ติดตามสถานะการณ์

Thanong Fanclub



7. Ugly American
กรีซอาจจะยังไม่ขอความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ แต่รัสเซียแย้มว่า พร้อมจะอุ้มกรีซทางการเงิน
ไม่รู้ว่าจะเป็นเตี้ยอุ้มค่อมหรือไม่ แต่รมวคลังรัสเซียนายAnton Siluanovเปิดเผยว่ามีความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะให้ความช่วยเหลือกรีซทางการเงิน
รัฐบาลใหม่ของกรีซได้แสดงท่าทีว่าไม่เห็นด้วยกับการแซงชั่นรัสเซีย
รัสเซียพยายามแซะยุโรปที่กำลังหารือมาตรการใหม่ที่จะแซงชั่นรัสเซีย ด้วยการดึงเอากรีซมาเป็นพวก นายSiluanovบอกว่า ถ้ากรีซทำข้อเสนอขอความช่วยเหลือทางการเงินมา รัสเซียจะพิจารณาอย่างจริงจัง
ถ้ารัสเซียอุ้มกรีซได้ หมายความว่ารัสเซียมั่นใจว่าสถานะการเงินของตัวเองไม่ได้ย่ำแย่เหมือนอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ และธนาคารกลางได้ลดดอกเบี้ยลงจาก17.50% เป็น15.0% หมายความว่าการเงินของรัสเซียมีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง หลังจากรูเบิ้ลโดนถล่มหนักในช่วงที่ผ่านมา
กรีซจะเจรจากับอียูในวันที่28กุมภาพันธ์เพื่อจะได้รับเงินกู้งวดใหม่ ซึ่งคงจะเป็นเรื่องพอสมควรเพราะว่ารัฐบาลใหม่ของกรีซไม่ต้องการรัดเข็มขัด ที่ผ่านมากรีซได้รับเงินช่วยเหลือในปี2010 และ2014ไปแล้ว240,000ล้านยูโร แต่ยังแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ หนี้กรีซยังคงอยู่ระดับสูงที่317,000ล้านยูโร
ต้องดูว่ากรีซจะหันประเทศไปซบฝั่งรัสเซีย หรือจะอยู่กับอียูอีกต่อไป ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่ออนาคตของยุโรป
thanong
30/1/2015
http://rt.com/business/227751-russia-greece-financial-aid/

 

Thanong Fanclub



8. Ugly American
Fidel Castro อดีตผู้นำคิวบาให้สัมภาษณ์ปลายปีที่แล้วว่า สหรัฐฯและอิสราเอลเป้นผู้สร้างISISให้เกิดขึ้นมา และบอกว่าคำพูดและการแสดงออกของผู้นำNATOบางคนดูแล้วคล้ายๆกับพวกนาซีเยอรมัน
ISISไม่สามารถจะเกิดขึ้นมาจากกลางอากาศได้ และเป็นที่ทราบกันดีว่ารัสเซีย จีน อิหร่าน ซีเรีย หรือพันธมิตรBRICSไม่ได้สร้างหรือหนุนISIS เมื่อเป็นเช่นนั้นพันธมิตรอาหรับของโลกตะวันตก รวมทั้งสมาชิกนาโต้เป็นผู้สร้างISISเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการสกัดการรุกคืบของอิหร่านในอิรัค เพื่อล้มล้างซีเรีย และใช้เป็นข้ออ้างในการเพิ่มกำลังทางทหารเพื่อต่อสู้กับภัยการก่อการร้าย
Castroพูดชัดว่าJohn McCainวุฒิสมาชิกสหรัฐฯที่หนุนอิสราเอลเต็มตัว และอิสราเอลเป็นผู้สร้างISISขึ้นมา ซึ่งสามารถยึดพื้นที่ในอิรัคได้มาก รวมทั้งพื้นที่ในซีเรียด้วย
thanong
31/1/2015
Castro compares NATO to Nazi SS, slams US, Israel for ‘creating ISIS’ — RT News

 

Thanong Fanclub



9. Ugly American
สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มเอสบอเลาะห์ (Hezbollah)ของเลบานอนมีโอกาสปะทุขึ้นเพื่อเปิดฉากสงครามในตะวันออกกลาง หลังจากที่มีการเอาคืนกันไปเอาคืนกันมา
ทหารอิสราเอล2คนโดนพวกHezbollahถล่มตาย บาดเจ็บ5คน เพื่อเป็นการล้างแค้นให้นักรบHezbollahที่โดนทหารอิสราเอลฆ่าตายไป7คน รวมทั้งนายพลของอิหร่านที่ต้องเสียชีวิตด้วยในซีเรียก่อนหน้านี้ อิหร่านบอกว่าปฏิบัติการของอิสราเอลต้องได้รับการตอบโต้เพราะว่าได้สูญเสียบุคคลกรทางทหารที่สำคัญไป และHezbollahก็ได้ตอบโต้ไปแล้ว
ฝ่ายนายกรัฐมนตรีของอิสราเอล นายเบนจามิน เนธันยาฮูประกาศว่าพวกHezbollahต้องถูกถล่มกลับอย่างสาสมมากกว่า พูดเสร็จไม่ทันขาดคำ ปืนใหญ่ของอิสราเอลที่ตั้งบนเขาHermon ยิงเข้าไปในฐานที่มั่นของพวกHezbollahในเลบานอน
Hezbollahเคยทำสงครามกับยิวในปี2006 และตั้งแต่นั้นมาได้สะสมจรวดเพิ่มถึง50,000ลูก กลุ่มHezbollahเป็นสุมลิมซีห์อะไที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านเพื่อเป็นหอกข้างแคร่ยิว
ตอนนี้มีโอกาสจะเกิดสงครามใหญ่ระหว่างHezbollahกับยิวขึ้นมาอีกครั้ง และกลุ่มHamasของปาเลสไตน์จะเข้าร่วมวงด้วยเพื่อช่วยHezbollah
เนธันยาฮูกำลังขอการสนับสนุนจากสหรัฐฯให้ช่วยหนุนในการถล่มอิหร่าน และผิดหวังมากที่โอบามาไม่ต้องการแซงชั่นอิหร่านเพิ่ม ในขณะเดียวกันอิหร่านกำลังเริ่มจะตอบโต้อิสราเอลแล้ว
thanong
31/1/2015
http://theeconomiccollapseblog.com/…/next-war-middle-east-b…

 

