ติดตามสถานะการณ์

ปอกเปลือก ทรราช
อียูร้องจ๊ากโวยวายรัสเซียขึ้นบัญชีดำสั่งแบบนักการเมืองและนักท่องเที่ยวชาวยุโรปบอกว่าไม่ยุติธรรม



-------------
อียูกับรัสเซียนี่ขยันซัดกันไปมาได้ตลอด สหรัฐฯกับอียูจะออกหมัดแรงในยกแรกๆ แต่พอนานไปแล้วจะแผ่วปลายหมดแรง ส่วนในยกแรกๆนั้นรัสเซียก็ฟุตเวิร์กไว้ก่อน ยังไม่ออกหมัด ได้แต่ตั้งรับฝ่ายเดียวโดนสองรุมหนึ่งอัดไปหลายยก แต่ก็ไม่ล้มหลังจากที่ดูลีลาและเชิงมวยจากฝั่งสหรัฐฯและอียูได้สักพักและอ่านเกมออกแล้ว คราวนี้รัสเซียเริ่มออกหมัดสวนกลับบ้าง แรงขึ้นเรื่อยๆ จนสหรัฐฯต้องวิ่งเข้าซบปีกเข้าวงในรัสเซียแทน ส่วนอียูก็ยืนคุมเชิงอยู่รอบนอก รัสเซียสลัดสหรัฐฯออกจากการเข้ากอดลำตัวได้ รี่เข้ายิงหมัดตรงใส่อียูเต็มๆอีกหมัด เล่นเอาอียูร้องไห้แงเป็นเด็กไปเลย บอกว่าผิดกติกา ไม่ยุติธรรม อันนี้พากษ์มวยหรือเขียนข่าวนี่?
ถ้าติดตามสถานการณ์มาเรื่อยๆมันก็ประมาณนี้หละนะ มาดูการออกหมัดครั้งล่าสุดของรัสเซียที่ซัดใส่อียูบ้างครับ เมื่อวานนี้สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งลงข่าวเกี่ยวกับรัสเซียขึ้นบัญชีดำนักการเมืองและนักธุรกิจจากทั้งฝั่งอียูและสหรัฐฯไปหลายราย อ้อ… ถ้าอ่านข่าวเดียวกันนี้จากสื่อฯตะวันตกก็จะเขียนไปอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นบวกกับรัสเซียนัก สื่อฯพวกนั้นชอบเขียนด่าเหน็บแนมและโจมตีไทยอยู่บ่อยๆ ดังนั้นแอ็ดมินจึงไม่ค่อยเอามาลงหรือไม่อ้างอิงให้นะ ถ้าสนใจก็สามารถหาอ่านได้เองตามเน็ทเยอะแยะ แต่ที่ไม่ค่อยมีปรากฎในไทยนี่คือข่าวจากสื่อฯฝั่งรัสเซีย เพราะเขาไม่ด่าไทยดังนั้นแอ็ดมินจึงชอบ อันนี้เป็นความชอบส่วนตัวอย่างมีเหตุผลนะ
เข้าสู่ข่าวเลยนะครับ 30 พ.ค.58 สำนักข่าว sputnik news ของรัสเซียพาดหัวข่าวแรกว่า "Russia Imposed Travel Ban on EU Citizens in Response to Sanctions" รายละเอียดของข่าวโดยย่อบอกว่าแหล่งข่าวจากกระทรวงต่างประเทศของรัสเซียแจ้งว่า รัสเซียขึ้นบัญชีดำแบนพลเมืองอียูจำนวน 89 คนไม่ให้เดินทางเข้าไปยังรัสเซีย เพื่อเป็นการตอบโต้มาตรการแซงชั่นที่สหภาพยุโรปกระทำต่อรัสเซียก่อน แหล่งข่าวจากรัสเซียแจ้งว่าผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีนี้มีทั้งนักการเมือง ทูต เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านกองทัพ ซึ่งทางรัสเซียส่งไปให้เอกอัครราชทูตของกลุ่มประเทศอียู (ข่าวจากตะวันตกบางสำนักจะบอกว่ารัสเซียไม่เคยแจ้งรายชื่อให้ทราบซักครั้ง อันนี้จะเชื่อใครก็เป็นดุลพินิจของผู้อ่านเอาเองนะขอรับ)
แหล่งข่าวจากกระทรวงต่างประเทศของรัสเซียแจ้งกับผู้สื่อข่าวว่า "คำตอบสำหรับกลุ่มประเทศยุโรปบางประเทศที่ให้ช่วยอธิบายว่าทำไมบุคคลเหล่านี้ถึงรวมอยู่ในบัญชีรายชื่อของผู้ที่ถูกสั่งห้ามเดินทางเข้ารัสเซียด้วยนั้น ง่ายๆ (it's simple) - ที่รัสเซียสั่งแบบบุคคลเหล่านั้นก็เพื่อเป็นการตอบโต้มาตรการแซงชั่นที่มีต่อรัสเซียโดยประเทศสมาชิกอียูบางประเทศซึ่งนำโดยเยอรมันนะสิ" (ชัดนะ ไม่ต้องหาข้ออ้างอะไรให้ยุ่งยาก อย่างที่สหรัฐฯและอียูทำกับรัสเซียหรอก รัสเซียก็พูดไปตรงๆแบบนี้แหละ คุณแบนคนของผมได้ ผมก็แบนคนของคุณได้เช่นกัน แปลกตรงไหน? fair enough!)
แหล่งข่าวยังบอกอีกว่า "มีรายชื่อแบบนี้ที่ประกอบด้วยพลเมืองของสหรัฐฯด้วย แต่ทางกรุงวอชิงตันได้ขอร้องไว้ไม่ให้เปิดเผยต่อสาธารณชน" แต่สื่อฯตะวันตกจะใช้คำพูดอีกแบบหนึ่งหักมุมกันว่า "รัฐบาลมอสโกขอความร่วมมือไปยังทุกประเทศไม่ให้เผยรายชื่อดังกล่าว" โดยไม่ได้อ้างว่าเป็นคำพูดของใคร เนี่ย! สื่อฯพวกนี้เขาก็จะเล่นมุกกันแบบนี้แหละ นี่คือการเล่นการเมืองของสื่อฯต่างประเทศ
ในวันเดียวกันนี้มีรายงานมาว่าคณะผู้แทนจากอียูได้ยืนยันต่อโฆษกของรัสเซียถึงความถูกต้องของรายชื่อดังกล่าวแล้ว ก่อนหน้านี้ทางสหภาพยุโรปและสหรัฐฯได้แซงชั่นรัสเซียหลายรอบทั้งภาคเศรษฐกิจ เจ้าหน้าที่ระดับสูง รวมทั้งด้านการท่องเที่ยวด้วย โดยอ้างว่ารัสเซียมีส่วนร่วมในความขัดแย้งในยูเครน แต่ทางรัฐบาลของรัสเซียก็ได้ออกมาปฏิเสธทุกครั้งว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งภายในของยูเครน แต่สหรัฐฯและอียูผู้อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งปลุกระดมปฏิวัติสีในยูเครนเมื่อปีที่แล้วนั่นแหละคือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตัวจริง แต่พวกนี้พยายามสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองโดยการโยนความผิดนั้นไปให้รัสเซียแทน
ในวันเดียวกันนี้ sputnik news พาดหัวข่าวอีกอันว่า "Mogherini: Russian Travel Ban List ‘Unjustified’" เห็นมะ!... นี่ไงที่ว่าอียูร้องไห้แงเป็นเด็กหนะ โฆษกของนาง Federica Mogherini ประธานคณะกรรมธิการด้านนโยบายต่างประเทศของอียูออกมาบ่นกับสื่อฯว่า สหภาพยุโรปได้พิจารณาแล้วว่าการแบนการเดินทางของพลเมืองชาวยุโรปจากรัสเซียนั้นถือว่า "ไม่ยุติธรรม" (unjustified) ทางอียูบอกว่า "เราพิจารณามาตรการนี้ว่าเป็นการทำตามอำเภอใจและไม่ยุติธรรม (arbitrary and unjustified) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ไม่มีการชี้แจงใดๆเพิ่มเติมและขาดความโปร่งใส"
แหม… ทีอย่างนี้หละก็ทำเป็นเรียกหาความยุติธรรมและความโปร่งใสเชียวนะ ทีตัวเองทำกับเขาหละไม่คิด พอโดนสวนหน่อยเดียวทำเป็นร้องจ๊ากรับไม่ได้ ก็นี่มันอธิปไตยของรัสเซีย ทำไมรัสเซียจะห้ามใครไม่ให้เข้าประเทศเขานี่จะต้องไปขออนุญาตจากอียูก่อนหรือไง? อียูยังคิดว่าตัวเองสามารถออกคำสั่งกับประเทศไหนในโลกได้ตามอำเภอใจอียูและสหรัฐฯอีกอยู่หรือนี่ เวลาและสถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว นี่ยิ่งใกล้วันต่อตัดสินใจว่าจะต่อหรือไม่ต่ออายุแซงชั่นรัสเซียโดยอียูและสหรัฐฯอีกรอบ รู้สึกว่ารัสเซียจะขยันออกหมัดถี่ขึ้นด้วยสินี่
The Eyes
31/05/2558
----------
Russia Imposed Travel Ban on EU Citizens in Response to Sanctions / Sputnik International
Russian Travel Ban List ‘Unjustified’: EU Foreign Policy Chief / Sputnik International

 

