ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คนญี่ปุ่นตกงานมากกว่า 70,000 ในช่วงวิกฤตโคโรน่าไวรัสระบาด!!

    กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการของญี่ปุ่นรายงานว่ามีผู้คนกว่า 70,000 คนในญี่ปุ่นกำลังตกงานเพราะวิกฤตไวรัสโคโรน่า ซึ่งญี่ปุ่นคาดการณ์ว่าตัวเลขผู้ตกงานอาจมีสูงกว่านี้มากเนื่องจากตัวเลขนี้นับเฉพาะกรณีที่ได้รับทราบโดยสำนักงานแรงงานท้องถิ่นและสำนักงานจัดหางานของรัฐเท่านั้น

    อ้างอิง : https://www3.nhk.or.jp/

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #เตือนต่อ #ไม่รอแล้วนะ(10พย.63)

    พายุปีนี้เริ่มต้นจากเดือนพค. พายุ หว่องฟ้ง ฯลฯ ช่วงท้ายปลายฤดู มีพายุโมลาเบ โคนี อัสนี เอตาว หว่ามก๋อ ตามมาเป็นขบวน เบ็ดเสร็จสะระตะรวมแล้ว 22 ลูก ในจำนวนนี้มีเข้าประเทศไทย 3 ลูก!!!

    ถามว่ามีอะไรผิดปกติไหม ตอบแบบไม่ทำให้ตระหนกตกใจ ก็บอกว่า "เป็นเหตุการณ์ปกติที่ไม่เกิดขึ้นบ่อย" แต่ในมุมในการตื่นตัว ก็ต้องบอกว่าสถานการณ์พายุปีนี้ คล้ายปีพ.ศ. 2553 คือปลายปีพายุชุกชุม ถัดมาปีพ.ศ.2554 ก็เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่!!!

    พายุเดือนพย. มักจะกระทบภาคใต้ พายุที่ยังไม่หมดไปในขณะนี้ ภาคใต้ยิ่งมีความเสี่ยงสูง ในอดีดหากจำกันได้พายุเกย์ ลินดา ปาบึก ก็เกิดขึ้นในช่วงต้นพย.ถึงปลายธค. !!!!

    ⛈️‍♀ สรุปว่า !!! ภัยธรรมชาติที่เคยเกิดแล้วในอดีด มักจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต เกิดเมื่อไหร่ ใครพยากรณ์แม่น อย่าได้ถกเถียงกันเลย เตรียมตัว ตื่นตัวตระหนักรู้กันดีกว่าครับ!!!

    พายุ"เอตาว" ขึ้นฝั่งเวียดนามวันนี้ มีฝนและมีผลต่อเกษตรภาคอีสานตอนล่าง ภาคตะวันออกวันนี้ถึง 11 พย. อยู่ที่ไหน ฝนตกแดดออก บอกต่อข้อมูลกันบ้างนะครับ ขอบคุณที่ติดตาม...สวัสดี ขอรับ กระผ้ม!!!

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "ความก้าวหน้าของการพัฒนาวัคซีนร่วมกันระหว่าง Pfizer และ BioNTech"

    ในวันนี้มีข่าวความคืบหน้าที่ดีของการพัฒนาวัคซีน โดยทางผู้บริหารของบริษัท Pfizer และ BioNTech ที่เป็นพันธมิตรร่วมกันในพัฒนาวัคซีนกับอาสาสมัครพบว่า

    "ผลลัพธ์สามารถป้องกันไวรัสได้มากกว่า 90%"

    โดยทำการเก็บข้อมูลจากอาสาสมัครในปัจจุบัน ที่ได้ฉีดไปแล้วกว่า 43,500 คนและได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยวัคซีนจะชื่อว่า BNT162b2 ซึ่งจากผลลัพธ์ที่ออกมานั้นจะไม่ใช่เพียงแค่ป้องกันไม่ให้ติดเชื้อเท่านั้นหากแต่ว่าจะช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้ออยู่แล้วไม่ให้แย่ลงอีกด้วย

    ทั้งนี้ยาตัวนี้ถูกพัฒนาภายใต้ชื่อโปรเจ็ค Light Speed และในอีกไม่นานก็จะทำเรื่องเพื่อขออนุมัติวัคซีนตัวนี้กับ FDA และ EMA เพื่อขอใช้งานจริง

    ทั้งนี้ในเรื่องของการติดตามผลลัพธ์และผลข้างเคียงอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีก 2 ปีในการติดตามอย่างละเอียดและต่อเนื่อง

    คาดว่าภายในปีนี้จะทำการผลิตวัคซีน 50 ล้านโดส และภายในปีถัดไปคาดว่าจะผลิตได้ 1,300 ล้านโดส

    ทั้งนี้ผลจากการแถลงในครั้งนี้ทำให้ตลาดหุ้นของเยอรมันและยุโรปกลับมาคึกคักโดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือที่จะได้รับผลกระทบที่ดีจากวัคซีน

    #พ่อบ้านเยอรมัน #เยอรมนี #เยอรมัน #Germany #German #Vaccine

    ที่มาของข้อมูล:

    https://m.faz.net/aktuell/wirtschaf...mehr-als-90-prozent-wirksam-17043883.amp.html

    https://www.diepresse.com/5894750/positive-impfstoff-daten-biontech-offenbar-vor-durchbruch

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #นวัตกรรมญี่ปุ่น

    "Panasonic x JR เครื่องดูด Airpods ที่หล่นบนราง"

    โดยเฉลี่ยแล้ว ภายในระยะเวลา 3 เดือน (เดือนก.ค. - ก.ย. 2020) พบหูฟังไร้สายหล่นบนรางรถไฟกว่า 950 ครั้งที่สถานีรถไฟ 78 แห่งในโตเกียว (JR East ที่ครอบคลุมพื้นที่ย่านโตเกียวและโทโฮคุ) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนั้นมีค่าราวๆเศษ 1 ส่วน 4 ของสิ่งของที่หล่นลงไปในรางรถไฟทั้งหมด (ใน 3 เดือน)

    .

    โดยปกติแล้ว เจ้าหน้าที่รถไฟจะใช้ไม้คีบที่หาซื้อได้ทั่วไปในการเก็บสิ่งของที่หล่นบนราง ซึ่งถ้าเป็นพวกกระเป๋าหรือสิ่งของที่มีขนาดไม่เล็กจนเกินไป มันทำงานได้ดีเลยทีเดียว และพวกเขาก็ใช้ไม้คีบอย่างงั้นมาตลอด แต่ช่วงหลังๆหูฟังไร้สายเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนมากขึ้น และบ่อยครั้งในช่วงเวลาเร่งรีบ พวกเขาก็ทำมันหล่น เมื่อเรียกเจ้าหน้าที่มาช่วยเก็บให้ บางครั้งก็ไม่สามารถหยิบได้ อันเล็กเกิน ซึ่งวิธีสุดท้ายก็คือการที่เจ้าหน้าที่ลงไปหยิบด้วยมือ แต่การที่จะทำเช่นนั้นได้จะต้องรอจนกว่าขบวนสุดท้ายจะวิ่ง

    .

    เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ Panasonic ได้ออกแบบเครื่องเก็บสิ่งของไร้สาย ซึ่งหลักการในการทำงานก็คล้ายคลึงกับเครื่องดูดฝุ่นสุญญากาศนั่นเอง

    เครื่องเก็บสิ่งของนี้ได้ถูกทดลองใช้แล้วที่สถานีอิเคบูคูโระ (Ikebukuro Station) สถานีหลักทางตอนเหนือของกรุงโตเกียว ผลลัพธ์ออกมาดีมาก มันสามารถเก็บ Airpods ได้อย่างง่ายได้ ไม่ต้องมาเล็งค่อยๆคีบดังเดิมให้เสียเวลา

    ปล. JR ยังส่งเสริมให้ทุกคนใส่หูฟังให้ถูกวิธีด้วยนะ เพื่อไม่ให้มันหล่นง่ายๆ

    .

    อ้างอิง: The Verge

    #Panasonic #JR

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันนี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เพื่อเตรียมพร้อมในการรับมือปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งมักจะมีความรุนแรงในช่วงการเปลี่ยนฤดู ซึ่งสาเหตุที่มาของฝุ่น PM 2.5 ในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน เช่น การเผาพื้นป่า การเผาวัสดุทางการเกษตร ขณะที่พื้นที่ในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล สาเหตุหลักมาจากการรถยนต์ดีเซล และการจราจร อุตสาหกรรม และการเผาในที่โล่ง บางขณะสภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อการกระจายตัวของฝุ่นละออง
    .
    ดังนั้น แนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในภาพรวมของประเทศ จำเป็นต้องบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อดำเนินงานร่วมกัน ดังนี้
    ...

    1. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ ประสานข้อมูลกับกรมควบคุมมลพิษ และ Gistda จัดทำแผนเผชิญเหตุ ทั้งก่อน ระหว่าง และหลัง เกิดเหตุ ตามกลไกพระราชบัญญัติการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย 2550 บังคับใช้กฎหมาย และเพิ่มความเข้มข้นในการแก้ไขปัญหาตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” กำหนดสถานที่พักชั่วคราว หรือ Safety Zone แจ้งเตือนแนะนำข้อปฏิบัติตนแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และสวมใส่หน้ากากอนามัย
    .
    2. ป้องกัน และลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง เข้มงวดตรวจจับรถควันดำ เร่งระบายการจราจรไม่ให้ติดขัด ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ตรวจสภาพ/บำรุงรักษายานพาหนะขนส่งสาธารณะ ทำความสะอาดพื้นผิวถนน รวมทั้งควบคุมการเผาในที่โล่ง/พื้นที่เกษตรอย่างเคร่งครัด ตรวจสอบ และควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงาน ป้องกัน และลดปริมาณฝุ่นละอองจากการก่อสร้าง เป็นต้น
    .
    3. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบคุณภาพอากาศ ขยายเครือข่ายแจ้งเตือน จัดระเบียบการเผาตามลักษณะพื้นที่ ให้สอดคล้องกับหลักวิชาการ ส่งเสริมการมีส่วนร่วม และปรับพฤติกรรมประชาชน ในการลดการเผาในที่โล่ง พื้นที่การเกษตร และการเผาขยะในชุมชน หรือเมือง

    ...

    นอกจากนี้ ในการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่ผ่านมา พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยังเห็นชอบการทบทวนแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” เพื่อยกระดับความเข้มงวดของมาตรการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี โดยเพิ่มเติมแผนเฉพาะกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาในช่วงวิกฤต โดยย้ำให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงานตามหน้าที่อย่างเข้มข้น เร่งการสื่อสาร เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ควบคุมการบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่า และการเกษตรด้วย
    .
    โดยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันว่า การแก้ไขปัญหาฝุ่น และ PM 2.5 เป็นหนึ่งในวาระสำคัญของรัฐบาลที่มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นปัญหาที่กระทบต่อสุขภาพ และการดำรงชีวิตของพี่น้องประชาชนด้วย

    -------------------------------
    แหล่งข่าว

    https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36602
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้บริหารเชนโรงแรมระดับประเทศ ยอมรับว่า บิสซิเนสแพลนเดิมที่ทำไว้ ซึ่งคาดว่าตลาดท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมาราวกลางปีหน้าเป็นต้นไป ต้องรื้อทิ้งทั้งหมด และมองจุดเริ่มต้นว่าอาจต้องข้ามไปถึงปี 2565 โน่นเลยทีเดียว
    ...

    ปีนี้อะไรก็ไม่แน่ไม่นอน

    แม้ว่าสถานการณ์ตลาดรถยนต์ส่งสัญญาณดีขึ้น กราฟตัวเลขค่อย ๆ ดีขึ้น ต่างจากช่วงครึ่งปีแรกที่ทำกิจกรรมการตลาดอะไรไม่ได้เลย

    “ให้คาดการณ์คงยาก แต่เราก็หวังว่าตัวเลขจะดีขึ้น เพราะโดยปกติงานนี้ซึ่งจัดขึ้นช่วงปลายปี เป็นช่วงที่คนจะซื้อรถกัน”

    บิ๊กแบรนด์รายหนึ่งแจงว่า “ปกติคนที่กำลังซื้อรถ จะมีกลุ่มใหญ่ ๆ รอซื้อในงาน เพราะเชื่อว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ดีกว่างานอื่น ๆ”

    แต่ปลายปีนี้สถานการณ์ต่างออกไปลิบลับ

    ตัวแปรสำคัญมาจากสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับผลกระทบเต็ม ๆ จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เฉพาะปีก่อนมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในบ้านเรา 40 ล้านคน สร้างรายได้ถึง 2 ล้านล้าน คิดเป็น 11-12% ของจีดีพี แต่ปีนี้เหลือไม่ถึง 8 ล้านคน หายไปถึง 80%

    ในขณะที่คนไทยเที่ยวกันเอง มีตัวเลขใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 1 ล้านล้าน

    การจ้างงานของภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนสูงถึง 20% ของการจ้างงานทั้งหมด เทียบกับอุตสาหกรรมการส่งออกมีสัดส่วนการจ้างงานไม่ถึง 4% ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

    ผู้บริหารเชนโรงแรมระดับประเทศ ยอมรับว่า บิสซิเนสแพลนเดิมที่ทำไว้ ซึ่งคาดว่าตลาดท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมาราวกลางปีหน้าเป็นต้นไป ต้องรื้อทิ้งทั้งหมด และมองจุดเริ่มต้นว่าอาจต้องข้ามไปถึงปี 2565 โน่นเลยทีเดียว ที่ทำอยู่ตอนนี้ คือ รักษาคนเอาไว้ และบริหารสภาพคล่องให้ดีที่สุด เนื่องจากสถาบันการเงินมองผู้ประกอบการท่องเที่ยวและบริการเป็นเซ็กเตอร์ที่มีความเสี่ยง ไม่มีทางปล่อยสินเชื่อง่าย ๆ

