ติดตามสถานะการณ์

เทสโก้อังกฤษแย่หนัก ขาดทุนเป็นประวัติศาสตร์ 6,400 ล้านปอนด์!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 เมษายน 2558 02:36 น. (แก้ไขล่าสุด 23 เมษายน 2558 09:26 น.)



เอเอฟพี/รอยเตอร์ - เทสโก้ ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่สัญชาติสหราชอาณาจักร เมื่อวันพุธ (22 เม.ย.) เผยผลประกอบการขาดทุนประจำปีมหาศาลถึง 6,400 ล้านปอนด์ (ราว 3.1 แสนล้านบาท) หนึ่งในตัวเลขขาดทุนสูงสุดในประวัติศาสตร์ 96 ปี ของบริษัท ในขวบปีที่ต้องเผชิญกับมลทินจากกรณีอื้อฉาวตกแต่งบัญชี

กลุ่มธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติอายุุยาวนานกว่า 96 ปี และครองตลาดค้าปลีกสหราชอาณาจักรมายาวนานหลายทศวรรษ ต้องปรับลดมูลค่าธุรกิจลง 7,000 ล้านปอนด์ หลังได้รับความเจ็บปวดท่ามกลางสงครามราคาในอุตสาหกรรมค้าปลีกที่กระพือขึ้นมาจากความท้าทายของเครือข่ายค้าปลีกอัลดีและลิดล์จากเยอรมนี

ทางบริษัทได้เผยว่าในการขาดทุนครั้งมโหฬารนี้ เป็นผลจากขอบเขตการดำเนินงานในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่ตกต่ำ การขาดทุนของกองทุนบำเหน็จบำนาญที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ มูลค่าสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ที่ตกลง ค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างที่แทรกเข้ามา และเงินที่ต้องจ่ายเพื่อโปะผลกำไรเกินจริงก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ หนึ่งปีก่อนหน้านี้ ทางเทสโก้ มีผลกำไรก่อนหักภาษี 2,260 ล้านปอนด์

เดฟ ลูอิส ซีอีโอคนใหม่ของเทสโก้ ดำเนินการขั้นเด็ดขาดด้วยการปิดห้างสรรพสินค้าในเครือกว่า 40 แห่ง ปลดพนักงานและปฏิรูปโครงสร้างบริษัท อย่างไรก็ตาม เขายอมรับในวันพุธ (22 เม.ย.) ว่า ปัญหายุ่งยากจะยังมีอยู่ต่อไป และหนทางในการกลับคืนมานั้นยังอีกยาวไกล

บริษัทแห่งนี้สูญเสียส่วนแบ่งตลาดอย่างต่อเนื่องแก่บริษัทค้าปลีกคู่แข่งอื่นๆ อย่างเช่น อัลดี และ ลิดล์จากเยอรมนีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แถมยังเผชิญสงครามราคากับเหล่าคู่ปรับในสหราชอาณาจักร และชื่อเสียงต้องมาแปดเปื้อนจากการถูกสืบสวนในเรื่องรายงานตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรช่วงครึ่งปีแรกเกินจริงไปถึง 263 ล้านปอนด์

เทสโก้บอกว่าทางบริษัทมียอดขาย 69,700 ล้านปอนด์ สำหรับปีงบการเงินปีนี้ ลดลงจากหนึ่งปีก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ 70,900 ล้านปอนด์ โดยกำไรจากการค้าซึ่งไม่นับรวมผลกำไรขาดทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ลดลงสู่ 1,400 ล้านปอนด์ จาก 3,300 ล้านปอนด์ในปีก่อนหน้านี้

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000046259

 

น้ำมันลงหลังอุปสงค์สหรัฐฯ อ่อน หุ้นมะกันขึ้น-ทองคำปิดลบหนัก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 เมษายน 2558 04:31 น. (แก้ไขล่าสุด 23 เมษายน 2558 10:15 น.)



เอเอฟพี - ราคาน้ำมันเมื่อวันพุธ (22 เม.ย.) ลดลงเล็กน้อย หลังพบสต๊อกเชื้อเพลิงสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น ส่วนวอลล์สตรีทขยับขึ้นแข็งกร่งจากข้อมูลทางเศรษฐกิจ และปัจจัยนี้ทำให้นักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ ฉุดทองคำปิดลบหนัก

น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 45 เซ็นต์ ปิดที่ 56.16 ดอลลาร์ ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 65 เซ็นต์ ปิดที่ 62.73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานในวันพุธ (22 เม.ย.) คลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 17 เมษายน เพิ่มขึ้น 5.3 ล้านบาร์เรล นับเป็นการปรับขึ้น 15 สัปดาห์ติดต่อกัน แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบใหม่ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่ากำลังการผลิตของอเมริกาลดลง 18,000 บาร์เรลต่อวันหรือราวละร้อยละ 0.2

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันพุธ (22 เม.ย.) ปิดบวก จากข้อมูลภาคอันแข็งแกร่งของภาคอสังหาริมทรัพย์ และรายงานผลประกอบการที่ผสมผสานจากโบอิ้ง แมคโดนัลด์ และบริษัทอื่นๆ

ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 88.68 จุด (0.49 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 18,038.27 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 10.67 จุด (0.51 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,107.96 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 21.07 จุด (0.42 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 5,035.17 จุด

สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองในเดือนมีนาคม ดีดตัวขึ้น 6.1% สู่ระดับ 5.19 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัวขึ้น หลังจากมีการขยายตัวที่อ่อนแอตั้งแต่ช่วงต้นปี

หุ้นของโบอิ้ง สมาชิกดาวโจนส์ ลดลงร้อยละ 1.4 นักวิเคราะห์จับตาต้นทุนการผลิตเครื่องบิน 787 ของบริษัทแห่งนี้ มากกว่ารายได้สุทธิที่พุ่งทะยานถึงร้อยละ 38.9 สู่ 1,340 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนหุ้นของแมคโดนัลด์ปิดบวกร้อยละ 3.1 หลังเผยจะประกาศแผนปรับกลยุทธ์ใน 2 สัปดาห์ ตามหลังมีผลประกอบการที่น่าผิดหวังอีกครั้ง โดยมีรายได้สิทธิในช่วงไตรมาสแรก ลดลงถึงร้อยละ 32.6 สู่ 812 ล้านดอลลาร์

ส่วนราคาทองคำเมื่อวันพุธ (22 เม.ย.) ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเดือน จากแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ ท่ามกลางข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สดใสบางอย่างของสหรัฐฯ โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 16.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,186.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000046269

 

คะแนนนิยม “บารัค โอบามา” ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดนับแต่กลางปี 2013 หลังมะกันชนปลื้มผลงาน “เจรจาอิหร่าน-คิวบา” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 เมษายน 2558 04:40 น. (แก้ไขล่าสุด 23 เมษายน 2558 09:29 น.)



เอเจนซีส์ - ผลสำรวจล่าสุดในสหรัฐฯ ชี้ ชาวอเมริกันให้คะแนนความพึงพอใจต่อการทำหน้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ บารัค โอบามา ที่ 46.4% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2015 นี้ ถือเป็นระดับความนิยมสูงสุดของโอบามานับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2013 เป็นต้นมา

ผลสำรวจโดยสำนักวิจัยแกลลัประบุ ระดับความนิยมที่ 46.4% ดังกล่าว ปรับเพิ่มขึ้นมา 3 จุดจากช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2014

อย่างไรก็ดี แม้คะแนนความพึงพอใจต่อการทำหน้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ บารัค โอบามา จะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 46.4% จากการสำรวจล่าสุด แต่ยังถือว่าห่างไกลจากระดับความนิยมที่ 63% ที่โอบามาเคยได้รับ เมื่อครั้งที่ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำเมืองลุงแซมสมัยแรกเมื่อเดือนมกราคมปี 2009

ทั้งนี้ ผลสำรวจล่าสุดโดยสำนักวิจัยแกลลัป ซึ่งได้จากการสอบถามความเห็นของกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันจำนวนถึง 44,083 คนระหว่างวันที่ 20 มกราคม - 19 เมษายนที่ผ่านมา ระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้คะแนนนิยมของโอบามาเพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลงานในการเจรจาเรื่องโครงการนิวเคลียร์อิหร่านและการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับคิวบา รวมถึงการลดลงของอัตราการว่างงานในสหรัฐฯ


http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000046270

 

รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียระบุการถือกำเนิดของกลุ่ม “ไอเอส” เป็นผลพวง “ความล้มเหลวซ้ำซาก” ของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
23 เมษายน 2558 05:36 น. (แก้ไขล่าสุด 23 เมษายน 2558 09:30 น.)



เอเจนซีส์ - เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ระบุ การถือกำเนิดของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ถือเป็นผลพวงแห่งความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯต่อภูมิภาคตะวันออกกลาง

ลาฟรอฟ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวในวันพุธ (22 เม.ย.) ที่กรุงมอสโก โดยระบุ ที่ผ่านมา รัฐบาลวอชิงตันปฏิเสธที่จะยอมรับถึงความผิดพลาดของตนในเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ว่า ความล้มเหลวแบบต่อเนื่องของกระบวนการนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯต่อตะวันออกกลาง ได้ผลักดันให้กลุ่มไอเอสถือกำเนิดขึ้น และกลายมาเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสันติภาพและความมั่นคงทั้งของสหรัฐฯและอีกหลายประเทศทั่วโลก

“สหรัฐอเมริกา คือ บิดาผู้ให้กำเนิดกลุ่มไอเอส นี่คือความจริงอันน่าเจ็บปวด ที่บรรดาผู้มีอำนาจในวอชิงตันต้องยอมรับให้ได้” รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียกล่าว

อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียยืนยันว่า กลุ่มไอเอสถือเป็นศัตรูสำคัญ ที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัสเซียเช่นเดียวกัน จากการที่มีพลเมืองของรัสเซียและอีกหลายประเทศในสหภาพโซเวียตจำนวนหลายร้อยราย ลักลอบเดินทางเข้าไปยังอิรักและซีเรีย และเข้าร่วมกลุ่มไอเอส

“เรามีศัตรูหลักร่วมกัน และรัสเซียจะดำเนินทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อสกัดกั้นภัยคุกคามนี้ ที่เรามิได้เป็นคนก่อขึ้น” ลาฟรอฟ กล่าวเสริม

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000046272

 

อดีตทูตสหรัฐฯ ลากไส้ไทยยับ! แฉไม่เลิกบังคับใช้แรงงานทาสในอุตฯ ประมง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 เมษายน 2558 05:40 น. (แก้ไขล่าสุด 23 เมษายน 2558 10:15 น.)



