ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub

    [​IMG]

    24. ศึกทะเลจีนใต้ (จบบริบูรณ์)
    ในศึกทะเลจีนใต้ ญี่ปุ่นจะเป็นตัวแปรที่สำคัญสุด และญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายซิโซะ อาเบ้ได้ประกาศชัดเจนถึงนโยบายที่จะทำให้ญี่ปุ่นกลับมาเป็นรัฐทหารอีกครั้ง โดยจะมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ
    สหรัฐดูแลความมั่นคงของญีปุ่่นมาตลอดหลังสงครามโลก เพราะว่าญี่ปุ่นเป็นผู้แพ้สงคราม ถูกคุมกำเนิดไม่ให้มีกองทัพเป็นของตัวเอง ญีปุ่นจึงกลายเป็นเมืองขึ้นทางการเมืองและทหารของสหรัฐ ต่อมาญีปุ่่นได้พัฒนาประเทศขึ้นทางเศรษฐกิจเพื่อเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ญี่ปุ่นเป็นส่วนหนึ่งของจี3 ที่ดูแลระเบียบโลกปัจจุบันคือสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น
    จีนไม่เคยลืมความโหดร้ายที่ทหารญี่ปุ่นกระทำต่อจีนเลยในช่วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาที่ญี่ปุ่นมีการรุกรานจีนไม่ว่าที่แมนจูเลีย ที่นานกิง ฯลฯ หนังสือปกขาวของจีนประนามญี่ปุ่นค่อนข้างรุนแรง จีนไม่ให้อภัยญี่ปุ่นง่ายๆ
    ญี่ปุ่นรู้ตัวดีว่า ถ้าจีนผงาดได้เมื่อใด ญี่ปุ่นจะโดนจีนล่อกลับแน่ จึงรีบเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นรัฐทหารเตรียมตัวรับมือกับกองทัพจีน เพราะว่าพี่ใหญ่สหรัฐก็ไม่ต้องการให้จีนผงาดอยู่แล้ว เพราะว่าจะมาท้าทายความเห็นมหาอำนาจแต่ฝ่ายเดียวของสหรัฐ
    นายอาเบ้ได้เซ้นสนธิสัญญาทางทหารที่จะให้ความร่วมมือทางทหารและความมั่นคงกับสหรัฐอย่างเต็มที่ หมายความว่าญี่ปุ่นจะพร้อมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ในเอเซียนอกจากญี่ปุ่นแล้ว ก็มีฟิลิปปินส์และสิงคโปร์ที่เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดกับสหรัฐ
    จีนเลยฮึมๆใส่ญีปุ่นเห็นระยะๆ บางทีให้น้องคิมยิงจรวดขู่ญี่ปุ่นเล่นๆ
    ในวันที่7 กรกฎาคมนี้ ทางออสเตรเลียจะเป็นเจ้าภาพจัดการซ้อมรบ Talisman Sabre เหมือนกับCobra Goldของไทย โดยที่ญี่ปุ่นจะส่งกองทัพเข้าร่วมซ้อมกับสหรัฐด้วย จะมีทหารหลายหมื่นนายเข้าร่วมซ้อมรบครั้งใหญ่นี้
    ต้องดูว่าจีนจะทำตามที่เขียนในสมุดปกขาวหรือไม่ว่าต่อไปนี้จีนจะดำเนินนโยบายทางทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางทะเลในเชิงรุกเพื่อปกกันตัวเอง
    ถ้าเช่นนั้น จีนอาจจะส่งกองทัพเรือไปสังเกตุการณ์การซ้อมรบTalisman Sabreที่ขอบเวทีที่ออสเตรเลียก็เป็นได้ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว
    thanong
    2/6/2015
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พระสันตะปาปาพระองค์สุดท้าย[แก้]
    มีการพยากรณ์กันว่า พระสันตะปาปาองค์สุดท้ายจะใช้พระนามว่า "เปโตร" (สมเด็จพระสันตะปาปาเปโตรที่ 2)

    สมเด็จพระสันตะปาปาเปโตรที่ 2 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาบทความนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก
    สมเด็จพระสันตะปาปาเปโตรที่ 2 (อังกฤษ: Pope Peter II) เป็นพระนามพระสันตะปาปาที่สมมุติขึ้น และในระยะหลังนี้ เป็นชื่อสามัญของกลุ่มเซเดวาแคนทิซึม (Sedevacantism) ที่อุปโลกน์ตัวเป็นสันตะปาปา

    ชื่อและความหมายโดยนัย[แก้]
    นอกเหนือไปจากนักบุญเปโตรอัครทูตซึ่งชาวคริสต์ถือกันว่าเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์แรกนั้น ไม่มีพระสันตะปาปาพระองค์ใดเคยใช้พระนามว่า "เปโตร" อีกเลย และเป็นที่เล็งเห็นได้ว่า จะไม่มีพระสันตะปาปาพระองค์ใดในอนาคตกาลจะทรงเลือกใช้พระนามเช่นนั้นด้วย กระนั้น มีพระสันตะปาปาหลายพระองค์ที่ทรงใช้ชื่อบัปติศมาว่า "เปโตร" (อาจสะกดต่างออกไปสุดแต่ภูมิภาค) พระองค์ล่าสุดคือสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 13 ซึ่งทรงมีชื่อบัปติศมาว่า เปียโตร ออร์ซีนี (Pietro Orsini)

    ทั้งนี้ เป็นเพราะวรรคสุดท้ายของสันตะวจนะ (Prophecy of the Popes) บทประพันธ์อันเป็นที่รู้จักกันกว้างขวางในวงการคาทอลิก และว่ากันว่าเป็นผลงานของนักบุญแมลาไค (St. Malachy) นั้น บรรยายไว้ทำนองพยากรณ์ว่า "เปโตรชาวโรมัน" (Petrus Romanus) จะเป็นพระสันตะปาปาพระองค์สุดท้าย วรรคนั้นว่า[1]

    "ระหว่างการประหัตประหารสุดท้ายของพระศาสนจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ บัลลังก์จักถูกครองโดยปีเตอร์ ชาวโรมัน ผู้ซึ่งจะเลี้ยงดูฝูงแกะของเขาอย่างแสนยากเย็น และเมื่อการนี้บรรลุ นครสัตบริภัณฑ์จักถึงแก่กาลวินาศ ตุลาการผู้น่าหวั่นเกรงจักพิพากษาหมู่ชนของเขา สิ้นแล"

    "In persecutione extrema S.R.E. sedebit Petrus Romanus, qui pascet oves in multis tribulationibus: quibus transactis civitas septicollis diruetur, et Iudex tremêndus iudicabit populum suum. Finis."

    "During the final persecution of the Holy Roman Church, the seat will be occupied by Peter the Roman, who will feed his sheep in many tribulations; and when these things are finished, the seven-hilled city will be destroyed, and the formidable Judge will judge his people. The End."

    มีการตีความวรรคข้างต้นกันไปต่าง ๆ นานา กระแสหลักนั้นเห็นว่า สมเด็จพระสันตะปาปาปีเตอร์ที่ 2 จะเสด็จขึ้นสู่ตำแหน่งถัดจากสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16

    การใช้จริง[แก้]
    สันตะปาปาเท็จหลายคนได้เลือกใช้นามว่า "เปโตรที่ 2" โดยเฉพาะสันตะปาปาเท็จที่อ้างว่าได้ตำแหน่งมาเพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งให้เป็นการเฉพาะตัว สันตะปาปาเท็จผู้ใช้นามนี้และโด่งดังที่สุด คือ มานูเอล อาลอนโซ คอร์รัล (Manuel Alonso Corral) แต่มานูเอลบอกปัดอย่างแจ้งชัดว่า ตนมิใช่ "เปโตรชาวโรมัน" ตามสันตะวจนะ

    ในบันเทิงคดี[แก้]
    ในนวนิยายชุดเรื่อง เลฟต์บีไฮนด์ (Left Behind) ปีเตอร์ แมธิวส์ (Peter Mathew) มุขนายกคาทอลิกผู้มีใจคด ได้รับเลือกตั้งเป็นพระสันตะปาปาพระนามว่า เปโตรที่ 2 และต่อมาก็ได้เป็นประมุขแห่งศาสนาเอกภพแห่งบาบิลอนลึกลับ (Enigma Babylon One World Faith)

    ส่วนนิยายเรื่อง เดอะเธิร์ดซีเคร็ต (The Third Secret) ของสตีฟ เบร์รี (Steve Berry) นั้น พระคาร์ดินัลอัลเบอร์โต วาเลนเดรีย (Alberto Valendrea) รัฐมนตรีแห่งวาติกันผู้มีใจทะเยอทะยาน ได้รับเลือกตั้งเป็นพระสันตะปาปาพระนามว่า เปโตรที่ 2

    อ้างอิง[แก้]
    กระโดดขึ้น ↑ "Prophecy of St Malachy". Catholic Pages. 2007. สืบค้นเมื่อ 15 July 2012.


    ซีโมนเปโตร (สมเด็จพระสันตะปาปาเปโตรที่ 1) จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    [​IMG]

    ซีโมนเปโตร[1][2] (กรีก: Σιμων Πέτρος ซีมอน เปโตฺรส) หรืออัครทูตเปโตร (กรีก: Απόστολος Πέτρος อะโปสโตโลส เปโตฺรส) ชาวคาทอลิกเรียกว่านักบุญเปโตร[3] (Saint Peter) เดิมชื่อซีโมน เป็นชาวประมงคนหนึ่งของตำบลเบทไซดา (ลก. 5:3 ;ยน.1:44) แต่ว่าต่อมาได้ย้ายมาตั้งหลักแหล่งที่เมืองคาร์เปอร์นาอุม (มก. 1: 21.29) นักบุญอันดรูว์ น้องชายของท่านได้เป็นคนแนะนำให้ท่านติดตามพระเยซู (ยน. 1:42) และอาจเป็นนักบุญยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่ได้เป็นผู้ตระเตรียมจิตใจของท่านสำหรับการพบปะครั้งสำคัญของท่านกับพระเยซู

    พระเยซูทรงได้เปลี่ยนชื่อท่านใหม่ว่าเปโตร ซึ่งแปลว่า "ศิลา" (มธ. 16 : 17-19) ครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสถามท่านว่า "ท่านคิดว่าเราเป็นใคร" และเปโตรได้ทูลว่า "พระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรพระเป็นเจ้า" พระเยซูจึงตรัสว่า "เราจะตั้งท่านเป็นหัวหน้าแทนเรา ทั้งจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์" (มธ. 16 : 15-19) สัญลักษณ์ที่เห็นเด่นชัดในภาพคือ มือของท่านมีลูกกุญแจ

    เปโตรเป็นพยานบุคคลผู้หนึ่งที่ได้แลเห็นพระคูหาว่างเปล่าของพระอาจารย์ (ยน. 20:6) และได้เห็นการคืนพระชนม์ของพระเยซู (ลก. 23:34)

    หลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว ท่านก็ทำหน้าที่เป็นผู้นำบรรดาคริสตชน (กจ. 1: 15 ; 15:7) ได้กล่าวสรุปข่าวดี (พระวรสาร) (กจ. 2:14-41) และท่านเองเป็นคนแรกที่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเปิดคริสตจักรไปสู่พวกคนต่างชาติ (กจ.10-11) ภารกิจด้านวิญญาณที่ได้รับมอบหมายมิใช่ว่าจะช่วยให้ท่านหมดจากสภาพของความเป็นคนหรือจากข้อบกพร่องต่าง ๆ ทางอารมณ์ก็หาไม่ (มธ.10: 41 ; 14:26,66-72; ยน. 13: 6;18:10; มธ. 14: 29-31) เปาโลอัครทูตเองก็มิได้ลังเลใจแต่อย่างใดที่จะพูดจาต่อว่าท่านเวลาที่พบกันที่เมืองแอนติออก (กจ.15; กท. 2:11-14) เพื่อเชิญชวนท่านว่าไม่ต้องปฏิบัติตามแบบของพวกยิว ในเรื่องนี้รู้สึกว่าเปโตร ยังตัดสินใจช้าและยังถือว่ากลุ่มคริสตชนซึ่งเดิมทีเป็นคนต่างศาสนาก็ยังด้อยกว่าหรือเป็นรองกลุ่มคริสตชนที่เดิมทีเป็นชาวยิว (กจ. 6: 1-2) ต่อเมื่อเปโตรได้มาที่กรุงโรม เมื่อนั้นแหละท่านจึงจะได้กลายเป็นอัครทูตของทุก ๆ คน และได้ทำหน้าที่ของท่านอย่างครบถ้วนคือเป็น "ศิลาหัวมุม" ของคริสตจักรของพระเยซูโดยรวมชาวยิวและคนต่างศาสนาให้เข้ามาอยู่ภายในอาคารเดียวกัน และท่านได้ประทับตราภารกิจหน้าที่นี้ด้วยการหลั่งโลหิตของท่านตามแบบพระอาจารย์ คริสตจักรโรมันคาทอลิกถือว่าท่านเป็นพระสันตะปาปาองค์แรก ท่านถูกจับตรึงกางเขน และได้ขอร้องให้หันศีรษะท่านลง เพราะคิดว่าไม่สมควรที่จะตายในลักษณะเดียวกับพระเยซูผู้เป็นพระอาจารย์

    อ้างอิง[แก้]
    กระโดดขึ้น ↑ 2 เปโตร 1:1
    กระโดดขึ้น ↑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, พิมพ์ครั้งที่ 3, ราชบัณฑิตยสถาน, 2552, หน้า 59
    กระโดดขึ้น ↑ ประวัตินักบุญตลอดปี:นักบุญเปโตร. เขตมิสซังกรุงเทพฯ
    ดูเพิ่ม[แก้]
    มหาวิหารนักบุญเปโตร

    พระสันตะปาปา - วิกิพีเดีย

    สมเด็จพระสันตะปาปาเปโตรที่ 2 - วิกิพีเดีย

    ซีโมนเปโตร - วิกิพีเดีย
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    สหรัฐฯส่งเชื้อ anthrax ไปยังแคนาดา ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้

    [​IMG]

    -----------
    เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพึ่งลงข่าวไปว่ากองทัพสหรัฐฯส่งเชื้อแบคทีเรียมรณะ live anthrax ไปยังห้องแล็บต่างๆ 9 รัฐทั่วสหรัฐฯและเกาหลีใต้ อ้างว่าส่งผิดโดยบังเอิญ เมื่อวานนี้สำนักข่าว RT news ของรัสเซียรายงานว่า เจ้าหน้าที่กลาโหมของสหรัฐฯได้ออกมาเปิดเผยครั้งใหม่ว่าสหรัฐฯได้ส่งตัวอย่างเชื้อ anthrax (ที่ยังมีชีวิตอยู่) ไปให้ห้องทดลองในประเทศแคนาดาด้วย ข้อมูลใหม่บอกว่าเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวกับ anthrax นี้ได้ถูกส่งไปยังห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯถึง 12 รัฐด้วยกัน ซึ่งรวมทั้งในกรุงวอชิงตันดีซีด้วย นอกจากนี้ยังส่งออกไปยังต่างประเทศอีก 3 ประเทศคือ ออสเตรเลีย แคนาดา และเกาหลีใต้ด้วย
    เจ้าหน้าที่กลาโหมของสหรัฐฯซึ่งไม่เปิดเผยนามและไม่อนุญาตให้พูดต่อสื่อฯสาธารณะ แต่ไปบอก USA Today ว่าไม่พบว่ามีใครป่วยเนื่องจากการจัดส่งเชื้อ anthrax ในครั้งนี้ (ก็แน่หละ พอรู้ว่ามีผู้สัมผัสกับเชื้อดังกล่าวตามที่ปรากฎเป็นข่าวก็มีรายงานว่ารีบพากันฉีดวัคซีนป้องกันถึง 20 กว่าคนเลยนี่) ตอนนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบจากกองทัพกำลังดำเนินการตรวจสอบตัวอย่าง anthrax และบันทึกเพื่อค้นหาว่าได้มีการส่งตัวอย่างไปยังห้องแล็บอื่นอีกด้วยหรือไม่
    ซวยหละสิ... ขนาดกองทัพสหรัฐฯที่ดูแลเรื่องนี้ก็ยังไม่มั่นใจว่ามีการจัดส่งไปที่อื่นอีกหรือไม่ แล้วจะให้ชาวโลกเขามั่นใจในพฤติกรรมและมาตรการรักษาความปลอดภัยของสหรัฐฯได้อย่างไรหละนี่?
    แบคทีเรีย anthrax ถือว่าเป็นจุลินทรีย์ที่ฆ่ายากที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง และยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายปีในรูปแบบของสปอร์ กองทัพสหรัฐฯใช้การยิงรังสีเพื่อใส่เชื้อแอนแทร็กซ์เพื่อทำให้มันเฉื่อยชาลงอย่างถาวร แต่ความผิดพลาดย่อมอาจจะเกิดขึ้นได้ (แสดงว่ามีเจตนาที่จะเลี้ยงเอาไว้ไม่ทำให้มันตาย เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง?)
    โฆษก CDC ของสหรัฐฯกล่าวว่ามีคนงาน 4 คนใน 3 รัฐเข้ารับการรักษาเนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะติดเชื้อแอนแทร็กซ์ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารของสหรัฐฯจำนวน 22 นายในห้องทดลองที่ฐานทัพอากาศ Osan Air Base ของสหรัฐฯในเกาหลีใต้กำลังเข้ารับการรักษา
    ส่วนที่เกาหลีใต้ตอนนี้ก็กำลังมีเชื้อไวรัสเมอร์สสายพันธุ์มรณะระบาดอย่างหนักเช่นกัน มีผู้ติดเชื้อเสียชีวิตไปแล้วหลายคน และพบว่ามีผู้สัมผัสกับผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้ออีกหลายร้อยคนด้วย ทางการเกาหลีใต้สั่งกักบริเวณคนเหล่านั้น สถานทูตไทยประจำเกาหลีใต้ก็ออกประกาศทางเว็บไซต์ให้คนไทยระวังตัวด้วยเนื่องจากการแพร่ระบาดไวรัสเมอร์ส โดยเฉพาะคนไทยที่อาศัยอยู่ในเมืองแดจอนและพื้นที่ใกล้เคียง ลีกเลี่ยงการอยู่ในที่สาธารณะซึ่งอาจเป็นแหล่งติดเชื้อได้ และควรหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ รวมถึงใช้หน้ากากอนามัยปิดปากและจมูกเมื่อมีอาการไอหรือจาม พร้อมกับระบุว่า หากเป็นไข้หรือไม่สบาย ควรรีบพบแพทย์ทันที
    เขาจะเล่นสงครามเชื้อโรคกันแล้วหรือนี่? ตอนแรกก็นึกว่าแอนแทร็กซ์จะไประบาดที่เกาหลีเหนือซะอีก แต่เมอร์สมาแรงกว่า แถมไม่ใช่เกาหลีเหนือศัตรูของอเมริกาแต่เป็นเกาหลีใต้พันธมิตรของอเมริกาซะนี่
    The Eyes
    03/06/2558
    ----------
    http://rt.com/usa/264121-pentagon-anthrax-shipped-canada/
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    นายกฯอิรัคกล่าวว่ามาตรการแซงชั่นรัสเซียทำให้การต่อสู้ขับไล่พวกไอซิสมีความซับซ้อนยุ่งยากมากยิ่งขึ้น