    “ยังดีที่คนไทยหันมาเที่ยวในประเทศกันมากขึ้น แต่พอช่วยได้ระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่จะมาใช้บริการกันเฉพาะช่วงวันหยุด วันธรรมดาถือว่าตัวเลขไม่ดี แต่ดีกว่าไม่มีรายได้เข้ามา”

    ที่ทุกคนเห็นตรงกัน ราวนัดกันไว้…ปีนี้ที่ว่าสาหัสแล้ว ปีหน้าจะหนักยิ่งกว่า

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าความขัดแย้งทางการเมืองในบ้านเรายังเผชิญหน้ากันแบบนี้

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังเป็นประธานสักขีพยานพิธีลงนามบันทึกร่วมมือโครงการจัดการพลังงานในนิคมอุตสาหกรรมด้วยระบบทิจิทัลและการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ว่า กฟภ. เตรียมเริ่มโครงการศึกษาเพื่อลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในอ่างเก็บน้ำ หรือโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ (Floating Solar Farm) มูลค่า 1,000 ล้านบาท ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดขนาด 20 เมกะวัตต์ เพื่อทำการขายไฟให้กับโรงงานอุตสาหกรรมภายในนิคมฯ ภายใต้นโยบาย Smart Energy ซึ่งจะทำการขายไฟได้ในปี 2564
    .
    ทั้งนี้ นโยบาย Smart Energy สอดรับกับนโยบายของ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นอีกส่วนสำคัญในการสนับสนุน ให้เกิดการส่งเสริมพลังงานทดแทนในประเทศไทย รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ที่จะมุ่งไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่จะเน้นในเรื่องของ BCG (Bio,Circular,Green) ที่จะต้องมุ่งอุตสาหกรรมสีเขียว
    .
    นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า จากนั้นจะขยายไปยังนิคมอุตสาหกรรมอื่นอีก 3 แห่งตามแผน คือ นิคมอุตสาหกรรมสงขลา อ.ฉลุง จ.สงขลา, นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จ.ลำพูน และนิคมอุตสาหกรรมแก่งคอย จ.สระบุรี รวมเป็น 4 พื้นที่ ขนาด 60 เมกะวัตต์ คิดเป็นเงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 1,800 -2,400 ล้านบาท (30-40 ล้านบาท/1เมกะวัตต์) โดยเป้าหมายของ กนอ. มุ่งที่จะพัฒนาไปสู่นิคมอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยการใช้เทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานมาเป็นระบบสมาร์ทกริด ในการจัดการส่งจ่าย เชื่อมโยง และลดสูญเสียพลังงานและเน้นดูแลสิ่งแวดล้อมที่สอดรับกับเทรนด์ของโลก
    .
    นายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กล่าวว่า กฟภ.จะเป็นผู้ลงทุนหลักและอาจจะมีการเชิญชวนเอกชนที่สนใจเข้ามาร่วมพัฒนา เบื้องต้นจะนำร่องที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 20 เมกะวัตต์สามารถจ่ายไฟเข้าระบบได้ภายในปี 2564 จากนั้นจึงจะทยอยติดตั้งในอีก 3 นิคมอุตสาหกรรมที่เหลือ โดยจะเน้นการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และยังเป็นการส่งเสริมพลังงานสะอาด โดย กนอ. สามารถนำไปโรดโชว์ดึงการลงทุนได้เพราะต่อไปอุตสาหกรรมจะต้องมุ่งดูแลสิ่งแวดล้อมตามเทรนด์โลกมากขึ้น
    .
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘ทรัมป์’จะพลิกผลเลือกตั้งได้ไหม จากการยื่นฟ้องร้องว่ามีการกระทำผิดกฎหมายและทุจริตคดโกง

    ไม่กี่นาทีหลังจากบรรดาสื่อสหรัฐฯประกาศฟันธงเมื่อวันเสาร์ (7 พ.ย.) ให้ โจ ไบเดน ผู้สมัครของพรรคเดโมแครต เป็นผู้ชนะในการแข่งขันอันคู่คี่เพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็รีบออกมาปฏิเสธข้อสรุปดังกล่าว โดยบอกว่าเขาจะพิสูจน์ให้เห็นกันในศาลว่าเขานี่แหละคือผู้คว้าชัยตัวจริง

    “ข้อเท็จจริงง่ายๆ มีอยู่ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ยังห่างไกลจากการยุติจบสิ้น” ทรัมป์บอกในคำแถลง

    “เสียงโหวตที่ถูกกฎหมายคือตัวตัดสินว่าใครเป็นประธานาธิบดี ไม่ใช่พวกสื่อมวลชนด้านข่าว”

    อย่างไรก็ดี พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ทรัมป์แทบไม่มีโอกาสเลยที่จะเปลี่ยนแปลงกลับตาลปัตรชัยชนะของไบเดน หากไม่อาจหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่ามีการทุจริตฉ้อโกงคะแนนโหวตอย่างกว้างขวางถึงขั้นที่สามารถพลิกผันผลการนับคะแนนในหลายๆ รัฐ

    “ยุทธศาสตร์การฟ้องร้องดำเนินคดีของทรัมป์จะไปไม่ได้ถึงไหนหรอก มันจะไม่ทำให้ผลลัพธ์ของการเลือกตั้งผิดแผกแตกต่างออกไป” ริชาร์ด ฮาเซน ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายเลือกตั้งแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเออร์ไวน์ ให้ความเห็น

    ทรัมป์บอกว่าทีมรณรงค์หาเสียงของเขาจะไปยื่นฟ้องศาลหลายแห่งในวันจันทร์ (9) เพื่อให้แน่ใจว่ามีการปฏิบัติตามกฎหมายการเลือกตั้งอย่างเต็มที่ และผู้ชนะที่ถูกต้องจะได้ขึ้นครองตำแหน่ง

    เขาชี้ไปยังเรื่องที่คาดหมายกันว่าจะต้องมีการนับคะแนนกันใหม่ในหลายรัฐ ซึ่งไบเดนมีคะแนนนำเพียงแค่ไม่กี่พันคะแนน

    และเขายังอ้างอิงถึงรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งพวกรีพับลิกันกล่าวหาว่ามีการทุจริตคดโกง และบอกว่าบัตรลงคะแนนส่งทางไปรษณีย์ซึ่งเดินทางมาถึงช้าจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นใบทีเดียว ได้ถูกนำมานับคะแนนด้วย ซึ่งพวกเขาเห็นว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

    “พวกเครือข่ายทีวีไม่ได้เป็นคนตัดสินการเลือกตั้ง ศาลต่างหากที่ตัดสินได้ ศาลจะสั่งพักการเลือกตั้งไว้ก่อนเมื่อมันผิดกฎหมาย” รูดี้ จูเลียนี ทนายความของทรัมป์ ประกาศในวันเสาร์ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย เมืองใหญ่ที่สุดของเพนซิลเวเนีย

    <b>กรณีแบบที่เคยเกิดที่ฟลอริดาเมื่อปี 2000 กลับมาอีกครั้งหรือ? </b>

    ทรัมป์พูดไว้ถูกต้อง: การเลือกตั้งยังไม่ได้ยุติลงอย่างแท้จริง จนกว่าแต่ละรัฐให้คำรับรองอย่างเป็นทางการต่อคะแนนโหวตในรัฐของตนแล้ว ซึ่งจะเสร็จสิ้นกระบวนการนี้ได้จะต้องใช้เวลากันอีกหลายสัปดาห์

    ทว่าจากการที่บัตรลงคะแนนทั้งสิ้นมากกว่า 150 ล้านใบ เวลานี้ได้ถูกนับไปเกือบหมดสิ้น สื่อในสหรัฐฯจึงเพียงแต่ฟันธงร่วมกันในวันเสาร์ (7) ว่า ทรัมป์ไม่สามารถเสียแล้วที่จะได้เสียงโหวตในคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งอาจกลายเป็นผู้ชนะขึ้นมาได้ ขณะที่ไบเดนต่างหากที่ทำเช่นนั้นได้

    มีตัวอย่างจากในอดีตอยู่เหมือนกันที่เกิดปัญหาในเรื่องการนับคะแนน และต้องไปฟ้องร้องกันในศาล ทั้งนี้ ในปี 2000 ศึกเลือกตั้งระหว่าง จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้สมัครของรีพับลิกัน กับ อัล กอร์ ผู้สมัครของพรรคเดโมแครต อยู่ในสภาพต้องรอผลคะแนนของรัฐฟลอริดามาเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะ โดยจากที่นับคะแนนกันไป บุชเป็นฝ่ายนำในรัฐนี้อยู่เพียงแค่ 500 กว่าคะแนน ทั้งสองฝ่ายได้ฟ้องร้องต่อสู้คดีกันในศาลสูงสุดในประเด็นว่าจะให้นับคะแนนใหม่กันทั้งรัฐนี้หรือไม่

    ปรากฏว่าศาลสูงสุดตัดสินด้วยคะแนนเสียงชนะกันเฉียดฉิว ปฏิเสธไม่ให้มีการนับคะแนนทั้งรัฐกันใหม่ และจึงเท่ากับส่งมอบชัยชนะในการเลือกตั้งคราวนั้นให้แก่บุช

    จาสำหรับกรณีของทรัมป์ เขาไม่เพียงแค่ต้องหาหลักฐานข้อพิสูจน์ เพื่อลบล้างเอาชนะเสียงโหวตที่เขาแพ้ไบเดนไปอยู่เกือบ 40,000 เสียงในรัฐเพนซิลเวเนียเท่านั้น แต่ยังต้องหาทางดิสเครดิตคะแนนโหวตที่ทำให้ไบเดนเป็นผู้ชนะในอีก 4 รัฐ ได้แก่ เนวาดา, จอร์เจีย, แอริโซนา, และวิสคอนซิน แต่ละรัฐเป็นจำนวนหลายพันคะแนนทีเดียว

    มันไม่น่าเป็นไปได้เลยที่ศาลสูงสุดจะดำเนินการเคลื่อนไหวเพื่อพลิกกลับผลการเลือกตั้งซึ่งชนะกันระดับเป็นพันเป็นหมื่นคะแนนในหลายๆ รัฐเช่นนี้

    <b>การนับคะแนนกันใหม่ </b>

    เนื่องจากกฎหมายเลือกตั้งของบางรัฐมีข้อกำหนดว่าต้องนับคะแนนกันใหม่ หากคะแนนแพ้ชนะคู่คี่กันมาก จึงคาดหมายกันจะมีการับคะแนนกันอีกครั้งในวิสคอนซิน และจอร์เจีย นอกจากนั้นยังเป็นไปได้ที่จะมีการนับใหม่ในรัฐอื่นๆ อีกเช่นกัน

    แต่จากตัวอย่างที่เคยเป็นมา การนับคะแนนใหม่น้อยครั้งนักที่จะทำให้ผลแพ้ชนะพลิกผันไปจากเดิม ตัวอย่างเช่น การนับใหม่ในวิสคอนซินปี 2016 สุทธิแล้วเป็นการเพิ่มคะแนนอีก 131 เสียงให้แก่เสียงโหวตที่ทรัมป์นำ ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครของเดโมแครต

    “ในการเลือกตั้งอเมริกันในยุคสมัยใหม่ การนับคะแนนกันใหม่แทบไม่เคยทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงไปเกินกว่าแค่สักสองสามร้อยคะแนน” นี่เป็นคำอธิบายของ สตีเวน เฮฟเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายการเลือกตั้งแห่งมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท

    ความหวังสูงที่สุดของทีมรณรงหาเสียงทรัมป์ดูจะอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ในเพนซิลเวเนีย อันที่จริงพวกเขาได้ฟ้องร้องมาหลายเดือนก่อนหน้านี้แล้วว่า การที่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการเลือกตั้งกำหนดให้ยอมรับบัตรลงคะแนนส่งทางไปรษณีย์ที่ประทับตราวันที่เลือกตั้ง 3 พ.ย. แต่ส่งมาถึงภายหลังวันที่ 3 พ.ย. ไม่เกิน 3 วัน เป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

    รีพับลิกันได้ต่อสู้จนถึงขั้นยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลสูงรัฐเพนซิลเวเนียนี้ต่อศาลสูงสุดสหรัฐฯในเดือนตุลาคม ปรากฏว่าคณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดซึ่งในตอนนั้นเหลืออยู่ 8 คน ตัดสินออกมาด้วยคะแนน 4 ต่อ 4 จึงทำให้ไม่สามารถลบล้างคำตัดสินของเพนซิลเวเนียได้ แต่ก็ระบุเปิดทางให้มีการกลับมาพิจารณาประเด็นนี้อีกภายหลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว

    เวลานี้ จำนวนคณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดกลับมาครบ 9 คนแล้ว ภายหลังทรัมป์รีบเร่งผลักดันให้มีการอนุมัติแต่งตั้ง เอมี คอนีย์ แบร์เรตต์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีแนวความคิดแบบอนุรักษนิยม ให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนล่าสุด และรีพับลิกันก็กำลังหาทางให้มีการพิจารณาประเด็นเดิมกันใหม่อีกครั้ง

    แต่พวกเจ้าหน้าที่เพนซิลเวเนียบอกว่า จำนวนของบัตรเลือกตั้งส่งมาถึงช้าซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจถูกตัดทิ้งไปนั้นมีจำนวนอยู่ในระดับหลายพันใบ น้อยกว่านักหนากับคะแนนที่ต้องได้เพื่อเอาลบล้างเอาชนะจำนวนที่ไบเดนนำอยู่

    มันเป็น “เรื่องยากที่จะมองเห็นได้ว่า พวกบัตรลงคะแนนที่เป็นปัญหาเหล่านี้ จะสามารถส่งผลอย่างจริงจังกับผลการเลือกตั้งที่ออกมาได้อย่างไร” แคธี บูกควาร์ รัฐมนตรีมหาดไทยเพนซิลเวเนียกล่าวในเอกสารยื่นต่อศาลสูงสุดเมื่อวันเสาร์

    <b>ทุจริตคดโกง? </i>

    ทรัมป์ยังกำลังอ้างว่ามีการทุจริตคดโกงคะแนนเลือกตั้ง แต่นี่ก็เช่นกัน จะเอาชนะคะแนนนำของไบเดนได้ ทีมของทรัมป์จะต้องมีการพิสูจน์ให้เห็นได้จริงๆ ในหลายๆ รัฐ และต้องให้มีการยกเลิกคะแนนโหวตเป็นหมื่นๆ เสียงที่คู่แข่งของเขาได้ไป

    เท่าที่เป็นอยู่จนถึงเวลานี้ ยังไม่ได้มีการแสดงหลักฐานใดๆ ในเรื่องนี้

    จูเลียนีกล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า เมืองฟิลาเดลเฟียซึ่งมีความโน้มเอียงลงคะแนนให้แก่เดโมแครตกันเป็นจำนวนมากนั้น “มีประวัติศาสตร์อันน่าเศร้าเกี่ยวกับการทุจริตคะแนนเสียง” พร้อมกับอ้างว่ามีการใช้ชื่อคนตายมาลงคะแนนกัน

    “แน่นอนเลยว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะทำให้บัตรเลือกตั้งจำนวนหนึ่งต้องกลายเป็นโมฆะ” เขากล่าว “และนี่ก็สามารถส่งผลกระทบกรเทือนต่อการเลือกตั้งได้”

    แต่ เฮฟเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายเลือกตั้งที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท มองว่า การกล่าวอ้างของฝ่ายรีพับลิกันยังคง “คลุมเครือ”

    “คุณต้องมีข้อเท็จจริงมาสนับสนุนสิ่งที่คุณกำลังกล่าวอ้าง” เขากล่าว

    และแม้กระทั่งว่ามีข้อพิสูจน์แล้ว รีพับลิกันก็ยังต้องแสดงให้เห็นต่อไปว่ามันมีจำนวนมากเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงผลเลือกตั้งที่ออกมา เขากล่าวต่อ

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทรัมป์ไล่ออกรัฐมนตรีกลาโหม ชำระแค้นผู้เห็นต่างจนวาระสุดท้ายในตำแหน่ง!