Thanong Fanclub



10. Ugly American
กลางเดือนนี้ โอบามาไปเยือนซาอุดิฯอย่างไม่มีกำหนดการ หลังจากร่นเวลาการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ โอบามาไปซาอุฯทำไม?
ทราบกันดีอยู่แล้วว่าโอบามาไปเยือนอินเดียเพื่อดึงเอาอินเดียมาเป็นพวก และขอตั้งฐานทัพในอินเดีย แต่ข้อตกลงลับนี้โโนอินเดียพลิ้วไปมา ยังไม่ลงเอยตามประสงค์ของสหรัฐฯ เพราะว่าอินเดียก็โดนทั้งรัสเซียและจีนกดดันอยู่ให้เลือกข้างให้ถูก
ข่าวที่เป็นทางการรายงานว่า โอบามาเดินทางต่อจากนิวเดลฮีไปซาอุดิฯเพื่อเคารพพระศพของกษัตริย์อัลดุลเลาะห์ และพบกับกษัตริย์ซาลมานที่ขึ้นมาแทน ข่าวที่ไม่เป็นทางการบอกว่าโอบามาต้องการกดดันซาอุดิฯต่อให้คงนโยบายน้ำมันปัจจุบันนี้ คือกดให้ราคาน้ำมันต่ำต่อไป ทั้งนี้เป็นเพราะซาอุดิฯเริ่มจะลังเลใจว่าการกดราคาน้ำมันนี้จะไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เพราะว่ามันไม่คุ้มที่จะเป็นศัตรูกับรัสเซีย และทำให้อิหร่านโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น
การทุบราคาน้ำมันโดยการสมรู้ร่วมคิดระหว่างสหรัฐฯและซาอุดิฯเพื่อที่จะทำลายเศรษฐกิจและการเงินของรัสเซีย รวมทั้งอิหร่านและเวเนซูเอลล่าที่พึ่งพารายได้น้ำมันเป็นหลัก ปิดท้ายด้วยการถล่มค่าเงินรูเบิ้ล เพื่อจุดปะทุการเปลี่ยนแปลงการเมืองภายในรัสเซีย และเพื่อล้มปูตินออกจากอำนาจ ถือเป็นนโยบายการเมืองล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ แม้ว่านโยบายน้ำมันนี้จะมีผลกระทบอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐฯอย่างรุนแรงมาก
ไม่ชัดเจนว่าโอบามาต้องการให้ซาอุดิฯดันราคาน้ำมันให้ต่ำไปอีกนานเท่าใด เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการล้มรัฐบาลซีเรียที่ซาอุดิฯต้องการ พวกISISทำงานได้ดีเกินคาดในการยึดพื้นที่ในซีเรียได้มาก รวมทั้งในอิรัคด้วย ยิ่งปราบISIS ยิ่งช่วยให้ISISได้ดินแดนเพิ่ม
แต่ปัญหาของซาอุดิฯคือไปทำร้ายปูติน และอิหร่านและต้องโดนตอบโต้ การตอบโต้เริ่มขึ้นแล้วด้วยการที่พวกซีห์อะเข้าไปยึดเยเมนทางใต้ได้ และอิรัคก็โดนอิหร่านรุกคืบเข้าไป ซาอุดิฯเสียอิทธิพลเหนือทั้งเยเมนและอิรัคไปแล้ว พวกMulim Brotherhood หรืออาหรับสปริงค์อาจจะก่อหวอดขึ้นในซาอุดิฯรวมทั้งพันธมิตรอาหรับประเทศอื่นๆ และก็มีความเป็นไปได้ที่ISISอาจจะหันปากกระบอกปืนกลับเข้าหาซาอุดิฯด้วย
ซาอุดิฯจะเดินหน้าในการกดราคาน้ำมันต่อยิ่งจะเสียหายเพิ่ม แต่จะถอยโอบามาก็ไม่ยอมให้ถอย เพราะว่าต้องการกดราคาน้ำมันจนแต่ละประเทศที่พึ่งพาน้ำมันเป็นรายได้หลักระเบิดอารมณ์ที่รุนแรงออกมาอันจะนำไปสู่การจัดทัพใหม่ในตะวันออกกลางและส่วนอื่นๆของโลก
thanong
31/1/2015

 

Thanong Fanclub



11. Ugly American
สหรัฐฯตกกระป๋อง โดนจีนแซงหน้ากลายเป็นประเทศที่ได้รับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากที่สุดในโลก
ในปีที่แล้ว การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้าจีนมีทั้งหมด$127,000ล้าน เทียบกับสหรัฐฯที่$86,000ล้านที่เสียแชมป์ที่ครองมาตั้งแต่ปี 2003
จีนคงไม่ยอมเป็นเบอร์สองไปตลอด โดยเฉพาะเรื่องเงินหยวนที่ก้าวต่อไปจะมาแข่งความเป็นเงินสกุลหลักของโลกกับดอลล่าร์
thanong
31/1/2015
http://rt.com/business/227907-china-us-foreign-investment/

 

โพลชี้ “คนอิตาลี” เริ่มยี้ “ยูโร” เกือบครึ่งอยากกลับไปใช้ “ลีรา”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 มกราคม 2558 15:50 น.



รอยเตอร์ – ผลสำรวจล่าสุดเผย ชาวแดนมักกะโรนีสุดเอือมกับภาวะตกต่ำของเงินยูโรตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยร้อยละ 40 ปรารถนาที่จะให้ประเทศของตนกลับไปใช้สกุลเงิน “ลีรา” อย่างเก่า

รายงานประจำปีจากสถาบันวิจัยยูริสเพส (Eurispes) ที่เผยแพร่เมื่อวานนี้(30) พบว่า สัดส่วนชาวอิตาลีที่อยากกลับไปใช้เงิน “ลีรา” เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จากเมื่อปีที่แล้วซึ่งมีผู้คิดเช่นนี้เพียงร้อยละ 25.7

ปรากฏการณ์ที่ว่านี้ค่อนข้างน่าแปลกสำหรับอิตาลี ซึ่งพลเมืองส่วนใหญ่สนับสนุนความเป็นหนึ่งของยุโรปมาแต่ไหนแต่ไร และให้ความเชื่อมั่นต่อสถาบันกลางของอียูมากกว่าประเทศตนเองที่เผชิญทั้งความผันผวนทางการเมือง และปัญหาคอร์รัปชัน

“เมื่อปีที่แล้วเราได้เน้นย้ำว่า ชาวอิตาลีส่วนใหญ่ยังสนับสนุนเงินยูโร แม้ความเชื่อมั่นที่มีต่อสถาบันของเราจะลดลงตาม” เจียน มาเรีย ฟารา ประธานสถาบันวิจัยยูริสเพส ระบุในรายงาน พร้อมชี้ว่าปัญหาเศรษฐกิจถดถอยที่ยืดเยื้อนานเกินไปคือสาเหตุหลักที่ทำให้พลเมืองยุโรปรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการร่วมใช้สกุลเงินเดียว

“จำนวนคนยากจนกำลังเพิ่มขึ้น แนวโน้มเศรษฐกิจเป็นไปในเชิงลบจนถึงระดับที่น่ากังวล”

ความปั่นป่วนในยูโรโซนปะทุขึ้นอีกระลอก เมื่อชาวกรีซซึ่งทนไม่ไหวกับมาตรการรัดเข็มขัดเข้มงวดพร้อมใจเทคะแนนให้แก่พรรคซีรีซาฝ่ายซ้าย และล่าสุดนายกรัฐมนตรีกรีซคนใหม่ก็ได้ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว(25)ว่า รัฐบาลของเขาจะเจรจาปรับเงื่อนไขกู้ยืมเงินกับองค์กรเจ้าหนี้ “ทรอยกา”

วิกฤตการเงินในกรีซเมื่อปี 2011 เกือบจะทำให้อิตาลีซึ่งมีหนี้สินสูงถึง 2 ล้านล้านยูโรเข้าสู่ภาวะล้มละลาย

นายกรัฐมนตรี มัตเตโอ เรนซี แห่งแดนมักกะโรนี ได้ออกมาตรการลดภาษีแก่ผู้มีรายได้น้อย และเรียกร้องให้สหภาพยุโรปเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น ทว่าการปฏิรูปภายในอิตาลีเองก็ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า

บรรดาพรรคฝ่ายค้านในอิตาลีต่างวิจารณ์ผลเสียของการใช้เงินสกุลยูโร รวมไปถึงพรรคขบวนการ 5 ดาวซึ่งเสนอให้ทำประชามติตัดสินว่า คนอิตาลียังต้องการเป็นสมาชิกยูโรโซนต่อไปหรือไม่

เศรษฐกิจอิตาลีซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 3 ของยูโรโซนไม่มีการขยายตัวแม้แต่ไตรมาสเดียวมาตั้งแต่กลางปี 2011 ส่วนอัตราการว่างงานก็ยังจัดว่าสูงเป็นประวัติการณ์ แม้กรุงโรมจะแถลงเมื่อวันศุกร์(30)ว่า จำนวนคนว่างงานลดลงเหลือไม่ถึง 13% ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาก็ตาม

ภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังส่งผลให้ชาวอิตาลีจำนวนมากตัดสินใจออกไปแสวงโชคในต่างแดน โดยผลโพลเมื่อวันศุกร์(30)พบว่า ชาวอิตาลีร้อยละ 45.4 มีแนวคิดที่จะอพยพไปทำงานในต่างประเทศ เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 40.6 เมื่อปี 2012

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000012272

 

“ชัค เฮเกล” ชี้สมรภูมิอิรักอาจจำเป็นต้องใช้ทหารราบสหรัฐฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 มกราคม 2558 13:10 น.