บาดเจ็บ12คนแผ่นดินไหวญี่ปุ่น | เดลินิวส์



„บาดเจ็บ12คนแผ่นดินไหวญี่ปุ่น มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 12 คนจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงในประเทศญี่ปุ่นและสถานการณ์ได้กลับสู่ภาวะปกติแล้ว วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2558 เวลา 12:51 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่31พ.ค.ว่าจากรายงานของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐระบุว่า ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงวัดได้7.8แมกนิจูดนอกชายฝั่งหมู่เกาะโอกาซาวาระเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาในระดับความลึก 678กม.จากนั้นในช่วงเช้าวันอาทิตย์ยังมีแผ่นดินไหวตามมาอีกครั้งวัดได้ 6.4แมกนิจูดนอกชายฝั่งหมู่เกาะอิสุซึ่งอยู่เหนือหมู่เกาะโอกาซาวาระแต่จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดอยู่ลึกเพียง13กม.และห่างจากกรุงโตเกียวเมืองหลวงของญี่ปุ่นไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้630กม.แต่ก็ไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เกิดคลื่นสึนามิหรือใกล้กับเกาะต่างๆที่จะทำให้เกิดความเสียหายผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

อย่างไรก็ตามแผ่นดินไหวรุนแรงเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาก็สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ทั่วทุกพื้นที่ของญี่ปุ่นไล่ตั้งแต่เกาะโอกินาวาไปจนถึงเกาะฮอกไกโดทางตอนเหนืออาคารสูงในกรุงโตเกียวเกิดการสั่นไหวแม้จะอยู่ห่างมาทางเหนือ1,000กม.ของหมู่เกาะโอกาซาวาระการให้บริการรถไฟในเมืองต้องหยุดชั่วคราวบ้านเรือนราว 400หลังคาเรือนในจังหวัดไซตามะทางเหนือของกรุงโตเกียวไม่มีไฟฟ้าใช้

ย่านช้อปปิ้งร็อปปองงิ ฮิลส์และย่านธุรกิจของกรุงโตเกียวลิฟต์โดยสารต้องหยุดให้บริการในทันทีหลังเหตุแผ่นดินไหวทำให้ผู้คนต้องใช้บันไดแทนในจำนวนนี้มี 200คน ต้องเดินลงบันไดมาจากการขึ้นไปชมงานแสดงเกี่ยวกับภาพยนตร์สตาร์วอร์ส บนชั้นที่ 52ของตัวอาคาร

สำนักงานบริหารจัดการพิบัติภัยและเพลิงไหม้แจ้งว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บไป12คนแต่เป็นบาดเจ็บเล็กน้อยเช่นแผลไฟไหม้ บาดแผลถลอก หรือสิ่งของตกใส่ ด้านโรงแรมที่เกาะฮาฮาจิมะบนหมู่เกาะโอกาซาวาระเครื่องเรือนโยกไหวจากการสั่นสะเทือนแต่แขกที่มาพักก็ปลอดภัยอย่างไรก็ตามสถานการณ์ต่างๆได้กลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว

เมื่อเดือนมี.ค.2554เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง9.0แมกนิจูดนอกชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นก่อให้เกิดคลื่นสึนามิพัดถล่มคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 18,500ศพสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ชายฝั่งของญี่ปุ่นเพราะจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ลึกเพียง24กม.เท่านั้น“

อ่านต่อที่ : บาดเจ็บ12คนแผ่นดินไหวญี่ปุ่น | เดลินิวส์

 

ไอเอสระเบิดคุกเมืองพัลไมรา | เดลินิวส์



„ไอเอสระเบิดคุกเมืองพัลไมรา กลุ่มหัวรุนแรงไอเอสได้ระเบิดทำลายเรือนจำในเมืองพัลไมราของซีเรีย หนึ่งในคุกที่น่ากลัวที่สุดของประเทศตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2558 เวลา 3:46 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองพัลไมรา ประเทศซีเรีย เมื่อวันที่31พ.ค.ว่า องค์กรสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในซีเรียรายงานว่า กลุ่มหัวรุนแรงไอเอสได้ระเบิดทำลายเรือนจำในเมืองพัลไมรา ซึ่งทางกลุ่มได้นำระเบิดไปวางไว้ทั้งด้านในและรอบตัวเรือนจำ หลังกลุ่มไอเอสสามารถบุกยึดเมืองโบราณแห่งนี้ได้เมื่อวันที่21พ.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ทางกลุ่มไอเอสได้ทวีตรูปภาพระเบิดที่กำลังทำลายล้างเรือนจำ สถานที่สังหารหมู่ปี2523 ซึ่งมีนักโทษถูกฆ่าตายไปนับพันศพ ขณะที่เรือนจำนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้ายของกองทัพรัฐบาลนำโดยนายพลฮาเฟซ อัล-อัสซาด อดีตประธานาธิบดีซีเรีย และนายบาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรียคนปัจจุบัน บุตรชายนายพลฮาเฟซ

เรือนจำแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่ควบคุมตัวนักโทษทางการเมือง กระทั่งเกิดความไม่สงบในประเทศเมื่อ ปี2554 ส่งผลให้เรือนจำเมืองพัลไมราเต็มไปด้วยนักโทษที่หนีการฝึกของกองทัพออกมาเพื่อประท้วงต่อต้านรัฐบาลโดยสงบ ก่อนที่จะทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง

อย่างไรก็ตามพบว่า กลุ่มกองกำลังฝ่ายตรงข้ามต่างดีใจที่เรือนจำได้ถูกทำลายลง ขณะที่กลุ่มสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนเผยว่า กองกำลังรัฐบาลได้ย้ายนักโทษออกมาจากด้านใน ก่อนที่กลุ่มไอเอสจะบุกยึดเมืองโบราณพัลไมรา “

อ่านต่อที่ : ไอเอสระเบิดคุกเมืองพัลไมรา | เดลินิวส์

 

ทหารปฏิรูปประเทศไทย

วันที่ 31 พ.ค.58 กองทัพเกรียงไกรที่สุดในโลก หาเรือผู้อพยพโรฮินจาไม่เจอ แต่พม่ารู้หมดว่าอยู่ตรงไหน



เกิดเรื่องน่าขำขัน ที่กองทัพเรืออเมริกา มีทั้งเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือราดตระเวณ เรือคุ้มกัน เรือดำน้ำ เครื่องบินสอดแนม สารพัดอาวุธไฮเทค ที่อยู่เต็มเพียบในมหาสมุทรอินเดีย มีศักยภาพดูได้ทุกตารางนิ้ว มองส่องลงมาจุดที่ต้องการ เห็นแม้ขนาดว่าใส่กางเกงในสีอะไร
แต่ว่ากองทัพสหรัฐมองไม่เห็นเครื่องบินมาเลย์ MH370 ที่มีมือที่มองไม่เห็นหิ้วพามันไปลงที่เกาะดิเอโก้ กราเซีย ฐานทัพลับของอเมริกา ในมหาสมุทรอินเดีย แต่ซ้ำร้ายตลกไม่ออก เมื่อบรรดาสิ่งไอเทคสารพัดเหล่านั้นค้นหาเรือผู้อพยพชาวโรฮินจา ในทะเลโล่งๆ อยู่ตั้งหลายวันแล้ว "แต่ไม่เจอสักลำ" จะบ้าตาย
หันมาดูกองทัพเรือพม่า แค่เอาเรือลาดตระเวณแสนธรรมดา วิ่งออกไปในอาณาเขตน่านน้ำตัวเอง ก็สามารถจับเรือผู้อพยพชาวบังคลาเทศ และโรฮินจาได้ 1 ลำ อัดแน่นเป็นปลากระป๋องกันมาถึง 727 คน...อุแม่เจ้าา
ผู้อพยพเหล่านี้เป็นที่รู้กันว่า 2 ใน 3 หรือราว 67% เป็นผู้อพยพจากบังคลาเทศ หลายคนถามว่าแยกแยะได้อย่างไร ง่ายๆ ก้แค่ขอดูบัตรหลักฐานประจำตัวแค่นั้นเอง ชาวบังคลาเทศก็มีบัตรจากรัฐบาลเขา
ส่วนชาวโรฮินจา ก็มีหลักฐานจาก UNHCR ออกให้ทุกคน ที่ไม่มีหลักฐานเลยเป็นไปไม่ได้ เพราะเรือลำใหญ่ขนาดนี้อย่าต่ำก็ลำละ 10 กว่าล้าน เทพเจ้าคงไม่ประทานมาให้ฟรีๆ เพราะต้องเอาไปจมก่อนถึงน่านน้ำประเทศปลายทางทิ้งอยู่ดี
เรือนี้มีผู้อุปการะคุณเขาให้มา แต่มีค่าใช้จ่ายก่อนขึ้นเรือตามหลักฐานคนละราว 6,000 บาท ให้ทายว่ามือที่มองไม่เห็นนั้นเป็นใคร ?? ที่ส่องหาเรือลำนี้เท่าไรก็ไม่เจอสักที แถมคอยแอบบเติมน้ำมันกลางทะเลให้ด้วย !!
@ เสธ น้ำเงิน2 : กดปุ่ม “ติดตาม” ด้านบนเพจ เพื่อรับข่าวครั้งต่อไป
http://www.facebook.com/thailandcoup

 

