ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    รัฐบาลแคนาดาไล่สายลับต่างชาติออกนอกประเทศ อเมริกันมีมากสุด

    [​IMG]

    --------------
    เมื่อวันอังคารที่ 3 มี.ค.58 สื่อฯต่างประเทศรายงานว่า ปีที่ผ่านมาทางการของแคนาดาได้เตะโด่งสายลับ (spy) ต่างชาติออกนอกประเทศแคนาดาไปแล้วถึง 21 รายด้วยกันที่น่าแปลกใจก็คือสหรัฐฯอเมริกาซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของแคนาดาเองส่งสายลับเข้าไปทการจารกรรมข้อมูลความลับภายในของแคนาดามากที่สุดกว่าสายลับของประเทศอื่นและถูกจับได้ถึง 5 ราย รองลงมาคือจีน อินเดีย และสวีเดนประเทศละ 2 ราย ส่วนที่เหลือคือ คิวบา อิหร่าน เกาหลีเหนือ มาลาวี รัสเซีย ราวันดา ตูนีเซีย อูกันดา และเวเนซูเอลา ประเทศละ 1 ราย จากรายงานข่าวพบว่าตั้งแต่มี 2004-2014 แคนาดาสามารถจับสายลับของอเมริกาที่เข้าไปทำการจารกรรมข้อมูลในประเทศแคนาดาได้และไล่ออกนอกประเทศและไม่อนุญาตให้กลับเข้ามาในประเทศอีกถึง 5 รายด้วยกัน
    ขนาดว่าเป็นพันธมิตรกันมันก็ยังจ้องจะลักเล็กขโมยน้อยกันเลยนะ ประเทศพวกนี้มันไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆนะนี่ เผลอเป็นไม่ได้เลย พวกเดียวกันก็ไม่เว้น ถึงขนาดนั้นเขาก็ยังคบกันอยู่นะ เพราะล่าสุดหลังจากที่อเมริกาผิดหวังที่ชวนชาติยุโรปมาถล่มรัสเซียโดยใช้ยูเครนเป็นสนามรบไม่ได้ ก็หันไปชวนแคนาดาแทน ทางแคนาดาก็เอาด้วย ส่วนอังกฤษบอกว่าจะส่งทหารจำนวน 6 นายมาร่วมฝึกให้ด้านการแพทย์ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในสงครามแทน ตลกอีกหละที่ยูเครนเขาก็มีโรงพยาบาลทหารนะ แพทย์ทหารเขาก็มีเยอะถ้าเขาต้องการจะฝึกจริงๆ เขาไม่ต้องขอต่างชาติหรอก ทำไงได้อ่ะ อังกฤษก็ไม่อยากให้อเมริกาเอาไอซิสกับ PEGIDA เข้ามาป่วนในสหราชอาณาจักร ครั้นจะปฏิเสธไปดื้อๆ อย่างฝรั่งเศสก็กลัวจะเกิดเหตุการณ์ชาลีเอ็บโดขึ้นที่ลอนดอนนะสิ ก็ต้องแกล้งตามน้ำไปกับอเมริกาซะหน่อย แต่ไม่ส่งอาวุธและกองกำลังไปร่วมนะ ส่งแต่แพทย์ทหารไปฝึกด้านการช่วยเหลือพยาบาลแทน แน่ะ… พูดเรื่องสปายสายลับไปถึงเรื่องยูเครนอีกหละ ฮ่าๆๆๆ พอหละเดี๋ยวยาว
    The Eyes
    05/03/2558
    ------------
    http://www.thestar.com/…/canada-turfed-out-more-spies-to-th…
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    พวกฝ่ายขวานีโอนาซีของยูเครนซ่าจัด เข้ากร่างในคาสิโนในเมืองโอเดสซ่าถูกเจ้าถิ่นรุมจมกองเลือด

    [​IMG]

    ----------------
    เจอคลิปข่าวนี้จากโลกโซเชียลมีเดียที่แชร์กันในกลุ่มพวกรัสเซียแล้วแพร่ไปถึงฝั่งยุโรปและทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ก็หาแหล่งข่าวจากสื่อฯอื่นๆดูว่าจริงหรือไม่ ก็พบว่าจริงอย่างที่เขาแชร์กันไม่ใช่เรื่องโกหกจึงเอามาเล่าสู่กันฟังแบบเบาๆ
    ข่าวมีดังนี้ครับเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 5 มี.ค.58 ที่ผ่านมาเกิดเหตุอาชญากรรมอยู่ 2 แห่งในแคว้น Odessa ของยูเครน อันแรกคือพวกขวาจัดนิยมความรุนแรง (Right Sector) ที่ชื่นชอบลัทธินาซีใหม่และมีกองกำลังอิสระเป็นของตัวเองซึ่งรัฐบาลยูเครนกับสหรัฐฯหนุนหลังอยู่นั่นแหละ ได้เข้าไปก่อเหตุวางกร้ามเบ่งในคาสิโนแห่งหนึ่งในเมืองโอเดสซ่า คงจะคิดว่าตัวเองเป็นพวก Right Sector แล้วจะมีคนกลัวมากสิท่าถึงได้กล้าเข้าไปหาเรื่องชกต่อยในคาสิโนขนาดนั้น พวกรปภ.กับมาเฟียเจ้าถิ่นเขาเรียกพวกมาช่วยกันสิ ผลปรากฎว่าพวกกองกำลัง Right Sector ถูกเจ้าถิ่นรุมยำไม่เป็นท่า ทั้งอีน ทั้งกำปั้น ทั้งกระบอง เล่นเอาพวก Right Sector นอนจมกองเลือดตัวเองอยู่กับพื้น 3 ราย ส่วนพวกคุมบ่อนก็ถือปืนคุมเชิงไว้ งานนี้ไม่มีใช้อาวุธปืน มีแต่กระบองกับบาทาล้วนๆ ต้องหามปีกออกนอกบ่อนกันไปเลย ให้มันรู้ซะมั่งว่านี่ถิ่นใคร คิดจะมาคุมบ่อนแทนเจ้าเดิมหละสิ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก แต่ถ้าคิดจะมาเบ่ง นั่นแหละคือผลลัพธ์ทันตาเลย
    ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันก็คือ เกิดเหตุระเบิดในสำนักงานที่ทำการของพวกขวาจัดกลุ่มนี้เหมือนกัน ฝ่ายนักการเมืองรีบออกมาแถลงเลยว่าเป็นฝีมือของพวกผู้ก่อการร้าย (พวกติดอาวุธนิยมรัสเซียในยูเครนตะวันออก) ตามรายงานไม่ได้บอกว่ามีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้หรือไม่ เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญด้านระเบิดให้ความคิดเหตุว่าเป็นระเบิดชนิดประดิษฎ์เองโดยใช้ TNT ประมาณ 1 กก. สื่อฯฝั่งรัสเซียบอกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสำนักงานของพวกกองกำลังอิสระขวาจัด ในขณะที่สื่อฯฝั่งยูเครนบอกแต่เบียงว่าเป็นการระเบิดในอาคารที่พักอาศัยทั่วไป ที่เมือง Odessa นี่ก็เกิดเหตุระเบิดในลักษณะนี้บ่อยครั้งตั้งแต่ปีที่แล้วและต้นปีนี้เรื่อยมา
    เอาเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเมืองแห่งนี้ซักหน่อยนะครับ Odessa หรือ Odesa เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของยูเครนมีประชากรประมาณ 1 ล้านกว่าคน อยู่ติดกับชายทะเลดำคล้ายๆกับเมือง Mariupol ในโดเนทส์กนั่นแหละ มีท่าเรือสำคัญประมาณ 2-3 แห่ง เป็นเมืองท่าและเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครนเป็นเขตการค้าเสรี
    ตามประวัติศาสตร์บรรพบุรุษของชาวเมืองนี้เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ทาทาร์ก่อตั้งเมืองแห่งนี้โดย Hacı I Giray ข่านของไครเมียขึ้นในปี พ.ศ.1983 (ค.ศ.1440) เคยอยู่ภายใต้การปกครองของชาวลิธัวเนียมาก่อน ว้าว! ลิธัวเนียนี่นะ อยู่ถึงคาบสมุทรบอลติคปัจจุบันนี้เป็นประเทศเล็กๆที่หลงไหลอเมริกาเป็นอย่างมากและกำลังจะหันมาแว้งกัดรัสเซีย
    ต่อมาก็กลายเป็นส่วนของอาณาจักรอ็อตโตมันในปี 1529 (พ.ศ.2072) จนถึงปี 1792 (พ.ศ.2335) ที่อาณาจักรอ็อตโตมันล่มสลาย ในปี 1794 (พ.ศ.2537) องค์จักรพรรดินีของรัสเซียพระนามว่า "Catherine the Great" (สมเด็จพระราชินีแคทเธอรีนมหาราชินี) ก็ได้สั่งให้ก่อตั้งเมืองแห่งขึ้นมา จากนั้นก็ส่งต่อให้สหภาพโซเวียต และเมื่อยูเครนแยกออกจากโซเวียตก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของยูเครนตราบจนทุกวันนี้ พูดถึงราชินีีแคทเธอรีนมหาราชินีพระองค์นี้ ในยุคนั้นถือว่าเป็นยุคทองของรัสเซียเลยก็ว่าได้ พระนางขึ้นครองราชต่อจากการยึดอำนาจและการสิ้นพระชนของพระสวามี Peter III และทำให้สงครามที่ยาวนานมาถึง 7 ในรัสเซียสมัยนั้นสิ้นสุดลง ภายใต้การปกครองของพระนางทำให้รัสเซียสามารถขยายอาณาเขตออกไปได้อย่างกว้างขวางและสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับจักรวรรดิรัสเซียในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก สิ้นพระชนในปี 1796 (พ.ศ.2339) ด้วยพระชนมายุ 67 พระชนมพรรษาด้วยโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) เอาหละครับสั้นๆ แค่นี้ก็พอ เล่ายาวเดี๋ยวจะติดลมบนจบไม่ลงอีก ถ้าใครสนใจก็สามารถหาอ่านความรู้เพิ่มเติมได้จากwiki นะมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษด้วย
    แล้วเรื่องราชินีแคทเธอรีนเกี่ยวอะไรกับโอเดสซ่าด้วย? อ้าวก็พระนางให้ก่อตั้งเมืองนี้ขึ้นมาใหม่และให้ทันสมัยด้วย ต่อมาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของโซเวียต อยู่ในกลุ่มภูมิภาคที่ชื่อว่า "Novorossiya" (นิวรัสเซีย) ที่ตอนนี้กองกำลัง NAF นิยมรัสเซียกำลังจะแยกออกจากยูเครนไงหละครับ และปูตินก็ส่งสัญญาณให้ชาวยูเครนที่พูดภาษารัสเซียในพื้นที่ดังกล่าวได้รับทราบแล้วด้วย ก่อนหน้านี้ทำไมปูตินถึงไม่พูดถึง ก็เพราะว่าก่อนหน้านี้ยูเครนยังไม่หันหลังให้รัสเซียและเปลี่ยนมานิยมอเมริกากับตะวันตกแทนนะสิ พอเกิดเรื่องขึ้นฝั่งรัสเซียก็เริ่มมองว่ายูเครนชักจะทำตัวเป็นศัตรูกับรัสเซียซะแล้ว มีที่ไหนไปชวนนาโต้มาตั้งฐานทัพในยูเครน แบบนี้มันก็เท่ากับว่าให้อเมริกาเอาปืนมาจ่อก้นรัสเซียเห็นๆนะสิ ถ้ายูเครนต้องการอย่างนั้นก็ได้ งั้นปลุกชาว Novorossiya ทั้งหมดให้ตื่นรู้และแยกออกมาจากยูเครนแล้วรวมกับรัสเซียซะเลย ดูซิว่ายูเครนจะเหลือพื้นที่เป็นของตัวเองซักเท่าไร ไคร์เมียได้คืนมาแล้ว โดเนทส์กกับลูฮานส์กกำลังจะได้คืน ต่อไปก็ขยายให้ครอบคลุมดินแดน Novorossiya ทั้งหมด บทเรียนี้สำหรับชาวยูเครนมันเจ็บปวดยิ่งนักที่มีรัฐบาลแบบนี้ เพราะไปหลงชื่อคำหวานจากอียูในตอนแรกปลุกปั่นให้เกิดการประท้วงเรียกร้องว่าจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอียู จนเกิดการเผาบ้านเผาเมืองตัวเองที่ไมดาน พอปูตินไม่ยอมให้ร่วมท่าทีของอียูก็เปลี่ยนไปบอกว่าไม่เอาแล้วยูเครน ไม่ให้ร่วมกับอียูแล้ว เฉพาะปัญหาวิกฤตหนี้สินของกรีซก็จะตายอยู่แล้ว ขืนเอายูเครนตอนที่หนี้ท่วมหัวประเทศกำลังจะล้มละลายอย่างนี้มาร่วมด้วยยิ่งจะกลายเป็นภาระของอียูซ้ำเติมอียูหนักเข้าไปอีก
    ส่วนอเมริกายังไม่รามือจากยูเครน แผนยุให้ยูเครนแตกคอกับรัสเซียเดินมาได้ครึ่งทางแล้ว แม้ว่าอียูจะไม่รับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกก็ตาม ถึงอย่างไรก็ต้องเดินหน้าแผนบั่นทอนความมั่นคงของรัสเซียต่อไป โดยใช้ยูเครนนี่แหละเป็นสนามรบสู้กับรัสเซียแทน มันก็เป็นอย่างนี้แล...
    The Eyes
    06/03/2558
    -----------
    https://www.youtube.com/watch?v=XsQV0cIVwdY
    [ame=http://www.liveleak.com/view?i=d18_1425547812]LiveLeak.com - Right Sector NeoNazis hold up casino, get *sskicking by mafia - Odessa[/ame]
    TASS: World - Police suspect Odessa blast may be work of terrorists
    TASS: World - Blast at Right Sector office in Odessa not caused by utility lines damage — firefighters
    TASS: World - Media report about blast at Right Sector office in Odessa
    http://uatoday.tv/…/blast-in-odesa-at-residential-building-…
    Right sector had a fight with the guards casinos in Odessa
    In Odessa, in a fight involving gambling "Right Sector" - media | Ukrainian Crisis
    Odessa - Wikipedia, the free encyclopedia
    Catherine the Great - Wikipedia, the free encyclopedia
    http://th.wikipedia.org/…/จักรพรรดินีเยกาเจรีนาที่_2_แห่งรั…
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    อัตราการเสียชีวิตจากการเสพเฮโรอินในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นจากปี 2010 ถึง 3 เท่าตัว

    [​IMG]

    ----------------
    ตอนแรกว่าจะเล่าข่าวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่ไคร์เมียให้ฟังแบบเบาๆสบายๆซะหน่อย พอดี๊...มาเจอข่าวนี้เข้าขอแซงคิวก่อนละกัน เรื่องแบบนี้ในอเมริกาต้องแฉให้โลกได้รับรู้ อ้อไม่ใช่ว่าผมติตามข่าวจากสื่อฯฝั่งรัสเซียที่คู่แข่งมหาอำนาจกับอเมริกาแล้วจะเข้าข้างแต่รัสเซียหรอกนะ ไม่ใช่ว่าเอาแต่ข่าวจากฝั่งรัสเซียมานำเสนอเพื่อเป็นการทำลายเครดิตของฝั่งสหรัฐฯนะครับ ข่าวนี้สื่อฯหลักๆทั่วโลกลงกันทั้งนั้น (ยกเว้น CNN กับ BBC เพราะหาดูแล้วยังไม่เห็นข่าวนี้จากเว็บไซต์ของสื่อฯทั้งสองแห่งนี้เลย) ดูจากลิงค์ด้านล่างก็ได้ แฟร์ดีป๊ะ? ฮ่าๆๆ
    บลูมเบิร์กพาดหัวข่าวว่า "สหรัฐฯเสียชีวิตเพราะเฮโรอินเกินขนาดเพ่ิมขึ้น 3 เท่าตั้งแต่ปี 2010" ส่วนของรอยเตอร์สบอกว่า "การศึกษาพบว่าสหรัฐฯเสียชีวิตเพราะเสพเฮโรอินเกินขนาดเกือบ 3 เท่าระหว่างปี 2010-2013" ส่วนของ RT News ฝั่งรัสเซียพาดหัวข่าวว่า "สถิติบอกว่าสหรัฐฯเสียชีวิตเพราะเฮโรอิน 4 เท่าตั้งแต่ปี 2000" สื่อฯฝั่งตะวันตกด้วยกันก็พยายามทำให้ตัวเลขมันดูน้อยลงด้วยการเปรียบเทียบระยะเวลาที่ไม่ห่างกันนัก แต่ฝั่งของรัสเซียจัดหนักอยู่แล้ว บอกเลยว่าตายเพราะเสพเฮโรอินเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่าตะหากถ้าดูจากปี 2000 เป็นต้นมา
    จากการศึกษาตัวเลขของผู้เสียชีวิตเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดประเภทเฮโรอินที่มีมากถึง 4 เท่าตัวนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาในสหรัฐฯนั้น โดยสถิติผู้เสียชีวิตจะอยู่ในช่วงอายุ 25-44 ปี จากตัวเลขการศึกของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention) ของสหรัฐฯระบุว่าในปี 2000 มียอดผู้เสียชีวิตเนื่องจากเสพเฮโรอินอยู่ที่ 0.7% ต่อประชากรชาวอเมริกัน 100,000 คน แต่ในปี 2013 พบว่ามีผู้เสียชีวิตเพราะเสพเฮโรอินเพิ่มขึ้นเป็น 2.7% ต่อประชากร 100,000 คน
    ในปี 2013 พบว่าเฮโรอินในสหรัฐฯมีปริมาณที่เข้มข้นขึ้นถึง 4 เท่า โดยผู้เสียชีวิตที่เป็นชายมีถึง 6,525 ราย และเป็นหญิง 1,732 ราย ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวได้จากการสำรวจทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา
    คำถาม แล้วเฮโรอินพวกนี้มันมาจากไหนหละ อเมริกาไม่ได้ปลูกฝิ่นไม่ใช่รึ? ก็มาจากหลายทางด้วยกันครับ แต่ที่แน่ๆและแหล่งใหญ่ที่สุดก็ที่แอฟกานิสถานปากีสถานนั่นแหละ ทั้งสองประเทศทนี้ปลูกฝิ่นแทนข้าวกันเลยนะ ทำเป็นทุ่งนาเลยหละ ถึงฤดูการปลูกนี่เด็กๆนักเรียนก็จะขาดเรียนมาช่วยผู้ปกครองทำนาฝิ่นหนะ และที่สหรัฐฯและนาโต้ยกกองทัพไปปักหลักอยู่ที่แอฟกานิสถานถึง 13 ปีอ้างว่าไปปรากพวกตาลีบันนั่นมันข้ออ้าง โดยยกเรื่องการล้างแค้นเหตุการณ์ 9/11 ขึ้นมาแล้วก็ทำเป็นไล่ล่าอุซามะฮ์ บิน ลาดินเท่านั้นเอง แต่จริงๆแล้วไปจัดสรรผลประโยชน์เรื่องฝิ่นและเฮโรอินต่างหากเล่า
    ไปกำจัดพวกพ่อค้ารายเก่าออกไปแล้วไปเซ็ตระบบใหม่ เซ็ทเส้นทางลำเลียงเฮโรอินเข้ามายังยุโรปกับรัสเซียและอเมริกาใหม่ นาโต้ปักหลักอยู่ที่แอฟกานิสถานถึง 13 ปีแล้วก็พึ่งจะยกทัพกลับออกมาเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง แต่ยังคงกองกำลังบางส่วนของสหรัฐฯเอาไว้ที่นั่น คิดดูสิ 13 ปียอดการปลูกฝิ่นและสถิติการก่อการร้ายในแอฟกานิสถานไม่ได้ลดลงเลย ประชาชนในแอกานิสถานและปากีสถานติดเฮโรอินกันงอมแงม เสพกันข้างถนนกลางวันจะๆไม่ได้เกรงกลัวใครเลย เป็นภาพที่เห็นจนชินตามีแชร์ในยูทูปเยอะแยะมาก ขนาดนักข่าวไปสัมภาษณ์เขาก็ไม่กลัวไม่อายกัน เหมือนกับว่ามันเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปในประเทศเหล่านั้น ซ้ำร้้ายผู้ปกครองบางรายยังให้เด็กที่เป็นลูกของตัวเองเสพด้วย โดยอ้างว่าช่วยทำให้เด็กไม่ร้องเพราะความหิว
    ในคลิปนี้ https://www.youtube.com/watch?v=95o03ZYSkCs นักข่าวเขาลงไปทำข่าวภาคสนามที่ฐานทัพนาโต้ในแอฟกานิสถาน เขาเปิดให้ดูเลยว่าหลังประตูเหล็กของค่ายทหารนาโต้นั้นก็คือทุ่งฝิ่นขนาดใหญ่ดีๆนี่เอง แต่พอสื่อฯฝั่งอเมริกากับยุโรปมาลงข่าวก็บอกว่าเป็นภารกิจในการไปทำลายกระบวนการยาเสพติดและสร้างภาพเป็นทางไร่ฝิ่นซัก 2-3 แปลงให้นักข่าวถ่ายรูปมาลงข่าว ก็แค่นั้นเอง ส่วนที่เหลือที่ไม่ได้ถูกทำลายนั้นยังมีอีกมากมายเหลือคณานับยิ่งนัก จนทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่
    ประชาชนชาวอเมริกันตายเพราะเสพเฮโรอิน จะไปโทษใครไม่ได้หรอกนอกจากรัฐบาลสหรัฐฯเองนั่นแหละ เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของรัฐบาลสหรัฐฯกับชาติพันธมิตรนาโต้โดยตรง
    ป.ล. ตอนแรกว่าจะเขียนเรื่องฝิ่นกับเฮโรอินในแอฟกานิสถานต่างหาก ตั้งเค้ามาหลายวันหละแต่ยังไม่มีโอกาสซะที วันนี้ก็ประจวบเหมาะกับข่าวข้างต้นก็เลยจัดไปด้วยกันซะเลย
    The Eyes
    06/03/2558
    -----------
    http://rt.com/usa/237969-us-heroin-deaths-quadrupled/
    http://www.forbes.com/…/heroin-overdose-deaths-are-skyrock…/
    http://www.thedailybeast.com/…/u-s-heroin-overdoes-tripled-…
    http://qz.com/…/in-a-stunning-spike-deaths-from-heroin-in-…/
    http://america.aljazeera.com/…/heroin-overdose-deaths-quadr…
    http://www.bloomberg.com/…/drugs-heroin-overdose-deaths-in-…
    http://www.cbsnews.com/…/heroin-deaths-take-aim-at-new-typ…/
    http://www.reuters.com/…/health-heroin-idUSL1N0W626020150304
    CDC: Heroin-linked deaths jumped by 39 percent in one year — RT USA
    http://www.cnsnews.com/…/afghanistan-set-record-growing-opi…
    http://america.aljazeera.com/…/21/afghanistan-opiumrecord.h…
    Afghanistan Opium Farmers | CNS News
    http://www.un.org/apps/news/story.asp…
    America’s $7.6 billion war on Afghan drugs fails, opium production peaks — RT News
    World News - Breaking International News Headlines - NBC News
    http://www.infowars.com/opium-cultivation-hits-new-record-…/
    http://www.unodc.org/…/afghan-opium-crop-cultivation-rises-…
    World Drug Report
    http://www.unodc.org/…/Afghani…/Afghan-opium-survey-2014.pdf
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    พิษการแซงชั่นรัสเซีย ทำให้ Adidas ต้องปิดร้านในรัสเซียถึง 200 แห่ง

