ประธานาธิบดี พัค กึน-ฮเย แห่งเกาหลีใต้ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายช่วยกันสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัส MERS ซึ่งถูกนำเข้ามายังแดนโสมขาวโดยนักธุรกิจคนหนึ่งที่เดินทางกลับจากตะวันออกกลางเมื่อเดือนที่แล้ว

ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งยุโรป ระบุว่า เวลานี้จำนวนผู้ติดเชื้อ MERS ในเกาหลีใต้จัดว่ามากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากซาอุดีอาระเบีย

ผู้เสียชีวิตรายที่ 7 เป็นหญิงวัย 68 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้ว และถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงโซลซึ่งพบว่ามีการแพร่กระจายของไวรัส MERS

สำหรับผู้ติดเชื้อใหม่ 3 รายที่ตรวจพบเมื่อวานนี้(8) ได้รับเชื้อมาจากห้องฉุกเฉินแห่งเดียวกันกับที่พบผู้ป่วย 37 ราย จากจำนวนทั้งหมด 95 รายทั้งประเทศ

กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้ยืนยันว่า ผู้ป่วยทั้ง 95 รายล้วนได้รับเชื้อจากสถานพยาบาลทั้งสิ้น

ทางการโสมขาวได้เริ่มใช้มาตรการติดตามโทรศัพท์มือถือของประชาชนกว่า 2,500 คนที่อยู่ในระยะกักโรค (quarantine) เนื่องจากอาจมีการติดต่อกับผู้ป่วย โดยคนกลุ่มนี้บางส่วนพักอยู่ในสถานพยาบาล แต่ส่วนใหญ่ยังคงอาศัยอยู่ที่บ้าน

การระบาดของไวรัส MERS ในเกาหลีใต้ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 1,244 คน ซึ่งในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 446 คน ตามข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก

ไวรัส MERS ซึ่งพบในมนุษย์เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2012 เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนาตระกูลเดียวกับโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ “ซาร์ส” ที่เคยระบาดหนักในจีนเมื่อปี 2003 ทว่ามีความรุนแรงมากกว่า และติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ยากกว่าเชื้อโรคซาร์ส

 

สลด!ISลักพาตัวหญิงสาวขายตลาดค้าทาสบำเรอกาม ราคาเท่า'บุหรี่หนึ่งซอง'
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มิถุนายน 2558 05:21 น.



เอเอฟพี - เหล่าเด็กหญิงที่ถูกนักรบรัฐอิสลาม(ไอเอส)ลักพาตัวในอิรักและซีเรีย ถูกนำตัวไปขายในตลาดค้าทาส โดยบางคนมีราคาเท่ากับบุหรี่ซองเล็กๆเท่านั้น ทูตของสหประชาชาติด้านความรุนแรงทางเพศเปิดเผยในวันจันทร์(8มิ.ย.)

ไซนับ บันกูรา ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติที่เดินทางเยือนอิรักและซีเรียในเดือนเมษายน และนับตั้งแต่นั้นก็กำลังดำเนินการวางแผนปฏิบัติการเพื่อจัดการกับปัญหาความรุนแรงทางเพศอันน่าขยะแขยงที่ก่อโดยพวกนักรบรัฐอิสลาม "นี่คือสงคราม ที่กำลังต่อสู้บนเรือนร่างของผู้หญิง" เธอให้สัมภาษณกับเอเอฟพี

ทูตของยูเอ็นรายนี้ได้พูดคุยกับผู้หญิงและเด็กหญิงที่สามารถหลบหนีออกมาจากการคุมขังในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของไอเอส พร้อมทั้งหารือกับแกนนำทางการเมืองและทางศาสนาท้องถิ่น รวมถึงพบปะกับเหล่าผู้ลี้ภัยในตุรกี เลบานอนและจอร์แดน

เธอเล่าต่อว่าพวกญิฮัดเป็นผู้ดูแลตลาดค้าทาสสำหรับเด็กผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวระหว่างปฏิบัติการจู่โจมระลอกใหม่ แต่ไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนว่ามีเหยื่อจำนวนเท่าไหร่ที่อยู่ภายใต้การกดขี่ของพวกนักรบ "พวกเขาฉุดและลักพาตัวผู้หญิงไปยังพื้นที่ของพวกเขา จากนั้นเด็กผ้หญิงเหล่านั้นก็จะถูกขายในราคาถูกสุดพอๆกับบุหรี่หนึ่งซอง ไปจนถึงหลักร้อยหรือพันดอลลาร์"

บันกูราบอกว่าเด็กสาววัยรุ่นที่ต้องทนทุกข์ทรมานเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นชนกลุ่มน้อยยาซาดี "บางคนถูกพาตัวไปขังอยู่ในห้อง มากกว่า 100 คนต้องแออัดอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ถูกจับถอดเสื้อผ้าและขัดถูกทำความสะอาด" จากนั้นก็ถูกพาไปยืนต่อหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะให้ราคาเท่าไหร่

ทูตของยูเอ็นเล่าต่อว่ามีเด็กหญิงวัย 15 ปีคนหนึ่งถูกขายให้กับสมาชิกระดับแกนนำของไอเอส อาวุราวๆ 50 ปี ที่งัดปืนและท่อนไม้มาให้เธอดู ก่อนถามว่า "เลือกมา ว่าจะเอาอย่างไหน" ทางเด็กหญิงสอบว่า "ปืน" ทว่าคำตอบที่ได้รับคือ "ไม่ ข้าไม่ได้ซื้อแกมาเพื่อให้แกฆ่าตัวตายซะหน่อย" จากนั้นเขาก็ลงมือขยี้กามเธอ

การลักพาตัวเด็กสาวกลายเป็นส่วนสำคัญของยุทธศาตร์เกณฑ์นักรบต่างชาติของไอเอส ท่ามกลางข้อมูลที่พบว่าช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา มีนักรบต่างชาติเดินทางไปยังอิรักและซีเรียเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ "นี่คือวิธีดึงดูดคนหนุ่ม เรามีผู้หญิงรอพวกคุณอยู่ สาวบริสุทธิ์ที่คนสามารถเสพสุขได้"

นักรบต่างชาติถือเป็นกระดูกสันหลังในการสู้รบของไอเอส โดยจากรายงานของสหประชาชาติเมื่อเร็วๆนี้พบว่ามีนักรบต่างชาติเกือบ 25,000 คนจาก 100 ประเทศ เกี่ยวข้องในความขัดแย้งทั่วโลก โดยส่วนใหญ่แล้วไหลบ่าเข้าสู่ซีเรียและอิรัก

 

น้ำมันสหรัฐฯลง$1หุ้นมะกันปิดลบ-ทองคำขึ้นกังวลวิกฤตหนี้กรีซ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มิถุนายน 2558 04:28 น.