ทหารปฏิรูปประเทศไทย



วันที่ 31 พ.ค.58 ตูม..เอาอีกแล้ว กลุ่ม IS ฮอลีวู็ดเล่นงานซาอุฯ ซ้ำ
มัสยิดอัล-อานูด ของนิกายชีอะห์ที่ตั้งอยู่ในเมืองดามมาม ทางตะวันออกของซาอุฯ ที่ชาวชีอะห์จะออกไปสวดมนต์ประจำสัปดาห์ โดยมีอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยประจำมัสยิด พยายามตรวจค้นรถยนต์คันหนึ่งที่พยายามเข้าไปภายในมัสยิด
กลุ่มก่อการร้าย ซึ่งสวมชุดเครื่องแต่งกายของสตรีเพื่ออำพรางตน ได้กดระเบิดรถยนต์พลีชีพขึ้นที่บริเวณด้านนอกมัสยิด แรงระเบิดส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ศพ คือตัวผู้ก่อการร้าย และอาสาสมัครอีก 3 คน
หนึ่งในสามของอาสาสมัครที่เสียชีวิตเป็นนักศึกษาสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐวิชิตา สหรัฐอเมริกา และได้เดินทางกลับบ้านเกิดในช่วงปิดเทอม เพื่อเข้าพิธีสมรส หลังเกิดเหตุ กลุ่มก่อการร้าย IS ฮอลีวู๊ด ของอเมริกา ออกมาระบุความรับผิดชอบ
พร้อมระบุชื่อผู้จุดชนวนระเบิด คือ นายอาบู จันดาล อัล-จาซราวี ครั้งนี้นับเป็นเหตุรุนแรงครั้งที่ 2 ต่อจากสัปดาห์ก่อนก็เกิดเหตุระเบิดรถบรรทุกฆ่าตัวตายในลักษณะเดียวกันนี้ขึ้น ที่มัสยิดของชาวนิกายชีอะห์ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 ศพ และเป็นฝีมือของกลุ่ม IS ในซาอุดิอาระเบีย
------------------------------->
การเมืองในซาอุฯ ตอนนี้วุ่นวายมาก เพราะจ้าหน้าที่ซาอุฯ ได้ประกาศประหารชีวิต เชคนิมร์ บากิรฺ อัล-นิมร์ นักการศาสนาชีอะฮ์วัย 53 ปี โดยวิธีตัดคอ และหลังจากนั้นร่างของเขาจะถูกนำมาประจานต่อสาธารณชน ด้วยการ “ตรึงกางเขน”
และมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดการจราจลเผาบ้านเผาเมือง และบานปลาย และมีเหตุแทรกซ้อนก่อการร้ายตามมา คงไม่ต้องบอกว่า เชคนิมร์ บากิรฺ อัล-นิมร์ เป็นใคร เขาคือ "หนอนของอเมริกา" ที่ส่งมาจุดชนวนจราจลแบ่งซาอุฯ ออกเป็น 5 ประเทศเหมือนอาหรับสปริงนั่นเอง
@ เสธ น้ำเงิน4 : กดปุ่ม “ติดตาม” ด้านบนเพจ เพื่อรับข่าวครั้งต่อไป
http://www.facebook.com/thailandcoup

 

ซาอุฯเตือนประชาชนเกี่ยวกับการถ่ายภาพฉากสงคราม
Category: News & Event Published on Saturday, 30 May 2015 22:12 Written by Islamicstudiesth Team.



เจ้าหน้าที่รัฐบาลของซาอุดีอาระเบียเตือนประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทางภาคใต้ของประเทศนี้ไม่ให้บันทึกภาพทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการทำสงครามกับเยเมน

สำนักข่าวฟาร์สรายงานว่า ซาอุดิอารเบียเตือนประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทางภาคใต้ของตนไม่ให้บันทึกภาพเหตุการณ์ของสงครามหรืออุปกรณ์ทางทหาร

ตามรายงานของสื่อเยเมนอย่างเช่น "Hasad Alyoum" เจ้าหน้าที่ซาอุดีอาระเบียในเมืองในเมืองนัจญ์รอนและมืองญีซานในภาคใต้ของซาอุดิอาระเบียใกล้กับชายแดนของเยเมนได้ติดแผ่นป้ายขนาดใหญ่ เตือนประชาชนในท้องถิ่นเกี่ยวกับการถ่ายภาพหรือคลิปวิดีโอ อุปกรณ์ทางทหาร และการเคลื่อนย้ายของกองกำลังทหารหรือทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกองทัพของซาอุดีอาระเบีย และการปะทะกำลังของพวกเขากับชนเผ่าต่างๆ ในชายแดนเยเมน

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ซาอุฯ ยังได้ขอร้องประชาชนในเมืองนัจญ์รอนและเมื่องญีซานไม่ให้เผยแพร่ข่าวหรือคลิปลงในเว็บไซต์และเครือข่ายทางสังคม โดยอ้างว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลความเสียหายต่อความมั่นคงแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย

"Hasad Alyoum" ของเยเมนได้เขียนว่า ข้อความเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความกลัวและความวิตกกังวลของรัฐบาลซาอุฯ ว่าข้อเท็จจริงต่างๆ ภายในประเทศซาอุฯ จะถูกเปิดเผยและได้พยายามที่จะทำการเซ็นเซอร์เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภาคใต้ของซาอุดิอาระเบีย

ที่มา : farsnews

ซาอุฯเตือนประชาชนเกี่ยวกับการถ่ายภาพฉากสงคราม

 

ค้นพบอาวุธอิสราเอลในสถานทูตซาอุฯ ในกรุงซานา
Category: News & Event Published on Saturday, 30 May 2015 22:59 Written by Islamicstudiesth Team.



ค้นพบอาวุธอิสราเอลในสถานทูตซาอุฯ ในกรุงซานา / ซาอุดีอาระเบียตัดสินใจที่จะสร้างฐานทัพทหารสำหรับอิสราเอล

ข่าวกรองที่ได้รับมาเกี่ยวกับการค้นพบอาวุธต่างๆ ของอิสราเอลในสถานทูตซาอุฯ ในกรุงซานา (ซ็อนอาอ์) และความพยายามของสหรัฐอเมริกาและซาอุฯ ที่จะสร้างฐานทัพทหารบนเกาะมิยูน (หรือ Perim) ในบริเวณใกล้กับช่องแคบมันเดบ (Bab El-Mandab) โดยมีวัตถุประสงค์ในการรักษาความปลอดภัยให้แก่อิสราเอล

ตามการรายงานของผู้สื่อข่าวฟาร์สในกรุงซานา อเมริกาด้วยการสนับสนุนของซาอุดีอาระเบีย มีแผนที่จะตั้งฐานทัพทหารในบริเวณใกล้ช่องแคบ "มันเดบ" ในเกาะ "เพอริม" (มิยูน)

วัตถุประสงค์หลักของการจัดตั้งฐานทัพทหารนี้ โดยซาอุดีอาระเบียและอเมริกา เพื่อการรักษาความปลอดภัยให้แก่ระบอบไซออนิสต์




ขณะเดียวกันมีข่าวกรองที่ได้รับมาซึ่งย้ำว่า รัฐบาลซาอุฯ มีแผนที่จะพิชิตสนามบินนานาชาติ "ซานา" และสนามบินอื่น ๆ ในเยเมน และจะทำการควบคุมมัน

นอกจากนี้ ข่าวกรองนี้ยังได้เปิดเผยอีกว่า ในสถานทูตซาอุฯ ในกรุงซานาได้มีการค้นพบอาวุธต่างๆ ของอิสราเอล และยิ่งไปกว่านั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของอิสราเอลเข้าประจำอยู่ในห้องปฏิบัติการณ์ของซาอุฯ ในกระทรวงกลาโหมของประเทศนี้ในกรุงริยาดด้วย และคอยเฝ้าสังเกตการณ์ความเป็นไปของการโจมตีประเทศเยเมน

ในเรื่องนี้ได้เป็นที่เปิดเผยว่า ซาอุดิอาระเบียได้ร้องขอจากรัฐบาลอิสราเอลให้ส่งอาวุธที่ทันสมัยให้ เพื่อนำไปมอบให้กับบรรดากลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มติดอาวุธของ "อับดุร็อบบิฮ์ มันซูร ฮาดี" อดีตประธานาธิบดีเยเมน ที่หลบหนี

ที่มา : farsnews

ค้นพบอาวุธอิสราเอลในสถานทูตซาอุฯ ในกรุงซานา

 

ผู้นมาซ 16 คน ถูกฆ่าตาย ในไนจีเรีย
Category: News & Event Published on Sunday, 31 May 2015 10:46 Written by Islamicstudiesth Team.



ปฏิบัติการโจมตีฆ่าตัวตายบริเวณมัสยิดแห่งหนึ่งในเมือง “ไมดูกูรี” ประเทศไนจีเรีย มีผู้เสียชีวิตทันที 17 คน

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า : ในขณะที่ผู้นมาซของมัสยิดแห่งนี้กำลังทำวุฎูอ์ (ทำน้ำนมาซ) ผู้ก่อการร้ายได้เข้ามาในกลุ่มพวกเขาและได้ระเบิดตัวเอง ในการระเบิดครั้งนี้ผู้ระเบิดฆ่าตัวตายและผู้ทำนมาซอีก 16 คน เสียชีวิตทันที

ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า : เหตุระเบิดเกิดขึ้นในช่วงบ่าย เวลา 03.30 น. และหลายคนได้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

ก่อนหน้านี้เช่นกัน ในการโจมตีของกลุ่ม “โบโก ฮาราม” ไปยังเมืองนี้ และการระเบิดในตลาดของท้องถิ่นในเมืองไมดูกูรี มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน


ตั้งแต่เริ่มต้นของการปรากฏตัวขึ้นของกลุ่ม “โบโก ฮาราม” ในไนจีเรียในช่วงหกปีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนของประเทศนี้ต้องผลัดถิ่น และถูกฆ่าตายจำนวน 13,000 คน



ส่วนของสำนักข่าว CNN รายงายว่า : “Aderemi Opadokun” ผู้บัญชาการตำรวจรัฐบอร์โน กล่าวกับสำนักข่าว CNN ว่า : จากเหตุการณ์โจมตีด้วยระเบิดฆ่าตัวตายในมัสยิด “ไมดูกูรี” ในเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดของรัฐบอร์โน ครั้งนี้ มีผู้เสียชีวิต 26 คน และได้รับบาดเจ็บ 28 คน