เอพี/ASTVผู้จัดการ - อดีตทูตสหรัฐฯ บอกกับคณะอนุกรรมการสภาคองเกรส เมื่อวันพุธ (22 เม.ย) แรงงานทาสยุคใหม่ยังคงมีอยู่ทั่วโลก ในนั้นรวมถึงการละเมิดลูกเรือประมงในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทยที่ส่งออกมายังตลาดอเมริกา

“มีรายงานมาหลายปีแล้วว่า อุตสาหกรรมประมงของไทยใช้แรงงานบังคับอย่างแพร่หลาย ทั้งในท้องทะเลที่มีคลื่นสูงและภายในโรงงานแปรรูปและบรรจุอาหารทะเล” มาร์ก ลากอน อดีตเอกอัครราชทูตด้านการค้ามนุษย์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ บอกกับคณะอนุกรรมการกิจการต่างประเทศของสภาคองเกรส

ลากอนซึ่งปัจจุบันเป็นประธานของฟรีดอมเฮาส์ องค์กรอิสระที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน เผยต่อว่า ยังต้องรอดูว่ารัฐบาลของโอบามา จะใช้อำนาจกำหนดบทลงโทษไทยหรือไม่ ในนั้นรวมถึงห้ามนำเข้าอาหารทะเลของไทยมายังตลาดอเมริกา

อาวุธหลักของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในการต่อสู้กับการค้ามนุษย์ คือ รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ประจำปี ที่จะจัดอันดับออกเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่ม 1 หรือ Tier 1 หมายถึงยอดเยี่ยม ส่วน Tier 2 ซึ่งต้องจับตามองและต้องพยายามให้มากขึ้น และ Tier 3 คือ กลุ่มบัญชีดำ ที่สามารถใช้มาตรการลงโทษต่างๆ

ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือนมิถุนายนปีก่อน คณะอนุกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของสภาคองเกรส เรียกร้องรัฐบาลโอบามา ลงโทษอย่างหนักหน่วงต่อเหล่าประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

คริส สมิธ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรีพับลิกัน ชี้ว่า จีน ได้รับการยกระดับสู่ Tier 2 ในปี 2014 เร็วเกินไป พร้อมบอกว่า พม่า มาเลเซีย และ ไทย เป็นประเทศที่ต้องเพิ่มความพยายามให้มากกว่านี้ในการต่อสู้กับขบวนการค้ามนุษย์ข้ามแดน ขณะเดียวกัน หลายประเทศในแอฟริกา ก็เสี่ยงถูกลดระดับโดยอัตโนมัติในปีนี้ จนกว่าจะมีการแก้ไขด้านบังคับใช้กฎหมาย ดำเนินคดีและสืบสวนอย่างทันทีทันใด

เมื่อเดือนที่แล้ว สำนักข่าวเอพีรายงานว่าลูกเรือประมงหลายร้อยคนที่จับปลาเพื่อส่งออกจากไทยมายังสหรัฐฯ ถูกบังคับใช้แรงงานเสมือนแรงงานทาสยุคใหม่ และถูกขังอยู่ในกรงบนเกาะเบนจินาของอินโดนีเซีย จนถึงตอนนี้เจ้าหน้าที่ช่วยออกมาได้แล้วราว 370 คน แต่ยังมีคนตกค้างอีกหลายร้อยคน

ปลาที่เรือประมงเหล่านั้นหามาได้จะถูกนำเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของบริษัทผู้ค้าอาหารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ บางแห่ง อย่างเป็นวอล-มาร์ต, ซิสโก้ และ โครเกอร์ นอกจากนี้ ยังพบว่ามันยังเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานอาหารสัตว์เลี้ยงบรรจุกระป๋องยี่ห้อดังๆ อาทิ แฟนซี ฟีสต์, เมียว มิกซ์ และไอแอมส์

บริษัทเหล่านี้ล้วนประณามการละเมิดแรงงานอย่างหนักหน่วงและใช้มาตรการป้องกันต่างๆ อย่างเช่นร่วมมือกับกลุ่มสิทธิมนุษยชนนำตัวผู้รับเหมาช่วง (subcontractors) มาลงโทษ ส่วนไทย ซึ่งมียอดส่งออกอุตสาหกรรมประมง 7,000 ล้านดอลลาร์ และมีสหรัฐฯเป็นลูกค้าสำคัญ อ้างว่าได้ใช้มาตรการเข้มข้นยกเครื่องการปฏิบัติด้านแรงงานมาหลายปีแล้ว แต่เหตุล่วงละเมิดต่างๆ ก็ยังมีอยู่

ฮเลียง มิน วัย 32 ปี หนึ่งในแรงงานที่เจ้าหน้าที่อินโดนีเซีย ให้การช่วยเหลือออกมาจากเกาะเบนจินาช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา บอกระหว่างให้ปากคำต่อสภาคองเกรส ขณะรอการส่งตัวกลับพม่าว่า “ผมขอบอกกับสมาชิกสภาคองเกรสเลยว่า ที่ผมอยากกล่าวถึงก็คือกะโหลกและกระดูกมนุษย์ของชาวประมงที่ตายในทะเลล้วนเป็นคนพม่า” เขากล่าว “ในนามของชาวประมงทุกคนที่นี่ ผมอยากร้องสภาคองเกรสให้สหรัฐฯหยุดซื้อปลาจากไทยทั้งหมด ถ้ามันติดป้ายว่ามาจากไทย สหรัฐฯก็ควรเลิกซื้อมัน”

ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ นับเป็นข่าวร้ายซ้ำเติมอุตสาหกรรมประมงไทย หลังจากเมื่อวันอังคาร (21 เม.ย.) คณะกรรมาธิการยุโรปได้ออกคำเตือนแก่ไทย จากการที่ล้มเหลวในการปราบปรามประมงเถื่อน พร้อมทั้งขู่จะเลิกนำเข้าอาหารทะเลหากไม่ยอมดำเนินการแก้ไข

นับตั้งแต่ปี 2010 ทางสหภาพยุโรปซึ่งเป็นผู้นำเข้าอาหารทะเลรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ดำเนินการอย่างจริงจังต่อหลายชาติที่ไม่ยอมทำตามมาตรฐานสากลที่ป้องกันการจับปลามากเกินไป อาทิ ตรวจจับเรือประมงที่ไม่มีใบอนุญาตในน่านน้ำของตน รวมถึงกำหนดบทลงโทษเพื่อหยุดยั้งการจับสัตว์น้ำแบบผิดกฎหมาย

ไทยได้รับการเตือนที่เรียกว่า “ใบเหลือง” สำหรับความล้มเหลวในการพิสูจน์ให้เห็นถึงที่มาและการจับได้อย่างถูกกฎหมายของปลาที่ส่งไปยังสหภาพยุโรป

คำแถลงของคณะกรรมาธิการยุโรประบุว่า ไทยมีเวลา 6 เดือนในการทำแผนปรับปรุงแก้ไขให้เกิดผล เพื่อนำเสนอและชี้แจงข้อบกพร่องต่อกระบวนการตรวจสอบ ควบคุมและลงโทษของอียู

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000046275

 

FBI เตือนสายการบิน ระวังมือมืดเจาะระบบควบคุมเครื่องบินผ่าน Wi-Fi
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 เมษายน 2558 04:00 น. (แก้ไขล่าสุด 23 เมษายน 2558 09:27 น.)



สกายนิวส์/บีบีซี - สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ออกคำเตือนถึงสายการบินต่างๆ ให้คอยสังเกตผู้โดยสารที่อาจพยายามใช้เครือข่ายไว-ไฟ (Wi-Fi) บนเครื่องบิน เจาะระบบเข้าควบคุมเครื่อง ไม่นานหลังเพิ่งเกิดเหตุชายคนหนึ่งถูกห้ามขึ้นเครื่อง หลังทวีตข้อความอ้างเจาะระบบเครื่องบินได้

แม้เอฟบีไอชี้แจงว่ายังไม่มีหลักฐานสนับสนุนคำกล่าวอ้างที่ว่ามือโจมตีอาจเข้าควบคุมระบบนำร่องของเครื่องบินผ่านเครือข่ายไว-ไฟ ของผู้โดยสาร แต่ยืนยันว่าพวกเขาจริงจังกับความเป็นไปได้ในเรื่องนี้

คำเตือนดังกล่าวโพสต์บนเว็บไซต์ InfraGrad ของเอฟบีไอ และร้องขอเจ้าหน้าที่สายการบินเฝ้าระวัง “แม้คำกล่าวอ้างของสื่อมวลชนยังเป็นแค่ทฤษฎีและยังไม่มีข้อพิสูจน์ แต่การตีแผ่เรื่องนี้อาจเป็นตัวยุให้ผู้ลงมือลองใช้วิธีบุกรุกดังกล่าว ความพยายามเข้าสู่ระบบเครือข่ายบนเครื่องบินพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาต ละเมิดรัฐบัญญัติของสหรัฐฯ”

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นไม่กี่วัน หลังจากสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ได้ห้าม นายคริส โรเบิร์ตส นักวิจัยด้านความมั่นคง ขึ้นเที่ยวบินลำหนึ่งเมื่อวันพุธที่แล้ว หลังทวิตข้อความว่า เขาสามารถจะเจาะระบบข้อมูลของเครื่องบินได้

ทางสายการบินพบว่าผู้โดยสารรายนี้ทวีตข้อความว่า เขาคิดว่าตนเองสามารถปล่อยหน้ากากออกซิเจนออกมาได้ ไม่เพียงเท่านั้นที่ผ่านมาเขายังได้เคยให้สัมภาษณ์แก่สื่อจำนวนมากในประเด็นเกี่ยวกับระบบการทำงานของเครื่องบิน โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์มีใจความว่า การเจาะระบบเครื่องบินเพื่อปิดการทำงานของเครื่องยนต์ที่ระดับความสูง 35,000 ฟุต เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในทางทฤษฎี

นอกจากนี้ เขายังเคยให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นว่า เขาอาจทำการเชื่อมต่อเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายใต้ที่นั่งของเขาเพื่อเข้าไปดูระบบการทำงานของเครื่องบิน ระบบเชื้อเพลิง และระบบการจัดการไฟล์ตได้ด้วย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักงานบัญชีกลางรัฐบาลอเมริกาเผยว่าเครื่องบินของสายการบินพาณิชย์บางลำอาจเปราะบางสำหรับรับมือกับพวกแฮกเกอร์ ที่เจาะระบบผ่านเครือข่ายไร้สายบนเครื่องบิน

FBI

 

ซาอุฯ ทิ้งบอมบ์อีกหลังเยเมนรบหนัก โอบามาขู่ชัดห้ามอิหร่านหนุนกบฏฮูตี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 เมษายน 2558 22:21 น. (แก้ไขล่าสุด 23 เมษายน 2558 10:08 น.)