เอเอฟพี/รอยเตอร์ - ราคาน้ำมันเมื่อวันจันทร์(8มิ.ย.) ขยับลงพอสมควร หลังโอเปกไม่ลดกำลังผลิตและแนวโน้มบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ส่วนวอลล์สตรีทก็ปรับลด จากความกังวลต่อวิกฤตหนี้กรีซ ปัจจัยดังกล่าวผลักให้นักลงทุนถือครองสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ ดันทองคำปิดบวก

น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม ลดลง 99 เซนต์ ปิดที่ 58.14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 62 เซนต์ ปิดที่ 62.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

นักลงทุนใคร่ครวญถึงผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ตามหลัง 12 ชาติสมาชิกโอเปกมีมติเมื่อวันศุกร์(5มิ.ย.) ไม่ปรับลดกำลังผลิต แม้ราคาน้ำมันร่วงลงอย่างมากตั้งแต่ปีที่แล้ว

ขณะเดียวกันราคาน้ำมันในวานนี้(8มิ.ย.) ยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากข่าว 6 ชาติมหาอำนาจ ได้แก่อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซียและสหรัฐฯ กำลังพยายามหาทางบรรลุข้อตกลงจำกัดความทะเยอทะยานทางนิวเคลียร์ของเตหะราน

ทั้งนี้หากสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงจริงและมีผลบังคับใช้ เหล่าชาติมหาอำนาจจะค่อยๆถอนมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านตามลำดับ เปิดทางให้เตหะรานส่งออกน้ำมันได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันจันทร์(8มิ.ย.) ปิดลบตามตลาดทุนยุโรป นักลงทุนกังวลว่ากรีซจะผิดนัดชำระหนี้และเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยก่อนกำหนด

ดาวโจนส์ ลดลง 82.91 จุด (0.46 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 17,766.55 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 13.55 จุด (0.65 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,079.28 จุด แนสแดค ลดลง 46.83 จุด (0.92 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 5,021.63 จุด

นักลงทุนเทขายหุ้น หลังจากข้อมูลภาคแรงงานที่แข็งแกร่งเมื่อวันศุกร์(5มิ.ย.) ก่อแรงคาดเดาว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) อาจขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วสุดในเดือนกันยายน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าตลาดน่าจะยังผันผวนอย่างนี้ต่อไปจนกว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยจริง

ในอีกด้านหนึ่ง เจ้าหน้าที่กรีซพบปะกับนายปิแอร์ มอสโกวิซี กรรมาธิการเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อวันจันทร์(8มิ.ย.) เพื่อหารือถึงมาตรการปฏิรูปใดบ้างที่เอเธนส์จำเป็นต้องบังคับใช้เพื่อให้ได้รับเงินกู้งวดใหม่ อย่างไรก็ตามจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีข้อเสนอใหม่จากกรีซที่จะทำให้เหล่าเจ้าหนี้นานาชาติยอมตอบตกลงด้วย

ความอ่อนแอของตลาดหุ้นอันเนื่องจากวิกฤตหนี้กรีซและดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาทองคำเมื่อวันจันทร์(8มิ.ย.) ปิดบวกพอสมควร ขณะที่นักลงทุนต้องการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 5.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,173.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

แฉความจริง'SEAL Team 6'วิวัฒนาการสู่'หน่วยล่าสังหารระดับโลก'
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มิถุนายน 2558 00:10 น.



เอเอฟพี - "ซีลทีม6(SEAL Team 6)" หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่เด็ดหัวอุซามะห์ บินลาเดน ได้พัฒนาสู่หน่วยล่าสังหารระดับโลกไปแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็ก่อคำถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบขององค์กรแห่งนี้ที่ถูกแฉว่าบางครั้งก็กระทำการเกินกว่าขอบเขต หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานเมื่อวันอาทิตย์(7มิ.ย.)

ข้อมูลของนิวยอร์กไทม์สระบุว่าหน่วยซีลแห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ เติบโตทั้งด้านขนาดและความสำคัญนับตั้งแต่โศกนาฏกรรม 9/11 โดยปฏิบัติการจู่โจมสร้างความอ่อนแอแก่เครือข่ายกองกำลังติดอาวุธนับพันแห่ง อย่างเช่นในอัฟกานิสถานและโซมาเลีย

นิวยอร์กไทม์สอ้างข้อมูลจากการสัมภาษณ์ทั้งอดีตและสมาชิกปัจจุบันของหน่วยซีลทีม6 เผยว่าพวกเขาต่อสู้เคียงข้างหน่วยปฏิบัติการกึ่งทหารของสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) โดยจะปฏิบัติภารกิจจากเรือสายลับที่อำพรางตัวเป็นเรือสินค้า และคอยจับตามองเป้าหมายน่าสงสัยต่างๆในฐานะสายลับที่แฝงตัวอยู่ในสถานทูตต่างๆของอเมริกา

"จากครั้งหนึ่งที่เป็นแค่กลุ่มเล็กๆถูกสำรองไว้สำหรับปฏิบัติภารกิจพิเศษที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก แต่หน่วยนี้ที่สร้างชื่อเสียงจากการจู่โจมลอบสังหารอุซามะห์ บินลาดิน ได้เปลี่ยนจากการหน่วยสู้รบกลายเป็นหน่วยล่าสังหารระดับโลกไปแล้ว" นิวยอร์กไทม์สระบุ

อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็มีชื่อเสียงในด้านไม่ดี เนื่องจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษทีมนี้ยังคงเป็นองค์กรลับที่สุดและถูกตรวจสอบน้อยที่สุดในกองทัพสหรัฐฯ ขณะเดียวกันปฏิบัติการของพวกเขาก็ก่อความกังวลต่อการสังหารเป้าหมายเกินขอบเขตและทำให้พลเมืองผู้บริสุทธิ์ต้องมาเสียชีวิตอย่างเลยเถิด

ยกตัวอย่างเช่นในเหตุการณ์เมื่อปี 2012 แพทย์ชาวอเมริกันรายหนึ่งได้รับความช่วยเหลือพ้นเงื้อมมือพวกตอลิบานที่จับตัวเขาไป แต่ในขณะที่รู้สึกยินดีกับอิสรภาพ แพทย์รายนี้บอกกับนิวยอร์กไทม์สว่าหนึ่งในคนร้ายที่ลักพาตัวเขาถูกหน่วยซีลฆ่าตายหลังมีชีวิตรอดจากการจู่โจม และสุดท้ายพบว่าคนร้ายทั้ง 5 คนถูกสังหารทิ้งทั้งหมด

ปฏิบัติการยามค่ำคืนช่วยเหลือ ลินดา นอร์โกรฟ เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ชาวอังกฤษที่ถูกลักพาตัวในอัฟกานิสถาน จบลงด้วยความสูญเสียของตัวประกัน โดยเธอเสียชีวิตหลังถูกสมาชิกทีมซีลปาระเบิดเข้าใส่ เนื่องจากคิดว่าเธอเป็นคนร้าย