    [​IMG]

    ------------
    ยังไงหละนี่? เมื่อวานนี้ (2 มิ.ย.58) สำนักข่าว sputnik news ของรัสเซียรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสว่านาย Haider Abadi นายกรัฐมนตรีของอิรัคกล่าวในที่ประชุมนานาชาติเกี่ยวกับเรื่องการต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อการร้่ายไอซิสว่า "ตะวันตกทำการแซงชั่นกรุงมอสโคว์เพื่อป้องกันไม่ให้อิรัคซื้ออาวุธจากรัสเซีย ซึ่งจะทำให้สถานการณ์การต่อสู้กับพวกผู้ก่อการร้ายไอซิสมีความซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก"
    นายกฯอิรัคกล่าวต่ออีกว่า "สืบเนื่องจากปัญหาทางด้านภาษี อิรัคจึงไม่สามารถสนับสนุนอาวุธใหม่ให้กับกองทัพตามที่ได้ทำสัญญาซื้อขาย (กับรัสเซียได้) รัฐบาลชุดก่อนของอิรัคได้ลงนามทำสัญญากับรัสเซียเอาไว้แล้ว แต่ว่าตอนนี้รัสเซียอยู่ภายใต้การแซงชั่นจากสหรัฐฯ (และอียู) และมันเป็นการยากลำบากมากที่จะทำให้อิรัคจ่ายเงินซื้ออาวุธ (รัสเซีย) ได้ เงินมีอยู่ในธนาคาร แต่พวกเรา (อิรัค) ไม่สามารถเข้าถึงมันได้"
    กรรม! นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่สหรัฐฯแซงชั่นรัสเซีย เพราะไม่ต้องการให้รัฐบาลอิรัคซื้อและใช้อาวุธจากรัสเซียแทนของสหรัฐฯเข้าไปปราบปรามไอซิสในอิรัคและในตะวันออกกลางนั้นเอง ในขณะเดียวกันก็กึ่งอายัดเงินก้อนมหาศาลของอิรัคเอาไว้ด้วย อิรัคไม่สามารถนำเงินของตนเองไปซื้ออาวุธจากรัสเซีย หรือเอาไปทำอย่างอื่นได้ หากสหรัฐฯไม่อนุมัติซะก่อน นี่ไงเขาถึงบอกว่าอิรัคก็คือเมืองขึ้นอีกแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ อิรัคมีอิสระที่จะบริหารประเทศของตนและแม้แต่จะใช้จ่ายเงินของตนเองซะที่ไหนหละนั่นหนะ
    อ้อ… วันก่อนมีข่าวว่าตากล้องนักถ่ายทำภาพยนตร์ของไอซิส 2 รายเสียชีวิตเนื่องจากการโจมตีทางอากาศโดยกองทัพอิรัคที่เมือง Qaim ใกล้กับเมือง Fallujah ทางตะวันตกของจังหวัด Anbar ในระหว่างที่นักถ่ายทำภาพยนต์ไอซิสนักแสดงเหล่านี้กำลังติดตามระดับหัวหน้าของไอซิสไปเข้าร่วมประชุมปฏิบัติการลาดตระเวน ว้า… แบบนี้ก็คงจะไม่เห็นคลิปไอซิสโผล่มาในยูทูปอีกแล้วสินี่ แล้วสหรัฐฯจะเอาอะไรไปขู่ชาวโลกให้กลัวไอซิสได้อีกหละนี่
    แถมให้อีกข่าวหนึ่ง หลังจากที่ไอซิสยึดรถถังของสหรัฐฯได้จากกองทัพอิรัคในเมือง Ramadi เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมากรุงวอชิงตันก็ส่งนาย Brett McGurk ทูตพิเศษของประธานาธิบดีสหรัฐฯ (ไอ้หมอนี่อีกแล้ว เมื่อวันนี้ก็พึ่งขู่ตุรกีไปหยกๆ) ออกมาประกาศว่าสหรัฐฯได้ตกลงกับอิรัคที่จะส่งมิสไซล์ต่อต้านรถถัง (AT4 anti-tank systems) จำนวน 2,000 ไปให้อิรัคเพื่อช่วยเป็นการช่วยเหลือในการต่อสู้กับไอซิส แหม… มันช่างเป็นอะไรที่ลงตัวได้เป๊ะขนาดนี้นะ พอมีข่าวว่าไอซิสได้รถถังไป สหรัฐฯก็รีบบีบคออิรัคให้ซื้ออาวุธทำลายรถถังจากสหรัฐฯในทันทีเลย เข้าใจเล่นนะ
    The Eyes
    03/06/2558
    ----------
    Anti-Russia Sanctions Complicate Fight Against Islamic State – Iraqi PM / Sputnik International
    Two ISIS filmmakers killed in Iraqi airstrikes – reports — RT News
    US Vows to Provide 2000 Anti-Tank Missiles to Iraq / Sputnik International
    US to Ship First Tranche of Anti-Tank Rockets to Iraq This Week - Kerry / Sputnik International
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Chalee Na Roied​

    [​IMG]

    "ในที่สุดสิ่งที่ผมวิตกกังวลว่าจะเกิดขึ้น มันก็เริ่มคืบคลานเข้ามาในบ้านเราจริงๆ"
    ตอนนี้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มกลับมาเนื้อหอมอีกครั้งนะครับ เพราะชาติมหาอำนาจเวลานี้ ล้วนต้องการดึงมาเป็นมิตร เมื่อวันก่อนทางวุฒิสมาชิกอาวุโสของสหรัฐ จากพรรครีพับลิกัน คือ จอห์น แม็คเคน ได้เร่งให้สภาครองเกรส และรัฐบาลสหรัฐ ผ่านกฎหมายเพื่อสนับสนุน งบประมาณจัดหาอาวุธให้กับประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ รวมถึงไทย จำนวน 425 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอ้างว่าเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากจีน
    US Senator John McCain Seeks Millions in Funding for South Asia | News | teleSUR English

    อย่าลืมนะครับว่า วุฒิสมาชิกพรรค รีพับลิกัน คนนี้ คือ คนหนึ่งที่เคยสมัครชิงตำแหน่ง ปธน.สหรัฐมาแล้ว และทุกประเทศทุกภูมิภาค ที่เขาประกาศสนับสนุน และเดินทางเยือน ท้ายที่สุดหนีไม่พ้นเรื่องของ สงครามกลางเมือง เช่น ยูเครน และซีเรีย อิรัก และลิเบีย บรรดาแกนนำเครือข่ายISIS ที่กำลังเคลื่อนไหวใน อิรักและซีเรียเวลานี้ เคยมีภาพปรากฎ กับวุฒิสมาชิกคนนี้มาแล้วทั้งนั้น
    Alleged ISIS Photo Controversy Engulfs Sen. John McCain - Breitbart

    เขาคนนี้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ ในประสบการณ์ทำงาน 30 ปีเคยนำสหรัฐเข้าสู่สงครามมาแล้วหลายๆครั้ง ทั้งในโคโซโว อิรัก ลิเบีย และซีเรีย เคยถูกกล่าวหาว่า ไม่เหมาะสม สมัยรณรงค์หาเสียง เพื่อสมัครชิงตำแหน่ง ปธน.สหรัฐในปี 2008 มาแล้ว เพราะรับเงินสนับสนุนจาก มหาเศรษฐียุโรปตระกูลรอธไชล์ เจ้าของธนาคารทั้งในสหรัฐและยุโรปมาก่อน
    McCain accused of accepting improper donations from Rothschilds | Global Research - Centre for Research on Globalization

    เพราะฉะนั้นแน่นอนครับว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่รัฐบาลสหรัฐเริ่มหันหน้ามายัง ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อ เสถียรภาพในทะเลจีนใต้ และรวมถึงประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงบ้านเราอย่างแน่นอน...
    The Pentagon’s War Moves against China. US Provocations in the South China Sea | Global Research - Centre for Research on Globalization
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Chalee Na Roied

    [​IMG]

    <iframe width="640" height="360" src="http://www.liveleak.com/ll_embed?f=f9d4254973d6" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    หลายวันก่อนผมพูดถึง นิวตรอนบอมบ์หรือ นิวเคลียร์ทางยุทธวิธี ที่น่าจะถูกใช้โจมตีเยเมนเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมานะครับ วันนี้ทางเว็บโกลบอลรีเสริช นำมาลงและวิเคราะห์ให้ฟังครับ ซึ่งตอนแรกผมก็เข้าใจ ถ้าไม่ใช่นิวเคลียร์ขนาดเล็ก(Tactical nuke)ว่าเป็นระเบิดขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า "Mother of all bomb" หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "MOAB" ซึ่งเป็นระเบิดขนาด 20,000ปอนด์ และระเบิดที่ใช้ โจมตีบังเกอร์ใต้ดิน ซึ่งมีอานุภาพทำลายไกล้เคียงกัน
    แต่เอาเป็นว่าถ้าเป็น "MOAB" นั้นเครื่องบิน F-16 ไม่สามารถบรรทุกระเบิดรุ่นนี้ได้ครับ ต้องอาศัยเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่อย่าง B-2 หรือ B-52 ของสหรัฐเท่านั้น แต่ปฏิบัติการที่เกิดขึ้นในเยเมน ใช้เครื่องบิน F-16 ในการโจมตี และจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อ ทำการวิเคราะห์ F-16 ที่ใช้เป็นเครื่องบิน F-16's ซึ่งเครื่องบินรุ่นนี้ ซาอุดิอาระเบียไม่มีประ(จำ)การ
    เอาเป็นว่าเรื่องนี้ยังเป็นประเด็นที่น่าสงสัยครับว่า ทำไมชาติมหาอำนาจ อย่างสหรัฐ ฝรั่งเศส อังกฤษ รวมถึง จีนและรัสเซีย ถึงได้เงียบเป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเข้าข่าย อาชญากรสงครามอย่างชัดเจน...

    Possible Tactical Nuclear Strike (Neutron Bomb) in Yemen? | Global Research - Centre for Research on Globalization
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2015
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Chalee Na Roied​

    [​IMG]

    มีกระแสข่าวจากหน่วยข่าวรัสเซียนะครับว่า เวลานี้ รมต.ต่างประเทศสหรัฐ ได้รับบาดเจ็บสาหัสและอาการยังน่าเป็นห่วง จากเหตุการณ์ยิงประทะกัน ของกลุ่มติดอาวุธในฝรั่งเศส ซึ่งหน่วยข่าวของรัสเซีย วิเคราะห์ว่า น่าจะเป็นความพยายามลอบสังหาร ขณะพบปะกับผู้บัญชาการระดับสูงของ เครือข่าย ISIS/ISIL คือ พันเอก Gulmurod Khalimov อย่างลับๆ ในสถานที่แห่งหนึ่งในฝรั่งเศส
    US Secretary Of State Kerry Reported “Gravely Wounded” After French Gun Battle | EUTimes.net

    การพบปะกับผู้บัญชาการระดับสูง ของเครือข่ายISIS ในครั้งนี้ เกิดขึ้นในขณะที่ รมต.ต่างประเทศสหรัฐ กำลังอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งมีแผนหารือเรื่องโครงการนิวเคลียร์ กับเจ้าหน้าที่ของอิหร่านเพื่อลดอุปสรรค ในการประชุม 6 ฝ่ายที่ยังไม่ได้ข้อยุติ และกำลังจะถึงเส้นตายภายในเดือนมิถุนายนนี้
    โดยเขาได้เดินทางออกจาก สวิสเซอร์แลนด์ เช้าวันที่ 31 พ.ค. โดย ฮ.ทางทหารของฝรั่งเศส ซึ่งหลังจากนั้นได้เดินทางไปยัง ฐานทัพแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ซึ่งฐานทัพแห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นฐานทัพสหรัฐ ในยุคสงครามเย็น เพื่อพบปะกับผู้บัญชาการISIS "อย่างลับๆ" การเดินทางของ จอห์น เคอร์รีพร้อมด้วย ทีมงานรักษาความปลอดภัยจำนวนหนึ่ง ซึ่งการพบปะกันเกิดขึ้น ก่อนหน้าการประชุมกันของ กองกำลังที่กำลังใช้ปฏิบัติการต่อต้านเครือข่าย ISIS ในอิรัก ที่กำลังจะมีขึ้นที่ฝรั่งเศส ในวันอังคารนี้ ซึ่ง รมต.ต่างประเทศของสหรัฐ เป็นคนหนึ่งที่เข้าร่วมประชุมดังกล่าว
    Anti-ISIS strategy to face scrutiny at Paris coalition meeting on Tuesday - Middle East News & Top Stories - The Straits Times

    ผู้บัญชาการคนนี้เคยผ่านหลักสูตร ต่อต้านการก่อการร้าย และเคยฝึกในสหรัฐมาแล้ว นอกจากนี้บรรดา สมาชิกเครือข่าย ISIS ที่กำลังเคลื่อนไหวและบ่อนทำลายเสถียรภาพ ในภูมิภาคตะวันออกกลางเวลานี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อโค่นล้มรัฐบาล ซีเรีย ภายใต้การนำของ บาร์ชา อัล อัสสาด และได้รับการฝีกจาก Blackwater หรือนักรบรับจ้างในสหรัฐ ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน ที่ได้รับสัญญาว่าจ้าง จากซีไอเอ ตั้งแต่ปี 2012 ในจอร์แดน ซึ่งเอกสารความลับดังกล่าว ถูกเผยแพร่ออกมาจากกลุ่มเคลื่อนไหวที่เฝ้าจับตา นโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ บารัค โอบามาในห้วงที่ผ่านมาทางนั่นเอง
    Obama ordered CIA to train ISIS jihadists: Declassified documents - National Law Enforcement | Examiner.com

    เหตุยิงประทะกันจน รมต.ต่างประเทศ ได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ น่าจะมาจากการที่ อดีตผู้บัญชาการระดับสูงของเครือข่าย ISIS นั้น รู้มาตรการรักษาความปลอดภัย ของเจ้าหน้าที่สหรัฐเป็นอย่างดี และเพราะเขาเองเคย ได้รับอนุญาติให้ทำการฝึก ทดสอบระบบรักษาปลอดภัย สถานฑูตสหรัฐใน ทาจิกิสสถานในปี 2009 มาแล้ว ซึ่งเมื่อพบปะกับ รมต.จอห์น เคอร์รี จะได้รับอนุญาติให้นำผู้ติดตาม ซึ่งสามารถมีอาวุธติดตัวได้ ซึ่งดูเหมือนผู้บัญชาการคนนี้ เขาตระหนักในแผนการ ลอบสังหารมาเป็นอย่างดี
    PressTV-State Dept. trained ISIL militant: Report

    แม้ทางหน่วยข่าวรัสเซีย จะไม่เปิดเผยรายละเอียด เกี่ยวกับเนื้อหาในเรื่องนี้มากนัก แต่จากการดักฟังข้อมูล และการติดต่อสื่อสารของ ฝรั่งเศส และสวิสเซอร์แลนด์ ทำให้พบว่า การพบปะกับแกนนำระดับสูงดังกล่าว นอกจาก รมต.ต่างประเทศสหรัฐแล้ว ยังมีคนอื่นอีก 2 ราย ที่ถูกยิงและ หนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส
    จากการบาดเจ็บของ รมต.ต่างประเทศสหรัฐในครั้งนี้ ทางรัฐบาลสหรัฐได้แจ้งให้ หน่วยฉุกเฉินเตรียมพร้อม สำหรับการผ่าตัด "เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ" ที่ เจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ และหลังจากนั้นให้ นำเครื่องบินที่ลำเลียงผู้ป่วย นำ รมต.ต่างประเทศสหรัฐ บินกลับไปรักษาตัวยังสหรัฐต่อไป
    รัฐบาลสหรัฐ ปกปิดเรื่องนี้(cover story) โดยรายงานว่า รมต.ต่างประเทศสหรัฐ ได้รับบาดเจ็บขาหัก ขณะปั่นจักรยานที่ เมืองแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ห่างจากกรุง เจเนีวา สวิสเซอร์แลนด์ราวๆ 40 กิโลเมตร ซึ่งหน่วยข่าวของรัสเซีย ตั้งข้อสังเกตรายงานดังกล่าว พิรุธหลายอย่าง ว่าเหตุใดถึงใชั ฮ.ทหารของฝรั่งเศส ในการลำเลียงมายัง กรุงเจนีเวา สวิสเซอร์แลนด์
    Kerry hurt in bike accident; rest of Europe visit canceled - The Washington Post

    และประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญหน่วยข่าวรกองของรัสเซีย กำลังสงสัยก็คือ มูลเหตุหรือแรงจูงใจ ในการลอบสังหาร รมต.ต่างประเทศในครั้งนี้ เพราะ จอห์น เคอร์รี ไม่ต่างอะไรกับเจ้านายของ ผู้บัญชาการเครือข่ายISIS ซึ่งทุกครั้งที่มีการพบปะกันอย่างลับๆ ได้ให้เขานำผู้ติดตามเข้าพบได้ มากกว่า 1 คน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น พันเอก Gulmurod Khalimov ได้เผยแพร่คลิ๊ปข่มขู่ ว่าจะทำการโจมตีสหรัฐ และลอบสังหาร ปธน.สหรัฐ ตลอดจน รมต.ต่างประเทศ ออกมาก่อนหน้านั้นแล้ว
    Meet the Elite U.S.-Trained Special Forces Chief Who Just Joined ISIS

    เอาเป็นว่านี่คือแหล่งข่าว ที่น่าจะมาจากหน่วยข่าวของรัสเซีย ซึ่งยังไม่สามารถ "ฟันธงได้"ว่าเกิดอะไรขึ้น
    แต่เมื่อพิจารณาจากข้อมูล และรายงานข่าวต่างประเทศ หลายๆสำนักนั้น ชัดเจนครับว่า เวลานี้ รมต.ต่างประเทศ จอห์น เคอร์รี ได้รับบาดเจ็บนั้นเป็นเรื่องจริง และอาการน่าจะอยู่ในขั้นสาหัส แม้รัฐบาลจะออกมาให้คงามเห็นว่า รมต.ต่างประเทศ ยังรู้สึกตัวและมีสติดีก็ตาม เพราะรัฐบาลสหรัฐ ส่งเครื่องบินลำเลียงขนาดใหญ่ C-17 "ติดเครื่องมือพิเศษ" บินออกจากฐานทัพอากาศสหรัฐในเยอรมัน ไปรับตัว รมต.ต่างประเทศ ที่สวิสเซอร์แลนด์ เพื่อกลับมาทำการผ่าตัดที่บอสตันนั้น
    ยังเป็นคำถามค้างคาใจว่า ถ้าเป็นเพียงอาการบาดเจ็บขาหัก ทำไมไม่ใช้เครื่องบินขนาดเล็ก ในการขนลำเลียงขนส่ง ซึ่งต้นทุนถูกกว่า แต่กลับใช้เครื่องบินลำเลียงขนาดใหญ่ ซึ่งบรรทุกทหารมากกว่า100นาย และติดอุปกรณ์ผ่าตัดที่ทันสมัยจำนวนมาก
    http://www.zerohedge.com/news/2015-...0000-repatriate-bicycle-challenged-john-kerry