    [​IMG]

    ----------------
    เจอข่าวนี้อีกหละ เอาซะหน่อยเย้ยอเมริกากับอียูเล่นๆ เมื่อวานนี้สื่อฯฝั่งรัสเซียลงข่าวว่ารายงานประจำปีของ Adidas บริษัทจำหน่ายอุปกรณ์ด้านกีฬาที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกสัญชาติเยอรมันระบุว่า Adidas กำลังจะปิดกิจการร้านค้าปลีกอุปกรณ์กีฬาในรัสเซียจำนวน 200 แห่งเนื่องจากค่าเงินรูเบิลของรัสเซียอ่อนค่าลงมากและมีความผันผวน สาเหตุก็เนื่องมาจากมาตรการแซงชั่นรัสเซียที่สหรัฐฯและอียูทำไว้กับรัสเซียเองนั่นแหละ งานนี้ทำให้ Adidas สูญรายได้ไปมากกว่า €550 million (ประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท) รายงานระบุว่าปีที่ผ่านมา Adidas มีกำไรสุทธิ €490 million (ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท) ลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งมีกำไรถึง €787 million (ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท) (€1 = 36.1643 บาท) แต่ทาง Adidas บอกว่าถึงปีนี้จะปิดร้านไป 200 แห่งแต่ก็มีโครงการจะเปิดใหม่อีก 100 แห่งในรัสเซียเช่นกัน เพราะไม่อยากเสียตลาดให้รัสเซียให้เจ้าอื่น
    ไม่ใช่เฉพาะ Adidas ของเยอรมันเท่านั้นนะ ก่อนหน้านี้ทางบริษัท Coca-Cola HBC AG ผู้ผลิตน้ำอัดลมรายใหญ่อันดับสองของโลกซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Zug ประเทศ Switzerland ก็ได้ปิดโรงงานผลิตน้ำผลไม้ในรัสเซียไปแล้วถึง 3 แห่งด้วยกันจากทั้งหมด 4 แห่ง ขณะที่บริษัท PepsiCo ของสหรัฐฯปิดไปแล้ว 1 แห่งในรัสเซียเพราะยอดขายตก ต่อมาในเดือนมกราคมปีนี้เองบริษัทเบียร์ Carlsberg ระดับพรีเมียมสัญชาติเยอรมันกิจการ 2 ใน 10 แห่งในรัสเซีย เหตุผลเดียวกันกับโค้กและเป๊บซี่คือขายไม่ออก ปูตินบอกย้ายออกไปเลยน้ำอัดลมสัญชาติรัสเซียจะขึ้นมาครองตลาดในรัสเซียแทน
    The Eyes
    06/03/2558
    -----------
    Adidas to close 200 stores in Russia in 2015 because of weaker ruble — RT Business
    Coca-Cola sounds warning over Russia — RT Business
    http://money.cnn.com/2015/…/05/news/companies/adidas-russia/
    http://www.themoscowtimes.com/…/adidas-to-close…/517085.html
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ชาวอังกฤษรวมตัวกันในโลกโซเชียลเน็ทเวิร์คชวนกันไปเที่ยวไคร์เมียแม้จะอยู่ระหว่างการแซงชั่นรัสเซีย

    [​IMG]

    ----------------
    ตอนแรกที่อ่านเจอข่าวนี้ก็รู้สึกงงๆเหมือนกันครับ เพราะว่าตอนนี้ไคร์เมียถูกสหรัฐฯกับอียูแซงชั่นอยู่ไม่ใช่รึ แล้วชาวยุโรปจะจัดทัวร์มาเที่ยวไคร์เมียได้อย่างไร? แต่พออ่านดูเนื้อข่าวแล้วจึงถึงบางอ้อ...
    เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ มีนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันในเฟซบุคแห่งหนึ่งชักชวนกันมาเที่ยวไคร์เมียในช่วงภาคฤดูร้อนเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ พวกเขาตระหนักดีว่าการจัดทัวร์มาที่รัสเซียนั้นผิดกฎหมายการแซงชั่นรัสเซียจากอียู แต่พวกเขาบอกว่าการเดินทางมายังไคร์เมียในครั้งนี้ไม่ใช่ธุรกิจการท่องเที่ยว ไม่ค่าใช้จ่ายใดๆที่จะต้องจ่ายให้กับบริษัทท่องเที่ยวหรือหัวหน้ากลุ่มผู้จัดทัวร์ การเดินทางมาชมและพักผ่อนในช่วงฤดูร้อนที่ไคร์เมียครั้งนี้เป็นความสมัครใจและรับผิดชอบตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ถือว่าผิดกฎหมาย
    สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางนั้นตามข่าวบอกว่าประมาณ 122 ปอนด์ (6 พันกว่าบาท) ไม่น่าจะรวมค่าเครื่องบินด้วยนะนี่ ซึ่งจะใช้เวลาในการท่องเที่ยวประมาณ 6-8 วัน เน้นที่การนั่งรถจิ๊บชมซาฟารี ชิมวายไคร์เมีย ขี่ม้าชมเขา เที่ยวชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เช่นชมฐานทัพเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของ Stalin ในเมือง Balaclava ที่อยู่ใต้ดินเชื่อมต่อกับอุโมงน้ำใต้ดิน มีทั้งร้านค้าและคลังเก็บอาวุธตอปิโดและอาวุธอื่นๆแสดงด้วย นอกจากนั้นยังมีการไปเยี่ยมชมพระราชวัง Vorontsov ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในไคร์เมียอีกด้วย
    ช่วงก่อนหน้านี้ทางรัสเซียก็เน้นการท่องเที่ยวภายในประเทศของเขามากขึ้นด้วยนะ เพราะไม่ต้องการให้เงินทองของตัวเองไหลออกไปเข้ากระเป๋าต่างชาติเนื่องจากถูกสหรัฐฯกับอียูแซงชั่น จึงต้องสร้างรายได้ให้ประเทศของตัวเองด้วยการท่องเที่ยวนี่แหละ และไคร์เมียก็มีการทำป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยวต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมากมายหลายจุดทีเดียว ผลปรากฎว่ามียอดนักท่องเที่ยวในไคร์เมียเพิ่มขึ้น 30-40 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้
    งานนี้ก็เลยเก็บภาพสวยๆจากไคร์เมียมาฝาก แต่ยังไม่เคยไปหรอกนะ เอามาจากอินเตอร์เน็ทนี่แหละ ลองเดาดูมะว่าใครอยู่เบื้องหลังแผนดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติมาที่รัสเซียในครั้งนี้ เนียนจริงๆใช้คนยุโรปนี่แหละชักชวนคนยุโรปให้มาเที่ยวรัสเซียอ่ะ และก็ให้คนยุโรปหรืออเมริกกันนั่นแหละทำเว็บไซต์และสร้างสังคมออนไลน์ชักชวนกันมาเที่ยวที่รัสเซีย อาจจะมีทำเพราะใจรักก็ได้ แต่เท่าที่ผมดูจากเว็บไซต์ของกลุ่มนี้แล้วนะ ไม่รู้ว่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันหรือเปล่า แต่มีแนวโน้มว่าจะใช่นะ เว็บเขาไม่ธรรมดานะ ไม่ใช่ว่าชาวบ้านนักท่องเที่ยวทั่วไปจะทำได้อย่างนั้นนะครับ มันจะต้องมีทั้งทุนและแรงบันดาลใจมากๆ ถึงได้ลงทุนสร้างเว็บไซต์โปรโมทไคร์เมียให้รัสเซียได้อย่างสวยงามขนาดนั้นอ่ะ (เว็บ 2seecrimea.com) ด้านล่างมีลิงค์ให้อยู่นะครับ อ้าว! เช็คไปเช็คมาก็เจอผู้ที่อยู่เบื้องหลังของแคมเปญจ์นี้ซะแล้ว ที่แท้ก็น่าจะเป็น realrussia.co.uk บริษัทจัดทัวร์รัสเซียในอังกฤษนี่เอง แต่ตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังโครงการนี้หรือออกไอเดียนี้ต่างหากหละที่น่าสนใจ
    ถ้าการท่องเที่ยวของประเทศไทยหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะใช้วิธีนี้บ้างเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวไทย ผมว่าปูตินคงไม่สงวนลิขสิทธิ์หรอกมั๊งนะ
    The Eyes
    06/03/2558
    --------------
    Brits Book Crimea Trip in Spite of Sanctions / Sputnik International
    Crimea in Pictures / Sputnik International
    Ancient History of Crimea | AntiAgingSakiMud
    Beauty of Crimea | Travel to Crimea
    http://www.cbc.ca/…/crimea-crisis-russian-prime-minister-dm…
    Crimea | Tourism, Photos, News & History on Perekop.net
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ดัตช์ปฏิเสธคำกล่าวอ้างจากสื่อฯยูเครนที่กล่าวหาว่ารัสเซียเป็นคนสอยเครื่องบิน MH17 ของมาเลเซีย

    [​IMG]

    ----------------
    เมื่อวานนี้ (5 มี.ค.58) สำนักข่าวหลายแห่งของยูเครนอ้างคำพูดของสำนักข่าวสาธารณะของดัตช์ (Dutch Public Broadcaster) ว่าเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MH17 ที่กำลังเดินทางจากกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ถูกยิงด้วยจรวด BUK ที่ผลิตโดยรัสเซีย ทำให้เครื่องบินลำดังกว่าตกบริเวณชายแดนยูเครนห่างจากรัสเซียประมาณ 40 กม. และทำให้ผู้โดยสารทั้งหมด 283 รายพร้อมกับลูกเรืออีก 15 รายเสียชีวิตทั้งหมด
    แต่สื่อฯฝั่งรัสเซียออกมายืนยันว่าด้วยคำพูดของอัยการของดัตช์เองว่าคำพูดดังกล่าวตามที่เป็นข่าวในสื่อฯฝั่งยูเครนั้นไม่เป็นความจริงและไม่ถูกต้อง สื่อฯของยูเครนรายงานผิดพลาด ทางดัตช์ไม่เคยพูดอย่างนั้นซักครั้ง แล้วยูเครนเอาข่าวนี้มาจากไหน? ฝั่งรัสเซียเขาตรวจสอบเร็วมาก พบว่าสื่อฯหลักของยูเครนที่นำข่าวนี้มาลงเอามาจากบล็อกแห่งหนึ่งในอินเตอร์เน็ท ซึ่งเป็นการเขียนให้ร้ายฝั่งรัสเซียหรือกลุ่มติดอาวุธนิยมรัสเซียเท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้รมว.กลาโหมของรัสเซียก็ได้เผยแพร่ภาพถ่ายเรดาด์ที่แสดงให้เห็นแล้วว่าอาจจะมีความเป็นได้อย่างอื่นที่ MH17 อาจจะถูกยิงตกด้วยเครื่องบินรบของฝั่งยูเครนเองนั่นแหละ
    ก่อนหน้านี้จำได้ว่าเมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ทูตของรัสเซียประจำมาเลเซียกำลังจะพ้นวาระและเดินทางกลับรัสเซียได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคดีนี้ว่าทางรัสเซียได้ส่งข้อมูลที่จำเป็นและหลักฐานทุกอย่างให้ทางการของมาเลเซียแล้ว จึงคิดว่าทางมาเลเซียไม่ได้ติดใจอะไรกับทางรัสเซีย แต่ผลปรากฏว่าหลังจากที่มาเลเซียได้รับข้อมูลและหลักฐานจากฝั่งรัสเซียแล้วทำไมถึงปิดเงียบ ไม่ออกมาแถลงความคืบหน้าในการสืบสวนใดๆให้สาธารณะชนได้รับรู้บ้างเลย ส่วนผลจากการพิสูจน์ข้อมูลบันทึกการบินที่ได้จากกล่องดำที่ตอนแรกกลุ่มติดอาวุธนิยมรัสเซียเก็บไว้แต่ไม่ได้เปิดหรือทำอะไร ต่อมาก็ส่งมอบให้ตัวแทนจากมาเลเซีย จากนั้นมาเลเซียก็ส่งให้อังกฤษ และอังกฤษก็ส่งให้ตัวแทนผู้ตรวจสอบจากดัตช์กับออสเตรเลีย เมื่อต้นเดือนกันยายนปีที่แล้วก็มีการเปิดเผยข้อมูลจากกล่องดำออกมาแต่ไม่พบความผิดปรกติใดๆ ตลกอีกหละ
    จากการรายงานของทีมตรวจสอบเบื้องต้นบอกได้แต่เพียงว่าเครื่องบินอาจจะระเบิดกลางอากาศก่อนตกถึงพื้น เพราะชิ้นส่วนของเครื่องบินตกกระจายกันไปทั่วบริเวณที่กินพื้นที่กว้างมาก บริเวณประตูห้องนักบิน (cockpit) ที่อยู่ด้านข้างของเครื่องบินมีรูขนาดเล็กหลายรูเหมือนถูกเจาะทะลุด้วยวัตถุบางอย่างจากภายนอก เหมือนรูกระสุนว่างั้นเถอะ ถ้าโดนยิงด้วยจรวดมิสไซล์บัคมันจะมีสภาพเป็นอย่างนั้นหรือ
    ข่าวนี้บอกได้แต่เพียงว่า การเสพข่าวจากสื่อฯฝั่งยูเครนก็เหมือนกับการฟังนายโปโรเชนโกพูดนั่นแหละ ต้องเอา 2 หรือ 3 มาหารตลอด การปั้นข่าวลวงใส่ร้ายผู้อื่นนี่พวกนี้ถนัดยิ่งนัก
    The Eyes
    06/03/2558
    -----------
    Ukraine Media Falsely Claim Dutch Prosecutors Accuse Russia of Downing MH17 / Sputnik International
    http://uatoday.tv/…/dutch-prosecutors-say-mh17-downed-by-ls…
    http://www.thestar.com.my/…/MH17-russian-ambassador-to-mal…/
    http://www.themalaysianinsider.com/…/russia-cherishes-malay…
    http://www.huffingtonpost.co.uk/…/mh17-crash-malaysia-airli…
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Chalee Na Roied

    [​IMG]

    หลายวันก่อนผมพูดถึงการไปแสดง ปาฐกถาครั้งสำคัญของผู้นำอิสราเอล ในสภาครองเกรส ท่ามกลางการต่อต้านจาก อดีตทหารผ่านศึกของอิสราเอล และนักการเมืองซีกเดโมแครตของสหรัฐนะครับ และก็ไม่ผิดคาดที่ บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาฟัง ผู้นำอิสราเอลแสดงวิสัยทัศน์ เกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยอ้างติดภาระกิจ ประชุมทางไกลกับ ผู้นำสหภาพยุโรปและนายทหารระดับสูง ของกองทัพสหรัฐ
    แต่คำปาฐกถาของ นายกฯ อิสราเอล ที่เป็นการส่งสัญญาณ ไปยังรัฐบาลสหรัฐก็คือ ไม่เห็นด้วยการการเจรจา P5+1 ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะไม่สามารถ ปล่อยเวลาให้เนิ่นนานกว่านี้อีกแล้ว ซึ่งเขาได้กำหนดเส้นตาย ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ เหลืออีกไม่กี่เดือน หรือไม่กี่สัปห์ดาเท่านั้น โดยอ้างว่าอิหร่าน จะสามารถสร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้สำเร็จ
    “By next spring, at most by next summer, at current enrichment rates, they will have finished the medium enrichment and move on to the final stage. From there, it’s only a few months, possibly a few weeks, before they get enough enriched uranium for the first bomb. A red line should be drawn right here, before – before Iran completes the second stage of the nuclear enrichment necessary to make a bomb.”
    Signalling for War: Benjamin Netanyahu before Congress | Global Research
    ก่อนหน้านั้น มีกระแสข่าวรายงานว่า รมต.ต่างประเทศสหรัฐ นายจอห์น เคอร์รี่ ได้เปิดเผยแผนการของ เบนยามิน เนธันยาฮู ในการเรียกประชุมเสนาธิการทหารของอิสราเอล ในการวางแผนโจมตีอิหร่าน โดยการส่งเครื่องบินรบ เข้าไปทดสอบระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่าน ซึ่งเครื่องบินรบอิสราเอล สามารถเอาชนะ ระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านได้ และบารัค โอบามาได้ ขู่ว่าจะทำการยิงเครื่องบินรบอิสราเอล ระหว่างทางในการโจมตีอิหร่าน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง อิสราเอลและบารัค โอบามา ย่ำแย่ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา http://www.eutimes.net/…/obama-threatens-war-on-israel-if-…/
    แต่เอาเป็นความพยายาม ของผู้นำอิสราเอล คงไม่จบอยู่เพียงเท่านี้นะครับ เพราะการเมืองภายในสหรัฐเวลานี้ ก็มีความแตกแยกมากพอสมควร ระหว่างรัฐบาลเสียงข้างน้อย ของบารัค โอบามา และเสียงข้างมากจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลประโยชน์ ในตะวันออกกลางและจำนวนมาก เพราะในขณะทางทำเนียบขาว ได้ แสดงความเห็นไม่เห็นด้วยกับ ท่าทีของผู้นำอิสราเอล แต่เขากลับได้รับ การสนับสนุนจากสภาครอง ผู้แทนจากรีพับลิกัน ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนจำนวนมาก ต่อกรณีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน Congress Cheers Netanyahu’s Hatred of Iran | Global Research
    และการไปปาฐกถาในสภาครองเกรสในครั้งนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับ เมื่อครั้งที่นายกฯอังกฤษ วิลสตัน เชอร์ชิล เคยไปแสดงปาฐกถา ในสภาครองเกรส ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นแหละครับ ซึ่งแน่นอนว่า อิสราเอลกับอิหร่าน ยังต้องติดตามต่อไป เพราะแนวโน้มเค้าลางของ สงครามก็ไม่ไกลเกินจริง..
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Chalee Na Roied

    [​IMG]

    ข่าวการปล้นชิงทองคำ ตอนนี้ไม่ได้มีเฉพาะในบ้านเรานะครับ ลามไปที่อเมริกาเรียบร้อยแล้ว มีการปล้นรถขนทองคำ ที่นอร์ท แคโรไลนาสหรัฐ เมื่อสามวันก่อน ได้ทองคำแท่งมูลค่า 4.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ราวๆ140ล้านบาท) นับเป็นการปล้นทองคำครั้งใหญ่ อีกครั้งที่เกิดขึ้นในสหรัฐ
    แสดงว่าโจรที่ปล้นเขามีวิสัยทัศน์ และมองการไกลครับ เพราะถ้าปล้นเงินดอลลาร์แล้ว เอาไปเก็บไว้ คงจะเกรงว่าจะไม่คุ้ม กับความเสี่ยงเพราะ ถ้าดอลลาร์อ่อนค่า หรือกลายเป็นเศษกระดาษ ก็ไม่คุ้มกับคุกและตาราง