รายงานของนิวยอร์กไทม์สระบุว่าปี 2006 คือจุดเปลี่ยนสำคัญแห่งการปฏิวัติหน่วยซีล เมื่อพลโท สเตนลีย์ แมคคริสเติล มีคำสั่งเพิ่มบทบาทหน้าที่ให้กับหน่วยปฏิบัติการพิเศษเพื่อกำจัดกลุ่มตอลิบาน โดยทีม 6 ถูกกำหนดให้เป็นผู้นำกองกำลังปฏิบัติการพิเศษดังกล่าว ซึ่งไม่ใช่แค่ดำเนินการจู่โจมยามค่ำคืน แต่ยังร่วมสู้รบเป็นประจำมากขึ้นด้วย

หลายสัปดาห์ระหว่างปี2006ถึง2008 หน่วยซีลสังหารเป้าหมายคืนละ 10 ถึง 15 คน และบางครั้งก็มากถึง 25 คน "การเข่นฆ่ากลายเป็นงานประจำของพวกเขาไปแล้ว" อดีตสมาชิกซีลทีม6บอกกับนิวยอร์กไทม์ส ขณะที่อดีตสมาชิกอีกคนเสริมว่า "สิ่งเลวร้ายกำลังดำเนินอยู่ หากถามผมว่ามีการเข่นฆ่ามากกว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่ คำตอบคือใช่แน่นอน ผมคิดว่ามันเป็นแนวโน้มของสัญชาตญาณตอนที่มีภัยคุกคาม คือฆ่ามันซะ แต่ต่อมา คุณก็ตระหนักว่า โอ้ บางทีผมอาจประเมินภัยคุกคามเลยเถิดไป"

ᩤ

 

รมว.ต่างประเทศผู้ดีลั่น เป็นไปได้ที่ “มิสไซล์สัญชาติสหรัฐฯ” จะตั้งในอังกฤษอีกครั้งหลังยุคสงครามเย็น เพื่อกำราบปูติน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 มิถุนายน 2558 20:42 น. (แก้ไขล่าสุด 8 มิถุนายน 2558 20:47 น.)



เอเจนซีส์ – รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ฟิลิป แฮมมอนด์ แถลงส่งสัญญาณไปยังประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน เมื่อวานนี้(7)ว่า มีความเป็นไปได้ที่อังกฤษจะยอมอนุญาตให้สหรัฐฯตั้งฐานปล่อยจรวดขีปนาวุธสหรัฐฯอีกครั้ง หลังจากที่ความตรึงเครียดระหว่างรัสเซียและสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นมากตามลำดับ ท่ามกลางความกังวลว่าการส่งสัญญาณล่าสุดอาจจะทำให้รัสเซียส่งสัญญาณตอบโต้ผ่านการเคลื่อนไหวทางการทหารมากขึ้นกว่าเดิม

เดลีเมล สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้(8)ว่า รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ฟิลิป แฮมมอนด์ ได้แถลงถึงช่องทางที่อาจเปิดให้อังกฤษพิจารณาที่จะอนุญาตให้สหรัฐฯสามารถตั้งฐานขีปนาวุธแบบร่อนได้ภายในประเทศอีกครั้ง ถึงแม้ว่าการส่งสัญญาณเตือนครั้งนี้ออกไปยังประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน อาจกลายเป็นสิ่งที่จะทำให้รัสเซียเพิ่มความเคลื่อนไหวทางการทหารมากขึ้น รวมไปถึงการที่เครมลินสั่งติดตั้งฐานปล่อยจรวดมิสไซล์ในมณฑลคาลินินกราด (Kaliningrad) ดินแดนรัสเซียในเขตทะเลบอลติก นอกฝั่งแผ่นดินใหญ่

ทั้งนี้สหรัฐฯกำลังพิจารณาถึงการปัดฝุ่นสนธิสัญญายุคสงครามเย็นเพื่อต้องการติดตั้งฐานปล่อยจรวดมิสไซล์ในทวีปยุโรปตอบโต้การคุกคามทางการทหารของรัสเซีย

ในการตอบข้อซักถามในรายการ BBC 1 ในวันอาทิตย์(7) แฮมมอนด์กล่าวยอมรับว่า ทางอังกฤษจะพิจารณาข้อเสนอของสหรัฐฯ เพราะทางอังกฤษทำงานร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสหรัฐฯในฐานะประเทศพันธมิตร “การตัดสินใจจะเกิดขึ้นจากทั้งสองฝ่ายหากมีข้อเสนอนี้บนโต๊ะเจรจา เพราะทางอังกฤษคิดว่า เราต้องส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังรัสเซียว่า ทางเราจะไม่มีวันยอมให้รัสเซียล้ำเส้นแดงเด็ดขาด” แฮมมอนด์แถลง

แต่อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษระบุว่า ทางชาติตะวันตกไม่ต้องการยั่วยุรัสเซีย และกล่าวว่า มิสไซล์ติดหัวรบนิวเคลียร์ถือเป็นหนึ่งในทางทฤษฎี เพราะการที่จะทำเช่นนั้นรังแต่จะทำให้ยุคสงครามเย็นที่มีการแข่งขันสะสมอาวุธกลับมาอีกครั้ง และเพิ่มแรงกดดันสถานการณ์ยูเครนให้กลับเลวร้ายหนักขึ้น

สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า ในยุค 80 สหรัฐฯเคยติดตั้งฐานปล่อยจรวดขีปนาวุธที่ฐานทัพอากาศอังกฤษ RAF Greenham Common ในเบิร์กเชียร์ ส่งผลทำให้เกิดการปะทะอย่างหนักระหว่างผู้ประท้วงไม่เห็นด้วยซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรีซึ่งตั้งแคมป์ปักหลักรอบบริเวณนั้นและเจ้าหน้าที่ตำรวจอังกฤษ โดยในเดือนเมษายน 1983 มีการสร้างโซ่มนุษย์ไกลถึง 14 ไมล์ขึ้นจากจำนวนผู้ประท้วงราว 70,000 คน ที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่กรีนแฮม (Greenham )ไปยังอัลเดอร์มาสตัน( Aldermaston )และไปถึงโรงงานสรรพาวุธที่เบิร์กห์ฟิลด์ (Burghfield)

ทั้งนี้อาวุธจรวดมิสไซล์ของสหรัฐฯยังประจำการประจำฐานทัพอังกฤษตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 1983 ไปจนถึงเดือนมีนาคม 1991 ผลมาจากที่สหรัฐฯและสหภาพโซเวียตได้ลงนามสนธิสัญญาปลดอาวุธร่วมกันในปีนั้น

สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า แฮมมอนด์กล่าวย้ำว่า ในขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณชัดเจนในการโจมตียูเครน แต่กล่าวว่าประธานาธิบดีปูติน "ยังคงเปิดช่องทางนี้ไว้เพื่อเป็นทางเลือก"

 

ฝรั่งเศสเปิดศาลคดีโกง 'ชีสมหัศจรรย์' | เดลินิวส์



นักธุรกิจหญิงชาวฝรั่งเศสต้นตอคดีแชร์ลูกโซ่ 'ชีสมหัศจรรย์' มูลค่ากว่า 544 ล้านบาท ถูกนำตัวขึ้นศาลในฝรั่งเศส วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2558 เวลา 4:34 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ว่า นางจิลเบิร์ต ฟาน เออร์ป นักธุรกิจหญิงชาวฝรั่งเศสวัย 74 ปี พร้อมพวกอีก 3 คน ถูกนำตัวขึ้นศาลที่กรุงปารีสเมื่อวันจันทร์ ในการพิจารณาคดี "ชีสมหัศจรรย์" ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายราว 14.5 ล้านยูโร (ประมาณ 544.7 ล้านบาท) และผู้เสียหายหลายพันคนในชิลี นับเป็นคดีฉ้อโกงแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดคดีหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้

กรณีของ "ชีสมหัศจรรย์" เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2548 นางจิลเบิร์ต หรือที่รู้จักกันในนามมาดามจิล เดินทางเปิดการอบรมไปทั่วชิลี ชักชวนให้ผู้สนใจเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจชีสมหัศจรรย์ของเธอ ภายใต้ชื่อบริษัทเฟอร์แมกซ์ ชิลี ที่มีสาขาราว 20 แห่งทั่วประเทศ โดยอ้างว่า มีผลิตภัณฑ์ลักษณะเป็นผงแป้ง ซึ่งสามารถนำไปหมักเป็นชีสได้เพียงแค่เติมนมลงไป ซึ่งชีสดังกล่าวสามารถส่งขายต่อในราคาสูงให้กับบริษัทเครื่องสำอางค์ชั้นนำของฝรั่งเศส เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบ โดยชุดอุปกรณ์ผลิตชีสราคาตกอยู่ที่ชุดละ 369 ยูโร (ประมาณ 13,860 บาท)

ในการเริ่มต้น เหยื่อที่สมัครเป็นสมาชิกจะได้รับสินค้าฟรีคนละ 1 ชุด และมีการจ่ายเงินปันผล ซึ่งบริษัทรับประกันว่าผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายใน 4 เดือน จากนั้นจึงเป็นไปในรูปแบบแผนธุรกิจพีระมิด ที่จำเป็นต้องมีการหาสมาชิกเพิ่มและซื้อสินค้าเพิ่มเพื่อผลกำไรที่มากขึ้น เหยื่อหลายคนหันไปชักชวนเพื่และครอบครัว นำเงินเก็บมาลงทุน ขายบ้านและทรัพย์สิน บางรายถึงขั้นลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำงานผลิตชีสแบบเต็มเวลา ซึ่งมีผู้ตกเป็นเหยื่อขบวนการฉ้อโกงนี้ราว 5,500 คน มูลค่าความเสียหายอยู่ที่ราว 400 - 168,000 ยูโร (ประมาณ 15,000 - 6,300,000 บาท)

แผนฉ้อโกงดังกล่าวถูกเปิดโปงเมื่อเดือน ก.ค. 2549 และมาดามจิลถูกจับกุมได้ที่เมืองนีซ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสในปี 2551 ซึ่งจากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าวชิลีพบว่า ไม่เคยมีการส่งออกชีสตามที่แอบอ้าง ชีสหลายตันถูกปล่อยให้เน่าเสียอยู่ในโกดังเก็บสินค้าแห่งหนึ่งในชิลี

ทั้งนี้ ทางการฝรั่งเศสไม่สามารถส่งตัวมาดามจิลกลับไปดำเนินคดีที่ชิลีได้ จึงต้องดำเนินการฟ้องร้องที่ศาลในกรุงปารีส จากการตรวจสอบประวัติพบว่า หลายปีก่อนหน้านี้ มาดามจิลเคยก่อเหตุฉ้อโกงในลักษณะเดียวกันโดยมีเหยื่อเป็นชาวเปรูหลายพันราย. “

อ่านต่อที่ : ฝรั่งเศสเปิดศาลคดีโกง 'ชีสมหัศจรรย์' | เดลินิวส์

 

ขาเทียม 'รู้สึกได้' ความหวังใหม่ผู้พิการ | เดลินิวส์





นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรียคิดค้นขาเทียมที่สามารถทำให้ผู้ใช้รับรู้ความรู้สึกได้ในทุกการก้าวเดินครั้งแรกของโลก วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2558 เวลา 23:56 น.

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ว่า ศาสตราจารย์อูเบอร์ต เอกเกอร์ จากมหาวิทยาลัยลินซ์ในออสเตรีย เผยความสำเร็จในการคิดค้นขาเทียมที่ทำให้ผู้สวมใส่สามารถรับรู้ความรู้สึกของขาส่วนที่เสียไปได้ ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

การทำงานของสิ่งประดิษฐ์นี้ เป็นกระบวนการทำงาน 2 ทาง เริ่มจากการรื้อและเชื่อมต่อส่วนปลายของเส้นประสาทเท้าที่ยังหลงเหลือจากตอขาของผู้ป่วย ไปยังเนื้อเยื่อที่สมบูรณ์ดีที่ต้นขา โดยจัดวางให้อยู่ใกล้ผิวหนังด้านบนมากที่สุด

จากนั้นจึงติดตั้งเซนเซอร์รับสัญญาณ 6 ตัวที่พื้นเท้าของขาเทียม โดยอุปกรณ์ขาเทียมที่ใช้เป็นแบบที่มีน้ำหนักเบา และเชื่อมต่อตัวรับสัญญาณนั้นไปยังตัวกระตุ้นบริเวณเบ้าของขาเทียมซึ่งเป็นส่วนที่รองรับตอขา และเมื่อผู้ใช้ลงน้ำหนักในการก้าวเดิน สัญญาณจากพื้นเท้าขาเทียมจะถูกส่งไปยังสมอง

ศ.เอกเกอร์ อธิบายว่า โดยปกติแล้ว ตัวรับสิ่งเร้าบริเวณผิวหนังที่เท้าจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณนี้ แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยสูญเสียอวัยวะไป จะไม่มีตัวรับสิ่งเร้านั้น แต่เส้นประสาทก็ยังคงอยู่ เพียงแต่ไม่ได้รับการกระตุ้นเท่านั้น