    และไม่น่าจะเป็น "ความบังเอิญ" ครับที่เกิดเหตุการณ์นี้กับ จอห์น เคอร์รี รมต.ต่างประเทศ สหรัฐ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เพราะเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ก่อนหน้าการเจราจา P5+1 เรื่องโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งจะต้องได้ข้อยุติ ภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้
    http://www.nytimes.com/2015/06/02/w...tockpile-grows-complicating-negotiations.html

    ซึ่งแน่นอนครับว่า ผลการเจรจาในครั้งนี้ จะเป็นการตัดสิน ชะตากรรมของอิหร่าน และเสถียรภาพในตะวันออกกลาง ตลอดจนสงครามระหว่าง อิสราเอลและซาอุดิอาระเบีย กับอิหร่านนั่นเอง...
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    เสือไซบีเรียในยุคปูติน

    [​IMG]

    ------------
    เมื่อปี 2008 ปธน.ปูติน ของรัสเซียได้ออกแคมเปญจ์รณรงค์อนุรักษ์เสือไซบีเรีย (Amur tigers) ซึ่งใกล้จะสูญพันธุ์ ล่าสุดทางรัสเซียออกมาบอกว่าตอนนี้ประชากรของเสือไซบีเรียในเขตตะวันออกไกลของรัสเซียมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและคิดเป็นร้อยละ 95 ของประชากรเสือไซบีเรียทั่วโลก (พูดอีกก็ถูกอีกนั่นแหละ ฮ่าๆๆ ชื่อมันก็บอกอยู่นิ แซวเฮียปูตินเล่นๆหนะครับ) อันนี้รัสเซียเขาประสบความสำเร็จในการอนุรักษ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดนี้ไว้จริงๆ ตัวเลขล่าสุดบอกว่าตอนนี้มีเสือ Amur อยู่ในป่าราว 510 ตัว จากตัวเลขเมื่อปี 2005 พบว่ามีจำนวน 450 ตัว ทางรัสเซียคาดว่าจะให้มีอัตราการเพิ่มขึ้นที่ 15% โครงการนี้มีนักวิจัยและผู้ชำนาญการพิเศษเข้าร่วมทำงานด้วยกันราว 2,000 คนพร้อมติดตั้งเทคโนโลยีติดตามตัวไว้ที่เสือ Amur ด้วย
    ดูภาพแรกสิ... เห็นตอนแรกนึกว่าหมูลายซะอีกอ่ะ อ้อ… ข่าวเขาบอกว่าไม่ใช่หมู แต่เป็นเสือไซบีเรียของรัสเซีย
    The Eyes
    02/06/2558
    ----------
    http://sputniknews.com/russia/20150602/1022859903.htm
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    เสร็จไปอีกหนึ่งราย สหรัฐฯฮุบฐานทัพอากาศของสเปนอย่างถาวร

    [​IMG]

    ------------
    ว่าจะเล่าข่าวนี้ให้ฟังตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสวันนี้ก็ขอเล่าข่าวย้อนหลังอีกซักข่าวนะเพราะเห็นว่าน่าสนใจ ควรที่ใช้เป็นอุทาหรณ์และเรียนรู้จากบางประเทศได้ เมื่อวันที่ 29 พ.ค.58 ที่ผ่านมาสำนักข่าว sputnik news ของรัสเซียรายงานว่า สหรัฐฯจ่าย 26 ล้านยูโรเพื่อจัดตั้งและขยายฐานทัพถาวรที่เมือง Moron de la Frontera ของสเปน
    รัฐบาลสเปนได้ทำข้อตกลงกับสหรัฐฯที่อนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯตั้งฐานทัพอย่างถาวรในเมือง Moron de la Frontera ใกล้กับเมือง Seville ทางตอนใต้ของสเปนได้ โดยอ้างว่าเพื่อให้นาวิกโยธินของสหรัฐฯจำนวน 2,200 นายใช้เป็นฐานปฏิบัติการสำหรับดำเนินการในแอฟริกา
    คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลสเปนได้อนุญาตให้สหรัฐฯสามารถเพิ่มกำลังพลของนาวิกโยธินสหรัฐฯได้ถึง 3,000 นายที่ฐานทัพอากาศ Moron จากปัจจุบันที่มีจำนวนอยู่เพียง 850 นาย และอนุญาตให้อากาศยานของสหรัฐฯเข้าประจำการในฐานทัพอากาศแห่งนี้เพิ่มจาก 14 ลำเป็น 40 ได้
    กองทัพสหรัฐฯได้เข้าไปประจำการอยู่ในฐานทัพอากาศ Moron ของสเปนตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2556 (2013) หลังจากเกิดเหตุโจมตีสถานกงศุลของสหรัฐฯในเมือง Benghazi ประเทศลิเบียเมื่อปีที่แล้ว นาง Soraya Saenz de Santamaria รองนายกรัฐมนตรีของสเปนกล่าวว่า "จุดประสงค์ก็คือเพื่อขยายความมีเสถียรภาพในภูมิภาคและความปลอดภัยทั่วไปในแอฟริกา ยุโรป และตะวันออกลาง ด้วยการจัดกำลังทัพใหม่ของนาวิกโยธิน (ของสหรัฐฯ) ในครั้งนี้จะทำให้สามารถเริ่มปฏิบัติการในภูมิภาคเพื่อปกป้องสถานทูตของพวกเขา เพิ่มปฏิบัติการด้านการช่วยเหลือกู้ภัย และแทรกแซง (intervene) ในความขัดแย้ง และวิกฤตด้านมนุษยธรรมได้"
    รองนายกฯของสเปนกล่าวต่ออีกว่า "สหรัฐฯได้รับปากว่าจะลงทุนจำนวน 26 ล้านยูโร ($29 million) ประมาณ 9.8 ร้อยล้านกว่าบาท ในงานโครงสร้างพื้นฐานที่ฐานทัพแห่งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจท้องถิ่นของสเปนจะมีความน่าสนใจสูงขึ้นในช่วงเวลานั้น"
    จบเลยสเปน สเปนเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ NATO ในปี 1982 ล่าสุดร่วมมือกับสหรัฐฯและชาตินาโต้อื่นๆซ้อมรบใกล้ชายแดนของรัสเซียอยู่บ่อยครั้ง ตอนนี้เศรษฐกิจของสเปนย่ำแย่สุดๆไม่ต่างจากชาติอื่นๆในสหภาพยุโรป เงินกำลังขาดมือว่างั้นเถอะ ภายในประเทศเองก็เกิดการประท้วงรัฐบาลบ่อยครั้ง สหรัฐฯชวนไปทำสงครามและไปซ้อมรบ สเปนก็แจมด้วยอยู่บ่อยๆ วันดีคืนดีสหรัฐฯบอกว่าอยากจะขอใช้สนามบินในฐานทัพอากาศของสเปนชั่วคราวเพื่อปฏิบัติการบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับสเปนโดยหว่านเงินนำหน้า (มุกนี้ใช้ได้ผลมาหลายประเทศแล้ว) พอเห็นเงินพวกนักการเมืองของสเปนตาลุกโพลงรีบฮุบเหยื่อทันที
    นั่นยกแรก สหรัฐฯยิ้มเลย ลองโยนเหยื่ออีกก้อนให้รัฐบาลสเปนดูซิ คราวนี้มาเลย เอาไป 29 ล้านเหรียญสหรัฐฯแลกกับให้สหรัฐฯยึดฐานทัพอากาศ Moron ของสเปนอย่างถาวร พวกนักกาเมืองรสเปนก็ฮุบอีก เพราะอะไร? ก็พวกนักการเมืองเขาก็จะมองว่านี่มันไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของพวกเขา เก็บเอาไว้เงินในกระเป๋าของพวกเขาก็ไม่เพิ่มขึ้น สู้เอาไปเซ็งลี้ให้สหรัฐฯก็ยังจะพอมีทางได้กินส่วนแบ่งบ้าง ใครจะว่าขายสมบัติชาติก็ช่างเขา ก็จะอ้างว่าเพื่อปฏบัติการในแอฟริกาและที่อื่นๆแทน
    สุดท้ายสหรัฐฯก็สามารถรุกคืบเข้าไปกินพวกเดียวกันได้โดยไม่ยากเย็นอะไร ถ้ารัฐบาลสเปนไม่ยอมให้สหรัฐฯทำได้ตามความต้องการของสหรัฐฯ ก็จะมีม็อบประท้วงรัฐบาลสเปนรุนแรงและมากขึ้นเรื่อยๆ นักการเมืองพวกนี้กลัวว่าจะอยู่ในอำนาจได้ไม่นานก็ต้องทำตามที่สหรัฐฯต้องการ สุดท้ายก็กลายเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐฯอีกประเทศหนึ่งโดยที่รัฐบาลของพวกเขาบอกกับประชาชนชาวสเปนว่าอเมริกาคือเพื่อน แต่ในความเป็นจริงนั้นก็คือ Being US's friends = Being US's commonwealths.
    บางคนอาจจะบอกว่าพูดเวอร์เกินไปหรือเปล่า? ดูภาพที่ 4 ประกอบนะว่าสหรัฐฯมีพื้นที่นอกแผ่นดินใหญ่ของตนเองที่สหรัฐฯบอกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯกี่แห่งทั่วโลก หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา หมู่เกาะบางแห่งที่ไม่ได้อยู่ใกล้ประเทศสหรัฐฯเลย อยู่แถวฟิลิปินส์เช่น เกาะ Guam, Northern Mariana Islands Wake Island, Midway Islands etc เหล่านี้สหรัฐปักธงชาติของตนเองเอาไว้หมดแล้วและมีฐานทัพของสหรัฐฯประจำอยู่หมดเช่นกัน คนท้องถิ่นไม่ใช่คนยุโรป เป็นคนเอเซีย แต่สหรัฐฯบอกว่านั่นคือดินแดนของสหรัฐฯ ฟิลิปินส์หรือญี่ปุ่นไม่กล้าทวงสิทธิ์ว่าเป็นของตนซักคำเดียว วันนี้นักการเมืองของสเปนยกฐานทัพอากาศ Moron ให้สหรัฐฯ ไม่รู้ว่าวันหน้าจะยกส่วนไหนของสเปนให้สหรัฐฯอีก นี่เป็นรูปแบบใหม่ของการล่าอาณานิคมของสหรัฐฯในยุคปัจจุบัน
    The Eyes
    02/06/2558
    ----------
    US to Form Permanent Military Base in Spain for African Missions / Sputnik International
    Spain - Wikipedia, the free encyclopedia
    http://en.wikipedia.org/wi…/Territories_of_the_United_States
    http://en.wikipedia.org/…/Commonwealth_(U.S._insular_area…
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช·
    ซวยหละสิ! ตุรกีโดนสหรัฐฯแบล็กเมล์ซะแล้ว

    [​IMG]

    ------------
    เมื่อวานนี้ (1 มิ.ย.58) มีอยู่ 2 ข่าวเกี่ยวกับตุรกีที่น่าสนใจจาก sputnik news ซึ่งอยากจะเล่าให้ฟัง ข่าวแรกนาย Kemal Kilicdaroglu ผู้นำพรรค Republican People's Party (CHP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของตุรกีบอกว่าถ้าชนะเลือกตั้งในวันที่ 7 มิ.ย.58 นี้จะไม่อนุญาตให้สหรัฐฯและนาโต้ใช้ตุรกีเป็นฐานฝึกทางทหารให้กับกองกำลังต่อต้านรัฐบาลซีเรียซึ่งสหรัฐฯตั้งชื่อให้กองกำลังชุดนี้ว่า "กบฎสายกลาง" อีกต่อไป
    Kilicdaroglu กล่าวว่า "ก่อนอื่นเลยนั้น พวกเรา (ตุรกี) จะระงับนโยบายการแทรกแซงกิจการภายในอย่างต่อเนื่องของซีเรีย... พวกเราจะคุยกับสหรัฐฯและนาโต้พันธมิตรของพวกเรา โดยคาดผลว่าพวกเราต้องการที่จะหยุดดำเนินการโปรแกรมสนับสนุนด้านอาวุธและการฝึกซ้อมทางทหารให้กับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลซีเรียในดินแดนประเทศของพวกเรา" (ยุ่งแน่ๆคราวนี้)
    เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาสหรัฐฯและตุรกีได้มีข้อตกลงร่วมกัน (เพราะถูกสหรัฐฯบีบจึงไม่มีทางเลือก) ว่ากรุงวอชิงตันจะส่งบุคคลากรทางกองทัพจำนวน 400 นายเข้าไปในประเทศตุรกีเพื่อฝึกซ้อมทางทหารให้กับกลุ่มติดอาวุธกบฎสายกลางซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลซีเรียเพื่อต่อสู้และโค่นล้มรัฐบาลซีเรียตามแผนการของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันสหรัฐฯก็ถล่มเมืองทางตอนเหนือของซีเรียซะย่อยยับเพื่อระบายอาวุธสงครามออกจากสต็อกของตัวเอง เพื่อให้บริษัทผลิตอาวุธที่กลุ่มทุนเอกชนเป็นเจ้าของสามารถผลิตอาวุธได้ใหม่และรัฐบาลหุ่นเชิดของสหรัฐฯก็จะสามารถใช้เงินภาษีของประชาชนชาวสหรัฐฯไปซื้ออาวุธเหล่านั้นมาทำสงครามได้อีก โดยอ้างว่าเพื่อปราบปรามผู้ก่อการร้ายไอซิส เพื่อที่จะได้มีความชอบธรรมในการทำสงคราม
    คำถามก็มีอยู่ว่าแล้วมีอะไรเป็นเครื่องรับประกันได้ไหมว่าพวกที่ได้รับการฝึกจากสหรัฐฯในตุรกีและในที่อื่นๆทั้งในแอฟริกาและในตะวันออกกลางภายใต้โปรแกรมเดียวกันนี้จะไม่แปรพรรคไปร่วมมือกับพวกไอซิส หรือเป็นพวกไอซิสปลอมตัวมา หรือแท้ที่จริงแล้วก็คือพวกเดียวกันนั่นเอง? มันก็คล้ายกับกรณีของการสนับสนุนด้านอาวุธ พาหนะ และการเงินที่สหรัฐฯส่งไปให้กลุ่มกบฎสายกลางโดยตรงที่เคยเล่าให้ฟังแล้วนั่นแหละ เมื่อถูกถามในสภาฯว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอาวุธ พาหนะ เงินทุนและอื่นๆเหล่านั้นที่สหรัฐฯได้ส่งไปให้พวกฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจะไม่ตกไปอยู่ในมือของไอซิส รัฐบาลสหรัฐฯตอบคำถามนี้ไม่ได้ กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน
    ข่าวที่สอง... พอสหรัฐฯได้ยินพรรคฝ่ายค้านของตุรกีออกมาพูดอย่างนั้นเท่านั้นแหละ สหรัฐฯจึงส่งสัญญาณบางอย่างฮึ่มไปใส่ตุรกีทันทีเลย โดยส่งนาย Brett McGurk รองทูตพิเศษของประธานาธิบดีสหรัฐฯออกมาพูดว่า พวกนักรบชาวต่างชาติที่เข้าร่วมกับกลุ่มเครือข่ายผู้ก่อการร้ายไอซิสที่แทรกซึมอยู่ในซีเรียนั้นออกมาทางชายแดนของตุรกี
    Brett McGurk กล่าวว่า "พวกเขาเกือบทั้งหมด [พวกนักรบไอซิส] กำลังออกมาจากตุรกี พวกเรารู้เรื่องนั้นดี" (เห็นมะ... กรรมหละสิคราวนี้ สหรัฐฯส่งเข้าไปฝึกเองแท้ๆ พอฝึกเสร็จเรียบร้อยตอนออกมาจากตุรกี สหรัฐฯดันบอกว่าเป็นผู้ก่อนการร้ายเฉยเลย)
    รองทูตพิเศษคนนี้พูดอีกว่า "ตุรกีมีมาตรการในการตรวจสอบผู้ก่อการร้ายที่เดินทางผ่านชายแดนของตัวเองแม้จะมีจำนวนมาก ซึ่งเดินทางเข้าไปยังตุรกีทุกวัน กองกำลังผสมต่อต้านไอซิสกำลังมองหาช่องทางที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าความพยายามของตนไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ตุรกีประเทศเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงประเทศอื่นๆที่พวกนักรบ (ผู้ก่อการร้าย) จัดตั้งขึ้นมาด้วย" (นี่ไม่ใช่เตือนนะ แต่เป็นการขู่ต่างหาก)
    เมื่อเดือนเมษายนปี 2557 รมว.ต่างประเทศของซีเรียออกมากล่าวหาตุรกีว่าเป็นผู้ในการสนับสนุนทั้งด้านโลจิสติกและด้านการทหารให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้ายซึ่งปฏิบัติการอยู่ทางตอนเหนือของซีเรีย ซีเรียเกิดสงครามกลางเมืองมาตั้งแต่ปี 2554 (2011) รายงานบอกว่ามีกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ (insurgent groups) อยู่หลายกลุ่มเช่น กลุ่มไอซิส, กลุ่ม Nusra Front (เป็นสาขาของพวกอัลเคดาที่ก่อการอยู่ในซีเรีย ลักษณะการแต่งกายและถือธงก็จะเหมือนกับพวกไอซิสนั่นแหละ) ล่าสุดก็มีพวกที่สหรัฐฯฝึกขึ้นมาใหม่ซึ่งเรียกว่า "กบฎสายกลาง" อีกพวกหนึ่ง แต่พอมีชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวตะวันตกเดินทางกลับมาจากซีเรีย ก็จะถูกตั้งข้อหาทันทีว่าเป็นพวกไอซิส ยังไม่เห็นมีรายไหนที่รัฐบาลสหรัฐฯและตะวันตกบอกว่าเป็นพวกที่ไปช่วยกบฎสายกลางในซีเรียเลยซักคน
    งานนี้ตุรกีพลาดอย่างแรง คงคิดว่าสหรัฐฯจะมีความจริงใจให้หละสิ ฝันไปเถอะความร่วมมือกันนั้นอยู่บนผลประโยชน์ทั้งสิ้น ที่ตุรกียอมให้สหรัฐฯใช้พื้นที่ในตุรกีเป็นสถานที่ฝึกอาวุธให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียนั้นก็เพราะความโลภของตุรกีเอง ตุรกีเข้าร่วมเป็นสมาชิกของนาโต้ตั้งแต่ปี 1952 มีจรวดติดหัวรบนิวเคลียร์ B61 nuclear bombs อยู่จำนวน 90 หัวรบประจำอยู่ที่ฐานทัพอากาศ Incirlik Air Base ในจำนวนนี้ ตุรกีบอกว่าสำรองไว้ 40 หัวรบสำหรับใช้ในกรณีเกิดความขัดแย้งเรื่องนิวเคลียร์ขึ้นมา แต่การใช้งานนั้นจะต้องได้รับการอนุมัติจากนาโต้ซะก่อน
    ตุรกีคบทั้งรัสเซียและสหรัฐฯเพื่อถ่วงดุลอำนาจในระดับหนึ่ง โดยในทางทหารนั้นตุรกีอยู่ฝ่ายนาโต้ แต่ในด้านเศรษฐกิจตุรกีเลือกทั้งสหรัฐฯและรัสเซีย แต่พรรคหลังนี้จะเอียงมาทางรัสเซียมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากตุรกีเป็นหนึ่งในชาตินักรบในอดีต จึงคงจะยังไม่ละทิ้งความฝันและความทะเยอทะยานที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนสมัยจักรวรรดิอ็อตโตมันในอดีตที่ก่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เหลือแต่ตุรกีในปัจจุบันนี้เท่านั้น
    ขนาดเป็นพันธมิตรนาโต้ด้วยกันแท้ๆ เมื่อตุรกีคิดจะไม่ให้สหรัฐฯควบคุมได้อีก สหรัฐฯก็งัดไม้ตายออกมาบอกเลยว่าผู้ก่อการร้ายไอซิสออกมาจากตุรกีนะ ถ้ายังดื้อไม่ฟังคำสั่งของสหรัฐฯอีกต่อไป สหรัฐฯก็อาจจะบอกว่าตุรกีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและเป็นผู้ให้การสนับสนุนไอซิสอย่างที่ซีเรียพูดก็ได้ พอถึงตอนนั้นคงจะได้เห็นนาโต้ซัดกันเองบ้างหละคราวนี้ ส่วน B61 ที่อยู่ในมือของตุรกีนั้นสหรัฐฯอาจจะ deactivate ทำให้มันใช้การไม่ได้ชั่วคราวก็ได้
    The Eyes
    02/06/2558
    ----------
    Turkish Opposition Party Vows to Stop Hosting US Training of Syrian Rebels / Sputnik International
    ISIL Foreign Fighters Enter Syria via Turkey - State Dept Official / Sputnik International
    Turkey - Wikipedia, the free encyclopedia
    B61 nuclear bomb - Wikipedia, the free encyclopedia
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub

    [​IMG]

    เผยโฉมซาตานทางการเงินที่อยู่เบื้องหลังยูเครน
    กลุ่มแฮ๊คเกอร์ที่เรียกตัวเองว่า CyberBerkutสามารถเจาะเข้าไปในเว๊ปส่วนตัวของประธานาธิบดีPetro Poroshenkoของยูเครน และเอาข้อมูลออกมาแฉว่า ใครเป็นนายที่แท้จริงของยูเครน
    ไม่ต้องแปลกใจมากที่นายGeorge Soros พ่อมดการเงินคือโบรกเก้อร์ตัวจริงที่อยู่เบื่องหลังรัฐบาลยูเครน และนโยบายการส่งอาวุธร้ายแรงให้ทหารยูเครนเพื่อรบกับพวกแบ่งแยกดินแดนที่รัสเซียให้การสนับสนุนอยู่
    นายโซรอสเป็นคนเขียนแผนยุทธศาสตร์ระยะสั้นและระยะปานกลางให้ยูเครนในเอกสารวันที่12 มีนาคม 2015 เขาสนับสนุนนโยบายโอบามาต่อยูเครนแต่เชื่อว่ายูเครนต้องได้รับการติดอาวุธร้ายที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะรบกับฝ่ายตรงกันข้าม
    เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นหรือยังว่าสงครามทั้งปวงเป็นสงครามของพวกนายแบงค์
    นายโซรอสต้องการติดอาวุธร้ายเพื่อให้พวกยูเครนฆ่ากันเอง โดยที่เลี่ยงการฝ่าฝืนสัญญาสันติภาพMinsk Agreementระหว่างรัฐบาลยูเครนและฝ่ายต่อต้าน โดยมีรัสเซีย เยอรมันและฝรั่งเศสเป็นพยาน
    แต่ส่วนสำคัญที่สุดของเอกสารลับที่ถูกแฉออกมาทำให้เราเห็นว่านายโซรอสมีอิทธิพลมากแค่ไหนในเรื่องการเงิน เพราะว่าเขาสามารถสั่งรัฐมนตรีการคลังของสหรัฐได้
    ในจดหมายที่เขียนถึงประธานาธิบดีโปโรเชนโก้ นายโซรอสบอกว่า เขาได้ส่งAndres Velasco อดีตรัฐมนตรีการคลังของชิลีให้ไปดูระบบการเงินของยูเครน นายVelascoกลับมารายงานว่าสถานการณ์ของยูเครนย่ำแย่มาก ใกล้ล้มละลายเต็มแก่ ธนาคารกลางของยูเครนไม่มีเงินทุนสำรองเหลืออยู่เลย โอกาสที่ค่าเงินHryvniaจะพังมีสูง เพราะว่าถ้าเกิดแพนิกขึ้นมา ค่าเงินจะถูกดเทขายจนเอาไม่อยู่ เพราะว่าธนาคารกลางไม่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปดูแลค่าเงิน
    นายโซรอสแนะนำประธานาธิบดีโปโรเชนโก้ว่า ทางแก้คือต้องควบคุมระบบการเงิน -- หมายถึงเงินฝากในธนาคารและอัตราแลกเปลี่ยน มิเช่นนั้นจะไม่สามารถทำการปฏิรูประบบได้ หลังจากที่สถานการณ์ดีขึ้นทางสหภาพยุโรปจะมีข้อตกลงใหม่เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินยูเครน$1,000ล้านต่อปี
    นอกจากนี้ทางสภาของยุโรปจะตกลงในสัญญาความช่วยเหลือทางการเงินใหม่จำนวน$15,000ล้านให้ยูเครนภายใต้การดูแลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เพื่อให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศปล่อยเงินกู้ให้ยูเครนได้ก่อนมกราคม2015
    จากพันธะข้อตกลงนี้ ทางธนาคารกลางของสหรัฐUS Federal Reserveจะได้รับการร้องขอให้ทำสว๊อปกับธนาคารกลางของยูเครนเป็นจำนวน$15,000ล้านเพื่อดูแลเสถียรภาพค่าเงินHryvnia เพื่อที่จะทำให้ตลาดการเงินไม่แพนิกอีกต่อไป
    "ข้าพเจ้าพร้อมที่จะโทรศัพท์หา Jack Lew รมวการคลังสหรัฐเพื่อทาบทามเขาเกี่ยวกับสัญญาสว๊อป" นายโซรอสกล่าว
    เห็นหรือยังว่านายโซรอสสั่งรัฐมนตรีการคลังของสหรัฐได้ ระบบประชาธิปไตยในสหรัฐเป็นเพียงภาพมายา
    ประธานาธิบดีโปโรเชนโก้เป็นเพียงหุ่นให้นายโซรอสชักเล่น
    แค่นี้เราก็เห็นภาพของอิทธิพลของนักการเงินยิวที่แทรกซึมเข้าไปในโลกตะวันตกอย่างลึกซึ้ง มีการทำงานประสานกันระหว่างสหภาพยุโรป เฟด กองทุนการเงินระหว่างประเทศโดยมีแบงเก้อร์ยิวเป็นตัวประสาน
    ยูเครนอยู่ดีๆไม่ชอบ แต่ทะลึ่งโง่ให้ถูกปั่นให้กลายเป็นเหยื่อของพวกซาตานทางการเงินดีๆนี่เอง
    thanong
    3/6/2015
    http://www.zerohedge.com/news/2015-06-01/hacked-emails-expose-george-soros-ukraine-puppet-master
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อย่าโทษอิสลาม : อัล-กออิดะฮ์และไอซิซเป็นผลผลิตของสหรัฐฯ และจักรวรรดิซาอุดี้ฯ เรื่องเด่นประเด็นร้อนby เอบีนิวส์ทูเดย์ - มิ.ย. 2, 2015

    [​IMG]

    หลังจากเหตุการณ์โจมตีสำนักงานชาร์ลี เอบโด นักเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมได้ร่วมกันประกาศว่าฆาตรกรคือพวกมุสลิมหัวรุนแรง การเสนอแนะของกฎหมายตะวันตกอาจจะไม่แม่นยำ หากว่าไม่ผิดศีลธรรม

    “ฆาตรกรในปารีสทุกวันนี้ไม่ใช่ผลที่เกิดมาจากความผิดพลาดของฝรั่งเศสในการรับเอาคนสองรุ่นจากผู้อพยพชาวมุสลิมมาจากอดีตอาณานิคมของมัน” จอร์จ แพคเกอร์เขียนไว้

    พวกเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปฏิบัติการทางทหารของฝรั่งเศสต่อรัฐอิสลามในตะวันออกกลาง หรือการรุกรานอิรักของอเมริกาก่อนหน้านั้น พวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคลื่นความรุนแรงที่ทำลายล้างในตะวันตกที่อ่อนแอทางเศรษฐกิจ, แตกแยกทางสังคม และกลวงโบ๋ทางศีลธรรม เป็นนีวทาวน์หรือออสโลในภาคของปารีส และน้อยที่สุดที่พวกเขาจะ “ถูกเข้าใจ” ว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองกับการไม่เคารพต่อศาสนาในส่วนที่เกี่ยวกับนักเขียนการ์ตูนที่ขาดความรับผิดชอบเหล่านั้น… พวกเขาเป็นเพียงแค่การระเบิดครั้งล่าสุดที่ถูกส่งมาโดยอุดมการณ์ที่แสวงหาอำนาจผ่านการก่อการร้ายที่มีมาหลายทศวรรษแล้ว

    ความรู้สึกนี้ทำให้นึกถึงทัศนคติทั่วไปภายหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 เมื่อซูซาน ซันแทก ถูกไล่ออกเพราะชี้ให้เห็นว่า “นี่ไม่ใช่การโจมตี ‘อย่างขี้ขลาด’ ที่กระทำต่อ ‘พลเรือน’ หรือ ‘เสรีภาพ’ หรือ ‘มนุษยชาติ’ หรือ ‘โลกเสรี’ แต่เป็นการโจมตีมหาอำนาจของโลกที่ตั้งตัวขึ้นมาเอง ซึ่งเป็นผลที่ตามมาของการเป็นพันธมิตรและการกระทำของอเมริกาโดยเฉพาะ”

    แต่ถึงกระนั้น ในยุคสมัยนี้ นักวิจารณ์จำนวนมากในสื่อกระแสหลักยังคงวิจารณ์ออกมาจากความคิดเห็นว่าพวกเขาเกลียดเสรีภาพ ประสานเสียงกันกล่าวโทษอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นเพราะการโจมตีนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ หรือเป็นเพราะ “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” วัยกระเตาะได้เข้ามาสู่วงถกเถียง หรือเป็นเพราะปัจจุบันนี้นักเขียนที่มีการไตร่ตรองมากกว่ามีเวทีที่โดดเด่น ทำให้ความจริงได้คืบคลานเข้ามา

    เทจู โคล ได้เขียนไว้ใน New Yorker ด้วยเช่นกันว่า “ความรุนแรงจากฝ่าย ‘ของเรา’ ยังคงไม่มีการลดละ ในเวลานี้ของเดือนหน้า ด้วยความน่าจะเป็นทั้งหลายแหล่ จะมี ‘ชายหนุ่มในวัยทหาร’ อีกเป็นจำนวนมาก และคนอื่นๆ อีกมากมาย ที่ไม่ใช่ทั้งคนหนุ่มสาวหรือผู้ชาย จะถูกฆ่าด้วยการโจมตีจากเครื่องบินโดรนของสหรัฐฯ ในปากีสถานและที่อื่นๆ ถ้าการโจมตีที่ผ่านๆ มาเป็นอะไรบางอย่างที่ต้องเกิดขึ้นต่อไป คนเหล่านี้จำนวนมากจะเป็นผู้บริสุทธิ์จากการกระทำความผิด”
    นั่นนับว่าเป็นความก้าวหน้า เช่นเดียวกับการตัดสินใจของ CNN ที่จะถ่ายทอดผลงานชิ้นหนึ่งของนอม ชอมสกี้ ที่เรียกการฆ่าด้วยเครื่องบินโดรนของประธานาธิบดีโอบาม่าว่าเป็น “ปฏิบัติการก่อการร้ายที่รุนแรงมากที่สุดในยุคปัจจุบัน” และดังที่ซีมัส มิลเน่ ได้เขียนไว้ใน the Guardian โดยระบุว่า ความรุนแรงเหมือนเช่นการโจมตีปารีสนั้นเป็นการขยายสงครามของตะวันตก

    ทว่ารายงานเหล่านี้ก็ยังคงค่อนข้างอ่อนโยนกับสหรัฐฯ และพันธมิตรอยู่ มันกล่าวถึงบทบาทของตะวันตกในการสร้างความรุนแรงที่ “ผู้นำที่รอบคอบ” ของตนทำนั้นเป็นความผิดของอิสลาม ความจริงไม่ใช่เพียงแค่ทีมสร้างความรุนแรงของสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงกว่าของศัตรูของมัน หรือว่าฝ่ายแรกเป็นผู้กระตุ้นการกระทำของฝ่ายหลังเท่านั้น แต่รัฐบาลชาติตะวันตกและรัฐบริวาลของพวกมันยังเสริมอำนาจให้กับกลุ่มนักรบญีฮาดขวาจัดอย่างกระตือรือร้นอีกด้วย
    เหล่าจักรวรรดินิยมตะวันตกวาดภาพให้ “แนวคิดก่อการร้ายอิสลาม” เป็นไวรัสลึกลับประจำชนชาติ ในแบบที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่และพันธมิตรเสรีนิยมของพวกเขากล่าวโทษ “วัฒนธรรมสีดำ” สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเหยียดเชื้อชาติและการกดขี่อย่างยาวนาน ไม่มีคำสอนใดในอิสลามที่ก่อให้เกิด “แนวคิดก่อการร้าย”

    อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ มีความพยายามมานานแล้วที่จะใช้แง่มุมเฉพาะของศาสนาอิสลามมาเป็นอาวุธ นี่เป็นส่วนหนึ่งของบริบทที่ใหญ่กว่านี้ที่รวมถึงการล่าอาณานิคมของยุโรป และการยึดอำนาจและทำสงครามของอเมริกาที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายและการแบ่งแยกทางนิกายและบ่อนทำความการตัดสินใจด้วยตัวเองของประชาชนในภูมิภาคนั้น

    มิลเน่ให้มุมมองที่คุ้นเคยกันดีว่า ตะวันตกใช้ความรุนแรงอย่างมากกับประชาชนในตะวันออกกลาง และเหมือนที่วาร์ด เชอร์ชิลเคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่า “ประชาชนบางส่วนจึงเอาคืน” นี่เป็นเรื่องจริง หลายคนที่โจมตีเมืองหลวงของชาติตะวันตกในนามของอิสลาม ตั้งแต่ โซคาร์ ซาร์แนฟโต จนถึงฟัยซาล ชาห์ซาด ที่เกือบจะเป็นมือระเบิดตึงไทมส์สแควร์ ก็บอกว่าความรุนแรงของตะวันตกเป็นเหตุจูงใจของพวกเขา คำอธิบายของพวกเขาไม่เพียงแต่สอดคล้องกันกับสามัญสำนึกเท่านั้น แต่ตรงกันกับการวิจัยของโรเบิร์ต เพจ นักวิทยาศาสตร์การเมืองจากมหาวิทยาลัยชิคาโก ที่ค้นพบว่า จนถึงขณะนี้ สาเหตุสำคัญที่สุดของการระเบิดพลีชีพทั่วโลกนั้นก็คือการยึดครองของต่างชาติ

    ยิ่งไปกว่านั้น มีมุสลิมเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่เข้าร่วมกับกลุ่มนักรบญีฮาดขวาจัด บิลล์ มาเฮอร์ พยายามที่จะตอกย้ำการกล่าวอ้างของเขาว่าอิสลามมีความรุนแรงอยู่ในธรรมชาติ เขาจึงหยิบยกสถิติที่แสดงให้เห็นว่ามุสลิมจำนวนมากมีทัศนคติที่ล้าหลังเกี่ยวกับผู้หญิงและเกย์ แต่นี่เป็นคำพูดที่ไร้เหตุผล ทัศนคติเช่นนี้แทบจะไม่เคยมีอยู่ในสมาชิกของอัล-กออิดะฮ์หรือไอซิซเลย

    ในหนังสือ The Missing Martyrs : Why There Are So Few Muslim Terrorists ของชาร์ลส์ เคิร์ซแมน เขารายงานว่า “มากกว่า 99 เปอร์เซ็นต์” ได้ปฏิเสธการเรียกร้องนั้น ถึงแม้ชาติตะวันตกจะเข่นฆ่าพลเรือนอยู่เป็นประจำ แต่มุสลิมส่วนใหญ่จำนวนมากก็ไม่เห็นด้วยกับการโจมตีแก้แค้นต่อพลเรือน หรือแม้แต่คนส่วนใหญ่ที่เห็นด้วยกับกลวิธีนั้นก็ยังลังเลที่จะลงชื่อร่วมกับขบวนการที่เข่นฆ่ามุสลิมเป็นส่วนใหญ่

    ยิ่งกว่านั้น ชาวมุสลิมไม่ได้ถือว่าอัล-กออิดะฮ์หรือไอซิซเป็นรูปแบบที่ถูกต้องของการต้านทานลัทธิจักรวรรดินิยม ตรงกันข้าม หลายคนมองว่าอัล-กออิดะฮ์และไอซิซเป็นผลผลิตของจักรวรรดินิยมสหรัฐฯ-ซาอุดี้ฯ

    ตรงนี้เราต้องอาศัยพิษของนักเสรีนิยม นั่นก็คือ ประวัติศาสตร์ สหรัฐฯ ได้สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุดิอารเบียในปี 1933 แต่ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในตะวันออกกลางอย่างจริงจังจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อมันเริ่มได้รับช่วงต่ออำนาจความเป็นใหญ่ในภูมิภาคต่อจากสหราชอาณาจักร ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับซาอุดิอารเบียมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเมื่อวอชิงตันพยายามที่จะรักษาอำนาจของตนในภูมิภาคนี้ ตลอดระยะเวลาของสงครามเย็น เจ้าหน้าที่อเมริกาพยายามใช้พวกนักรบขวาจัดเพื่อต่อสู้กับสองภัยคุกคามเบื้องต้นต่ออำนาจความเป็นใหญ่ของตนในตะวันออกกลาง นั่นก็คือ สหภาพโซเวียตและชาตินิยมอาหรับ

    โรเบิร์ต เดรย์ฟัส กล่าวถึงประวัติศาสตร์นี้ในหนังสือของเขาเมื่อปี 2006 ชื่อ Devil’s Game : How the United States Helped Unleash Fundamentalist Islam ข้อตำหนิใหญ่ของหนังสือเล่มนี้ก็คือ เดรย์ฟัสรวมการการปฏิบัติทางการเมืองของมุสลิมทุกประเภทเข้าไว้ด้วยกันภายใต้คำว่า “อิสลาม” ตั้งแต่ฮามาส ไปจนถึงการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน ตลอดจนอัล-กออิดะฮ์ (ความยินยอมของอเมริกาและอิสราเอลในการเกิดขบวนการฮามาสขึ้นมาเรื่องสิ่งสำคัญ แต่มันแทบไม่ได้บอกอะไรเราเลยเกี่ยวกับอัล-กออิดะฮ์)

    อย่างไรก็ตาม เดรย์ฟัสเขียนออกมาได้ชวนเชื่อ เป็นหนังสือที่ดึงข้อมูลจากราชการมาใช้อย่างมาก ที่จริงมันเกือบจะแน่ชัดเลยว่าบทบาทของสหรัฐฯ ในการจุดไฟแค้นของนักรบญีฮาดขวาจัดนั้นมีมากกว่าสิ่งที่เขาได้บันทึกไว้ เพราะข้อตกลงหลายอย่างถูกแอบแฝงไว้