เอเจนซีส์ - เครื่องบินรบของพันธมิตรอาหรับที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย กลับเปิดการโจมตีครั้งใหม่ในเยเมนเมื่อวันพุธ (22 เม.ย.) ไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก ริยาด ประกาศยุติการปฏิบัติการทางอากาศของพวกตนที่ดำเนินมาได้ 4 สัปดาห์ ท่ามกลางการสู้รบภาคพื้นดินซึ่งปะทุรุนแรงขึ้น โดยที่ฝ่ายกบฎได้เข้ายึดที่มั่นสำคัญในเมืองใหญ่อันดับ 3 ของเยเมน ขณะที่ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ในวันอังคาร (21) เตือนอิหร่านด้วยถ้อยคำชัดเจนที่สุดให้ยุติการส่งอาวุธแก่พวกกบฏฮูตี

พันธมิตรอาหรับที่นำโดยซาอุดีอาระเบียเคยระบุไว้แล้วว่า ยังคงเตรียมพร้อมเพื่อทำการตอบโต้ต่อการรุกคืบใดๆ ของพวกกบฏฮูตีและพันธมิตร ถึงแม้ตั้งแต่เวลา 00.00 น.วันพุธ จะยุติการโจมตีทิ้งระเบิดในเยเมนที่ดำเนินมาตลอด 4 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าการสู้รบภาคพื้นดินระหว่างพวกกบฎ กับกองกำลังที่ภักดีต่อประธานาธิบดีอเบดรับโบ มันซูร์ ฮาดี ซึ่งเวลานี้ต้องหลบไปลี้ภัยอยู่ในซาอุดีอาระเบีย กลับปะทุรุนแรงขึ้นในสมรภูมิชิงเมืองสำคัญๆ หลายแห่ง รวมทั้งในเมืองเอเดน เมืองท่าสำคัญที่เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของเยเมน และที่เมืองตาเอซ เมืองใหญ่อันดับ 3 จึงเป็นการดับความหวังในการเปิดเจรจาสันติภาพขึ้นมาใหม่

ในเมืองตาเอซ พวกกบฏได้ฉวยประโยชน์ตอนที่การถล่มทางอากาศซาลงไป บุกเข้ายึดกองบัญชาการของกองพลน้อยยานเกราะที่ 35 ซึ่งภักดีต่อฮาดี หลังจากที่พวกเขาเข้าปิดล้อมมาเป็นเวลาเกือบ 1 สัปดาห์แล้ว ทั้งนี้ตามการเปิดเผยองนายทหารบกผู้หนึ่งต่อสำนักข่าวเอเอฟพี

จากนั้นพันธมิตรที่นำโดยซาอุดีอาระเบียจึงได้กลับมาโจมตีทางอากาศใส่ที่มั่นต่างๆ ของพวกกบฏภายในค่ายที่พวกเขายึดไป ตลอดจนตามบริเวณอื่นๆ ในเมืองตาเอซ นายทหารผู้นี้บอกและระบุว่า การสู้รบทำให้มีผู้ล้มตายและบาดเจ็บหลายสิบคน

องค์การอนามัยโลก (ฮู) ระบุว่า นับตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม มีประชาชนในเยเมนถูกสังหารไปอย่างน้อย 944 คนแล้ว และมีเสียงเรียกร้องจากทั้งสองฝ่ายให้เร่งรีบส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปให้โดยด่วน

ตอนที่ริยาดประกาศระงับการโจมตีทางอากาศตั้งแต่ 00.00 น.วันพุธนั้น ได้ระบุว่าการเปิดปฏิบัติการทางอากาศของพันธมิตรอาหรับซึ่งเริ่มขึ้นในวันที่ 26 มีนาคม ตอนที่พวกกบฏรุกเข้าใกล้สถานที่หลบภัยสุดท้ายของฮาดีในเมืองเอเดนนั้น ได้ประสบความสำเร็จแล้วในการกำจัดภัยคุกคามที่มีต่อซาอุดีอาระเบียและชาติเพื่อนบ้าน จากสมรรถนะทางอากาศและทางด้านขีปนาวุธของพวกกบฏ

กระนั้น กองกำลังกบฏยังคงสามารถควบคุมเมืองหลวงซานา และพื้นที่อื่นๆ ของประเทศเป็นบริเวณกว้าง แต่ริยาดระบุว่าเวลานี้การปฏิบัติการของพันธมิตรของตนจะก้าวเข้าสู่ขั้นตอนใหม่ซึ่งเป็นขั้นตอนทางการเมือง โดยมุ่งเน้นที่การฟื้นฟูการเจรจาสันตภาพ, การส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และ “การสู้รบกับพวกผู้ก่อการร้าย”

ทั้งนี้ พวกอัลกออิดะห์สาขาเยเมนซึ่งวอชิงตันเคยระบุว่าเป็นกลุ่มที่มีอันตรายมากที่สุดนั้น ได้ฉวยโอกาสที่ฝ่ายอื่นๆ ทำศึกกันอยู่ เข้ายึดครองจังหวัดฮาดรามาว์ต ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเยเมน ให้เหนียวแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น

หลังจากที่ซาอุดีอาระเบียประกาศหยุดการทิ้งระเบิด แต่ยังไม่ได้เริ่มเปิดการถล่มอีกรอบนั้น ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ให้สัมภาษณ์รายการ “ฮาร์ดบอลล์” ของเอ็มเอสเอ็นบีซีเมื่อวันอังคาร โดยกล่าวว่า วอชิงตัน “ส่งข้อความที่ชัดเจนมาก” ถึงเตหะรานเกี่ยวกับวิกฤตเยเมน

“ขณะนี้ กองเรืออิหร่านอยู่ในน่านน้ำสากล และนี่คือเหตุผลที่เราต้องคงเรือรบบางส่วนไว้ในอ่าวเปอร์เซียเพื่อให้มั่นใจว่า เราสามารถปกป้องเสรีภาพในการเดินเรือได้

“ข้อความที่เราส่งถึงเตหะรานก็คือ หากมีการส่งอาวุธให้กลุ่มต่างๆ ในเยเมนซึ่งอาจคุกคามเสรีภาพในการเดินเรือ เราถือว่านั่นคือปัญหา” ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำ

วันเดียวกัน พันเอกสตีฟ วอร์เรน โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ปฏิเสธรายงานที่ว่า อเมริกาส่งเรือบรรทุกเครื่องบินธีโอดอร์ รูสเวลต์ และเรือลาดตระเวนยูเอสเอส นอร์มังดี ไปยังน่านน้ำใกล้เยเมนเพื่อดักตรวจเรืออิหร่านที่ขนอาวุธไปให้กบฏฮูตีในเยเมน และกองกำลังที่ภักดีต่ออดีตผู้นำเยเมน

วอร์เรนกล่าวว่า ไม่เชื่อว่า เรือของกองทัพเรือสหรัฐฯ จะทำการติดต่อโดยตรงกับกองเรือที่ประกอบด้วยเรือสินค้า 9 ลำของอิหร่าน และว่า วอชิงตันไม่ทราบว่า เรือเหล่านั้นบรรทุกอะไร แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะระบุอย่างชัดเจนว่า เรือรบอเมริกันจะสกัดและขอตรวจค้นหรือไม่ หากเรือเหล่านั้นพยายามเข้าสู่น่านน้ำเยเมน

ในส่วนของอิหร่านนั้น ได้ออกมาเรียกร้องเมื่อวันพุธ (22) ให้ทุกฝ่ายในเยเมนเริ่มการเจรจา

ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานีแห่งอิหร่าน กล่าวในงานประชุมสุดยอดเอเชีย-แอฟริกาที่กรุงจาการ์ตาโดยแสดงความเชื่อมั่นว่า สันติภาพระยะยาวมีโอกาสเป็นไปได้หลังจากที่ริยาดยอมยุติการถล่มกบฏฮูตีที่นับถือนิกายชีอะต์เช่นเดียวกับเตหะราน และมีการจัดเตรียมการเจรจาในบรรดากลุ่มการเมืองต่างๆ ในเยเมน

โมฮัมหมัด จาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน แสดงความยินดีต่อการตัดสินใจของริยาด และเรียกร้องให้เร่งเปิดเจรจา รวมถึงจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ในเยเมน และการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมโดยเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม การหยุดทิ้งระเบิดของพันธมิตรนำโดยซาอุดีอาระเบีย ดำเนินไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็กลับเปิดฉากขึ้นมาใหม่

 

ออสซีประกาศภัยพิบัติหลังเจอพายุไซโคลนถล่ม 3 วันติด ตายแล้ว 4 ศพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 เมษายน 2558 23:32 น. (แก้ไขล่าสุด 23 เมษายน 2558 09:57 น.)



รอยเตอร์ - ออสเตรเลียประกาศภัยพิบัติตามแนวชายฝั่งทางตะวันออกของประเทศในวันพุธ (22 เม.ย.) หลังถูกพายุโซโคลนซัดถล่มมา 3 วันติด ทำลายบ้านเรือนหลายหลัง ที่อยู่อาศัยมากกว่า 200,000 หลังถูกตัดขาดจากไฟฟ้า และก่อความเสียหายแก่ซิดนีย์และเมืองอื่นๆคิดเป็นมูลค่าหลายล้านดอลลาร์

https://youtu.be/YpB98WTdV2k

https://youtu.be/yYhd277u1OQ

https://youtu.be/NKt_qZYfifE

ตำรวจเปิดเผยว่า พบหญิงชราวัย 86 ปี เสียชีวิตในเขตเซ็นทรัลฮันเตอร์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ หลังรถยนต์ของเธอถูกซัดลอยไปตามกระแสน้ำ ส่งผลให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตจากพายุลูกนี้เพิ่มเป็น 4 ราย นอกจากนี้แล้วยังมีคนพบเห็นรถยนต์ถูกกระแสน้ำซัดอีก 2 คัน แต่ทีมประดาน้ำเจอแต่ยานพาหนะและไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีเหยื่อเพิ่มเติม

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาเตือนว่า กระแสพายุลูกสองกำลังก่อตัวในทะเลทางเหนือของซิดนีย์ โดยนำพาลมกำลังแรงสูงสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และลมกระโชกแรงเข้ากระทบชายฝั่ง ทั้งนี้เที่ยวบินนานาชาติทั้งขาเข้าและออกเมืองแห่งนี้ต้องปรับเปลี่ยนไปยังที่อื่น ส่วนท่าเรือนิวคาสเซิล จุดส่งออกถ่านหินขนาดใหญ่สุดของโลกก็จำเป็นต้องปิดบริการ

“เรายังคงมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในอีกหลายชั่วโมงข้างหน้า ในระหว่างที่รูปแบบสภาพอากาศเช่นนี้กำลังเคลื่อนผ่านไป” ไมค์ แบร์ด มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์กล่าว “มันยังอันตรายมาก เรายังคงเห็นลมพัดแรง ฝนกระหน่ำและน้ำไหลบ่า”

ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน พบผู้เสียชีวิต 3 ราย เป็นชาย 2 คน และหญิง 1 คน ในเมืองดันก็อก ห่างจากซิดนีย์ ไปทางเหนือราว 200 กิโลเมตร โดยสื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าทั้งหมดเป็นคนชราและติดอยู่ภายในบ้านระหว่างระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น

ศูนย์ฉุกเฉินของรัฐเผยว่า ยังมีผู้สูญหายอีก 3 ราย ใกล้กับเมืองเมทแลนด์ ห่างจากซิดนีย์ไปทางเหนือราว 165 กิโลเมตร หลังจากรถยนต์ของพวกเขาถูกซัดไหลไปตามกระแสน้ำ ขณะที่บันทึกวิดีโอที่ถ่ายโดยมือสมัครเล่นพบเห็นบ้านหลังหนึ่งในเมืองดันก็อกถูกกระแสน้ำซัดลอยไปทั่วเมือง

สภาประกันภัยของออสเตรเลียประกาศภัยพิบัติพายุเมื่อวันพุธ (22 เม.ย.) เพื่ออนุมัติเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์สำหรับผู้ขอเคลมประกันหลายพันคน “ไม่มีข้อสงสัยว่ามันจะได้รับการประกาศเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ และแน่นอนว่าเราต้องการเข้าสู่งานฟื้นฟูโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” แบร์ดกล่าว

กำลังลมสูงสุดซึ่งอยู่ที่ 135 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และภาวะฝนตกหนักทั่วรัฐ ขุดรากถอนโคนต้นไม้ บางส่วนล้มทับรถยนต์และทำเสาไฟฟ้าหักโค่น เครือข่ายการขนส่งได้รับผลกระทบ โดยสถานีรถไฟและท้องถนนถูกน้ำท่วม และสัญญาณจราจรใช้การไม่ได้ ทั้งนี้เกิดไฟดับที่โรงพยาบาล 3 แห่ง ทำให้ต้องพึ่งพาเครื่องปั่นไฟและโรงเรียนหลายร้อยแห่งต้องปิดการเรียนการสอน

 

กลุ่มติดอาวุธตอนใต้ของเยเมนลั่น! จะสู้กับกบฏฮูตีต่อ แม้ซาอุฯ ประกาศหยุดโจมตี โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 เมษายน 2558 16:09 น. (แก้ไขล่าสุด 23 เมษายน 2558 09:39 น.)