เมื่อปี 2553 เอกเกอร์เคยนำเสนอแขนเทียมที่ควบคุมได้โดยสมอง ซึ่งสามารถควบคุมได้โดยใช้ประสาทสั่งการซึ่งปกติแล้วจะเชื่อมต่อกับอวัยวะ ในกรณีนี้มีหลักการทำงานที่คล้ายกัน เพียงแต่เป็นกรบวนการย้อนกลับที่ส่งข้อมูลจากอวัยวะไปยังสมองแทน

ผู้ที่เข้ารับการทดลองครั้งนี้คือนายโวล์ฟกัง แร็งเกอร์ อดีตครูชาวออสเตรียวัย 54 ปี สูญเสียขาขวาจากลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะสมองขาดเลือด จากการทดลองใช้ขาเทียมใหม่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา แร็งเกอร์เผยว่า เขารู้สึกราวกับว่ากลับมามีเท้าจริงอีกครั้ง เขาไม่ลื่นล้มบนน้ำแข็งอีกแล้ว และยังสามารถบอกได้ถึงความแตกต่างของพื้นผิวที่เขาเหยียบลงไป ไม่ว่าจะเป็นกรวด คอนกรีต หญ้า หรือทราย

นอกจากนี้ อีกหนึ่งคุณสมบัติพิเศษของขาเทียมไฮเทคนี้ คือกำจัดอาการเจ็บปวดที่เรียกว่า ความรู้สึกปวดปลายต่อตอขา ซึ่งเป็นความเจ็บปวดที่เกิดจากการที่สมองเพิ่มการรับรู้ในระดับที่เข้มข้นขึ้น เพื่อควานหาการส่งสัญญาณจากอวัยวะที่หายไป

พฤติกรรมดังกล่าวของสมองทำให้การรับความรู้สึกบริเวณตอขาเป็นไปในระดับที่รุนแรงกว่าปกติ บวกกับประสบการณ์จากการสูญเสียอวัยวะที่ตอกย้ำความทรงจำที่เจ็บปวด ซึ่งการเชื่อมต่อการรับรู้ของเส้นประสาทด้วยสิ่งประดิษฐ์นี้ เป็นการเติมเต็มช่องว่าง และทำให้สมองกลับมารับรู้ข้อมูลตามจริงอีกครั้ง

ทั้งนี้ เอกเกอร์หวังว่าเขาจะได้รับการสนับสนุนจากบริษัทที่สนใจ เพื่อช่วยในการผลิต และทำให้ราคาต้นทุนของขาเทียมนี้ลดลง ราคาของขาเทียมไฮเท็คในขณะนี้อยู่ระหว่าง 10,000 - 30,000 ยูโร (ประมาณ 375,600 - 1,100,000 บาท) โดยเขาเชื่อว่ามันจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูญเสียอวัยวะให้ดีขึ้น และกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง เพราะว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนป่วย เพียงแค่มีส่วนที่ขาดหายไปเท่านั้นเอง.“

อ่านต่อที่ : ขาเทียม 'รู้สึกได้' ความหวังใหม่ผู้พิการ | เดลินิวส์

 

รัสเซียเร่งการสร้างป้อมค่ายบนหมู่เกาะคูริล | เดลินิวส์



รมต.กลาโหมรัสเซียสั่งให้รีบเร่งการก่อสร้าง สิ่งปลูกสร้างและระบบสาธารณูปโภคทางทหารและพลเรือน บนหมู่เกาะคูริลที่กำลังเป็นชนวนขัดแย้งแย่งกรรมสิทธิกับญี่ปุ่น วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2558 เวลา 4:13 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ว่า นายเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย มีคำสั่งเมื่อวันจันทร์ ให้รีบเร่งทำการก่อสร้าง สิ่งปลูกสร้างและระบบสาธารณูปโภค สำหรับกองทัพและพลเรือน บนหมู่เกาะคูริล ทางเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก ที่รัสเซียและญี่ปุ่นต่างก็กรรมสิทธิ หมู่เกาะพิพาทที่รัสเซียเรียก คูริล และญี่ปุ่นเรียก ดินแดนภาคเหนือ (Northern Territories) ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศตึงเครียด นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพโซเวียตบุกยึดครอง 4 เกาะ ทางตอนใต้สุดของหมู่เกาะแห่งนี้

แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ระบุว่า นายชอยกูออกคำสั่งดังกล่าว ระหว่างการตรวจเยี่ยมหน่วยทหาร ที่เมืองท่าวลาดิวอสตอก ทางภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย แต่ไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม มอสโกสร้างความไม่พอใจแก่โตเกียวอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยการที่ผู้นำระดับสูงเดินทางเยือนหมู่เกาะคูริลอย่างเป็นทางการหลายครั้ง รวมทั้งเพิ่มกิจกรรมทางทหารบนเกาะ รัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่าหมู่เกาะแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอาณาเขตของตน และต้องการให้มอสโกส่งมอบให้ญี่ปุ่น.“

อ่านต่อที่ : รัสเซียเร่งการสร้างป้อมค่ายบนหมู่เกาะคูริล | เดลินิวส์

 

นาซาทดสอบนำยานอวกาศลงจอดดาวอังคาร | เดลินิวส์

องค์การนาซาสหรัฐทำการทดสอบเหนือท้องฟ้าหมู่เกาะฮาวาย เพื่อนำยานและมนุษย์อวกาศลงจอดบนดาวอังคารในอนาคต วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2558 เวลา 3:04 น.



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองฮอนโนลูลู ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ของสหรัฐ กำลังใช้น่านน้ำฟ้าเหนือเกาะบริวารเกาะหนึ่งของหมู่เกาะฮาวาย ในมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นสถานที่ทดลองเทคโนโลยีใหม่ ที่ต้องการใช้สำหรับการนำยานขนาดใหญ่กว่า พร้อมกับนักบินอวกาศ ร่อนลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารในอนาคต โดยบอลลูนขนาดยักษ์ได้ยกยานทดสอบ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเหนือท้องฟ้า เมื่อวันจันทร์ เพื่อเตรียมปล่อยยานกลางอากาศ





การทดลองจะเป็นการตรวจสอบเทคโนโลยี ที่ออกแบบเพื่อชะลอการร่อนลงจอดของยานขนาดใหญ่ ขณะที่มันหล่นลงผ่านชั้นบรรยากาศ ด้วยอัตราความเร็วเหนือเสียง การปล่อยยานลงจะเริ่มที่ระดับความสูง 54 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก ซึ่งเป็นระดับที่มีสภาพแวดล้อมคล้ายคลึงกับชั้นบรรยากาศที่เบาบางของดาวอังคาร.“



อ่านต่อที่ : นาซาทดสอบนำยานอวกาศลงจอดดาวอังคาร | เดลินิวส์

 