    ในยุค 1950s มีปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ ที่ชื่อว่า กามาล อับดุล นัสเซอร์ ผู้ซึ่งอิสรภาพที่แท้จริงของเขาเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ ผู้นำคนใหม่ของอียิปต์ผู้นี้เป็นภัยคุกคามถึงขนาดที่รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น ฟอสเตอร์ ดัลเลส ถือเอาคำพูดของไอเซนฮาวร์ที่บอกว่า “ปัญหาเรื่องนัสเซอร์สามารถกำจัดไปได้” ว่าเป็นคำสั่งลอบสังหาร

    ด้วยความพยายามทำให้นัสเซอร์อ่อนแอ สหรัฐฯ หันไปเอาใจกลุ่มภราดรภาพมุสลิมถึงแม้ว่า (หรือน่าจะใช้คำว่า เนื่องจาก) ประวัติการก่อการร้ายและความรุนแรงของมันที่ทำต่อประเทศ ชาวอเมริกันยังมองเห็นศักยภาพการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในศาสนาของมันอีกด้วย “ถ้าเราไม่เดินบนแนวทางของอิสลาม เราก็จะเดินบนแนวทางคอมมิวนิสม์” ซัยยิดคุตบ์ หัวหน้ากลุ่มนี้กล่าว

    ยุคของแม้คคาร์ธี่ วอชิงตันมีความเปิดกว้าง

    ในปี 1953 โครงการแอบแฝงของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้นำบรรดานักคิดและนักเคลื่อนไหวระดับแนวหน้าจากตะวันออกกลางมายังพรินซ์ตัน หนึ่งในนั้นคือซาอิด รามาดัน จากกลุ่มภราดรภาพมุสลิม เขาเป็นลูกเขยของผู้ก่อตั้งกลุ่ม เขาได้ไปที่ทำเนียบขาวในปีเดียวกันนั้น และน่าจะกลายเป็นคนของ CIA

    ในปี 1954 ความพยายามของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมที่จะลอบสังหารนัสเซอร์ล้มเหลว เขารอดชีวิตและเริ่มการสลายกลุ่มและจับกุมสมาชิกของกลุ่มหลายพันคน ในปี 1956 ความนิยมในตัวนัสเซอร์พุ่งขึ้นเนื่องจากเขาทำให้คลองสุเอซเป็นของรัฐบาลได้ ซึ่งทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสเข้ายึดครองคลองนี้ และอิสราเอลบุกรุกซีนาย แต่ทั้งสามชาตินี้ก็ถูกบีบให้ถอยกลับไป และนัสเซอร์ได้กลายเป็นวีรบุรุษแห่งภูมิภาค

    นัสเซอร์เป็นเป้าหมายหลักของคำปราศรัยต่อสภาคองเกรสของไอเซนฮาวร์ในปี 1957 โดยประกาศว่าเขาจะให้เงินทุนแก่รัฐบาลอาหรับในความพยายามที่จะลดทอนอิทธิพลของโซเวียต “หลักเกณฑ์ของไอเซนฮาวร์” ทำให้ซาอุดิอารเบียเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากเงินของอเมริกา (รูสเวลต์ประกาศว่า การปกป้องราชอาณาจักรซาอุดี้ฯคือผลประโยชน์สำคัญของชาติ และสร้างความมั่นคงแก่ข้อตกลงกับซาอุดี้ฯ ที่จะให้ตั้งฐานทัพสหรัฐฯ จนถึงปี 2003)

    นัสเซอร์ได้รับความนิยมมากขึ้นในยุค 1960s เนื่องจากความแข็งแกร่งของโครงการพัฒนาของเขา ในเวลาเดียวกัน เขาทำการปราบปรามภราดรภาพมุสลิมต่อไป รัฐบาลนัสเซอร์ได้จำคุก ทรมาน และในที่สุดแขวนคอคุตบ์ ผู้ซึ่งได้เขียนเรียกร้องให้ทำการปฏิวัติอย่างรุนแรง และเป็นแรงบันดาลใจให้กลุ่มนักรบมุสลิมหัวรุนแรง

    ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นเหมือนๆ กันก็คือ รัฐบาลอาหรับประสบความสำเร็จในการรับมือกับการก่อการร้ายด้วยการปราบปราม แท้ที่จริงแล้วพวกเขาทำได้แค่ขับไล่และทำให้มันฝังตัวลึกลงไป วิทยานิพนธ์ต่อไปนี้ที่นำเสนอโดยลอว์เรนซ์ ไรท์ เป็นการกล่าวเกินจริงแต่ก็มีความจริงอยู่พอสมควร :

    แนวคิดหนึ่งนำเสนอว่า โศกนาฏกรรมเมื่อ 11 กันยายนของอเมริกาถือกำเนิดขึ้นในคุกของอียิปต์ ผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนให้เหตุผลโต้แย้งว่า การทรมานก่อให้เกิดความอยากที่จะแก้แค้น ครั้งแรกในกรณีของซัยยิดคุตบ์ และต่อมาในสาวกของเขา ซึ่งรวมถึงอัยมัน อัล-ซาวาฮิรี

    ในยุค 1960s ความเป็นชาตินิยมของชาวอาหรับ อันนำมาซึ่งการพัฒนาและการกระจายรายได้, การต่อต้านจักรวรรดินิยม และมีความมุ่งมั่นในการต่อต้านไซออนิสต์ ได้รับแรงดึงไม่เพียงเฉพาะในอียิปต์เท่านั้น แต่ทั่วทั้งภูมิภาค จากอัลจีเรียไปถึงปาเลสไตน์ ตลอดไปจนถึงอิรัก เพื่อเป็นการตอบโต้ สหรัฐฯ ได้หันไปหามิตรเผด็จการของมัน
    “สหรัฐฯ ได้ปลอมแปลงความสัมพันธ์ในการทำงานในซาอุดิอารเบีย โดยมีเจตนาที่จะใช้ปีกนโยบายต่างประเทศของมัน นั่นก็คือวะฮาบีเคร่งจารีต” เดรย์ฟัสเขียน “สหรัฐฯ ร่วมกับกษัตริย์ซาอูดและเจ้าชายไฟซาล(ต่อมาเป็นกษัตริย์ไฟซาล) เพื่อแสวงหากลุ่มอิสลามสักกลุ่มจากแอฟริกาเหนือไปจนถึงอัฟกานิสถานและปากีสถาน” ในที่สด ซาอุดิอารเบียได้เป็นเจ้าภาพของสถาบันต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งสันนิบาตรมุสลิมโลกของวะฮาบี และสร้างมัสยิดและมัดรอซะฮ์หลายพันแห่ง

    ข้ามต่อมาถึงยุค 1980s เมื่อครั้งที่สหรัฐฯ รวมมือกับซาอุดิอารเบียเพื่อให้ทุนสนับสนุนกลุ่มมุจาฮิดีนชาวอัฟกัน ในตำนานของชาวอเมริกัน การรุกรานของโซเวียตทำให้สหรัฐฯ ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่จริงแล้ว สหรัฐฯ ให้การหนุนหลังกลุ่มภราดรภาพมุสลิมชาวอัฟกัน และตัวแทนขวาจัดอื่นๆ มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว Zbigniew Brzezinski ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของคาร์เตอร์น่าจะยอมรับในเวลาต่อมาว่ามันเป็นความตั้งใจของพวกเขาที่จะกระตุ้นให้มีการรุกรานของโซเวียต

    อย่างน้อยตั้งแต่ปี 1972 CIA ได้เริ่มให้เงินทุนแก่นักรบอัฟกัน ที่รวมถึงรอบบานี ซัยยัฟ และกัลบุดดีน ฮิกมัตยาร์ ผู้นำมุญาฮิดีนในอนาคต ผู้ซึ่งกลายเป็นคนสนิทกับทั้งอุษาม่า บินลาดิน และหน่วยข่าวกรองของปากีสถาน (ISI) ซัยยัฟน่าจะคนเชิญบินลาดินเข้ามาลี้ภัยในอัฟกานิสถานในปี 1996 ในยุค 1980s ความช่วยเหลือส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ และซาอุดี้ฯ ให้แก่กลุ่มมุญาฮิดีนที่นำโดยฮิคมัตยาร์ ผู้นำที่โหดเหี้ยมที่เดรย์ฟัสรายงานว่า “มีความเชี่ยวชาญ” ในการถลกหนังนักโทษทั้งเป็น

    การสนับสนุนกลุ่มดังกล่าวของสหรัฐฯ มีมากยิ่งขึ้นหลังจากที่ซาร์ดาร์ ดาอูด ยึดอำนาจจากเชื้อพระวงศ์ที่เป็นมิตรของเขาในปี 1973 เขาฉีกประเพณีด้วยการประกาศตัวว่าไม่ใช่ชาห์แต่เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบฆราวาส แต่การไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของเขา (ด้วยการรักษาระยะห่างจากทั้งวอชิงตันและมอสโก) ได้สร้างความกังวลให้กับสหรัฐฯ ซึ่งร่วมมือกับ ISI เพื่อสนับสนุนการยึดอำนาจที่ไม่ประสบผลสำเร็จในปี 1974 เช่นเดียวกับในอียิปต์ ที่สหรัฐฯ ได้ร่วมมือกับกลุ่มนักรบขวาจัดเพื่อจัดการกับรัฐบาลเอกราชแบบฆราวาส

    ขณะที่รัฐบาลเอกราชหัวก้าวหน้าสายกลางของดาอูดเป็นปัญหาสำหรับสหรัฐฯ รัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่เป็นมิตรกับโซเวียตที่เข้ามามีอำนาจในปี 1978 ก็ถูกประณามอย่างรุนแรง CIA ได้เข้าพบและให้ทุนสนับสนุนกองกำลังต่อต้านรัฐบาล อัฟกานิสถานได้กลายมามีความสำคัญต่อสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้นเมื่อมันสูญเสียชาห์พันธมิตรใกล้ชิดของมันในเดือนมกราคม 1979 ในเดือนกรกฎาคม ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ได้ทำให้ความช่วยเหลือของทางการต่อมุญาฮิดีนเป็นเรื่องของทางการด้วยโครงการที่เรียกว่าปฏิบัติการไซโคลน

    ในการโค่นล้ม นายกรัฐมนตรีฮาฟิซุลลอฮ์ อามีน ได้กลายเป็นผู้นำอัฟกานิสถานหลังจากที่เขาได้ออกคำสั่งสังหารประธานาธิบดีนูร มุฮัมมัด ตากี สหภาพโซเวียตเชื่อว่า CIA ได้จัดเตรียมการยึดอำนาจครั้งนี้ ในเดือนธันวาคม กำลังทหารโซเวียตได้เคลื่อนเข้ามา สังหารอามีน และจัดตั้งผู้นำคนใหม่

    ในตอนต่อมาที่ชั่วช้า ซึ่งสหรัฐฯ และซาอุดิอารเบียได้ส่งเงินผ่าน ISI เพื่อให้มุญาฮิดีนและนักรบอาหรับที่เกณฑ์เข้ามาให้เข้าร่วมกับพวกเขา เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดี แม้ว่ารายละเอียดยังคงเป็นข้อถกเถียง ซาอุดิอารเบียได้ฝากเงินหลายร้อยล้านดอลล่าร์ไว้ในบัญชีธนารของสวิสแห่งหนึ่งที่ควบคุมโดยสหรัฐฯ

    กษัตริย์ซาอุดี้ฯ องค์ใหม่ ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ว่าราชการริยาด เป็นนักระดมเงินทุนชั้นยอด “ให้เงินแก่มุญาฮิดีนเดือนละ 25 ล้านดอลล่าร์” หน่วยข่าวกรองของอังกฤษ ซ่งได้รับการชี้นำจาก CIA ในปากีสถาน ได้เป็นหัวหน้าฝึกซ้อมนักรบภายในอัฟกานิสถาน ขณะที่ทหารสหรัฐฯ ได้รับการฝึกการต่อสู้แบบอาหรับในอียิปต์ และบางรายงานข่าวอ้างว่าในสหรัฐฯ ด้วย

    ด้วยการเป็นความลับทำให้ไม่มีทางรู้ได้ว่ามีการติดต่อระหว่าง CIA และบินลาดินในปากีสถานมากแค่ไหน ถ้าหากว่ามี ไม่ใช่เพราะแต่ละฝ่ายมีผลประโยชน์ในการปกปิดมัน เรารู้ว่าบินลาดินได้สร้างสัมพันธมิตรกับฮิคมัตยาร์ ผู้ได้รับประโยชน์จาก CIA มาอย่างยาวนาน และ ISI (ท่อใต้ดินของ CIA เพื่อส่งเงินและอาวุธให้แก่มุญาฮิดีน) ได้ให้การสนับสนุนองค์กรแนวร่วมของบินลาดิน และมัคตับ อัล-คิดามาร์ หัวหน้าอัล-กออิดะฮ์

    ไม่กี่สัปดาห์หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน เจ้าชายบันดาร์ บิน สุลต่าน แห่งซาอุดิอารเบียกล่าวว่า ในช่วงปี 1980s บินลาดินเคยขอบคุณเขาที่ได้นำ “ชาวอเมริกัน สหายของเรา มาช่วยเราในการต่อต้านอเทวนิยม ที่เขาเรียกว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์”

    ในทุกกรณี สหรัฐฯ ได้ช่วยให้เกิดอัล-กออิดะฮ์ขึ้นมา เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ที่แม้แต่ฮิลลารี่ คลินตันก็ได้กล่าวถึงมัน โดยโกหกเพียงแค่เรื่องลำดับเหตุการณ์เท่านั้น :

    กลุ่มคนที่เรากำลังต่อสู้ด้วยในปัจจุบันนี้ เราได้ให้ทุนสนับสนุนเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว และที่เราทำแบบนั้นก็เพราะว่าเราติดอยู่ในการดิ้นรนต่อสู้กับสหภาพโซเวียต พวกเขารุกรานอัฟกานิสถาน และเราไม่ต้องการจะเห็นพวกเขาเข้ามาคุมอำนาจในเอเชียกลาง เราจึงต้องทำงาน และประธานาธิบดีเรแกนกับความร่วมมือของสภาคองเกรสที่นำโดยสภาคองเกรสเองที่บอกว่า คุณรู้อะไรไหม? มันฟังดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ดีนะ เรามาตกลงกับ ISI และกองทัพปากีสถานกันดีกว่า เกณฑ์เอามุญาฮิดีนพวกนี้มาทำงานกับเรา มันเยี่ยมไปเลย แล้วเราเอาบางส่วนมาจากซาอุดิอารเบียและที่อื่นๆ ด้วย นำเข้ามุสลิมสายวะฮาบี แล้วเราจะสามารถตีโต้สหภาพโซเวียตได้

    ในช่วงสงครามในอัฟกานิสถาน ตะวันตกและซาอุดิอารเบียได้ช่วยกันสร้างกลุ่มต่างๆ ขึ้นมา ไม่ใช่แค่อัล-กออิดะฮ์ แต่กลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกันด้วย เช่น กลุ่มนักรบอิสลามลิเบีย (Libyan Islamic Fighters Group – LIGF) กลุ่ม LIGF จัดตั้งขึ้นในภาคตะวันออกของลิเบียโดย “ชาวอาหรับอัฟกัน” กลุ่มนี้พยายามสังหารมุอัมมาร์ กัดดาฟีสามครั้งระหว่างปี 1995-96 หน่วยข่าวกรองอังกฤษให้การสนับสนุนหนึ่งในความพยายามนี้ ตามคำบอกเล่าของอดีตสายลับ เดวิด เชย์เลอร์ อดีตสายลับของหน่วยข่าวกรองฝรั่งเศสก็ได้ยืนยันข้ออ้างนี้ และบอกว่าความลับนี้เองที่ทำให้อังกฤษขัดขวางการจับกุมบินลาดินหลังจากกัดดาฟีได้ออกหมายจับ(และตำรวจสากลก็อนุมัติ) ในปี 1998

    สหรัฐฯ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องในความพยายามยึดอำนาจกัดดาฟีหลายครั้งเช่นกัน เรแกนถึงขนาดพยายามสังหารผู้นำลิเบียด้วยตัวเองในปี 1986 แต่หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน กัดดาฟีได้กลายเป็นพันธมิตรใน “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” และสหรัฐฯ ได้ช่วยเขาปราบปรามศัตรูของเขา CIA ได้ส่งมอบอดีตสมาชิก LIGF ให้กัดดาฟี บางครั้งก็ทรมานพวกเขาก่อน

    แต่เมื่อถึงเวลาที่ประชาชนลุกขึ้นก่อจลาจลในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 ตะวันตกกลับมองว่ากัดดาฟีเป็นศัตรูอีกครั้ง และสหรัฐฯ ก็ให้การสนับสนุนกองกำลังฝ่ายต่อต้านที่ประกอบด้วยอดีตสมาชิก LIGF ที่ร่วมต่อสู้ในฐานะขบวนการอิสลามลิเบีย (Libyan Islamic Movement) การเป็นนักรบญีฮาดขวาจัดตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นคือการได้รับการหนุหลังจาก CIA ในสงครามหนึ่ง, ถูกทรมานโดย CIA ในเวลาต่อมา และได้รับการหนุหลังอีกครั้งโดย CIA ในเวลาต่อมา มันไม่เป็นที่นิยมในสหรัฐฯ ที่จะกล่าวถึงข้อเท็จจริงว่ากองกำลังฝ่ายต่อต้านในลิเบียประกอบไปด้วยกลุ่มหัวรุนแรงเหล่านี้

    หนังสือพิมพ์ชอบที่จะจับจุดสนใจไปที่กลุ่มอื่นๆ ที่น่าดึงดูดกว่า

    และมันไม่เป็นที่นิยมเช่นกันที่จะกล่าวถึงบทบาทของ CIA แม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีความเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าความเกี่ยวข้องของสหรัฐฯ จำกัดอยู่แค่การโจมตีทางอากาศเท่านั้น ทว่าหกสัปดาห์หลังการประท้วงครั้งแรกๆ New York Times ได้รายงานว่า “CIA ได้ปฏิบัติการในลิเบียมาหลายสัปดาห์แล้ว ในฐานะส่วนหนึ่งของกองกำลังเงาของชาติตะวันตกที่คณะบริหารของโบมาม่าหวังว่าจะช่วยโจมตีกองทัพของนายพลกัดดาฟีได้”

    การกล่าวถึงความเกี่ยวข้องของ CIA ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีกลุ่มกบฏชาวพื้นเมืองด้วย ทั้งสองสามารถมีอยู่ร่วมกันได้ และบ่อยครั้งด้วย แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ ท่ามกลางความวุ่นวายและการเข่นฆ่าในลิเบียหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น กลุ่มหัวรุนแรงได้รับความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก และรวมไปถึงการที่ไอซิซค่อยๆ เข้าไปพัวพันในเมืองเดอร์นาทางตะวันออก ซึ่งทำให้เกิดนักรบต่างชาติจำนวนมากในอิรัก