ที่มา : yjc.ir และ edition.cnn.com

ผู้นมาซ 16 คน ถูกฆ่าตาย ในไนจีเรีย

 

สองหนุ่มมุสลิมดีเด่นพลีชีพเพื่อป้องกันการสังหารผู้บริสุทธิ์ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเป็นเจ้า ขอโมทนาบุญด้วยครับ

สองหนุ่มซาอุฯ ผู้พลีชีพเพื่อปกป้องไม่ให้มือระเบิดเข้ามัสยิดสังหารผู้บริสุทธิ์
ตะวันออกกลางby เอบีนิวส์ทูเดย์ - พ.ค. 31, 2015



Alalam – สื่อสังคมออนไลน์ มีการแพร่ภาพสองหนุ่มซาอุดิอาระเบีย ที่เป็นชะฮีด หลังจากเข้าไปปกป้องไม่ให้มือระเบิดเข้าไปก่อเหตุในมัสยิดอิมามฮูเซ็น(อ) เมือง ดัมมาน ซาอุดีอาระเบีย

หนังสือพิมพ์ Al mrsd ยืนยันว่า สองหนุ่มชาวซาอุฯที่เป็นชะฮีด มีชื่อว่า อับดุลญาลิล อัล อัรบัช “Abdul Jalil Al Arbash” และ “มุฮัมมัด อัลอีซา” โดยทั้งสองได้ถ่ายรูปตนเองหน้ามัสยิด ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายไม่กี่ชั่วโมง

ช่วงเที่ยงของวันศุกร์ที่ผ่านมา คนร้ายปลอมแปลงแต่งกายแบบผู้หญิง แอบเข้าไปมัสยิดฝังของสตรี เมื่อหน่วยรักษาความปลอดภัยมัสยิด ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาหลังจากเกิดเหตุระเบิดพลีชีพในมัสยิดอิมามอาลี (อ) เมืองกอฏีฟ เมื่อช่วงวันศุกร์ที่แล้ว ได้เข้าตรวจค้นและพบว่ามันมีระเบิด

จึงสกัดกั้นและป้องกันไม่ให้มันเข้าไประเบิดในมัสญิด ซึ่งคนร้ายจึงหนีออกจากมัสยิด และระเบิดตัวเอง ณ ลานจอดรอดของมัสยิด ทำให้มีผู้เสียชีวิต (เป็นชะฮีด) ทันที สามราย ซึ่งสองรายนั้น คือ สองหนุ่ม ที่มีชื่อว่า อับดุลญาลิล อัล อัรบัช “Abdul Jalil Al Arbash” และ “มุฮัมมัด อัลอีซา” ผู้เป็นอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยมัสยิดนั้นเอง

مسجد امام حسین (ع) دمام
مسجد امام حسین (ع) دمام

สองหนุ่มซาอุฯ ผู้พลีชีพเพื่อปกป้องไม่ให้มือระเบิดเข้ามัสยิดสังหารผู้บริสุทธิ์ | abnewstoday

 

หญิงสาวไอซิส มาจากชาติใดมากที่สุด
by เอบีนิวส์ทูเดย์ - พ.ค. 31, 2015



อัลอาลัม – ศูนย์การสนทนาเชิงกลยุทธ์ เปิดเผยรายงาน หญิงสาวจากชาติต่างๆ ที่เข้าร่วมกลุ่มก่อการร้ายไอซิสมากที่สุด

ตามผลรายงานล่าสุด บรรดาหญิงสาวชาวยุโรป มีหญิงสาวชาวอังกฤษ ที่เข้าร่วมกลุ่มไอซิสมากที่สุด

เว็บไซด์ CNN รายงานอ้างจาก ศูนย์การสนทนาเชิงกลยุทธ์ ว่า สถิติดังกล่าวกำลังรายงานสรุปสถิติให้สมบูรณ์มากกว่านี้

ตามรายงานล่าสุด ยอดอายุของหญิงสาวที่เข้าร่วมกลุ่มไอซิส
มากที่สุด คือ 16 ปี :
รองลงมา 15 20 และ 25 ปี :
และ 26 21 18 ปี :
และ 14 19 และ22ปี :
และ 45 ปี :

หญิงสาวไอซิส มาจากชาติใดมากที่สุด | abnewstoday

 

สาเหตุที่วัยรุ่นซาอุดิอาระเบีย แห่ “เข้าร่วม” กลุ่มก่อการร้ายไอซิส
เรื่องเด่นประเด็นร้อนby อิบรอฮีม อาแว - พ.ค. 31, 2015



การฝึกทางทหารของไอซิสให้กับเด็กๆ (แฟ้มภาพ)
farsnews – การดึงเยาวชนซาอุดิอาระเบียโดยกลุ่มก่อการร้ายไอซิส และการเข้าร่วมของพวกเขากับกลุ่มก่อการร้ายดังกล่าวนั้น บ่งชี้ถึงความล้มเหลวของสถาบันการอบรมและสถานศึกษาของซาอุดีอาระเบียในการสร้างความตื่นตัวและการรับรู้เข้าใจถึงภัยอันตรายและภัยคุกคามของกลุ่มไอซิส

หลังจากเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในมัสยิดอิมามอาลี(อ) เมือง กอฏียฟ์ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว 23 พฤษภาคม ทางกระทรวงมหาดไทยซาอุดีอาระเบีย ได้เปิดเผยมือระเบิดและปฏิบัติการในครั้งนี้ว่า เป็นวัยรุ่นวัย 15 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มก่อการร้ายไอซิสในซาอุดีอาระเบีย

และในแถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ยังเปิดเผยอีกว่า กลุ่มไอซิส ได้พยายามดึงและชักชวนเยาวชนและบรรดาเด็กๆ ซาอุดีอาระเบียเข้าร่วมกลุ่มผ่านสื่อโลกออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ

ทำไมจึงมีการดึงเยาวชนซาอุดีอาระเบียเข้าร่วมกลุ่มไอซิส

ประเด็นนี้ คือความหวาดวิตกกังวล และเป็นคำถามที่คาใจสำหรับหลายๆคน เกี่ยวกับเหตุผล และสาเหตุ ที่กลุ่มไอซิสมุ่งเน้นและเจาะลึกไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นบรรดาเด็กๆและเยาวชนในซาอุดิอาระเบีย บทบาทของสถาบันการศึกษาอบรมและสถาบันครอบครัวของซาอุดีอาระเบียมีอิทธิพลและบทบาทในสังคมและเยาวชนมากน้อยแค่ไหน ???

แม้นว่า ไม่อาจให้คำตอบที่ชัดเจนต่อประเด็นนี้ได้ แต่หากพิจารณาจากหลายๆองค์ประกอบและปัจจัยหลายๆด้าน ทำให้พบคำตอบในคำถามข้างต้นได้พอสมควร โดยเฉพาะหากพิจารณาจากประชากรในซาอุดีอาระเบียซึ่งจะเป็นเยาวชนหนุ่มสาวเสียส่วนใหญ่ และได้เติบโตขึ้นมาในสภาพสังคมแห่งความแตกแยกทางนิกายและเผ่าพันธุ์

นอกเหนือจากนั้น อินเทอร์เน็ต และเว็บไซด์สื่อสังคมออนไลน์ ถือเป็นบทบาทสำคัญในสร้างเชื้อความแตกแยก และข้อขัดแย้งให้มันลึกลงเข้าไปอีก ซึ่งเครื่องมือหนึ่งที่สำคัญของไอซิสในการดึงกองกำลังเข้าร่วมขบวนการก่อการร้าย คือเว็บไซด์และสื่อออนไลน์ต่างๆทางสังคม โดยที่บรรดาเด็กๆต่างหมกมุ่นอยู่กับสื่อออนไลน์เหล่านี้นานนับชั่วโมงโดยที่ปราศจากการดูแลควบคุมจากครอบครัวและโรงเรียน

ขณะเดียวกันครอบครัวเพิ่งจะมารู้หลังจากที่บุตรหลานของตนได้เข้าร่วมกลุ่มก่อการร้ายไอซิสไปแล้ว และเพิ่งจะรู้ที่หลังว่ามันสายและสูญเสียบุคคลที่รักไปแล้ว

ผลกระทบของสื่อออนไลน์และการใช้ประโยชน์ของไอซิส

ผู้เชี่ยวชาญและผู้สันทัดกรณี ย้ำว่า ความสำเร็จของไอซิสในการดึงกำลังพลและแนวร่วมใหม่เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับตน มักจะใช้ประโยชน์จากสื่อโลกออนไลน์ ด้วยการนำเสนอวิธีการการต่างๆในทุกรูปแบบเพื่อเป็นสิ่งล่อใจแก่บรรดาเยาวชนและวัยรุ่นให้เข้าร่วมขบวนการ

เว็บไซต์ และสื่อสังคมออนไลน์สามารถส่งผลกระทบได้อย่างดีในการเปลี่ยนทัศนะความคิดทั้งอุดมการณ์และหลักความเชื่อให้กับบรรดาเยาวชน โดยอ้างว่า ไอซิสคือแนวทางสู่ความผาสุกและสรวงสวรรค์อันนิรันดร์

นอกเหนือจากหลักคำสอนและสิ่งล่อใจของไอซิสแล้ว วัยรุ่นและเยาวชนหนุ่มสาวของซาอุดีอาระเบียที่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มไอซิสนั้น ล้วนแล้วเติบโตในสภาพแวดล้อมทางครอบครัวที่ถูกปลูกฝั่งและสอนสั่งตามหลักความคิดของกลุ่มสุดโต่งและกลุ่มตักฟีรีย์ หรือบางครั้งคนในครอบครัวของพวกเขากลับเป็นสมาชิกของไอซิสในแถวหน้าอีกด้วย