ชัค เฮเกล รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ

รอยเตอร์ – ชัค เฮเกล รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งกล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ (30) ว่า สหรัฐฯอาจจำเป็นต้องส่งกองทหารราบที่ไม่มีบทบาทสู้รบเข้าไปยังอิรักเพื่อช่วยหยุดยั้งกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) และได้เผยกับซีเอ็นเอ็นว่า เขามีความเห็นไม่ลงรอยกับทำเนียบข่าวในเรื่องการปล่อยตัวนักโทษในค่ายกักกันของสหรัฐฯในอ่าวกวนตานาโม

เฮเกล ซึ่งประกาศลาออกภายใต้แรกกดดันในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บอกกับซีเอ็นเอ็นว่า ในอิรักทุกตัวเลือกจำต้องได้รับการพิจารณา รวมไปถึง การส่งกองทหารเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการสู้รบ อย่างเช่น การรวบรวมข่าวกรอง และการค้นหาและระบุตำแหน่งของกลุ่มไอเอส

ความคิดเห็นของ เฮเกล สอดรับกับคำให้การของพล.อ.มาร์ติน เดมป์ซีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม ที่มีต่อสภาคองเกรสเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา ซึ่งเขาระบุว่า กองทหารสหรัฐฯอาจต้องรับบทบาทที่มากกว่าเดิมในสมรภูมิอิรัก

การเคลื่อนกำลังพลที่ทั้งสองคนว่ามานั้นอยู่นอกเหนือจากกองทหารสหรัฐฯ 4,500 นายที่ได้รับมอบหมายให้รับบทบาทฝึกฝนและเป็นที่ปรึกษาในอิรักแล้วก่อนหน้านี้

เฮเกล ยังเผยด้วยว่า เขามีความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวหลายคนในเรื่องการปล่อยตัวนักโทษจากค่ายกักกันของสหรัฐฯในอ่าวกาวนตานาโมในคิวบา

ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เฮเกล เป็นผู้อนุญาตว่านักโทษคนไหนจะถูกปล่อยตัวเมื่อใด เขาบอกกับซีเอ็นเอ็นว่า ทำเนียบขาวไม่เห็นด้วยกับวิธีดำเนินการอย่างรอบคอบของเขา โดยเผยว่า มีความไม่เห็นพ้องกันในเรื่อง “ช่วงระยะห่างของเวลาในการปล่อยตัวนักโทษ”

เมื่อซีเอ็นเอ็นยิงคำถามว่า เขาได้ถูกกดดันหรือไม่ เฮเกล ตอบว่า “เรามีการพูดคุยกันบ่อยครั้ง” กับทำเนียบขาวและสภาคองเกรสในเรื่องการปล่อยตัว

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000012227

 

“กูรูอาวุธเคมี” ของกลุ่ม IS ถูกปลิดชีพในปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 มกราคม 2558 09:24 น.



เอเอฟพี – สมาชิกคนสำคัญของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ซึ่งเชี่ยวชาญด้านอาวุธเคมี และเคยทำงานให้กับอดีตประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน แห่งอิรัก ถูกสังหารระหว่างการโจมตีทางอากาศที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว (24) เจ้าหน้าที่กองทัพอเมริกันแถลงเมื่อวานนี้ (30)

ปฏิบัติการโจมตีใกล้เมืองโมซุล เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว (24) ได้คร่าชีวิตของ อบูมาลิก “ซึ่งได้ช่วยฝึกฝนสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายให้รู้จักถึงศักยภาพของอาวุธเคมี” ถ้อยแถลงจากกองทัพระบุ

ข้อมูลจากกองบัญชาการกลางสหรัฐฯ (Central Command) ระบุว่า มาลิก เคยทำงานอยู่ที่โรงงานผลิตอาวุธเคมีของรัฐบาลซัดดัม ก่อนจะผันตัวไปเข้าร่วมกับอัลกออิดะห์ในปี 2005 และกลายมาเป็นสมาชิกของกลุ่มไอเอสในที่สุด

“ความตายของเขาอาจเป็นอุปสรรคบั่นทอนเครือข่ายไอเอสไปได้สักระยะหนึ่ง และลดทอนศักยภาพของพวกเขาที่จะผลิตหรือใช้อาวุธเคมีทำร้ายพลเรือนผู้บริสุทธิ์”

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ไม่เคยระบุมาก่อนว่า อบูมาลิก เป็นสมาชิกคนสำคัญของไอเอส

จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า นักรบไอเอสครอบครองอาวุธเคมีที่มีอานุภาพร้ายแรง แต่มีเสียงร่ำลือเกี่ยวกับการใช้ก๊าซคลอรีนซึ่งมีคุณสมบัติทำให้สำลัก (choking agent) และไม่อันตรายเทียบเท่าสารพิษทำลายประสาท

อบูมาลิก ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า ซอลิห์ ญาซิม โมฮัมเหม็ด ฟาลาห์ อัล-ซาบาวี และ “เคยมีส่วนในการผลิตอาวุธเคมีเมื่อปี 2005 รวมถึงวางแผนโจมตีเมืองโมซุลร่วมกับกลุ่มอัลกออิดะห์ในอิรัก” เจ้าหน้าที่กลาโหมผู้หนึ่งกล่าว

“จากประสบการณ์และการฝึกฝนที่เขาได้รับมา เราเชื่อว่าเขาสามารถผลิตสารเคมีที่เป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้”

“เราทราบมาว่า กลุ่มไอเอสกำลังพยายามแสวงหาอาวุธเคมี แต่ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าพวกเขาครอบครองมันหรือยัง”

สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรได้ส่งเครื่องบินออกไปถล่มฐานที่มั่นของไอเอสทั้งในอิรักและซีเรียรวมกว่า 2,000 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคมปีที่แล้ว โดยบางครั้งเป็นการมุ่งสังหารแกนนำคนสำคัญ


http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000012156

 

Weekend Focus: “โอบามา” เยือนถิ่นภารตะผูกสัมพันธ์ “โมดี” หวัง “อินเดีย” ช่วยคานอิทธิพล “จีน” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 มกราคม 2558 06:01 น.