    การปรากฏขึ้นของไอซิซ เช่น อัล-กออิดะฮ์ พัวพันกันกับจักรวรรดิ์สหรัฐฯ มันคงไม่แรงไปที่จะระบุว่าไอซิซเป็นลูกที่เกิดจากการทำสงครามของสหรัฐฯ กับอิรัก เป็นข้อเท็จจริงพื้นฐานที่มักจะหายไปจากการวิเคราะห์กระแสหลัก ขณะที่การกดขี่ชาวซุนนีอย่างรุนแรงของรัฐบาลอิรักเป็นผลดีกับไอซิซ อดีตนายกรัฐมนตรีนูรี อัล-มาลิกีก็ตกเป็นแพะรับบาปไปอย่างง่ายดาย ดังที่แพทริก ค้อคเบิร์น เขียนไว้ว่า สงครามในซีเรียนั่นเองที่นำให้อิรักไม่มีเสถียรภาพ ในทางกลับกัน ได้ทำให้ไอซิซเป็นมหาอำนาจแห่งภูมิภาค

    บทบาทของสหรัฐฯ ภายในซีเรียก่อนหน้าการประท้วงปี 2011 ไม่มีความชัดเจน เป็นเพราะรายงานของ ซีมีวร์ เฮิร์ช เมื่อปี 2007 ที่ทำให้เรารู้ว่าประธานาธิบดีบุชได้ผลักดันให้ซาอุดิอารเบียปล่อยกองกำลังแบ่งแยกนิกายเข้าไปด้วยความพยายามที่จะบ่อนทำลายอัสซาดในซีเรียและฮิซบุลลอฮ์ในเลบานอน คราวนี้เป้าหมายเบื้องต้นคืออิหร่าน ไม่ใช่สหภาพโซเวียต แต่นี่คือตำราของอัฟกานิสถาน ที่ยังอยู่ในความนิยมแม้จะมีเหตุการณ์เข้ามาแทรกในโลเวอร์แมนฮัตตัน

    ส่วนหนึ่งของความพยายามนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้ผูกสัมพันธ์กับกลุ่มภราดรภาพมุสลิมซีเรีย แผนนี่ประกอบด้วยปฏิบัติการแอบแฝงในซีเรีย แต่เราไม่รู้ว่าส่งผลหรือมีอิทธิพลอย่างไรบ้างต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในปี 2011 หรือต่อห่วงโซ่ของเหตุการณ์ที่ทำให้การลุกฮือของประชาชนกลายเป็นสงคราม

    สิ่งที่เกิดขึ้นกับการปฏิวัติในซีเรียเป็นเรื่องที่ถกเถียงกัน อย่างไรก็ตาม เราน่าจะเห็นด้วยได้ว่าการลุกฮือของประชาชนหัวก้าวหน้าจำนวนมากนั้นทำให้เกิดปฏิกิยาตอบโต้อย่างกว้างขวางเมื่อรัฐบาลซีเรียทำการปราบปรามฝ่ายซ้าย และกลุ่มหัวรุนแรงที่ได้รับการหนุนหลังจากต่างชาติได้กรูกันเข้ามา

    กิลเบิร์ต แอชการ์ ที่อธิบายตัวเองว่าเป็น “ผู้สนับสนุนการลุกฮือของประชาชนอย่างแรงกล้าและต่อเนื่อง” กล่าวว่า ฝ่ายต่อต้านได้ทำความผิดมหันต์เมื่อไปผูกสัมพันธ์กับกลุ่มภราดรภาพมุสลิม “ซึ่งเป็นขี้ข้าของตุรี กาต้าร์ และสหรัฐฯ” ด้วยเหตุนั้น พวกเขา “จึงถูกดูดเข้าไปสู่ความคลั่งไคล้ในทางเสื่อมของความสุดโต่งทางศาสนาที่นำไปสู่การจัดตั้งไอซิซ”
    สหรัฐฯ สนับสนุนการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลซีเรียถึงขนาดให้ไอซิซเข้ามาอยู่ประจำที่ นโยบายสหรัฐฯ เป็นนโยบายที่ประมาทไม่รอบคอบที่สุด เรามั่นใจได้ว่าเจ้าหน้าที่อเมริกันตระหนักดีถึงการเกิดขึ้นของไอซิซ พวกเขายอมรับมันในอิรัก (ประเทศที่พวกเขาต้องการจะยุติและมีประธานาธิบดีที่พวกเขาไม่ให้การสนับสนุนอีกต่อไป) และเห็นชอบกับมันในซีเรีย (ประเทศที่พวกเขาต้องการทำลายและมีประธานาธิบดีที่พวกเขาต้องการกำจัดหรืออย่างน้อยทำให้อ่อนแอ)

    ด้วยปัจจุบันไอซิซเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของประชาชน มันอาจเป็นการง่ายที่จะลืมเรื่องนั้นไปสักพัก จนกว่าไอซิซจะกลายเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่พอต่อผลประโยชน์ของอเมริกา อาวุธของสหรัฐฯ ทั้งทางคำพูดและการกระทำ ถูกเล็งไปที่รัฐบาลซีเรียเท่านั้น เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวปราศรัยครั้งสำคัญเกี่ยวกับซีเรียโดยไม่ได้กล่าวถึงไอซิซเลย

    การสนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรงของซาอุดี้ฯ, กาตาร์ และตุรกี ได้รับการหนุนหลังอย่างน้อยก็โดยปริยายจากวอชิงตัน เอกสารที่เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์เมื่อเร็วๆ นี้ยืนยันว่า หน่วยข่าวกรองของตุรกีได้จัดหาอาวุธให้อัล-กออิดะฮ์ในซีเรียก่อนที่มันจะแยกออกจากไอซิซ การที่โจ ไบเด็น ออกมาตำหนิพันธมิตรของสหรัฐฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2014 ที่ให้การสนับสนุนไอซิซและอัล-กออิดะฮ์นั้นเป็นเพียงการบรรเทาความอึดอัดของการนิ่งเงียบหลายเดือนก่อนหน้านั้น

    ยิ่งไปกว่านั้น สหรัฐฯ เองยังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับไอซิซ ทั้งประธานาธิบดีโอบาม่าและนักวิจารณ์ของเขาในขณะนี้มีความสนใจในการผลักดันเรื่องเล่าที่ว่า เขาให้การสนับสนุนนักรบฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเพียงเล็กน้อย ที่จริงแล้ว มันเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2012 แล้ว ที่ CIA ได้ฝึกฝนกองกำลังฝ่ายต่อต้านและมอบอาวุธให้พวกเขาทั้งที่เป็นของสหรัฐฯ และพันธมิตร อาวุธเหล่านั้นจำนวนมากได้ตกไปอยู่ในมือของไอซิซและอัล-กออิดะฮ์

    นี่คือกองพลน้อยยาร์มูค ส่วนหนึ่งของกองทัพปลดปล่อยซีเรียที่สหรัฐฯ หนุนหลัง

    วีดิโอหลายชุดแสดงให้เห็นว่ากองพลน้อยยาร์มูลได้ทำการต่อสู้ร่วมกับ JAN แนวร่วมอย่างเป็นทางการของอัล-กออิดะฮ์ เมื่อมันน่าจะเป็นไปได้ว่า ระหว่างการต่อสู้ ทั้งสองกลุ่มนี้อาจจะใช้อาวุธร่วมกัน วอชิงตันก็ยินยอมให้จัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ศัตรูตัวฉกาจของมัน

    ผู้ที่ตำหนิความอ่อนหัดของสหรัฐฯ โต้แย้งอย่างได้ผลว่าเจ้าหน้าที่อเมริกันไม่รู้ข้อมูลสาธารณะที่แสดงให้เห็นว่า มันเกือบจะเป็นที่แน่ชัดว่าอาวุธนั้นอาจจะไหลไปยังอัล-กออิดะฮ์และไอซิซ พวกเขาต้องการจะส่งอาวุธให้กับศัตรูของพวกเขาหรือ? หรือพวกเขาแค่ยอมรับมัน? แล้วสุดท้ายมันต่างกันอย่างไร?

    และกองทัพปลดปล่อยซีเรีย ซึ่งจนถึงขณะนี้ดำรงอยู่เป็นเสมือนตัวเชื่อมโยงที่ประกอบไปด้วยกลุ่มขวาจัดมากมายหลายกลุ่ม ตอนนี้สื่อกระแสหลักยอมรับแล้วว่าพวกแบ่งแยกนิกายขวาจัดได้เข้ามามีอำนาจในฝ่ายต่อต้าน แต่มันเป็นอย่างนี้มาช่วงหนึ่งแล้ว Nir Rosen ผู้ซึ่งใช้เวลาหลายเดือนในการวิจัยสงคราม ระบุต่อไปว่า “ไม่มีกลุ่มกบฏสายกลางจริงๆ ไม่ว่าในทางอุดมการณ์หรือในทางปฏิบัติของพวกเขา” ที่จริงแล้ว นักรบของกองทัพปลดปล่อยซีเรีย (FSA) ได้เข้าร่วมกับไอซิซและอัล-กออิดะฮ์

    สหรัฐฯ อ้างว่าตอนนี้มันได้ทิ้ง FSA แล้วเพื่อเห็นแก่กองทัพตัวแทนของมันเอง ขณะที่สหรัฐฯ ร่วมมือกับกลุ่มประเทศอาหรับเพื่อฝึกฝนนักรบ นโยบายของมันในซีเรียมีความเหมือนกันกับนโยบายในอัฟกานิสถานในสมัย 1980s
    เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คงจะให้เห็นว่า ไอซิซเป็นเป้าหมายของกองกำลังนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองยังคงเป็นเป้าหมายหลักของหุ้นส่วนของพวกเขา และในหลายกรณีผลที่ออกมาชัดเจนว่า สงครามดำเนินต่อไป ซีเรียก็กระจัดกระจายต่อไป ดูเหมือนตอนนี้สหรัฐฯ จะพอใจกับการแบ่งแยกทางพฤตินัยที่จะทำลายความเป็นปึกแผ่นทางดินแดนของรัฐซีเรียมากกว่า

    เพื่อการสร้างกองกำลังตัวแทนใหม่ขึ้นมา ประธานาธิบดีโอบาม่าได้กดดันสภาคองเกรสหลายครั้งให้ยกเว้นการทำสงครามกับไอซิซของเขาจากการห้ามไม่ให้สนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ทรมานและอาชญากรสงครามอื่นๆ ขณะที่มันดูแปลกๆ ที่เขารู้สึกว่าจำเป็นต้องยอมรับกฎหมาย Leahy Law การที่เขาทำเช่นนั้นบ่งบอกถึงประเภทของกองกำลังที่สหรัฐฯ และพันธมิตรจะส่งเข้าไปในซีเรีย

    พวกเขาบอกนักรบ “สะอาด” ยากที่จะยอมรับได้ ไม่ต้องสงสัย แต่ความจริงก็คือ เจ้าหน้าที่อเมริกาอาจจะต้องการเปิดตัวนักฆ่าที่โหดเหี้ยมมากที่สุด เหมือนกระบวนการสนับสนุนมุญาฮิดีนในอัฟกานิสถานของพวกเขาในสมัย 1980s ก็ได้ และในอีกหลายปีข้างหน้า เมื่อกองกำลังที่รัฐบาลของเราสร้างขึ้นมานี้ได้ผสานเข้ากับไอซิซและหันมาเข่นฆ่าพลเมอืงอเมริกา เราก็จะเดินขบวนกันรอบธง คร่ำครวญถึง “ความป่วยไข้” ในอิสลาม และส่งเสียงเชียร์เมื่อระเบิดตกลงมา



    —-
    โดย เดวิด มิซเนอร์
    ที่มา http://muslimmirror.com
    แปล/เรียบเรียง กองบก.เอบีนิวส์ทูเดย์

    อย่าโทษอิสลาม : อัล-กออิดะฮ์และไอซิซเป็นผลผลิตของสหรัฐฯ และจักรวรรดิซาอุดี้ฯ | abnewstoday
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ดอลล์อ่อนค่าดันน้ำมัน-ทองคำขึ้น หุ้นมะกันลงกังวลหนี้กรีซ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 มิถุนายน 2558 05:16 น.

    [​IMG]


    เอเอฟพี - ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอย่างมากจากข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในยูโรโซน ผลักราคาน้ำมันสหรัฐฯทุบสถิติสูงสุดในปี 2015 รอบใหม่และทองคำปิดบวกเล็กน้อยในวันอังคาร(2มิ.ย.) ขณะที่วอลล์สตรีทขยับลง จากความวิตกต่อปัญหาหนี้สินของกรีซ

    น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 1.06 ดอลลาร์ ปิดที่ 61.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 61 เซนต์ ปิดที่ 65.49 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

    ในวันอังคาร(2เม.ย.) เจ้าหน้าที่โอเปกบ่งชี้ว่าที่ประชุมประเมินสถานการณ์ตลาดที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในวันศุกร์นี้(5มิ.ย.) จะคงระดับการผลิตไว้ตามเดิม หลังจากซาอุดีอาระเบีย ชาติสมาชิกรายใหญ่ แสดงความพึงพอใจต่อผลลัพธ์ของยุทธศาสตร์ดังกล่าวที่มีเป้าหมายปกป้องส่วนแบ่งตลาดจากผลิตภัณฑ์น้ำมันชั้นหินของสหรัฐฯ

    ขณะเดียวกันราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงมากกว่าร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับยูโร และร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน หลังตัวเลขเงินเฟ้อของยุโรปอยู่ที่ร้อยละ 0.3 ในเดือนพฤษภาคม ถือว่าดีกว่าที่คาดหมายไว้และปัดเป่าความกังวลต่อภาวะเงินฝืด

    ตัวเลขเงินเฟ้อที่น่าพอใจของยุโรป ยังผลักให้ราคาทองคำเมื่อวันอังคาร(2มิ.ย.) ขยับขึ้นเล็กน้อย อันเนื่องจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 5.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,194.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์

    ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันอังคาร(2มิ.ย.) ปิดลบท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน โดยเคลื่อนไหวตามตลาดทุนในยุโรป หลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงอียูรายหนึ่งคร่ำครวญว่าการเจรจาเพื่อให้กรีซหลีกเลี่ยงผิดนัดชำระหนี้ไม่ค่อยมีความคืบหน้ามากนัก

    ดาวโจนส์ ลดลง 28.43 จุด (0.16 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 18,011.94 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 2.13 จุด (0.10 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,109.60 จุด แนสแดค ลดลง 6.40 จุด (0.13 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 5,076.52 จุด

    ตลาดทุนในอังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมนี ขยับลงกันถ้วนหน้า หลังจากนายเจอโรน ดิจเซลโบลม ประธานกลุ่มยูโรกรุ๊ป บอกกับสถานีโทรทัศน์เนเธอร์แลนด์ว่าการเจรจากับกรีซ ยังไม่ใกล้เคียงที่จะบรรลุข้อตกลงใดๆ ขณะที่เส้นตายที่กรีซต้องจ่ายหนี้คืนแก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ในวันศุกร์นี้(5มิ.ย.) คืบคลานเข้ามาทุกขณะ


    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000062704
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กรีซยื่นข้อเสนอใหม่เพื่อให้ได้เงินกู้งวดสุดท้าย แต่พวกเจ้าหนี้ส่ายหน้าบอกว่า “ยังไม่พอ” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 มิถุนายน 2558 02:16 น.

    [​IMG]

    เอพี/เอเจนซีส์ - กรีซยื่นข้อเสนอประนีประนอมใหม่ล่าสุดเพื่อทำความตกลงกับเหล่าเจ้าหนี้ระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซีปราส แถลงเปิดเผยในวันอังคาร (2 มิ.ย.) พร้อมกับแสดงความหวังว่าความเคลื่อนไหวคราวนี้ จะทำให้ได้รับเงินกู้ซึ่งจะช่วยให้เอเธนส์รอดพ้นจากการล้มละลาย อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเจ้าหนี้ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่ายังไม่เพียงพอ และกรีซต้องทำอะไรเพิ่มขึ้นกว่านี้มาก

    ซีปราสบอกว่า รัฐบาลของเขาได้ยินยอมประนีประนอมในระหว่างการเจรจากัน และเวลานี้ขึ้นอยู่กับพวกผู้นำของยุโรป ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายหลักของกรีซ ว่าจะยอมรับข้อตกลง หรือจะเสี่ยงให้เกิดผลสืบเนื่องที่อาจถึงขั้นสร้างความหายนะให้แก่ภูมิภาคนี้ขึ้นมา

    ทั้งนี้ถ้าหากไม่ได้รับเงินกู้ช่วยชีวิต กรีซก็อาจไม่สามารถชำระหนี้ของตนได้ในเดือนนี้ และลงท้ายอาจถึงกับต้องถอนตัวออกไปจากการใช้สกุลเงินยูโร อันเป็นจังหวะก้าวที่จะผลักดันยุโรปและระบบเศรษฐกิจของโลกให้เข้าสู่ภาวะซึ่งไม่เคยประสบและคาดเดาไม่ได้

    “ขณะนี้เป็นที่ชัดเจนแล้ว การตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการหรือไม่ที่จะยอมรับสภาพความเป็นจริงและก้าวออกไปจากวิกฤตโดยไม่ก่อให้เกิดความแตกแยกของยุโรปนั้น … ขึ้นอยู่กับคณะผู้นำทางการเมืองของยุโรป” ซีปราส บอก

    กรีซกับพวกเจ้าหนี้ระหว่างประเทศของตนตกอยู่ในสภาพคุมเชิงกันตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา ระหว่างการเจรจาต่อรองกันว่าประเทศนี้ควรที่จะต้องดำเนินการปฏิรูปอะไรบ้างและกระทำมากน้อยขนาดไหน โดยหากทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ พวกเจ้าหนี้ก็จะปลดล็อกปล่อยเงินกู้จำนวน 7,200 ล้านยูโร ซึ่งเป็นงวดสุดท้ายของโครงการเงินกู้ช่วยไม่ให้กรีซล้มละลายฉบับปัจจุบัน

    อันที่จริงโครงการดังกล่าวมีกำหนดจะสิ้นสุดตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้แล้ว ทว่าถูกยืดเวลาออกไปจนกระทั่งถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่หากยังไม่มีข้อตกลงใดๆ ออกมาในตอนสิ้นสุดเดือนนี้ และโครงการให้กู้ช่วยไม่ให้ล้มละลายก็เป็นอันหมดอายุลงไป กรีซก็จะไม่สามารถร้องขอเงินกู้เช่นนี้ได้อีกต่อไป

    ซีปราสกล่าวว่าข้อเสนอประนีประนอมของรัฐบาลกรีซ ซึ่งเขามิได้แจกแจงรายละเอียด ได้ยื่นเสนอไปเมื่อคืนวันจันทร์ (1) ต่อคณะเจ้าหนี้ อันประกอบด้วย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ), คณะกรรมาธิการยุโรป ที่เป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป(อียู), และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี)

    ทั้งนี้ในคืนเดียวกันนั้นเอง มาริโอ ดรากี ประธานอีซีบี และ คริสทีน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ ได้เข้าไปร่วมการพบปะหารือฉุกเฉินที่นัดหมายกันเอาไว้ก่อนแล้วระหว่าง นายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล แห่งเยอรมนี, ประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์ ของฝรั่งเศส, และ ฌอง-โคลด จุงก์เคอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ณ ทำเนียบนายกรัฐมนตรีในกรุงเบอร์ลิน เพื่อพูดคุยกันในเรื่องของกรีซ

    อย่างไรก็ตาม กระทั่งข้อเสนอล่าสุดของเอเธนส์นี้ ทางฝ่ายเจ้าหนี้ก็ยังเห็นว่าไม่เพียงพอ

