ติดตามสถานะการณ์

สุดสลด"ช้างป่างาสั้น" ระยอง บาดเจ็บหนักตาย ผ่าชันสูตรพบกระสุนทั่วร่างกาย 15 นัด เจ้าหน้าที่ช่วยเต็มที่ แช่น้ำไม่ยอมขึ้นนาน 2 วัน ติดเชื้อในกระแสเลือดทนพิษบาดแผลไม่ไหว | เป็นช้างดุร้าย ทำร้ายคนเสียชีวิต 2 ศพ สะท้อนปัญหาคนกับช้าง

ช้างชื่องาสั้น ถูกพบบาดเจ็บเมื่อต้นเดือนตุลาคม ได้รับบาดเจ็บขาขวาบวม และสัตวแพทย์ กรมอุทยานฯได้เข้าไปรักษาที่ เขาสิงโต ม.3 ต.ป่ายุบใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง โดยนำเอาหนอง และรักษาแผลที่ขาบวมได้สำเร็จ แต่ปรากฏว่าช้างงาสั้น ไปลงในน้ำใกล้พื้นที่ และไม่ยอมขึ้นจากน้ำและแช่อยู่นาน 48 ชั่วโมงจนอาการเริ่มทรุดเมื่อวันที่ 5 พ.ย. หลังจากมีการสูบน้ำจากบ่อจนแห้ง แต่ช้างงาสั้นเริ่มอาการแย่ลง นอนตะแคงข้าง ไม่มีแรง ไม่สามารถลุกเดินได้

สำหรับฉายา "ไอ้งาต่าง" หรือ ไอ้งาสั้น ที่ชาวบ้านตั้งให้นั้นเนื่องจากมีงาทั้งสองข้างสั้นและขนาดแตกต่างกัน ได้บุกทำร้ายชาวบ้านที่กำลังกรีดยางเสียชีวิตรวม 2 ราย ภายใน 3 วัน โดยรายแรกเกิดเหตุในพื้นที่ ต.ป่ายุบใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ส่วนรายที่ 2 เกิดเหตุในพื้นที่ ต.เขาน้อย อ.เขาชะเมา จ.ระยอง จนล่าสุดทั้งสองอำเภอประกาศเป็นพื้นที่ประสบภับพิบัติจากช้างป่า.

ทีมสัตวแพทย์ สัตวบาลฯ ทำการให้สารน้ำเข้าหลอดเลือดดำ และใต้ผิวหนัง ทำการเจาะเก็บเลือด ให้ยาฆ่าเชื้อ ยาลดปวดลดอักเสบ วิตามินบำรุง และกลูโคส จากการประเมินอาการพบว่ามีอาการอ่อนเพลียมาก โดยรวมมีอาการหนักมาก เนื่องจากแช่น้ำมาเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้แผลบริเวณขาหน้าข้างขวาเน่าและติดเชื้อ ทั้งนี้ผลการตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติเบื้องต้น พบว่า ติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งต้องรอผลการตรวจเลือดจากทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมในวันนี้

กระทั่งเมื่อเวลา 13.00 น.ช้างงาสั้น ตายลงท่ามกลางความเสียใจของสัตวแพทย์ และทีมเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดหลายสัปดาห์

วันนี้ 8 พฤศจิกายน สัตวแพทย์เผยผลผ่าชันสูตร "เจ้างาสั้น" พบกระสุน 15 นัด ทั่วร่างกาย รอผลตรวจอวัยวะภายในอีกครั้ง เบื้องต้นสาเหตุการตายมาจากติดเชื้อในกระแสเลือด

สัตวแพทย์ สัตวบาล สสป.สบอ.2 (ศรีราชา) ร่วมกับสัตวแพทย์ สัตวบาล กลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า และเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน รายงานผลการผ่าชันสูตร ซากช้างป่า เพศผู้ ชื่อ
งาสั้นเข้ามาว่า ผลการผ่าชันสูตร พบกระสุนปืน จำนวน 15 นัด บริเวณก้น หาง และ ขาหน้า และพบความผิดปกติของอวัยวะภายในร่างกาย ได้แก่ ปอด หัวใจ ม้าม ลำไส้ ซึ่งจะต้องรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม

นอกจากนี้ยังพบหนองในกล้ามเนื้อบริเวณขาหน้าข้างขวาเป็นจำนวนมาก และพบหนองในกล้ามเนื้อทุกจุดที่พบกระสุนปืน สภาพแผลบริเวณขาหน้าข้างขวาเน่า เปื่อยยุ่ย มีกลิ่นเหม็น

ทีมสัตวแพทย์ ฯ สรุปสาเหตุการตายเกิดจากสภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ทั้งนี้ต้องรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม หลังผ่าชันสูตรเจ้าหน้าที่ได้ทำพิธีกรรมทางศาสนา และทำการฝังกลบตามหลักวิชาการ ณ หน่วยพิทักษ์ป่าสีระมัน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน และได้ทำการถอดเก็บงาจำนวน 2 กิ่ง เก็บรักษาไว้ ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน

รายงาน : สพ.ญ.กิตติยาภรณ์ เอี่ยมสะอาด
นายสัตวแพทย์ชำนาญการ กลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า
สพ.ญ. ณฐนน ปานเพ็ชร นายสัตวแพทย์ปฏิบัติการ สสป.สบอ.2 (ศรีราชา)

#อ่านข่าว สุดยื้อ เจ้างาสั้นล้มแล้ว...