นับเป็นเหตุการณ์ที่สื่อทั่วโลกเฝ้าจับตารอสำหรับภารกิจเยือนอินเดียครั้งที่ 2 ของประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ซึ่งได้สร้างปรากฏการณ์ฮือฮาในแวดวงการทูตหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่การที่นายกรัฐมนตรีแห่งอินเดียแหวกธรรมเนียมไปรอรับผู้นำสหรัฐฯ ถึงลานจอดเครื่องบิน รวมถึงภาพการสวมกอดกันแบบ “หมี” (bear hug) ที่สะท้อนถึงมิตรภาพสุดแนบแน่น และ “เคมีที่เข้ากัน” ระหว่างสองผู้นำชาติประชาธิปไตยขนาดใหญ่ของโลก

ใครเลยจะคิดว่า นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ผู้นี้เคยติดโผ “บุคคลไม่พึงประสงค์” ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ห้ามเข้าประเทศ เมื่อไม่ถึง 1 ปีก่อน

หลังจากที่พรรคภารติยะชนตะของ โมดี ชนะการเลือกตั้งทั่วไปในอินเดียเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2014 และผลักให้ขั้วอำนาจเก่าอย่างพรรคองเกรสอินเดียร่วงลงไปเป็นฝ่ายค้าน สหรัฐฯ ก็ไม่รอช้าที่จะลืมประวัติเสื่อมเสียด้านสิทธิมนุษยชนของ โมดี เมื่อครั้งยังเป็นมุขมนตรีรัฐคุชราต และเดินหน้าผูกมิตรกับผู้นำแดนภารตะคนใหม่ทันที

โอบามา เป็นประธานาธิบดีในตำแหน่งคนแรกของสหรัฐฯ ที่ได้รับเชิญเป็นแขกพิเศษในพิธีสวนสนามฉลองวันสถาปนาสาธารณรัฐอินเดีย เมื่อวันที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นเกียรติสูงสุดที่รัฐบาลอินเดียมอบให้แก่ผู้นำต่างชาติ ในขณะที่นักวิเคราะห์ชี้ว่า การที่ โอบามา ตอบรับคำเชิญของ โมดี แสดงให้เห็นว่า แดนภารตะกำลังจะก้าวขึ้นมามีบทบาทในเวทีโลกอย่างน่าจับตามอง และยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า โมดี พร้อมที่จะฉีกกรอบปฏิบัติเดิมๆ ของอินเดีย ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยยอมผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมหาอำนาจรายใดเป็นพิเศษ

ทั้ง 2 ฝ่ายต่างคาดหวังว่า การพบกันครั้งนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนไปสู่ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง และทำให้อินเดียได้ก้าวขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างแท้จริง

แม้ผู้นำทั้งสองจะพูดคุยกันอย่างสนิทชิดเชื้อ และทำกิจกรรมร่วมกันหลายอย่าง เช่น การบันทึกเทปรายการวิทยุและขึ้นเวทีเสวนา แต่ถึงกระนั้น โอบามา และ โมดี ก็ยอมรับต่อบรรดาผู้นำธุรกิจในอินเดียว่า การค้าและการลงทุนระหว่างสหรัฐฯ และอินเดียยังเป็นเรื่องที่เปราะบาง

สินค้าจากอินเดียคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2% ของมูลค่าสินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้าสหรัฐฯ ขณะที่วอชิงตันก็ส่งออกสินค้าไปยังอินเดียได้เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ และแม้ว่ามูลค่าการค้าระหว่างกันจะสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี แต่นั่นก็ยังไม่ถึง 1 ใน 5 ของการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนด้วยซ้ำ

โมดี ระบุว่า มูลค่าการลงทุนของสหรัฐฯในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา และรับปากว่าเดลีจะลดทอนมาตรการกีดกันต่างๆ เพื่อปฏิรูปอินเดียให้เป็นหนึ่งในประเทศที่เอื้อต่อการลงทุนมากที่สุดในโลก

ฝ่ายผู้นำสหรัฐฯ ก็รับปากจะให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งสหรัฐฯ จัดสรรงบประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สนับสนุนการส่งออกสินค้า “เมด อิน อเมริกา” และให้บรรษัทการลงทุนภาคเอกชนในต่างประเทศ (Overseas Private Investment Corporation - OPIC) ปล่อยเงินกู้จำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์แก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในพื้นที่ชนบทของอินเดีย

ในด้านพลังงาน สำนักงานเพื่อการพัฒนาและการค้าแห่งสหรัฐฯ (U.S. Trade and Development Agency) จะจัดสรรงบประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อส่งเสริมอินเดียให้ปรับตัวสู่การพึ่งพาพลังงานหมุนเวียน (renewable energy)

อย่างไรก็ดี ความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดในภารกิจของ โอบามา ครั้งนี้เห็นจะเป็นการบรรลุข้อตกลง ซึ่งจะเปิดทางให้นิวเดลีสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อพลเรือนได้ หลังจากที่ 2 ประเทศเคยทำความตกลงทวิภาคีเบื้องต้นกันมาแล้วเมื่อปี 2006 แต่ต้องเผชิญอุปสรรคต่างๆ นานา จนบริษัทอเมริกันยังไม่สามารถสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในแดนภารตะได้เสียที

การเยือนอินเดียครั้งที่ 2 ของ โอบามา ยังช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตัน กับ เดลี ให้กลับมาอบอุ่นเกินคาด หลังจากช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ และ อินเดีย บาดหมางกันอย่างรุนแรงทั้งในเรื่องนโยบายกีดกันการค้า และกรณีนักการทูตหญิง เทพยานี โคบรากาด ที่ถูกตำรวจนิวยอร์กจับกุมและเปลื้องผ้าค้นตัว จนเกิดเป็นกระแสต่อต้านอเมริกาในอินเดียอยู่พักใหญ่

นอกจากจะเป็นตลาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูง สหรัฐฯ ยังมองว่าอินเดียเป็นหุ้นส่วนสำคัญที่จะช่วยคานอำนาจของจีนในเอเชีย-แปซิฟิกได้ และอาจก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในตะวันออกกลาง

“ผู้นำทั้งสองตกลงที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่เดินทางกลับจากพื้นที่ขัดแย้ง และจะร่วมกันปกป้องและส่งความช่วยเหลือที่จำเป็นไปยังพลเมืองที่ยังติดอยู่ท่ามกลางความไม่สงบ” ถ้อยแถลงร่วมระหว่าง โอมาบา และ โมดี ระบุ

สหรัฐฯ และอินเดียยังบรรลุกรอบความร่วมมือกลาโหมที่ครอบคลุมระยะเวลา 10 ปี รวมถึง โครงการพัฒนาและผลิตอาวุธ เช่น อากาศยานไร้คนขับ และชิ้นส่วนสำหรับเครื่องบินลำเลียง ซี-130 ของค่ายล็อกฮีดมาร์ติน เป็นต้น


http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000012107

 

น้ำมันพุ่งเกือบ $4 หุ้นสหรัฐฯร่วง - ทองทะยานหลัง ศก.มะกันโตน่าผิดหวัง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 มกราคม 2558 05:38 น.



เอเอฟพี/รอยเตอร์ - น้ำมันทะยานเกือบ 4 ดอลลาร์ ในช่วงท้ายของการซื้อขายในวันศุกร์ (30 ม.ค.) หลังพบอุตสาหกรรมพลังงานปรับลดกิจกรรมการสำรวจท่ามกลางราคาที่ตกต่ำ ส่วนวอลล์สตรีทร่วงหนัก และทองคำพุ่งแรง จากข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังของสหรัฐฯ

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือ ไลต์สวีตครูด ของตลาดนิวยอร์ก งวดส่งมอบเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 3.71 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน เพิ่มขึ้น 3.46 ดอลลาร์ ปิดที่ 52.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากซื้อขายในแดนลบเกือบตลอดทั้งวัน ก่อนฟื้นตัวมากกว่า 4 ดอลลาร์ในช่วงก่อนปิดตลาด

แรงเข้าซื้อกระพือเข้ามาจากหลังข้อมูลของเบเกอร์ ฮิวจ์เผยให้เห็นว่าในสัปดาห์นี้ เหล่าแท่นขุดเจาะที่กำลังปฏิบัติการขุดเจาะน้ำมันในอเมริกา มีจำนวนลดลง 94 แท่น หรือร้อยละ 7 บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่อุปทานจะน้อยลงตามไปด้วย “มันเป็นระดับต่ำสุดเท่าที่เคยเห็นมาในรอบ 2 ปี บางทีนี่อาจหมายถึงภาวะอุปทานตึงตัวในอนาคต”