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ในวันจันทร์(9พ.ย.) เผยว่าได้ไล่ มาร์ค เอสเปอร์ พ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหม ความเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนเป็นการใช้เวลาในช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายก่อนพ้นตำแหน่ง จัดการกับบรรดาบุคคลที่เห็นต่างภายในรัฐบาลของเขา หลังปราชัยในศึกเลือกตั้ง

    https://mgronline.com/around/detail/9630000116052

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘ไบเดน’เริ่มตั้งทีมถ่ายโอนอำนาจ ‘ทรัมป์’รับไม่ได้ยื่นฟ้องค้านผลเลือกตั้ง แม้ทีมงานยอมรับ ไม่หวังชนะแต่เพื่อให้ปธน.มีทางลง และรักษาฐานเสียงเอาไว้

    ไบเดน-แฮร์ริสเริ่มกระบวนการถ่ายโอนอำนาจจากทรัมป์ ตั้งเป้าแก้ปัญหาโรคระบาด เศรษฐกิจ เชื้อชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับแรกๆ แต่ด้านทรัมป์ยังไม่ยอมรับความปราชัย พร้อมเตรียมฟ้องร้องเดโมแครตโกงเลือกตั้ง ขณะคนวงในทีมหาเสียงของเขายอมรับการดำเนินการทางกฎหมายไม่ได้หวังเปลี่ยนผลการเลือกตั้ง หากเพื่อให้ทรัมป์มีทางลงและรักษาฐานเสียงเอาไว้แม้ต้องพ่ายแพ้
    ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และ ว่าที่รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ของสหรัฐฯ ประกาศจะแถลงเกี่ยวกับการต่อสู้โรคระบาดและการฟื้นเศรษฐกิจในวันจันทร์ (9 พ.ย.) หลังได้รับฟังการบรรยายสรุปจากทีมที่ปรึกษาด้านโควิด-19

    ทั้งคู่ยังเปิดเว็บไซต์สำหรับการถ่ายโอนอำนาจ ที่ใช้ชื่อว่า BuildBackBetter.com และฟีดทวิตเตอร์ @Transition46 โดยบนเว็บนี้ ไบเดนระบุเป้าหมายสำคัญ 4 อันดับแรกๆ ที่จะแก้ไขเยียวยา ได้แก่ โควิด-19 การฟื้นเศรษฐกิจ ความเท่าเทียมด้านเชื้อชาติ และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และสำทับว่า จะจัดตั้งทีมถ่ายโอนอำนาจให้พร้อมจัดการความท้าทายเหล่านี้ตั้งแต่วันแรก ซึ่งหมายถึงวันที่ 20 มกราคมปีหน้าที่ไบเดนจะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของอเมริกา

    ไบเดนซึ่งจะมีอายุครบ 78 ปี ในวันที่ 20 เดือนนี้ จะเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดของอเมริกา ส่วนแฮร์ริส วัย 56 ปี จะเป็นรองประธานาธิบดีคนแรกที่เป็นผู้หญิงผิวดำและมีเชื้อสายอินเดีย

    ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกาเตรียมประกาศรายชื่อทีมบริหารจัดการไวรัสโคโรนาในวันจันทร์ รวมทั้งประกาศว่า จะนำอเมริกากลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีสเพื่อลดภาวะโลกร้อน และออกคำสั่งฝ่ายบริหารตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่งเพื่อยกเลิกคำสั่งแบนประเทศมุสลิมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

    ทางด้านทรัมป์ ในวันอาทิตย์ (8) ได้ออกเล่นกอล์ฟใกล้ กรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นสนามเดียวกับที่ไปเมื่อวันเสาร์ (7) ตอนที่สื่อในสหรัฐฯพากันประกาศฟันธงว่า ไบเดนสามารถคว้าคะแนนคณะผู้เลือกตั้งได้ครบตามเกณฑ์ในการเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งแล้ว

    ตอนเช้าวันอาทิตย์ (8) ทรัมป์ยังคงทวิตโวยว่า “สื่อเชยๆ มีหน้าที่ประกาศชื่อประธานาธิบดีคนใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

    ในวันเดียวกันนั้น รูดี้ จูเลียนี ทนายความส่วนตัวของทรัมป์ เปิดเผยกับรายการซันเดย์ มอร์นิ่ง ฟิวเจอร์ส ของฟ็อกซ์ นิวส์ว่า ในวันจันทร์ทีมหาเสียงของทรัมป์มีแผนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐเพนซิลเวเนียในข้อหาละเมิดสิทธิพลเมืองด้วยการจัดการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นกลางและละเมิดกฎหมายของรัฐ และจะตามด้วยมิชิแกนหรือจอร์เจียเป็นอันดับต่อไป

    วันอาทิตย์เช่นกัน เมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ทวิตว่า ชาวอเมริกันควรได้รับสิทธิ์ในการเลือกตั้งที่เป็นธรรม และควรนับบัตรเลือกตั้งที่ถูกกฎหมายทั้งหมด ไม่ใช่บัตรที่ผิดกฎหมาย

    ทั้งนี้ ทีมหาเสียงของทรัมป์ประกาศว่า จะคัดค้านผลการนับคะแนนในหลายรัฐ ด้วยเหตุผลทั้งเรื่องที่เจ้าหน้าที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และมีการทุจริตฉ้อโกง อย่างไรก็ดี ทีมทรัมป์ยังไม่เคยแสดงหลักฐานให้เห็นกันชัดๆ รวมทั้งพวกเจ้าหน้าที่ในรัฐต่างๆ ซึ่งมีทั้งผู้ที่อยู่ในพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ตลอดจนสื่อทั้งหลาย ก็ไม่เห็นว่า มีเหตุการณ์ผิดปกติอย่างกว้างขวางถึงขนาดอาจพลิกผลการนับคะแนนอย่างใหญ่โต

    ทางด้าน จอร์จ ดับเบิลยู. บุช อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ออกคำแถลงเมื่อวันอาทิตย์ว่า ผลการเลือกตั้งชัดเจนแล้ว และสำทับว่า เขาได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับไบเดนและแฮร์ริสแล้ว

    คำแถลงของบุชยังกล่าวว่า ชาวอเมริกาสามารถมั่นใจได้ว่า การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม และต้องร่วมมือกันเพื่ออนาคตของชาติ

    สำหรับ ซีโมน แซนเดอร์ส ที่ปรึกษาอาวุโสของไบเดน แถลงตอบโต้ฝ่ายทรัมป์ว่า การฟ้องร้องของทีมหาเสียงทรัมป์เป็นยุทธศาสตร์ใช้กฎหมายที่ไร้สาระ

    ขณะที่การนับคะแนนยังไม่ครบถ้วนทั้งหมด คาดการณ์กันว่าไบเดนได้คะแนนจากผู้ออกเสียงรวม 74.6 ล้านคะแนน ส่วนทรัมป์ได้ 70.4 ล้านคะแนน ส่วนคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะกันจริงๆ นั้น ไบเดนได้ 279 คะแนน ส่วนทรัมป์ได้ 214 คะแนน นอกจากนั้นไบเดนยังมีคะแนนนำในแอริโซนาที่มีคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง 11 คะแนน และจอร์เจีย 16 คะแนน ซึ่งหากชนะทั้งสองรัฐ ไบเดนจะได้ 306 คะแนน เท่ากับที่ทรัมป์เคยเอาชนะฮิลลารี คลินตัน เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

    ภายในรีพับลิกันมีวุฒิสมาชิกเพียง 2 คนคือ มิตต์ รอมนีย์ และลิซา เมอร์โคสกี ที่แสดงความยินดีต่อไบเดน โดยรอมนีย์นั้นบอกว่า ที่สุดแล้วทรัมป์จะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และสำทับว่า อยากให้โลกเห็นการก้าวลงจากตำแหน่งอย่างสง่างาม แต่นั่นคงไม่ใช่นิสัยของทรัมป์

    ทว่า ลินด์ซีย์ เกรแฮม วุฒิสมาชิกรีพับลิกันที่เป็นพันธมิตรของทรัมป์ กล่าวว่า ถ้าไบเดนชนะ เขาก็พร้อมร่วมงานด้วย แต่ตอนนี้เขาคิดว่า ทรัมป์ควรสู้ต่อ

    ทางด้านทิม เมอร์ทอช โฆษกทีมหาเสียงของทรัมป์ เผยว่า ทรัมป์มีแผนเดินสายปราศรัยขอการสนับสนุนจากประชาชนเพื่อคัดค้านผลเลือกตั้ง โดยมีการจัดตั้งทีมเพื่อจัดการให้มีการนับคะแนนใหม่ในหลายรัฐแล้ว

    อย่างไรก็ดี นอกจากพวกผู้เชี่ยวชาญต่างไม่เชื่อว่า ความพยายามฟ้องร้องของทรัมป์จะประสบความสำเร็จแล้ว สำนักข่าวเอพียังอ้างคำบอกเล่าของพวกเจ้าหน้าที่อาวุโส ผู้ช่วยในทีมหาเสียง และพันธมิตรหลายคนของทรัมป์ ที่พูดโดยขอให้สงวนนามว่า ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การมีหลักฐานการโกงการเลือกตั้งอย่างชัดเจน แต่การฟ้องร้องมีเป้าหมายเพื่อให้ทรัมป์มีทางลงสำหรับความพ่ายแพ้ที่เขาไม่อาจยอมรับได้ มากกว่าต้องการเปลี่ยนผลการเลือกตั้ง รวมทั้งยังต้องการรักษาฐานเสียงเอาไว้แม้ทรัมป์เป็นฝ่ายแพ้การเลือกตั้งก็ตาม