https://www.facebook.com/177283235750504/posts/2374598556018950/?d=n

https://www.facebook.com/177283235750504/posts/2371042729707866/?vh=e&d=n

https://www.facebook.com/177283235750504/posts/2360293277449478/?vh=e&d=n

https://www.facebook.com/177283235750504/posts/2355820401230099/?vh=e&d=n

https://twitter.com/dnpreport/status/1324303604824461315?s=21

https://www.thairath.co.th/news/local/east/1971071

https://news.thaipbs.or.th/content/298119

https://ch3thailandnews.bectero.com/news/216944

ร่มธรรม ขำนุรักษ์

https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3190124984449260/

 

ทีมสัตวแพทย์ สรุปสาเหตุการตายช้างป่า หรือพี่อ้วนงาสั้น เกิดจากสภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ผลการผ่าชันสูตร พบกระสุนปืน จำนวน 15 นัด บริเวณก้น และหาง
.
บริเวณขาหน้ามีหนองในกล้ามเนื้อ บริเวณขาหน้าข้างขวาและในกล้ามเนื้อทุกบริเวณที่พบกระสุนปืน สำหรับซากเจ้าหน้าที่ได้ฝังกลบตามหลักวิชาการแล้ว

 

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งตรงกับเวลาช่วงเช้าวันที่ 7 พฤศจิกายนในสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ได้ออกแถลงการณ์ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ที่นายโจ ไบเดน (Joe Biden) ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายชนะ โดยนายทรัมป์ระบุในแถลงการณ์ว่า มีการทุจริตการเลือกตั้ง ทั้งการนับบัตรลงคะแนนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และการปรากฎชื่อของผู้ที่เสียชีวิตมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แถมผู้สังเกตการณ์ของนายทรัมป์ ก็ถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าไปดูการนับคะแนน ซึ่งแถลงการณ์ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีเนื้อหาดังนี้
.
“เราทุกคนรู้ว่าทำไมโจ ไบเดน ถึงได้รีบประกาศตัวเป็นผู้ชนะเลือกตั้ง ซึ่งไม่เป็นความจริง และเรารู้ว่าทำไมสื่อที่เป็นพันธมิตรของเขา ถึงพยายามช่วยเขาอย่างมาก พวกเขาไม่ต้องการให้ความจริงถูกเปิดเผย ในความเป็นจริงนั้น การเลือกตั้งยังไม่จบลง แล้วโจ ไบเดน ยังไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นผู้ชนะในรัฐใดเลย นี่ยังไม่รวมบางรัฐที่มีการคัดค้านผลการนับคะแนนที่จะต้องมีการนับใหม่อีกครั้ง หรือแม้แต่บางรัฐที่ทีมงานหาเสียงของเราได้ยื่นเรื่องตามขั้นตอนกฎหมาย เพื่อตรวจสอบว่าฝ่ายใดเป็นผู้ชนะที่แท้จริง ตัวอย่างเช่นรัฐเพนซิลเวเนีย ทีมนักกฎหมายฝ่ายสังเกตการณ์ของเราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูขั้นตอนการนับคะแนน ซึ่งคนที่ตัดสินใจว่าใครเป็นประธานาธิบดี ก็คือคนที่มีสิทธิ์โหวตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่สื่อ”
.
“ตั้งแต่วันเสาร์นี้เป็นต้นไป ทีมหาเสียงของเราจะเริ่มกระบวนการฟ้องร้องในชั้นศาล เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า กฎหมายการเลือกตั้งจะได้รับการค้ำจุน และผู้ชนะที่แท้จริงจะได้ครองเก้าอี้ ประชาชนชาวอเมริกันคู่ควรกับสิทธิในการเลือกตั้งที่ตรงไปตรงมา นั่นหมายถึงการนับบัตรลงคะแนนที่ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่นับบัตรลงคะแนนที่ผิดกฎหมาย นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สาธารณชนมีความเชื่อมั่นในระบบการเลือกตั้ง แต่มันก็เป็นเรื่องน่าตกใจ ที่ทีมหาเสียงของโจ ไบเดน ไม่เห็นพ้องกับกฎระเบียบขั้นพื้นฐาน และทีมหาเสียงโจ ไบเดน ก็ต้องการให้มีการนับบัตรลงคะแนนทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่บัตรลงคะแนนเหล่านั้น มีการโกง มีการปลอมแปลง หรือมีการลงคะแนนโดยผู้ที่ขาดคุณสมบัติ หรือผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว มีเพียงพรรคการเมืองพรรคเดียวที่ทำเรื่องผิด ๆ ด้วยการปิดกั้นไม่ให้ผู้สังเกตการณ์เข้าไปในห้องนับคะแนน แล้วยังไปฟ้องร้องในชั้นศาล เพื่อปิดกั้นไม่ให้กลุ่มผู้สังเกตการณ์เข้าไปในห้องนับคะแนน”
.
“แล้วไบเดนพยายามซุกซ่อนอะไรอยู่? ผมจะไม่หยุดพัก จนกว่าจะมีการนับคะแนนที่ตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนชาวอเมริกันคู่ควรจะได้รับ และเป็นสิ่งที่ระบอบประชาธิปไตยต้องการ”
.
- ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

-------------------------------
แหล่งข่าว

-------------------------------
ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
Website : http://www.thailandvision.co
Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision

 

"Tesla" พร้อมแล้ว
เล็งตั้งฐานการผลิตในไทย
เตรียมหารือ "รัฐบาล" เรื่องการลงทุน
......