นอกจากนี้แล้ว ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากสัญญาณการปรับลดงบประมาณของบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมพลังงาน หนึ่งในนั้น ได้แก่ เชฟรอน ที่บอกว่าจะตัดลดงบประมาณในโครงการพัฒนาและกิจกรรมการสำรวจน้ำมันลง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีนี้

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อวันศุกร์ (30 ม.ค.) จบสัปดาห์แห่งความผันผวน ด้วยการดิ่งลงอย่างหนัก จากข้อมูลเศษฐกิจที่น่าผิดหวังของสหรัฐฯและความกังวลต่อข้อมูลเงินเฟ้อในยูโรโซน

ดาวโจนส์ ลดลง 251.90 จุด (1.45 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 17,164.95 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 26.26 จุด (1.30 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,994.99 จุด แนสแดค ลดลง 48.17 จุด (1.03 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,635.24 จุด

สหรัฐฯเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งแรกสำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ช่วงไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว พบว่ามีการขยายตัว 2.6% หลังจากที่เติบโต 4.6% และ 5.0% ในไตรมาส 2 และ 3 ตามลำดับ และน้อยกว่า 3.2% ตามที่นักวิเคราะห์คาดหมายไว้

นอกจากนี้แล้ว นักวิเคราะห์ยังชี้ว่าอีกปัจจัยที่ฉุดรั้งวอลล์สตรีท ได้แก่ รายงานภาวะเงินเฟ้อของยูโรโซน หลังพบว่าดัชนีผู้บริโภคในเดือนมกราคมลดลงสู่ 0.6% แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ก่อความกังวลว่าภูมิภาคแห่งนี้อาจประสบกับปัญหาเงินฝืด

ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐฯ กระตุ้นให้นักลงทุนแห่ถือครองสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำเพื่อลดความเสี่ยง ส่งผลให้ราคาทองคำเมื่อวันศุกร์ (30 ม.ค.) พุ่งแรง โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 23.90 ดอลลาร์ หรือร้อยละ 1.9 ปิดที่ 1,278.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

อิรักระส่ำ! ไอเอสถล่มที่มั่นเคิร์ดทางเหนือ แบกแดดโดนบึมหลายจุดดับ 18
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มกราคม 2558 19:44 น.



กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นที่เกิดเกิดเหตุระเบิดโจมตีในแบกแดด ณ วันที่ 30 มกราคม ปี 2015

รอยเตอร์ – กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) โจมตีกองกำลังชาวเคิร์ดบริเวณพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเคอร์คุกเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (30) ขณะที่เหตุระเบิดในกรุงแบกแดดและซามาร์ราคร่าชีวิตประชาชนไปอย่างน้อย 21 ราย แหล่งความมั่นคงและและแหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล เผย

ตำรวจในจังหวัดเคอร์คุกทางตอนเหนือของอิรัก กล่าวว่า กลุ่มไอเอสเปิดฉากยิงปืนครกโจมตีที่มั่นของนักรบเพชเมอร์กาชาวเคิร์ดใน 4 เขตพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเคอร์คุก

กลุ่มไอเอสมักจะสู้รบกับกองกำลังความมั่นคงของอิรักและกลุ่มติดอาวธสายชีอะห์ทางใต้และทางตะวันตกอยู่เป็นประจำ นับตั้งแต่ที่นักรบญิฮาดกลุ่มนี้ถาโถมข้ามพรมแดนซีเรียมาเมื่อช่วงฤดูร้อนปีที่แล้ว แต่การโจมตีแถบชานเมืองเคอร์คุกที่ชาวเคิร์ดควบคุมอยู่เกิดขึ้นไม่บ่อยเท่า

เจ้าหน้าที่กลุ่มเพชเมอร์กา บอกกับรอยเตอร์ว่า กองกำลังของพวกเขายึดคืนเขตมาเรียม เบ็ค ได้แล้ว แต่กล่าวว่า การปะทะยังดำเนินอยู่ในเขต ทัล อัล-วาร์ด , มัคทับ คาลิด และมุลเราะห์ อัลดุลเลาะห์

แหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ระบุว่า นักรบชาวเคิร์ดอย่างน้อย 4 คนถูกสังหารในการต่อสู้ดังกล่าว รวมถึง พลจัตวา เชอร์โก ฟาทีห์ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการอาวุโส และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 70 ราย

นักรบเพชเมอร์กาถูกสังหารในการสู้รบแล้วกว่า 750 คนนับตั้งแต่กลุ่มไอเอสบุกทะลวงแนวป้องกันของพวกเขาในภาคเหนือของอิรักเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา กระตุ้นให้ต้องมีปฏิบัติการโจมตีทางอากาศที่นำโดยสหรัฐฯ

ในตอนนี้กองกำลังเคิร์ดยึดคืนพื้นที่ส่วนมากที่พวกเขาสูญเสียไปในเดือนสิงหาคมได้แล้ว อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้บัญชาการของกลุ่มเพชเมอร์กาต่างบ่นว่า พวกเขายังคงด้อยเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์นักเมื่อเทียบกับพวกไอเอส ซึ่งได้ปล้นคลังอาวุธของอิรักหลังจากบุกเข้าโจมตีเมืองโมซูลเมื่อเดือนมิถุนายน


- เหตุระเบิดในนครซามาร์ราและกรุงแบกแดด-

แหล่งข่าวความมั่นคง ระบุว่า ประชาชนอย่างน้อย 18 คนถูกสังหารภายหลังเกิดเหตุระเบิด 2 ครั้งเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (30) ในเขตบับ อัล-ชาร์กี ของกรุงแบกแดด โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของตลาดขนาดใหญ่และอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำทีกริส ตรงข้ามกับเขตกรีนโซน (Green Zone) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารที่ทำการรัฐบาลส่วนใหญ่

เหตุระเบิดเกิดขึ้นบ่อยครั้งในกรุงแบกแดด เมืองที่กลุ่มกบฏจากกลุ่มไอเอส ซึ่งควบคุมพื้นที่ขนาดใหญ่ทางตอนเหนือและตะวันตกของอิรัก มักปฏิบัติการโจมตีฆ่าตัวตายอยู่เป็นประจำ

ตำรวจและแพทย์ เผยว่า มีพลเรือน 3 รายเสียชีวิตและอีกอย่างน้อย 10 คนได้รับบาดเจ็บภายหลังมีการยิงปืนครกลงมาใส่ย่านชุมชนพักอาศัยหลายแห่งในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของแบกแดด

ตำรวจในนครศักดิ์สิทธิ์ซามาร์รา ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปทางเหนือราว 125 กิโลเมตร กล่าวว่า มือระเบิดฆ่าตัวตาย 2 คนได้พุ่งเป้าโจมตีด่านตรวจความปลอดภัยจุดหนึ่งในย่านกลางเมือง เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและสมาชิกของกลุ่มติดอาวุธชีอะห์เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บ 5 คน

ตำรวจ ระบุว่า พวกเขาได้ขัดขวางการโจมตีฆ่าตัวตายครั้งที่ 3 ด้วยการยิงผู้ต้องสงสัยเป็นนักรบติดอาวุธรายหนึ่ง แต่การปะทะระหว่างตำรวจ , กลุ่มติดอาวุธ กับพวกนักรบกลุ่มไอเอสได้ปะทุขึ้นบริเวณชานเมืองทางตะวันตกของซามาร์ราภายหลังเกิดเหตุระเบิดอีกจุดหนึ่ง

นครซามาร์ราถือว่าเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลสำหรับชาวอิรัก โดยในปี 2006 กลุ่มติดอาวุธสายสุหนี่ได้ทำลายสถานที่สักการะ อัสการี ผู้เป็นอิหม่ามช่วงศตวรรษที่ 9 เป็นชนวนให้เกิดการโจมตีแก้แค้นโดยชาวชีอะห์ ซึ่งดึงอิรักลงสู่วังวนแห่งความรุนแรงระหว่างนิกายนานหลายปี

 

ตัวเลขราคาผู้บริโภคยูโรโซนร่วง สัญญาณเตือนเจอเงินฝืดระยะยาว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มกราคม 2558 22:02 น.