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นายกฯเอธิโอเปียปลดฟ้าผ่า “ผู้นำกองทัพ-หัวหน้าข่าวกรอง-รมว.ต่างประเทศ” ตายเกลื่อนเกือบ 500 ศพในสงครามทิเกรย์
    .
    .
    .
    .รอยเตอร์/เอเจนซีส์ – นายกรัฐมนตรีเอธิโอเปียวันอาทิตย์(8 พ.ย)สั่งปลดผู้นำกองทัพ ผู้อำนวยการข่าวกรอง และรัฐมนตรีต่างประเทศเอธิโอเปีย ปฎิเสธที่จะเข้าสู่โต๊ะเจรจา การสู้รบในพื้นที่ยังระอุ แหล่งข่าวทางการทหารยืนยันมีผู้เสียชีวิตเกือบ 500 คนในพื้นที่
    .
    รอยเตอร์รายงานวันนี้(9 พ.ย)ว่า รัฐบาลเอธิโอเปียของนายกรัฐมนตรี อาบีย์ อาห์เหม็ด ในวันจันทร์(9) ออกมายืนยันว่า ประเทศเอธิโอเปียจะไม่เข้าสู่ “สงครามกลางเมือง” เด็ดขาดถึงแม้ว่าในเวลานี้รัฐบาลกลางกำลังสู้รบอยู่กับภูมิภาคทิเกรย์ก็ตาม ซึ่งมีการใช้การโจมตีทางอากาศด้วยเครื่องบิน ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 6 คนไม่กี่วันที่ผ่านมา อ้างอิงจากอัลญะซีเราะห์ สื่อกาตาร์
    .
    ขณะที่ผู้นำรัฐบาลภูมิภาคทิเกรย์ในวันนี้(9) เปิดเผยว่ากองทัพเอธิโอเปียภายใต้การนำของอาบีย์ใช้เครื่องบินโจมตีทางอากาศในพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 10 ครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
    .
    แต่อย่างไรก็ตามพรรคพรรคแนวร่วมปลดปล่อยประชาชนชาวทิเกรย์ TLF ( Tigray People's Liberation Front) ไม่ได้เปิดเผยจำนวนสูญเสียออกมา
    .
    รอยเตอร์ชี้ว่า แหล่งข่าวทางการทหารในภูมิภาคอัมฮารา(Amhara)เปิดเผยว่า สงครามระหว่างกองทัพเอธิโอเปียและกองกำลังทิเกรย์ใน คิราเกอร์(Kirakir) ใกล้พรมแดนระหว่างภูมิภาคทิเกรย์และภูมิภาคอัมฮาราทำให้ทหารฝ่ายตรงกันข้าม(กองกำลังทิเกรย์)เสียชีวิตเกือบ 500 นาย
    .
    นอกจากนี้แหล่งข่าวทางการทหาร 3 คนในภูมิภาคอัมฮารายังเปิดเผยอีกว่า กองทัพเอธิโอเปียเสียชีวิตหลายร้อยคนในการสู้รบครั้งแรกที่ดานชา(Dansha)
    .
    อย่างไรก็ตามรอยเตอร์กล่าวว่า ยังไม่สามารถยืนยันตัวเลขการเสียชีวิตเหล่านี้ได้ แต่แหล่งข่าวทางการทูตเปิดเผยว่า เชื่อว่าการสู้รบทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน และเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์กล่าวว่า มีอย่างน้อย 6 คนเสียชีวิต และมีอีกหลายสิบคนได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบอย่างหนักในช่วงสุดสัปดาห์
    .
    ภูมิภาคทิเกรย์กล่าวว่ารัฐบาลเอธิโอเปียของอาบีย์นั้นตั้งใจเล่นงานพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรมจากในส่วนของการกวาดล้าง
    .
    “ฟาสซิสต์พวกนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วจะไม่มีการเมตตาในการทำลายชาวทิเกรย์จากการใช้เครื่องบินโจมตีไม่ต่ำกว่า 10 ครั้งในเมืองต่างๆในภูมิภาคทิเกรย์”
    .
    ทั้งนี้พบว่านักข่าวต่างๆรวมถึงนักข่าวรอยเตอร์ถูกทหารเอธิโอเปียสั่งให้ออกนอกพื้นที่จากฐานที่มั่นดานชา( Dansha) โดยอ้างเหตุผลด้านความปลอดภัย
    .
    นักข่าวรอยเตอร์เดินทางเข้าไปในภูมิภาคทิเกรย์และภูมิภาคอัมฮารารายงานว่า เห็นรถบรรทุกขนกำลังรบติดอาวุธ และรถปิกอัพติดปืนกลวิ่งเข้าไปในแนวหน้าเพื่อสนับสนุนการผลักดันจากฝ่ายรัฐบาลกลางเอธิโอเปีย
    .
    พบว่าถนนเส้นที่จะเข้าสู่ดานชาจากภูมิภาคอัมฮาราซึ่งให้การสนับสนุนอาบีย์พบว่ากระท่อมชาวบ้านในพื้นที่ทิ้งร้าง
    .
    และในวันอาทิตย์(8)ที่กรุงแอดดิส อาบาบา มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยอาจให้การช่วยเหลือกองกำลังทิเกรย์จำนวน 162 คนรวมนักข่าว 1 คน เกิดขึ้นในวันเดียวกันที่นายกรัฐมนตรี อาบีย์ อาห์เหม็ด สั่งปลดประธานคระเสนาธิการทหารเอธิโอเปีย ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรอง และรัฐมนตรีต่างประเทศเอธิโอเปียในคราวเดียวกัน
    .
    รอยเตอร์รายงานว่า อาบีย์ไม่ได้ให้เหตุผลในการสั่งปลดคนเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขาสั่งพักการสู้รบชั่วคราว
    .
    สำนักนายกรัฐมนตรีเอธิโอเปียกล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า รองนายกรัฐมนตรีเอธิโอเปีย เดเมเก เมคอนเนน(Demeke Mekonnen) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ ส่วนผู้ช่วยผู้นำกองทัพเอธิโอเปีย เบอร์ฮานู จูลา(Birhanu Jula) ถูกแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะเสนาธิการทหารแทน
    .
    ส่วนประธานาธิบดีภูมิภาคอัมฮารา เทเมสเกน ตีรูเนห์(Temesgen Tiruneh) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองคนใหม่ และกองกำลังทหารภูมิภาค
    .
    อัมฮาราให้การสนับสนุนกองทัพเอธิโอเปียของรัฐบาลอาบีย์ในการสู้รบ
    .
    และในวันอาทิตย์(8)ธนาคารแห่งชาติเอธิโอเปียออกคำสั่งปิดธนาคารพาณิชย์ 616 แห่งภายในภูมิภาคทิเกรย์โดยอ้างเหตุผลการปล้นสะดม

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “อินเดีย”ฉลองจุดพลุดอกไม้ไฟยินดีให้ “กมลา แฮร์ริส” สายเลือดแดนภารตะขึ้นเป็นรองปธน.สหรัฐฯคนใหม่
    .
    .
    .
    .เอเอฟพี/เอเจนซีส์ – หมู่บ้านในรัฐทมิฬนาฑูอดีตเมื่อครั้ง คุณตาของ กมลา แฮร์ริส ว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันอาทิตย์(8 พ.ย)เคยอาศัยได้จุดพลุดอกไม้ไฟฉลองแสดงความยินดีในความสำเร็จที่แฮร์ริสซึ่งเป็นลูกครึ่งอินเดีย-จาไมกันสามารถก้าวขึ้นเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ได้สำเร็จ ขณะที่นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี แสดงความยินดีต่อโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
    .
    เอเอฟพีรายงานเมื่อวานนี้(8 พ.ย)ว่า ขณะที่ชาวอินเดียออกมาแสดงความชื่นชมในความสำเร็จของ กมลา แฮร์ริส ว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ที่มีสายเลือดแดนภารตะว่า “เป็นช่วงเวลาแห่งความน่าภาคภูมิ” สำหรับประเทศอินเดีย
    .
    กมลา แฮร์ริส บุตรสาวผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งเต้านม ชยามาลา โกปาลัน (Shyamala Gopalan) จากเมืองเจนไนได้แสดงความไว้อาลัยแก่มารดาชาวอินเดียของเธอที่เสียชีวิตในการกล่าวสุนทรพจน์ในชัยชนะการเลือกตั้งร่วมกับว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ในวันเสาร์(7) มารดาของแฮร์ริสเป็นบุคคลที่เชื่ออย่างลึกซึ้งว่า ในอเมริกาว่าโอกาสเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้
    .
    ขณะเดียวกันที่หมู่บ้านหมู่บ้านธุลาเสนทราปุราม( Thulasendrapuram village)ในรัฐทมิฬนาฑู ที่มีประชากรอาศัยอยู่ราว 350 คน ซึ่งครั้งหนึ่งคุณตาของแฮร์ริสคือ พี.วี. โกปาลาน( P.V. Gopalan)เคยอาศัยก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่เมืองเจนไน เมืองเอกของรัฐทมิฬนาฑู ได้ร่วมแสดงความยินดีอย่างครึกครื้นต่อข่าวที่แฮร์ริสได้รับการเลือกตั้ง มีการจุดพลุดอกไม้ไฟ และสวดภาวนาฉลองที่วัดใหญ่ในพื้นที่พร้อมกับโปสเตอร์ภาพถ่ายแฮร์ริสวัย 56 ปี
    .
    ทั้งนี้พบว่าบรรดาผู้หญิงในหมู่บ้านต่างทำวาดภาพงานศิลปะหลากสีสันที่เรียก “รังโกลี” (rangoli) พร้อมกับข้อความ “ขอแสดงความยินดีต่อ กมลา แฮร์ริส”
    .
    “มันเป็นเรื่องของความภาคภูมิใจต่อผู้หญิงทั้งหมู่บ้าน” อรุล โมซี ซุดดาการ์( Arul Mozhi Sudhakar) ซึ่งเป็นแม่บ้านให้ความเห็นกับเอเอฟพี
    .
    ด้านลุงของแฮร์ริสซึ่งเป็นนักวิชาการ บาลาจันดราน โกปาลาน(Balachandran Gopalan) กล่าวว่า เขาเชื่อเสมอว่าแฮร์ริสต้องทำได้ พร้อมเปิดเผยว่า ครอบครัวของแฮร์ริสในอินเดียจะเดินทางเข้าสหรัฐฯเพื่อร่วมแสดงความยินดีในพิธีสาบานตนที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคมปีหน้า
    .
    “ผมรู้สึกโล่งอกเป็นเพราะผมรู้ว่าเธอจะต้องชนะและผมได้บอกกับเธอเมื่อวาน..ว่าความเครียดของผมหายไปแล้ว”
    .
    และเขากล่าวอีกว่า “พวกเราอยู่ร่วมกันในฐานะครอบครัวในขณะที่เธอสาบานตนในตำแหน่งวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ และเราจะอยู่ร่วมกันในเวลานี้ในพิธีสาบานตนของเธอในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถือเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ของพวกเรา”
    .
    ทั้งนี้พบว่าในช่วงเช้าวันอาทิตย์(8)พบว่านายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ได้แสดงความยินดีต่อ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ โจ ไบเดน และเรียกแฮร์ริสว่า เป็นแหล่งความภาคภูมิอย่างมหันต์”
    .
    CBS News รายงานว่า กมลา แฮร์ริส มักกล่าวถึงอินเดียอย่างภาคภูมิใจในช่วงระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งสหรัฐฯ และพบว่ามารดาของเธอได้เคยนำแฮร์ริสกลับมาเยี่ยมบ้านที่อินเดียหลายครั้ง
    .
    โดยในคำสุนทรพจน์รับการเข้าร่วมชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯกับไบเดน พบว่าเธอได้กล่าวถึงการสนับสนุนที่เธอได้รับจาก ชิตติส (chittis) ภาษาทมิฬที่หมายถึงน้า หรือ ป้า

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวดีมาก!! ‘ไฟเซอร์’ประกาศ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ทดลองอยู่ ทำท่าใช้ได้ผลในระดับสูงลิ่วถึง 90%

    ไฟเซอร์ประกาศในวันจันทร์ (9 พ.ย.) ว่า จาก ข้อมูลที่ออกมาช่วงแรก ๆ ของวัคซีนไวรัสโคโรนาของบริษัทซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการทดลองระยะสุดท้าย ส่อแสดงให้เห็นว่ามันน่าจะมีประสิทธิภาพสูงถึง 90% ทีเดียวในการป้องกันโรคโควิด-19 ทำให้บริษัทอาจจะพร้อมยื่นเรื่องในช่วงเวลาต่อไปของเดือนนี้ เพื่อขอสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) อนุญาตแบบฉุกเฉินเร่งด่วนให้ใช้วัคซีนนี้กับประชาชน

    ประกาศคราวนี้ ที่ออกมาในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกัน ซึ่งถูกมองกันว่าเป็นการลงประชามติว่าไว้วางใจหรือไม่ต่อการรับมือวิกฤตโรคระบาดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นข่าวให้กำลังใจชิ้นสำคัญและหาได้ยากซึ่งออกมาในช่วงหลังๆ นี้ ในการทำศึกกับเจ้าไวรัสมรณะที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 1.2 ล้านคน โดยในจำนวนนี้เป็นยอดตายในสหรัฐฯกว่า 230,000 คน

    เวลานี้มีบริษัทยาเวชภัณฑ์และประเทศต่างๆ จำนวนมากกำลังเร่งรัดแข่งขันกันเพื่อพัฒนาวัคซีนที่สามารถต่อสู้ป้องกันไวรัสนี้ได้

    “เรากำลังอยู่ในจุดซึ่งมีศักยภาพที่จะสามารถให้ความหวังบางประการได้” น.พ.บิลล์ กรูเบอร์ รองประธานอาวุโสด้านการพัฒนาทางคลินิกของบริษัทไฟเซอร์ บอกกับสำนักข่าวเอพี “เรารู้สึกมีกำลังใจเป็นอย่างมาก”

    การประกาศครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่ากำลังจะมีวัคซีนออกมาให้ใช้กันได้แล้ว โดยสิ่งที่เป็นข่าวคือบทวิเคราะห์เบื้องต้น ซึ่งมาจากคณะกรรมการอิสระที่ทำหน้าที่เฝ้าติดตามข้อมูล ภายหลังได้เห็นรายงานเกี่ยวกับการติดเชื้อในหมู่ผู้เข้ารับการทดลองจำนวน 94 ราย โดยตัวเลขนี้คือเท่าที่ปรากฏออกมาแล้วจนถึงเวลานี้ ขณะที่จำนวนผู้เข้าทดลองในการศึกษาวิจัยนี้มีทั้งสิ้นเกือบๆ 44,000 คนทั้งในสหรัฐฯและในประเทศอื่นๆ อีก 5 ประเทศ โดยที่ตามวิธีการทดลองนั้น บางคนได้รับวัคซีนจริงๆ แต่บางคนได้รับวัคซีนหลอก

    บริษัทไฟเซอร์เองไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากกว่านี้เกี่ยวกับการติดเชื้อที่ระบุในรายงาน พร้อมกับเตือนด้วยว่าอัตราความสามารถในการป้องกันโรคเบื้องต้นของวัคซีนตัวนี้ ยังอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อีกเมื่อถึงเวลาที่การศึกษาวิจัยนี้เสร็จสิ้นลง กระนั้น การเปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นเช่นนี้ก็ยังคงถือว่าผิดปกติธรรมดาอย่างมาก

    ทางด้านเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบออกมาเน้นย้ำว่า ภายในสิ้นปีนี้ ยังไม่น่าจะมีวัคซีนใดๆ ก็ตาม ออกมาให้ใช้กันได้ในปริมาณมากมาย และดังนั้นวัคซีนจำนวนแรกๆ จะต้องใช้วิธีแบ่งสรรปันส่วนกัน

    “เรายังจำเป็นที่จะต้องดูที่ข้อมูล แต่ที่ปรากฏออกมานี่ต้องถือว่าให้ความหวังเป็นอย่างยิ่ง” น.พ.เจสซี กู๊ดแมน แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการฝ่ายวัคซีนของเอฟดีเอ กล่าวให้ความเห็น เขาชี้ว่ายังมีคำถามอยู่มากมายที่ยังคงรอคำตอบอยู่ เป็นต้นว่า ผลป้องกันของวัคซีนนี้จะยาวนานแค่ไหน และมันสามารถคุ้มครองคนสูงอายุได้พอๆ กับคนอ่อนวัยกว่าหรือไม่