    “พวกเรายังไม่ได้ใกล้เคียงจุดที่ควรถือว่าไกลเพียงพอแล้วเลย” รัฐมนตรีคลังเนเธอร์แลนด์ เจอเริน ดิสเซลโบลม ซึ่งเป็นประธานของการประชุมรัฐมนตรีคลังยูโรโซน ที่เรียกกันว่า “ยูโรกรุ๊ป” อีกทั้งเป็นผู้ที่รับทราบความคืบหน้าล่าสุดของการประชุมในกรุงเบอร์ลินเมื่อคืนวันจันทร์ กล่าวตอบอย่างรวดเร็วไม่นานนักภายหลังการแถลงของนายกรัฐมนตรีกรีซ

    “เวลากำลังบีบเข้ามาทุกที” ดิสเซลโบลมบอกกับเครือข่ายทีวี อาร์ทีแอล ของดัตช์ “แต่ ... เราก็มีการพูดจาเรื่องนี้มาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว ซึ่งจนถึงขณะนี้ กรีซยังคงสามารถชำระหนี้สินได้ ทว่าก็กำลังประสบความลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ”

    กรีซมีกำหนดที่จะต้องจ่ายคืนหนี้เป็นจำนวนรวมประมาณ 1,600 ล้านยูโรให้แก่ไอเอ็มเอฟในเดือนนี้ โดยที่ก้อนแรกจะต้องจ่ายราวๆ 300 ล้านยูโรในวันศุกร์ (5) ที่จะถึงนี้

    ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเอเธนส์สามารถหาเงินสดมาจ่ายในวันศุกร์ได้หรือไม่ ถึงแม้กรีซแถลงว่ามีเจตจำนงที่จะชำระตามกำหนดนัดหมาย

    ดิสเซลโบลมกล่าวว่า เมื่อมาถึงตอนนี้คงแทบเป็นไปไม่ได้แล้วที่ทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อปลดล็อกเงินกู้งวดสุดท้าย 7,200 ล้านยูโรได้ทันเวลาวันศุกร์นี้

    “ในทางปฏิบัติต้องถือว่าไม่สามารถทำได้แล้ว” เขากล่าว พร้อมกับชี้ว่าข้อตกลงใดๆ ที่จะเกิดขึ้นนั้น ยังจะต้องได้รับการอนุมัติจากพวกรัฐมนตรีคลังทั้งหลายของชาติยูโรโซน รวมทั้งกรีซเองก็จำเป็นต้องเริ่มปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการในข้อตกลงเสียก่อน จึงจะได้รับเงิน

    กรีซสามารถเอาตัวรอดได้โดยไม่ได้รับเงินกู้ช่วยชีวิตงวดใหม่ๆ เลยตั้งแต่ฤดูร้อนปีที่แล้ว ทว่าก็แถลงในระยะไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาว่าเงินสดของตนกำลังหมดเกลี้ยง และต้องพยายามหาเงินมาจ่ายหนี้ที่ถึงกำหนดชำระ ด้วยการดึงเอาเงินสำรองจากพวกรัฐวิสาหกิจต่างๆ ตลอดกระทั่งเงินสำรองของพวกสถานทูตในต่างประเทศ, โรงพยาบาล, และโรงเรียนต่างๆ ของรัฐ

    มีผู้เสนอแนะว่ากรีซอาจจะประวิงเวลาด้วยการขอรวมจ่ายเงินกู้ทั้งหมดที่ต้องชำระให้แก่ไอเอ็มเอฟในเดือนนี้เป็นก้อนเดียวโดยจ่ายในวันที่ 30 มิถุนายน ทั้งนี้เป็นไปตามกฎข้อบังคับที่มีอยู่แล้วของไอเอ็มเอฟทว่าไม่ค่อยถูกนำมาใช้ แต่จวบจนถึงขณะนี้เอเธนส์ยังไม่ได้แสดงท่าทีเปิดเผยว่ากำลังพิจารณาทางเลือกนี้อยู่

    พรรคไซรีซา ที่เป็นพรรคฝ่ายซ้ายแนวคิดรุนแรงของซีปราส ชนะเลือกตั้งอย่างงดงามในกรีซเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยให้สัญญาระหว่างการหาเสียงว่าจะยกเลิกมาตรการเข้มงวดงบประมาณรายจ่าย ซึ่งพวกเจ้าหนี้ระหว่างประเทศเรียกร้องเป็นเงื่อนไขในการปล่อยเงินกู้ช่วยไม่ให้ล้มละลาย ทว่าได้สร้างความลำบากเดือดร้อนและความโกรธแค้นให้แก่ชาวกรีซจำนวนมหาศาล อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการเจรจาต่อรองช่วงหลายๆ เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลของซีปราสต้องยอมเสียคำมั่นสัญญาในเวลาหาเสียงไปจำนวนหนึ่งแล้ว

    ซีปราสกล่าวในวันอังคารว่า ในข้อเสนอล่าสุด กรีซก็ได้ยอมอ่อนข้อให้หลายๆ ประการ แต่ดิสเซลโบลมตอบโต้ว่า สิ่งที่กำลังพูดจากันนี้ไม่ใช่เรื่องของการต่อรองแบบยื่นหมูยื่นแมว โดยในขณะที่สามารถเจรจากันได้ว่ากรีซควรจะดำเนินการปฏิรูปชนิดไหน แต่ผลกระทบสุทธิซึ่งมีต่อการเงินการคลังภาคสาธารณะ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถต่อรองได้

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000062697
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สัญจรทางอากาศสหรัฐฯอลหม่าน มือดีขู่ระเบิดเที่ยวบินโดยสารอย่างน้อย5ลำ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 มิถุนายน 2558 03:30 น.

    [​IMG]

    รอยเตอร์ - สหรัฐฯเจอมือดีโทรศัพท์ลวงขู่วางระเบิดเครื่องบินอีกอย่างน้อย 5 เที่ยว ก่อความยุ่งเหยิงต่อเที่ยวบินภายในและระหว่างประเทศในวันอังคาร(2มิ.ย.) เจ้าหน้าที่สายการบินและสื่อมวลชนรายงาน 1 สัปดาห์หลังจากเพิ่งเกิดเหตุลักษณะเดียวกันนี้กับเที่ยวบินนับสิบเที่ยว จนต้องส่งฝูงบินรบเข้าประกบและพาไปลงจอดฉุกเฉิน

    https://youtu.be/ZcKOw6GYitI
    https://youtu.be/GLcTU-8pcRM

    ตำรวจเข้าปิดล้อมเที่ยวบิน 648 ของสายการบินยูเอส แอร์เวย์ส ซึ่งบรรทุกผู้โดยสาร 88 คนและลูกเรือ 5 คัน หลังจากมันลงจอด ณ ท่าอากาศยานนานาชาติฟิลาเดลเฟีย เนื่องจากความเป็นไปได้ที่จะมีภัยคุกคามด้านความปลอดภัย จากการเปิดเผยของวิคตอเรีย ลูฟิคา โฆษกหญิงของ อเมริกัน แอร์ไลน์ส กรุ๊ป อิงค์ บริษัทแม่ของยูเอส แอร์เวย์ส

    สถานีโทรทัศน์ 6ABC ของฟิลาเดลเฟียรายงานว่าคำขู่ว่าอาจมีระเบิดบนเครื่อง กระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ต้องรุดเข้าตรวจค้น อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วก็ไม่พบวัตถุต้องสงสัยใดๆ

    ด้านสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีและซีเอ็นเอ็น รายงานว่ายังมีเครื่องบินพาณิชย์ของสหรัฐฯลำอื่นๆที่ถูกขู่ระเบิดในวันอังคาร(2มิ.ย.) อันประกอบด้วยเที่ยวบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ที่มุ่งหน้าสู่ชิคาโก เที่ยวบินของเดลตา แอร์ไลน์ส สู่แอตแลนตา และเที่ยวบินของโวลาริส จากปอร์ทแลนด์ สู่กวาดาลาฮารา ประเทศเม็กซิโก แต่ทั้งหมดลงจอดอย่างปลอดภัย จากนั้นก็อพยพผู้โดยสารลงจากเครื่องและดำเนินการตรวจค้น

    ชาร์ลส์ โฮบาร์ต โฆษกของสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส บอกว่าเครื่องบินของพวกเขา คือเที่ยวบิน 955 ได้รับคำรับประกันความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ก่อนหน้าที่เครื่องจะเดินหน้าถึงชิคาโก "ผู้โดยสารลงจากเครื่องบินตามปกติ เรากำลังร่วมมือกับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น" ส่วนเครื่องบินลำที่ 5 เป็นของสายการบินโคเรียน แอร์ไลน์ส เที่ยวมุ่งสู่ซานฟรานซิสโก

    เมื่อวันจันทร์(1มิ.ย.) นายเจห์ จอห์นสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ( ดีเอชเอส ) ออกคำสั่งปฏิรูปมาตรการรักษาความปลอดภัยและวัตถุต้องสงสัยตามสนามบินทุกแห่งในประเทศ หลังสื่อมวลชนรายงานว่าผลทดสอบของสำนักงานความปลอดภัยด้านการคมนาคมขนส่ง(TSA)พบว่าเจ้าหน้าที่ตรวจค้นตามสนามบินต่างๆไม่สามารถตรวจจับระเบิดและอาวุธปลอมได้ในการทดสอบ 67 ครั้งจาก 70 ครั้ง หรือคิดเป็น 95 เปอร์เซ็นต์

    อนึ่งจากข้อมูลของ FlightAware.com เว็บไซต์ตรวจสอบสถานะการบิน พบว่ามีเที่ยวบินสหรัฐฯราว 188 เที่ยว หรือร้อยละ 9 จากเที่ยวบินทั้งหมด ที่ประสบปัญหาล่าช้าในวันอังคาร(2มิ.ย.)

    ความยุ่งเหยิงด้านการสัญจรทางอากาศในวันอังคาร(2มิ.ย.) มีขึ้นหลังจาก เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ก็เกิดเหตุมือดีโทรศัพท์ข่มขู่สายการบินต่างๆว่ามีระเบิดบนเครื่องรวมแล้วเกือบ 10 เที่ยวบิน จนกองทัพสหรัฐฯต้องเครื่องบินรบเข้าประกบและพาไปลงจอดอย่างปลอดภัย ขณะที่เจ้าหน้าที่เชื่อว่ามันน่าจะเป็นฝีมือของบุคคลเดียวกัน

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000062699
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โอบามาลงนามร่างกฎหมาย “จำกัดการสอดแนม” ของสหรัฐฯ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 มิถุนายน 2558 10:08 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯลงนามร่างกฎหมายฉบับระวัติศาสตร์เมื่อวานนี้ (2) ที่ผ่านโดยสภาคองเกรสเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ซึ่งมีผลทำให้การรวบรวมข้อมูลทางโทรศัพท์อย่างกว้างขวางของรัฐบาลต้องยุติลง

    กฎหมาย USA Freedom Act ฉบับนี้ ซึ่งพลิกโฉมนโยบายของอเมริกาอย่างมีนัยสำคัญด้วยการยับยั้งโครงการสอดแนมอันเป็นที่โต้เถียงมากที่สุดของประเทศนี้นับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 จะยุติระบบที่ถูกเปิดโปงโดย เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่สัญญาจ้างของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านข่าวกรองที่รวมรวบและค้นหาบันทึกการติดต่อทางโทรศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ฟังเนื้อหาของบันทึกเหล่านั้น

    การผ่านกฎหมายฉบับนี้เป็นผลลัพธ์ของการร่วมมือกันระหว่างวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตและวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันหัวอนุรักษ์นิยมสุดขอบบางคน และเป็นชัยชนะของ โอบามา , พรรคเดโมแครต แต่เป็นความล้มเหลวสำหรับ มิตช์ แมคคอนเนล ผู้นำเสียงข้างมากของรีพับลิกันในวุฒิสภา

    หลังจากที่วุฒิสภาโหวตผ่านด้วยคะแนนเสียง 66-32 เมื่อวานนี้ (2) เพื่อให้ความเห็นชอบของรัฐสภาเป็นครั้งสุดท้ายต่อร่างกฎหมายนี้ โอบามาได้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ @POTUS ของเขา เพื่อกล่าวว่าเขามีความยินดีที่จะผ่านกฎหมายนี้ โดยระบุว่า “ผมจะลงนามทันทีที่ผมได้รับมัน”

    ร่างกฎหมายฉบับนี้ยุติความสามารถของ NSA ในการรวมรวมและเก็บรายละเอียดของข้อมูล (metadata) เช่น หมายเลขโทรศัพท์ , วันและเวลาการโทร จากชาวอเมริกันที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย

    นอกจากนี้กฎหมายฉบับนี้ยังโยกย้ายความรับผิดชอบในการกักเก็บข้อมูลดังกล่าวไปยังบริษัทโทรศัพท์ต่างๆ ซึ่งทำให้ทางการไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ หากไม่มีมีหมายศาลจากศาลต่อต้านก่อการร้ายที่ระบุตัวบุคคลหรือกลุ่มคนที่ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายอย่างเจาะจง

    กฎหมาย USA Freedom Act เป็นการปฏิรูปทางกฎหมายขนานใหญ่ครั้งแรกของการสอดแนมของสหรัฐฯ นับตั้งแต่การเปิดโปงของ สโนว์เดน เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งทำให้เกิดการโต้เถียงกันเกี่ยวกับวิธีการจัดสมดุลระหว่างความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลกับความเกรงกลัวการโจมตีก่อการร้ายของชาวอเมริกัน

    ทั้งนี้โครงการบันทึกการติดต่อทางโทรศัพท์และโครงการสอดแนมภายในประเทศอีก 2 โครงการที่ได้รับการอนุญาตภายใต้กฎหมาย USA Patriot Act ปี 2011 ได้ถูกปิดตัวลงนับตั้งแต่วันอาทิตย์ (31) เป็นต้นมา

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000062747
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โอบามาจี้พม่าเลิกแบ่งแยกโรฮีนจา สื่อแฉ'หญิงสาวเหยื่อค้ามนุษย์'ถูกจนท.ข่มขืน
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 มิถุนายน 2558 20:55 น.

    [​IMG]

    @ผู้อพยพชาวโรฮีนจาเข้าแถวรอรับอาหารที่ค่ายพักแห่งหนึ่งของทางการอินโดนีเซียในจังหวัดอาเจะห์ เมื่อวันจันทร์ (1 มิ.ย.) ทั้งนี้สื่อของทางการมาเลเซียรายงานโดยอ้างปากคำของผู้อพยพชาวโรฮีนจาระบุว่า มีหญิงสาวโรฮีนจาจำนวนไม่น้อยถูกพวกผู้คุมข่มขืน ระหว่างที่ถูกแก๊งค้ามนุษย์กักกันตัวอยู่ในค่ายริมชายแดนทั้งทางฝั่งไทยและฝั่งมาเลเซีย

    เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สื่อมาเลเซียรายงานว่า หญิงชาวมุสลิมโรฮีนจาซึ่งถูกขังอยู่ที่ค่ายของแก๊งค้ามนุษย์ในไทยและมาเลเซีย ตกเป็นเหยื่อการรุมโทรมโดยพวกผู้คุม ซึ่งทำให้มีหญิงอย่างน้อย 2 คนตั้งครรภ์ ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ รุกเร้าทางการพม่าว่า ถ้าต้องการประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านจากการปกครองเผด็จการทหารไปสู่ประชาธิปไตยแล้ว ก็จะต้องยุติการแบ่งแยกกีดกันชาวโรฮีนจา

    สำนักข่าวเบอร์นามาของทางการมาเลเซีย รายงานโดยอ้างจากคำพูดของ นูร์ กออิดฮา อับดุล ชูกูร์ หญิงชาวโรฮีนจาผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันของแก๊งค้ามนุษย์ ระบุว่า ทุกๆ คืนจะมีหญิงสาวถูกนำตัวออกจากค่ายกลางป่าทึบที่เธอถูกขังอยู่ใกล้ๆ เมืองปาดังเบซาร์ในไทย

    รายงานซึ่งถูกเผยแพร่เมื่อคืนวันจันทร์ (1 มิ.ย.) ระบุว่าเธอเคยอยู่ในค่ายดังกล่าวมาเมื่อปีที่แล้ว และเธอบอกว่า “ทุกคืนจะมีหญิงสาวชาวโรฮีนจาที่หน้าตาสะสวย 2-3 คนถูกผู้คุมนำตัวออกจากคอกกักกันไปยังสถานที่ซ่อนเร้น”

    “พวกเธอจะถูกพวกผู้คุมรุมข่มขืน มีหญิงสาว 2 คนที่ค่ายตั้งท้องหลังจากถูกรุมโทรม” เธอกล่าว

    รายงานชิ้นนี้ยังอ้างถึงคำพูดของนารุล อามิน โนบี ฮุสเซน สามีของเธอที่ระบุว่า ตัวเขาก็พบเห็นอาชญากรรมลักษณะเดียวกันนี้ ที่เกิดเห็นที่ค่ายใกล้เคียงในบริเวณพรมแดนฝั่งมาเลเซีย

    การค้นพบค่ายของกลุ่มลักลอบค้ามนุษย์และหลุมศพที่อยู่ใกล้เคียงจำนวนเรือนร้อยในไทยและมาเลเซียตามลำดับได้ก่อให้เกิดความตะลึงงันและความพะอืดพะอมในเอเชียตะวันออกเฉียงไต้

    ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม มีการพบค่ายกักกัน 7 ค่าย และศพ 33 ศพจากหลุมศพหมู่ในฝั่งไทย ต่อมาในช่วงปลายเดือนเดียวกัน ตำรวจมาเลเซียประกาศว่า พบค่าย 28 ค่ายในพรมแดนฝั่งของพวกเขา รวมทั้งมีหลุมศพ 139 หลุมที่ยังอยู่ระหว่างการขุดนำศพขึ้นมาชันสูตร

    นูร์ กออิฮา บอกกับเบอร์นามาจากเมืองอลอร์สตาร์ ทางตอนเหนือของมาเลเซียว่า เธอลักลอบเข้าแดนเสือเหลืองเมื่อปลายปีที่แล้ว หลังจากมีการจ่ายเงินค่าไถ่ให้แก๊งค้ามนุษย์ปล่อยเธอออกจากค่ายดังกล่าว

    เธอเล่าว่า บางครั้งผู้หญิงก็ถูกผู้คุมนำตัวออกไปเป็นเวลาหลายวันเพื่อถูกใช้เป็นทาสกาม สามีของเธอซึ่งผ่านค่ายในมาเลเซียมาเมื่อปีที่แล้วก่อนหน้าเธอ บอกกับเบอร์นามาว่า ที่นั่นก็เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้เช่นกัน

    “ในตอนกลางคืน ผู้คุมหลายคนจะไปที่คอกของพวกผู้หญิง และนำตัวพวกเธอไปยังสถานที่ใกล้เคียง” เขากล่าว “เราได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องและร้องไห้ เพราะที่ซึ่งพวกเธอถูกข่มขืนอยู่ใกล้กับคอกของเรามาก แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในตอนกลางคืน พวกเราจึงมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น”

    ทางด้าน แอนน์ ริชาร์ด ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนภูมิภาคนี้เพื่อติดตามประเด็นปัญหาผู้อพยพ ได้บอกกับผู้สื่อข่าวในคืนวันจันทร์ (1) ว่า เธอได้พบกับ “มนุษย์เรือ” ที่เป็นผู้หญิงบางคน ทำให้ทราบว่าจำนวนมากต้องผ่านประสบการณ์ถูกข่มขืนย่ำยีอย่างเลวร้ายยิ่ง

    ขณะที่ประธานาธิบดีโอบามา แถลงที่กรุงวอชิงตันในวันเดียวกันโดยระบุว่า ชาวโรฮีนจาถูกแบ่งแยกกีดกัน และนี่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขาหลบหนีออกมาจากพม่า

    โอบามา ซึ่งพูดในงานที่มีพวกผู้นำวัยหนุ่มสาวจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วม ได้กล่าวถึงสิ่งที่พม่าจำเป็นต้องทำเพื่อให้ประสบความสำเร็จ โดยบอกว่า “หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการยุติการแบ่งแยกกีดกันผู้คนเพียงเพราะรูปร่างหน้าตาของพวกเขา หรือเพียงเพราะความเชื่อความศรัทธาของพวกเขา”

    “ผมคิดว่าถ้าผมเป็นชาวโรฮีนจา ผมน่าจะต้องการพำนักอยู่ในสถานที่ซึ่งผมเกิด แต่ผมก็ต้องการความมั่นใจด้วยว่ารัฐบาลของผมกำลังปกป้องคุ้มครองผม และประชาชนคนอื่นๆ กำลังปฏิบัติต่อผมอย่างเป็นธรรม” เขากล่าวต่อ

    “นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมาก ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย ที่จะต้องเอาใจใส่อย่างจริงจังมากๆ ต่อประเด็นปัญหานี้ ประเด็นปัญหาที่ว่าจะปฏิบัติต่อชาวโรฮีนจาอย่างไร”


     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    InPics & Clips : ฝ่าพายุช่วยเรือล่มในแม่น้ำแยงซี พบคนรอดแค่15ยังหายกว่า400 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 มิถุนายน 2558 22:21 น.