มูลค่านำเข้า-ส่งออกของจีนยังไม่ดีขึ้น | เดลินิวส์



สถิติการส่งออกสินค้าของจีนลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนพ.ค. ขณะที่ตัวเลขการนำเข้าในช่วงเวลาเดียวกันต่ำกว่าความคาดหมาย วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2558 เวลา 15:53 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ว่าสำนักงานศุลกากรกลางของจีนรายงานสถานการณ์การนำเข้าและส่งออกสินค้าของประเทศประจำเดือนพ.ค. ว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าลดลงจากเดือนเม.ย. ร้อยละ 17.6 มาอยู่ที่ 131,260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 4.42 ล้านล้านบาท ) เลวร้ายกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ ว่าจะลดลงราวร้อยละ 10 และหากคำนวณเป็นเงินหยวนจะลดลงมากถึงร้อยละ 18.1 ต่ำที่สุดในรอบ 7 เดือน

ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศในช่วงเวลาเดียวกันลดลงร้อยละ 2.5 จากสถิติเมื่อเดือนเม.ย. มาอยู่ที่ 190,750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 6.42 ล้านล้านบาท ) และลดลงร้อยละ 2.8 หากคำนวณเป็นเงินหยวน แม้เป็นตัวเลขที่ดีเกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ แต่ถือเป็นสถิติลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และทำให้มูลค่าการค้าของจีนเมื่อเดือนพ.ค.ยังคงเกินดุลอยู่ในระดับสูงที่ 59,490 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 2 ล้านล้านบาท )

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประชาชนจีน ( พีอีโอซี ) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากระยะ 1 ปี มาอยู่ที่ร้อยละ 5.1 และ 2.25 ตามลำดับ เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในรอบ 6 เดือนนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว เพื่อหวังฉุดรั้งบรรยากาศทางเศรษฐกิจซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองเพียงสหรัฐ ให้หลุดพ้นจากภาวะซบเซา“

อ่านต่อที่ : มูลค่านำเข้า-ส่งออกของจีนยังไม่ดีขึ้น | เดลินิวส์

 

ชี้การท่องเที่ยว 'กรุงเทพฯ' เสี่ยงทรุดหากยังหวังพึ่งแต่ทัวริสต์จีน | เดลินิวส์



รายงานการวิเคราะจากมาสเตอร์การ์ด เตือนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทยและสิงคโปร์ ที่มุ่งเน้นดึงดูดแต่นักท่องเที่ยวจีน ว่าเสี่ยงต่อการซบเซาอันเนื่องมาจากการขาดความหลากหลาย วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2558 เวลา 20:26 น.

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ว่า ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า แม้เมืองท่องเที่ยวสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างกรุงเทพฯ ของไทย และประเทศสิงคโปร์ จะติดอันดับเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางในฝันของของนักท่องเที่ยว แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะก้าวเข้าสู่ภาวะซบเซา เนื่องจากพึ่งพิงกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีนมากเกินไปจนขาดความหลากหลาย

รายงานการวิเคราะห์จากมาสเตอร์การ์ด ผู้ให้บริการด้านการเงินระดับโลก ระบุว่า เมื่อปีที่ผ่านมา สัดส่วนนักท่องเที่ยวชาวจีนในภูมิภาคนี้คิดเป็นร้อยละ 13 ซึ่งมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มอื่น ขณะที่ตัวเลขของเมื่อ 5 ปีที่แล้วอยู่ต่ำกว่าร้อยละ 6 รายงานยังระบุว่า สำหรับประเทศที่การเติบโตของเศรษฐกิจพ่วงอยู่กับการท่องเที่ยวเป็นหลัก เมืองที่มีความหลากหลายจะมีความยั่งยืนมากกว่า การขยายฐานกลุ่มนักท่องเที่ยวให้กว้างขึ้นจึงนับเป็นกลยุทธ์สำคัญ

เมืองที่มีความหลากหลายมากที่สุด คือเมืองอิสตันบูลของตุรกีที่ได้รับการจัดอันดับเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับ 6 ของโลก โดยกว่าครึ่งของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองนี้มาจาก 33 ประเทศ ตามมาด้วยกรุงลอนดอนของอังกฤษ จุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของโลก มีความหลากหลายเป็นอันดับ 2 ขณะที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย มีความหลากหลายของผู้มาเยือนอยู่ที่อันดับ 7.“

อ่านต่อที่ : ชี้การท่องเที่ยว 'กรุงเทพฯ' เสี่ยงทรุดหากยังหวังพึ่งแต่ทัวริสต์จีน | เดลินิวส์

 

เมียนมายันไม่มีค้ามนุษย์ในยะไข่ | เดลินิวส์



ตำรวจเมียนมากวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา จับกุมได้ 93 คน โดยระบุว่าไม่มีการจับกุมเกิดขึ้นในรัฐยะไข่ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของชาวโรฮีนจา ขณะที่ผู้อพยพทางเรือที่รัฐบาลเมียนมาช่วยได้ส่วนหนึ่งถูกส่งกลับบังกลาเทศแล้ว วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2558 เวลา 18:49 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ว่า ด้าน "โกลบอล นิว ไลต์" สื่อของเมียนมา รายงานโดยอ้างข้อมูลจากตำรวจระบุว่า ในช่วงระหว่างเดือน ม.ค. - พ.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยในคดีค้ามนุษย์ได้ 93 คน จาก 56 คดี เหยื่อส่วนมากถูกขายไปเป็นเจ้าสาวในจีนและเป็นแรงงานบังคับในไทย โดยการจับกุมส่วนใหญ่อยู่ในรัฐฉาน รองลงมาคือเมืองมัณฑะเลย์และเมืองย่างกุ้ง แต่ไม่พบการกระทำผิดดังกล่าวในรัฐยะไข่ ถิ่นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อยชาวโรฮีนจา ซึ่งขัดแย้งกับรายงานจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่ระบุว่ารัฐยะไข่คือแหล่งการค้ามนุษย์สำคัญของประเทศ

ด้านนายซอ นาย รองผู้อำนวยการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเขตมองดอ ทางตะวันตกของเมียนมาติดพรมแดนบังกลาเทศ เผยว่า จากการหารือร่วมกันระหว่างเมียนมาและบังกลาเทศ ได้มีการส่งตัวผู้อพยพทางเรือ 150 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด กลับไปยังบังกลาเทศในวันจันทร์ ผ่านทางสะพานข้ามแม่น้ำนาฟที่เชื่อมระหว่างสองประเทศ ขณะที่ชะตากรรมของผู้อพยพอีก 733 คนที่ทางการเมียนมาช่วยเหลือได้เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ยังอยู่ในระหว่างการเจรจาของ 2 รัฐบาล

ในวันเดียวกันนี้มีรายงานผู้อพยพชายวัย 30 ปี ชาวโรฮีนจา ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการปะทะกันของขบวนการค้ามนุษย์ 2 กลุ่ม ในเมืองเต็กนาฟของบังกลาเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ขณะที่ผู้นำชุมชนในค่ายผู้ลี้ภัยกล่าวว่าเขาถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่ในระหว่างถูกควบคุมตัว “

อ่านต่อที่ : เมียนมายันไม่มีค้ามนุษย์ในยะไข่ | เดลินิวส์

 

แฉ'แก๊สหัวเราะ'ระบาดหนัก ทั่วเกาะพีพี/แห่หาซื้อสูดดม! | เดลินิวส์



แชร์สนั่นโลกออนไลน์ แก๊สหัวเราะบรรจุลูกโป่งระบาดหนักบนเกาะพีพี เผยเป็นที่ถวิลหาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ สถานประกอบ รีบหาซื้อมาเตรียมไว้เผื่อลูกค้าต้องการ แพทย์เตือนมีอันตรายถึงตาย วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2558 เวลา 13:06 น.