ผู้เชี่ยวชาญ และนักสันทัดกรณี ย้ำว่า การเข้าไปมีบทบาทและอิทธิพลของไอซิส ในทุกประเทศ มีรากเหง้าที่มาจากหลายๆปัจจัยและหลายองค์ประกอบ ซึ่งปัจจัยที่สำคัญที่สุด คือ ปัญหาสังคมและวัฒนธรรม ในขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาอิสลาม ก็มีส่วนสำคัญในการสร้างความตื่นตัวและการรับรู้เข้าเจ้าที่ถูกต้องเชิงนิกายและเปิดโปงธาตุแท้ที่แท้จริงกลุ่มก่อการร้ายตักฟีรีย์

ซาอุดิอาระเบียมีความเสี่ยงมากกว่าชาติอื่นๆ

สถานการณ์เช่นนี้ โดยเฉพาะประเทศอย่างเช่นซาอุดีอาระเบีย มีประชากร ร้อย 67 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเยาวชนหนุ่มสาว และในแง่ของอายุของประชากรท้งหมดในประเทศแล้ว มีประชากร อายุ ต่ำกว่า 29 ปี มากถึงจำนวน 13 ล้านคน ถือเป็นอันดับสามของโลก ยิ่งมีความเสี่ยงมากกว่าประเทศอื่นๆในโลก โดยเฉพาะบุคคลเหล่านี้กำลังเผชิญหน้ากับอุปสรรค์ปัญหา เช่น รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญต่อเยาวชน และถือพวกเขากลายเป็นชนชายขอบของคนในประเทศ
ตามรายงาน จากเดือนมกราคม ปี 2014 ถึง เดือนมกราคม 2015 มีพลเมืองซาอุดีอาระเบีย แห่เข้าร่วมกลุ่มไอซิส จำนวน 2,500 คน ซึ่งทำให้ซาอุดิอาระเบียกลายเป็นประเทศอันดับหนึ่งของชาติอ่าวเปอร์เซียที่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มก่อการร้ายไอซิส และในเรื่องนี้เองทางการซาอุฯ ย้ำว่า ไอซิสสามารถเข้าไปมีอิทธิพลและบทบาทอย่างมากในหมู่เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี

ใช้ประโยชน์จากเครื่องมืออื่นๆ

บรรดานักวิเคราะห์ ยังได้ชี้ถึงเครื่องมือ และสื่อต่างๆในการดึงเยาวชนหนุ่มสาวซาอุดีอาระเบียเข้ากลุ่มก่อการร้ายไอซิส ซึ่งเครื่องมือที่สำคัญที่สุดคือ เพลงปลุกเร้าทางนิกาย ศาสนา และคลิปวิดีโอที่หลากหลายที่มีการแพร่ลงในยูทูป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่สวยงามให้กับกลุ่มไอซิส และกู้ภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียเหล่าให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีนักร้องชื่อดังคนหนึ่งของไอซิส ชื่อ “มาเฮร์ อัชมาล อัลชะวัยบ” เป็นนักร้องชื่อดังของไอซิสซึ่งเป็นชาวซาอุดีอาระเบีย รับหน้าที่ในการดึงดูดเยาวชนเหล่านี้ผ่านเสียงเพลง
ไม่เพียงแต่การนำเสนอภาพลักษณ์ทางสื่อสังคมออนไลน์เท่านั้น แต่การแสดงออกในการกระทำของไอซิสที่เกิดขึ้นในซาอุฯ ก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งของกลุ่มก่อการร้ายนี้ โดยทางการซาอุดีอาระเบียเปิดเผย เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วว่า สามารถจับกุมชาวซาอุดีอาระเบีย 8 คน ที่กำลังเชิญชวนเยาวชนซาอุฯ เข้าร่วมกลุ่มไอซิส ในเมือง “ตะมีร์”

ความอ่อนแอเชิงรากฐานของสถาบันครอบครัวในซาอุดีอาระเบีย

ตามความเชื่อของนักวิเคราะห์ ด้านการอบรมจิตวิทยา ถือว่า ปัญหาสถาบันของครอบของซาอุฯ เป็นสาเหตุหนึ่งที่เยาวชนซาอุฯแห่ เข้าร่วมกลุ่มไอซิส

ตามรายงานของกระทรวงยุติธรรม ซาอุดีอาระเบีย 2014 มีการบันทึกสถิติ การหย่าร้างถึง 34,000 ครั้ง และจดบันทึกการสมรส จำนวน 12,000 ครั้ง

จากรายงานข้างต้นบ่งชี้ว่า สถิติการหย่าร้างในซาอุ ตลอดช่วงปี 2014 นั้น มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นกว่าปี 2013 ถึง 850 ครั้ง ด้วยเหตุนี้บรรดานักสังคมสงเคราะห์ในซาอุฯ ได้ชี้ถึงความหวาดวิตกในปรากฏการการหย่าร้างที่เกิดขึ้นในสังคมซาอุดีอาระเบียในขณะนี้

แหล่งข่าว “อะห์รอ ฮิญาซ” เผยว่า ปัจจุบันร้อยละ 25 ของคู่สมรส มีการหย่าร้าง ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงมากในบรรดาชาติต่างๆในโลก เพราะโดยปรกติแล้วจะมีอัตราหย่าร้างร้อยละ 18 -22 เท่านั้น

อัตราการหย่าร้างในซาอุฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหากเปรียบเทียบกับสองปีที่แล้ว เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 33

ด้วยเหตุผลข้อนี้เอง บรรดาผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ออกมาเตือนถึงผลสะท้อนให้เห็นแค่การล่มสลายของการหย่าร้างในครอบครัวเท่านั้น แต่ปัญหาการว่างงานของบิดาและมารดาในครอบครัวก็เป็นเหตุผลหนึ่งของการล่มสลายของสถาบันครอบครัวในซาอุฯ เนื่องจากครอบครัวที่ตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ย่อมจะไม่มีการควบคุมและดูแลบุตรหลานของตนเองได้แน่นอน

ผลพวงจากปัญหาครอบครัวเหล่านี้ ทำให้บรรดาเยาวชนต้องหันหน้ายังสื่อสังคมออนไลน์ และทวีดาวเทียม และจึงตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มไอซิสอย่างง่ายดายในการชักใยและดึงเยาวชนเหล่านี้เข้าร่วมอุดมการณ์แห่งความรุนแรงและกลุ่มสุดโต่งอย่างง่ายดาย

แหละนี่คือสาเหตุหนึ่งทำให้เยาวชนหนุ่มสาวชาวซาอุ แห่เข้าร่วมกลุ่มก่อการร้ายไอซิส

پیوستن نوجوانان سعودی به داعش

สาเหตุที่วัยรุ่นซาอุดิอาระเบีย แห่ “เข้าร่วม” กลุ่มก่อการร้ายไอซิส | abnewstoday

 