    ถ้าวัคซีนตัวนี้ ซึ่งไฟเซอร์พัฒนาร่วมกับ ไบโอเอ็นเทค (BioNTech) บริษัทเยอรมนี สามารถผ่านการตรวจสอบจนออกมาใช้ได้ในที่สุด “มันก็จะยังต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะมีผลกระทบอย่างสำคัญในระดับประชากรทั่วไป” กู๊ดแมนกล่าวต่อ

    ขณะที่ มารีลีน อัดโด ผู้อำนวยการหน่วยยาเขตร้อน ณ โรงพยาบาลยูเคอี ในเมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี ให้ความเห็นทำนองเดียวกันว่า ผลเบื้องต้นที่ออกมานี้ ถือเป็น “สัญญาณแรกที่น่าสนใจมาก” ทว่ายังคงมีคำถามอยู่อีกมาก

    อย่างไรก็ดี ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก ซึ่งชื่นมื่นกับชัยชนะของว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน อยู่แล้ว ต่างพากันพุ่งแรงจัดด้วยข่าวดีนี้ของไฟเซอร์ พวกดัชนีสำคัญของตลาดหุ้นในยุโรปซึ่งกำลังเผชิญโควิด-19 กลับมาระบาดหนักรอบใหม่ พากันทะยานโด่งไปราว 5% ขณะที่สัญญาตราสารฟิวเจอร์ของดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ก็กระโจนขึ้นมา 5% และไต่สูงถึงราว 1,400 จุดในช่วงก่อนการเปิดซื้อขายในตลาดจริงราวๆ 2 ชั่วโมง

    ทรัมป์ผู้ซึ่งพูดอยู่เรื่อยระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีว่า วัคซีนน่าจะพรักพร้อมให้ใช้กันได้ภายในวันเลือกตั้ง 3 พฤศจิกายน ได้ทวีตในวันจันทร์ว่า “ต ลา ด หุ้ น พุ่ ง แ ร ง วั ค ซี น กำ ลั ง จ ะ อ อ ก ม า แ ล้ ว ร า ย ง า น ว่ า ไ ด้ ผ ล 90 % ข่ า ว ยิ่ ง ใ ห ญ่ จ ริ ง ๆ !”

    ส่วนว่าที่ประธานาธิบดีไบเดน ก็แถลงแสดงความยินดีแก่ผู้ที่ได้ร่วมมือช่วยกันทำวัคซีนนี้และก่อให้เกิดความหวังขึ้นมา แต่เตือนด้วยว่า กว่าที่การสู้รบกับโควิด-19 จะสิ้นสุดลงได้จริงๆ นั้นยังต้องใช้เวลาอีกแรมเดือน และเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องสวมหน้ากากป้องกันกันต่อไปอีก

    แอลเบิร์ต บูรลา ประธานและซีอีโอของไฟเซอร์ กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ ซีเอ็นบีซี ว่า การเลือกตั้งถูกถือเป็นกำหนดเส้นตายปลอมๆ เสมอมา และข้อมูลต่างๆ จะพรักพร้อมสำหรับการนำเสนอ ก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่มันพรักพร้อมแล้ว ทั้งนี้ คณะกรรมการอิสระที่ทำหน้าที่เฝ้าติดตามข้อมูล ได้ประชุมหารือกันในวันอาทิตย์ (8) เพื่อวิเคราะห์ผลเท่าที่ปรากฏออกมาแล้วของการทดลองวัคซีนโควิด-19 ตัวนี้ และจากนั้นก็แจ้งทางไฟเซอร์

    “ผมดีใจมาก” บูรลา กล่าว พร้อมกับบอกว่ามีผู้คนจำนวนมากมายต้องทุ่มเททำงานกันทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาถึง 9 เดือน และผู้คนจำนวนเป็นพันๆ ล้านคนตั้งความหวังกับวัคซีนนี้ เขาพูดด้วยว่า ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะได้ผลในระดับสูงถึง 90%

    ก่อนหน้านี้ในปีนี้ น.พ.แอนโธนี ฟาวซี ผู้เชี่ยวชาญระดับท็อปด้านโรคติดเชื้อของรัฐบาลสหรัฐฯ เคยพูดเอาไว้ว่า เขาจะรู้สึกดีใจแล้วถ้าได้วัคซีนโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพในระดับ 60% ขณะที่พวกนักวิทยาศาสตร์เตือนกันมาเป็นเดือนๆ แล้วว่า วัคซีนโควิด-19 ใดๆ ก็ตาม อาจได้ผลแค่ระดับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ นั่นคือมีประสิทธิภาพประมาณ 50% และจะต้องคอยฉีดซ้ำกันทุกๆ ปี

    วัคซีนของไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทคตัวนี้ เป็น 1 ในวัคซีนคู่แข่งที่ดูเป็นไปได้รวม 10 ตัวซึ่งกำลังได้รับการทดสอบระยะสุดท้ายกันอยู่ทั่วโลก โดยที่ 4 ตัวในจำนวนนี้ดำเนินการศึกษาวิจัยขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ บริษัทอเมริกันอีกรายหนึ่งคือ โมเดอร์นา อิงค์ ก็บอกว่า วาดหวังจะสามารถยื่นขออนุญาตใช้ฉุกเฉินกับทางเอฟดีเอได้ในช่วงต่อไปของเดือนนี้

    ทั้งอาสาสมัครในการทดลองขั้นสุดท้าย รวมทั้งพวกนักวิจัย ต่างไม่ทราบว่าใครได้รับวัคซีนจริง ใครได้วัคซีนหลอก แต่ 1 สัปดาห์หลังจากผู้รับการทดลองได้รับวัคซีนโดสที่ 2 ตามที่กำหนดกันไว้ การศึกษาวิจัยของไฟเซอร์ก็จะเริ่มต้นนับจำนวนผู้ที่มีอาการโรคโควิด-19 และตรวจยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาใช่หรือไม่

    เนื่องจากการศึกษาวิจัยนี้ยังไม่ยุติ กรูเบอร์ รองประธานอาวุโสด้านการพัฒนาทางคลินิกของไฟเซอร์ จึงไม่สามารถบอกได้ว่าในแต่ละกลุ่มมีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนเท่าใด แต่ตามหลักคณิตศาสตร์แล้ว ผู้ติดเชื้อที่นับกันได้จนกถึงเวลานี้ แทบทั้งหมดทีเดียวน่าจะเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนหลอก

    ไฟเซอร์ไม่มีแผนยุติการศึกษาวิจัยของตนจนกว่าจะพบผู้ติดเชื้อเป็นจำนวน 164 รายในหมู่อาสาสมัครทั้งหมดของตน อันเป็นตัวเลขที่เอฟดีเอเห็นพ้องด้วยว่าเพียงพอที่จะบอกได้ว่าวัคซีนตัวนี้ทำงานป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด ทั้งนี้เอฟดีเอระบุชัดว่าวัคซีนใดๆ ก็ตามต้องได้ผลอย่างน้อยที่สุด 50%

    กรูเบอร์บอกว่า ไม่มีผู้เข้าร่วมการทดลองรายใดที่ล้มป่วยรุนแรง เขายังไม่สามารถให้ตัวเลขแยกย่อยลงไปได้เช่นกันว่า มีผู้สูงอายุจำนวนเท่าใดที่ติดเชื้อ ทั้งนี้คนแก่เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงป่วยเป็นโรคโควิด-19 สูงที่สุด

    ผู้เข้าร่วมการทดลองจะได้รับการตรวจทดสอบต่อเมื่อพวกเขามีอาการป่วยขึ้นมา ทำให้ยังไม่มีคำตอบว่า คนที่ได้รับวัคซีนแล้วสามารถติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ และดังนั้นจึงแพร่เชื้อไวรัสออกไปแบบไม่รู้ตัวได้หรือไม่

    ตามข้อกำหนดของเอฟดีเอนั้น บริษัทต่างๆ ที่พัฒนาวัคซีนจะต้องคอยติดตามพวกผู้เข้าร่วมการทดลองของตนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในเรื่องผลข้างเคียงต่างๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน อันเป็นระยะเวลาที่ปกติแล้วหากมีปัญหาใดๆ ก็จะแสดงตัวออกมาให้เห็นแล้ว ไฟเซอร์คาดหมายว่าจะไปถึงกำหนดเวลาดังกล่าวในช่วงต่อไปของเดือนนี้ แต่ในการแถลงข่าววันจันทร์ (9) บริษัทบอกว่าไม่มีรายงานว่ามีข้อน่ากังวลใจด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรงใดๆ

    เนื่องจากโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ยังกำลังอาละวาดอยู่ พวกบริษัทยาจึงวาดหวังจะสามารถขออนุญาตจากรัฐบาลต่างๆ ทั่วโลกให้ใช้วัคซีนของพวกตนในแบบฉุกเฉิน ขณะที่ดำเนินการทดลองเพิ่มเติมต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งนี่เท่ากับยินยอมให้พวกตนนำวัคซีนเข้าสู่ตลาดรวดเร็วขึ้นกว่าปกติ ถึงแม้เรื่องนี้ก่อให้เกิดความกังวลว่าพวกนักวิทยาศาสตร์เรียนรู้วัคซีนที่นำออกมาใช้กันมากน้อยแค่ไหน

    เมื่อเดือนที่แล้ว พวกที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของเอฟดีเอแสดงความกังวลว่า การเปิดทางให้ใช้วัคซีนโควิด-19 แบบฉุกเฉิน อาจกลายเป็นการทำลายความเชื่อมั่นในวัคซีนที่ฉีด และทำให้ยิ่งยากลำบากขึ้นไปอีกในการค้นหาว่ามันใช้ได้ผลจริงๆ ขนาดไหน พวกที่ปรึกษาเหล่านี้บอกว่า เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดที่จะต้องอนุญาตให้การศึกษาวิจัยในขั้นสุดท้ายนั่นคือในหมู่ประชากรจำนวนมากๆ เหล่านี้ ดำเนินต่อไปจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทีมหาเสียงยันทรัมป์ไม่ยอมแพ้ยกระดับต่อสู้ค้านผลเลือกตั้ง แต่สื่อตีมีแผนยกธงขาวอย่างสง่างาม

    ทีมหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยเมื่อวันจันทร์(9พ.ย.) ว่าประธานาธิบดีรายนี้ "ไม่ยอมจำนน" ในขณะที่คณะทำงานของเขายกระดับต่อสู้ทางกฎหมายคัดค้านผลเลือกตั้งในหลายรัฐสมรภูมิสำคัญ ในพื้นที่ซึ่งว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีคะแนนนำแค่ฉิวเฉียด อย่างไรก็ตามสื่อขวาจัดอย่างฟ็อกซ์นิวส์ รายงานว่าทรัมป์มีแผนยอมแพ้อย่างสง่างาม หากการต่อสู้ทางกฎหมายประสบความล้มเหลว

    https://mgronline.com/around/detail/9630000116054

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เอเชีย‘โล่งอก-มีหวัง’หลังจบยุค‘ทรัมป์’ แต่ชาติพันธมิตรหวั่น‘ไบเดน’ปล่อยจีนแผ่อิทธิพล

    เอเชียทั้งโล่งอกและมีความหวังกับโจ ไบเดน ว่าที่ผู้นำคนต่อไปของอเมริกา หลังจากต้องเผชิญช่วงเวลา 4 ปีภายใต้ยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ที่โจมตีทั้งศัตรูและพันธมิตรอย่างมีความสุข กระนั้นก็ตาม จากการที่ไบเดนต้องแบกรับปัญหามากมายภายในประเทศ จึงมีความกังวลอย่างกว้างขวางในหมู่พันธมิตรของอเมริกันทางเอเชียว่า พวกเขาอาจถูกละเลย และวอชิงตันจะปล่อยให้ปักกิ่งแผ่ขยายอิทธิพลตามใจชอบ

    ต่อไปนี้คือแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นในเอเชีย หลังจากไบเดนได้เข้าครองทำเนียบขาว

    <b>จีน </b>
    เป้าหมายแรกในเอเชียของไบเดนน่าจะเป็นจีน

    สองชาติมหาอำนาจพัวพันกันอย่างตัดไม่ขาดทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง แม้อเมริกากำลังเข้ามาสำแดงแสนยานุภาพทางทหารในแปซิฟิกมากขึ้น เพื่อขัดขวางความพยายามขยายอิทธิพลของจีนก็ตาม

    ภายใต้คณะบริหารทรัมป์ สองชาติทำสงครามการค้าและสงครามปากอย่างดุเดือด แต่สำหรับคณะบริหารของไบเดนนั้น อเล็กซานเดอร์ ฮวง ศาสตราจารย์ด้านยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยทัมกังในไทเป และอดีตเจ้าหน้าที่ความมั่นคงแห่งชาติของไต้หวัน มองว่า น่าจะกลับไปใช้แนวทางสายกลางและลดการเผชิญหน้าแบบอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามามากกว่า

    ฮวงเสริมว่า การเข้าหาจีนมากขึ้นอาจทำให้วอชิงตันลดการสนับสนุนไทเปลง แต่ไม่ได้ลดความมุ่งมั่นในการรับประกันว่า ไต้หวันสามารถป้องกันตัวเองจากการคุกคามของปักกิ่ง

    ทางด้าน ถัง หรุ่ยกั๊ว วิศวกรเคมีปลดเกษียณสะท้อนมุมมองของคนมากมายในจีนว่า ไม่ว่าประธานาธิบดีคนใหม่คือใครก็ไม่อาจหยุดยั้งขาลงของอเมริกาในสถานะมหาอำนาจโลกได้

    <b>สองเกาหลี </b>
    ทรัมป์กับคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ พัฒนาจากการข่มขู่เปิดศึกกันให้กลายเป็นซัมมิต 3 รอบที่แม้เป็นข่าวครึกโครมทั่วโลก แต่ไม่อาจโน้มน้าวให้เปียงยางทำลายอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธที่ครอบครองอยู่

    อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้คิมต้องปรับตัวรับมือไบเดน ที่หน่วยโฆษณาชวนเชื่อโสมแดงเคยเรียกว่า “หมาบ้า” ที่ “ต้องตีให้ตาย”