รอยเตอร์ - กลุ่มติดอาวุธในตอนใต้ของเยเมน กล่าวเมื่อช่วงค่ำวานนี้ (21 เม.ย.) ว่า พวกเขาจะต่อสู้กับกลุ่มกบฏฮูตีที่มีอิหร่านหนุนหลังอยู่ต่อไป จนกว่าพวกเขาจะผลักดับกบฏกลุ่มดังกล่าวออกจากภูมิภาคนี้ได้ แม้ว่าซาอุดีอาระเบียออกมาประกาศแล้วว่าจะยุติการโจมตีทางอากาศต่อกบฏกลุ่มนี้

กบฏฮูตีและนักรบติดอาวุธปะทะกันบริเวณถนนหลายสายของเมืองเอเดนทางตอนใต้เกือบตลอดคืนวานนี้ (21) ภายหลังการประกาศดังกล่าวของซาอุดีอาระเบีย ชาวบ้านท้องถิ่นบอกกับรอยเตอร์

“การยุติปฏิบัติการพายุแห่งความแน่วแน่ (Operation Decisive Storm) ที่นำโดยซาอุดีอาระเบียไม่ได้หมายความว่าการต่อต้านในตอนใต้จะต้องยุติปฏิบัติการภาคพื้นลงด้วย” ถ้อยแถลงของกลุ่มทางตอนใต้กลุ่มนี้ ระบุ

“แนวรบนี้จะไม่ยุติการต่อสู้ จนกว่าทั่วทั้งตอนใต้จะปราศจากกลุ่มฮูตีและกองกำลังฝักใฝ่ ซาเลห์ อย่างสมบูรณ์” ถ้อยแถลงของกลุ่มนี้ระบุ

ขบวนการต่อต้านในตอนใต้นี้รวมพลเรือนตอนใต้, อดีตเจ้าหน้ากองทัพ และสมาชิกของขบวนการแบ่งแยกดินแดนตอนใต้ เฮรอค เป็นกลุ่มเดียวกันเพื่อต่อต้านพวกฮูตี ซึ่งกำลังต่อสู้ร่วมกับกองทหารที่ภักดีต่ออดีตประธานาธิบดี อาลี อัลดุลเลาะห์ ซาเลห์ ของเยเมน

ซาอุดีอาระเบียประกาศเมื่อวานนี้ (21) ว่า กำลังยุติปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มฮูตี ที่ยึดได้พื้นที่ได้กว้างขวางในเยเมน และระบุว่า จะสนับสนุนการแก้หาทางออกทางการเมืองเพื่อนำสันติภาพคืนสู่ชาติเพื่อนบ้านที่ยับเยินจากสงครามแห่งนี้

ซาอุดีอาระเบียระบุว่า ช่วงระยะใหม่นี้ที่เรียกว่า “ปฏิบัติการฟื้นคืนความหวัง” ในตอนนี้จะเริ่มต้นขึ้นด้วยการที่มาตรการทางการเมือง, ทางการทูต และการทหารจะถูกผสานเข้าด้วยกัน แต่จุดสำคัญหลักจะอยู่ที่กระบวนการทางการเมือง

ชาวเมืองเอเดนคนหนึ่งระบุว่า การประกาศดังกล่าวของซาอุดีอาระเบียทำให้คนท้องถิ่นเกิดความสับสน

“เราไม่รู้ว่าเป้าหมายของการตัดสินใจเช่นนี้คืออะไร” มาเร็ค อัล ฮอว์ลาบี กล่าว “ซาอุดีอาระเบียบอกว่า ได้ทำให้พรมแดนของตนปลอดภัยแล้ว และยุติปฏิบัติการของตนแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเขายอมทิ้งเมืองเอเดนและตอนใต้แล้วหรือเปล่า หรือเราจะอธิบายเกี่ยวกับการตัดสินใจนี้อย่างไร”

 

รถไฟเยอรมนีโดนคนขับหยุดงานประท้วง อัมพาตไปกว่าครึ่ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 เมษายน 2558 20:55 น. (แก้ไขล่าสุด 23 เมษายน 2558 09:48 น.)



เอเอฟพี - ดอยช์ บาห์น บริษัทผู้ให้บริการรถไฟของเยอรมนีเปิดเผยในวันพุธ (22 เม.ย.) ว่าการเริ่มต้นหยุดงานประท้วงครั้งใหม่ที่จะกินเวลา 43 ชั่วโมงของบรรดาคนขับรถไฟในประเทศได้ทำให้บริการรถไฟจำนวนมากทั่วประเทศต้องชะงักและถูกยกเลิก

คำแถลงของบริษัทระบุว่า 2 ใน 3 ของบรรดาขบวนรถไฟทางไกล ประมาณ 40-85 เปอร์เซ็นต์ของการเดินรถในพื้นที่ กับอีกประมาณครึ่งหนึ่งของบริการรถไฟขนส่งสินค้าต้องถูกยกเลิกในวันพุธ

การสไตรก์ครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งที่ 7 แล้วในรอบ 10 เดือน ได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 02.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยมุ่งเป้าให้เกิดผลกระทบในหลายเมือง อย่างเช่น เบอร์ลิน พอตสดัม ฮาลเล แฟรง์เฟิร์ต มานไฮม์ ฯลฯ

การหยุดงานประท้วงถูกกำหนดไว้ว่าจะมีไปจนถึงช่วงค่ำวันพฤหัสบดี สำหรับรถไฟโดยสาร ส่วนรถไฟขนส่งสินค้าจะหยุดไปถึงเช้าวันศุกร์

ดอยช์บาห์นระบุว่า ได้จัดตั้งโทรศัพท์สายด่วนพิเศษเพื่อคอยตอบคำถามจากผู้โดยสาร ที่อยากจะขอเปลี่ยนตั๋วหรือจะขอรับเงินค่าตั๋วคืน

สหพันธ์อุตสาหกรรมบีดีไอได้กล่าวหาว่าสหภาพแรงงานคนขับรถไฟจีดีแอลนั้นได้สูญเสียจิตสำนึกของการแยกแยะ พร้อมทั้งบอกด้วยว่าการหยุดงานประท้วงอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจเยอรมันได้ถึง 100 ล้านยูโรต่อวัน

จีดีแอลขัดแย้งกับฝ่ายบริหารรถไฟมาหลายเดือนแล้ว ทั้งเรื่องของการให้มีตัวแทนลูกจ้างเข้าไปมีบทบาท รวมถึงเรื่องค่าแรงและชั่วโมงทำงาน

หลังจากมีการหยุดงานประท้วงหลายครั้งช่วงก่อนคริสต์มาส ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายสหภาพแรงงานกับฝ่ายบริหารดูจะแผ่วลงไปในช่วงต้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้จีดีแอลได้ออกมากล่าวหาว่าฝ่ายบริหารไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้อง นำมาซึ่งการสไตรก์รอบใหม่

ดอยช์บาห์นได้ตราหน้าการสไตรก์รอบใหม่นี้ว่า เป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้จีดีแอลกลับมาร่วมโต๊ะเจรจากันอีกครั้ง

“เราต้องการหาทางออก เราอยากให้ความสงบกลับคืนมาสู่บริษัท” เจ้าหน้าที่ของดอยช์บาห์น กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น

ดอยช์บาห์นมีลูกจ้างอยู่ราว 3 แสนคน ในจำนวนนี้มี 196,000 คนอยู่ในเยอรมนีคอยให้บริการแก่ผู้โดยสารประมาณ 5.5 ล้านคนต่อวันที่เยอรมัน

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000046215

 

“บิ๊กต๊อก” สรุปมีรายชื่อ ขรก.ส่อโกง 198 ราย รับบางกลุ่มต้องใช้ ม.44 ฟัน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 เมษายน 2558 19:17 น. (แก้ไขล่าสุด 22 เมษายน 2558 22:43 น.)



@พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม

“บิ๊กต๊อก” สรุปมีรายชื่อ ขรก. ส่อโกง 198 รายชื่อ เผย สั่งถอด 5 ขรก.ยุติธรรม สังกัด “ราชทัณฑ์ - ดีเอสไอ” แล้ว ยอมรับบางกลุ่มต้องใช้ ม.44 จัดการ ระบุ “วิษณุ” ตรวจรายชื่อครั้งสุดท้ายก่อนชง เจ้ากระทรวงฟัน ด้าน “บิ๊กป๊อก” รับมี ขรก. มหาดไทย 118 คน ส่อทุจริต เผย ซี 10 ขึ้นไป 3 - 4 ราย จ่อฟันหาก ปลัดฯสอบพบผิดจริง ลงโทษทันที เล็งชง นายกฯใช้ ม.44 จัดการ “ขรก. ส่อทุจริต” ทุกระดับ

วันนี้ (22 เม.ย.) ที่กระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวระหว่างแถลงผลงาน 6 เดือน ตอนหนึ่งว่า การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) โดยดำเนินการภายใต้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) โดยร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ป.ป.ท. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

กรณีที่ ศอตช. ได้รวบรวมรายชื่อข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต คอร์รัปชัน จำนวน 198 รายชื่อ ในส่วนของกระทรวงยุติธรรม มีข้าราชการที่มีชื่อในจำนวนดังกล่าว 5 รายชื่อ เป็นข้าราชการสังกัดจากกรมราชทัณฑ์และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งในจำนวนดังกล่าว มีรายชื่อที่ถูกชี้มูลแล้วประมาณ 2 - 3 ราย โดยตนสั่งการให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งหน้าที่แล้ว รายชื่อที่มีอยู่ทั้งหมด 198 รายชื่อนั้น มีทั้งที่ชี้มูลและยังไม่ได้ชี้มูลความผิด ส่วนกลุ่มที่ต้องใช้กฎหมาย มาตรา 44 ในการดำเนินการ

“ในวันนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้ตรวจสอบรายชื่อเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเอารายชื่อแนบท้ายก่อนประกาศใช้ มาตรา 44 ส่วนอีกกลุ่มก็จะให้ทางรัฐมนตรีของแต่ละกระทรวง ดำเนินการตามกฎระเบียบ อย่างไรก็ตาม ผมได้ทราบรายชื่อจากนายกรัฐมนตรี gนื่องจากเมื่อวันที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ซึ่งในที่ประชุมได้มีการแจกรายชื่อให้กับคณะกรรมการ เพื่อทำการแบ่งรายชื่อแต่ของละหน่วย เพื่อแยกหน่วยงานและพฤติการณ์ในการกระทำความผิด ซึ่งก่อนหน้านี้ยืนยันว่าไม่เคยทราบรายชื่อมาก่อนว่ามีใครบ้าง”