    $4.8M in gold bars stolen in armored truck heist on highway
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai
    ... "อิสราเอลใช้สภาคองเกรส บีบโอบาม่า ประกาศสงครามกับ อิหร่านและซีเรีย"

    [​IMG]

    ... เมื่อ 3 มีนาคม 2015 ที่ผ่านมา นายเนทันยาฮูนายกรัฐมนตรีอิสราเอล ( ของพรรคลิคุด สายเหยี่ยวเน้นการทำสงครามแก้ปัญหา เหมือนพรรครีพับรีกันของอเมริกา ) ได้ไปปาฎกถาในสภาคองเกรสของอเมริกาโดยอ้างว่านักการเมืองพรรครีพับรีกันเชิญไปพูด โดยที่โอบาม่ายังไม่ได้ลงนามยินยอมรับทราบเลย เป็นเหมือนยิ่งกว่าการเอาเท้าข้ามหัวโอบาม่า แต่ยังได้ใช้เท้าทั้งสองข้างถีบยอดหน้าโอบาม่าให้หงายเงิบลงไปกองกับพื้นด้วย

    ... สรุปแบบชาวบ้านคือ "เนทันยาฮูของอิสราเอล" ใช้เวทีครั้งนี้บีบโอบาม่า สส.สว. อเมริกาให้เดินตามตัวเอง "ประกาศสงครามกับอิหร่าน ซีเรีย และประเทศพันธมิตรอื่นๆ"

    ... เพราะตั้งแต่เลือกตั้งกลางเทอมของอเมริกา มาพรรครีพับรีกันมีอำนาจล้นฟ้า โอบาม่าเป็นเป็นตัวละครหน้าฉาก ทำอะไรไม่ได้มาก จนมาถึงตอนนี้อิสราเอลต้องการจะใช้การปาฎกถาในครั้งนี้เป็นตัวบีบโอบาม่าในการใช้ "ไม้แข็ง" ในการปราบอิหร่าน โดยเนื้อหาอ้างเรื่องว่าอิหร่านมีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ที่เป็นอันตรายต่อเพื่อนบ้าน ( โดยเฉพาะ อิสราเอล ซาอุดิอาระเบีย และลูกสมุน เช่น ยูเออี การ์ต้าร์ บาร์เรน )

    ... และก่อนหน้านี้ ปี 2012 เนมันยาฮูก็เคยบอกว่า อิหร่านอยู่ที่ระดับ 70% ของการจะทำอาุธนิวเครียร์ได้แล้ว แต่แหล่งข่าวลับของอัลจาร์ซีร่าบอกว่า "มอสสาด" จารชนของอิสราเอลบอกเองว่าตอนนั้น อิหร่าน ยังไม่มีกิจกรรมใดๆ ที่จะส่อออกมาจะสามารถทำอาวุธนิวเคลียร์ได้เลย แปลว่า เนทันยาฮูกล่าวเกินจริงไป

    ... เพราะเนทันยาฮูต้องการให้โอบาม่าเล่น "ไม้แข็ง" แบบสไตล์สายเหยี่ยว เป็นตำรวจที่ใช้ความรุนแรงกับผู้ต้องหา มากกว่าจะเป็นตำรวจ "ไม้นวม" ที่ใช้วิธีการนุ่มนวลหว่านล้อมผู้ต้องหา อย่างเช่นที่เป็นอยู่ ที่อเมริกามีการยึดเงินในบัญชีของอิหร่านเอาไว้หลายพันล้านดอลล่าร์ นอกเหนือจากการห้ามการค้าขายกับอิหร่านที่ก็ทำให้เศรษฐกิจอิหร่านย่ำแย่พิกลพิการอยู่แล้ว แต่นั้นยังไม่ได้ดั่งใจของเนทันยาฮู

    ... โอบาม่าเองก็รักษาหน้าน้อยๆตัวเองที่ตอนนี้เล็กลงเหลือแค่เท่ากลีบกระเทียบ ( ในปาฎกถาครั้งนี้ มีนักการเมืองจากพรรคเดโมแครต กว่า 50 คนขึ้นไปไม่ยอมเข้าฟังด้วย เป็นการประท้วงเนทันยาฮูว่าทำล้ำหน้าเกินไป ฉีกหน้าโอบาม่าเละเป็นโจ๊กรอบดึกต่อชาวโลก ) โดยการบอกว่าเนทันยาฮูพูดนั่นไม่มีอะไรใหม่ แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้ ประมาณว่าไม่ได้ให้ความสำคัญในการพูดครั้งนี้

    ... แต่สิ่งหนึ่งที่ชาวโลกได้เห็นในครั้งนี้คือ ระหว่าง "อิสราเอลกับอเมริกา" นั้นใครกันแน่ที่เป็น"พ่อและลูก" ที่ปกครองให้อีกฝ่ายอยู่ในโอวาทได้เหมือนเคาะชามเรียกสุนัขมาทานข้าวได้ตามใจที่ต้องการ

    ... เพราะว่า เนทันยาฮูเองก็ต้องการ บีบอเมริกาทั้งวุฒิสมาชิก สส. และโอบาม่าให้ออกมาตรการแบบรุนแรงไม้แข็งในการปราบอิหร่านเรื่องโครงการอาวุธนิวเคลียร์ ที่สภากำลังจะร่างกฎหมายกันในสัปดาห์หน้านี้ เหมือนตีปลาหน้าไซ บีบให้เล่นตามแนวทางที่ต้องการ เพื่อ "หยุดโครงการพัฒนาด้านนิวเคลียร์" ของอิหร่านให้ได้

    ... เพราะถ้ามองบริบทอื่นที่ข้างๆเคียงนั้น "สายเหยี่ยวไม้แข็ง" นั้นได้วางแผนและเตรียมขุมกำลังไว้หมดแล้ว เช่นเมื่อ 15 กพ.2015 ที่ผ่านมานั้น "ตุรกี" ก็เริ่มมีการจะย้ายหลุมศพของ "ชาร์สุไลมาน" สมัยอ๊อตโตมานออกไปให้ใกล้กับชายแดนตุรกีมากขึ้น ( นั่นเป็นข้ออ้าง ) โดยที่ทางการซีเรียทราบก่อนไม่นาน แบบไม่รอการยินยอมอนุมัติ ซึ่งแท้จริงคือการ "เคลื่อนกองทัพทหารตุรกี" เข้ามาซีเรียเพื่อทำสงครามกับซีเรีย ล้มอัล อ้สสาดนั่นเอง

    ... ขณะที่ก็มีข่าวว่า "ซาอุดิอาระเบีย" นั้นมีการยินยอมจะให้ "อิสราเอล" ใช้น่านฟ้าของตัวเองในการบินข้ามไปปฎิบัติการทางอากาศกับประเทศอิหร่านหรือพันธมิตรได้ โดยแลกกับการที่ดึงยิวยอมจัดฉากการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอล ปาเลสไตน์ ให้ดูดีเอาใจชาวมุสลิมที่ตอนนี้มองว่าซาอุดิอาระเบียนั้นเป็นพวกเดียวกับอิสราเอลหมดแล้ว

    ... "อิหร่าน" เองก็มีปฎิกิริยาที่ไม่แคร์การพูดของเนทันยาฮู ดดยบอกว่า เป็นการหลอกลวงและเป็นความพยายามตั้งข้อหาใส่ร้ายกันแบบไม่มีเหตุผลและน่าสิ้นหวัง และปฎิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และยังบอกว่า ตอนนี้อิหร่านและประเทศตะวันตกหลายๆประเทศก็ยังพูดคุยกันได้ดี ทั้งสองฝ่ายก็กำลังอยู่ในลู่ทางที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหา มีแต่อิสราเอลเท่านั้นที่พยายามทำให้การเจารจานั้น ออกนอกลู่ทางตลอดเวลา ( และใช้สงครามตัดสินปัญหา )

    ... เพราะ "อิสราเอลนั้น" นั้นจะมีเลือกตั้งใหญ่ในอีกสองสัปดาห์หน้า และต้องการที่จะให้นโยบายสายเหยี่ยวของพรรคลิคุดของเนทันยาฮูเรื่อง "ใช้สงครามใช้กำลังต้ดสินปัญหา" ให้ต่อเนื่องไม่สะดุด จึงต้องมีการพูดกลางสภาคองเกรสดังกล่าว เพื่อหาเสียงของตัวเองด้วย และเพื่อบีบโอบาม่าและนักการเมืองอเมริกาให้เดินตามคำสั่งอิสราเอลด้วย

    ... อีกสัปดาห์ก็จะรู้ผลว่าทิศทางจะเป็นอย่างไร แต่ดูจากจำนวน สว. สส.รีพับรีกันที่ครอบครองเป็นมาเฟียในสภาคองเกรส แม้โอบาม่าจะสามารถวีโต้ได้ แต่น่าจะไม่รอด ที่จะต้องออกมาใช้ "ไม้แข็ง" กับอิหร่าน ซีเรีย และเพื่อนๆ นั้นก็คือ ... ... = ... "สงครามใหญ่" ที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

    .
    http://www.aljazeera.com/…/iran-obama-dismiss-netanyahu-spe…
    Netanyahu’s Speech to the US Congress Really Helps Obama against Iran | Global Research
    https://www.youtube.com/watch?v=lELXynhbS84
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    ... "เนทันยาฮู เอาเท้าเหยียบหัวโอบาม่า บีบอเมริกาให้ร่วมประกาศสงครามกับอิหร่าน"
    ฉบับเต็ม เมื่อ 3 มีนาคม 2015
    .
    <iframe width="854" height="510" src="https://www.youtube.com/embed/lELXynhbS84" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    ... " สงครามมาแล้ว "
    ... อีกสองสัปดาห์จะเลือกตั้งใหญ่อิสราเอล พรรคสายเหยี่ยวอย่างลิคุดของเนทันยาฮูต้องการเป็นรัฐบาลต่ออีกสมัยเพื่อสานต่อนโยบายบุกซีเรียหนามยอกใจที่ให้การหนุนเฮสบุลเลาะฟ์ในเลบานอน เลยจับมือกับสายเหยี่ยวอเมริกันอย่างรีพับรีกัน เพื่อประกาศสงครามกับอิหร่านกลางสภาคองเกรสแบบเหยียบหน้าโอบาม่า แน่นอนแล้ว ประกอบกับข่าวที่อเมริกาต้องการขยายสมรภูมิไปที่เกาหลี ... ... = ... ...งานนี้คงหลีกเลี่ยงสงครามใหญ่ไม่พ้น เตรียมหาเครื่องกรองน้ำไว้ได้เลย อีโมติคอน smile ตอนสงครามเงินจะเฟ้ออ่อนค่าลง เงินปลอมจะระบาด ข้าวปลาอาหารคือของจริง น่ากลัวจริง
    .
    .
    .
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    [​IMG]

    ... "บอลลูนหอบอาหารลอยข้ามฟ้าจากไต้หวันไปจีน : สงครามจิตวิทยายุคสงครามเย็น"
    ... ช่วงสงครามเย็น "ก๊กมินตั๋ง" โดยการนำของเจียงไคเช็คได้หนีไปอยู่เกาะ "ไต้หวัน" ขณะที่ "จีนคอมมิวนิสต์" ก็อยู่แผ่นดินใหญ่โดยการนำของ "เหมาเจอตุง" และแม้สงครามระหว่างทั้งสองฝ่ายจะจบลงแล้ว แต่ช่วงสงครามเย็น ยังมี "สงครามจิตวิทยา" ระหว่างกันต่อเนื่องมา
    ... ในปี 1968 "แผนกสงครามจิตวิทยา" ของไต้หวันได้ออกมาตรการหนึ่งคือการค่อยๆดึงคนจีนแผ่นดินใหญ่มาเป็นพวก โดยไต้หวันได้มีการ "ปล่อยบอลลูน 101,614,528 ลูก" ( ร้อยกว่าล้านลูก ) ให้ลอยตามลมไปสู่ทิศทาง หมู่เกาะ Kinmen (Quemoy) ที่บางเกาะอยู่ห่างจากไต้หวันแค่ประมาณ 5ไมล์ ( ฝั่งแผ่นดินใหญ่บริเวณเมือง "เซี่ยเหมิน" Xiamen ในปัจจุบัน ) โดยใช่บอลลูนพิเศษ( helium balloon ) ที่มีสามารถลอยไปได้ไกลถึงทิเบตและซินเกียง
    ... โดยสิ่งที่ไต้หวันแนบไปกับบอลลูนด้วยนั้นคือ "หนังสือ" "ใบปลิว" สำหรับโฆษณาชวนเชื่อทั้งหมด 213,000,000 ชิ้น, เล่ม นอกจากนั้นยังมี "อาหาร ของเล่น สินค้าในครอบเรือน และในชีวิตประจำวัน" แนบไปกับบอลลูนด้วย เช่น สบู่ เกลือ ยาสูบ เสื้อผ้า นิตยสาร หนังสือพิมพ์ เพื่อจะเปิดโลกแคบของจีนแผ่นดินใหญ่ให้เห็นความสดใส อิสระ ร้อนแรงของโลกเสรีทุนนิยม
    ... ยิ่งกว่านั้น ยังได้แนบ "หนังสือเดินทาง" ไปกับบอลลูนด้วย ใครที่เก็บได้สามารถแสดงให้เจ้าหน้าที่ที่ด่าน เข้าเมืองไต้หวันได้เลย ถ้าไม่อยากอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่แสนยากจนในตอนนั้น หลายคนที่เป็นทั้งชาวประมง ทหาร ทหารอากาศจากจีนแผ่นดินใหญ่ก็เอา "หนังสือเดินทาง" ไปยื่นเพื่อเข้าไปอยู่ในไต้หวันเพื่อหวังชีวิตที่สดใสงดงาม อุดมสมบูรณ์
    ... นอกจากนั้นแล้วยังได้ใช้ "ดนตรี" เพื่อการโฆษณาชวนเชื่อด้วย โดยใช้เพลงของนักร้องดัง "เติ้ง ลี่จวิน" ( ที่มาเสียชีวิตอย่างปริศนาเมื่อปี 1995 ที่เชียงใหม่ ประเทศไทย ) เป็นเครื่องมือ โดยการมัดม้วนเทปของเธอไปกับบอลลูนด้วย โดยเธอเป็นนักร้องไต้หวันที่ดังมากในตอนนั้น โดยเฉพาะเพลงรักหวานซึ้ง โดยมีวาทะกรรมล้างสมองไปด้วยว่า "ฉันชอบเติ้งน้อย (เติ้ง ลี่ จวิน) แต่ไม่ชอบ เติ้งใหญ่ ( เติ้งเสี่ยวผิง) " “I like the little Deng, not the big Deng,”
    ... นอกจากใช้บอลลูนเพื่อการโฆษณษชวนเชื่อแล้ว ยังมีการใช้ใบปลิวใส่ข้อความโฆษณาชวนเชื่อใส่ในขวดเบียร์ปิดสนิทอย่างดีแล้วปล่อยลอยน้ำ โดยมีการวิเคราะห์การไหลของน้ำอย่างดี
    ... โดยตอนนั้น ทางไต้หวันมี "อเมริกา" เป็นที่ปรึกษาใหญ่โดยอเมริกาได้มีการติวเข้มและแนะนำฝึกอบรมวิธีการโฆษณาชวนเชื่อแก่เจ้าหน้าที่ไต้หวันจำนวน 25 คนที่สำนักงานใหญ่ของฝ่าย "แผนกสงครามจิตวิทยา" ของอเมริกาที่เกาะโอกินาวาของญี่ปุ่นเมื่อปี 1968 โดยเฉพาะ
    ... ปัจจุบัน "สงครามจิตวิทยา" ที่เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของสงครามยังมีใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะใช้สื่อกระแสหลัก หนังสือ นิตยสาร โทรทัศน์ ภาพยนตร์ โซเชี่ยลมีเดีย สถาบันการศึกษา ที่ประเทศมหาอำนาจต่างแอบสอดแทรกสอดไส้เรื่องที่พวกเขาต้องการโฆษณาเพื่อชวนให้คนทั่วโลกเชื่อตามพวกเขาเสมอมา อยู่ที่เราที่เป็น "คนรับสาร" จะมี "เครื่องกรอง" เพื่อใช้ในการพิจารณาการเชื่อตามข้อมูลจากพวกเขาหรือเปล่า ?
    .
    Nationalist and Communist Chinese Propaganda Leaflets
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    [​IMG]

    ... "เจียงไคเช็ค : หุ่นเชิดของเจ้าของที่ดิน นายทุน นายธนาคารของจีน"
    ... ช่วงปี 1911 หลังจากซุนยัดเซ็นได้ล้มราชวงศ์ชิงของชาวแมนจูได้แล้ว ช่วงปี 1915 ถึง 1927 ประเทศจีนก็เกิดความวุ่นวายมีหลายก๊กหลายเหล่าของขุนนางทหารนายทุนที่ต่อสู้กันเอง และในปี 1923 ( ถึง 1927 ) ที่ "ก๊กมินตั๋ง" ของ "ซุนยัดเซ็น" ก็รับเอาพรรคคอมมิวนิสต์ของเหมาเจอตุงเข้ามาอยู่ร่วมกลุ่มด้วย
    ... แต่พอปี 1925 หลังจากที่ "ซุนยัดเซ็น" เสียชีวิตไป ดุลอำนาจในก๊กมินตั๋งก็เปลี่ยนไป กลุ่มที่ฝักใฝ่ทุนนิยมเสรีแบบขวาของก๊กมินตั๋งที่นำโดย "เจียงไคเช็ค" ก็ครอบครองอำนาจเด็ดขาดพยายามกำจัดกลุ่มคอมมิวนิสต์ของเหมาออกไป เพราะเจียงไคเช็คเป็นพวก "ต่อต้านคอมมิวนิสต์" เพราะตอนนั้นเจียงได้ร่วมกันกับเพื่อนสมาชิกก่อตั้งกลุ่มแนวร่วมขึ้นมาที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ที่มีสมาชิกที่สำคัญคือ "ตระกูลซ่ง" ที่ตอนหลังเขาได้คนในครอบครัวนั้นมาเป็นภรรยาด้วย คือนาง “ซ่ง เหมย หลิง” Soong Mei-ling หรือที่รู้จักกันดีในนาม "มาดามเจียง"
    ... จนทำให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องออกไปตั้งกลุ่ม "Soviet Republic" ใน "เกียงสี" แต่เจียงก็ส่งกองทัพที่มีตอนนั้นประมาณ 1 ล้านคนไปปราบฝ่ายคอมมิวนิสต์ให้สิ้นซากให้ได้ จนเหมาต้องพาฝ่ายคอมมิวนิสต์หนีกระเซอะกระเซิงเดินข้ามประเทศ ตั้งแต่ปี 1934 - 1935 ข้ามภูเขา แม่น้ำ จนในที่สุดก็ปักหลักที่เมือง Yenan ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เรียกการเดินทางครั้งนั้นว่า "การเดินทางไกล" ( The Long March ) อันเป็นตำนานโด่งดัง
    ... ขณะที่ตั้งใจปราบปรามคอมมิวนิสต์ของเหมา "เจียงไคเช็ค" นอกจากสนิทเป็นญาติกับคนตระกูลซ่งแล้ว เขาก็ยังสนิทสนมกับนายทุนเจ้าของที่ดินและนายธนาคารมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกลุ่มของ "พี่น้องตระกูล Chen" ที่เป็นนายธนาคารใหญ่จากเซี่ยงไฮ้ จนนักประวัติศาสตร์บอกว่าเขาอาจจะถูกอิทธิพลของพวกคนรวยกลุ่มนี้ครอบงำอยู่ และเป็นแค่ "หุ่นเชิด" ของพวกนายทุนนายธนาคารเจ้าของที่ดิน แค่นั้นเอง
    ... เจ้าหน้าที่ "อเมริกา" ได้เคยส่งคนไปหาข่าวสอดแนมที่เมือง Yenan ของคอมมมิวนิสต์ และสอบถามชาวบ้านแถบนั้นที่ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ แต่มักจะได้รับคำตอบว่า "เชื่อว่ากลุ่มคอมมิวนิสต์จะพาพวกเขาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า" เพราะคอมมิวนิสต์จะ "ยึดเอาที่ดิน" จากพวกนายทุนที่ดินกลับมาเป็นของรัฐและให้ประชาชนได้ทำกิน ( เพราะตามแนวคิดของคอมมิวนิสต์นั้น ที่ดินจะเป็นของรัฐส่วนกลาง และแบ่งให้ประชาชนเอาไปเช่าทำกินเป็นแบบคอมมูน ส่วนกลางร่วมกัน เอกชนคนรวยเจ้าของที่ดินเยอะๆก็เลยกลัวคอมมิวนิสต์ )
    ... ซึ่งกลุ่มคนที่รับไม่ได้และเสียประโยชน์จากการถ้าคอมมิวนิสต์เป็นใหญ่และครอบครองจีนได้คือ "นายทุนใหญ่ เจ้าของที่ดิน และนายธนาคาร" ที่กลัวว่าผลประโยชน์ของตนจะต้องถูกรัฐบาลคอมมิวนิสต์ยึดเอาไปเป็นของส่วนกลาง จึงต้องออกโรงหนุน "เจียงไคเช็ค" อย่างถึงที่สุด และในต่างประเทศ "อเมริกา" เองก็คงรับไม่ได้ถ้าระบบคอมมิวนิสต์จะเป็นใหญ่ ที่จะทำให้ระบบทุนนิยมเสรีของตนอาจจะสั่นครอนไป ถ้าจีนส่งออกระบบคอมมิวนิสต์และแทกแทรงไปทั่วย่านเอเชียนี้
    ... "มาดามเจียง" เป็นทั้งนักการเมืองและจิตรกร นั้นเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากเพราะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ปาฎกฐาทั่วอเมริกาเพื่อกระตุ้นให้อเมริกาช่วยเหลือ "จีน" ในการต่อสู้กับญี่ปุ่นที่กำลังรุกรานจีนอย่างหนัก นอกจากเธอจะเป็น "น้องสาวสะใภ้ซุนยัดเซ็น" ด้วย ( "ซุนยัดเซ็น" แต่งงานกับ "ซ่ง ชิ่งหลิง" ที่เป็นพี่สาวของเธอ = แปลว่านายทุนคนรวยก็อยู่เบื้องหลัง ซุนยัดเซ็นด้วยเช่นกัน ถ้าราชวงศ์ชิงล้ม พวกคนรวยก็จะสบายขึ้นเป็นใหญ่แทนชาวแมนจู ที่ตอนนั้นซูสีไทเฮา ลูกทหารอำมาตย์ใหญ่เป็นเผด็จการอยู่ )
    ... แม้จะเกิดที่เซี่ยงไฮ้ แต่ในวัยรุ่น "มาดามเจียง" ได้ศึกษาต่อที่อเมริกาตามรอยเท้าบิดาที่ก็เรียนจบที่อเมริกามาเหมือนกัน จึงมีแนวคิดรักและเทิดทูนระบบทุนนิยมอย่างมาก โดยเธอไปอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จนจบด้านปรัชญาและวรรณคดี พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว
    ... ตอนที่เจียงไคเช็คพบมาดามเจียงนั้น เขาแต่งงานแล้ว แต่สุดท้ายเพื่อจะสมหวัง เขาได้ยอมหย่ากับภรรยาคนเก่ารวมทั้งเปลี่ยนจากพุทธศาสนามาเป็นคริสต์ตามมาดามเจียง ระหว่างที่เจียงเป็นใหญ่เธอคือผู้ อยู่เบื้องหลังทั้งหมดในการดำเนินการหลายๆอย่างที่สำคัญ ร่วมคิด ร่วมทำ วางแผน ดำเนินการทุกๆอย่าง ประหนึ่งว่าเธอเป็นคนที่ต้องดำเนินการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของครอบครัวของเธอเองด้วย
    ... หลังปี 1949 ที่เจียงไคเช็คแพ้เหมาเจอตุง เขาและเธอก็ได้หนีไปเกาะฟอร์มูซาและตั้งเป็นประเทศไต้หวัน และมีการพัฒนาประเทศเป็นแบบเสรีประชาธิปไตยที่นายทุนนายธนาคารเจ้าของที่ดิน ไม่ต้องถูกยึดที่ดินจากรัฐ จนกระทั้งปี 1975 เจียงเสียชีวิตเธอจึงได้ย้ายไปอเมริกาและเป็นประเทศที่เธอหมดลมหายใจสุดท้ายที่นั้น
    .
    Nationalist and Communist Chinese Propaganda Leaflets
    Soong May-ling - Wikipedia, the free encyclopedia
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx…
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    [​IMG]