    ส่วนไบเดนเคยเรียกคิมว่า “คนใจโหด” และ “อันธพาล” และโจมตีทรัมป์ว่า มอบความชอบธรรมให้ผู้นำเผด็จการอย่างคิมด้วย “ซัมมิต 3 รอบที่จัดขึ้นเพื่อสร้างข่าว” แต่ไม่มีความคืบหน้าในเรื่องการปลดอาวุธ

    ไบเดนสนับสนุนแนวทางอย่างค่อยเป็นค่อยไปที่เริ่มจากการประชุมระดับคณะทำงาน และพร้อมยกระดับการแซงก์ชันจนกว่าเกาหลีเหนือจะยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างเป็นรูปธรรม

    ด้านเกาหลีเหนือซึ่งพูดเสมอว่าคลังแสงนิวเคลียร์เป็นเครื่องค้ำประกันสำหรับการอยู่รอดที่แข็งแกร่งที่สุด และยังไม่เคยแสดงความปรารถนาที่จะทำข้อตกลงอันสมบูรณ์ซึ่งพวกเขาต้องทอดทิ้งอาวุธร้ายแรงเหล่านี้ ต้องการกระบวนการที่ขับดันโดยการประชุมสุดยอด ซึ่งทำให้ตัวเองมีโอกาสได้รับการยินยอมอ่อนข้อโดยทันที แต่มีหวังถูกปฏิเสธหากใช้วิธีเริ่มเจรจากันตั้งแต่ระดับนักการทูตระดับล่างขึ้นมาตามลำดับ

    สำหรับเกาหลีใต้ มีแนวโน้มว่า ไบเดนจะให้ความเคารพความเป็นชาติพันธมิตรมากกว่าทรัมป์ที่ถือวิสาสะลดขนาดการซ้อมรบร่วม และโวยไม่เลิกเรื่องค่าใช้จ่ายของการส่งทหารอเมริกัน 28,500 คนมาประจำการเพื่อปกป้องเกาหลีใต้จากเกาหลีเหนือ

    <b>ญี่ปุ่น </b>
    โตเกียวหวังว่า นโยบายเชิงรุกด้านสิ่งแวดล้อมของไบเดนจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทที่ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่น และหวังว่า ผู้นำใหม่ของอเมริกาจะใช้ไม้แข็งกับจีนซึ่งเป็นคู่แข่งถาวรของญี่ปุ่น

    อย่างไรก็ตาม ฮิโร ไอดะ ศาสตราจารย์ด้านการเมืองยุคใหม่และประวัติศาสตร์อเมริกาของมหาวิทยาลัยคันไซ มองว่า อเมริกาไม่สามารถดูแลประเทศอื่นๆ ได้ แต่ต้องเลือกฟื้นฟูตัวเองก่อน

    ปีเตอร์ ทาสเกอร์ นักวิเคราะห์ของอาร์คัส รีเสิร์ชในโตเกียว ขานรับว่า ไบเดนกำลังจะเข้าบริหารประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหาภายใน ตั้งแต่ความไม่สงบจากประเด็นเชื้อชาติจนถึงความกังวลกับภาวะเศรษฐกิจ การดูแลสุขภาพ และไวรัสโคโรนา จึงอาจปล่อยให้ญี่ปุ่นสู้เพียงลำพัง ขณะที่จีนตอบสนองความทะเยอทะยานด้านดินแดนของตัวเองโดยไม่ถูกขัดขวาง เช่นเดียวกับเกาหลีเหนือที่จะสานต่อโครงการนิวเคลียร์

    <b>เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ </b>
    บริดเจ็ต เวลช์ นักวิจัยกิตติคุณของมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม ในมาเลเซีย ชี้ว่า บางประเทศในภูมิภาคนี้ เช่น มาเลเซียที่กำลังมุ่งเน้นการฟื้นเศรษฐกิจ โน้มเอียงเข้าหาจีนที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ เขายังมองว่า อำนาจของอเมริกาไม่มีทางเหมือนเดิม

    ขณะที่ ริชาร์ด เฮย์เดเรียน นักวิเคราะห์ในฟิลิปปินส์ เชื่อว่า ไบเดนอาจระวังมากขึ้นในการติดต่อกับพวกผู้นำที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งในฟิลิปปินส์ ไทย และกัมพูชา ขณะเดียวกัน ไบเดนซึ่งมีท่าทีระมัดระวังมากกว่า อาจทำให้เกิดเสถียรภาพมากขึ้นในภูมิภาคแถบนี้ โดยเขาเห็นว่าอเมริกาน่าจะยังคงแสดงความเป็นผู้นำ แต่จะอยู่ในลักษณะร่วมมือปรานกับพวกผู้เล่นและมหาอำนาจระดับภูมิภาค เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินเดีย รวมทั้งมหาอำนาจทางยุโรป และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    <b>อินเดีย </b>
    ความสัมพันธ์ทางทหารและความมั่นคงระหว่างอเมริกากับอินเดียจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่คณะบริหารของไบเดนอาจเพ่งเล็งปัญหาสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางศาสนาของอินเดียที่ทรัมป์เคยละเลยมากขึ้น

    ไมเคิล คูเกลแมน รองผู้อำนวยการโครงการเอเชียของศูนย์วิลสันในวอชิงตัน ยังคาดว่า ไบเดนจะวิจารณ์นโยบายชาตินิยมฮินดูของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิ ที่ถูกกล่าวหาว่า กดขี่ชนกลุ่มน้อย กระนั้น สองชาติจะร่วมมือกันใกล้ชิดขึ้นเพื่อคานอำนาจจีน และคณะบริหารชุดใหม่ของอเมริกาจะไม่ยอมเสี่ยงทำตัวเป็นศัตรูกับอินเดีย ที่ถือเป็นเดิมพันทางยุทธศาสตร์ซึ่งดีที่สุดของอเมริกาในเอเชียใต้อย่างเด็ดขาด

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    *** 5 ประเด็นที่คนไทยควรรู้ ... 1. น่าสนใจว่าทำไมหลายประเทศถึงยังเหมือนไม่เชื่อ 0 ต่อเนื่องของไทย แต่กลับให้เครดิตประเทศอื่นที่ติดเชื้อมากกว่าไทย ... และจีนก็ยังต้องให้คนที่บินจากไทยตรวจทั้ง PCR และ IgM Antibody

    ..........

    ทุกประเด็นคือ ข้อเท็จจริงที่เขียนมาเพื่อเราช่วยกันปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้น

    เข้าใจว่า การกระทำบางอย่างเพื่อลด Panic เปิดประเทศ แต่ได้แนะนำไปแล้วว่า ให้ลองเดินทางสายกลาง เน้นให้ความจริงมากขึ้น เพื่อให้ประเทศอื่นยอมรับไทยมากขึ้น

    0 ต่อเนื่อง คนไทยอาจเชื่อบางส่วน แต่รัฐบาลอื่นทั้งโลกเขารู้ความจริงว่า มีผู้ติดเชื้อไม่ได้ตรวจ PCR มากมายในประเทศเขา และทุกประเทศ

    ขนาดจีนที่ตรวจกันหลายล้านเทสต์ในไม่กี่วัน ก็ยังกำราบได้ไม่หมด

    .........

    *** ประเด็นที่ 1

    เท่าที่ผู้อ่านส่งรายละเอียดมานั้น จีน ออสเตรียเหมือนยังไม่เชื่อ 0 ต่อเนื่องของไทย

    หลายประเทศไป Bubble กับประเทศที่ยังมีระบาดอยู่ แต่ไม่ได้ทำกับไทย

    จีนคงไม่มีทางเชื่อไทยง่ายๆ เพราะรู้วิธีการประเมินจริงๆ หลายวิธีการ

    ..............

    *** ประเด็นที่ 2

    ความน่าสนใจ คือจีนใช้ Antibody มาช่วยวินิจฉัย Covid19 ตั้งแต่มีนาคมแล้ว จนหลังๆ ทั้งโลกก็พยายามใช้การตรวจสุ่มของ Antibody เพื่อหาอัตราการติดเชื้อจริงของพื้นที่ ของเมือง ของประเทศ ของอาชีพเสี่ยง

    จีนไม่เคยเชื่อ PCR เดี่ยวๆ เพราะรู้ว่า False Negative มีพอควร ยิ่งเกิดจาก Human Error จนมีเคส Swab ไป 7 ครั้งยังไม่เจอ จนตรวจ Antibody ขึ้น (ไทยมีเคสแพทย์ท่านนึง เกาหลีมีเด็กอีกคนที่ลงข่าวคล้ายกัน)

    การต้องให้ตรวจ IgM เพื่อดูว่ากำลังติดเชื้อ Active หรือซากเชื้อ

    ไม่ว่า PCR Positive หรือกรณี PCR Negative ก็ยังช่วยได้หมด

    ---> สรุปว่า <--- จีนละเอียด และรู้จริง

    ............

    *** ประเด็นที่ 3

    ที่น่าสนใจคือ หลายประเทศเวลาเขาดูว่าประเทศไหนเอาจรองเอาจังในการหาผู้ติดเชื้อไร้อาการ หรืออาการน้อยที่แฝงตัวในสังคม หรืออาจจะมีการระบาดเงียบๆ ช้าๆ

    อัตราการตรวจ PCR ต่อประชากรนี่ น่าจะเป็นตัวที่ช่วยบอกได้ดีพอควร

    และต้องใช้ร่วมกับอีกหลายตัวเลข

    คือ ไม่เชื่อตัวเลขรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อของแต่ละประเทศ เพราะต่างคนต่างรู้ไส้รู้พุงกันหมด ว่าตัวเลขต่ำจริง 10-20 เท่าแบบที่ WHO เคยลงข่าวไม่นานมานี้

    เลยไปดูอัตราการตรวจต่อประชากรใน Worldometer ไทยตรวจอยู่อันดับ 160 กว่าของโลก ถ้าตัดประเทศเล็กๆ กับหมู่เกาะ อาณานิคมออกไป ก็ถือว่าอยู่ในประเทศใหญ่ที่ตรวจ PCR น้อยมากเทียบกับทั้งโลก

    แม้ช่วงระบาดของเรา เราก็ตรวจค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับทั้งโลก พอ 0 ต่อเนื่อง ยิ่งน้อยลงไปอีก

    -- ของเรา อัตราการตรวจ PCR ต่อประชากรล้านคน ใกล้เคียงกับ พม่า เวีดนาม กัมพูชา ดีกว่าลาว 1 Step น้อยกว่าอินโด 1 Step

    ซึ่งถ้าตรวจน้อย มีแนวโน้มจะเจอเคสหลุดวินิจฉัยมากกว่าประเทศที่ตรวจมาก

    -- ตามไปดูประเทศใหญ่ที่มีอัตราการตรวจมากๆ มี 3 ประเทศ คือ UAE บาห์เรน เดนมาร์ก เฉลี่ย 1 ล้านกว่าเทสต์ต่อ 1 ล้านคน คือแทบจะได้ตรวจถ้วนหน้า

    แน่นอนตรวจเยอะมาก เคสติดเชื้อย่อมไม่น้อยแน่นอน

    1.4 แสน 8 หมื่น 5 หมื่นตามลำดับ

    ของไทย ถ้าตรวจเพิ่ม 10 เท่า ซึ่งก็ยังน้อยกว่าเขาอีก 10 เท่าอยู่ดี อาจเจอเคสเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวก็ได้

    (ไม่ต้องมาแย้งเรื่องเปลืองเงิน เพราะว่าตรวจเยอะก็แพงกว่าแน่นอน แต่ก็แลกกับการเจอเคสมากกว่า ได้อย่างเสียอย่าง แต่สรุปว่า เราตรวจค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศส่วนใหญ่)

    -- ส่วนไปดูประเทศที่ระบาดหนักใน 10 อันดับแรก ที่น่าห่วงไม่ใช่สหรัฐ ยุโรป ที่ติดเชื้อกันมากมายมหาศาล

    นั่นเพราะเขาตรวจ PCR กันมากมาย ตรวจมากเจอมาก เรื่องไม่แปลก จนทรัมป์บ่นกึ่งแซวให้ตรวจน้อยๆ จะได้ติดเชื้อน้อยๆ ... ฮา ... แต่ตัวเองตรวจ PCR ถี่มากๆ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่รอด ติดเชื้อจนได้

    ที่น่าห่วงคือ Top Ten ที่ตรวจน้อยกว่า คือ อินเดีย บราซิล อาร์เจนตินา

    ที่น่าห่วงสุด คือ "เม็กซิโก" น่าสงสารมาก

    อัตราตรวจน้อยมากเมื่อเทียบกลับประเทศที่เหลือ

    ตรวจไป 2.5 ล้านเทสต์พบติดเชื้อถึง 9.67 แสนคน อัตราการตรวจ 1.9 หมื่นต่อ 1 ล้านคน น้อยกว่าบราซิล 5 เท่า

    สุ่มตรวจ Antibody เมื่อไหร่ มีหวังเจอตัวเลขกระโดด 10-20 เท่านี่ไม่แปลกใจเลย๖

    .......