ที่กระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เตรียมใช้มาตรา 44 ในการดำเนินการกับข้าราชการทุจริตว่า ขณะนี้นายกฯได้ส่งรายชื่อมายังตนส่วนหนึ่งแล้ว กำลังตรวจสอบว่า ดำเนินการตามกฎหมายไปถึงขั้นใดแล้ว ถ้ามีแนวโน้มไปในทางที่ทุจริตอย่างแน่นอน ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยตนก็จะสามารถดำเนินการตามกฎหมายได้ ถ้ามีมูล แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นนั้น ก็จะแจ้งนายกฯว่า สอบสวนแล้ว น่าจะมีมูลความผิด ก็จะเรียนถามท่านว่า จะใช้กฎหมายอื่นหรือไม่อย่างไร

“ได้รับรายชื่อจากนายกรัฐมนตรีจำนวนทั้งหมด 118 ราย ได้แก่ ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย 115 ราย กรุงเทพมหานคร 3 ราย มีข้าราชการประจำและข้าราชการท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับ 10 ขึ้นไป 3 - 4 ราย” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

กรณีนี้ สังคมกำลังจับจ้องไปที่การใช้มาตรา 44 ของนายกฯ ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยเองจะมีความชัดเจนอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เดี๋ยวคงจะมีความชัดเจน เพราะตนได้รายชื่อแล้วก็แจ้งทางปลัดกระทรวงมหาดไทยพิจารณาว่า มีการดำเนินการตามกฎหมาย สืบสวน สอบสวน ไปถึงขั้นตอนใด แล้วให้แจ้งมา

“ผมอธิบายหลายครั้งแล้ว ถ้าชี้มูล มีมูล ผมก็สั่งดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการพักราชการ หรือให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ ผมทำได้ แต่ให้มันถึงทางกฎหมายก่อน ถ้าไม่ถึง ผมก็จะไปเรียนท่านนายกฯว่า จะทำอย่างไรต่อไป” รมว.มหาดไทย กล่าว

สำหรับการเปิดตำแหน่งรองรับในกรณีดังกล่าวนั้น ถ้าตำแหน่งเท่าเทียมกัน ก็ต้องเอาคนที่เท่าเทียมกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจะนำผู้ว่าราชการจังหวัดไปเข้ามาก็ต้องเอาผู้ตรวจราชการกระทรวงออกไป ถ้าผู้ตรวจฯไม่มี ก็ต้องแจ้งนายกฯว่า ถ้าจะต้องเปิดตำแหน่งก็ต้องเปิด โดยไม่ต้องใช้มาตรา 44 ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ตนเคยเสนอขอเปิดตำแหน่งกับทางสำนักคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ไปแล้ว แต่เขาไม่ค่อยเห็นด้วย

เมื่อถามอีกว่า ทางออกจะเป็นอย่างไร ถ้าชี้มูลแล้วมีการย้าย ก็เหมือนกับแค่สลับตำแหน่งก็ยังเหมือนเดิม พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ให้สำรวจออกมาก่อน ให้ได้ข้อมูลก่อน แล้วจึงแจ้งนายกฯว่า ถ้าออกมาในลักษณะนี้จะทำอย่างไร จะใช้กฎหมายพิเศษหรือไม่ ก็ต้องมีข้อมูลให้นายกฯก่อน

ด้าน นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงรายชื่อข้าราชการ 118 ราย ว่า รายชื่อที่ส่งมา ยังไม่ระบุความผิดในคดีเพียงแต่แจ้งมาว่า มีรายใดบ้าง อยู่กรมใด

 

"บิ๊กต๊อก"เผย198ขรก.เอี่ยวโกง ยธ.ฟันแล้ว5ราย ทั้งดีเอสไอ-ราชทัณฑ์ มท.1จ่อเชือด118ราย วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 12:31:00 น.



เมื่อวันที่ 22 เมษายน ที่กระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม (ยธ.) กล่าวว่า จากกรณีที่ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) รวบรวมรายชื่อข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต 198 ราย ในส่วนของ ยธ.มี 5 ราย สังกัดกรมราชทัณฑ์และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้มูลแล้ว 2-3 ราย สั่งให้ออกจากตำแหน่งแล้ว

"198 รายชื่อนั้นมีทั้งที่ชี้มูลและยังไม่ได้ชี้มูลความผิด โดยกลุ่มที่ต้องใช้กฎหมาย มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในการดำเนินการ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯจะตรวจสอบรายชื่อครั้งสุดท้าย เพื่อเอารายชื่อแนบท้ายก่อนประกาศใช้มาตรา 44 ส่วนอีกกลุ่มจะให้รัฐมนตรีของแต่ละกระทรวงดำเนินการตามกฎระเบียบ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) เมื่อวันที่ 21 เมษายน แจกรายชื่อให้แล้วเพื่อแยกหน่วยงานและพฤติการณ์ในการกระทำความผิด" พล.อ.ไพบูลย์กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า ข้าราชการ ยธ. 5 ราย ในส่วนดีเอสไอมี 3 ราย คือ 1.นายไชยวัฒน์ เชยเล็ก 2.นายณัฐนัย สุทธิคณะ และ 3.จ่าสิบเอก ไกรพล แท่งทอง พบพฤติการณ์เรียกรับเงินเพื่อละเว้นการจับกุมกระเป๋าละเมิดเครื่องหมายการค้า พล.อ.ไพบูลย์สั่งให้ออกจากราชการแล้ว ส่วนกรมราชทัณฑ์ 2 ราย คือ 1.นายวชิรศักดิ์ สุขหนองบึง และ 2.นายธนะ ขาวอ่อน

ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า หลังได้รับรายชื่อ 118 ราย (ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย 115 ราย และ กทม. 3 ราย) จากนายกฯ จึงสั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยตรวจสอบเพื่อเร่งรัดดำเนินการ โดยมีทั้งข้าราชการประจำและข้าราชการท้องถิ่น ในจำนวนนี้ 3-4 รายเป็นผู้บริหารระดับ 10 ขึ้นไป

"หากผลการตรวจสอบเป็นที่สุดจะดำเนินการเอาผิดทางวินัยด้วยโทษสูงสุดอยู่แล้ว แต่หากกระบวนการตรวจสอบยังไม่สิ้นสุดจะเสนอนายกฯพิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา 44 จัดการกับคนเหล่านี้ เพราะเคยทำเรื่องไปยังสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพื่อขอตำแหน่งให้กลุ่มคนดังกล่าว แต่ ก.พ.ไม่อนุมัติ จึงต้องใช้อำนาจของนายกฯจัดการ" พล.อ.อนุพงษ์กล่าว

นพ.กำจร ตติยกวี ปลัด ศธ. กล่าวว่า พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) นัดกรรมการใหม่ทั้ง 3 องค์กร คือคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการแลสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) คุรุสภา และองค์การค้าฯหารือวันที่ 24 เมษายน ส่วนกรณีการก่อสร้างอาคารพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ 360 ล้านบาทของ สกสค.ผลออกมามีมูลที่ส่อไปในทางทุจริต ขณะที่องค์การค้าฯมีข้อร้องเรียน อาทิ การเช่าแท่นพิมพ์ พิมพ์แบบเรียนในราคาที่สูงเกินจริง ส่วนคุรุสภามีปัญหาร้องเรียนการเรียกรับเงินในการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการคุรุสภาจังหวัด

วันเดียวกัน นายปรีชา เลิศกมลมาศ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนกรณีกล่าวหานายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่ำรวยผิดปกติ กล่าวว่า ที่ประชุมอนุกรรมการมีมติให้ขยายเวลาการเข้าชี้แจงของนายธาริตออกไปอีก 30 วัน จะครบในวันที่ 19 พฤษภาคม

(ที่มา:มติชนรายวัน 23 เมษายน 2558)

"บิ๊กต๊อก"เผย198ขรก.เอี่ยวโกง ยธ.ฟันแล้ว5ราย ทั้งดีเอสไอ-ราชทัณฑ์ มท.1จ่อเชือด118ราย : มติชนออนไ

 

In Pics &Clips : 1 ใน 6 ตำรวจบัลติมอร์ทำ “หนุ่มผิวสีวัย 25 คอหักตาย” ในระหว่างจับ เคยมีประวัติทำร้ายบุคคลใกล้ชิด หลังสีกากีแอริโซนา “ขับรถสายตรวจพุ่งเสียบ” ผิวสีข้างทาง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 เมษายน 2558 18:27 น.



เอเจนซีส์/รอยเตอร์/เอเอฟพี - ร้อยตำรวจโท ไบรแอน ไรซ์ (Brian Rice) วัย 41 ปี 1 ใน 6 เจ้าหน้าที่ตำรวจบัลติมอร์ที่เป็นต้นเหตุทำให้ เฟรดดี เกรย์ (Freddie Gray) หนุ่มแอฟริกันอเมริกันวัย 25 ปี เสียชีวิตจากสาเหตุคอหักในวันอาทิตย์(19) 1 สัปดาห์หลังจากที่ถูกจับกุมก่อนหน้านั้น เคยมีประวัติในคดีทำร้ายบุคคลใกล้ชิดถึง 2 ครั้ง ในเหตุการณ์การเสียชีวิตล่าสุดของแอฟริกันอเมริกันจากน้ำมือของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์สหรัฐฯ หลังจากที่ก่อนหน้านั้นมีคดีตำรวจขับรถพุ่งชนผู้ต้องสงสัยผิวสีจนกระเด็น รวมไปถึงผู้ช่วยตำรวจ อดีตผู้ช่วยนายอำเภอวัย 73 ปีสำคัญผิดหยิบปืนยิงผู้ต้องสงสัยผิวสีที่กำลังจับกุมแทนที่จะเป็นที่ช็อตไฟฟ้า และชาวอินเดียแดงวัย 57 ปี หนัก 59 กก.ถูกจับทุ่มกับพื้นหลังให้ปากคำเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้

เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษรายงานวันนี้(22)ว่า ในเหตุการณ์ความรุนแรงล่าสุดของตำรวจสหรัฐฯที่กระทำต่อชนผิวสีในอเมริกา พบว่า 1 ใน 6 ของเจ้าหน้าที่ตำรวจบัลติมอร์ที่เป็นต้นเหตุทำให้เฟรดดี เกรย์ (Freddie Gray) หนุ่มแอฟริกันอเมริกันวัย 25 ปี เสียชีวิตเพราะกระดูกต้นคอหักในวันอาทิตย์(19)นั้น ร้อยตำรวจโท ไบรแอน ไรซ์ (Brian Rice) วัย 41 ปี เคยมีประวัติถูกกล่าวหาทำร้ายร่างกายคนในครอบครัวในปี 2008 และ 2013 และยังได้รับคำสั่งศาลแพ่งรัฐแมรีแลนด์ห้ามเข้าใกล้คู่กรณีชั่วคราวเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ซึ่งไรซ์ถูกสั่งห้ามไม่ให้ระราน ติดต่อ เดินทางไปที่บ้านหรือที่ทำงานของคู่กรณีคดีที่ 2 ที่นำเขาขึ้นสู่ศาล