สำนักข่าวต่างประเทศ ได้รายงานข่าวที่เชื่อมโยงระหว่างยักษ์ใหญ่ ด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของโลก Tesla และประเทศไทย โดยระบุว่า Tesla มีความมุ่งมั่นที่จะขยายฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้นในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดี และเอื้อประโยชน์ต่อการเข้าไปลงทุน
.
พร้อมระบุว่า “ประเทศไทย” จัดอยู่ในกลุ่มที่ Tesla ต้องการเข้ามาลงทุนในด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และยังมีการขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการลงทุน และการส่งเสริมการลงทุนมายังรัฐบาลไทยด้วย
.
โดยรายงานข่าวชิ้นนี้ ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 3 พ.ย.63 โดยนโยบายที่ Tesla สนใจคือการคาดหมายว่าจะมีแพ็กเกจลดหย่อนภาษี 8 ปี สำหรับการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
.
ขณะที่ประชาชาติธุรกิจ รายงานบทสัมภาษณ์นายทองชัย ชวลิตพิเชษฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ระบุว่า รัฐบาลไทยกำลังเตรียมการประชุมคอนเฟอเรนซ์ผ่านกับตัวแทนจาก Tesla ที่ฐานใหญ่ของพวกเขาในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ หลังจากที่ Tesla เดินหน้าขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงภาพรวมการส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรม
.
โดยนายทองชัย ระบุด้วยว่า รถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla เป็นที่นิยมอย่างสูงในประเทศภูมิภาคอาเซียน และหาก Tesla ลงทุนตั้งฐานการผลิตที่ประเทศไทยก็น่าจะเป็นผลดี และได้ประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย
.
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้พุ่งเป้าส่งเสริมไปยังอุตสาหกรรมสีเขียว และรถยนต์ไฟฟ้าก็ถูกจัดอยู่ในประเภทนี้เช่นกัน เนื่องจากจะช่วยลดมลพิษ และรักษาสิ่งแวดล้อมจากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเครื่องยนต์แบบสันดาป อีกทั้งยังได้อนุมัติโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้ผลิตรถยนต์ 24 รายเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
.
-------------------------------
แหล่งข่าว
https://www.smartsme.co.th/content/...cuJ3oeC8owgaaNtN9jt-QitCQ24qees3TCXSSA6O0mi_o
-------------------------------
ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
Website : http://www.thailandvision.co
Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision

 

ในขณะที่ท้องถนนของหลายเมืองทั่วสหรัฐฯ ดังกึกก้องไปด้วยเสียงเชียร์ในวันเสาร์ (7 พ.ย.) ท่ามกลางข่าวคราวชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานธิบดี แต่อีกฟากฝั่งหนึ่งบรรดาผู้สนับสนุนของโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ออกมารวมตัวเช่นกัน โดยบางส่วนที่เป็นสายฮาร์ดคอร์พกอาวุธปืนมาด้วย ประกาศไม่ยอมรับผลเลือกตั้ง โดยกล่าวอ้างว่ามีการโกงและสมคบคิด
.
ตามเมืองต่างๆ ในนั้นรวมถึงฟินิกซ์, ฟิลาเดลเฟีย และแอตแลนตา บรรดาผู้ภักดีต่อประธานาธิบดีที่กำลังพ้นเก้าอี้ ออกมารวมตัวกันภายใต้สโลแกน “#StopTheSteal(หยุดขโมยผลเลือกตั้ง)” ตอกย้ำความกล่าวอ้างของทรัมป์ ที่บอกว่าชัยชนะของไบเดนอยู่บนพื้นฐานของการโกง
.
พวกเขาสวมหมวกทรัมป์สีแดง ชูป้ายข้อความ Stop The Steal และโบกธงชาติสหรัฐฯ หรือไม่ก็ป้ายภาพทรัมป์ พร้อมกับสโลแกน “คงความยิ่งใหญ่ให้อเมริกา (Keep America Great)”
.
พบเห็นบรรดาผู้สนับสนุนของทรัมป์หลายร้อยคน รวมตัวกันที่บริเวณอาคารรัฐสภาแห่งรัฐแอริโซนา ในเมืองฟินิกซ์ บางคนมาพร้อมกับสุนัขสวมเสื้อยืดทรัมป์ “ฉันคิดว่ามันยังเร็วเกินไป” ดอนนา แม็คคอลลีม สตรีวัยเกษียณอายุ 77 ปีกล่าว “คณะผู้เลือกตั้งจะเป็นคนตัดสิน และยังไม่มีการตัดสินใดๆ ที่นี่มีการโกงมากมาย มันจำเป็นต้องลงคะแนนใหม่หมดหรือนับคะแนนใหม่”
.
เธอบอกต่อว่า “ดูคนเหล่านี้ที่ออกมารวมตัวกันสิ ไม่มีทางเลยที่ ไบเดน จะชนะในแอริโซนา”
.
สำนักข่าว 2 แห่ง ฟันธงว่า ทรัมป์ เป็นผู้ชนะในแอริโซนา แต่สื่อมวลชนอื่นๆ ใช้สุ้มเสียงที่มีความระมัดระวังมากกว่า ด้วยคะแนนของทั้งคู่สูสีกันมากและยังคงอยู่ระหว่างการนับคะแนน
.
เพนซิลเวเนีย ซึ่งมีคณะผู้เลือกตั้ง 20 คน เป็นรัฐที่ทำให้ ไบเดน รวบรวมคะแนนคณะผู้เลือกตั้งได้เกินกว่า 270 คนที่จำเป็นสำหรับการคว้าชัย อย่างไรก็ตาม ที่รัฐแห่งนี้พวกผู้สนับสนุนของทรัมป์ก็กล่าวอ้างว่ามีการโกงเช่นกัน
.
ในฟิลาเดลเฟีย เมืองใหญ่ที่สุดของเพนซิลเวเนีย พวกผู้สนับสนุนของทรัมป์ราว 40 คนรวมตัวอยู่บริเวณด้านนอกของศูนย์ประชุมแห่งหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นสถานที่การนับคะแนนและเจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างการนับคะแนน ตะโกนโวยวายด้วยอารมณ์ดุเดือด เปิดเพลงที่ทรัมป์ใช้หาเสียง เช่น YMCA และ God Bless the USA ผิดกับบรรดาผู้สนับสนุนของไบเดน ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ซึ่งเต้นรำอย่างสนุกสนานประกอบเพลงเดียวกัน
.
“ที่นี่คือกราวด์ซีโร่แห่งการโกงเลือกตั้ง ผมคิดว่ามันสำคัญที่ผมต้องออกมาที่นี่” สตีฟ แแพดเกจจ์ วัย 57 ปีกล่าว ส่วน โวเปีย โรตุนโน พนักงานราชการวัย 52 ปี เสริมว่า “ฉันเชื่อว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะชนะหากเป็นการเลือกตั้งที่ยุติธรรม แต่พวกเดโมแครตไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งที่ยุติธรรม ดังนั้นฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องไปจบที่ศาล”
.
ด้วยศึกเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พบเห็นระลอกคลื่นการประท้วงต่อต้านพฤติกรรมโหดเหี้ยมของตำรวจต่อคนผิวสี และบ่อยครั้งที่ทรัมป์เป็นฝ่ายโหมกระพือสถานการณ์ให้ตึงเครียดมากไปอีก จึงมีความกังวลว่าอาจเกิดความรุนแรงเกี่ยบกับผลเลือกตั้งในบางเมืองของสหรัฐฯ
.
อย่างไรก็ตาม ความกังวลเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้นจริง และพวกผู้สนับสนุนจากทั้งสองฝ่ายในวันเสาร์ (7 พ.ย.) ดูเหมือนมีความตั้งใจใช้แนวทางสันติต่อไป
.
ในช่วงบ่ายวันเสาร์ (7 พ.ย.) กลุ่มผู้สนับสนุนของไบเดนในแอตแลนตา พกพาอาวุธ ซึ่งเป็นเรื่องถูกกฎหมายในรัฐจอร์เจีย ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกผู้ประท้วงสนับสนุนทรัมป์ อย่างไรก็ตามไม่เกิดเหตุความรุนแรงใดๆ
.
ปกติแล้วพวกผู้สนับสนุนของทรัมป์มักพกพาวุธไปร่วมเวทีหาเสียงต่างๆ และคราวนี้ก็พบเห็นอาวุธปืนในฝูงชนผู้สนับสนุนทรัมป์ ระหว่างการชุมนุมอีกจุดเมื่อวันเสาร์ (7 พ.ย.) ในแอตแลนตา บริเวณสนามกีฬาในร่มอเนกประสงค์ State Farm Arena หลังสื่อมวลชนแถลงว่า ไบเดน เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานเหตุความรุนแรงใดๆ เช่นกัน
.
ที่ฟีนิกซ์ แชนนอน มอร์ริส วัย 51 ปี บอกว่าเธอจะสู้เพื่อทรัมป์ แต่ในแนวทางสันติวิธี “ฉันคิดว่าทรัมป์สู้เพื่อประเทศของเรา และฉันจะสู้เพื่อเขา แต่ไม่ใช่ในแนวทางที่ไม่เหมาะสม ในแนวทางที่สันติ ในแนวทางที่ดี ในแนวทางที่จริงใจ ฉันอยากให้พวกเขาได้ยินเสียงของฉัน มันเป็นสิ่งผิดที่ชนะการเลือกตั้งด้วยการโกง”
-------------------------------
แหล่งข่าว
- https://mgronline.com/around/detail/9630000115437
-------------------------------
ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
Website : http://www.thailandvision.co
Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision

 

*** ยุโรปเริ่มระอุหนัก จำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตเริ่มกระโดด ในเบลเยี่ยม รพ. กำลังจะล่ม ... แต่ในไทย บางคน บางทีมในรัฐบาลไทยอาจประมาท มัวแต่ห่วงตัวเลข 0 มากเกินไป

แต่ยังไง ก็ขอให้มีบางคน บางทีมที่กล้าที่จะยืนหยัดเพื่อทำให้คนไทยได้รึไม่การ์ดตกมากกว่านี้

เพราะตัวเลข 0 ลวงๆ เป็น False Sense of Security ตัวจริงเสีียงจริงได้เลย ... จนตอนนี้ เดินซื้อของตามท้องถนน ร้านค้าย่อยๆ ที่ไม่ได้อยู่กลางเมือง ไม่ค่อยใส่มาสฺ์กกันแล้ว

ถ้าไทยระบาดแบบยุโรป สหรัฐ อินเดีย บราซิล หรือพม่า อินโด ฟิลลิปปินส์ จนมีผู้เสียชีวิตมากเกินที่จะควร และต้องปิดเมืองใหญ่อีกรอบ เพราะบางคนคาดการณ์ผิด เชื่อมั่นตนเองมากเกินไป เกรงใจกันไปมา

ถ้าอยู่ดีๆ ไทยมีระบาดในวงกว้าง เพราะบางคนให้ข้อมูลประชนไม่ครบ ใครจะกล้ารับผิดชอบได้

.......

แพทย์ในเบลเยี่ยมในบางเมือง บาง รพ. ติดเชื้อไปแล้ว 10-15 % ไปแล้ว

คนที่ไม่มีอาการ และมีปริมาณไวรัสน้อยจะมีระเบียบใหม่ ให้ไปทำงานต่อใน รพ. แต่ให้ทำเฉพาะในหอผู้ป่วย Covid19

อีกไม่กี่วันข้างหน้า ถ้าสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย รพ. บางแห่งอาจจะเริ่มเตียงล้น และอาจถึงขั้นระบบล่มได้เลย

.........

Belgium's COVID-19 health care collapse: 'It will happen in 10 days'

https://m.dw.com/en/belgiums-covid-19-health-care-collapse-it-will-happen-in-10-days/a-55451750

.