    ประเด็นที่ 4

    ของไทยที่ต้องระวังให้มาก และควรเปลี่ยนนโยบายให้ได้ก่อนจะสายเกินไป คือ

    ถ้าผู้เชี่ยวชาญของแต่ละประเทศจะดูว่า ในแต่ละประเทศนั้นเอาจริงเอาจังแค่ไหนในการเฝ้าระวังการระบาด

    สิ่งที่ต้องตามดูคือ การตามดูผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ ว่าตามเจอมากน้อยแค่ไหน

    เวียดนาม พม่า นิวซีแลนด์ คือกลุ่มที่หลุด 0 ต่อเนื่องที่อยู่ได้นานพอๆ กับไทย พอเจอเคสแรก ของเวฟ 2 ก็มีระบาดเวฟ 2 แทบทันที

    แต่เขาตามตรวจ Contact Tracing แบบเอาเป็นเอาตาย จนเจอเคสรับเชื้อกันอุตลุต รีบปิดพื้นที่ ปิดเมืองกัน ทันบ้างไม่ทันบ้าง

    แต่ไทยเจอเคสมากี่เคสแล้ว กลับไม่ระบาด ไม่แพร่เชื้อได้เลย

    ที่สำคัญ การ Contact Tracing (ตามผู้สัมผัสใกล้ชิด) ในช่วงไม่กี่เดือนนี้ เหมือนจะได้เคสมาตรวจแค่ส่วนนึง (ซึ่งแน่นอนยากที่จะตามมมาครบ) แต่กลับไม่มีใครรับเชื้อเลย แม้กระทั่งคนในครอบครัวที่อยู่ด้วยกันเป็นเดือน กิน นอน ใช้ของร่วมกัน นั่งรถคันเดียวกัน โดยที่ส่วนใหญ่ไม่ใส่หน้ากากตอนอยู่บ้านอีก

    อัตราการ Contact Tracing เราคือ 0 ต่อเนื่องหลายเดือน เว้นเคสพม่าที่แพร่เชื้อในครอบครัวเดียวกัน

    เคสดีเจก็ผลตรวจ Genome ก็ออกข่าวว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่กระจายไวมาก กลับไม่ติดใครสักคน

    เคสนักบอล เคสมาเลเซีย ก็มาจากประเทศที่สายพันธุ์กระจายไวกว่าของไทยรุ่นแรก แต่ก็ไม่สามารถตามเจอผู้รับเชื้อได้เลย

    เคสผู้ที่บินไปญี่ปุ่น ก็ไม่เจอ

    เคสแรงงานพม่าที่กลับพม่า ก็ไม่เจอ

    ..........

    ประเด็นที่ 5

    เคสอินเดียที่มีไข้มีอาการ เพิ่ง Active สดๆ ตอนช่วงต้นเดือน พค.

    ซึ่งเชื้อจะเริ่มกระจายง่ายสุด มากสุดคือ ก่อนมีอาการ 2 วัน ซึ่งตรงกับช่วงไปลอยกระทงอีก

    แต่ไทยให้ ช่วงไปลอยกระทงที่สุโขทัย ไม่มีความเสี่ยงเลย

    ความเสี่ยง = 0 ... ไม่มีผู้ที่เสี่ยงรับเชื้อ ซึ่งจริงๆ ควรมีผู้มีความเสี่ยงต่ำบ้าง ไม่มากก็น้อย จึงควรซักประวัติให้ละเอียดว่า กิจกรรมในวันนั้นมีอะไรบ้าง ไปซื้อของ แวะร้านไหนบ้างในช่วงลอยกระทง โดยถ้าให้ดีลิสต์เป็นรายชั่วโมง เพราะอาจมีช่วงที่หลุดไปกระจายเชื้อได้

    ประเมินกิจกรรมที่เสี่ยงกลางถึงมาก กลายเป็นไม่เสี่ยง ก็ไม่มีการตาม Contact Tracing เลย

    อันนี้ก็น่าสนใจว่า จะมีเคสหลุดรับเชื้อไปแพร่ต่อได้หรือไม่ ?

    ...........................

    ปล.

    ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากผู้อ่านเพจเราทั้ง 2 ท่านที่ช่วยกันค้นข้อมูลมาเพิ่มเติมด้วยครับ

    ...........................

    1. คอมเมนท์คุณสุดสวย

    แล้วทำไมจีนถึงออกกฎใหม่ รวมไทยอยู่กลุ่มเดียวกับสหรัฐ ในการตรวจสองชั้น

    เครดิต เวปไซต์สถานฑูตจีนค่ะ

    http://www.chinaembassy.or.th/eng/sgxw/t1827900.htm

    ..............

    2. คอมเมนท์คุณ Kulwadee

    ไม่ใช่แค่จีนนะคะคุณหมอ ออสเตรียเองก็มีการยกเว้นการกักตัว/หรือตรวจโควิดขาเข้าประเทศให้คนที่เดินทางจากประเทศที่ไม่ใช่อียูหรือเช็งเก้นแค่ 6 ประเทศ; Australia, Japan, Canada, New Zealand, Republic of Korea, Uruguay

    และไทยไม่ได้เป็นหนึ่งใน 6 ประเทศนั้นอีกต่างหาก
    อาจเป็นเพราะเค้าไม่เชื่อในตัวเลข 0 ในประเทศไทยก็เป็นได้ค่ะ

    https://www.austria.org/current-travel-information

    ..........

    3. สถิติการตรวจ PCR ของทั้งโลก

    https://www.worldometers.info/coronavirus/

    .

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    *** เคสอินเดียนี่ น่าจะตรงไปตรงมา หาทางเลี่ยงยากแล้ว มีอาการชัดเจน ออกข่าวแบบนี้ คงติดเชื้อในประเทศไทยแน่ๆ เป็นอีกบทพิสูจน์ว่า "เราไม่เคย 0 จริงมาตั้งแต่แรกเลย" ....

    ไม่ตรวจ PCR ในเคสที่มีอาการ ก็ไม่เจอเคส ไม่ได้รับการวินิจฉัยแค่นั้นเอง คนส่วนใหญ่อาการน้อย ไร้อาการ หายเองได้

    วิจัยสุ่มตรวจ Antibody ในช่วงหลังๆ ทั้งหมดก็บอกว่า เคสที่ติดเชื้อจริงในสังคมมีมากกว่าที่มาตรวจเชื้อ 10-20 เท่า

    กลายเป็นในไทย เคส Covid19 ที่เจอเป็นเคสที่เจอจากการต้องโดนบังคับตรวจ PCR ตามกฎหมาย เช่น ตรวจร่างกายก่อนไปต่างประเทศ ไปทำงาน ไปแข่งกีฬา ไปเข้าเรือนจำ บินไปลงสนามบินต่างประเทศ นั่งรถกลับพม่ามาเลเซีย กลับเจอเป็นระยะๆ ทั้งมีอาการ ไม่มีอาการ

    การตรวจเจอเรื่อยๆ แบบนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า "มีการระบาดเงียบอยู่ในไทยกันเรื่อยๆ แม้อาจมีไม่มาก แต่ก็ไม่ได้รับการวินิจฉัยโรคกันเลย"

    พอเจอเคสกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ก็มีอันต้องโดนคล้ายตัดตอน ไม่ได้สืบกันจริงจังว่าติดจากใคร ใครรับเชื้อกันไปบ้าง ...

    ---> ตรงประเด็นนี้ ต้องระวัง หรือปรับไอเดียให้ทัน ... เพราะหลายประเทศอาจไม่ยอมรับสถานะ 0 ต่อเนื่องของไทยได้เต็มที่ เพราะพอเจอเคสกี่เคส หลังๆ ไทยไม่สามารถ Contact Tracing หาผู้แพร่เชื้อ รับเชื้อได้แม้สัก 1 คน

    ---> นั่นหมายถึง ไทยปล่อยให้มีผู้รับเชื้อไปแพร่เชื้อต่อได้เรื่อยๆ

    ........

    ประเด็นที่วันนี้ ยังไม่มีประชาชนคนไหน สามารถหาคำตอบได้ (ยกเว้นวงในสุดๆ) คือ

    *** ตัวเลขการตรวจ PCR รายวันใน รพ. ทั้งหมดของไทยนั้น หายสาบสูญไปพร้อมๆ กับศักราช 0 ต่อเนื่อง ถึงวันนี้ยังไม่มีคนพบเจอ จนต่างประเทศคงรู้ทันว่า ไทยไม่ได้ตรวจ PCR จริงจังมานานมาก ไม่รายงานเคส หรือรายงาน 0 ในประเทศ ก็ไม่แปลก !!

    มืออาชีพจริงๆ จะไม่เชื่อเรื่องบังเอิญซ้ำซากต่อเนื่องยาวนาน

    จึงเป็นไปไม่ได้ที่ "ทุกเคสที่เจอในไทยในช่วงหลัง ๆจะบังเอิญทุกเรื่องคล้ายกันหมด" เช่น

    1. คนติดเชื้อที่เจอโดยบังเอิญ ไม่ค่อยได้ออกนอกบ้าน หรือห้องพักในคอนโด โรงแรมเลย

    2. ไม่ค่อยได้ไปร้านสะดวกซื้อ ไปห้าง ไปตลาด ไปกินข้าวตามร้านอาหาร

    3. ถ้าเป็นต่างชาติไม่ค่อยติดต่อกับคนไทย

    4. ไม่ค่อยได้ทำงาน ไม่ค่อยได้เที่ยว

    5. ต่อให้ไปงานสังคมที่ไหน ไปกี่งาน คนกี่ร้อยกี่พันคน แม้งานลอยกระทง ก็บังเอิญโชคดี ไม่แพร่เชื้อให้ใครได้เลย

    6. สุดยอดโชคดี เคสทุกเคส กินนอนกับครอบครัวทั้งเดือน ไม่แพร่เชื้อให้ใครในครอบครัวได้เลย ทั้งที่อยู่บ้าน อยู่คอนโดคงไม่มีใครใส่มาส์กในบ้าน ใส่มาส์กนอน หรือกินข้าว

    7. ไปนวดก็บังเอิญไม่แพร่เชื้อให้คนนวดได้

    8. นั่งรถคันไหน รถติดแอร์ นั่งใกล้กัน นั่งระยะเวลาสั้นหรือนั่งยาว ก็ไม่แพร่เชื้อ แถมทุกเคสไม่เคยนั่งรถไฟฟ้าเลย เคสคนขับรถเมล์ก็ไม่แพร่เชื้อให้ใครสักคนเลยทั้งผู้โดยสาร เพื่อนร่วมงาน

    9. ไปกินข้าวกับเพื่อนร่วมงานกัน กินกับครอบครัว ก็ไม่แพร่เชื้อ

    10. ไปผับ ไปบาร์ ไปร้านกาแฟติดแอร์ อากาศปิด ไม่ใส่มาส์ก ก็ไม่แพร่เชื้อ

    11. อยู่ในที่กักตัว Hotel Quarantine ที่ใช้สถานที่ สิ่งของส่วนกลางร่วมกันอุตลุต เดินไปมา พูดคุยกันได้ ก็ไม่แพร่เชื้อให้กัน

    12. เป็นนักกีฬาทีมเดียวกัน ซ้อมกันมาทั้งสัปดาห์ นั่งกินข้าว ขึ้นรถ นอนแชร์ห้องกัน ก็ไม่แพร่ให้กันได้อีก .... ต้องไปรับเชื้อจากต่างประเทศมาเท่านั้น พอนักข่าวถาม กลับบอกว่า ความจำดี แต่ไม่สานงานสืบต่อด้วยการตรวจ Antibody หรือตรวจว่า Genome เดียวกันหรือไม่

    13. ไปพักโรงแรม รีสอร์ทไหน ก็ไม่แพร่เชื้อ

    14. ไปเที่ยวห้างไหน ไปกี่ห้าง มีคนเดินกี่พันคน ก็ไม่แพร่เชื้อ

    15. ไปโรงพยาบาล ไปสถานที่ราชการทุกแห่ง ก็ไม่แพร่เชื้อได้อีก

    ..........

    สรุปว่า

    กฎของ Covid19 ในไทยทุกสายพันธุ์

    1. ต้องติดเชื้อจากต่างประเทศทุกเคส 100 % ต่อให้เข้าไทยมา 10 เดือน 10 ปี ก็ต้องห้ามติดจากในไทยโดยเด็ดขาด ต้องค้นให้เจอเหตุการณ์ประหลาดที่โยนว่าติดเชื้อจากต่างประเทศ เชื้อหลบ PCR มาได้ตลอดทางหลายรอบ ก็บอกฟักตัวช้า

    2. ห้ามเจอผู้แพร่เชื้อมาให้เลย 100% เพราะถ้าเจอ แสดงว่าติดจากในไทย

    3. ต้องห้ามเจอผู้รับเชื้อต่อเป็นอันขาด ตรวจอีกกี่แสนครั้ง กี่แสนคน ก็ไม่มีใครรับเชื้อได้เลย 100 % กฎข้อนี้ คือ คนไทยนับตั้งแต่ 0 ต่อเนื่องวันแรก ทุกคนจะไม่สามารถรับเชื้อ ติดเชื้อ Covid19 ได้ทั้ง 100 % (เคสดีเจ เขาบอกว่าห้ามนำมาอ้าง เพราะเป็นไม้ตาย) จนเหมือนคนไทยมีภูมิคุ้มกันได้ 100% (แต่ไข้หวัดใหญ่นี่ ขนาดฉีดวัคซีนกันทุกปีมากมาย ยังป้องกันไม่ได้เลย)

    4. ไม่แพร่เชื้อให้คนในครอบครัว แม้นอนในห้องปิดติดแอร์ร่วมกันนานแค่ไหน ก็ไม่แพร่เชื้อ 100 %

    5. ผู้ติดเชื้อจะไม่สามารถแพร่เชื้อให้คนไทยเลย 100 % ทั้งๆ ที่หลายคนไม่ใส่มาส์ก อยู่ใกล้กันแค่ไหน ก็ไม่แพร่เชื้อ สงสัยลงสนามบิน คงมีป้าย "ไม่อนุญาตให้เชื้อ Covid19 แพร่ในไทยในช่วง 0 ต่อเนื่องโดยเด็ดขาด"

    6. บินออกจากไทยไปต่างประเทศ ไปประเทศไหน ทุกประเทศที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อจากไทย ก็ต้องกลายเป็นว่า เทสต์ไม่มีมาตรฐาน False Positive 100 %

    7. คนพม่า มาเลเซียนั่งรถกลับบ้าน ต้องเป็นซากเชื้อ 100 % ทุกคน และคนกลุ่มนี้แม้ทำงานในโรงงาน พักอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีผู้รับเชื้อ 100 %

    8. แถมคนพม่าจะติดเชื้อจากไทยไม่ได้ คนพม่าต้องติดจากมาเลเชียเท่านั้น 100 % เดี๋ยวต้องมีประวัติมาจากมาเลเชียข้ามไทยไปพม่า

    9. ทุกคนที่ตรวจเจอเชื้อ ก็ต้องเชื้อน้อย 100 % ไม่มีเชื้อกลาง เชื้อมาก และแม้มีอาการ ก็ต้องเชื้อน้อยเท่านั้น

    10. ถ้าเชื้อน้อย = ไม่แพร่เชื้อ 100 %

    11. เชื้อสายพันธุ์ไหน จะเก่า จะใหม่ ก็ไม่แพร่เชื้อเลย 100 %

    12. คนไทยไม่ใส่มาส์กแค่ไหน ก็ไม่รับเชื้อ Covid19 ทั้ว 100% (แล้วจะใส่กันเพื่ออะไร ?)