หัวหน้าตำรวจบัลติมอร์แถลงในวันอังคาร(21)พบว่า ไรซ์เป็น 1 ใน 6 เจ้าหน้าที่ตำรวจบัลติมอร์ ที่ทำให้เกรย์เสียชีวิตด้วยสาเหตุจากคอหักหลังจากการจับกุมด้วยการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ เพียงเพราะแค่ชายหนุ่มผิวสีได้สบตากับไรซ์และวิ่งหนีไปในวันที่ 12 เมษายน 2015 ซึ่งจากผลการชันสูติที่ได้รับการเปิดเผยจากทนายความของครอบครัวผู้เสียชีวิตระบุว่า " 80 % ของอวัยวะคอของเกรย์ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นหัก ที่มีข้อกระดูคอสันหลัง 3 ข้อหัก และกล่องเสียงของหนุ่มแอฟริกันวัย 25 ปีเกือบถูกทำลายหมด"

เดอะการ์เดียนรายงานว่า จากข้อมูลของศาลรัฐแมรีแลนด์พบว่า ผู้พิพากษาศาลบัลติมอร์เคาน์ตีปฎิเสธคำขอคำสั่งคุ้มครองในเดือนเมษายน 2008 โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีมูลเหตุทำให้ต้องอนุญาต และเจ้าหน้าที่ศาลในแคร์โรล เคาน์ตี (Carroll County) เปิดเผยว่า ในคดีที่ 2 มีคำขอคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินในเดือนมกราคม 2013 แต่ทว่าได้รับการปฎิเสธจากศาลเช่นเดียวกัน

แต่ทว่าสื่ออังกฤษพบว่า ผู้พิพากษาอีกคนในศาลแคร์โรล เคาน์ตีได้ทำการยกเลิกคำสั่ง “ห้ามคู่กรณีเข้าใกล้” ตามกฎหมายของรัฐแมรีแลนด์ที่ก่อนหน้านั้นผู้พิพากษาท่านนี้ได้มีคำสั่งบังคับใช้เป็นเวลา 1 สัปดาห์ในเดือนมกราคม 2013 ตามคำขอของการยื่นฟ้องของโจทย์คนที่ 2

ซึ่งสื่ออังกฤษชี้ว่า ถึงแม้คำสั่งศาลสหรัฐฯจะชี้ว่า “ไม่มีเหตุผลอันควร” แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีมูลเหตุแต่อย่างใด เป็นเพียงแต่โจทย์ไม่สามารถทำให้ศาลเชื่อได้ว่า จะได้รับความเสียหายและลำบากมากเพียงใดหากไม่ได้รับการคุ้มครองจากศาล

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าโจทย์ยื่นฟ้องรายแรกที่เป็นสตรีปฎิเสธที่จะให้ข้อมูลกับเดอะการ์เดียนในคดีทำร้ายร่างกาย เธอกล่าวเพียงว่า “ไบรอันเป็นคนดี” ในขณะที่โจทย์รายที่สองไม่ประสงค์ที่จะให้ความเห็นแต่อย่างใด

ด้านคดีของเกรย์ ไรซ์ถูกประกาศชื่อเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทำให้เกรย์เสียชีวิตนอกจากเจ้าหน้าที่รายอื่นที่ถูกสั่งพักงานในขณะนี้ รวมไปถึง เอลิเชีย ไวท์ (Alicia White) วัย 30 ปี วิลเลียม พอร์เตอร์ (William Porter) วัย 25 ปี การ์เร็ตต์ มิลเลอร์ (Garrett Miller) วัย 26 ปี เอ็ดเวิร์ด นีโร (Edward Nero) วัย 29 ปี และซีซาร์ กู๊ดสัน (Caesar Goodson) วัย 45 ปี

ทั้งนี้ไรซ์และเจ้าหน้าที่ทุกคนถูกกล่าวหาว่า ไล่ล่าตามเกรย์ที่วิ่งหนีไป และพบมีดพกอยู่ในกระเป๋าของเกรย์ ซึ่งเขาถูกตั้งข้อกล่าวหาพกอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาต และวิดีโอคลิปที่บันทึกจากโทรศัพทมือถือที่ถูกเผยแพร่ไปในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า เกรย์ถูกลากเข้าไปยังรถตู้ตำรวจ ซึ่งวิดีโอคลิปชิ้นนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าตำรวจที่กำลังทำการจับกุมเข้าปฐมพยาบาลชายผู้นี้แต่อย่างใด ซึ่งในขณะนั้นเกรย์ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือด้วยความเจ็บปวด และส่ายศรีษะไปมา และดูเหมือนว่าขาข้างหนึ่งของเขาจะแพลง

แต่ทว่าในคำฟ้องคดีพกพาอาวุธผิดกฎหมาย คำฟ้องกลับระบุว่าเกรย์ถูกจับกุมด้วยความละมุนละม่อม และต้องการความช่วยเหลือทางด้านการแพย์ฉุกเฉินในระหว่างมีการที่นำตัวเกรย์ไปยังรถเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของตำรวจชั้นสูงบัลติมอร์ที่อ้างว่า ตำรวจผู้ปฎิบัติการหน้าที่ทั้งหมดปฎิเสธ ไม่ได้ใช้กำลังเกิดกว่าเหตุในระหว่างการจับกุม

เมื่อวานนี้(21)กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ DOJ ประกาศที่จะสอบสวนละเมิดสิทธิมนุษยชนคดีเกรย์ ซึ่งคาดว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้นในวันที่ 1 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ และอัยการรัฐบัลติมอร์จะพิจารณาต่อว่าจะดำเนินการสั่งฟ้องหรือไม่

และ CNN สื่อสหรัฐฯรายงานเพิ่มเติมว่า การเสียชีวิตของเกรย์ทำให้มีการเดินประท้วงเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเฟรดี เกรย์ ซึ่งบรรดาผู้ประท้วงเดินขบวนไปยังสถานีตำรวจท้องถิ่นที่มีแบร์เออร์กั้นขวางไว้ มีผู้ประท้วงเป็นชาย 1 รายถูกจับกุมหลังข้ามแบร์ริเออร์เข้าไป แต่โดยรวมเป็นการประท้วงที่สงบ

ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ เอเอฟพีรายงานในวันที่ 15 เมษายนว่า กล้องจากรถตำรวจรัฐแอริโซนาแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่กำลังจะล้อมจับผู้ต้องสงสัยชายผิวสี มาริโอ วาเลนเซีย (Mario Valencia) ที่กำลังเดินบนทางเท้าในเมืองมารานา( Marana)พร้อมปืนไรเฟิลในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2015 แต่ทว่า Michael Rapiejko ตำรวจแอริโซนาที่อยู่ในรถสายตรวจกลับขับรถพุ่งชนด้วยความเร็วสูงจนร่างวาเลนเซียกระเด็นจนร่างลอย โชคดีที่ผู้ต้องสงสัยรอดชีวิตจากการถูกเข้าชนอย่างแรงนี้

และนอกจากนี้ความรุนแรงของตำรวจอเมริกายังเกิดขึ้นกับเอริค แฮร์ริส( Eric Harris) ผู้ต้องสงสัยผิวสีในปฎิบัติการล่อซื้ออาวุธผิดกฎหมาย และถูกโรเบิร์ต เบตส์( Robert Bates)อาสาสมัครผู้ช่วยตำรวจ อดีตผู้ช่วยนายอำเภอวัย 73ปี สำคัญผิดว่าปืนเป็นที่ช็อตไฟฟ้า ยิงแฮร์ริสเสียชีวิตในวันที่ 2 เมษายน 2015 ที่ทูลซา เคาน์ตี รัฐโอกลาโฮมา และต่อมาอดีตผู้ช่วยนายอำเภอผิวขาวถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา

นอกจากนี้เมื่อวานนี้(21) รอยเตอร์ยังรายงานถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับ Sureshbhai Patel ชายชาวอเมริกันพื้นเมืองวัย 57 ปีว่าเอริค พาร์คเกอร์ (Eric Parker )ตำรวจประจำเมืองเมดิสัน รัฐแอละแบมา ได้ปฎิเสธไม่ยอมรับความผิดในข้อกล่าวหาละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของ Patel ในวันอังคาร(21) ด้วยการทุ่มชายที่ไร้ทางสู้น้ำหนักเพียง 59 กก.นี้ลงกับพื้นในระหว่างการจับกุมหลังจากชายผู้นี้ไม่สามารถให้ปากคำเป็นภาษาอังกฤษได้ บริเวณทางเท้าบริเวณหน้าบ้านของบุตรชายทางเหนือของรัฐแอละแบมาในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ล่าสุด หลังจากเพื่อนบ้านของบุตรชายสังเกตุเห็นชายสูงอายุชาวอินเดียแดงแปลกหน้าสวมหมวกไหมพรมด้อมๆมองบริเวณโรงรถของบ้านในละแวกนั้น

และเป็นผลทำให้ Patel ที่ไม่มีประกันสุขภาพถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในสภาพบาดเจ็บสาหัส และอาจต้องตกอยู่ในสภาพอัมพาตบางส่วน ซึ่งทางครอบครัวได้ขอรับบริจาคระดมทุนผ่านเว็บไซต์ Gofundme เพื่อนำไปเป็นค่ารักษาให้ชายชาวอินเดียแดงผู้นี้ และมียอดเงินบริจาคถึง 200,000 ดอลลาร์

ทั้งนี้ทนายความประจำครอบครัว Patel ระบุว่า Sureshbhai Patel ได้ถูกขอให้มาช่วยเลี้ยงหลานที่เพิ่งเกิดมาเมื่อไม่นานมานี้

In Pics &Clips : 1

 

ตอลิบานในอัฟกันประกาศเริ่ม “การโจมตีช่วงฤดูใบไม้ผลิ” ทั่วประเทศพรุ่งนี้!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 เมษายน 2558 14:11 น. (แก้ไขล่าสุด 22 เมษายน 2558 14:44 น.)