เอเอฟพี - ดัชนีราคาผู้บริโภคยูโรโซนร่วงลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 0.6 % ในเดือนมกราคม ยืนยันว่าภูมิภาคแห่งนี้อาจต้องเผชิญภาวะเงินฝืดในระยะยาว

สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือยูโรสแตท เปิดเผยฝยวันศุกร์(30ม.ค.) ราคาผู้บริโภคของยูโรโซนในเดือนมกราคม 2015 ร่วงลงถึง 0.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหนักกว่าเดือนธันวาคม 2014 ที่ปรับตัวลดลง 0.2% อันเป็นเหตุผลให้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทางธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ตัดสินใจเข้าซื้อพันธบัตรเพื่อดันราคาผู้บริโภคให้สูงขึ้น

ยูโรสแตรทระบุว่าการดิ่งลงของราคาน้ำมันคือต้นตอของการปรับลดของราคาผู้บริโภคใน 19 ชาติยูโรโซน ที่แต่เดิมก็ถูกห้อมล้อมโดยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอและตัวเลขคนว่างานอันสูงลิ่วอยู่ก่อนแล้ว

ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อที่ติดลบ 0.6% ดังกล่าว ถือเป็นราคาผู้บริโภคยูโรโซนระดับเดียวกับเมื่อเดือนกรกฎาคม 2009 ครั้งที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตด้ารการเงิน อย่างไรก็ตามหนนี้ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าจากข่าวดีเกี่ยวกับตัวเลขคนว่างงานที่ลดลงสู่ระดับร้อยละ 11.4 ในเดือนธันวาคม ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2012

ด้วยเริ่มมีความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆต่อภาวะเงินฝืด ท้ายที่สุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อีซีบีก็เริ่มโครงการมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณทางการเงิน(QE) อันรวมไปถึงการเข้าซื้อพันบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้เอกชนมูลค่า 60,000 ล้านยูโรต่อเดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคมปีนี้จนถึงเดือนเดือนกันยายน 2016

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นขณะที่ยูโรโซนต้องเผชิญกับความกังวลรอบใหม่เกี่ยวกับกรีซ หลังจากพรรคซีรีซา ซึ่งมีนโยบายต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดชนะเลือกตั้งและก้าวขึ้นสู่อำนาจ พร้อมคำสัญญาว่าจะเจรจาหนี้ใหม่

ข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซนยังพอมีข่าวดีอยู่บ้างจากตัวเลขคนว่างงาน 11.4%ในเดือนธันวาคม ที่ลดลงจาก 11.5% ในเดือนพฤศจิกายน อย่างไรก็ตามมันก็ยังสูงกว่าเมื่อตอนก่อนที่จะเผชิญกับวิกฤตหนี้สิน

ตัวเลขคนว่างงานทั่วยุโรโซนในเดือนธันวาคม อยู่ที่ 18.13 ราย น้อยกว่าเดือนพฤศจิกายน 157,000 คน และน้อยกว่าช่วยเวลาเดียวกันของหนึ่งปีก่อนหน้านั้น 693,000 คน อย่างไรก็ตามยังคงมีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างชาติสมาชิกอียูทางเหนือและทางใต้

ยอดคนว่างงานในเยอรมนี กับ ออสเตรีย อยู่ในระดับต่ำมาก แค่ 4.8% และ 4.9% ตามลำดับ ทว่าในส่วนของชาติต่างๆที่เผชิญกับวิกฤตหนี้สินกลับตรงกันข้าม โดยจากข้อมูลล่าสุดที่พอจะมี พบว่าตัวเลขคนว่างงานในกรีซ เดือนตุลาคม สูงถึงร้อยละ 25.8% และสเปน อยู่ที่ 23.7 %

 

ญี่ปุ่นจ่อยิง "ดาวเทียม" เพิ่มอีกดวง หมายเสริมศักยภาพ "สอดแนม"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มกราคม 2558 20:55 น.



(แฟ้มภาพ) จรวด เอช-ทูเอ นำดาวเทียมติดตั้งระบบเรดาร์ดวงใหม่ขึ้นสู่อวกาศ ณ ฐานยิงในศูนย์วิจัยอวกาศทาเนงาชิมะ (12 ธ.ค. 2010)

เอเอฟพี - รัฐบาลญี่ปุ่นแถลงว่า จะเริ่มส่งดาวเทียมสอดแนมขึ้นสู่วงโคจรในวันอาทิตย์นี้ (30 ม.ค.) ภายหลังประกาศเลื่อนออกไปแล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย

ทั้งนี้ โตเกียวเริ่มส่งดาวเทียมสอดแนมออกไปดำเนินภารกิจนับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 2000 หลังจากประเทศเพื่อนบ้านจอมบุ่มบ่ามอย่าง เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธพิสัยกลางข้ามหมู่เกาะญี่ปุ่นไปตกลงในมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อปี 1998

ปัจจุบันนี้ญี่ปุ่นมีดาวเทียมสอดแนมอยู่บนวงโคจรแล้วทั้งหมด 4 ดวง โดยเป็นดาวเทียมระบบแสง (optical satellites) สองดวง ส่วนอีกสองดวงเป็นดาวเทียมเรดาร์

สำหรับดาวเทียมที่กำลังจะถูกส่งขึ้นไปเพิ่มอีกดวงในเร็ววันนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพในการสอดแนมให้แก่ดาวเทียมเรดาร์สองดวงแรก เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลแดนอาทิตย์อุทัยระบุวันนี้ (30)

องค์การสำรวจอวกาศแห่งญี่ปุ่น (JAXA) และบริษัทมิตซูบิชิเฮฟวีอินดัสทรีส์ได้เลื่อนกำหนดการส่งจรวด เอช-ทูเอ ขึ้นจากฐานในศูนย์วิจัยอวกาศทาเนงาชิมะ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่นวานนี้ (29) โดยให้เหตุผลว่า มีความเสี่ยงที่จะเกิดฟ้าผ่าขึ้นขณะกำลังส่งดาวเทียม

JAXA และมิตซูบิชิอินดัสทรีส์ระบุว่า กำหนดการปล่อยดาวเทียมครั้งใหม่คือ 10.21 น. ของวันอาทิตย์ (1 ก.พ.) ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับ 08.21 น. ของวันอาทิตย์ (1) ในเมืองไทย) พร้อมกับระบุเพิ่มเติมว่า อาจมีการเลื่อนกำหนดออกไปอีกครั้ง หากสภาพอากาศไม่เป็นใจ


http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000012042

 

“ปูติน” ยกสัมปทานสร้างสะพานเชื่อม “แหลมไครเมีย” ให้เศรษฐีเพื่อนเก่า “คู่ซ้อมยูโด” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มกราคม 2558 16:17 น.