Jeerachart Jongsomchai



... "สงครามพม่า-อังกฤษครั้งแรก กับบทเรียนที่ทำให้เข้าใจแผนการณ์ของพวก 'นักล่า'"
... การปฎิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปได้เกิดขึ้น โดยเฉพาะที่อังกฤษ เครื่องจักรกลเพิ่มกำลังการผลิตได้เยอะผลิตสินค้าได้มากและรวดเร็วขึ้น สินค้าล้นตลาดพ่อค้าและรัฐบาลอังกฤษจึงหาและล่าเมืองขึ้นเพื่อระบายสินค้าและแหล่งวัตถุดิบใหม่ๆมาให้ยุโรป โดยล่าทางตะวันออก เอเชีย ทำให้อังกฤษได้ครอบครองไปทั่วย่านนี้หลายประเทศ
... เช่น 1786 เช่าปีนังจากสุลต่านไทรบุรี, 1795 ยึดครองมะละกา , 1819 ได้สิงคโปร์ อังกฤษมีอิทธิพลทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจในบริเวณแหลมมลายู ช่องแคบมะละกา โดยเฉพาะ "เมืองท่า" คือหัวใจในอิทธิพลนั้น
... และอังกฤษก็เริ่มส่ายสายตามามอง "พม่า" เพราะว่า
... ประการแรก "พม่าอยู่ในเส้นทางเดินเรือของอังกฤษไปสู่จีน" อังกฤษต้องการหาที่พักเรือสินค้า หาเชื้อเพลิงและซ่อมแซมต่อเติมเรือได้ดี โดยเฉพาะไม้สักจากพม่า
... นอกจากนั้น "เมืองท่า" บางแห่งของพม่ายังสามารถเป็น "ฐานทัพเรือ" เอาไว้ปราบปรามกบฎในอินเดียได้ดี เพราะตอนนั้นอินเดียเริ่มประท้วงอังกฤษหนักขึ้น
... ประการต่อมาเมื่ออังกฤษได้ครอง "อินเดีย" แล้วก็เริ่มมองหาอาณานิคมแหล่งทรัพยากรแห่งใหม่ที่ใกล้เคียง เพื่อแข่งขันกับ "ฝรั่งเศส" ที่ล่าเมืองขึ้นไปทั่วโลก
... และประการต่อมา พม่าทางเหนือและตะวันออก มีเส้นทางค้าขายโบราณที่ติดต่อกับไทยใหญ่ ( คนไต) และยูนนานของ "จีน" ตอนใต้ได้ ซึ่งอังกฤษนั้นต้องการจีนอย่างมากเพราะคือแหล่งทรัพยากรที่ใหญ่และยั่วยวนใจอย่างมาก
... ในส่วนพม่าเองก็เริ่มได้กลิ่นสิงโตนักล่ามาแต่ไกล จึงพยายามคบค้าฝรั่งเศส และ แอบคบหาอินเดียเอาไว้ และมีหลายครั้งแอบติดต่อกับอินเดียเพื่อจะขับไล่อังกฤษออกจากแถบอ่าวเบงกอล โดยทั้งสองมีกรณีพิพาทกันบริเวณนี้ตลอดมาเพราะเจ้าเมืองยะไข่มักจะหลบหนีพม่าไปลี้ภัยในเขตเบงกอลแถวจิตตะกองที่เป็นเขตปกครองของอังกฤษเสมอ
... ตอนนั้น "มอญ" ทางใต้พม่า ได้ทำสงครามกับพม่า ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสมักจะอุดหนุนมอญในการทำสงครามกับพม่าอยู่เสมอ เป็นอีกวิธีที่พวกเขานักล่า ยุแยงให้เพื่อนบ้านทะเลาะกันเอง ฆ่ากันเอง โดยหาความต่างหรือเชื้อไฟที่มีอยู่แล้ว ทั้งเชื้อชาติ ศาสนา
... และสงครามระหว่างพม่ากับอังกฤษครั้งแรกจึงไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องกรณีเจ้าเมืองยะไข่หนีไปดินแดนอาณานิคมอังกฤษแล้วพม่าตามไปฆ่าจนอังกฤษไม่พอใจ แต่เป็นเพราะเหตุผลต่างๆที่กล่าวมาก่อนหน้า เพียงแต่อังกฤษอาศัยกรณีพิพาทเป็นเหตุผลในการทำสงครามเพื่อยึดเอาพม่าแค่นั้นเอง เพราะตอนนั้น "ฝรั่งเศส" ขยายอิทธิพลในพม่ามากขึ้นเรื่อยๆ อังกฤษปล่อยไปไม่ได้อีกแล้ว จึงต้องหาเหตุความพิพาทมาเป็นข้ออ้างในการทำสงคราม สกัดฝรั่งเศส
... ซึ่งเมื่อชนะสงคราม 1824 - 1826 อังกฤษก็ได้ดินแดนตะนาวศรีของ "มอญ" ( ทำให้ "สยาม ปลอดภัยจากพม่ามารุกรานด้วย เพราะปรกติทางสายหลักที่พม่าจะยกทัพมาต้องผ่านช่องเขาของเทือกเขาตะนาวศรีที่ยาวเป็นเหมือนกำแพงเมืองจีนกั้นไทย พม่า ทางตะวันตกของไทย ทำให้สยามรอดจากภัยพม่า แต่ดันมาเจออังกฤษแทน หนีเสือพม่าปะโคตรพ่อโคตรแม่จระเข้อังกฤษต่อมาภายหลัง )
... ระหว่างที่อังกฤษปกครองพม่าตอนใต้โดยเฉพาะคน "มอญ" นั้นก็พยายามจะยุให้มอญทำสงครามกับพม่า เพราะรู้ว่าสองเชื้อชาตินี้ไม่ถูกกันมานาน แต่ปรากฎว่า "มอญ" ที่เลือดรุนแรงไม่ยอมพม่าได้หนีไปสยามหมดแล้ว ที่เหลืออยู่เป็นพวกรักษาเอาตัวรอดเป็น "มอญเฉย" ทำมาหากิน อุดมการณ์อ่อน เลยไม่อยากรบกับพม่า เมื่อยุไม่ขึ้น อังกฤษเลยต้องเปลี่ยนแผนไป
... แต่อังกฤษก็เอาเมืองในแถวตะนาวศรี เช่น "เมาะตะมะ" "มะริด" เป็นเมืองท่ามาค้าขายกับสยามได้ง่ายขึ้นและเป็นการมุ่งมองเอาสยามเป็นเมืองขึ้นเป้าหมายต่อไป
... และการที่อังกฤษได้เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของพม่าอีกส่วน ทั้งเมืองท่าฝั่งโน่น เช่น "รัฐยะไข่" มณีปุระ อัสสัม ยิ่งทำให้เป้าหมายของอังกฤษสัมฤทธ์ผลในการยึด "เมืองท่า" สำคัญ เพื่อเป็นการรักษาเส้นทางการเดินเรือในการค้าขายสินค้าของตนให้ปลอดภัยและมั่นคงจากฝรั่งเศส
... ดังนั้นเมื่อมองมาในปัจจุบัน จะเห็นว่า กรณี "โรฮีนจา" นั้นมหาอำนาจใหม่อาจจะต้องการสร้างและกลับมามีอิทธิพลย่านนี้อีกครั้ง โดยหาเหตุยกเมฆข้ออ้างต่างๆ แต่แท้จริงแล้ว แค่รักษายื้อแย่งเส้นทางเดินเรือของการค้าโบราณอย่างยะไข่ จิตตะกอง อ่างเบงกอล และช่องแคบมะละกา กลับมาอีกครั้ง หรือสกัดคู่แข่งดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง "จีน" หรือ "อินเดีย" ไม่ให้โตเร็วเกินไป
... อดีตทำให้เราเข้าใจว่าสมการบางอย่างเป็นสองตัวแปร x, y เราต้องมองสองชั้น หรือบางครั้งต้องสามตัวแปร เพื่อจะได้เข้าใจว่าเรื่องที่เขาสร้างขึ้นมานั้น เพื่อจุดประสงค์อะไร
... ตอนนี้จับตาเรื่องของยะไข่ และปัตตานีหรือเมืองท่าลังกาสุกะโบราณ หรืออาจจะภูเก็ต อู่ตะเภา หรืออีกฝั่งเช่น หมู่เกาะสแปรตลี่ย์ ในทะเลจีนใต้ด้วยที่น่าจะเป็นเป้าหมายของพวกเขาในการเข้ามาใช้มายึดเพื่อการค้า หรือจุดแวะพักเรือรบอาวุธยุทโธปกรณ์ แบบในอดีต โดยการสร้างความแตกแยกแบบที่เคยยุให้มอญทะเลาะกับพม่าในแล้วในอดีต หรือการยุให้เกิดสงครามต่อไป ... ที่เราเองต้องเรียนรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อไปเดินติดกับดักของเขา
.
เครดิต : ประวัติศาสตร์พม่า โดยบุญเทียม พลายชมพู เรียบเรียง

 

Jeerachart Jongsomchai



... "สงครามโลกครั้งที่ 1 : เกิดเพราะแย่งชิงทางรถไฟสายเบอร์ลิน - แบกแดด, เส้นทางเดินเรือของอังกฤษ และคูเวต"
... สงครามโลกครั้งที่ 1 อาจจะถูกประวัติศาสตร์เขียนว่าเริ่มจาก "ดยุคเฟอร์ดินานด์มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย" ถูกลอบสังหาร และลามไปเรื่อยๆจนกลายเป็นสงครามในที่สุด แต่ข้อมูลใหม่ก็บอกเราว่าอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด หรอส่วนที่สำคัญของสาเหตุจริงๆ
... เพราะมีข้อมูลเก่าๆที่ไม่ค่อยได้ออกมาสู่สาธารณะชนทั่วไปว่าแท้จริงแล้วเกิดจาก "ทางรถไฟสายเบอร์ลิน - แบกแดด" เป็นเหตุผลสำคัญ
... ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อ๊อตโตมานที่อ่อนแออยู่แล้วจนรัสเซียให้ฉายาว่า "คนป่วยแห่งยุโรป" ต่างถูกมหาอำนาจใหม่อย่าง "อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย" รุมกินโต๊ะ ตุรกีก็เลยหันหน้าไปหา "เยอรมัน" เป็นพันธมิตรในการคานอำนาจ ที่ตอนนั้นพระเจ้าไกเซอร์ต้องการสรา้งกองทัพเยอรมันให้เกรียงไกร และก็กองทัพเรือตอนนั้นเป็นรองแค่อังกฤษ
... ตอนนั้นอังกฤษกับ "ไซออนนิสต์" ที่เพิ่งประชุมไปเมื่อ 1893 ที่บาเซิ่ลกำลังต้องการร่วมกันแทรกแซงอ๊อตโตมันให้แตกจากภายใน กระตุ้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบตะวันตก ผ่านนายทหารสมัยใหม่ ขณะที่ภายนอกก็มีการปั่นป่วนจากอังกฤษ
... อังกฤษนั้นนอกจากจะยึดเอาเมือง "เอเดน" ของเยเมนที่ก่อนหน้านั้นเป็นเมืองท่าสำคัญของอ๊อตโตมันเติร์กไปแล้ว ยังพยายามจะเอา "แบกแดด" ของอ๊อตโตมันไปอีกด้วย เพราะว่าเป็นเมืองสำคัญในการเดินทางจากอินเดีย พม่า เอเชียไปยุโรปอีกทางหนึ่ง
... เพราะทางที่อังกฤษฝรั่งเศสใช้เดินทางทางเรือในการแผ่อำนาจและการค้ามี 3 ทางหลักคือ
ทางแรกโบราณต้องอ้อมแหลมกู๊ดโฮปของอาฟริกาที่มีข้อเสียคือไกล ทางที่สองเพิ่งเผิดใช้เมื่อ 1869 คือทางคลองสุเอซผ่านทะเลแดง ผ่านเมืองท่า "เอเดน" ของเยเมน แล้วก็ไปอินเดีย พม่า สิงคโปร์ มาเลเซีย ช่องแคบมะละกาในที่สุด
... และทางที่ 3 คือจากอินเดีย พม่า ไปอ่าวเปอร์เซียและแวะขนถ่ายสินค้าผ่าน "คูเวต" ทางบกผ่าน "แบกแดด" แล้วขนส่งทางบกไปออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปออกยูโรปทางเรืออีกครั้งต่อไป บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษมีเส้นทางนี้เป็นสายเลือดใหญ่มานาน แม้จะต้องขนถ่ายสินค้า แต่ระยะทางใกล่กว่ามาก
... แต่ทาง "รถไฟสายเบอร์ลิน - แบกแดด" ที่เป็นความร่วมมือกันของ "เยอรมันและอ๊อตโตมันเติร์ก" นั้นจะไปขวางการเดินเรือและบกของสินค้า เรือรบ ของอังกฤษ ทำให้อังกฤษเดือดร้อนตัวรับไม่ได้ และพยายามจะขัดขวางโครงการนี้ตลอดมา
... และอีกสาเหตุหนึ่งคือ ทางสายนี้จะเป็นการขนส่งลำเลียง "น้ำมัน" จากอาหรับ อิรัก ไปเยอรมัน โคยตรง ทำให้จะมีผลในการสร้างความเกรียงไกรของ เยอรมันและเป็นการปลุกอ๊อตโตมันให้หายป่วย อังกฤษและยุแยงให้ชาวเผ่าที่อยู่ใน "คูเวต" ต่อสู้เพื่อเอกราชของตน จากอ๊อตโตมัน เหมือนกับที่ยุแยงให้ชาวนัดจ์ ตระกูลซาอุด และตระกูลฮาชิไมท์ของเผ่าฮาเจซออกมาร่วมรบกับอังกฤษเพื่อแยกออกจากชางเติร์ก จนในที่สุด สงครามก็เกิดเพราะสาเหตุนี้ ... และอีกหนึ่งสาเหตุคือเพราะคูเวตเป็น "ท่าเรือน้ำลึก" ที่สำคัญมากของอังกฤษ
... จนอังกฤษยุแยงให้ชาวเผ่าในคูเวตมาเป็นเมืองใต้การคุ้มกันของอังกฤษได้ในปี 1899 ในช่วงที่อ๊อตโตมันอ่อนแอ ที่คูเวตก็หวังจะเป็นอิสระ และ เอกราชจากเติร์กในระยะยาว
... โดยมีกรณีสวรรคตของ "ดยุคเฟอร์ดินานด์มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย" เป็นแค่ตัวจุดไฟ แต่เชื้อนั้นเริ่มจากทางรถไฟสายนี้
... และหลังจาก "สงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง อ๊อตโตมันและเยอรมันพ่ายแพ้ ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ต่างก็รุมแย่งแบ่งชินเค๊กเอาอาณานิคมเดิมของทั้งสองประเทศไปครอง โดยอังกฤษได้เยอะและดีกว่าเพื่อน หนึ่งในนั้นคือ "อิรัก และ คูเวต" ที่เป็นเมืองท่าเทียบขนส่งสินค้า อาวุธ หนึ่งในสามที่สำคัญที่สุดได้ในที่สุด และสืบเป็นประเทศ "คูเวต" จนมาถึงปัจจุบันที่มีบริษัทน้ำมันอังงกฤษมารับสัมปทานน้ำมันมากมายในคูเวตในเวลาต่อมา
.
British Empire: Middle East: Kuwait
Baghdad Railway - Wikipedia, the free encyclopedia