 

#มอร์มูฟเป็นข่าว หวั่นซ้ำรอย!!!! TDRI เตือน-คนจนอาจเพิ่มขึ้น เหตุเศรษฐกิจตกต่ำ-เลิกจ้างงานจากผลกระทบ COVID-19 ด้าน 'สภาพัฒน์' ชี้-ปี 62 คนจนลดลงจาก 6.7 ล้านคน เหลือ 4.3 ล้านคน แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และธนาคารโลก เปิดเผยว่า การปรับตัวลดลงของคนจนในปี 2562 สาเหตุสำคัญเกิดจากการขยายมาตรการความช่วยเหลือของภาครัฐที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยโดยตรง ทั้งนี้ แม้ว่าสัดส่วนคนจนในปี 2562 จะมีแนวโน้มลดลง แต่การรักษาระดับสัดส่วนคนจนให้อยู่ในระดับต่ำยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป เนื่องจากในปี 2563 ประเทศไทยประสบกับภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานเป็นวงกว้าง และยังมีความไม่แน่นอนว่าการแพร่ระบาดจะต่อเนื่องยาวนานแค่ไหน ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์ความยากจนในปี 2563 กลับไปแย่ลงอีกครั้ง.
--------------------------------
อ่านต่อ : https://www.thaiquote.org/content/2...iS_Bgsy24tCqE4UjZTHOPfWSUX7gXO-0YWvVdd1eNU4V8

 

#มอร์มูฟเป็นข่าว ลดแล้วแต่ก็ยังไม่รอด!!!! ล่าสุด Marks & Spencer (M&S) ร้านค้าปลีกชื่อดังจากประเทศอังกฤษ ประกาศว่า นับตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายน บริษัทขาดทุนกว่า 87.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 3.53 พันล้านบาท ทั้งที่ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมีกำไรมากถึง 158.8 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 6.4 พันล้านบาท โดยเป็นการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 94 ปี ของ Marks & Spencer

การขาดทุนนี้เกิดจากยอดขายที่ลดลงราว 15.8% อยู่ที่ 4.09 พันล้านปอนด์ หรือประมาณ 1.64 แสนล้านบาท โดยยอดขายสินค้าประเภทเสื้อผ้าในช่วงเดือน กรกฎาคม-กันยายน โดยเฉพาะร้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กลางเมือง ลดลง 53% เพราะคนต้องการเสื้อผ้าที่ไม่เป็นทางการมากขึ้น อนึ่ง แม้คนจะมีความต้องการเสื้อผ้าที่ไม่เป็นทางการมากขึ้น แต่ Marks & Spencer กลับไม่สามารถปรับตัวรับมือกับความต้องการใหม่ๆ ของคนได้ และแม้ Marks & Spencer จะปรับตัวไปทำการขายผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนยอดขายจากหน้าร้านที่ถูกปิดไปกว่า 600 สาขาได้.
-------------------------------
อ่านต่อ :
- https://brandinside.asia/marks-spen...ESNzI483jLUGJmTEBS4f5ciqzxqgKcpP7XSEvgu1JHLxs
- https://brandinside.asia/marks-spencer-will-cut-7000-jobs-next-3-months/

 

#มอร์มูฟเป็นข่าว คิดเห็นอย่างไร!!!?? หลัง กทม.วางแผนของบฯกลางปี 2564 จัดซื้อถังขยะใหม่ 62,000 ใบ มูลค่า 90.2 ล้านบาท อ้างเหตุ-ถังขยะในพื้นที่เมืองกรุงยังไม่เพียงพอ หลังจัดซื้อรอบล่าสุดไปเมื่อปี 2562

** โดยเรื่องนี้ นายวิรัตน์ มนัสสนิทวงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่สำนักสิ่งแวดล้อมได้รับงบประมาณดำเนินการจัดซื้อถังรองรับมูลฝอยครั้งล่าสุด ในปีงบประมาณ 2562 ตามสัญญาเลขที่ สสล. 110/2562 ลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 เป็นถังพลาสติกขนาดความจุไม่น้อยกว่า 80 ลิตร จำนวน 4,000 ใบ ราคาใบละ 1,178 บาท เป็นเงิน 4,712,000 บาท และถังพลาสติก ขนาดความจุไม่น้อยกว่า 130 ลิตร จำนวน 18,000 ใบ ราคาใบละ 1,398 บาท เป็นเงิน 25,164,000 บาท รวมทั้งสิ้น 22,000 ใบ เป็นเงินรวม 29,876,000 บาท ปัจจุบันได้ตั้งวางถังขยะแยกประเภทอย่างน้อยจุดละ 2 ถัง เป็นถังขยะสีน้ำเงินสำหรับขยะทั่วไป และถังขยะสีเหลืองสำหรับขยะรีไซเคิล โดยพิจารณาตั้งวางในพื้นที่สาธารณะตามความเหมาะสมของพื้นที่ เช่น หน้าตลาด หน้าห้างสรรพสินค้า และป้ายรถโดยสารประจำทาง บางจุดจะใช้ถังห่วงและถุงใสสวมตามมาตรการรักษาความปลอดภัย

เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ สำนักสิ่งแวดล้อมจึงมีแผนจัดซื้อถังรองรับมูลฝอย 3 ขนาด ประกอบด้วย 1) ถังพลาสติกขนาดความจุไม่น้อยกว่า 80 ลิตร จำนวน 18,000 ใบ ราคาใบละ 1,200 บาท เป็นเงิน 21,600,000 บาท 2) ถังพลาสติกขนาดความจุไม่น้อยกว่า 130 ลิตร จำนวน 16,000 ใบ ราคาใบละ 1,400 บาท เป็นเงิน 22,400,000 บาท และ 3) ถังพลาสติกขนาดความจุไม่น้อยกว่า 240 ลิตร จำนวน 28,000 ใบ ราคาใบละ 1,650 บาท เป็นเงิน 46,200,000 บาท รวมทั้งสิ้นจำนวน 62,000 ใบ เป็นเงินรวม 90,200,000 บาท โดยได้ขอจัดสรรเงินงบกลางในปีงบประมาณ 2563 แต่ไม่ได้รับงบประมาณ ซึ่งสำนักสิ่งแวดล้อมจะดำเนินการขอจัดสรรเงินงบกลางในปี 2564 ต่อไป.