เอเอฟพี – กลุ่มตอลิบานในอัฟกานิสถานประกาศในวันนี้ (22) ว่า พวกเขาจะเปิดฉาก “การโจมตีช่วงฤดูใบไม้ผลิ” ประจำปีของพวกเขาตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน เป็นต้นไป พร้อมทั้งประกาศกร้าวว่าจะทำการโจมตีทั่วทั้งประเทศในเวลาที่กองกำลังต่างชาติที่นำโดยสหรัฐฯ กำลังถอนกำลังออกจากแนวหน้า

กลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ได้ยกระดับการโจมตีเป้าหมายรัฐบาลและต่างชาติในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ ขณะที่กองกำลังความมั่นคงของอัฟกันกำลังเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่คาดว่าจะเป็นการฤดูสู้รบนองเลือดที่สุดในรอบทศวรรษ

นี่จะเป็นการฤดูสู้รบครั้งแรกที่กองกำลังความมั่นคงอัฟกันจะต่อสู้กับกบฏกลุ่มนี้โดยไร้ซึ่งการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกองกำลังสู้รบขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต)

“กลุ่มอิสลามเอมิเรตจะเปิดฉากปฏิบัติการฤดูใบไม้ผลิภายใต้ชื่อ ‘อัซม์’ (ความมุ่งมั่น) ณ เวลา 5.00 น. ของวันที่ 24 เมษายน ปี 2015” กลุ่มตอลิบานกล่าวในถ้อยแถลง โดยใช้ชื่ออย่างเป็นทางการของพวกเขา

“เป้าหมายหลักของปฏิบัติการนี้จะเป็นพวกผู้ยึดครองจากต่างชาติ โดยเฉพาะฐานทัพถาวรของพวกเขา , เจ้าหน้าที่ของระบอบหุ่นเชิดนี้ , เครือข่ายการทหารของพวกเขา โดยเฉพาะหน่วยข่าวกรอง , เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหม”

ภารกิจสู้รบของนาโตสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม แต่กองกำลังต่างชาติส่วนเล็กๆ ยังคงอยู่เพื่อฝึกฝนและให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงท้องถิ่น

เมื่อเดือนที่แล้วประธานาธิบดี บารัค โอบามา ได้ประกาศถึงการเลื่อนกำหนดเวลาการถอนกองทหารสหรัฐฯออกจากอัฟกานิสถาน อันเป็นการแสดงมิตรภาพต่อประธานาธิบดี อัชราฟ กอนี ผู้นำสายปฏิรูปนิยมคนใหม่ของประเทศนี้

ในการเป็นเจ้าภาพต้อนรับ กอนี ที่ทำเนียบขาวสำหรับการพบปะตัวต่อตัวครั้งของพวกเขา โอบามา ได้ตกลงที่จะคงระดับทหารสหรัฐฯ 9,800 คนในปัจจุบันไว้จนถึงสิ้นปี 2015

กลุ่มตอลิบาน ซึ่งก่อการกบฏนองเลือดตั้งแต่ที่พวกเขาถูกโค่นล้มจากอำนาจในช่วงปลายปี 2001 เตือนว่า การประกาศเลื่อนกำหนดเวลาถอนทหารดังกล่าวจะทำลายโอกาสการเจรจาสันติภาพ ขณะที่พวกเขาประกาศกร้าวว่าจะเดินหน้าสู้รบต่อไป

การโจมตีที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กีสัปดาห์มานี้ได้เป็นเหตุให้มีพลเรือนชาวอัฟกันบาดเจ็บล้มตายมากมาย

รายงานเมื่อเร็วๆ นี้ ขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า ในช่วงสามเดือนแรกของปี 2015 พลเรือนที่บาดเจ็บล้มตายจากการต่อสู้ภาคพื้นได้เพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเวลาในเดียวกันในปีที่แล้ว

แต่ในถ้อยแถลงของกลุ่มตอลิบาน ระบุว่า “สิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของพวกเขา” จะอุทิศให้กับการปกป้องและคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือน” ในช่วงการโจมตีฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000045982

 

อเมริกันเกือบครึ่งประเทศ เสี่ยงเจอภัย "แผ่นดินไหว"



นักวิทยาศาสตร์สหรัฐเผยชาวอเมริกันกว่า143ล้านคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐเสี่ยงต่อการแผ่นดินไหว หรือเป็นจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศ วันพฤหัสที่ 23 เมษายน 2558 เวลา 8:01 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่23เม.ย.ว่า จากรายงานของนักวิจัยสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ(ยูเอสจีเอส) เปิดเผยว่า ชาวอเมริกันกว่า143ล้านคนหรือเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรสหรัฐอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยต่อการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งไม่นับรวมรัฐอะแลสกา รัฐฮาวาย และเครือรัฐเปอร์โตริโก เนื่องจากมีประชากรย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งด้านตะวันตกของสหรัฐเพิ่มมากขึ้น ทำให้พื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหวขยายวงกว้างกว่าเดิม

ทั้งนี้ประชาชนราว28ล้านคนอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยสูงสุด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่บริเวณชายฝั่งทางตะวันตกของประเทศ ในเขตรอยเลื่อนแซนแอนเดรียสที่ตัดผ่านรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมถึงรอยเลื่อนใต้มหาสมุทรทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์พยายามทำการวิจัยว่า มีประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยต่อการเกิดแผ่นดินไหวทั้งหมดเท่าไร ซึ่งจากตัวเลขคาดการณ์ของรัฐบาลเมื่อ20ปีที่แล้วพบว่า มีประชาชนราว75ล้านคนจากทั้งหมด39รัฐเสี่ยงภัยต่อการเกิดแผ่นดินไหว

ขณะที่แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงภัยต่อการเกิดแผ่นดินไหวล่าสุดพบว่า พื้นที่ถึง1ใน3ของสหรัฐเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวเพิ่มขึ้น โดยเขตชายฝั่งด้านตะวันตกของสหรัฐยังคงเป็นจุดร้อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวมากที่สุด ตามมาด้วยเขตเทือกเขาร็อกกี้ เขตมิดเวสต์ เขตนิวอิงแลนด์ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ

รายงานดังกล่าวนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้รวมเอาเหตุแผ่นดินไหวขนาดเล็กที่มีสาเหตุมาจากการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรวมไว้ด้วย ซึ่งหากนำเหตุแผ่นดินไหวดังกล่าวมาคำนวณด้วยจะทำให้จำนวนประชากรที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวเพิ่มสูงขึ้นอีก นอกจากนี้ทีมวิจัยยังประเมินความเสียหายหลังเกิดแผ่นดินไหวไว้ด้วย ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ4,500ล้านดอลลาร์สหรัฐ(144,000ล้านบาท) โดยรัฐที่ได้ผลกระทบมากที่สุดคือรัฐแคลิฟอร์เนีย รองลงมาคือรัฐออริกอนและรัฐวอชิงตัน

อเมริกันเกือบครึ่งประเทศ เสี่ยงเจอภัย "แผ่นดินไหว" | เดลินิวส์

 

กบฏเยเมนเรียกร้องซาอุฯหยุดถล่ม



กลุ่มกบฏฮูซีในเยเมนเรียกร้องอย่างเป็นทางการครั้งแรก ให้ซาอุดีอาระเบียยุติโจมตีทางอากาศในประเทศ เพื่อเปิดทางสู่การเจรจาสันติภาพร่วมกัน วันพฤหัสที่ 23 เมษายน 2558 เวลา 7:58 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงซานา ประเทศเยเมน เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ว่านายโมฮัมเหม็ด อับดุลซาลาม โฆษกกลุ่มกบฏฮูซี แถลงเมื่อวันพุธ เรียกร้องให้กองทัพพันธมิตรอาหรับนำโดยซาอุดีอาระเบียยุติปฏิบัติการทางทหารทุกรูปแบบในเยเมน "อย่างสมบูรณ์" และยกเลิกมาตรการปิดล้อมทั้งหมด เพื่อปูทางสู่การเจรจาสันติภาพอย่างสร้างสรรค์ตามวิธีการทูต ภายใต้การสนับสนุนของสหประชาชาติ ( ยูเอ็น )

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของกลุ่มกบฏฮูซีซึ่งยึดครองกรุงซานามาตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว ถือเป็นการเรียกร้องการหยุดยิงและเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งแรก นับตั้งแต่ซาอุดีอาระเบียนำทัพพันธมิตรอาหรับโจมตีทางอากาศหลายพันครั้งทั่วเยเมนตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. เพื่อปราบปรามกลุ่มกบฏชาวชีอะห์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 750 ศพ ตามรายงานของสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) โดย 2 ใน 3 เป็นพลเรือน

ทั้งที่มีการระงับปฏิบัติการเมื่อคืนวันอังคาร แต่กลับเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น โดยวันต่อมาฝูงเครื่องบินรบของกองทัพรัฐบาลริยาดทิ้งระเบิดโจมตีเป้าหมายหลายแห่งในเมืองเทซ ทางตอนกลางของประเทศ หลังมีรายงานกลุ่มกบฏฮูซีบุกเข้ายึดครองฐานทัพของกองพลน้อยยานเกราะที่ 35

ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่ารัฐบาลวอชิงตันติดตามสถานการณ์สงครามกลางเมืองในเยเมนอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งยังคงให้ความช่วยเหลือด้านการข่าวและเสบียงแก่กองทัพพันธมิตรอาหรับ อย่างไรก็ตาม โอบามายืนยันการเจรจาคือการแก้ไขปัญหาตรงจุดที่สุด และสหรัฐมองว่าอิหร่านจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในส่วนนี้ ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการสหรัฐหลายคนกล่าวหารัฐบาลเตหะรานว่า ทำ "สงครามตัวแทน" กับซาอุดีอาระเบียผ่านกบฏฮูซี

กบฏเยเมนเรียกร้องซาอุฯหยุดถล่ม | เดลินิวส์

 

แอฟริกาใต้ลั่นแก้ปัญหาเกลียดชาวต่างชาติ



รัฐบาลแอฟริกาใต้ให้คำมั่นเร่งหยุดยั้งกระแสความเกลียดชังและต่อต้านชาวต่างชาติในประเทศ ที่ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ศพ โดยจะสะสางให้ถึง "รากลึก" ของปัญหา วันพฤหัสที่ 23 เมษายน 2558 เวลา 8:30 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ว่าประธานาธิบดีจาค็อบ ซูมา ผู้นำแอฟริกาใต้ แถลงเมื่อวันพุธ ให้คำมั่นต่อทุกฝ่ายเรื่องการเร่งหยุดยั้งกระแสความเกลียดชังและการต่อต้านชาวต่างชาติในประเทศ โดยเน้นย้ำเรื่องการแก้ไขให้ถึง "ต้นตอ" ของปัญหา พร้อมทั้งย้ำว่า แอฟริกาใต้เป็นประเทศที่ยินดีต้อนรับและมีความปลอดภัยสำหรับชาวต่างชาติทุกคน ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติหรือนับถือศาสนาใดก็ตาม

ขณะที่ทหารและตำรวจสนธิกำลังตรวจค้นหอพักแห่งหนึ่ง ในย่านใจกลางเมืองโจฮันเนสเบิร์ก เมื่อวันอังคาร และสามารถจับกุมชาย 11 คน อายุระหว่าง 24-49 ปี ต้องสงสัยสมคบคิดร่วมกันปลุกระดมให้เกิดกระแสเกลียดชังและต่อต้านชาวต่างชาติอย่างรุนแรงตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ชาวต่างชาติที่ตกเป็นเป้าหมายมากที่สุด คือชาวมาลาวี ไนจีเรีย โมซัมบิก และซิมบับเว ซึ่งกลุ่มผู้ประท้วงมองว่าเข้ามาแย่งงานและที่ดินทำกินในแอฟริกาใต้ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 ศพในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลของประเทศเหล่านี้ต่างอพยพพลเมืองของตัวเองเป็นการด่วน โดยทางการโมซัมบิกจัดรถบัสไปรับประชาชนกลับภูมิลำเนาแล้วกว่า 2,000 คน

กระแสเกลียดชังและต่อต้านชาวแอฟริกาใต้ลักษณะนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ย้อนกลับไปเมื่อปี 2551 การประท้วงที่บานปลายเป็นการจลาจลขับไล่ชาวต่างชาติทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 62 ศพ สร้างความกังวลให้กับหลายฝ่าย ว่าแอฟริกาใต้จะกลับเข้าสู่ยุค "แบ่งแยกสีผิว" อีกครั้งหรือไม่

แอฟริกาใต้ลั่นแก้ปัญหาเกลียดชาวต่างชาติ | เดลินิวส์

 

เอเชีย-แอฟริกา ยุจัดระเบียบโลกใหม่-ชูเปิดกว้าง
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 23 เม.ย. 2558 04:15


(ภาพ: REUTERS)