 

Chalee Na Roied

เวลานี้นักวิเคราะห์หลายๆคน เห็นตรงกันนะครับว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และทะเลจีนใต้กำลังจะเป็นสมรภูมิหนึ่ง แนวรบใหม่ของสหรัฐ ในระยะเวลาอันไกล้นี้ เพราะเวลานี้สหรัฐ ไม่น่ามีวิธีใด ที่สามารถสกัดและยับยั้ง คู่แข่งสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างจีนได้แล้ว นอกจากกำลังทหารเท่านั้น แม้ว่าจะเสี่ยงกับสงครามนิวเคลียร์ก็ตาม
อย่าลืมนะครับสงครามเย็น ระหว่างสหรัฐและสหภาพโซเวียต ที่ไม่ถึงจุดเดือด ก็เพราะอำนาจการทำลายล้างนั้น พอๆกันด้วยหลักนิยมที่เรียกว่า "MAD(Mutual Assured Destruction)"
แต่สำหรับสหรัฐกับจีนนั้น สหรัฐยังมองว่าจีน แสนยานุภาพทางทหาร และหัวรบนิวเคลียร์ไม่มากพอ ที่ตอบโต้สหรัฐหากถูกโจมตีได้ และที่สำคัญที่สุดการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง รมต.กลาโหม สหรัฐคนใหม่ คือ แอชตัน คาร์เตอร์ ขึ้นมาแทน ชัค เฮเกล ที่ลาออกไปนั้น ชัดเจนว่านี่คือ บรรดาผู้อยู่เบื้องหลัง รัฐบาลสหรัฐต้องการ คนกล้าเสี่ยงและกล้าได้กล้าเสีย ที่จะนำกองทัพสหรัฐเข้าสู่สงครามอีกครั้ง
เพราะเวลานี้สหรัฐไม่ได้ต้องการเพียง ปิดล้อมจีนเท่านั้น (containment) แต่ต้องการเผชิญหน้า ถ้าประเทศในละแวกอาเซียน ไม่รู้เท่าทันการเข้ามาของสหรัฐในภูมิภาคนี้
ทะเลจีนใต้จะเป็น อีกสมรภูมิหนึ่งที่น่าจับ ไม่ต่างจาก อิรัก ซีเรีย และยูเครน...
Why is Obama Goading China? » CounterPunch: Tells the Facts, Names the Names

 

Chalee Na Roied

<iframe width="487" height="274" src="https://www.youtube.com/embed/SC_kqAmebH4" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
ไปดูคลิ๊ปที่ โฆษกทำเนียบขาว ตอบคำถามของนักข่าว ต่อกรณีของวิกฤติการณ์ ในยูเครนนะครับ ซึ่งก่อนหน้านั้น เราจะอาจจะคุ้นเคยกับ การตอบคำถามของ เจน ซากี ซึ่งบรรดาสำนักข่าว RT News ทำให้เธอหมดสภาพ ในการตอบคำถามมาแล้ว
โฆษกรัฐบาลสหรัฐพยายาม จะอ้างว่ากลุ่มติดอาวุธและแบ่งแยกดินแดน ในยูเครนตะวันออก ซึ่งรัสเซียสนับสนุน เป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลง 4 ฝ่ายที่ทำขึ้นที่ มินส์ โดยเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงหรือ แสดงความเห็นว่า ฝ่ายใดเป็นฝ่ายละเมิด เช่น กรณีที่รัฐบาลยูเครนใช้ปืนใหญ่ โจมตีเป้าหมายที่เป็น ที่อาศัยของพลเรือน ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
โดยอ้างว่าเพียงแค่ว่า "มีการละะมิดสนธิสัญญา แต่ไม่ระบุว่า ฝ่ายใดเป็นต้นเหตุ ทั้งๆที่ฝ่ายที่ละเมิดส่วนใหญ่ มาจากรัฐบาลยูเครน
นอกจากนี้ครับ จากกรณีที่ รอง ปธน.สหรัฐได้ออกมาให้สัมภาษณ์ เมื่อวันก่อนว่า รัฐบาลสหรัฐไม่อาจจะยอมรับ การที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง จะขยายอิทธิพล ไปยังอีกประเทศหนึ่ง(sphere of influence) โดยเฉพาะกรณีของยูเครน ซึ่งต้องการพุ่งเป้าไปยังรัสเซียนั้น นักข่าวท่านหนึ่งถามกลับว่า และสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐ กำลังดำเนินนโยบายอยู่ จัดอยู่เป็นเรื่องของ การแผ่ขยายอิทธิพลหรือไม่? และการที่สหภาพยุโรปหรือตะวันตก กำลังสนับสุนรัฐบาลยูเครนนั้น สหรัฐได้มองเรื่องนี้อย่างไร?
การตอบคำถามของ โฆษกทำเนียบขาว พอถูกนักข่าวซักหนักๆ สภาพก็เลยออกมาอย่างที่เห็นครับ ...

 

Chalee Na Roied



ผู้ช่วย รมต.กลาโหมรัสเซีย ได้ออกมากล่าวแสดงความเห็น ที่สิงคโปร์ เกี่ยวกับการเข้ามา แทรกแซงสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ของสหรัฐ ซึ่งกำลังจะทำให้สถานการณ์ มีแนวโน้มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
และกองทัพเรือของรัสเซีย ได้ออกมาประกาศแล้วครับว่า ปีหน้ารัสเซียจะเข้าร่วมฝึก กับนานาชาติเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายในภูมิภาคนี้ โดยพุ่งเป้าไปยังการเข้ามาของทหารสหรัฐ
"We are concerned by US policies in the region, especially since every day it becomes increasingly focused on a systemic containment of Russia and China."
สหรัฐเจองานยากแล้วครับ ชาติมหาอำนาจ เขารู้ทันหมดแล้วครับ ว่ากำลังจะมาไม้ไหน?

http://rt.com/news/263533-rusia-multinational-navy-drills/

 

Chalee Na Roied



เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา ผู้นำรัสเซียได้ลงนามในคำสั่ง เพื่อปกปิดข้อมูล เกี่ยวกับทหารที่บาดเจ็บและเสียชีวิต จากการสู้รบในสงครามนะครับ ปรกติตำสั่งดังกล่าว ใช้ในห้วงสงครามเท่านั้น แต่เวลานี้กำลังจะถูกใช้ ในห้วงเวลาปรกติ ซึ่งคาดว่า น่าจะเป็นไปเพื่อรับมือ สถานการณ์ในยูเครน และรวมถึงสงครามกับนาโต ที่กำลังจะกลับมาประทุอีกครั้ง
http://www.nytimes.com/2015/05/29/world/europe/putin-russian-soldiers-ukraine.html?_r=0