 

#มอร์มูฟเป็นข่าว พลิกโฉม!!! เทศบาลนครนครราชสีมา เตรียมสร้างแลนด์มาร์กใหม่ พลิกโฉม 'ลำตะคอง' ให้เป็น 'คลองชองเกชอน เกาหลีใต้' วางภูมิทัศน์สายน้ำสวยใสใจกลางเมือง พร้อมรับนักท่องเที่ยว-ขยายเศรษฐกิจ

โดยเรื่องนี้ นายบุญเหลือ เจริญวัฒน์ รองนายก ทน.นครราชสีมา กล่าวว่า เขตเทศบาลนครฯมีลำตะคองไหลผ่านตัวเมืองแหล่งเศรษฐกิจของโคราช ที่ปัจจุบันมีสภาพเสื่อมโทรม ตื้นเขิน ขนาดแคบ ถูกรุกล้ำ และมีการถมดินเพื่อสร้างบ้านเรือน หมู่บ้านจัดสรร อาคารพาณิชย์ ทับเส้นทางน้ำ ทำให้ประสิทธิภาพการระบายน้ำลดลง เกิดปัญหาน้ำท่วมขังบ่อยครั้งเมื่อเกิดฝนตกหนัก สำหรับโครงการนี้ใช้แนวคิดเดียวกับ 'คลองชองเกชอน' ประเทศเกาหลีใต้ โดยให้มีไฟส่องสว่างตลอดข้างทาง มีทางวิ่งออกกำลังกาย สร้างสะพานเชื่อมทางเดิน 2 ฝั่งคลอง สร้างทางเดินริมคลองลำตะคลอง ลานกิจกรรม ประติมากรรมเครื่องปั้นดินเผา ศาลาริมน้ำ และปรับปรุงภูมิทัศน์รอบอ่างเก็บน้ำอัษฎางค์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ พัฒนาสภาพแวดล้อมให้เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม เป็นเมืองน่าอยู่ สถานที่ท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ยกฐานะระดับการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน

** 'คลองชองเกชอน' เป็นคลองโบราณในสมัยราชวงศ์โชซ็อน อายุกว่า 600 ปี ความยาวประมาณ 5.84 กิโลเมตร ไหลผ่านย่านใจกลางโซล โดยในปี ค.ศ.2002 ได้มีการฟื้นฟูคลองช็องกเยช็อน ทั้งธรรมชาติสองฝั่งคลองและตลิ่งถูกตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม และใช้วิธีขุดท่อผันน้ำจากแม่น้ำฮันเข้ามาที่ต้นคลองแล้วไล่น้ำเสียออกทะเล มีการสร้างน้ำพุตลอดแนว เขื่อนชะลอความเร็วน้ำ ลานกิจกรรม ที่พักผ่อน และมีน้ำตกเป็นแนวกั้นน้ำฝน มีทางเดินเลียบคลอง และสะพานกว่า 22 แห่ง โดยสะพานทุกแห่งล้วนมีรูปแบบที่ไม่ซ้ำกันและแสดงออกถึงความเป็นเกาหลี ส่งผลให้พื้นที่โดยรอบมีราคาเพิ่มสูงขึ้น กลายเป็นแหล่งที่อยู่ของคนรวย สำนักงานบริษัทชั้นนำ และคลองช็องกเยช็อนแห่งนี้ยังได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในโซล.

 

#มอร์มูฟเป็นข่าว ตั้งเป้าไทยเป็นผู้นำการผลิตของโลก!!! รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ครั้งที่ 4/2563 เมื่อ 4 พ.ย. 2563 มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี 2563-2567 ภายใต้ยุทธศาสตร์ 'ตลาดนำการผลิต' ตั้งเป้า 'ไทยเป็นผู้นำในด้านการผลิต การตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก”

ยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี 2563-2567 มีพันธกิจสำคัญ 4 ด้าน ดังนี้

1) ด้านการตลาดต่างประเทศ - มุ่งเน้นการสนองต่อความหลากหลายของตลาดข้าวซึ่งมีความต้องการข้าวที่หลากหลายชนิดที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวพื้นนุ่มที่เป็นความต้องการของตลาดในปัจจุบันรวมทั้งการลดต้นทุนทางการตลาด

2) ด้านการตลาดภายในประเทศ - ดำเนินการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการของการบริโภคในประเทศและการผลิตในประเทศ

3) ด้านการผลิต - เป็นหัวใจสำคัญที่ต้องใช้สนองตอบต่อความต้องการของตลาดจะดำเนินการ 1) ลดต้นทุนการผลิตให้เหลือไม่เกินไร่ละ 3,000 บาทจากปัจจุบันเฉลี่ยที่ไร่ละ 6,000 บาท 2) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว เฉลี่ยต่อไร่จาก 465 กิโลกรัมเป็น 600 กิโลกรัม 3) เพิ่มข้าวพันธุ์ใหม่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 12 พันธุ์ในช่วงระยะเวลา 5 ปี โดยมุ่งเน้นเป้าหมายที่จะได้พันธุ์ข้าวที่มีลักษณะ สั้น เตี้ย ดก ดี โดย 12 พันธุ์จะประกอบด้วยข้าวนุ่ม 4 พันธุ์ ข้าวพื้นแข็ง 4 พันธุ์ ข้าวหอมไทย 2 พันธุ์ และข้าวที่มีโภชนาการสูง 2 พันธุ์ และ 4) จะดำเนินการประกวดข้าวพันธุ์ใหม่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อส่งเสริมให้มีการวิจัยพัฒนาพันธุ์เพื่อนำไปสู่การแข่งขันในตลาดข้าวโลกได้ต่อไป สำหรับปี 64 จะเป็นกรณีพิเศษจะมีการจัดประกวด 2 ครั้งคือในต้นปี และปลายปี