เหล่าผู้นำจาก 21 ประเทศรวมทั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน นายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมเวที “ประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-แอฟริกา” ที่กรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซียช่วงวันที่ 22-23 เม.ย. และยังเป็นวาระครบรอบ 60 ปีการประชุมดังกล่าวที่ได้รวมกลุ่มโลกกำลังพัฒนาต่อต้านจักรวรรดินิยมและนำไปสู่การตั้งกลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดยุคสงครามเย็นด้วย

โดยที่ประชุมเรียกร้องให้จัดระเบียบโลกใหม่และทิ้งแนวคิดเก่าที่อิงสถาบันอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ที่สหรัฐฯ และยุโรปตั้งขึ้นมาดูแลการเงินหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ของอินโดฯแถลงต่อที่ประชุมว่าคนที่ยืนยันว่าปัญหาเศรษฐกิจโลกควรแก้ผ่านเวิลด์แบงก์และไอเอ็มเอฟเท่านั้น ถือว่าติดอยู่กับแนวคิดเก่าล้าสมัย ต้องเปลี่ยนแปลง จำเป็นต้องก่อตั้งองค์กรใหม่ที่เปิดกว้างต่อกลุ่มมหาอำนาจเศรษฐกิจเกิดใหม่เพื่อจัดการปัญหาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

แต่วิโดโดไม่ได้พูดถึงธนาคารเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (เอไอไอบี) ที่จีนสนับสนุนซึ่งอินโดฯเป็น 1 ในสมาชิกร่วมก่อตั้งและถูกมองเป็นคู่แข่งเวิลด์แบงก์และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ที่โลกตะวันตกสนับสนุน อีกทั้งสหรัฐฯ และญี่ปุ่นไม่ได้สนับสนุนเอไอไอบี

ทั้งนี้ ปัญหาความสัมพันธ์ของจีนและญี่ปุ่นยังถูกจับตามองเหมือนเดิม แม้จะมีภาพนายอาเบะจับมือทักทายผู้นำจีนแบบเป็นมิตรมากกว่าตอนประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกที่จีนเมื่อปีที่แล้ว แต่ท่าทีของอาเบะยังไม่เป็นมิตรกับจีนที่มีข้อพิพาททางทะเลกันและกับอีกหลายชาติ

นายอาเบะแถลงต่อที่ประชุมว่าไม่ควรยอมให้ผู้มีอำนาจมากกว่าใช้กำลังเล่นงานผู้อ่อนแอกว่าโดยไม่ถูกตรวจสอบ ก่อนหน้านี้นายอาเบะได้กล่าวแสดงความสำนึกผิดอย่างสุดซึ้งจากการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ไม่ได้กล่าวขอโทษซ้ำที่อดีตนายกฯจุนอิชิโร โคอิซูมิ ของญี่ปุ่นเคยขอโทษไว้ในปี 2548 ทำให้เกาหลีใต้แถลงรู้สึกเสียใจอย่างมากที่อาเบะไม่ได้ขอโทษ ด้านผู้นำจีนแถลงว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบใหม่ต้องส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเอเชียกับแอฟริกา และโลกพัฒนาแล้วต้องสนับสนุนโดยไม่มีการเมืองแอบแฝง ต่อมานายอาเบะได้หารือนอกรอบกับนายสีด้วยท่าทีผ่อนคลายก่อนระบุว่าการพบหารือมีความหมายมาก ความสัมพันธ์ของจีนและญี่ปุ่นกำลังดีขึ้น

ส่วนเมื่อ 21 เม.ย.ทางการอินโดฯ แถลงชื่นชมแผนเฝ้าระวังและควบคุมเรือประมงของไทยที่รวมทั้งแผนติดตั้งระบบติดตามตรวจสอบเรือประมงออกหาปลาในต่างประเทศที่แสดงให้เห็นว่าไทยมุ่งมั่นแก้ปัญหาเรือประมงเถื่อน.

เอเชีย-แอฟริกา ยุจัดระเบียบโลกใหม่-ชูเปิดกว้าง - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

 

ไม่ใช่ก้อนหิน ! คนงานจีนตื่นเต้น ขุดเจอ ฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์อีก 43 ใบ
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 22 เม.ย. 2558 14:04



@ประชาชนแห่มาดูบริเวณที่คนงานกำลังซ่อมแซมถนน ในเมืองเหอหนาน หลังเจอฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์

ฮือฮากันอีก..ชาวจีนแห่มาดู ‘ฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์’ หลังคนงานขุดเจอระหว่างกำลังซ่อมถนน ในเมืองเหอหยวน ชี้เป็นการพบฟอสซิลไข่โดโนเสาร์ย่านใจกลางเมืองเป็นครั้งแรก ของเมืองนี้ที่ได้รับสมญานาม ‘บ้านไดโนเสาร์’ เพราะเจอฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์มาแล้วเกือบ 1.7 หมื่นใบ

เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 58 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชาวจีนต้องตื่นเต้นอีกครั้ง แห่มาดูบริเวณที่คนงานขุดเจอฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์อีกถึง 43 ใบ ระหว่างกำลังทำการซ่อมถนน อยู่ใจกลางเมืองเหอหยวน มณฑลกวางตุ้ง ทางภาคใต้ของประเทศ โดยนายหวง จี้ฉิง รองผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์เมืองเหอหยวน กล่าวกับนักข่าวซีเอ็นเอ็น ด้วยความตื่นเต้นว่า นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่มีการพบฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์ที่ย่านใจกลางเมืองเหอหยวน โดยหลังจากมีคนงานเห็นว่า มีหินกลมแข็ง ลักษณะรูปทรงเหมือนไข่แล้ว จึงได้แจ้งต่อทางการ และทีมนักวิจัยรวมทั้งคนงานได้กระโดดลงไปช่วยกันขุดฟอสซิสไข่ไดโนเสาร์กันขึ้นมา

สำหรับฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์ 43 ใบที่ขุดพบนั้น ฟอสซิลจำนวน 19 ใบมีสภาพสมบูรณ์ดี ไม่ได้รับความเสียหาย และฟอสซิลที่ใหญ่ที่สุดมีความยาวถึง 13 ซม. โดยขณะนี้ นักวิจัยจะตรวจสอบฟอสซิลเพื่อระบุว่าเป็นไข่ของไดโนเสาร์สายพันธ์ุใด หลังจากฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์ที่ขุดพบในเมืองเหอหยวน ส่วนใหญ่เป็นไดโนเสาร์พันธ์ุ โอวิแรปเตอร์ ซึ่งเป็นไดโนเสาร์ที่มีหงอนเป็นเอกลักษณ์ และไดโนเสาร์ปากเป็ด ที่มีชีวิตในช่วง 89 ล้านปีก่อน


ทั้งนี้ เมืองเหอหยวน ในมณฑลกวางตุ้ง ได้รับการบันทึกลง กินเนสส์ บุ๊ก ในฐานะเมืองที่พบฟอสซิลไข่ของไดโนเสาร์มากที่สุดในโลกอยู่แล้ว จนได้รับฉายา ‘บ้านไดโนเสาร์’ เพราะมีการขุดเจอฟอสซิลไดโนเสาร์มาแล้วถึงเกือบ 17,000 ใบ โดยสำนักข่าวซินหัว กระบอกเสียงของทางการจีน รายงานว่า ฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์ที่พบครั้งแรกในเมืองเหอหยวนนั้น พบโดยเด็กๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่ในบริเวณก่อสร้าง เมื่อปี 2546 และจากนั้นก็มีการขุดพบเรื่อยมา

ไม่ใช่ก้อนหิน ! คนงานจีนตื่นเต้น ขุดเจอ ฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์อีก 43 ใบ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

 

เผยแล้ว!! ก้อนปริศนาที่เชื่อกันว่าเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก ที่แท้คือก้อนนี้ น่ากลัวมาก ดูเพิ่มเติม ==> http://nisit.co/Wt9q 23 เมษายน 2558 08:25 น. Ohozaa Hot Stat ที่มา catdumb



<iframe width="854" height="510" src="https://www.youtube.com/embed/JUdSlTT7QCM" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

https://youtu.be/JUdSlTT7QCM
เริ่มจะกลับมาเป็นกระแสกันอีกครั้งกับคลิปการรีด ‘ก้อนปริศนา’ ออกจากช่องปากในบริเวณใกล้ๆลิ้นไก่ ที่ดูกี่ครั้งก็ชวนอ้วกเสมอ ซึ่งชาวเน็ตก็ยังคงถกเถียงกันเสมอว่ามันคือ ข้าวหรือนิ่วทอนซิล!?
แต่ด้วยนิสัยที่ชอบสนใจเรื่องชาวบ้านเป็นพิเศษ เลยลองเข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ดู จึงพบว่านี่ไม่ใช่เรื่องการค้นพบครั้งใหม่อะไรหรอก ขอเฉลยเลยและกันว่ามันคือ ‘นิ่วทอนซิล’ จ้าาา
เจ้านิ่วทอนซิลที่ว่านี่ก็กำเนิดมาแต่ร่องของต่อมทอนซิลนั่นเอง โดยมีสาเหตุมาจากการทำงานของทอนซิล หรือต่อมน้ำเหลืองในทางเดินหายใจจับเชื้อโรคมาไว้ในหลืบ จนมันเกิดเป็นเจ้าก้อนนี่
ซึ่งเจ้าก้อนที่เห็น มันก็มาจากการที่เศษอาหารเข้าไปติดในซอกนี้ บวกกับเซลล์ที่ตายแล้วหลุดลอกออกมา จึงโดนแบคทีเรีย เม็ดเลือดขาว และเอนไซม์ในน้ำลายเข้าไปย่อยสลายเกิดเป็นสารคล้ายเนยสีเหลืองขาวผสมอยู่ บางคนอาจมีแคลเซียมมาเกาะ ทำให้คล้ายก้อนแคลเซียมอยู่ในร่อง
แน่นอนว่าใครที่เป็นก็จะรู้สึกรำคาญ คล้ายๆมีอะไรติดอยู่ในลำคอ ทำให้ต่อมทอนซิลอักเสบ เจ็บคอแบบเป็นๆ หายๆ มีกลิ่นปากและปวดร้าวไปที่หู หรือไอเรื้อรัง โดยจะพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็กจ้ะ
แต่ที่ชาวเน็ตเข้าใจว่ามันคือเม็ดข้าวจริงๆ มันไม่ใช่นะจ๊ะ แต่ที่เค้าเรียกกันว่า “เม็ดข้าวสุก” เพราะลักษณะที่คล้ายคลึงเฉยๆ ซึ่งมันก็คืออาการของคนที่ต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรังนั่นเอง โดยถ้ายังไม่เป็นในขั้นรุงแรงจนอุดตันการหายใจ นอนกรน กลืนลำบาก ก็สามารถกินยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้
ส่วนวิธีการรักษาก็แบ่งเป็น 2 แบบหลักๆ คือการผ่าตัดแบบทั้งลงมีด ใช้กรดหรือเลเซอร์ และแบบไม่ผ่าตัดที่ใช้นิ้วกดแบบในคลิป หรือจะกลัวคอแรงๆ ใช้ไม้กดออก หรือจะพ่นน้ำให้มันหลุดมาก็ได้
ข้อมูลจาก:
ดูเพิ่มเติม ==> http://nisit.co/Wt9q