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. เครือข่ายสังคมออนไลน์ในพื้นที่ จ.กระบี่ กำลังวิพากษ์วิจารณ์ภาพถ่ายนักท่องเที่ยวที่ถูกแชร์ลงในโซเชี่ยลอย่างกว้างขวาง โดยเป็นภาพที่อ้างว่า เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวสาวชาวต่างชาติที่สูดดมสารบางอย่างที่บรรจุอยู่ในลูกโป่ง บริเวณฟุตปาธบนเกาะพีพี จากนั้นก็มีอาการเพ้อ สะลึมสะลือ และหัวเราะไม่หยุด โดยไม่แคร์สายตาประชาชนที่มองดูด้วยความสลดหดหู่ใจ ซึ่งผู้ที่แสดงความคิดเห็นทั้งหมดเชื่อว่าสารดังกล่าวเป็นแก๊สหัวเราะอันโด่งดัง เนื่องจากมีจำหน่ายอยู่ทั่วเกาะอย่างไม่เกรงกลัวกฏหมาย ขณะที่บางส่วนอยากให้หน่วยงานเข้ามาดูแลเข้มงวด ก่อนที่ภาพลักษณ์เกาะพีพีอันสวยงามติดอันดับโลกจะเสียหายมากไปกว่านี้

ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปสอบถามผู้ประกอบการท่องเที่ยวบนเกาะพีพีรายหนึ่ง และได้รับการเปิดเผยว่า แก๊สหัวเราะกำลังเป็นที่นิยมแก่นักท่องเที่ยว อย่างมาก ทุกครั้งเวลาพวกเขามาเที่ยวก้จะถามหาแก๊สตัวนี้ตลอด ทำให้สถานประกอบการเจ้าอื่นโดยเฉพาะที่มีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติต้องหาซื้อแก๊สหัวเราะมาติดเอาไว้เผื่อลูกค้าถามหา ซึ่งไม่หวั่นเกรงว่าจะเป็นการกระทำที่ผิด

ด้าน นพ.พนัส โสภณพงศ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกระบี่ เปิดเผยว่า เบื้องต้นยังไม่ทราบเหตุเกิดที่ไหนว่า คาดว่าเป็นก๊าซไนตรัสออกไซด์ ออกฤทธิ์คล้ายยาอี หรือที่เรียกว่าแก็สหัวเราะก๊าซดังกล่าวไม่มีในสารบบยาที่ใช้ปัจจุบัน แต่เมื่อหลายสิบปีก่อนใช้เป็นยาสลบในการทำฟัน พบข้อด้อยหลายอย่างจึงเลิกใช้ ปัจจุบันใช้บรรจุในเครื่องทำวิปปิ้งครีม หรือเป็นส่วนผสมอาหาร แต่หากนำมาใช้สูดดมจะเข้าลักษณะเป็นยาทันที ซึ่งคนที่สูดดมเข้าไป ก็จะมีอาการเคลิบเคลิ้ม สนุกสนาน แต่ถ้าสูดเข้าไปปริมาณมาก มีผลทำให้เม็ดเลือดแดงและขาว ลดลง ก็อาจเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้“

อ่านต่อที่ : แฉ'แก๊สหัวเราะ'ระบาดหนัก ทั่วเกาะพีพี/แห่หาซื้อสูดดม! | เดลินิวส์

 

ชาวพุทธพม่าขู่ประท้วงใหญ่ต้านผู้อพยพ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 มิ.ย. 2558 05:49


(ภาพ: REUTERS)

นายโซ นาย ผู้นำกลุ่มชาวพุทธในเมืองซิตต่วย รัฐยะไข่ ทางตะวันตกของเมียนมา แถลงข่าวเมื่อ 7 มิ.ย.ว่าจะมีการเดินขบวนประท้วงใหญ่ที่เมืองซิตต่วยในวันที่ 14 มิ.ย. เพื่อต่อต้านรัฐบาลเมียนมาที่ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้อพยพที่พบบนขบวนเรือเถื่อนในอ่าวเบงกอลของเมียนมา ซึ่งมีทั้งชาวมุสลิมโรฮีนจาและชาวบังกลาเทศ โดยนายโซระบุว่าผู้อพยพทั้งหมดเป็นชาวเบงกาลี และเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมาผลักดันผู้อพยพทั้งหมดไปยังบังกลาเทศ

วันเดียวกัน เรือลาดตระเวนของกองทัพเรือประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ทั้งไอร์แลนด์ อิตาลี อังกฤษและอีกหลายประเทศ มุ่งหน้าไปยังน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นอกชายฝั่งประเทศลิเบีย เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพราว 3,480 คนบนเรือ 15 ลำ ซึ่งพยายามข้ามทะเลไปขึ้นฝั่งที่ประเทศกรีซและอิตาลี ขณะที่นายไมเคิล ฟัลลอน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอังกฤษ เผยว่าผู้อพยพมนุษย์เรือจากลิเบียที่จะถูกส่งไปขึ้นฝั่งอิตาลีอาจมีจำนวนถึง 500,000 ราย

ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจอิตาลีในเมืองซิซิลีเข้าควบคุมตัวชายชาวตูนีเซียคนหนึ่งไปสอบปากคำเพราะต้องสงสัยพัวพันเครือข่ายลอบค้ามนุษย์ หลังชาวตูนีเซีย 12 ราย แจ้งกับเจ้าหน้าที่อิตาลีว่าชายดังกล่าวสัญญาว่าจะพาขึ้นหาดใกล้เมืองทราปานี ฝั่งตะวันตกของซิซิลีตอนกลางคืน และพยายามคัดตัวผู้อพยพจำนวนเล็กน้อยบนเรือที่ถูกนำมาขึ้นฝั่งที่อิตาลี เพื่อไม่เป็นที่สงสัยของเจ้าหน้าที่ชายฝั่ง.