    ... “เขาชอบศึกษาบุคคลที่สำคัญๆ ว่าเขาสำคัญมาได้อย่างไร คนที่ชอบมากที่สุดเรียกว่าบูชาเลยก็ว่าได้คือ "อดอฟต์ ฮิตเลอร์" ผู้นำเผด็จการพรรคนาซี ถือเป็นบุคคลในฝันของธัมมชโย และใช้เป็นต้นแบบในการบริหารวัดพระธรรมกายอีกด้วย ...
    ... แกเคยพูดกับผมประโยคหนึ่งว่า “หลวงพ่อไม่ต้องการเป็นสังฆราช แต่หลวงพ่อต้องการครองโลก” แนวคิดเดียวกับฮิตเลอร์เป๊ะ .... อ่านต่อได้ที่ : อดีตศิษย์เอกชำแหละธัมมชโย "เขาบูชา ฮิตเลอร์" - โพสต์ทูเดย์ ข่าววิเคราะห์

    อดีตศิษย์เอกชำแหละธัมมชโย "เขาบูชา ฮิตเลอร์"
    01 มีนาคม 2558 เวลา 08:20 น. |
    โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์

    “หลวงพ่อไม่ต้องการเป็นสังฆราชหรอก แต่หลวงพ่อต้องการครองโลก โลกทั้งใบ”

    ประโยคคำพูดที่ตราตรึงอยู่ในใจของ นพ.มโน เลาหวณิช อดีตพระสงฆ์องค์สำคัญแห่งวัดพระธรรมกายนับตั้งแต่ได้รับฟังยังคงอยู่ในห้วงความคิดของเขาจนถึงปัจจุบัน และคนที่พูดคำนี้หาใช่ใครอื่น

    “พระธัมมชโย” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย คือเจ้าของคำพูดนั้น บ่งบอกได้ชัดเจนถึงแรงปราถนาอันแรงกล้าอย่างน่ากลัว ของผู้นำความคิดแห่งวิชาธรรมกาย

    ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิอกภูมิใจตามความคิดของคู่สนทนาสำหรับ “โพสต์ทูเดย์” ที่เข้ามาจับเข่าคุยกับนพ.มโน อดีตศิษย์รัก ศิษย์คนสำคัญของพระธัมมชโย อดีตที่เคยไว้วางใจบอกทุกเรื่องราว “หมอมโน” แยกทางจากพระธัมมชโย เมื่อปี 2541 เพราะรับไม่ได้กับพฤติกรรมสงฆ์ของพระธัมมชโย พร้อมชำแหละถึงด้านมืดและความเสื่อมของพระธัมมชโย ที่แปรเปลี่ยนวัดพระธรรมกาย รวมถึงพุทธศาสนาให้ผิดเพี้ยนจนเกิดความเสื่อมไปทุกระแหง

    ขาดความรัก พ่อแม่แยกทาง

    นพ.มโน เปิดฉากเล่าว่า ในช่วงวัยรุ่น พระธัมมชโยในคราบของนักเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพื่อนร่วมรุ่นก็มีอยู่ในพรรคเพื่อไทย เช่น ปลอดประสพ สุรัสวดี และเขาเป็นคนที่ใฝ่ความรู้ ชอบอ่านหนังสือ และแผงหนังสือย่านสนามหลวงคือที่สิงสถิตย์ ส่วนใหญ่แล้วพระธัมมชโยจะมักไปยืนอ่านหนังสือฟรี เพราะไม่มีสตางค์จะไปซื้อมาเป็นของตัวเอง และหนังสือที่ชอบมากที่สุดคือประวัติศาสตร์บุคคล

    “มาวันหนึ่งตอนแกอยู่ชั้นมศ.4 มาอ่านหนังสือที่สนามหลวง ไปเจอเรื่องปาฏิหารย์ แม่ชีคุณยายจันทร์ปัดลูกระเบิด แกเลยดิ่งมาหาคุณยายจันทร์ที่วัดปากน้ำทันที มานั่งสมาธิกับคุณยายจันทร์เรื่อยมา ซึ่งตอนนั้นคุณยายจันทร์เอ็นดู ดูแลมาตลอดเพราะสงสาร และเริ่มสอนการบอกบุญ ให้ทุนการศึกษากับธัมมชโย และได้เข้าเรียนที่ม.เกษตร คณะเศรษฐศาสตร์”

    “เขาชอบศึกษาบุคคลที่สำคัญๆ ว่าเขาสำคัญมาได้อย่างไร คนที่ชอบมากที่สุดเรียกว่าบูชาเลยก็ว่าได้คืออดอฟต์ ฮิตเลอร์ ผู้นำเผด็จการพรรคนาซี ถือเป็นบุคคลในฝันของธัมมชโย และใช้เป็นต้นแบบในการบริหารวัดพระธรรมกายอีกด้วย ส่วนหนึ่งที่ชื่นชอบอาจจะมีความคล้ายคลึงกันหลายอย่าง ทั้งวันเกิดที่ฮิตเลอร์เกิดวันที่ 21 เม.ย. แต่พระธัมมชโยเกิดวันที่ 22 เม.ย. เวลาตกฟากเดียวกัน และที่สำคัญคือเริ่มจากศูนย์เหมือนกัน นั่นจึงสะท้อนแนวคิดของพระธัมมชโยว่าทำไมเขาจึงอยากครองโลก”

    อดีตในวัยเยาว์ของพระธัมมชโย เป็นเด็กที่มีปมด้อย เนื่องว่าพ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ได้ขวบปี และต้องระเห็จไปอยู่บ้านญาติชนิดที่เรียกว่าย้ายบ้านทุกเดือน และโหยหาความรักมาตลอด แต่จุดเด่นคือ ให้เกิดความละเอียดอ่อนในตัวเองจะเป็นคนที่จ้องความรู้สึกของคนอื่นอยู่ตลอด และมีคำถามว่าคนนี้รักเราหรือเปล่า ทำอย่างไรเขาจะรักเราให้มากที่สุด

    “และข้อเสียจากความผิดพลาดในครอบครัว ก็เป็นแรงผลักดันให้พระธัมมชโยเกิดความทะเยอทะยาน ด้วยว่าทำไมเราต้องเป็นอย่างนี้ เราต้องเป็นใหญ่ จึงเกิดการอยากได้ทุกอย่าง อยากได้อำนาจ ถ้าได้โลกทั้งโลกก็เอา นี่คือตัวตนของเขา” หมอมโน ย้อนภาพให้เห็น

    แววออก เป็นเชียร์ลีดเดอร์เกษตร คุมคนนับพัน

    นพ.มโน เล่าว่า แต่แววผู้นำของพระธัมมชโยมามาเห็นชัดที่สุด คือได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่เก่งถึงขนาดคุมคนนับพันให้เชื่อฟังได้ ยังไม่พอพระธัมมชโยหรือในขณะนั้นคือนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ ยังเป็นหัวหอกยืนจังก้าใส่กางในตัวเดียวขับไล่อธิการบดีของมหาวิทยาลัยฯ อีกด้วย

    “เขามีแววการเป็นผู้นำตั้งแต่ต้น โดยได้เป็นผู้นำเชียร์ลีดเดอร์ของม.เกษตร ถือว่าไม่ง่ายนะ เพราะต้องมีทริคในการคุมคนเป็นพันให้เชื่อฟังเรา ให้เงียบ และทริคนี่เองทำให้รู้จักวิธีคอนโทรลว่าทำอย่างไรให้เงียบ ทำไงให้เดินเป็นแถว และวิธีนี้เองที่นำมาใช้กับคนหมู่มากในวัดพระธรรมกาย แกเป็นผู้นำในกิจกรรมของนักศึกษา ตอนนั้นที่สำคัญคือการประท้วงเดินขบวนไล่อธิการบดี มจ.จักรพันธ์ฯ สมัยก่อนโดนธัมมชโยไล่ ยืนใส่กางเกงในตัวเดียวตะโกนเรียกอธิการบดีมาคุยด้วย มีความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง

    “เขาเอาระบบของม.เกษตรมาใช้ และระบบการบริหารของฮิตเลอร์ตอนมานุ่งผ้าเหลือง วิธีการคล้ายกัน เพราะ ฮิตเลอร์สร้างลัทธินาซีขึ้นมาโดยเริ่มจากเยาวชน นักศึกษามหาวิทยาลัย พอได้มาแล้วก็เข้าสู่พวกนักธุรกิจ และปลุกผีให้เกลียดพวกยิว ระดมเงินจากนักธุรกิจมาตั้งพรรคนาซี ไม่ต่างจากวัดพระธรรมกายที่เริ่มจากเยาวชน

    นพ.มโน เล่าว่า ตอนนั้น พระธัมมชโยเองไม่เคยสนใจว่าควรทำธุรกิจหรือไม่ควรทำธุรกิจ เพียงแต่ต้องการหาช่องทางเพื่อดันตัวเองให้สู่ความยิ่งใหญ่ แกเคยพูดกับผมประโยคหนึ่งว่า “หลวงพ่อไม่ต้องการเป็นสังฆราช แต่หลวงพ่อต้องการครองโลก” แนวคิดเดียวกับฮิตเลอร์เป๊ะ ไปดูการจัดแถวของธรรมกายได้กับภาพการจัดงานของฮิตเลอร์ปานถอดแบบมา แกเดินตรวจในฐานะผู้นำ ฮิตเลอร์เป็นอย่างไรในที่ประชุม แกก็ทำตาม

    ลัทธิลับ สอนเฉพาะคนสนิท

    “พระธัมมชโยก็บอกว่าการบริหารวัดในรูปแบบนี้คือลัทธิธรรมกาย เป็นลัทธิลับ สอนให้เฉพาะคนสนิทใกล้ชิดเท่านั้น หรือที่รักจริงๆ แต่ธรรมกายแตกต่างจากวัดปากน้ำ คือ หลวงพ่อสดคนเดียว ตอนเทศ 93 กัณฑ์ มีประโยคทองอยู่วรรคหนึ่งว่า เมื่อผู้เทศน์ได้เข้ามาบวช จึงได้รู้ว่าพระต้นธาตุใช้ให้มาปราบมาร หากปราบไม่สำเร็จจะยอมตายที่วัดปากน้ำแห่งนี้ ซึ่งท่านก็ตาย ปราบไม่สำเร็จ แต่การปราบมารของท่าน คือการเข้าไปพบโลกอีกโลกหนึ่ง หรืออีกขั้วหนึ่งของธรรมกายที่ดำมืด เป็นมาร เป็นอีกมิติหนึ่ง ดังนั้น จึงเป็นการต่อสู้ระหว่างด้านสว่างกับด้านมืด ท่านต้องการขจัดตรงนี้ออกไปให้หมด เข้าไปบู๊ไปล้างผลาญมุมมืด”

    แก่นแห่งการชักนำจูงผู้คนให้หันเข้าหาตามวิชาพระธรรมกายสำหรับพระธัมมชโย คืออ้างอิงเรื่องบุญ ทำให้คนกลัว และให้อยากได้บุญ วิธีคือจะเป็นการคุมบุญทั้งหมดที่อ้างว่าได้รับมาจากพระพุทธเจ้าจากชั้นนิพพาน เพื่อให้พระธัมมชโยแจกจ่ายบุญนั้นให้กับประชาชน แลกกับการซื้อบุญ

    “ใครที่เลวมาจากไหน โกงใครมา ทำผู้คนย่อยยับ มาล้างบาปซื้อบุญกันที่นี้ได้หมด เสียเท่าไหร่เท่ากันแต่ได้บุญ สั่งให้บุญใครก็ได้ ให้มั่งคั่งให้รวย ขณะเดียวกันจะลงโทษใครที่ไม่ทำตามคำสั่ง ก็อ้างบุญเช่นกัน ขู่ญาติโยมต่างๆ จะเอาบุญสำหรับที่จะใช้ไปใส่เซฟ ในคุกลับ ตายไปไม่ได้ผุดได้เกิดเป็นพันๆ หมื่นๆ ชาติ คนก็กลัว กลัวก็ต้องทำตาม”

    กลเม็ดในการคุมคนจึงเกิดขึ้นตามมา ขณะที่พระธัมมชโยตัดสินใจมานุ่งผ้าเหลืองและพกพาความคิดตามบุคคลที่เขาบูชาติดตัวมาด้วย และสิ่งนี้เองที่แปรเปลี่ยนเขาไปตลอดกาล จากวัดกลายเป็นธุรกิจ มีผลประโยชน์มหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวัดล้วนแต่ขัดหลักธรรมคำสอนตามพุทธศาสนา กระทั่งฟางเส้นสุดท้ายระหว่างศิษย์รักกับพระอาจารย์ที่เคารพรักนับถือกัน ได้สะบั้นลง

    แฉธุรกิจ จุดแตกหัก

    “ผมมารู้เพราะใกล้ชิดกันมากเหมือนกับญาติ เหมือนกับพ่อแม่เราเอง ผมเป็นศิษย์รัก เรารู้นิสัยทุกอย่างของเขา ผมทำงานให้ทุกอย่างด้วยผลลัพธ์ที่สำเร็จ งานทุกอย่างที่เขาหวัง ที่อยากได้ ผมเนรมิตรให้ได้หมด กระทั่งเรียนจบจากอ็อกซ์ฟอร์ด ตอนนั้นเป็นตอนที่เศร้าที่สุด ญาติโยมเอาเอกสารมาให้ดูว่าเขาเปิดบริษัทอะไรไว้บ้างเมื่อปี 2526 เอาเงินส่วนตัวมาตั้งบริษัท ไว้หลายแห่ง บางแห่งใช้ชื่อลูกศิษย์เพื่อทำธุรกิจต่างๆ แต่ที่หนักที่สุดคือมีบริษัทค้าอาวุธที่เชื่อมโยงไปถึงพระธัมมชโยด้วย เพราะมีการชักจูงจากสีกาคนหนึ่งที่มีพี่ชายเป็นนายพลทหารในสวนรื่นฯ เข้ามาซื้อขายอาวุธให้กับทางกองทัพ ผมเข้าไปเตือนเขาว่าให้หยุดเถอะ ไม่ดี แต่เขากลับตอบมาว่าอย่ามายุ่ง นี่คือเรื่องส่วนตัว เท่านั้นผมก็พอ เพราะไม่ใช่พุทธแล้ว นี่คือธุรกิจของธัมมชโย เพื่อต่อยอดให้เขาได้ความยิ่งใหญ่”

    “ตอนนั้นผมชนกับท่านอย่างรุนแรงเมื่อปี 2532 ผมกะว่าท่านแย่แน่นอน เพราะทำอะไรผิดพลาดไว้เยอะ แต่ผมต้องการจะช่วยวัดเอาไว้ก่อน ด้วยการปฏิรูปโครงสร้างบริหาร ประชุมอยู่นาน เพื่อกระจายอำนาจการบริหารวัดพระธรรมกาย แต่ผมเอาไม่อยู่ เขาจึงเขียนโครงสร้างออกมามีธรรมนูญการปกครอง และตอนนั้นเองมีโครงสร้างที่แน่นหนามาก มีแผนงานชัดเจนแบบสมัยใหม่ วิธีหล่อหลวมผู้คน เรียกว่ามั่นคง เป็นอาณาจักร มีแผนขยายตัวไปต่างประเทศ แบบที่ทุกอย่างยังเป็นธรรมกายอยู่ มีการระดมทุนตลอด และการเคลื่อนไหวทุกอย่างจะคู่ขนานไปกับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่เข้ามาสนับสนุน มันน่ากลัวมาก

    อดีตศิษย์พระธัมมโชย เล่าว่า ต่อมาเมื่อปี 2542 ธรรมกายถูกโจมตีอย่างหนัก แต่เพราะโครงสร้างอันนี้ ทำให้ พระธัมมชโยรอดพ้นเงื้อมมือของกฎหมาย นั่นเพราะความแน่นหนาของโครงสร้าง มีฐานมวลชนมหาศาลเป็นกำแพงให้พิง มีความรัดกุมมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน เจตนาของโครงสร้างธรรมกายครั้งนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ช่วยเหลือผู้คน แต่ผู้มีอำนาจสูงสุดนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง และรวบอำนาจนั้นมาอยู่ในมือทั้งหมด ทำให้พระธัมมชโยใช้อำนาจได้มากขึ้น ก็รวบอำนาจไว้อย่างเดิม แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    “มีการแบ่งหน่วยงานชัดเจน ถ้าคุณได้ฟังในที่ประชุมของธรรมกายนะ คุณจะเหมือนไปอยู่เมืองนอกเลย หรืออีกโลกหนึ่งเลย เขาจะมีศัพท์เฉพาะที่เข้าใจระหว่างกัน มีโคทภาษา ธรรมนูญการปกครองของวัดมีเป็นปึก คุณจะไม่เข้าใจได้เลย นักธุรกิจที่เข้ามาก็มาใช้ประโยชน์ เพราะมีฐานมวลชนอย่างแน่นหนาและมหาศาล เป็นการระดมธรรมคู่ระดมทุน”

    ขยายฐาน การเมือง มวลชนนับล้าน

    เมื่อชื่อเสียงมากมาย และมีระบบการปกครองภายในวัดที่แน่นหนา ยากที่คนนอกจะเข้ามายุ่งเกี่ยววุ่นวายได้ หนำซ้ำยังมีมวลชนอีกจำนวนนับล้านที่หลงเชื่อคอยหนุนหลังพระธัมมชโย นพ.มโนมองว่าจึงไม่แปลกที่ทั้งนักธุรกิจและนักการเมือง รวมถึงบุคคลสำคัญระดับประเทศ จะวิ่งเข้ามาพระธัมมชโย เพื่อสร้างผลประโยชน์ระหว่างกัน