รอยเตอร์ – รัฐบาลรัสเซียมอบสัมปทานโครงการก่อสร้างสะพานเชื่อมคาบสมุทรไครเมียกับแผ่นดินใหญ่แดนหมีขาวให้แก่มหาเศรษฐีที่เคยเป็น “คู่ซ้อมยูโด” ของประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน คำสั่งซึ่งเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของทำเนียบเครมลินเผย วันนี้(30)

บริษัท สตรอยกาซมอนตาซ (Stroygazmontazh) หรือ SGM ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลรัสเซียให้ก่อสร้างสะพานข้ามช่องแคบเคิร์ช โดยมีกำหนดลุล่วงภายในเดือนธันวาคม ปี 2018

เอสจีเอ็ม เป็น “บริษัทโฮลดิงชั้นนำของรัสเซียที่ประกอบธุรกิจก่อสร้างทั้งในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ภาคขนส่ง และการเดินเรือ” โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ก็คือ อาร์คาดี โรเตนเบิร์ก เพื่อนเก่าที่เคยฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้แบบญี่ปุ่นกับ ปูติน มาตั้งแต่วัยเด็ก

โรเตนเบิร์ก วัย 63 ปี เป็นนักธุรกิจรัสเซียรายแรกๆ ที่ถูกชาติตะวันตกขึ้นบัญชีคว่ำบาตร เพื่อบีบให้มอสโกถอนตัวจากการแทรกแซงวิกฤตยูเครน

เอสจีเอ็ม ซึ่ง โรเตนเบิร์ก ถือหุ้นอยู่ 51% ทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำหลังก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2008 และเคยได้รับสัมปทานสร้างท่อส่งก๊าซให้แก่รัฐวิสาหกิจ “ก๊าซปร็อม” และบริษัทอื่นๆ มาแล้ว

อย่างไรก็ดี โรเตนเบิร์ก ยืนยันว่า ความสำเร็จในเส้นทางธุรกิจของเขาไม่ได้เกิดจากความสนิทสนมกับผู้นำรัสเซียแต่อย่างใด

 

ทหารปฏิรูปประเทศไทย



วันที่ 31 ม.ค.58 รัสเซียนำเครื่องบินรบรุ่นใหม่เอียม ทำทดสอบการบินครั้งแรก
เมื่อสองวันก่อน รัสเซียนำเครื่องบินรบรุ่น T-50 PAK FA ทำทดสอบการบินครั้งแรก เป็นเครื่องบินที่มีเทคโนโลยีสูง ออกแบบตามที่กองทัพอากาศรัสเซียต้องการ มันจะมาแทนที่เครื่องบินรบรุ่น MIG-29 และ Su-27 ของรัสเซีย
เครื่องบินรบของอเมริกา รุ่นใหม่ๆ เช่น เครื่องบินขับไล่ F-35 ที่ราคาคุยว่าที่มีความเร็วเหนือเสียง น่าจะได้ประลองฝีมือกับเจ้า T-50 PAK FA ของรัสเซียนี้ ว่าใครจะอยู่ ใครจะไป โดยมีขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน S-400 Triumph ของรัสเซีย พิสัยยิงได้ไกลถึง 2,400 กิโลเมตร จู่โจมพร้อมกันได้ถึง 36 เป้าหมาย ด้วยขีปนาวุธที่มีมากถึง 72 ลูก และยิงได้ที่ระดับความสูง 5 เมตร ถึง 30 กิโลเมตร เป็นกองเชียร์ ยืนเล็งพิกัดตบมือคุมเชิงอยู่ที่ภาคพื้นดิน
ถ้าเครื่องบิน T-50 PAK FA รัสเซียจะเพลี่ยงพล้ำ แค่นักบินรัสเซียจามฮัดเช้ย ทหารรัสเซียก็สามารถใช้ขีปนาวุธ S-400 ลูกละ 5 แสนบาท สอยเครื่องบินอเมริกา ลำละ 1 หมื่นกว่าล้านบาท ให้ร่วงหัวปักจมกองหิมะลงไป เอาไปขายเป็นเศษเหล็กที่เซียงกงได้ทันที
วันก่อนรัสเซีย ก็ส่งเครื่องบินรบไปบุกน่านฟ้าอังกฤษเล่นซะงั้น NATO มีปัญหาอะไรป่ะ มีอะไรจะให้ไทยช่วยก็บอกนะ ประเทศเราเป็นเพื่อนกันมาหลายร้อยปีแล้ว ที่ไทยมีร้านขายโลงศพฝีมือดีปราณีตเยอะแยะเลย มีบริการโลจิสติกส์ส่งถึงที่ด้วยนะ..คุยกันดีๆ แถมของชำร่วยแจกแขกในงานด้วย (^_^)
@ เสธ น้ำเงิน1 : กดปุ่ม “ติดตาม” ด้านบนเพจ เพื่อรับข่าวครั้งต่อไป
http://www.facebook.com/thailandcoup

 

ทหารปฏิรูปประเทศไทย



วันที่ 31 ม.ค.58 เลขา NATO รับสารภาพแล้วว่ายูเครนแพ้สงครามกลุ่มนิยมรัสเซีย
นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการ NATO ระบุว่าจะก่อตั้งหน่วยบัญชาการร่วมแห่งใหม่ในยุโรปตะวันออก เพื่อปกป้องประเทศพันธมิตร หน่วยบัญชาการร่วมแห่งใหม่จะประกอบด้วย ทหารประมาณ 40-50 นาย จาก 6 ประเทศในยุโรปตะวันออก
ได้แก่ โปแลนด์ โรมาเนีย บัลแกเรีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และจากประเทศพันธมิตรนาโต้ชาติอื่นๆ โดยหน่วยดังกล่าวจะจัดการฝึกซ้อม และวางแผนให้ทหารกองหนุนของ NATO ในกรณีต้องการ และจะตั้งกองกำลังเคลื่อนที่เร็ว เดินทางถึงประเทศในยุโรปตะวันออกภายในช่วงเวลา 2 วัน กรณีวิกฤต
การจัดตั้งหน่วยดังกล่าว นับเป็นครั้งแรกที่ NATO ส่งทหารเข้าไปในยุโรปตะวันออก NATO เห็นว่า สถานการณ์ภาคพื้นดินในภาคตะวันออกของยูเครนกำลังเลวร้าย เพราะกลุ่มนิยมรัสเซีย กำลังได้เปรียบ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียอย่างหนัก
ทั้งยุทโธปกรณ์หนัก รถถัง ระบบจรวด และปืนใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีกองกำลังรัสเซีย เข้าไปเคลื่อนไหวในพื้นที่ภาคตะวันออกของยูเครน
-------------------------------->
กลุ่มที่เอาเพจนี้ ไปโจมตีให้ร้าย ว่าไม่มีเหตุการณ์สู้รบจริงในยูเครน และทหารยูเครนไม่ได้พ่ายแพ้ แต่กำลังได้เปรียบ และหาว่าเป็นภาพตัดต่อ ในเว็ปร้อยทิปชื่อดัง หน้าแตกยับเยินเปรี๊ยะๆ เป็นครั้งที่แสนแปดหมื่น " อีกแล้ว
ที่เพจนี้เอาข่าวและภาพมาเล่าให้สมาชิกฟังนานกว่านี้กว่า 1 สัปดาห์ และนำภาพทหารรัสเซีย พร้อมอาวุธในตะวันออกยูเครน ก่อนที่ NATO จะแถลงข่าวว่าทหารยูเครนพ่ายแพ้ และมีทหารรัสเซียตัวเป็นๆ เคลื่อนไหวเสียอีก
ตอนนี้พวกหน้าแตกเปรี๊ยะๆ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เพราะชอบเข้ามาถามบ่อยๆ ว่าไม่เห็นมีข่าวออกเลย ไปเอาข่าวมาจากที่ไหน ที่นี้เงิบไปเลยซิ เจอ NATO แถลงสารภาพว่าส่งทหารเข้าไปในยูเครน และกองทัพยูเครนกำลังพ่ายแพ้อย่างหมดรูป..
อายแทนคนที่ไปตั้งกระทู้โจมตีเพจนี้ที่เว็ปร้อยทิปจังเลย ยิ่งแขวนกระทู้ไว้ ยิ่งเท่ากับเป็นการประจานความฉลาดติดลบ ของผู้ตั้งกระทู้ และผู้ไปคอมเม้นท์กระทู้นั้น หัวเราะที่หลังดังกว่าเยอะเลย
@ เสธ น้ำเงิน2 : กดปุ่ม “ติดตาม” ด้านบนเพจ เพื่อรับข่าวครั้งต่อไป
http://www.facebook.com/thailandcoup