    13 จะเที่ยว กินเหล้ากัน ปาร์ตี้กัน กินข้าว กินกาแฟ กินในโรงอาหาร เรียนในห้องเรียนติดแอร์ ก็ต้องไม่รับเชื้อแพร่เชื้อ Covid19 กันทั้ง 100 %

    14. จะมีคนต่างชาติลักลอบกันเข้ามาแค่ไหน กี่คนกี่กลุ่ม พอจับไม่ได้ ทุกกลุ่มต้องไม่มีคนติดเชื้อ ถึงมีติดเชื้อก็โชคดีไม่แพร่เชื้อ 100 %

    15. กลุ่ม VIP ที่หลุด State Quarantine หลุดไปทำอะไร กี่วัน ที่ไหน อย่างไร ก็ไม่แพร่เชื้อ 100 %

    16. มีคนขับรถส่งของเข้าออกด่านพม่ามาเลเซียมานานตลอดหลายเดือน แปลกที่ช่วงก่อนหน้านี้ ไม่ได้กักตัว ตรวจเชื้อ แต่ก็ไม่แพร่เชื้อ 100 % ทั้งที่มาเลเซียติดเชื้อตลอดเวลา ไม่เคยว่างเว้น

    17. ตรวจ Antibody ผู้ติดเชื้อ ไม่เคยมีใครมี IgM ทั้ง 100 %

    18. ประวัติผู้ติดเชื้อเกือบทุกคน เอื้อกับการไม่แพร่เชื้อเกือบ 100 % อะไรประวัติจะโชคดีขนาดนั้น

    19. การตามผู้สัมผัสใกล้ชิดมาตรวจ จะไม่ลงรายละเอียดปลีกย่อยทุกคน 100 % ว่าเคยไปร้านค้าย่อย ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ร้านขายของ เหมือนผู้ติดเชื้อทั้งเดือนไปมาแค่ 3-4 ที่แค่นั้น

    ร้านค้าย่อยในไทยนั้น เขามีกฎห้ามแพร่เชื้อ รับเชื้อกันด้วยหรือเปล่า ?!!

    20. ทั่วโลกจะติดเชื้อง่ายแค่ไหน กี่แสนกี่ล้านคน ของไทยต้อง 0 ต่อเนื่อง 100 %

    ถ้า 0 ต่อเนื่องจริง ๆ ก็ไม่เห็นต้องใส่มาส์กเลย กระทรวงควรยกเลิกการใส่มาส์กแบบ อดีต ปธน สหรัฐที่บอกว่า ไม่จำเป็นต้องใส่มาส์กอยู่พักนึง

    ..........

    นี่คือ 20 ข้อจุดเด่นของอภิมหาความโชคดีของไทยที่นักท่องเที่ยวต่างชาติควรรู้ว่า ทำไมไทยถึงสามารถกำหราบ Covid19 ได้อย่างง่ายได้

    เพราะเรามีกฏเหล็กของความโชคดี + บังเอิญขนาดนี้ ได้จริงหรือไม่ แค่ไหน อย่างไร ?!?

    หลังๆ ไม่ค่อยได้อ่านข่าวคนติดเชื้อในไทย เพราะอ่านแล้ว ต้องมาเขียนเหมือนเดิมๆ

    รอบนี้เลยขอสรุปเป็น 20 ข้อเลย

    อธิบายเผื่ออนาคตไปด้วยเลย จนกว่าจะระบาดจริงจัง จนจะทีมงาน 0 ต่อเนื่องจะหาข้ออ้างเรื่องบังเอิญมาบอกคนไทยไม่ได้

    อีก 20 ปี ลูกหลานไทยมาอ่านคงจะงงกันแน่ ว่าเรามี Moment โชคดีพร้อมกันทุกคนในไทย ที่ไม่มีใครรับเขื้อแพร่เชื้อ Covid19 กันได้พร้อมๆ กัน พอหยุดแพร่เชื้อ ก็หยุดหมด เหมือนปิดสวิทช์กันยาวๆ

    ต่างชาติจะเอาสายพันธุ์ไหนเข้ามา ก็จะหยุดแพร่เชื้อในไทยแทบทันที

    มันเริ่มนับจาก Day 1 ของ 0 ต่อเนื่องนั่นแหล่ะครับ

    ............

    ปล.

    - คนไทยหาย Panic กันจนกลายเป็นประมาทมานานมากแล้ว หลายพื้นที่ที่ไม่ใช่กลางเมืองในห้างการ์ดตกกันอุตลุต

    - ถ้าหวัดต่างๆ ทุกชนิดระบาดในไทยได้ ระบาดในห้องเรียน ในโรงเรียน ติดกันในครอบครัวได้มาตลอดตั้งแต่ 0 ต่อเนื่องจนวันนี้ ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่มีภูมิกันมากมาย ทำไม Covid19 ที่มีคนมีภูมิคุ้มกันแค่ 3000 คนจาก 60 กว่าล้านคน ถึงรอดจากการติดเชื้อแพร่เชื้อกันได้ ทั้งเชื้อสายพันธุ์จากพม่า มาเลเซีย หรือสายพันธุ์เก่า ก็แปลกดี ?!?

    - ตราบใดที่ ไม่มีตัวเลชการตรวจ PCR ย้อนหลังมาให้ดูกันจริงๆ ตั้งแต่วันที่ 0 ต่อเนื่องจนวันนี้ คนไทย และทั้งโลกก็ยังต้องสงสัยกันต่อไปว่า "เราตรวจ PCR ใน รพ. ในอัตราที่น้อยมากจนไม่เจอเคสได้หรือไม่ ?

    - คำตอบสุดท้าย มี 2 กรณี

    1. รอระบาดหนัก เพราะการ์ดตก + มัวแต่ปกป้อง 0 ต่อเนื่องจนสับสนกันไปหมด

    2. สุ่มตรวจ Antibody เพื่อหาอัตราการติดเชื้อจริงในพื้นที่นั้นๆ หรือกลุ่มเสี่ยงนั้นๆ

    ข้อ 2 คงอาจจะยากที่จะทำ เพราะเดี๋ยวความลับระเบิดชุดใหญ่ !!

    .

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรมว.กระทรวงต่างประเทศของจีน พบปะคณะทูต 10 ประเทศอาเซียน
    .
    1/ อาทิตย์ที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีน พบปะกับคณะทูตของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ณ กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน
    .
    2/ หวัง อี้ กล่าวระหว่างการพบปะ มีใจความสำคัญว่า จีนและอาเซียนจะร่วมกันเดินหน้าเสริมสร้างความเชื่อมั่นและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อเพิ่มพูนพลังบวก สร้างเสถียรภาพและความมั่งคั่งในภูมิภาค
    .
    3/ ทั้งนี้ เสถียรภาพและความมั่งคั่งจะเกิดขึ้นได้ จีนและอาเซียนต้องยึดความร่วมมือแบบพหุภาคีและการค้าเสรีไว้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะการเดินหน้าความร่วมมือข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ให้ได้ตามกำหนด
    .
    4/ และในภาวะที่ยังคงมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จีนยินดีจะทำงานอย่างต่อเนื่องร่วมกับทุกประเทศอาเซียน เพื่อต่อต้านและยับยั้งการแพร่ระบาด
    .
    5/ จากนั้น คณะทูตจาก 10 ประเทศอาเซียนร่วมแสดงความคิดเห็นต่อการพัฒนาความสัมพันธ์อาเซียน-จีนในด้านต่างๆ ซึ่งทุกประเทศต้องการร่วมมือกับจีนให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมในทุกๆด้าน โดยเฉพาะเรื่องแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ เพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค
    .
    ที่มา: Chinese FM meets ASEAN diplomatic envoys | www.xinhuanet.com/english/2020-11/09/c_139501290.htm
    .
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    China Report ASEAN - Thailand

    VniDMwQbrRfm2couYNDrFJ6DccWLeqw79w6G4H-m_HBf&_nc_ohc=4DLZ2xQfRG0AX9xUm4A&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    ·

    ศาสตร์การรักษา นำมาจาก ‘มณฑลกานซู่’ แหล่งต้นกำเนิดแพทย์แผนจีน ที่เก่าแก่ที่สุด ยาวนานที่สุด กว่า 2,000 ปี
    .
    1/ จันทร์ที่ 9 พ.ย. มณฑลกานซู่ของจีน เซ็น MOU กับกระทรวงสาธารณสุขของไทย ในการศึกษาแลกเปลี่ยนวิชาแพทย์แผนไทย-จีน เชื่อมสัมพันธ์สองประเทศ
    .
    2/ พิธีเซ็น MOU เกิดขึ้นพร้อมกันกับ การเปิดศูนย์การแพทย์แผนจีน ที่ให้บริการครบวงจรและทันสมัยที่สุดในไทย ตั้งอยู่ที่ชั้น 5 โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น กรุงเทพฯ ในชื่อ ‘ศูนย์การแพทย์แผนจีน พุทธเมตตาถังหมิง’
    .
    3/ เรียกได้ว่า เป็นศูนย์แพทย์ทางเลือกจากจีน แห่งแรกแห่งเดียวของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นโดยบริษัท ถังหมิงกรีนเฮลท์ และบริษัท หลานโจว ฟ๋อสือ เภสัชกรรมจำกัด ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากรัฐบาลจีน
    .
    4/ ศูนย์การแพทย์แผนจีน พุทธเมตตาถังหมิง เป็นศูนย์การรักษาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีนแบบครบวงจร ด้วยทีมงานแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีแผนกผู้ป่วยนอก( OPD) และผู้ป่วยใน (IPD)
    .
    5/ แพทย์ที่อยู่ประจำศูนย์ เดินทางมาจากมณฑลกานซู่ แหล่งต้นกำเนิดแพทย์แผนจีนที่เก่าแก่ที่สุด และยังเป็นแหล่งปลูกพืชสมุนไพรจีนเพื่อใช้ในการรักษาทางการแพทย์ มายาวนานกว่า 2,000 ปีอีกด้วย
    .
    6/ ศาสตร์การรักษาจากมณฑลกานซู่จะถูกนำมาใช้ ซึ่งเชื่อถือได้ มีความเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็น การฝังเข็ม ครอบแก้ว นวดทุยหนา กวาซา และการรักษาด้วยสมุนไพรจีน
    .
    7/ หมอจีนทุกท่านมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการรักษากับเคสจริง และประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งในจีนและในต่างประเทศ เพราะหมอจีนเลือกใช้วิธีรักษาเน้นให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของผลการรักษาให้ดียิ่งขึ้น
    .
    8/ ศูนย์การแพทย์แผนจีน พุทธเมตตาถังหมิง อยู่ที่ชั้น 5 โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น นะครับ
    .
    c_oc=AQmzjL5RAHBBbO_Tj81l0y2VF6XhtD0vW1nBJE3v3MvRRJgJZkgDbw7H00oSFUNUr7g&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    qKqgK4JU4Ics3uKuxN9FTVEAkDrmRdW02lWc-eseaHGz&_nc_ohc=Iv3B5-E29XgAX9Wuclm&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    arm-saBZF8hGyEK6ePeXX2Jb6e6lPGqAwdO5c3JCuQxU&_nc_ohc=WIXazdFDPFMAX93U1g7&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    NKIU2wv0ei3UqQwv7em6opt8Enzsv8ABYNrXVbXsCdlv&_nc_ohc=FxjhxvOeFh4AX_Q1FBH&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    LOlOLLU_cZxKzuCx-1p8Mpz6AyrSUvwecr8EGdEk5aVv&_nc_ohc=SvcQmeDSgpgAX9LjXmP&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,327
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัฐบาลฮ่องกงประกาศเปิดรับลูกจ้างชั่วคราวเพิ่มอีก ภายในปีนี้

    โครงการสร้างงานนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากกองทุนช่วยเหลือจากผลกระทบการระบาดของโควิด ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อว่าจ้างงานตำแหน่งชั่วคราวราว 30,000 ตำแหน่งในภาคส่วนต่างๆ ภายในช่วงเวลาสองปีนี้

    จนถึงเดือนตุลาคม The Civil Service Bureau ได้ประกาศจ้างงาน 29,000 ตำแหน่งไปแล้ว โดยครึ่งหนึ่งทำภายใต้รัฐบาล ส่วนที่เหลือเป็นฝ่ายอื่นที่นอกเหนือจากงานรัฐบาล

    ในโพสจาก Facebook คัวแทนของรัฐบาลเผยว่าจนถึงช่วงปลายเดือนตุลาคม มีประชาชนราว 10,000 คนที่ได้รับการว่างจ้างแล้ว และขณะนี้ก็กำลังหาลูกจ้างเพื่อมารับตำแหน่งที่ว่างอยู่

    โดยตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร รวมถึงนักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบ, ผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพ, ผู้มีทักษะหรือไม่มีทักษะการทำงาน ตั้งแต่งานเอกสาร เสมียน ไปจนถึงงานที่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญ เกี่ยวกับกฏหมายและข้อมูลเทคโนโลยี

    ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.csb.gov.hk/english/recruit/7.html#

    ***ติดตามอัพเดทสรุปประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าในฮ่องกงได้ที่กระทู้ปักหมุด***
    https://www.facebook.com/119537452088669/posts/494989721210105/?d=n

    Source :https://www.thestandard.com.hk/.../Govt-opens-29,000...?

    #ข่าวฮ่องกง #khaohongkong
     

แชร์หน้านี้

Loading...