    นพ.มโน ยกตัวอย่างให้เห็นถึงวิธีการเอื้อผลประโยชน์ระหว่างกัน เช่นคดี ศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้ต้องหาฉ้อโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่เข้าหาพระธัมมชโยเพราะเห็นมวลชน มาตกลงทำสหกรณ์เครดิตมงคลเศรษฐีขึ้นมา คือให้กู้สำหรับคนที่อยากทำบุญกับวัด ผ่อนได้ คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 12 คนให้ทุนจะได้ผลตอบแทนร้อยละ 8 ผู้คนจึงแห่เอาเงินมาลงทุน เพราะอย่างไรเสียก็อยู่กับวัด และมีพระธัมมชโยการันตีอีกด้วย

    แต่เงินตรงนี้มีการแบ่งระหว่างศุภชัยและพระธัมมชโย มีการถ่ายเงินออกเป็นระลอกโดยการเอาไปฝากกับลูกศิษย์คนต่างๆ นับร้อยล้านบาท และโอนย้อนกลับมาตรงมายังพระธัมมชโย และเจ้าอาวาสคนดังก็ใช้เงินตรงนี้ในนามของวัด และมูลนิธิเข้าไปซื้อที่ดินต่างๆ แต่ถือครองเอง เป็นกรรมสิทธิ์เอง เมื่อหน่วยงานรัฐเข้าไปตรวจสอบก็ไปยึดไม่ได้ จะยึดได้อย่างไรในเมื่อซื้อในที่วัดที่เป็นของหลวงอยู่แล้ว แต่จริงๆ คือการสร้างอำนาจให้ตัวเองยิ่งใหญ่มากขึ้น

    “เมื่อเงินคนหายก็มีการร้อง แต่จะเอาผิดได้อย่างไรเมื่อคนการเมืองก็ยังเป็นคนของเขา รัฐบาลชุดก่อนจะทำอะไรได้ เมื่อมีอำนาจการเมืองหนุนอย่างนี้ขณะนั้นจะเอาผิดเขาได้อย่างไร กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าไปดูก็บอกว่าไม่มีมูล ทำคดีไม่ได้ คนก็โวยกันใหญ่ว่าเงินกูหาย เงินสะสมทั้งชีวิตกลายเป็นแค่เศษกระดาษ นี่มันทำร้ายประชาชนใจร้ายมาก คนๆ นี้ไม่เคยปราณีกับใคร คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ยังมีคนหนุน ดังนั้น เขาไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น ใครจะด่าจะว่าช่างมัน กูไม่สน ทุกวันนี้ธรรมกายเป็นองค์กรข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ กระจายไปแล้วถึง 200 ประเทศทั่วโลก”

    ประเมินทรัพย์ธรรมกาย 25 ปี 5 หมื่นล้านบาท

    เมื่อถามว่า ประเมินทรัพย์สินของวัดธรรมกายเท่าไร นพ.มโน บอกว่า “เมื่อปี 2533 ธัมมชโยบอกกับผมว่า แกมีทรัพย์สมบัติมากกว่าที่วัดและมูลนิธิมีถึง 5 เท่า ขณะนั้นวัดและมูลนิธิมีทรัพย์สินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แสดงว่า 25 ปีก่อนแกมีมากถึง 5 หมื่นล้านบาท และทุกวันนี้จะงอกเงยไปถึงขนาดไหน”

    กระหน่ำต่อจากคำพูดของอดีตศิษย์เอกว่า เป้าหมายของเขาคือการครองโลก ทำให้มีศิษย์เยอะที่สุด และให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของโลกตามรูปแบบธรรมกาย กลไกการยุติธรรมทั้งหมดเคยมีไหมที่สั่งให้ถอนคดีของพระธัมมชโยทั้งหมดรวม 52 คดี แม้แต่คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของ พระธัมมชโยยังถูกถอดออกเช่นกัน เขาใหญ่แค่ไหนคิดกันเอาเอง

    “เหตุผลคือมวลชนมีมาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็วิ่งเข้าหา การเมืองมาหมด เพราะเขามีมวลชนในมือเป็นล้านๆ สั่งให้กระบวนการยุติธรรมล้มลงต่อหน้าทันที เมื่อรัฐบาลก่อนเลือกตั้งชนะ เขาก็ตีปีกทันทีเพราะนี่คือผลงานของเขาทั้งนั้น เขาไม่แยแสต่อกระแสสังคมที่ตั้งคำถาม การยาตราการเดินธุดงค์ที่เป็นข่าวไม่ใช่เผยแพร่ศาสนาอันใดหรอก เขาต้องการโชว์อำนาจเท่านั้น แค่อำนาจเท่านั้นเอง และเรียกเงินเรียกร้องผลประโยชน์ให้ตัวเอง ให้รู้ว่าฉันมีคนนะ มหาเถรสมาคมเขาก็คุมไว้หมดแล้ว”

    แต่เมื่อความเสื่อมมาเยือนธรรมกาย ทำไมการโค่นเขาลงอย่างที่หลายคนปราถนาจะให้เกิด จึงกระทำไม่ได้ นพ.มโน พร้อมจะให้คำตอบในฐานะคนเคยอยู่ก้นกุฏิของพระธัมมชโย

    “ต้องฝากความหวังไว้ที่บ้านเมืองในยุคทหารเข้ามาควบคุม ถ้าเอาเขาไม่ลงในครั้งนี้ จะเกิดการกินรวบบ้านเมืองในการเลือกตั้งครั้งต่อไปแน่นอน คุณคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้หรือ เพื่อไทยจะกลับมาแบบสบายๆ ทันที จากนั้นทุกอย่างในประเทศจะเป็นธรรมกายหมด และเกิดจักพรรดิสงฆ์ขึ้นมา เราจะก้าวไปสู่ยุคมืดของศาสนา เป็นประเทศไทยแบบธรรมกาย เขาเปลี่ยนชื่อประเทศยังได้เลย

    หมอมโน ย้ำว่า หากเอาไม่ลงเขาจะเป็นมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ถ้าไม่ทำ ไม่จัดการเขา ทุกอย่างจะพังหมด อันที่จริงมันผิดมาตั้งนานแล้ว พระไม่ควรจับเงิน ควรแก้ตรงนี้ แต่พระคุณเจ้าทั้งหลายจะยอมปล่อยมั้ย อย่าลืมว่าธัมมชโยดึงไว้ทั้งหมด ให้ชีวิตหรูหรา ตรงนี้น่าดูฝีมือของผู้มีอำนาจแห่งยุคเหมือนกัน”

    “มันน่ากลัวมาก ศาสนาทุกอย่างกลายเป็นระบอบทักษิณหมด และอนาคตพระสงฆ์เราจะได้แบบเณรคำ ยันตระ หรือแม้แต่ว่าที่สังฆราช ดูสิรถหรูมีกี่คัน มีเงินเท่าไหร่ แล้วจะให้คนมากราบไหว้ให้เป็นประมุขสงฆ์หรือ อย่างนี้มันปาราชิกมั้ยล่ะ มันสืบทอดอำนาจกัน” นพ.มโน ทิ้งท้าย

    เรื่องลับๆ เขาใช้ครีมทาหน้าระดับฮอลลีวู้ด

    นอกจากนั้ นพ.มโน ยังเล่าเรื่องลับในวัดธรรมกายด้วยว่า

    1.ภายในวัดพระธรรมกายจะมีโรงครัวอยู่ 2 โรง หนึ่งโรงทำให้ญาติโยม พระในวัด ลูกศิษย์ อีกโรงจะทำให้พระธัมมชโยคนเดียว คนอื่นกินไม่ได้ ซึ่งจะเป็นของดีของแพงที่มาปรุงอาหาร ส่วนใหญ่ของอาหารจะเน้นบำรุงร่างกาย เพิ่มความแข็งแรง

    2.พระธัมมชโย ชอบความสำอางค์ การประทินผิว และใช้วิทยาศาสตร์ให้ตัวเองมีหน้าเด็กลง ชอบการนวดหน้าด้วยครีมราคาแพงซึ่งใช้กันในหมู่คนมีเงิน หรือดาราฮอลลีวูด มีการนวดหน้าวันละสามครั้งต่อวัน

    3.พระธัมมชโยไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร เพราะอ้างบุญ หากสงสัยหรือไม่เกิดศรัทธาบุญจะหก

    4.ห้องนอนพระธัมมชโยจะปูผ้าปูเตียงใหม่ทุกวัน ในห้องนั้นจะมีสาวคนหนึ่งทำหน้าที่ปูเตียง คนอื่นห้ามเข้าเด็ดขาด เรื่องบิณฑบาตไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่เคยทำ ตื่นตอนไหนตามใจฉัน

    5.พระธัมมชโยมีอารมณ์สุนทรีย์ และมีความเป็นศิลปินสูง โดยมีพรสวรรค์ในงานปั้น ชอบปั้นรูปผู้หญิง

    อันตรายต่อพุทธศาสนา

    คำพูดของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อ 27 ปีก่อนที่ว่า “เป็นห่วงเรื่องวัดพระธรรมกายมากที่สุด” เหมือนมองทะลุปัญหาจนปรากฏเป็นจริงในปัจจุบัน

    พระธรรมปิฎก (ประยุทธ ปยุตฺโต) ปราชญ์ด้านศาสนา เขียนหนังสือ “กรณีธรรมกาย” บทเรียนเพื่อการศึกษาพระพุทธศาสนา เมื่อปี 2542 สรุปประเด็นของพระธรรมปิฎกต่อมุมมองปัญหาธรรมกาย ดังนี้

    1.กรณีธรรมกายหมายถึงชื่อเรียกโดยรวมเกี่ยวกับพฤติการณ์ต่างๆ สรุปแล้วมี 2 ลักษณะ คือ การทำพระธรรมวินัยให้วิปริตและการประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัย

    2.การทำพระธรรมวินัยให้วิปริตที่พบว่ามีสาเหตุมาจากสำนักวัดพระธรรมกายทำลายความน่าเชื่อถือของพระไตรปิฎก การปลอมปนคำสอนในลัทธิของตนลงในพระไตรปิฎก การพยายามยกย่องครูบาอาจารย์ของตน ถึงขนาดที่ใช้ทัศนะอ้างเป็นมาตรฐานเพื่อตัดสินหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา รวมถึงอรรถาธิบายชักจูงให้คนทั่วไปเข้าใจว่าบุญมีฐานะเป็นดุจสินค้าชนิดหนึ่งและเมื่อทำบุญจะให้ผลสัมฤทธิ์อย่างปาฏิหาริย์

    3.การประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัยเฉพาะประเด็นหลัก ได้แก่ การพยายามนำเอาลัทธิทุนนิยมที่อยู่ในระบบการตลาดเข้ามาผสมผสานกับการบริหารวัด รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์กับบุคคล องค์กรทางธุรกิจ การเมือง ส่งผลให้สำนักวัดพระธรรมกายกลายเป็นสำนักที่มีความเจริญอย่างรวดเร็วทั้งในทางวัตถุ ทุนทรัพย์ และในทางชื่อเสียง แต่วิธีเหล่านี้เป็นพฤติการณ์ที่สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับพระพุทธศาสนาที่เน้นความเรียบง่ายและไม่เกี่ยวข้องกับระบบทุนนิยม

    4.พฤติการณ์อันสืบเนื่องมาจากสำนักวัดพระธรรมกายทั้งหมดนั้นเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาและต่อสังคมไทยอย่างลึกซึ้งถึงรากฐานชนิดที่ว่า ถ้าสำนักวัดพระธรรมกายทำสำเร็จตามจุดมุ่งหมายจะส่งผลให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยซึ่งเป็นพระพุทธศาสนาอย่างเถรวาทต้องสูญสิ้น และสังคมไทยก็อาจกลายเป็นสังคมที่มีค่านิยมหวังผลดลบันดาล มัวเมาอยู่ในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ และถูกหลอกให้เพลินจมอยู่ในสุขอันดื่มด่ำจากสมาธิวิธีที่ถือว่าเป็นมิจฉาสมาธิและเต็มไปด้วยผู้คนที่ตกเป็นทาสของลัทธิทุนนิยม บริโภคนิยม และวัตถุนิยมอย่างงมงาย ไม่อาจหลุดพ้นเป็นอิสระไปจากการครอบงำของลัทธิเหล่านี้ได้


    อดีตศิษย์เอกชำแหละธัมมชโย "เขาบูชา ฮิตเลอร์" - โพสต์ทูเดย์ ข่าววิเคราะห์
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    [​IMG]

    ... "เยเมน : หมากตานี้กำลังถูกยื้ออย่างหนัก มีผลกับการเปลี่ยนดุลอำนาจในแดนอาหรับ
    ... ตอนนี้อิหร่านพยายามยอมรับการขึ้นสู่อำนาจของกลุ่ม Houthis ที่รัฐประหารรัฐบาลของประธานาธิบดี นาย Hadi ที่มีตะวันตก อเมริกาหนุนหลังอยู่รวมทั้งกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซีย ทั้ง Bahrain, Saudi Arabia UAE,Kuwait ที่ได้ประท้วงการรัฐประหารครั้งนี้ โดนการถอนเอกอัคราชทูตของตนออกจากเยเมนไปแล้วตามลูกพี่ใหญ่ๆทั้งหลาย
    ... อิหร่านที่ถูกกล่าวหาว่าหนุนกลุ่ม Houthis ที่เป็นชีอะห์เหมือนกันเลยแก้เกมโดยรีบเปิดสายการบินระหว่างทั้งสองประเทศ ที่ปิดการบินมาในรอบหลายปี เพื่อรับรองความชอบธรรมของ Houthis โดยทันที
    ... รมว.ต่างประเทศ John Kerry ประณามอิหร่านทันทีว่าอยู่เบื้องหลังการก่อการครั้งนี้ ( เหมือนด่าตัวเองที่ก็ไปจ้างทหารอับเดล ซีซีทำรัฐประหารโค่นรัฐที่มาจากการเลือกตั้งอย่าง มอร์ซี่ ในอียิปต์ โดยวันนี้อเมริกายังเฉย หน้าหนากว่านักเล่าข่าวเช้านี้เรื่องโกงค่าโฆษณาเข้าสถานีอีก )
    ... อิหร่านก็ตอบโต้กลับว่า "มันเป็นเรื่องสลับซับซ้อน" ( เพราะจริงๆอเมริกา อังกฤษ ซาอุดิอาระเบีย ก็ล้วนหนุนหลังรัฐบาลเหมือนกัน )
    .
    http://www.aljazeera.com/…/iran-flight-arrives-houthi-held-…
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อิมามมะฮ์ดี มหาบุรุษที่โลกรอคอย (ตอนที่ 1)
    ทัศนะอิสลามby ยูซุฟ ญาวาดี - มี.ค. 1, 2015

    [​IMG]

    บทที่ 1 เหตุผลที่คุณต้องศึกษาเรื่อง อิมามมะฮดี (อญ)

    เหตุผลหลักที่ทุกคน ทั้งเป็นมุสลิม หรือ ไม่ใช่ มุสลิม ควรศึกษา เกี่ยวกับเรื่องราว ของ บุรุษผู้จะมาเปลี่ยนโลกนั้น มีดังนี้

    1 เสียงเรียกร้องจากมโนธรรมสำนึก และคุณธรรมของมนุษย์

    ทุกสายตาต่างรอคอย การเปลี่ยนแปลงของโลก ต่างมีความหวังต่ออนาคตอันสดใส โลกที่เต็มไปด้วย ความยุติธรรม และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความดีงาม ความหวังเหล่านี้ล้วนฝังลึกอยู่ในจิตใจของพวกเราทุกคน เวลา และสถานที่ไม่อาจแยกมนุษย์ออกจากความหวังนี้ได้ มนุษย์เราต่างหวังว่าวันหนึ่งจะมาถึง วันที่โลกอยู่ภายใต้ร่มเงาของผู้นำที่เหมาะสม วันที่โลกจะรอดดพ้นจากหายนะต่างๆด้วยการเปลี่ยนแปลงของเขาผู้นั้น

    จากหลักการนี้ กล่าวได้ว่า มนุษย์ทุกคนต่างมีความรัก และปราถนาที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับชีวิตของเขา ไม่ว่าจะด้านด้านวัตถุ หรือจิตวิญญาณ พวกเขาจึงหวังที่จะมีวันแห่งการปฏิวัติของผู้ที่จะช่วยเหลือ นำพาชี้นำพวกเขาไปสู่คุณธรรมที่แท้จริงของมนุษย์ ผู้จะช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้นจากความขมขื่น และ ความเจ็บปวดที่ผ่านมา พวกเขาต่างรอคอยบุคคลเช่นนี้ คนที่จะเปลี่ยนแปลงโลก คนที่จะแก้ไขทุกๆสิ่งให้ถูกต้อง คนที่จะขจัดความอยุติธรรม และการกดขี่ทั้งมวลให้หายไป มนุษย์กำลังรอคอยบุคคลเช่นนี้

    2 การทำนายของศาสนาต่อยุคสุดท้ายของมนุษย์

    หากเราศึกษาคำสอนของแต่ละศาสนา จะเห็นว่า ศาสนาใหญ่เกือบทุกศาสนา,ศาสนาจากฟากฟ้า ต่างทำนาย พยากรณ์ อนาคตในยุคสุดท้ายในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน มันคือจุดร่วมของทุกศาสนาที่จะเชื่อมรอยต่อของอนาคต ศาสนาเหล่านี้จะทำนายถึงอนาคตของยุคหนึ่ง คือ ยุคที่เต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์ ความสุขของมวลชน ความยุติธรรม ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หรือ ยุคที่ สิงโตกับแกะ สามารถดื่มน้ำร่วมลำธารได้ ยุคที่จะไม่มีใครยากจน ยุคที่ทุกคนต่างได้รับความยุติธรรม ยุคที่เต็มไปด้วยความดีงาม และสิริมงคล ในยุคนั้น ความหวั่นวิตก ความหวาดกลัว ถูกขจัดหายไป ,และในยุคนั้น จะมีบุรุษผู้หนึ่งปรากฎ ตามคำทำนายของนานาศาสนา เขาจะแผ่ความยุติธรรมให้กับโลก ภายหลังจากที่มันถูกเติมเต็ม ด้วยความอธรรม และการกดขี่ เขาจะพัฒนาความรู้ของมนุษย์ไปสู่จุดสูงสุด คำทำนายถึงบุคคลผู้นี้ต่างปรากฎในบันทึกของหลายๆศาสนา

    สิ่งที่น่าคิดคือ หลายๆศาสนาและเชื้อชาติ แต่ละเผ่าพันธ์ของมนุษย์ ต่างก็ทำนายถึงบุคคลที่มีคุณลักษณะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ศาสนาอิสลาม พุทธ คริสต์ โซโรเอสเตอร์ ยิว และอื่นๆ ต่างก็ชี้ไปที่คนๆหนึ่ง ซึ่งจะมาเปลี่ยนแปลงโลกมนุษย์ การศึกษาถึงเรื่องราวดังกล่าว จึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องไม่ละเลย หรือมองว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีความสำคัญใดๆ เพราะเมื่อทุกศาสนา กล่าวไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น ความเชื่อร่วมกันของศาสนิกชนจะเป็นจุดรวมใจของพวกเขา และการที่สิ่งถูกทำนายจะเกิดขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ศาสนิกชนในแต่ละศาสนาควรจะต้องทำความเข้าใจ และศึกษา ทำไมทุกศาสนาถึงพยากรณ์อนาคตของโลกในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน ทำไมถึงมีการบอกเล่าถึงบุคคลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันในแต่ละศาสนา และที่น่าฉงนยิ่งกว่านั้น ยังมีการบอกเล่าถึงผลของการเปลี่ยนแปลงของโลกอีกด้วย

    3 การต่อสู้กับการกดขี่และการช่วยเหลือผู้อ่อนแอ

    โดยทั่วไปแล้ว เหล่าผู้ศรัทธาต่อบรรดาศาสนฑูต มักจะเป็นคนที่อยู่ภายใต้การกดขี่ของสังคมเสมอ พวกเขาต่างต่อต้าน การเชื่อฟัง ต่อบรรดาผู้นำผู้ดขี่ โมฆะ และพวกเขาอยู่ในสนามรบระหว่าง ธรรมะ กับ อธรรม สัจธรรม กับ โมฆะ เสมอ ปรากฎารณ์เหล่านี้ทำให้เกิดการต่อต้านความอยุติธรรมอย่างรุนแรง และไม่ว่ายุคสมัยใดก็เป็นเช่นนี้ สิ่งที่มนุษย์ยอมเสียสละ ยอมเอาชีวิตเข้าเสี่ยง ก็เพื่อต่อสู้กับความอธรรมเหล่านี้ และการต่อสู้ยังคงมีต่อเนื่องมาหลายยุคสมัย แน่นอนว่า ในบางการต่อสู้ ฝ่ายธรรมะ สามาระมีชัยเหนือฝ่ายอธรรมได้ การที่ฝ่ายชนะจะอธรรมได้อย่างสมบูรณ์นั้น จะต้องรอคอยคนผู้หนึ่งตามที่ทุกๆศาสนาได้ พยากรณ์ไว้

    บรรดาฑูตของพระเจ้า เป็น ผู้นำแห่งกัลญานชนเช่นกัน พวกเขาถือว่า จะต้องดูแล และ ช่วยเหลือ ผู้อ่อนแอ และผู้ถูกกดขี่ เช่นเดียวกัน พวกเขาก็ต่อสู้ และต่อต้าน บรรดาฟิรอูน หรือ ผู้ปกครองที่ฉ้อฉล และผู้กดขี่ ดังที่เราเห็นในประวัติศาสตร์ของมนุษย์