 

ทหารปฏิรูปประเทศไทย



วันที่ 31 ม.ค.58 รัสเซีย ขนอาวุธหนักมหาศาล ทั้งวันทั้งคืนทางรถไฟ ไปแนวชายแดน
เมื่อวานนี้ในแนวพรมแดนรัสเซีย มีการขนอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร ทั้งรถถัง รถหุ้มเกราะ ปืนใหญ่ กำลังพล จำนวนมากทั้งวันทั้งคืน โดยขนย้ายทางรถไฟ ไปตลอดแนวพรมแดนของรัสเซีย และยานยนต์บางชนิด พร้อมกำลังทหารรัสเซียตัวเป็นๆ เข้าไปเคลื่อนไหว ลึกเข้าไปในพรมแดนยูเครนมากแล้ว
ในขณะที่ NATO ส่งกำลังทหาร พร้อมอาวุธเข้ามาในยูเครนเช่นกัน แต่สัดส่วนถ้าเทียบกับรัสเซียแล้วเป็นแมวเหมียวไปเลย เพราะรัสเซียมีมากมายกว่าหลายเท่า เฉพาะกำลังหทารที่นอนเล่นแนวชายแดน ตอนนี้ก็ 45,000 นายเข้าไปแล้ว
แค่เบาะๆ นี้ก็สามารถบุกถึงกรุงเคียฟ เมืองหลวงยูเครน ได้ภายในเวลาไม่น่าจะเกิน 2 วัน แล้ว กองกำลัง NATO ที่ยุโรปส่งมาน้อย จนเป็นขี้ผงมาก
@ เสธ น้ำเงิน2 : กดปุ่ม “ติดตาม” ด้านบนเพจ เพื่อรับข่าวครั้งต่อไป
http://www.facebook.com/thailandcoup

 

ทหารปฏิรูปประเทศไทย



วันที่ 31 ม.ค.58 รัสเซีย ไม่สนส่งขบวนคอนวอย ความช่วยเหลือเข้าไปในยูเครน
ส่วนที่รบก็รบกันไป ส่วนที่ช่วยเพื่อมนุษยธรรม ก็ต้องช่วย รัสเซียจึงส่งขบวนรถคอนวอย ที่บรรจุสิ่งของบรรเทาทุกข์กว่า 170 คัน น้ำหนักกว่า 1,500 ตัน เข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ยึดครองของกลุ่มติดอาวุธนิยมรัสเซีย ในรถจะเป็นปัจจัยดำรงชีวิตพื้นฐาน คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค โดยสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ในท่ามกลางสิ่งของจำเป็นแบบนี้หายากยิ่ง ในยามสงคราม
สิ่งที่รัสเซียแสดงออกนี้ แมนกว่าอเมริกาเยอะมาก เพราะอเมริกาส่งมาแต่จอร์ท โซรอท เข้ามาพบประธาธิบดียูเครน เพื่อบังคับให้ยูเครนกู้ IMF และการขายอาวุธ เท่านั้น ไม่เคยมีเรื่องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลยเพียงน้อย
@ เสธ น้ำเงิน2 : กดปุ่ม “ติดตาม” ด้านบนเพจ เพื่อรับข่าวครั้งต่อไป
http://www.facebook.com/thailandcoup

 

ศิษย์อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร
เผยแพร่เมื่อ 29 มกราคม 2558 เวลา 21:04 น. ผมว่าแม่นดีน่ะครับเมื่อวาน วันที่ 30 มกราคม 2558 มีข่าวกรมการปกครองห้ามข้าราชการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของหลวงส่งข้อมูลหมิ่นเบื้องสูง "ในช่วงระยะเวลานี้ รัฐบาลจะมีปัญหาในเรื่องการสื่อสาร "



ดาวพุธพักร "ดับ" วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๘
"แสงความสำคัญกว่าตำแหน่งของดาว" ดาวที่มีความสุกสว่างย่อมมีกำลังมากกว่าดาวที่อับหรือดับแสง ซึ่งหลักในการพิจารณาตำแหน่ง อุจน์หรือนิจน์ ก็นำเรื่องแสงไปพิจารณา
ในวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๘ ดาวพุธจะโคจรพักร (ถอยหลัง) ไปกุมกับดาวอาทิตย์ในราศีมังกร ๑๖ องศาเศษ เกิดปรากฎกาณ์ "ดาวพุธดับ" อ้างอิงปฏิทินโหรฯ ประจำปี ๒๕๕๘ ตามแนวทางท่าน อ.เทพย์ สาริกบุตร
การพิจารณาดาวดับหรือดาวเพ็ญยังมีหลักพิจารณาดาวพระเคราะห์วงนอกและวงใน ซึ่งแตกต่างกันอยู่ โดยถ้าดาวพระเคราะห์วงในโคจรพักรแล้วดับ ทุกข์โทษจะน้อยกว่าจรในวิถีจักรปกติ
ดาวพุธแทนการเจรจาสื่อสาร หนังสือ การติดต่อประสานงาน การบริการ การค้า ฯลฯ ดังนั้นในช่วงระยะเวลานี้ ไม่เหมาะที่จะทำการในความหมายของดาวพุธดังกล่าว
ดาวพุธดับครั้งนี้ "ไปดับ ณ จุดศูนย์กลางภพที่ ๑๐ หรือทศมลัคน์" ของดวงเมือง ที่แทนได้กับการบริหาร ราชการงานเมือง รัฐบาล ฯลฯ ดังนั้น ในช่วงระยะเวลานี้ รัฐบาลจะมีปัญหาในเรื่องการสื่อสาร ประสานงาน หนังสือสัญญาต่างๆ ได้
เราท่านที่มีดาวหรือตำแหน่งสำคัญในราศีมังกร ในขอบข่ายประมาณ ๓ องศาจากตำแหน่งดับ ให้พึงระมัดระวังในการกระทำการใดๆ ในความหมายของดาวพุธ
ผู้ที่มีลัคนาราศีเมถุน ให้พึงระมัดระวังอุปัทวอันตรายให้เป็นพิเศษ เพราะว่าตนุลัคน์ไปดับในเรือนมรณะ ให้มีสติ และอย่าประมาทด้วยประการใดๆทั้งสิ้น
admin ดิลก แสงอุทัย

 

ConStantine Elzindu



‪#‎ภัยแล้ง‬
//บุรีรัมย์แล้งหนักสระน้ำกลางหมู่บ้านแห้งขอด//
31/01/15
ส่งผลกระทบชาวบ้านที่ปลูกผักขายเป็นอาชีพเสริมหลังเก็บเกี่ยวร่วม 100 ครัวเรือน
Cr: Thainews