    [​IMG]

    @ภาพที่ได้จากหนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี่ แสดงให้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากนักประดาน้ำเมื่อวันอังคาร (2) จนสามารถออกจากเรือท่องเที่ยว “อีสเทิร์นสตาร์” ที่อัปปางลงกลางแม่น้ำแยงซีเกียงตอนดึกวันจันทร์ (1) ก่อนจะลอยขึ้นมาใหม่ในสภาพพลิกคว่ำ ณ บริเวณห่างออกไปราว 3 กิโลเมตร ทั้งนี้ยังคงมีผู้สูญหายอีกกว่า 400 คนส่วนใหญ่เป็นคนชรา/////

    เอเจนซีส์ - หน่วยกู้ภัยของจีนฝ่าฟันสภาพอากาศเลวร้ายเมื่อวันอังคาร (2 มิ.ย.) เพื่อค้นหาผู้ที่ยังสูญหายกว่า 400 คน ส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุ หลังจากเรือท่องเที่ยวลำหนึ่งพลิกคว่ำจมอยู่ในแม่น้ำแยงซีเกียงในคืนวันจันทร์ (1) ถือเป็นโศกนาฏกรรมการเดินเรือครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบเกือบ70 ปีของจีน

    https://youtu.be/Cne-I8TEYaA
    https://youtu.be/luvoJO1TioI
    https://youtu.be/vKMdD1EQYxE

    ตามรายงานของสำนักข่าวซินหวาของทางการจีน จนถึงช่วงเย็นวันอังคาร ถึงแม้นักประดาน้ำและเจ้าหน้าที่กู้ภัยอื่นๆ จะใช้ความพยายามอย่างไม่ลดละ แต่ก็ช่วยผู้ที่ติดอยู่ในเรือท่องเที่ยว “ตงฟางจือซิง” หรือ “อีสเทิร์นสตาร์” ออกมาได้เพียง 15 คน และกู้ศพออกมาได้ 6 ศพ

    จำนวนดังกล่าวยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวของผู้โดยสารและลูกเรือรวม 458 คนที่มีรายงานว่าอยู่บนเรือลำนี้ที่พลิกคว่ำและจมอย่างรวดเร็วท่ามกลางพายุหนักในคืนวันจันทร์ ขณะแล่นอยู่ในเส้นทางระหว่างนครหนานจิง (นานกิง) ทางด้านตะวันออกของประเทศ ไปยังนครฉงชิ่ง ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของแดนมังกร ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมของแม่น้ำยาวที่สุดของแดนมังกรสายนี้

    สำนักข่าวซินหวารายงานว่า หน่วยกู้ภัยได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือจากในเรือ และภาพข่าวทีวีเผยให้เห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยพยายามใช้เครื่องเจียรลมตัดลำตัวเรือเพื่อนำคนเหล่านั้นออกมา

    ซินหวายังบอกว่า นักประดาน้ำสามารถดึงหญิงวัย 65 ปีผู้หนึ่งจากเรือท่องเที่ยว 4 ชั้นความยาว 250 ฟุต (76.5 เมตร) ลำนี้ออกมาอย่างปลอดภัย

    สถานีโทรทัศน์ส่วนกลางของจีน (ซีซีทีวี) รายงานว่า หลังจากที่เรืออีสเทิร์นสตาร์ อัปปางในแม่น้ำแยงซีเกียง บริเวณซึ่งอยู่ในท้องที่อำเภอเจี้ยนลี่ ของมณฑลเหอเป่ยแล้ว ก็ได้ลอยขึ้นมาในสภาพพลิกคว่ำที่จุดห่างออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร

    เรือกู้ภัยหลายสิบลำ รวมถึงเรือประมง ต่างฝ่าฟันกระแสลมและสายฝนเพื่อไปยังเรือที่ลอยขึ้นมาใหม่ โดยบริเวณนั้นมีความลึกราว 15 เมตร นอกจากนี้ยังมีการส่งตำรวจกว่า 1,000 คนลงเรือยาง 40 ลำไปยังเรืออีสเทิร์นสตาร์ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายคนกำลังประเมินสถานการณ์ว่า สามารถพลิกเรือกลับได้หรือไม่

    เรือลำนี้ที่รองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 500 ลำ ประสบอุบัติเหตุเมื่อเวลาประมาณ 21.38 น. ของวันจันทร์ ตามเวลาท้องถิ่นของจีน

    อุบัติเหตุร้ายแรงระดับนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนักในจีน ซึ่งใช้แม่น้ำสำคัญสายนี้เป็นเส้นทางขนส่งและท่องเที่ยว โดยที่ก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคมปีนี้ ได้เกิดเหตุเรือล่มในแม่น้ำแยงซี มีผู้เสียชีวิต 22 คนจาก 25 คนที่อยู่บนเรือ

    อุบัติเหตุทางเรือครั้งร้ายแรงที่สุดของจีนเกิดขึ้นในปี 1948 เมื่อเรือกลไฟเคียงหยา ระเบิดในแม่น้ำหวงผู่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คน

    สำหรับโศกนาฏกรรมครั้งนี้อาจมีผู้เสียชีวิตมากกว่าเหตุการณ์เรือเฟอร์รี “เซวอล” ล่มในเกาหลีใต้เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 304 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนที่เดินทางไปทัศนศึกษา

    หนังสือพิมพ์เหรินหมินรึเป้า (พีเพิลส์ เดลี่) ที่เผยแพร่รายชื่อผู้โดยสารบนไมโครบล็อก ระบุว่า ผู้ที่อยู่บนเรืออีสเทิร์นสตาร์ มีอายุตั้งแต่ 3-80 ปี ประกอบด้วยนักท่องเที่ยว 406 คน, ลูกเรือ 47 คน และไกด์ทัวร์ 5 คน

    กัปตันและหัวหน้าวิศวกรประจำเรือ ซึ่งได้รับการช่วยเหลืออย่างปลอดภัย ถูกตำรวจควบคุมตัวเพื่อสอบปากคำ โดยทั้งคู่เผยว่า เรืออัปปางอย่างรวดเร็วหลังเผชิญพายุทอร์นาโด สอดคล้องกับรายงานของสถานีวิทยุแห่งหนึ่งที่ระบุว่า เรือพลิกคว่ำภายใน 2 นาทีโดยไม่มีการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่ผู้อยู่ในเรือ 7 คนได้ว่ายน้ำขึ้นไปแจ้งเหตุบนฝั่ง

    จาง ฮุ่ย ไกด์ทัวร์วัย 43 ปีซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่อยู่บนเรือและรอดชีวิตมาได้ เล่าให้ซินหวาฟังว่า ได้เกิดฝนตกหนักมากจนกระทั่งท่วมเข้าไปตามห้องของผู้โดยสารตั้งแต่หลัง 21.00 น.เล็กน้อย

    “ฝนเทกระหน่ำลงมาทางกราบขวาของเรือ ห้องจำนวนมากถูกน้ำท่วม” ซินหวารายงานคำบอกเล่าของจาง “แม้กระทั่งหน้าต่างปิดอยู่ น้ำก็ยังรั่วซึมเข้ามา”

    สำนักข่าวซินหัวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า เรือไม่ได้บรรทุกน้ำหนักเกินและมีเสื้อชูชีพเพียงพอสำหรับผู้โดยสาร ขณะที่ซีซีทีวีระบุว่า มีฝนตกวัดปริมาณน้ำฝนได้ 6 นิ้ว (150 มิลลิเมตร) ในบริเวณที่เกิดเหตุในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

    ทางด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สั่งการให้ทำการค้นหาและกู้ภัยอย่างเต็มที่ ขณะที่นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง เดินทางไปยังที่เกิดเหตุในมณฑลหูเป่ย

    นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า บรรดาญาติพี่น้องของผู้โดยสารและลูกเรือราว 60 ครอบครัว ไปรวมตัวหน้าบริษัททัวร์แห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นเมืองที่ผู้โดยสารจำนวนมากไปจองตั๋วเรือ และบางส่วนปะทะกับเจ้าหน้าที่ เนื่องจากไม่พอใจที่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าเกี่ยวกับผู้โดยสารบนเรือ

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000062674
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินโดนีเซียช่วย “เรือผู้อพยพ 65 คน” หลังถูกทัพเรือออสซีส่งกลับ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 มิถุนายน 2558 16:12 น. (แก้ไขล่าสุด 2 มิถุนายน 2558 17:09 น.)

    [​IMG]

    รอยเตอร์ - ทางการอินโดนีเซียช่วยชีวิตผู้อพยพ 65 คนที่พยายามไปยังออสเตรเลีย หลังจากที่เรือของพวกเขาเกยติดกับแนวปะการังแห่งหนึ่ง ตำรวจแดนอิเหนา รายงานในวันนี้ (2 มิ.ย.)

    นักการเมืองฝ่ายค้านของออสเตรเลียรายหนึ่งระบุว่า เรือดังกล่าวเกยติดหลังจากที่ถูกกองทัพเรือแดนจิงโจ้ลากกลับออกไป ตอกย้ำให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ผู้อพยพเผชิญจากนโยบายอันเข้มงวดของออสเตรเลีย

    ผู้อพยพที่แออัดในเรือพยายามที่จะข้ามทะแลเมดิเตอร์เรเนียนระหว่างแอฟริกาและยุโรป รวมถึงทะเลอันดามันในเอเชียในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ ซึ่งถือเป็นประเด็นปัญหาระดับโลกที่หลายๆ ชาติกำลังพยายามจัดการรับมือกันอยู่

    ออสเตรเลียเลือกใช้หนึ่งในวิธีการที่เข้มงวดที่สุดในการต่อต้านผู้อพยพที่พยายามขึ้นฝั่งของพวกเขาโดยทางเรือ ด้วยการส่งกลับเรืออพยพไปยังที่ๆ ปลอดภัย และกักขังคนอื่นๆ อีกหลายพันคนในศูนย์กักกันในต่างแดน

    เรือลำดังกล่าวที่เกยติดนอกชายฝั่งจังหวัดนุสา เตงการา ตะวันออกเมื่อวันอาทิตย์ (7) กำลังพยายามจะข้ามไปยังเกาะปะการังแอชมอร์ (Ashmore Reef) ที่ออสเตรเลียควบคุมอยู่ บูดิ ซานโตโซ หัวหน้าของหน่วยปฏิบัติงานเฉพาะกิจด้านผู้แสวงหาที่พักพิงของสำนักงานตำรวจอินโดนีเซีย กล่าวในข้อความ

    เรือลำดังกล่าวมีชาวศรีลังกา 54 คน, ชาวบังกลาเทศ 10 คน และชาวพม่า 1 คน ในจำนวนนี้ 3 คนเป็นเด็ก

    จำนวนของผู้อพยพที่ไปยังออสเตรเลียถือว่าไม่มากมายนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แต่มันเป็นประเด็นทางการเมืองที่ทำให้เกิดการแบ่งขั้วเกี่ยวกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรี โทนี แอ็บบอตต์ ใช้นโยบายอันเข้มงวดมาตั้งแต่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2013

    เรือลำดังกล่าวชนเข้ากับแนวปะการังหลังจากถูกกองทัพเรือออสเตรเลียส่งกลับ ซาราห์ แฮนสัน-ยัง วุฒิสมาชิกฝ่ายค้านพรรคกรีน กล่าวในถ้อยแถลง

    “นโยบายผลักดันเรือกลับของออสเตรเลียยังคงทำให้ชีวิตของเด็กๆ ตกอยู่ในความเสี่ยง” แฮนสัน-ยังกล่าว

    ขณะที่มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และไทยยุติการผลักดันเรือกลับ รัฐบาลออสเตรเลียกลับยังคงหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของตนในภูมิภาคนี้ต่อไป และทำให้หลายชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยง”

    ออสเตรเลียใช้ศูนย์กักกันนอกชายฝั่งในปาปัวนิวกินีและประเทศเกาะเล็กๆ แถบแปซิฟิกใต้อย่างนาอูรูเพื่อจัดการกับผู้ที่ต้องการเป็นผู้ลี้ภัย ซึ่งมักจ่ายเงินให้กับกลุ่มลักลอบค้ามนุษย์ในแดนอิเหนาเพื่อจับจองที่ในเรืออันทรุดโทรม พวกเขาจำนวนมากเสียชีวิตขณะพยายามไปยังแดนจิงโจ้

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สุดช็อก! ก่อการร้าย IS ยึด “พื้นที่ครึ่งประเทศซีเรีย” สำเร็จ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 มิถุนายน 2558 11:47 น. (แก้ไขล่าสุด 2 มิถุนายน 2558 16:59 น.)

    [​IMG]

    เอเจนซีส์ - The Syrian Observatory for Human Rights (SOHR)กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนซีเรีย รายงานล่าสุดถึงการขยายพื้นที่ของกลุ่มก่อการร้าย IS ว่า สามารถยึดพื้นที่ได้ถึง 50% ของซีเรียแล้วหลังประสบความสำเร็จในการเข้ายึดฮอมส์ และอาเลปโปสำเร็จ

    อัลญะซีเราะห์ สื่อกาตาร์รายงานเมื่อวานนี้ (1 มิ.ย.) ว่า The Syrian Observatory for Human Rights (SOHR) กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนซีเรียที่มีฐานอยู่ในอังกฤษรายงานการแผ่อิทธิพลของกลุ่มมุสลิมสุหนี่ติดอาวุธ IS ว่าในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางกลุ่มสามารถยึดพื่นที่เพิ่มเติมได้ทั้งในฝั่งอิรักและฝั่งซีเรียที่แต่เดิมอยู่ในการควบคุมของรัฐบาลประเทศนั้นๆ รวมไปถึงจากกลุ่มติดอาวุธฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ

    ทั้งนี้ กลุ่ม SOHR ซึ่งมีแหล่งข่าวรายงานในพื้นที่ระบุว่า การยึดพื้นที่เพื่มเติมได้จากจ.ฮอมส์ ส่วนกลางของประเทศ และ จ.อาเลปโป ทางตอนเหนือของซีเรีย ทำให้กลุ่ม IS สามารถยึดพื้นที่ได้ถึง 50% ของซีเรีย

    ด้านฟาบริซ บาลานช์ (Fabrice Balanche) นักวิเคราะห์และนักภูมิศาสตร์ ให้ความเห็นว่า ในขณะนี้คาดว่า ทางกลุ่มก่อการร้าย IS ได้ครอบครองพื้นที่ร่วม 300,000 ตารางกิโลเมตรจากอิรักเข้าไปจนถึงซีเรีย หรือมีขนาดเท่าประเทศอิตาลี

    ทั้งนี้ ในส่วนอาเลปโปที่มีพรมแดนติดตุรกี กลุ่ม IS สามารถขับไล่กลุ่มติดอาวุธฝ่ายตรงข้ามและสามารถเข้ายึดครองได้สำเร็จ โดยในวันอาทิตย์ (31 พ.ค.) IS เข้ายึดหมู่บ้านซูรัน (Suran) ส่งผลทำให้ทางกลุ่มสามารถขยายพื้นที่ครอบครองติดพรมแดนภายในรัศมี 10 กิโลเมตร และจากการสู้รบ 3 วัน ส่งผลทำให้กลุ่ม IS ต้องสูญเสียไปราว 30 คน ในขณะที่สมาชิกกลุ่มติดอาวุธอื่นต้องจบชีวิตไปร่วม 45 คน

    และ SOHR แถลงต่อว่า นอกจากนี้เมื่อวานนี้ (1) กลุ่มติดอาวุธ IS ได้เดินทัพมุ่งหน้าสู่เมืองมาเรีย (Marea) ซึ่งถือเป็นช่องทางหลักในการลำเลียงยุทธปัจจัยจากตุรกีเข้าไปยังฐานที่มั่นของกลุ่มติดอาวุธคู่อริ

    อัลญะซีเราะห์ยังรายงานเพิ่มเติมว่า ในส่วนกลางของซีเรีย กลุ่มติดอาวุธประสบความสามารถขับไล่กองกำลังรัฐบาลซีเรียออกจากเมืองพัลไมรา (Palmyra) ที่ถือเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่เก่าแก่ได้สำเร็จในวันเสาร์ (30 พ.ค.) ซึ่งทั้งด่านตรวจความปลอดภัย และหมู่บ้านบาซิเรห์ (Basireh) ที่ตั้งอยู่ด้านใต้ของกรุงดามัสกัส และทางตะวันตกของฮอมส์ และทางตะวันออกติดอิรักที่อยู่ในส่วนพื้นที่อิทธิพลของก่อการร้าย IS นั้นล้วนเป็นของกลุ่มมุสลิมสุหนี่ IS แล้ว

    “ในขณะนี้ถนนได้เปิดกว้างสำหรับกลุ่ม IS นับตั้งแต่พัลไมรา ซีเรีย ไปจนถึงอันบาร์ อิรัก โดยไม่มีอุปสรรคขวางกั้นแล้ว” โมฮัมเหม็ด ฮัสซาน อัล-ฮอมซี (Mohammed Hassan al-Homsi) นักเคลื่อนไหวท้องถิ่นให้ความเห็น

    ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย กลุ่มติดอาวุธ IS ได้ลุกคืบภายใน 2 กิโลเมตรของเมืองเอกของ จ.ฮาซาเกห์ (Hasakeh)



     

แชร์หน้านี้

Loading...