    พวกเขาเหล่านั้น ได้แจ้งข่าวดี ถึงการปรากฎของ ผู้ถูกสัญญา ให้กับบรรดาผู้เจริญรอยตาม โดยให้พวกเขายืนหยัด อดทน และรอคอยต่อการมาของบุรุษผู้นั้น และรากลึกของความเชื่อนี้ ต่างๆฝังอยู่ในหัวใจของทุกๆศาสนาอย่างเหนียวแน่น

    ตัวอย่างจากอัลกุรอ่านคือ ซูเราะฮ อัมบียา โองการที่ 105 ความว่า

    (وَ لَقَدْ كَتَبْنَا فىِ الزَّبُورِ مِن بَعْدِ الذِّكْرِ أَنَّ الْأَرْضَ يَرِثُهَا عِبَادِىَ الصَّلِحُونَ)

    “ขอยืนยัน แท้จริง เราได้บันทึกไว้ในคัมภีร์ซะบูร หลังจากที่เราได้หลังจากที่เราได้บันทึกไว้(ในลูหฺมะฮฟูซ) ว่า แท้จริงแผ่นดิน ปวงบ่าวของเราที่ดีมีคุณธรรมจะเป็นผู้สืบทอดมัน”

    ในมุมมองของอัลกุรอ่าน บ่าวผู้ที่เหมาะสม และมีคุณธรรมของพระเจ้า คือ ผู้ที่จะปกครองโลกนี้ด้วยความยุติธรรม และความมีมนุษยธรรมของเขา

    เชคฏูซีย์ ได้รายงานจาก อิมามบาเกร (อ) ดังนี้ ((แท้จริง อัลลอฮ ได้ให้สัญญานี้ต่อบรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งพวกเขาจะได้รับ ทุกๆแผ่นดิน เป็นมรดกสืบทอด )) นอกจากนี้ยังมีโองการอื่นๆอีกมากมายที่อธิบายในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน (ตัฟซีรเฏบยาน เล่ม 7 หน้า 252 )

    กล่าวคือ ในด้านหนึ่ง การศึกษาเกี่ยวกับ เรื่องราวของผู้ถูกสัญญา คือ การศึกษา เกี่ยวกับ สงคราม รระหว่าง สัจธรรม กับ ความเท็จ ธรรมะ กับ อธรรม ดังนั้น การพิจาณาความเป็นไปของโลกผ่านทางศาสนา จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง

    4 ความพ่ายแพ้ และความล้มเหลวของระบบการปกครองต่างๆ

    ปัญหาถาวรของโลก(สงคราม,การต่อต้าน,ความไม่เท่าเทียม,ความไม่สงบ,ความเกลียดชัง,ความรุนแรง) ความต้องการที่จำเป็นของมนุษย์(ในการพัฒนาเศรษฐกิจ,ข้อมูลข่าวสาร,สาธารณสุข,การขจัดความยากจน,การเติมเต็มจิตวิญญาณ) ความปราถนา และแนวคิดของมนุษย์(การปฏิรูป,ความยุติธรรม,ความสงบ,ความสูงส่งของจิตวิญญาณ)ประสบการณ์ของมนุษย์(ในเรื่องความอ่อนแอ,การไร้ความสามารถและความล้มเหลวของรัฐบาล และระบบการปกครองต่างๆ) เป็นเหตุให้พวกเขา ต่างแสวงหา การปรากฎของผู้ที่ช่วยเหลือและปฏิวัติโลก

    และในความเป็นจริง ทุกๆระบบการปกครอง กลุ่ม สำนักคิด แนวคิดต่างๆ ต่างก็พยายามที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ทว่า เพราะหลากหลายเหตุผล ทำให้มนุษย์ไม่อาจประสบความสำเร็จ และก้าวไปถึงจุดนั้น และในทางตรงข้าม เนื่องด้วยหลากหลายปัจจัย และหลากหลายปัญญา และความไม่เท่าเทียมกันในแต่ละสังคม ได้ทำแต่ละฝ่าย ต่างแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ขจัดปัญหาต่างๆ และพัฒนาสังคมมนุษย์ไปสู่ความเจริญได้

    5 ปรัชญาประวัติศาสตร์และการให้ความหมายต่อมัน

    ตามหลักการทางปรัชญาประวัติศาสตร์ การปรากฎของ ผู้ถูกสัญญา คือ จุดสุดท้ายของอนาคตโลก ที่จะนำมาซึ่งความสมบูรณ์ของสังคมมนุษย์ ความสมบูรณ์ของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และตามหลักการนี้ กระบวนการที่ดำเนินมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ จึงควรค่าที่จะมีความหมาย ซึ่งเป้าหมายของมัน นั่นก็คือ การทำให้สังคมไปสู่จุดสูงสุด ทำให้สังคมไปสู่ความผาสุข ทั้งทางวัตถุ และจิตวิญญาณ การให้ความหมายอันนี้ มีอยู่ในความคิดของมนุษย์ และพวกเขาต่างก็คิดถึงบั้นปลายของสังคมในรูปแบบนี้

    แน่นอนว่า อัลกุรอ่านได้อธิบายถึงเป้าหมายของมนุษย์ชาติไว้แล้ว คือ เพื่อการอิบาดัต และการแสวงหาความใกล้ชิดต่อพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งความหมายของมันมีความกว้างขวางยิ่งนัก และยังครอบคลุมทุกๆสิ่งในชีวิตของมนุษย์บนหน้าแผ่นดินนี้

    ในซูเราะฮซารียาต โองการที่ 56 อัลกุรอ่านได้อธิบายเป้าหมายการสร้างมนุษย์ ดังนี้
    وَ مَا خَلَقْتُ الجِْنَّ وَ الْانسَ إِلَّا لِيَعْبُدُونِ

    “และข้ามิได้สร้างญินและมนุษย์มาเพพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่ออิบาดัตต่อข้า”

    ในมุมมองของอัลกุรอ่าน แนวคิดนี้ ฝังลึกอยู่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งมันกำลังจะไปสู่ความสมบูรณ์ในไม่ช้าและยุคสมัยนั้น คือ ยุคของการปรากฎของอิมามมะฮดี(อ) ดังนั้น การให้ความหมายของประวัติศาสตร์ และการค้นหาเป้าหมาย จึงเป็นจุดที่มนุษย์ให้ความสนใจต่อการปรากฎของ บุรุษผู้ถูกสัญญาไว้

    6 กฎการพัฒนาสู่ความสมบูรณ์ของสังคมต่างๆ

    หนึ่งในเหตุผลต่างสติปัญาของประเด็นนี้คือ กฎการพัฒนาสู่ความสมบูรณ์ของสังคม หมายความว่า จากวันที่มนุษย์เริ่มรู้จักตัวเอง ชีวิตของมนนุษย์ไม่เคยเท่าเทียมเสมอ ทั้งในเรื่องการพัฒนา การเปลี่ยนแปลง ที่อยู่อาศัย สิ่งอุปโภค และบริโภค ปัจจัยยังชีพ เครื่องนุ่งห่ม ความรู้ และวิทยาการของมนุษย์

    น่าแปลกใจที่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเพียงพอเสมอ และพวกเราต่างก็พยายามที่จะพยายามปลดปล่อยตัวเอง ออกจากความขลาดแขลนเหล่านี้ ไปสู่ระดับที่ดีขึ้นเสมอ

    ความปราถนาที่จะไปสู่ความสมบูรณ์ เปรียบดั่งเปลวไฟที่ไม่เคยมอดดับในหัวใจของมนุษย์เสมอ เช่นเดียวกัน มนุษย์กำลังไปสู่สังคม ซึ่งจะเติมเต็มความสมบูรณ์ทางด้านจริยธรรม ทางด้านความรู้ ทางด้านวัตถุ และทางด้านอื่นๆ

    และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราต้องศึกษา ถึงแนวคิดนี้ ในมุมมองของศาสนา คือ การปรากฎของผู้ปลดปล่อยที่ถูกสัญญาไว้ ภายใต้ กฎแห่งการพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์ของสังคม

    7 กฎแห่งการต่อต้านและการขัดขืนของสังคม

    บทเรียนจากประวัติศาสตร์ ทำให้เราเรียนรู้ว่า มนุษย์อยู่คู่กับการเปลี่ยนแปลง การปฏิวัติ และการต่อต้านแรงกดดันในอดีตเสมอ เป็นไปได้ว่า ในโลกนี้ อาจไม่มีการปฏิวัติไหนเลย ที่จะปรากฎขึ้น โดยก่อนหน้านั้น ไม่มีแรงกดดัน จนเป็นเหตุให้มีการต่อสู้เสมอ

    ตามกฎนี้ เราสามารถได้ข้อสรุปว่า การเปลี่ยนแปลงหัวใจของโลก จะนำมาซึ่งการปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ของโลก ความกดดันจากสงคราม การกดขี่ ความเกลียดชัง อคติ การแบ่งชนชั้นฐานะ ความอยุติธรรม อยู่คู่ กับ การสิ้นหวัง ความท้อแท้ของมนุษย์เสมอ

    กฎนี้ จึงทำงาน เพื่อ ทำลาย ขจัด หรือลดความกดดันเหล่านี้ และในท้ายที่สุด การต่อต้านที่รุนแรงที่สุดจะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ความต้องการของมนุษย์ ไปสู่เป้าหมาย

    และการศึกษาเรื่องราวของอิมามมะฮดี (อ) ในด้านหนึ่ง ก็คือ การศึกษารูปแบบการต่อสู้ของมนุษย์ และสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่การปฏิวัติครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น พวกเขาสู้เพื่ออะไร ทำไมต้องต่อสู้ สิ่งที่พวกเขาต่อสู้ และต้องการเปลี่ยนแปลงมัน มีคุณค่ามากแค่ไหน สิ่งต่างๆเหล่านี้ จะถูกนำเสนอในเรื่องราวของ อิมามมะฮดี (อ)

    8 กฎการรอคอยโดยรวม

    ภายในรากลึกของหัวใจมนุษย์ มีความรักต่อความดี งดงาม และความรู้ ฝังอยู่ ซึ่งความเชื่อในการปรากฎของผู้ปฏิวัติโลก คือ หนึ่งในความรักอันนั้น และในความเป็นจริง การปรากฎของอิมามมะฮดีย์ (อญ) กำลังพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากแนวคิดนี้ ทำให้เรารู้ว่า ความรักอันนี้ คือความต้องการของมนุษย์ทุกคน ที่มีวิสัยทัศน์ และมีจิตใจที่บริสุทธ์

    จะเป็นไปได้อย่างไรที่ ความรักในการไปสู่ความสมบูรณ์ของมนุษย์ทุกคน จะไม่ส่งผลให้เกิดการรอคอย การแสวงหาการพัฒนาและความสมบูรณ์สามารถเกิดขึ้นได้ โดยปราศจากสิ่งนี้กระนั้นหรือ ?

    เมื่อเราต่างรอคอยการมาของบุรุษผู้หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับปรุงให้มีความพร้อมในการเข้าร่วมขบวนการปฏิวัติครั้งใหญ่ จึงเป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง การรอคอยโดยที่ผู้รอ ไม่เตรียมความพร้อมต่อการมา จึงเป็นการรอคอยที่ไม่ได้มีความมุ่งมั่น ดังนั้น การจะเป็นผู้เข้าร่วมกับกองทัพของมะฮดีย(อ) เบื้องต้น ผู้รอคอยจะต้องเปลี่ยนสภาพของตนให้กลายเป็นผู้มีความพร้อม ต่อการมาของท่าน และนี่ก็คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราต้องศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับ อิมามมะฮดี(อ) คือ การเรียนรู้ในการสร้างความพร้อมให้กับตนเอง

    9 พื้นฐานจากอัลกุรอ่านและฮะดิษ

    หลักความเชื่อมะฮดาวียัต ในมุมมองของอิสลาม วางอยู่บนพื้นฐานของอัลกุรอ่าน และ ฮะดิษ ซึ่งหลักฐานเหล่านี้ เป็นตัวชี้ให้เห็นถึง ชัยชนะ และการพิชิต ของพรรคของพระเจ้า ในมุมมองของอัลกุรอ่าน โองการเหล่านี้ ยังได้บรรยายถึง การมีชัยของศาสนาของพระเจ้าทั่วทุกแผ่นดิน และยังบรรยายถึงอนาคตของโลก ตามหลักฐานที่น่าเชื่้อถือ แลตำราตัฟซีร หรือ ตำราอรรถาธิบายอัลกุรอ่าน และฮะดิษ โลกจะเปลี่ยนแปลงไปสู่การปฏิวัติที่ไม่เหมือนครั้งไหนๆ โดยมีผู้นำคือ อิมามมะฮดีย์(อญ) เป็นผู้ดำเนินภารกิจนี้

    ในซูเราะฮ มาอิดะฮ โองการที่ 56 ความว่า “แท้จริง พรรคของอัลลอฮ คือ ผู้มีชัยชนะ”

    ในซูเราะฮ ซอฟฟาต โองการที่ 172 ความว่า “แน่นอนพวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือ”

    ในซูเราะฮ อันฟาล โองการที่ 7 ความว่า “และพระองค์อัลลอฮ ประสงค์ให้ความจริงประจักษ์เป็นจริงขึ้นด้วยพจนารถของพระองค์”

    ในซูเราะฮ ฟัตฮ โองการที่ 27 ความว่า “เพื่อพระองค์จทรงให้ศาสนา(ของพระองค์)มีชัยเหนือศาสนาทั้งมวล”

    ในซูเราะฮ กิศอศ โองการที่ 5 ความว่า “และเราปราถนาที่จะให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้อ่อนแอในแผ่นดิน และเราจะทำให้พวกเขาเป็นผู้นำ และทำให้พวกเขาเป็นผู้รับมรดก”

    สำหรับมุสลิม เรื่องราวของอิมามมะฮดี (อ) เป็นสิ่งที่มีหลักฐานชัดเจนที่สุด ซึ่งอยู่ในระดับขั้นมุตะวาติร นั่นเป็นการชี้ให้เห็นว่า เรื่องราวการปฏิวัติของอิมามมะฮดี(อ) เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ศาสดาได้เน้นย้ำอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น การไม่ศึกษาเรื่องนี้เลย และสนใจแต่เพียงเรื่องพื้นฐาน คือ การไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องราวดังกล่าว ดังนั้น อย่างน้อยที่สุด ไม่ว่า มุสลิม จะอยู่ในมัซฮับ หรือนิกายใด เขาจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับอิมามมะฮดีย(อ) หากไม่รู้จักหัวหน้าของฝ่ายธรรมะ แล้วเราจะเข้าร่วมกับฝ่ายธรรมะได้อย่างไร

    สรุป เหตุผลที่ผู้แสวงหาความจริง ต้องทำการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับ อิมามมะฮดีย์(อ) เพราะ เรื่องราวของอิมามมะฮดีย์ เป็นเรื่องราวที่ตอบรับเสียงเรียกร้องของมนุษย์ การทำนายของนานาศาสนา การต่อต้านความอธรรมและการช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ควาวสิ้นหวังต่อระบบการปกครองที่ผ่านมา ปรัชญาประวัติศาสตร์ กฎในการพัฒนาสู่ความสมบูรณ์ กฎการต่อต้านของประวัติศาสตร์กฎการรอคอย และอัลกุรอ่าน ,ฮะดิษ ต่างๆ ชี้ให้เห็นเป็นจุดเดียวกัน ว่า ความหวังของมนุษย์ในการเปลี่ยนแปลงโลก การขจัดความยุติธรรม การเปลี่ยนโลกในสู่ความดีงาม ซึ่งเป็นแนวคิด และความหวังที่ฝังอยู่ในจิตใจของมนุษย์ ต่างชี้ไปสู่เรื่องราว การมาของบุรษผู้หนึ่งซึ่งจะมาปลดปล่อยโลก ผู้ซึ่งจะมามอบความยุติธรรม และขจัดความอธรรมออกไปจากสังคมมนุษย์โลก ดังนั้น การศึกษาถึงเรื่องราวของบุรุษผู้นี้ จึงเป็นความจำเป็นประการหนึ่ง สำหรับผู้แสวงหา การเปลี่ยนแปลงสู่ความงดงามของโลกทุกๆคน

    อิมามมะฮ์ดี มหาบุรุษที่โลกรอคอย (ตอนที่ 1) | abnewstoday
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มหาบุรุษที่โลกรอคอย (ตอนที่ 2)
    ทัศนะอิสลามby ยูซุฟ ญาวาดี - มี.ค. 6, 2015

    [​IMG]

    วิเคราะห์ ความเชื่อเรื่องผู้ถูกสัญญาในศาสนาและประชาชาติต่างๆของโลก

    ความเชื่อในเรื่อง อิมามมะฮดี(อ) เป็นความเชื่อที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงศาสนาอิสลามเท่านั้น ในศาสนา และประชาชาติทั่วโลกอย่างแพร่หลายมายาวนาน ในบทความนี้ เราจะนำเสนอเกี่ยวกับ เรื่องราวของบุรุษผู้ถูกสัญญา บุรุษผู้ซึ่งเป็นความหวังของมนุษยชาติ

    ดังที่เราได้เกริ่นไว้ ความเชื่อเรื่องผู้ถูกสัญญา เป็นความเชื่อ ที่หลายศาสนา ต่างมีจุดร่วมเหมือนกัน แต่ การให้ความเข้มข้นในเรื่องความเชื่อนี้ เป็นจุดที่แต่ละศาสนะมีสถานะแตกต่างกัน กล่าวคือ ในมุมของอิสลาม โดยเฉพาะในมัซฮับ หรือ อิมามียะฮ์ จะมีความเข้มข้นมากกว่า ศาสนาหรือนิกายอื่นๆ ทว่าในที่นี้ เราจะนำเสนอความเชื่อเรื่อง ผู้ถูกสัญญา ในมุมมองของแต่ละศาสนา และแต่ละประชาชาติ

    1. กษัตริย์ผู้พิชิต ในคัมภีร์ดี้ดของชาวฮินดู

    คัมภีร์ ดี้ด ของชาวฮินดู ได้กล่าวไว้ว่า หลังจากที่โลกนี้ ได้เข้าสู่ยุคเสื่อมโทรมที่สุด กษัตริย์หนึ่งจะปรากฏขึ้นในยุคสุดท้าย เขาคือผู้นำแห่งศิลธรรม เขามีชื่อว่า มันศูร เขาจะพิชิตโลก และ ทำให้โลกทั้งหมดอยู่ภายใต้ศาสนาของเขา ทั้งผู้ศรัทธาและไม่ศรัทธาจะรู้จักเขา เขาประสงค์สิ่งใดจากพระเจ้าของเขาจะได้รับสิ่งนั้น [1]

    2.บุรุษจากลูกหลานของฮาชิม ในคัมภีรี์ ญามาซบ์ ศาสนาโซโรเอสเตอร์

    คัมภีร์ ญามาซบ์ ของชาวโซโรอัสเตอร์ ได้กล่าวไว้ว่า บุรุษหนึ่งจากลูกหลานของฮาชิม จะปรากฏขึ้นบนหน้าแผนดิน ผู้มีร่างกายกำยำและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ยืนหยัดอยู่ในศาสนาของตาของเขา จะนำความเจริญมาสู่อิหร่าน และจะทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยระเบียบกฎเกณฑ์จนถึงขั้นที่หมาป่าจะกินน้ำเคียงข้างลูกแกะได้ [2]

    3. ในคัมภีร์ซันด์ นิกายหนึ่งของโซโรเอสเตอร์ มีการกล่าวถึงชื่อ บ่าวของพระเจ้า

    คัมภีร์ ซันด์ ซึ่งเป็นอีกนิกายหนึ่งของ โซโรอัสเตอร์ ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อชัยชนะของพระเจ้ามาถึง บรรดามารร้ายและสาวกของมัน จะถูกพันธนาการไว้กับแผนดิน และไม่มีทางเข้าสู่สรวงสวรรค์ และหลังชัยชนะอันนี้โลกจะเข้าสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง และลูกหลานของอาดัม จะนั่งอยู่บนบังลังก็แห่งความผาสุกตลอดไป[3]

    4.ในพันธะสัญญา ฉบับใหม่ กล่าวถึง การเสด็จมาของบุตรมนุษย์

    27 บุตรมนุษย์จะเสด็จกลับมาพร้อมด้วยสง่าราศี (มก 13:24-27; ลก 21:25-36)ด้วยว่าฟ้าแลบมาจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกฉันใด การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นฉันนั้น

    30 เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า `มนุษย์ทุกตระกูลทั่วโลกจะไว้ทุกข์’ แล้วเขาจะเห็น `บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า’ พร้อมด้วยฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก [4]

    36 จงเฝ้ารอการเสด็จกลับมาอย่างไม่คาดหมายของพระคริสต์ (มก 13:32-37; ลก 21:34-36)แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์ในสวรรค์ก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาของเราองค์เดียว

    42 เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาเวลาใด

    44 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้เช่นกัน เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้นบุตรมนุษย์จะเสด็จมา

    14 ข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรนี้จะประกาศไปทั่วโลกให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง
    ในมาระโก – Mark บท 13