4) ด้านผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าว จะมุ่งเน้นการวิจัยและการคิดค้นนวัตกรรมจากข้าว เพื่อสนองความต้องการของตลาดและประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นได้แต่ละชนิดทำจากข้าวชนิดใดบ้าง และมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมมีผลิตภัณฑ์ชนิดใดอย่างไร เน้นในเรื่องของการอำนวยความสะดวกให้กับผู้วิจัยและผู้ประกอบการที่คิดค้นนวัตกรรมจากข้าว การปรับปรุงกฎระเบียบ ลดขั้นตอน และการอนุมัติอนุญาตและแหล่งทุนเป็นต้น สุดท้ายจะดำเนินการในการช่วยหาช่องทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กับสินค้าแปรรูปและสินค้านวัตกรรมที่ทำจากข้าว.
------------------------------------
อ่านต่อ : https://www.voicetv.co.th/read/Ot1c...xE1ev8kQ691Hd9H-ogcRmxMs6cbr2L3o_m2yGTuxnOXco

 

⚠️ [BREAKING] ⚠️ #ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอาจยังไม่จบ ทรัมป์ออกจดหมายทางการจากทำเนียบขาวว่าเขาจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประเทศจนถึงที่สุด !

“ผมจะไม่หยุดพักจนกว่าประชาชนชาวอเมริกันจะได้รับการนับคะแนนเลือกตั้งที่ซื่อสัตย์และโปร่งใส อย่างที่พวกเขาสมควรได้รับและเพื่อประชาธิปไตยที่พวกเขาเรียกร้อง” ทรัมป์เขียน

"Statement from President Donal J.Trump"

ประธานาธิบดีทรัมป์ออกจดหมายจากทำเนียบขาวมายาวหนึ่งหน้ากระดาษ เพื่อสัญญากับประชาชนชาวอเมริกันว่า เขาจะไม่ยอมแพ้ต่อการโกงการเลือกตั้งของฝั่งไบเดนและพรรคเดโมแครต เขาจะทำการฟ้องร้องทางกฎหมายจนกว่าความจริงจะถูกเปิดเผย

และปิดท้ายจดหมายด้วยประโยคว่า

“I will not rest until the American People have the honest vote count they deserve and that Democracy demands.”

ลงชื่อ ประธานาธิบดีสหรัฐ Donal J.Trump

(จดหมายฉบับเต็มแนบไว้ให้ในคอมเม้นท์นะครับ)

คงยังต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป #เพราะดูท่าแล้วทรัมป์คงยังไม่ยอมออกจากทำเนียบขาวแน่ๆครับ

✅ ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจในตลาดอย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว

แนะนำให้กดตั้งค่าที่เมนูมุมขวาบนของเพจให้เป็น "#Favourites" หรือ “#รายการโปรด” ไว้ได้เลยครับ จะได้ไม่พลาดทุกข่าวสารสำคัญ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรา ฝากกด Like และ Share ให้แอดด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์ ขอบคุณมากครับ

#ทันโลกกับTraderKP

 

⚠️ [BREAKING] ⚠️ #นักลงทุนอย่าเพิ่งการ์ดตก ! ถึงแม้ผลการเลือกตั้งจะจบไปแล้วด้วยชัยชนะของโจ ไบเดนอย่างเป็นทางการ แต่การฟ้องร้องของทรัมป์ยังไม่จบแน่ๆ อีกทั้งตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดในสหรัฐยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างหยุดไม่อยู่ ล่าสุดวันนี้ทะลุ 1.3 แสนรายต่อวันไปแล้ว !

ถ้าเปิดดูข่าวในตลาดโลกช่วงนี้เราอาจจะเห็นแต่ข่าว #ผลการเลือกตั้งสหรัฐ แต่นักลงทุนไม่ควรละสายตาไปจากการระบาดของไวรัสโควิด เพราะตั้งแต่ปิดตลาดไปเมื่อวันศุกร์ #สถานการณ์ในสหรัฐยังคงแย่ลงเรื่อยๆ

โดยตัวเลขที่ประกาศออกมาในวันนี้ยังคงทำสถิติใหม่อีกเช่นเคย มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 131,420 รายในวันที่ผ่านมา กลายเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันแล้วที่ยอดผู้ติดเชื้อยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐรวมเฉียด 10 ล้านรายไปแล้ว (มากที่สุดในโลก) และยังดันให้ยอดผู้ติดเชื้อรวมทั่วโลกแตะ 50 ล้านรายไปแล้วด้วย

#นักลงทุนควรจับตามองช่วงเปิดตลาดวันจันทร์ให้ดี เพราะตอนที่ปิดตลาดไปนั้นสถานการณ์ยังไม่แย่ขนาดนี้ และไม่รู้ว่าการติดเชื้อจะยังแพร่ระบาดมากขึ้นไหมหลังจากผู้คนเป็นจำนวนมากออกมาใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ตลาดอาจยังไม่รับรู้ข่าวดังกล่าวเข้าไป