ชาวพุทธพม่าขู่ประท้วงใหญ่ต้านผู้อพยพ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

 

อิรักยึดเมืองเบจี ที่ตั้งบ่อน้ำมันใหญ่สุดในประเทศ คืนจากไอซิส
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 8 มิ.ย. 2558 04:38


(ภาพ: AFP)

กองทัพของรัฐบาลอิรัก สามารถยึดคืนเมืองเบจี ทางเหนือของประเเทศ ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ คืนจากกลุ่มติดอาวุธ รัฐอิสลามได้แล้ว โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ...

สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของพลจัตวา ตาห์ซีน อิบราฮิม โฆษกกระทรวงกลาโหมอิรัก ว่า กองกำลังของกลุ่มติดอาวุธ รัฐอิสลาม (ไอซิส) ถูกขับไล่ออกจากเมืองเบจีแล้ว และกองทัพฝ่ายรัฐบาลสามารถเข้าควบคุมอาคารรัฐบาล, ศูนย์กลางของเมือง, มัสยิดหลัก และเขตโดยรอบได้โดยสมบูรณ์ และการสนับสนุนของสหรัฐฯ มีส่วนสำคัญมากในการยึดคืนเมืองครั้งนี้

ด้านนาย มูฮัมเหม็ด อัล เอคาบี โฆษกของกลุ่มติดอาวุธมุสลิมชีอะห์ 'ฮัช อัล-ชาบี' กล่าวว่า พวกเขาขอประกาศว่า เมืองเบจีได้รับการปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้ พล.จ. อิบราฮิม ระบุด้วยว่า กองกำลังของกลุ่มไอซิสถูกโจมตีจนล่าถอยไปยังเมืองโมซูล ฐานที่มั่นหลักของกลุ่ม และถูกโจมตีทางอากาศขณะล่าถอยด้วย อย่างไรก็ตาม ไอซิสทิ้งกับระเบิดจำนวนมากเอาไว้ในเมืองเบจี และยังคงมีการต่อสู้ขัดขืนอีกเล็กน้อย

อนึ่ง เมืองเบจี อยู่ห่างจากกรุงแบกแดนไปทางเหนือประมาณ 209 กม. มีประชากรประมาณ 200,000 คน เป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เนื่องจากอยู่บนถนนหลักสำหรับเดินทางไปยังเมืองโมซูล เมืองใหญ่ที่สุดของอิรัก นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ รวมทั้งมีโรงงานไฟฟ้าขนาดใหญ่อีกด้วย

อิรักยึดเมืองเบจี ที่ตั้งบ่อน้ำมันใหญ่สุดในประเทศ คืนจากไอซิส - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

 

ที่ประชุมสุดยอด G7 ยังคงไม่ต้อนรับรัสเซีย
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 8 มิ.ย. 2558 21:59



ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ไม่ได้รับการต้อนรับให้เข้าร่วมโต๊ะประชุมกับผู้นำของสหรัฐฯ และเยอรมนีในที่ประชุมกลุ่ม G7 ที่มีการเจรจาปัญหาหลากหลายรวมทั้งปัญหาประเทศยูเครน หลังรัสเซียถูกต่อต้านจากชาติตะวันตก...

ภาพจาก Belga

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2558 บุญธง ก่อมงคลกูล ผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำประเทศเบลเยียม รายงานอ้างสถานีโทรทัศน์ RTBF ของเบลเยียมรายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ไม่ได้รับการต้อนรับให้เข้าร่วมโต๊ะประชุมกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกา และนางแองเกอลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ในที่ประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศที่แคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี มีการเจรจาปัญหาหลากหลายรวมทั้งปัญหาประเทศยูเครน โดยไม่มีผู้แทนและประธานาธิบดีรัสเซียร่วมด้วย เนื่องจากรัสเซียถูกต่อต้านจากกลุ่มประเทศตะวันตกนับตั้งแต่ได้มีการควบรวมแคว้นไครเมียร์

การประชุมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาระหว่างประธานาธิบดีบารัค โอบามา และนางแองเกอลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ยังคงแสดงท่าทีที่ต่อต้านรัสเซีย จนกว่ารัฐบาลรัสเซียจะ "ยอมรับอำนาจอธิปไตยของยูเครน" "ผู้นำชาติมหาอำนาจทั้งสองประเทศได้มีความเห็นที่สอดคล้องกันอย่างชัดเจนว่า ขึ้นอยู่กับการยอมรับและปฏิบัติตามความตกลงมิงส์ของรัสเซีย และการยอมรับอำนาจอธิปไตยของประเทศยูเครน" ถ้อยแถลงจากทำเนียบขาวภายหลังการพบปะเจรจากันของผู้นำทั้งสองประเทศในที่ประชุม G7

ชมคลิป ที่ประชุม G7 ไม่ต้อนรับผู้นำจากรัสเซีย

ทันทีที่เดินทางมาถึงประเทศเยอรมนี ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ก็ได้ปฏิเสธการรุกรานของรัสเซียทางภาคตะวันออกของประเทศยูเครนอีกครั้งหนึ่ง

สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาคือสองเจ้าภาพหลักในการลงนามความตกลงมิงส์ 2 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีความเห็นพ้องต้องกันที่จะหยิบยกประเด็นการเผชิญหน้ากันเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมาเจรจาอีกครั้งหนึ่ง

ด้าน กรุงมอสโกก็เห็นว่า กระบวนการสันติภาพอาจจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยง จากการแซงชั่นอย่างหนักหน่วงจากสหภาพยุโรป อันส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรฐกิจโดยรวมของรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นระบบธนาคาร การทหาร น้ำมัน โดยจะสิ้นสุดลงในเดือนกรกฎาคม ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ได้กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า "จะมีก็เพียงคนบ้าเท่านั้นที่สามารถจินตนาการว่ารัสเซียจะรุกรานประเทศสมาชิกองค์การนาโต มีบางประเทศกำลังใช้วิธีการที่คาดหวังที่จะสร้างความหวาดกลัวรัสเซียให้กับคนทั้งโลก"

รัสเซียไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมสุดยอด G7 เมื่อปีที่ผ่านมาด้วย ทำให้ G8 (ที่เคยรวมรัสเซีย) ต้องกลายมาเป็น G7 อีกครั้ง และคาดว่าบรรดาผู้นำชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจยังคงไม่พร้อมที่จะต้อนรับนายวลาดิมีร์ ปูติน กลับมาเข้าร่วมโต๊ะประชุม

ความตกลงมิงส์ 2 ได้กำหนดมาตรการแต่ละขั้นตอนจนถึงปลายปีนี้ เพื่อหาข้อยุติความขัดแย้งระหว่างกลุ่มแบ่งแยกตนเองโปรรัสเซียกับรัฐบาลกรุงเคียฟ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนกว่า 6,400 คน ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา.

ที่ประชุมสุดยอด G7 ยังคงไม่ต้อนรับรัสเซีย - ข่าวไทยรัฐออนไลน์