    26 เมื่อนั้นเขาจะเห็น `บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆ’ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก

    27 เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วจากลมทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงที่สุดขอบฟ้า

    32 แต่วันนั้นโมงนั้นไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์ในสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว

    33 จงเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าเวลาวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร

    35 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไร จะมาเวลาค่ำ หรือเที่ยงคืน หรือเวลาไก่ขัน หรือรุ่งเช้า

    36 กลัวว่าจะมาฉับพลันและจะพบท่านนอนหลับอยู่

    37 ซึ่งเราบอกพวกท่าน เราก็บอกคนทั้งปวงด้วยว่า จงเฝ้าระวังอยู่เถิด” [5]
    ในลูกา – Luke บท 12

    35 เพราะว่าวันนั้นจะมาดุจบ่วงแร้วถึงคนทั้งปวงที่อยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก

    36 เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่ทุกเวลา เพื่อท่านทั้งหลายสมควรที่จะพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งจะบังเกิดมานั้น และจะยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้” [6]
    ในลูกา – Luke บท 21

    11 ทั้งจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในที่ต่างๆ และจะเกิดกันดารอาหารและโรคระบาดอย่างร้ายแรง และจะมีความวิบัติอันน่ากลัว และหมายสำคัญใหญ่ๆจากฟ้าสวรรค์

    24 เขาจะล้มลงด้วยคมดาบ และต้องถูกกวาดเอาไปเป็นเชลยทั่วทุกประชาชาติ และคนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน

    25 การเสด็จกลับมาด้วยสง่าราศีของพระคริสต์ (มธ 24:29-31; มก 13:24-27)จะมีหมายสำคัญที่ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งปวง และบนแผ่นดินก็จะมีความทุกข์ร้อนตามชาติต่างๆ ซึ่งมีความฉงนสนเท่ห์เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น

    26 จิตใจมนุษย์ก็จะสลบไสลไปเพราะความกลัว และเพราะสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ซึ่งจะบังเกิดในโลก ด้วยว่า `บรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป’

    27 เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก [7]

    ใน ยอห์น – John บทที่ 14

    16 พระสัญญาแห่งพระผู้ปลอบประโลมใจเราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะทรงประทานผู้ปลอบประโลมใจอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป

    17 คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นพระองค์และไม่รู้จักพระองค์ แต่ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านและจะประทับอยู่ในท่าน [8]

    ในยอห์น – John บทที่ 15

    26 พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงเป็นพยานแต่เมื่อพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา

    27 และท่านทั้งหลายก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าท่านได้อยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว” [9]

    ในยอห์น – John บทที่ 16

    7 พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเตือนให้โลกรู้สำนึกอย่างไรก็ตาม เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ผู้ปลอบประโลมใจก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน

    8 เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้สึกถึงความผิดบาป และถึงความชอบธรรม และถึงการพิพากษา

    9 ถึงความผิดบาปนั้น คือเพราะเขาไม่เชื่อในเรา

    10 ถึงความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดาของเรา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก

    11 ถึงการพิพากษานั้น คือเพราะผู้ครองโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว

    12 พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำทางคริสเตียนเรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกท่านทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้

    13 เมื่อพระองค์ พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น

    14 พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย

    15 ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เหตุฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณทรงเอาสิ่งซึ่งเป็นของเรานั้นมาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย [10]

    -ความเชื่อของชาวคริสต์ ผู้ที่จะกลับมาคือ พระเยซู หรือ ศาสดา อีซา อย่างไรก็ตาม จุดร่วมระหว่างความเชื่อ คือ การปรากฎของผู้ถูกสัญญา ซึ่งการถกเถียงเรื่อง บุตรของมนุษย์คือ ใคร จะต้องเสนอแยกประเด็นออกไปต่างหาก

    5. ในเตารอต ของชาวยิว กล่าวถึง การมาของผู้นำคนที่สิบสองจากลูกหลานของอิสมาอีล

    ในคัมภีร์ เตารอต บทที่ 20 : 17 ได้กล่าวถึงผู้นำคนที่สิบสองจากลูกหลานของอิสมาอีลจะปรากฏขึ้น

    6.ในศาสนาพุทธกล่าวถึง พระศรีอาริยเมตไตร หรือ เมตตาริยะ

    หลักฐานจากพระไตรปิฎกเล่มที่ 11 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 3 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตรซึ่งเป็นพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท โดยถือกันว่ารักษาเนื้อหาได้สมบูรณ์ที่สุดในบรรดาทุกนิกาย ดังนี้

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้ แสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้นฯ [11]



    7. ในศาสนา อีก้วนเต้าของจีน (ใช้ชื่อ อนุตตรธรรม ในภาษาไทย)

    มีความเชื่อว่าภาคหนึ่งของพระศรีอาริยเมตไตร คือ พระธรรมจารย์ลู่ จงอี [12]

    นอกจากความเชื่อจากมุมมองของศาสนาแล้ว ในเรื่องเล่า หรือ ตำนานเกี่ยวกับ อิมามมะฮดี(อ) ผู้ปลดปล่อย ก็มีกล่าวไว้ในแต่ละชนชาติเช่นกัน กล่าวคือ ความเชื่อดังกล่าว ปรากฎให้เห็นในเผ่าพันธ์มนุษย์ทางซีกโลกตะวันออก และเผ่าพันธ์ทางซีกโลกตะวันตก ซึ่งนับได้ว่า ความเชื่อในเรื่องนี้ เป็นความเชื่อโดยที่ของมนุษย์ทั้งตะวันออก และตะวันตก เรื่องราวนี้ มีรากทางความคิดที่ฝังอยู่ในแต่ละเชื่อชาติ และเผ่าพันธ์



    1 ผู้ถูกสัญญา ในมุมมองของโลกตะวันตก

    ดังที่นำเสนอไปแล้ว ในฝากตะวันตก ชาวคริสต์ ต่างมีความเชื่อในเรื่อง การกลับมาของพระเยซู ผู้มาปลดปล่อย ผู้ช่วยเหลือมนุษย์ พวกเขาต่างกำลังรอคอยบุคคลผู้นี้

    นักวิชาการและนักปรัชญาตะวันตกบางกลุ่ม เผยว่า โลกต่างรอคอยการปรากฎของนักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่จะมาครอบครองโลกไปนี้ และทำให้มนุษย์เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้ธงชัย และสโลแกนของเขา

    เผ่าต่างๆของชาวตะวันตกในอดีตที่มีความเชื่อเกี่ยวกับอิมามมะฮดี(อ)มีดังนี้

    - ชนสลาฟ(Slavic peoples)

    ชนเผ่าสลาฟมีความเชื่อว่า จากมีบุคคลหนึ่ง มาจากแผ่นดินตะวันออก เขาจะยืนหยัดและทำให้เผ่าต่างๆของเอสลา เป็นหนึ่งเดียว และพวกเขาจะได้ครอบครองโลก

    - ชาวเยอรมัน (Germanic peoples)

    ชาวเยอรมันมีความเชื่อว่า จะมีผู้พิชิตคนหนึ่งจากเผ่าของพวกเขา ทำการปฏิวัติ และ จัรมัน จะได้เป็นผู้ปกครองโลก

    - ชาวเซิร์บ (Serbs)

    ชาวเซิร์บ มีความเชื่อว่า Marco karliowich จะปรากฎ และพวกเขากำลังรอคอยบุคคลผู้นี้

    - เผ่าแสกนดิเนเวีย

    ชนเผ่าแสกนดิเนเวีย มีความเชื่อว่า จะมีภัยพิบัตลงมาสำหรับมนุษย์ ,สงครามโลกจะทำลายเผ่าพันธ์ต่างๆ เมื่อนั้น โอดีน จะปรากฎด้วยพลังอำนาจขของพระเจ้า และจะพิชิตต่อทุกๆสิ่ง

    - ชนเผ่ายุโรปกลาง

    ชาวยุโรปชนเผ่ากลางมีความเชื่อว่า โบเคส (Bokhes)จะปรากฎขึ้นมาในยุคหนึ่ง

    - ชาวยูนาน หรือชาวกรีก

    ในอดีตชาวกรีกมีความเชื่อว่า คาล Kal คือผู้ช่วยเหลือมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ เขาจะปรากฎขึ้นตัวในอนาคต และจะช่วยเหลือโลกให้รอดพ้น [13]



    2 ผู้ถูกสัญญา ในมุมมองของ อเมริกา เอเซีย และแอฟริกา

    จากงานเขียน และบทวิเคราะห์ เกี่ยวกับ ความเชื่อเรื่องการปรากฎของ ผู้ช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น ที่ถูกสัญญาไว้ มีปรากฎอย่างแพร่หลายอยู่ในตำราของชาวจีน ชาวอิยิปต์ และในชาติ และอารยธรรมอื่นๆ

    -เผ่าอินเดียแดง มีความเชื่อว่า วันหนึ่ง คาร์ด ปรากฎตัว เขาจะนำพาชาวผิวแดงไปสู่สวรรค์บนดิน

    -ชาวเปอร์เซียโบราณ มีความเชื่อว่า คารซาร์ (Garzas) คือ ผู้พิชิตในประวัติศาสตร์ของพวกเขา เขาคือ ผู้มีชีวิต และกำลังหลับไหล่อยู่ ในอุโมงแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งมีมวลเทวฑูตกว่า พันองค์ เฝ้าพิทักษ์เขาไว้ จนเมื่อวันที่เขาตื่นขึ้นมา เขาจะทำการปฏิวัติ และเปลี่ยนแปลงโลก

    -ชาวจีนโบราณ มีความเชื่อว่า การิซนา(Keresna) จะปรากฎตัว และจะมาปลดปล่อยโลกให้รอดพ้น[14]

    -ชาวอิยิปต์โบราณ (ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในเมือง เมมฟิส )มีความเชื่อว่า จะมีกษัตริย์องค์หนึ่งปรากฎตัวในยุคสุดท้าย พร้อมด้วยอำนาจอันเร้นลับ เขาจะครอบครองโลก และจะทำลายความขัดแย้งของแต่ละเผ่าพันธ์ให้หมดสิ้น และจะนำมนุษย์ไปสู่ความสงบสุข

    -ชาวอิยิปต์โบราณอีกกลุ่มหนึ่ง มีความเชื่อว่า ผู้ที่พระเจ้าส่งมา จะปรากฎตัว ณ บ้านของพระเจ้า เขาจะทำการควบคุมโลก

    -ในเผ่าพันธ์ต่างๆของอินเดีย ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับการรอคอย ผู้ปฏิวัติโลก เขาจะจัดตั้งเอกรัฐบาลสำหรับโลกขึ้นมาในอนาคต

    -ชาวพราหม มีความเชื่อว่า ในยุคสมัยสุดท้าย พระวิษณุ จะปรากฎตัว เขาจะขี่อาชาสีขาว และถือดาบอัคคีไว้ในมือ เขาจะปราบปรามเหล่าศัตรู และจะทำให้โลกทั้งใบไปสู่ความผาสุข [15]

    สรุปแล้ว เมื่อเราศึกษาถึง การปรากฎของ ผู้ถูกสัญญา จะเห็นได้ว่า แต่ละพื้นที่ของโลกต่างมีเรื่องราวเกี่ยวกับ การปรากฎของ บุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งจะมาทำเปลี่่ยนแปลงโลกไปนี้ และนำมนุษย์ไปสู่ความผาสุข



    อ้างอิง
    [1] อิมามมะฮดี (อ) ความหวังใหม่ของโลก ,ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี
    [2] อ้างแล้ว
    [3] อ้างแล้ว
    [4] คัมภีร์ไบเบิล พันธะสัญญาฉบับใหม่ มัทธิว – Matthew บท 24
    [5] มาระโก – Mark บท 13
    [6] ลูกา – Luke บท 12
    [7] ลูกา – Luke บท 21
    [8] ยอห์น – John บทที่ 14
    [9] ยอห์น – John บทที่ 15
    [10] ยอห์น – John บทที่ 16
    [11] พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
    [12] mindcyber.com!
    [13] Mahdi (PBUH) in Other Religions and Nations
    [14] อ้างแล้ว
    [15]
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เอบีนิวส์ทูเดย์ abnewstoday | เอบีนิวส์ทูเดย์

    [​IMG]

    “เนทันยาฮู” ลั่น ไม่ว่าการเจรานิวเคลียร์อิหร่านบรรลุข้อตกลงเช่นไร ก็เป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอลอย่างใหญ่หลวง ตะวันออกกลางby เอบีนิวส์ทูเดย์ - มี.ค. 6, 2015

    นายกรัฐมนตรีอิสราเอลประกาศลั่นวิจารณ์แผนเจรจานิวเคลียร์อิหร่านกับกลุ่มประเทศมหาอำนาจว่า ไม่ว่าการเจราจะบรรลุข้อตกลงเช่นไร มันจะเป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอลอย่างแน่นอน

    อัลอาลัม – นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกล่าวต่อสภาคองเกรสของสหรัฐเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับแผนการเจรจาโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน

    การเจรจาระหว่างอิหร่านกับ 5 ชาติสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหรัฐฯบวกกับเยอรมนีที่เรียกขานกันว่า P5+1 นั้น เนทันยาฮู ได้เรียกร้องให้ขัดขวางการเจรจาทำความตกลงกับอิหร่านในเรื่องโครงการนิวเคลียร์ อีกทั้ง ให้เดินหน้ามาตรการคำว่าบาตรต่ออิหร่านต่อไปเอป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์

    เนทันยาฮู อ้างว่า การทำข้อตกลงกับอิหร่านในประเด็นนิเคลียร์นั้น เป็น “ข้อตกลงที่เลวร้าย” และดีทีสุดในการนี้ คือหยุดการเซ็นสัญญาข้อตกลง

    นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ได้ออกมาชี้ถึงคำพูดของเขาที่กำลังเป็นโจทย์กล่าวขานในสภาคองเกรส ว่า เขาพูดจริงและไม่ใช่เป็นเกมการเมือง

    ขณะที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจากพรรคเดโมแครตประมาณ 50 คนไม่ได้เข้าฟังผู้นำอิสราเอล

    ปฏิกิริยาของชาวยิวในอเมริกาต่อคำปราศรัยของเนทันยาฮู ในสภาคองเกรส

    ชาวยิวในอเมริกาจำนวนหนึ่งออกมาประท้วงหน้าสภาคองเกรส สถานที่ที่เนทันยาฮู ขึ้นกล่าปราศรัย โดยพวกเขาชี้ว่า เนทันยู คืออาชญากรสงคราม

    ในการกล่าวปราศรัยของเนทันยาฮู ในสภาคองเกรสนั้น ชาวยิวในอเมริกาจำนวนหนึ่งออกมาประท้วง คัดค้าน โดยมีชูแผ่นป้ายต่างๆ โดยถือว่า เนทันยาฮู ไม่ใช่ตัวแทนของพวกยิว

    นอกจากนั้นนั้นบรรดาผู้ประท้วงยังเรียกร้องให้อเมริกายุติการช่วยเหลือและสนับสนุนอิสราเอลอีกด้วย





    نتانیاهو: هرتوافقی با ایران، اسرائیل را به خطر می‌اندازد

    واکنش یهودیان آمریکا به سخنرانی نتانیاهو + عکس

    “เนทันยาฮู” ลั่น ไม่ว่าการเจรานิวเคลียร์อิหร่านบรรลุข้อตกลงเช่นไร ก็เป็นภัยคุกคามต่ออ
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “คุกลับ”…กับความท้าทายต่อ “หลักการ” ที่สหรัฐฯ อ้างว่ากำลังปกป้อง
    เรื่องเด่นประเด็นร้อนby เอบีนิวส์ทูเดย์ - มี.ค. 3, 2015

    [​IMG]

    “ด้วยการหันหลังให้กับกฎหมายระหว่างประเทศ อเมริกาได้วางแบบอย่างที่อันตรายเอาไว้ ด้วยวิธีการมากมายที่ได้ทำให้อาชญากรรมสงครามเป็นความชอบธรรม อ้างเหตุผลสนับสนุนการทรมานว่าเป็นความชั่วร้ายที่จำเป็น” นักวิเคราะห์การเมืองผู้หนึ่งกล่าว


    วอชิงตัน – สหรัฐฯ โกรธแค้นต่อการโจมตีเมื่อ 11 กันยายน 2001 ตกตะลึงด้วยความคิดที่ว่าอำนาจมืดอาจจะหาทางทำลายเสรีภาพและประชาธิปไตย ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการสร้างชาติ แต่ทว่าโลกอันกว้างไกลต่างหากที่ต้องรองรับแผลเป็นจากการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ

    จากเหตุการณ์โจมตีบนแผ่นดินสหรัฐเมื่อวันที่ 11 กันยายน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศตนเข้าทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายและใครก็ตามที่กล้ามาขวางทาง ถึงแม้กฎหมายระหว่างประเทศจะระบุไว้ว่า ทุกประเทศมีสิทธิในตัวเองและโดยสมบูรณ์ในการที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องประชาชนและอธิปไตยในดินแดนของตน แต่ความปรารถนาและความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นของวอชิงตันบ่อยครั้งได้แปลไปเป็นการละเมิดกฎหมายอย่างรุนแรงในการปฏิบัติ ต่อประชาชน ต่อชาติต่างๆ และต่อกฎหมายระหว่างประเทศ

    “ในระยะเวลาสิบปีกว่าๆ การทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของอเมริกาได้กลายเป็นวาทะกรรมเพื่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นเรื่องน่าเย้ยหยันเมื่อนึกถึงว่าวอชิงตันอ้างตนว่ามีคุณธรรมสูงส่งกว่ากลุ่มต่างๆ อย่างอัล-กออิดะฮ์และไอซิซ” มัรวา อุสมาน นักวิเคราะห์การเมืองและอาจารย์บรรยายที่มหิทยาลัยนานาชาติเลบานอน ในเบรุต บอกกับสำนักข่าว

    “เพื่อต่อสู้กับการก่อการร้าย ประเทศที่เรียกว่า ‘โลกเสรี’ ได้กระทำความชั่วร้ายมากเท่า หรือเลวร้ายยิ่งกว่ากลุ่มที่มันชิงชังเสียอีก การส่งผู้ร้ายข้ามรัฐ การทรมาน การจับกุมอย่างผิดกฎหมาย การคุมขังอย่างผิดกฎหมาย และอื่นๆ อีกมากมาย” อุสมานกล่าวต่อ

    ถึงแม้ประธานาธิบดีบารัก โอบามา จะระบุบ่อยครั้งถึงความทุ่มเทของเขาในการปกป้องเสรีภาพและประชาธิปไตย ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ ที่ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านการกดขี่ ความรู้สึกนี้ได้สูญเสียความเรืองรองไปบางส่วนในตอนนี้ที่ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายแบบมีเงื่อนไขของวอชิงตันได้เป็นที่รับรู้ของสาธารณชน

    เมื่อเดือนธันวาคม รายงานคณะกรรมการข่าวกรองวุฒิสภาสหรัฐฯ ระบุถึงรายละเอียดของโครงการที่จะควบคุมตัวและสอบสวนผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย –ซึ่งมักเป็นการเข้าใจผิด- หลังเหตุการณ์ 11 กันยา ของซีไอเอ ระหว่างปี 2002 ถึง 2006 รายละเอียดของรายงานที่มีตัวอย่างนักโทษถูกทรมาน ข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดหรือข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโครงการลับของซีไอเอ ถูกแจกจ่ายไปยังสื่อ ความเผลอรอของรัฐบาลและการวิจารณ์ภายในถูกขัดขวาง และโครงการดำเนินการผิดพลาด มันยังเปิดเผยว่ามีผู้ถูกคุมขังที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน รวมทั้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการมีนักโทษถูกปฏิบัติอย่างรุนแรงมากกว่าที่เคยมีการเปิดเผยมาก่อน และมีการนำรูปแบบการทรมานมาใช้มากกว่าที่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน

    รายงาน 6,000 หน้า ซึ่งใช้เวลาในการรวบรวมถึงห้าปี และต้องรัฐบาลอเมริกันต้องใช้เงินไปถึง 50 ล้านดอลล่าร์ ส่วนใหญ่ยังคงมีการปรับปรุงแก้ไขอยู่ มีเพียง 525 หน้าเท่านั้นที่ถูกเผยแพร่ออกมา

    แม้ว่าบางคนจะแย้งว่า บางครั้งความจำเป็นสามารถเป็นเหตุผลสนับสนุนวิธีการได้ โดยเฉพาะเมื่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์หลายล้านคนตกอยู่ในอันตราย รายงานนี้ก็ยังสรุปว่า ซีไอเอล้มเหลวไม่สามารถทำลายแผนการของผู้ก่อการร้ายได้แม้แต่แผนเดียวตั้งแต่ปี 2002 ถึง 2006 แม้กระนั้น เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ก็ยังไม่ได้หยุดปฏิบัติการคุกลับของอเมริกา

    เป็นไปได้ไหมว่า ในที่กำลังแสวงหาประชาธิปไตยและในนามของการป้องกันตัวเอง อเมริกาได้กลายเป็นปีศาจร้ายที่มันสาบานอย่างหนักแน่นว่าจะทำลายไปแล้ว ด้วยการสร้างหลุมดำตามกฎหมายขึ้นมา ที่อเมริกาเท่านั้นจะสามารถทำได้อย่างเสรี?