การลงนามในคำสั่งดังกล่าว น่าจะมาจากความไม่มั่นใจใน สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเกรงว่าจะเกิดสงคราม การละเมิดสนธิสัญญาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะระหว่างกองกำลังนาโตและรัสเซีย ด้วยการเสริมกำลังทหารและอาวุธ เป็นการถาวรในประเทศ แถบบอลติก คือ แลตเวีย เอสโตเนีย และลิธัวเนีย ซึ่งทำขึ้นในปี 1997 ในขณะเดียวกัน บารัค โอบามา ก็ยกเลิกสนธิสัญญาที่ทำขึ้นกับรัสเซีย หลังสิ้นสุดสงครามเย็น ในเรื่องของการรับซื้อยูเรเนียมจากรัสเซีย เพื่อใช้ในทางสันติหรือ ที่เรียกว่า "Megatons to Megawatts" ทั้งนี้เพื่อควบคุมการแพร่กระจาย ของหัวรบนิวเคลียร์นั่นเอง
Obama cancels emergency over Russian uranium sales

นอกจากนี้ผู้นำรัสเซีย ยังสั่งให้เคลื่อนย้ายขีปนาวุธ "Iskander M หรือที่นาโตเรียกว่า SS-26 และ ขีปนาวุธพื้นสู่อากาศแบบ S-500 ไปยัง คาลินนินกราดของรัสเซีย ขีปนาวุธดังกล่าว สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ และหัวรบทั่วไปได้ รัศมีทำการ 500 กิโลเมตร สามารถโจมตีฐานทัพนาโต และศูนย์บัญชาการของกองกำลังนาโต ทุกประเทศในยุโรป และอังกฤษภายใน 30 นาที ซึ่งเลขาธิการกองกำลังนาโต ได้เข้าพบกับ บารัค โอบามา ว่าชาติในยุโรป กำลังวิตกกังวล กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะขีปนาวุธดังกล่าว ของรัสเซีย กำลังทำลายดุลยภาพ ด้านการใช้กำลัง ของประเทศในแถบบอลติก
Russia Stations Iskander Missiles in Kaliningrad: NATO Cries Wolf / Sputnik International

และจากความเคลื่อนไหวของรัสเซีย ในห้วงสัปห์ดาที่ผ่านมา ซึ่งมีทหารรัสเซีย 12,000 นาย เครื่องบินรบ 250 เข้าร่วมการฝึกในบริเวณทะเลบอลติก และทวีปอาร์คติก ในห้วงเวลาเดียวกันกับ การฝึกของกองกำลังนาโต บริเวณทวีปอาร์คติก ซึ่งนาย เจน สโตนเต็นเบอร์ก เลขาธิการกองกำลังนาโตได้หารือ กับ บารัค โอบามา ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น รัสเซียกำลังเสริมกำลังทหารตลอดแนวพรมแดนยูเครน และมีเข้าข่ายยั่วยุอย่างชัดเจน
Obama, NATO Chief Denounce Russia’s 'Increasingly Aggressive' Posture

นอกจากนี้ กรณีที่ รอง ปธน.สหรัฐ โจ ไบเดน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ เมื่อวันก่อนว่า รัฐบาลสหรัฐไม่อาจจะยอมรับ การขยายอิทธิพล ไปยังอีกประเทศหนึ่ง(sphere of influence) โดยเฉพาะกรณีของยูเครน ซึ่งต้องการพุ่งเป้าไปยังรัสเซียนั้น ซึ่งรัสเซียมองว่าสหรัฐ ไม่ได้มองการกระทำของตนเอง ซึ่งไม่ยอมให้ประเทศใดก้าวขึ้นมาท้าทาย อิทธิพลของตนเอง ในทุกภูมิภาคของโลก US won't accept idea of global ‘spheres of influence’ – Biden — RT USA

จากการลงนามในคำสั่ง ปกปิดข้อมูลการเสียชีวิตของทหารแล้ว ยังมีผลทำให้ทางผู้นำรัสเซีย สามารถตัดสินใจ ในการชิงลงมือโจมตีสหรัฐและกองกำลังนาโต โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้า ถ้าสถานการณ์มีแนวโน้ม เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัสเซีย...
Putin Signs New “War Dead” Order After Obama Shatters Russian Treaties – The Total Collapse

 

อดีตรองผอ.ข่าวกรองฯไม่เชื่อ “มารา ปาตานี” ส่งผลบวกเจรจาดับไฟใต้
เขียนวันที่ วันพฤหัสบดี ที่ 28 พฤษภาคม 2558 เวลา 20:23 น.เขียนโดยปกรณ์ พึ่งเนตร หมวดหมู่สัมภาษณ์พิเศษ



อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ มองว่าการตั้งองค์กร “มารา ปาตานี” (MARA Patani) ของกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ 6 กลุ่มเพื่อเจรจาดับไฟใต้กับรัฐบาลไทยนั้น ยังไม่ใช่ความก้าวหน้าของกระบวนการพูดคุยสันติสุขอย่างแท้จริง

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ชี้ว่า ปัญหาสำคัญของการริเริ่มกระบวนการพูดคุยเจรจาเพื่อสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้ อยู่ที่ฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐเป็นหลักว่าจะเจรจาภายใต้เงื่อนไชอะไร เพราะการตั้งกลุ่มหรือองค์กรกลางขึ้นมาเป็นตัวแทนนั้น ในอดีตก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เช่น กลุ่มเบอร์ซาตู ซึ่งมี ดอกเตอร์ วันกาเดร์ เจ๊ะมัน เป็นหัวหน้า แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ฉะนั้นวันนี้ต้องย้อนพิจารณาว่า ปัญหาของกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐยังมีอยู่หลายประเด็น เช่น เอกภาพอยู่ตรงไหน, กลุ่มที่จะมาเจรจาสามารถสั่งการกองกำลังในพื้นที่ได้จริงหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบ กลุ่มที่มารวมตัวกันเป็น "มารา ปาตานี" นั้นเป็นปีกการเมือง แต่ปีกการทหารไม่เข้าร่วมเลย หากสั่งการกันไม่ได้ ความสงบก็ไม่มีทางเกิด

ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ เงื่อนไขการเจรจาคืออะไรแน่ เพราะหากบอกว่าจะแยกประเทศ แยกดินแดน หรือแม้แต่ตั้งเขตปกครองพิเศษ คนไทยคงไม่ยอม

ด้านสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงตึงเครียด ช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม คนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ตามประบยิง นายพรพิพัฒน์ ยอดยิ่ง อายุ 28 ปี กับ นางอารีรัตน์ มณีรัตน์ อายุ 29 ปี ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน ขณะขี่รถจักรยานยนต์เดินทางไปทำงานในตัวเมืองปัตตานี ทำให้ นายพรพิพัฒน์ เสียชีวิต ส่วนนางอารีรัตน์ ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดบนถนนสายยะลา-ปัตตานี ท้องที่หมู่ 1 ตำบลลิปะสะโง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอบคุณ : ภาพ นายนันทิวัฒน์ สามารถ จากเว็บทีนิวส์

http://www.isranews.org/south-news/special-talk/item/38908-mara_38908.html

 

Nibiru Facts/Elenin Facts/2012/NWO/FEMA/Earth Quakes/T Cyclones etc

<iframe width="854" height="510" src="https://www.youtube.com/embed/N9wASyi5j04" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
·
~~~ >>> มันเป็นเวลานี้ วิดีโอนี้ที่ฉันไม่ได้แบ่งปันกันกับ ดูมัน และเข้าใจมันและเตรียมความพร้อมสำหรับมัน <<< ~~~ อีโมติคอนหัวใจ
~~~>>> guys, IT IS TIME, this is the video that I have nOt shared with you yet, WATCH IT, Understand it, prepare for it <<<~~~ อีโมติคอน heart

ระบบดาวเคราะห์เอ็กซ์ ปรับปรุงข้อมูลครั้งที่ 1 - ข่าว Nibiru ที่มีการปรับปรุง
Planet X System Update No. 1 - Nibiru New Update.

โปรแกรมนี้จะนำเสนอภาพรวมของระบบดาวเคราะห์เอ็กซ์, ระบบดาวเคราะห์เอ็กซ์จะเคลื่อนที่ผ่านระบบสุริยจักรวาลของเราอย่างไร และเหตุผลที่ทำไมเราจึงสังเกตเห็นมันอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์และไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรา รวมทั้งการสังเกตที่ผ่านมาสามดาวเคราะห์ในระบบดาวเคราะห์เอ็กซ์จับโดยทุ่นทะเลซึ่งตั้งอยู่ในอ่าวอลาสกาและอ่าวเม็กซิโก
This program presents an overview of the Planet X system, how it moves through our solar system and why we always seem to observe it near the Sun and not behind us, plus recent observations of three planets in the Planet X system captured by ocean buoys located in the Gulf of Alaska and the Gulf of Mexico.

Detailed explanations of the first three Planet X events projected for the tribulation time line are presented: covert visitations, deep impact, and the perihelion alignment of the Planet X system as it will be seen from Earth. These projections by the Guides appear in the book, Being In It for the Species.
To learn more about the tribulation projections made by the Guides in being in it for the species, visit BeingInItfortheSpecies.com or Yowusa.com.
Planet X System Update No. 1 - Nibiru New Update
* Sub for more amazing Video (http://goo.gl/KIc6SY)
* Like, Share and Comment
* Support us
Thank you
https://www.youtube.com/watch?v=N9wASyi5j04&feature=youtube_gdata_player

 

ปิยวุฒิ ปิยาภิชาต
·
ชะตากรรมของคนฝากเงินไว้ในแบง เมื่อประเทศเข้าสู่ภาวะล้มละลาย



https://www.youtube.com/watch?v=pDLazLsfG6c