    สิทธิ์ในการป้องกันตัวเอง

    การอ้างหลักฐานทางกฎหมายว่าทุกชาติมีสิทธิ์ที่จะป้องกันตัวเอง ได้เข้าสู่มิติใหม่ไปแล้วในช่วงสิบปีที่ผ่านมา อย่างน้อยก็เท่าที่สหรัฐฯ สนใจ

    แมรี่ เอลเลน โอคอนเนล ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายที่โรงเรียนกฎหมายนอเตอร์เดม ได้ระบุไว้ใน “คู่มือวิจัยด้านความขัดแย้งระหว่างประเทศและกฎหมายความมั่นคง” ดังนี้ “มนุษยชาติให้การรับรองว่าบุคคลควรจะมีสิทธิ์ในการป้องกันตัวเองจากความรุนแรง ในกฎหมายระหว่างประเทศความรู้สึกโดยพื้นฐานนี้ถูกประมวลเพื่อใช้กับรัฐ ในกฎบัตรสหประชาชาติมาตรา 51”

    ขณะที่มาตรา 51 ยังคงเป็นพื้นฐานทางกฎหมายอยู่ แต่ขอบเขตทางกฎหมายและลักษณะการป้องกันตัวเองของมันต่างหากที่สหรัฐฯ ไม่เพียงแค่ท้าทาย แต่ยังปฏิรูปมันด้วย

    นับตั้งแต่เริ่มใช้ในปี 1945 กฎบัตรของสหประชาชาติข้อนี้ได้กลายเป็นหลักฐานสนับสนุนที่มีอำนาจมากที่สุดในการป้องกันตัวเองของชาติ นักวิชาการและเจ้าหน้าที่รัฐของสหรัฐฯ พยายามที่จะกฎข้อนี้มาใช้ซ้ำบ่อยครั้ง โดยมองหาวิธีการที่จะขยายสิทธิ์ในการใช้กำลังเพื่อให้เหมาะสมกับข้อกำหนดของตน หรือเพื่ออ้างเหตุผลสนับสนุนการกระทำของตน

    ที่น่าสังเกตที่สุด เดเรค โบเว็ตต์ นักกฎหมายดังชาวอเมริกาได้ท้าทายมาตรา 51 ไว้ในหนังสือ “Self Defense in International Law” ซึ่งเขาให้เหตุผลว่า การขู่ว่าจะใช้กำลังโดยรัฐใดก็ตาม สามารถเป็นความผิดได้ การลงโทษที่ได้รับการอนุมัติ หรือมาตรการที่ใช้ในการป้องกันตัวเอง บนสมมติฐานที่ว่า รัฐมีสิทธิ์อย่างไม่จำกัดในการเข้าสู่สงคราม
    ทฤษฎีของโบเว็ตต์ถูกล้มโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในปี 1986 ในคดีของนิคารากัวกับสหรัฐฯ ศาล ICJ ตัดสินว่า กฎบัตรสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันตัวเองได้จัดเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศแล้ว ศาลยังชี้ถึงการอ้างอิงของสหรัฐฯ ที่อธิบายว่าการห้ามใช้กำลังถือเป็นบรรทัดฐานที่มีลักษณะบังคับเด็ดขาดของกฎหมายระหว่างประเทศ ศาล ICJ ได้เน้นถึงข้อจำกัดในการป้องกันตัวเองที่พบในมาตรา 51 และในกฎหมายระหว่างประเทศ อยู่เหนือกฎบัตรสหประชาชาติ โดยเฉพาะในรูปแบบของหลักการของความจำเป็นและความได้สัดส่วน

    การตัดสินในปี 1986 ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ แต่สหรัฐฯ ได้ท้าทายหลักการสำคัญของการป้องกันตัวเองในปี 2002 เมื่อมันประกาศทำสงครามทั่วโลกเพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากการก่อการร้าย ในรายงานยุทธศาสตร์การรักษาความมั่นคงแห่งชาติปี 2002 รัฐบาลสมัยจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้แนะนำให้เกิดแนวคิดเรื่องการป้องกันตัวเองล่วงหน้า เมื่อมันประกาศว่าจะสงวนสิทธิ์ในการโจมตีภัยคุกคามใดๆ ก็ตาม ทั้งที่มีในขณะนั้นหรือที่อาจเป็นไปได้ เพื่อป้องกันความมั่นคงของชาติ นั่นอาจจะรวมถึงภัยคุกคามที่เป็นการก่อการร้าย หรือภัยคุกคามจากโครงการอาวุธนิวเคลียร์

    ถึงแม้จะมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ทางกฎหมายโดยทั่วไปว่า มาตรา 51 ไม่สนับสนุนให้ใช้สิทธิ์ในการโจมตีเพื่อป้องกันตัวเองในสถานการณ์อื่นที่นอกเหนือจากการโจมตีด้วยอาวุธ แต่ถึงกระนั้น สหรัฐฯ ก็ยังตัดสินใจที่จะดำเนินการต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามโครงการทำสงครามซ่อนรูปของมัน



    สงครามซ่อนรูปของอเมริกา

    หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน รายงานปรากฏออกมาว่า มีบุคคลจำนวนมาก ที่รวมทั้งพลเมืองของอเมริกาและชาวต่างชาติอื่นๆ ถูกซีไอเอนำตัวมาจากทั่วโลกเพื่อไปคุมขังในคุกขังเดี่ยว

    “แทนที่จะใช้ช่องทางกฎหมายตามปกติ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ตัดสินใจที่จะข้ามไปใช้กฎหมายระหว่างประเทศ และโยนผู้ต้องสงสัยที่ถูกกล่าวหาว่าก่อการร้ายเข้าสู่หลุมดำทางกฎหมายโดยไม่มองข้ามอะไรนอกจากความผิดของตัวเอง และที่สำคัญกว่านั้นคือไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่” อุสมาน นักวิเคราะห์การเมืองกล่าว

    ดังที่ Reprieve องค์กรไม่แสวงหากำไรในอังกฤษได้รายงานเกี่ยวกับการเปิดเผยการปฏิบัติอย่างผิดกฎหมายเช่นนั้น โดยระบุว่า มี “การคุมขังแทน (proxy detention) อย่างผิดกฎหมาย และการคุมขังของฝ่ายทหารในคุกลับทั่วโลก เครือข่ายคุกลับของอเมริกาขยายไปทั่วโลก ภายหลังการโจมตีเมื่อ 11 กันยายน 2001 สหรัฐฯ ได้ส่งผู้คนไปยังค่ายคุมขังในอัฟกานิสถาน, ดิเอโก การ์เซีย ในดินแดนมหาสมุทรอินเดียของอังกฤษ, จิบูตี, อียิปต์, ซีเรีย และโปแลนด์ และอีกหลายประเทศ”

    ขณะที่ซีไอเอกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศ มันได้ทำไปภายใต้การใช้อำนาจอย่างเข้มงวดของเพนตากอน เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2001 บุชได้ออกคำสั่งลับของประธานาธิบดีที่อนุมัติปฏิบัติการและการคุมขังเช่นนั้น

    ห้าปีที่ใช้แผนการนี้ ในเดือนกันยายน 2006 หลังจากที่รายงานของสื่อกระแสหลักกล่าวอ้างว่า สหรัฐฯ ได้เริ่มปฏิบัติการออกนอกกรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ โดยใช้การทรมานและวิธีการผิดกฎหมายอื่นๆ เพื่อเก็บข้อมูลข่าวกรอง บุชได้ออกมายอมรับอย่างเปิดเผยถึงสิ่งที่เจ้าหน้าที่หลายคนกล่าวถึงว่าเป็นสถานที่ลับในต่างประเทศ โดยให้เหตุผลโต้แย้งว่าสหรัฐฯ มีสิทธิ์ทุกประการที่จะใช้สถานที่เหล่านั้น

    ขณะที่รัฐบาลบุชออกมาพูดความจริง มันยังยืนยันด้วยว่าจะส่ง “นักโทษที่มีค่าสูง” 14 คน ไปยังศูนย์คุมขังที่อ่าวกวนตานาโมในคิวบา เป็นการแก้ต่างเรื่องความมั่นคงของชาติอีกครั้งขณะที่ยอมรับว่ามีการปฏิบัติในการ “คุมขังผี” (ghost detention)

    แต่ทว่าขณะที่บุชยืนยันว่ามีสถานที่ลับ เขาปฏิเสธโดยสิ้นเชิงว่าไม่เคยใช้การทรมาน “สหรัฐฯ ไม่ได้ทรมานนักโทษ ข้าพเจ้าไม่ได้อนุมัติ และจะไม่อนุมัติ” เขาเน้นย้ำ และกล่าวเสริมว่า “โครงการนี้ช่วยให้เรานำตัวฆาตกรที่สามารถทำการสังหารหมู่ออกไปจากถนนก่อนที่พวกเขาจะมีโอกาสฆ่าใคร”

    ไม่ว่าการทรมานจะถูกสั่งการจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ตอนนี้ปรากฏชัดว่ามันถูกนำมาปฏิบัติอย่างเป็นระบบ

    องค์การนิรโทษกรรมสากลได้ระบุไว้ว่า “ในหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยายน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ละเมิดทั้งข้อห้ามระหว่างประเทศและภายในประเทศที่ไม่ให้ใช้วิธีการทรมานและวิธี CID (การปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ทารุณ หรือให้อับอาย) ในนามของการต่อสู้กับการก่อการร้าย”

    “ตัวอย่างจำนวนมากของการทรมานและ CID โดยเจ้าพนักงานสหรัฐฯ -ที่ยืนยันโดยเจ้าหน้าที่ผู้เข้าร่วมหรือเห็นเหตุการณ์เหล่านี้- ถูกส่งเสริมด้วยการไม่ต้องรับโทษ และสภาคองเกรสไม่ได้ทำการสืบสวนอย่างครอบคลุม ยุติธรรม และเป็นกลางในนโยบายและการปฏิบัติในการคุมขัง” องค์การนี้กล่าวต่อไป

    ในหนังสือของพาโบล พาร์โด นักหนังสือพิมพ์และนักเขียน เขาได้เขียนอย่างละเอียดเกี่ยวกับคำให้การของเดเมียน คอร์เซ็ตตี ทหารสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนที่ฐานทัพอากาศบาแกรมในอัฟกานิสถาน คอร์เซ็ตตีสารภาพว่าได้กระทำการล่วงละเมิดหลายครั้งระหว่างการประจำการหลายปีของเขา รวมทั้งการใช้อวัยวะเพศของเขาเขี่ยใบหน้าของนักโทษที่ถูกพันธนาการไว้ และขู่ว่าจะล่วงละเมิดทางเพศ ด้วยข้อหาละทิ้งหน้าที่ กระทำทารุณ ทำร้ายร่างกาย และแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับนักโทษอื่น คอร์เซ็ตตีถูกให้พ้นจากหน้าที่ทั้งหมดในเดือนมิถุนายน 2006 แต่ทว่า “นักโทษที่บริสุทธิ์” จำนวนมากยังคงติดค้างอยู่ที่อ่าวกวนตานาโม



    สงครามและอุตสาหกรรมที่กำลังผุดขึ้น

    “หนึ่งทศวรรษในสงครามซ่อนรูปของอเมริกา คุกลับและการทรมานได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไป แต่ทั้งสาธารณชนชาวอเมริกาและประชาคมโลกต่างก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการสะดุ้งกลัวอย่างเงียบๆ ต่ออาชญากรรมอันรุนแรงที่วอชิงตันกระทำต่อมนุษยชาติ” มุจตาดา มูซาวี บรรณาธิการ Iran’s View กล่าว

    “สิ่งที่โลกไม่ได้ทำความเข้าใจก็คือว่า ด้วยการกระทำที่ผิดกฎหมาย ด้วยการสร้างความอัปยศให้กับพลเรือน และด้วยการไม่ใส่ใจต่อเสรีภาพของประชาชนเช่นนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้บั่นทอนรากฐานสำคัญแห่งประชาธิปไตยของตนไปด้วย ในเรื่องนี้ สหรัฐฯ ไม่สามารถเป็นทั้งพระเอกและผู้ร้ายได้ ด้วยการหันหลังให้กับกฎหมายระหว่างประเทศ อเมริกาได้วางแบบอย่างที่อันตรายเอาไว้ ด้วยวิธีการมากมายที่มันได้ทำให้อาชญากรรมสงครามเป็นความชอบธรรม อ้างเหตุผลสนับสนุนการทรมานว่าเป็นความชั่วร้ายที่จำเป็น” มูซาวีกล่าวเพิ่มเติม

    ถึงกระนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่ได้โดดเดี่ยว อุตสาหกรรมใหม่ได้ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่ปี 2001 ผู้รับเหมาด้านการป้องกันตัวได้เข้ามาสมรู้ร่วมคิดในหลายกรณี ให้ความสามารถและความช่วยเหลือแก่ซีไอเอในการเคลื่อนย้าย จับกุม และส่งทรัพย์สินไปทั่วโลก สงครามซ่อนรูปของอเมริกาได้กลายเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรอย่างแท้จริง เป็นธุรกิจที่ดำเนินการอยู่เหนือการตรวจสอบทางกฎหมายหรือความรับผิดชอบต่อหน้าที่ใดๆ

    อบู ซุบัยดาห์ เป็นกรณีหนึ่งในประเด็น เขาถูกสงสัยอย่างผิดพลาดว่าเป็นสมาชิกระดับสูงของอัล-กออิดะห์ และเป็นหัวหน้าในการปฏิบัติการในปากีสถาน เขาถูกนำส่งจากปากีสถานไปยังประเทศไทยและไปโปแลนด์ในปี 2002 โดยบริษัท DynCorp Systems and Solutions เพื่อส่งต่อไปให้ซีไอเอ ด้วยมูลค่า 330,000 ดอลล่าร์

    ด้วยค่าธรรมเนียมที่ขึ้นถึงหลายแสนดอลล่าร์ ทำให้ผู้รับเหมาเอกชนกระตือรือร้นที่จะรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลสหรัฐฯ

    จากการสืบสวนของ Reprieve ระบุว่า “ในปี 2002 สำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ เริ่มใช้ผู้รับเหมาเอกชนเพื่อขนส่งนักโทษไปยัง “สถานที่ลับ” ทั่วโลก ที่ซึ่งพวกเขาจะถูกขังเดี่ยว ถูกสอบสวน และถูกทรมาน”

    การสืบสวนของ Reprieve มุ่งเน้นไปที่บริษัท Computer Sciences Corporation, CynCorp, Universal Weather and Aviation, Rockwell Collins and Richmor Aviation

    ขณะเดียวกัน ไดแอน เฟนสไตน์ ประธานคณะกรรมการข่าวกรองวุฒิสภา ได้ให้สัมภาษณ์กับ Democracy Now เมื่อเดือนธันวาคมว่า “เทคนิคการสอบสวนทิ่เพิ่มขึ้นของซีไอเอไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพในการรวบรวมข้อมูลข่าวกรอง”
    ถ้าสิ่งที่เฟนสไตน์กล่าวเป็นจริง ทำไมจึงปฏิบัติกันอยู่? ที่สำคัญ จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหน้าที่ที่ลงนามในคำสั่งส่งตัวและคำสั่งทรมาน?

    “เป็นไปได้อย่างไรที่ชาติหนึ่งจะร้องหาหลักการของกฎหมายและอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาตินั้นทำล้วนสวนทางกับจริยธรรมและศีลธรรม? และแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่จะเรียกคืนศีลธรรมด้วยสงคราม ก็ควรจะวางหลักการเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง” อุสมานจากมหาวิทยาลัยนานาชาติเลบานอนกล่าว

    “มิฉะนั้น จะอธิบายอาชญากรรมของสหรัฐฯ เป็นอย่างอื่นได้อย่างไรอีก นอกจากจะเปรียบกับบรรดากลุ่มที่มันตราหน้าว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย? ไอซิซข่มขืนและทรมาน สหรัฐฯ ก็ข่มขืนและทรมาน ไอซิซลักพาตัวผู้ชายและผู้หญิง สหรัฐฯ ก็ทำเช่นนั้นกับผู้ชายและผู้หญิง”

    “เราจะบอกได้อย่างไรว่าฝ่ายไหนชั่วและฝ่ายไหนดี? เมื่อไหร่กันที่เจตนารมณ์พูดเสียงดังกว่าการกระทำ?”





    By Catherine Shakdam
    Source : MintPress News | Independent, non-partisan journalism
    แปล/เรียบเรียง กองบก.เอบีนิวส์ทูเดย์

    “คุกลับ”…กับความท้าทายต่อ “หลักการ” ที่สหรัฐฯ อ้างว่ากำลังปกป้อง | abnewstoday
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ครั้งแรก! นำอัลกุรอานสู่ดาวอังคาร
    ตะวันออกกลางby เอบีนิวส์ทูเดย์ - มี.ค. 3, 2015

    [​IMG]

    วัยรุ่นชาวอียิปต์ พร้อมกับเพื่อนอีก 99 คน ถูกเลือกให้เป็นบุคคลที่จะเดินทางสู่ดาวอังคาร ภายใต้ สโลแกน “ การเดินทางสู่ดาวอังคารที่ไม่มีวันคืนกลับ” ซึ่งเขาเผยว่า หากเจ้าหน้าที่อนุญาต ผมจะนำอัลกุรอานติดตัวสู่ดาวอังคารในการเดินทางครั้งนี้ด้วย

    หนังสือพิมพ์ “อียิปต์วันนี้” รายงานว่า มุฮัมมัด สาลาม ถูกคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบุคคลที่จะเดินทางสู่ดาวอังคาร พร้อมกับเพื่อนอีก 99 คน ภายใต้ สโลแกน “ การเดินทางสู่ดาวอังคารที่ไม่มีวันคืนกลับ” โดยเผยความรู้สึกในครั้งนี้ว่า หากเจ้าหน้าที่อนุญาต ผมจะนำอัลกุรอานติดตัวสู่ดาวอังคารในการเดินทางครั้งนี้ ทำให้ผมเป็นคนแรกที่สามารถนำพาอัลกุรอานสู่ดาวอังคารสำเร็จ

    เขากล่าวเสริมว่า ในประเด็นสโลแกน ของการเดินทางครั้งนี้ “ การเดินทางที่ไม่มีวันกลับ” ว่า อายุขัยของมนุษย์ขึ้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และบางครั้งอาจเป็นได้ว่าในการเดินทางครั้งนี้อาจจะกลับคืนสู่พระองค์ก็เป็นได้” และในการเดินทางครั้งแรกนี้เขาและเพื่อนๆมีความประสงค์ที่จะปลูกต้นไม้บนดาวอังคารอีกด้วย

    มุฮัมมัด บิน สาลาม ปัจจุบันวัย 32 ปี สถานะโสด ชื่อเล่น “เมโด” เป็นเด็กกำพร้าบิดา และสูญเสียน้องชายไปหนึ่งคนในครั้งที่ยังเยาว์วัย ปัจจุบันอาศัยอยู่กับมารดาและน้องชายคนสุดท้องชื่อว่า มัรวาน

    เขาได้สมัครเข้าร่วมโครงการเดินทางสู่ดาวอังคาร โดยครั้งนี้ มีผู้สมัครทั้งสิ้น 205,586 คน และเขาเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่ได้รับการคัดเลือก

    โครงการดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อปี 2012 โดยองค์กรหนึ่งของฮอนแลนด์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นยังดาวอังคารให้สำเร็จ ในโครงการครั้งนี้ ยังมีชาวอีรักเชื้อสายอเมริกันหนึ่งคนถูกคัดเลือกด้วย
    ขณะนี้รายชื่อของผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าวที่อยู่ในบัญชีขององค์กร เพื่อเดินทางสู่ดาวอังคาร นั้น จากอเมริกา จำนวน 39 คน ยุโรป 31 คน เอเชีย 16 คน แอฟริกา 7 คน และเอเชียเปซิฟิก 7 คน โดยที่จำนวนดังกล่าวจะมีการคัดเลือกให้เลือก 24 คน และจากแบ่งเป็นกลุ่มละ 6 คน ที่จะสามารถเดินทางไปดาวอังคารได้ สำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือก จะต้องผ่านการฝึกอบรม เป็นระยะเวลา 7 ปี และในปี 2023 จะเป็นกลุ่มแรกที่จะเดินทางสู่ดาวอังคาร โดยใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้น 7 เดือน

    เขากล่าวเสริมว่า หากเจ้าหน้าที่อนุญาต ผมจะนำอัลกุรอานไปยังดาวอังคาร และทำให้ผมเป็นบุคคลแรกที่สามารถพาอัลกุรอานสู่ดาวอังคาร และนมาซถือศีลอดบนดาวอังคาร อีกทั้งเป็นคนแรกที่อาบน้ำนมาซและทำการตะยัมมุม และกล่าวเสียงอะซาน อัลลอฮ์ ฮุ อักบัร ให้กึกก้องบนดาวอังคาร

    قرآن برای نخستین‌بار به سیاره مریخ می‌رود

    ครั้งแรก! นำอัลกุรอานสู่ดาวอังคาร | abnewstoday
     

แชร์หน้านี้

Loading...