อีกทั้งเราไม่รู้เลยว่าหากทรัมป์หมดสิทธิ์กลับมาเป็นประธานาธิบดีแล้ว แกจะสั่ง Lock Down ส่งท้ายหรือไม่ ? หรือทางโจ ไบเดนจะกลับมาประกาศการ Lock Down ด้วยตัวเอง #ก็ยังคงถือเป็นความเสี่ยงของตลาดอยู่

จึงมาเตือนให้นักลงทุนทราบและไม่ปล่อยให้ยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐหลุดสายตาไป

✅ ท่านใดไม่อยากผลาดข่าวสารที่น่าสนใจในตลาดอย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว

แนะนำให้กดตั้งค่าที่เมนูมุมขวาบนของเพจให้เป็น "#Favourites" หรือ “#รายการโปรด” ไว้ได้เลยครับ จะได้ไม่พลาดทุกข่าวสารสำคัญ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรา ฝากกด Like และ Share ให้แอดด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์ ขอบคุณมากครับ

#ทันโลกกับTraderKP

 

ปี 2019 จีนลงทุนด้านการศึกษากว่า 5 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.74%
.
ข้อมูลจากเว็บไซต์กระทรวงศึกษาธิการ (MOE) ระบุว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (National Bureau of Statistics) และกระทรวงการคลัง (MOF) ได้ตีพิมพ์และเผยแพร่แถลงการณ์สถิติที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านค่าใช้จ่ายทางการศึกษาของจีนในปี 2019 แถลงการณ์ระบุว่า ในปี 2019 จีนลงทุนสำหรับค่าใช้จ่ายทางการศึกษารวม 5,017,820 ล้านหยวน (ราว 23.31 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 4,614,300 ล้านหยวน (ราว 21.44 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 8.74%
.
ตัวเลขดังกล่าวเป็นงบประมาณด้านค่าใช้จ่ายทางการศึกษาของรัฐ หลักๆ รวม ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่ประเมินและจัดสรรสำหรับสาธารณะทั่วไป ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่ประเมินและจัดสรรสำหรับกองทุนของรัฐบาล เงินอุดหนุนสำหรับบริษัทของรัฐและรัฐวิสาหกิจที่กำลังจัดการศึกษา ค่าใช้จ่ายจากอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจโรงเรียนและจากการบริการสังคมที่นำมาใช้สำหรับค่าใช้จ่ายทางการศึกษา ฯลฯ รวม 4,004,655 ล้านหยวน (ราว 18.6 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 3,699,577 ล้านหยวน (ราว 17.19 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 8.25%
.
#MOE #การศึกษา #ChinaStory #เรื่องจีนจีน

 

เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ ‘C919’ ผลิตโดยจีนทั้งลำ มียอดสั่งจองแล้วกว่า 800 ลำ
.
ในงานแสดงอากาศยานหนานชาง 2020 ที่จัดขึ้นที่สนามบินเหยาหู มณฑลเจียงซีของจีน ได้มีอวดโฉมเครื่องบินรุ่นต่างๆ โดยหนึ่งในไฮไลต์ของงานนี้ก็คือ การเปิดตัวเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ C919 ซึ่งผลิตทั้งลำโดยบริษัท COMAC ของจีนอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ขณะที่ C919 ขึ้นบินโชว์ สร้างความตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก
.
เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ C919 เป็นเครื่องบินเจ็ทสำหรับพลเรือนขนาดใหญ่ผลิตโดยจีน 100% มีจำนวน 158-168 ที่นั่ง พิสัยการบิน 4,075-5,555 กม. ทั้งนี้ เครื่องบิน C919 ได้ประกอบเสร็จสิ้นและลงจากไลน์ผลิตเมื่อวันที่ 2 พ.ย. ปี 2015 และประสบความสำเร็จในการบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พ.ค. ปี 2017 ปัจจุบันมียอดสั่งซื้อสะสม 815 ลำจากลูกค้า 28 ราย
.
ภาพจาก Xinhua
.
#เครื่องบินโดยสาร #เมดอินไชน่า #C919 #ChinaStory #เรื่องจีนจีน

 

Ant Group อด IPO – มดน้อยหรือจะสู้มังกร

ถ้าไม่มีการเลือกตั้งสหรัฐในสัปดาห์นี้ ข่าวที่ใหญ่และน่าแปลกใจที่สุดคงจะเป็นเรื่องของ Ant Group บริษัทที่แยกตัวมาจาก Alibaba ยักษ์ใหญ่ของโลกจากประเทศจีน ที่อดขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เนื่องจากทางการจีนสั่งให้มีการพิจารณาการขายใหม่ เป็นผลทำให้ต้องมีการคืนเงินให้นักลงทุนคิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งถ้าได้ขายตามเดิมก็จะเป็น IPO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก (มูลค่าตลาดจะเท่ากับประมาณ 60% ของบริษัททุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยรวมกัน) คำถามสำคัญคือ เกิดอะไรขึ้น ??

ก่อนที่จะบอกว่าเกิดอะไรขึ้น เราลองมาย้อนดูโมเดลธุรกิจของ Ant กันก่อน

Ant เป็นบริษัทที่เริ่มต้นด้วยการเป็นหน่วยธุรกิจด้านการเงินของ Alibaba เรียกว่า Alipay ที่จัดการเรื่องการประมวลผล การรับ การโอนเงินระหว่างผู้ซื้อผู้ขายให้กับ Alibaba ซึ่งทำธุรกิจ E-commerce ที่ต้องมีหน่วยธุรกิจนี้ก็เพราะยุคสมัย 10-20 ปีก่อน คนจะซื้อขายกัน โดยเฉพาะคนจีนตอนนู้นก็ไม่สามารถไปธนาคารกันได้สะดวกๆ แล้วส่งโอนเงินข้ามมณฑลจ่ายค่าของให้กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก ถ้าไม่มีหน่วยธุรกิจนี้ ธุรกิจของ Alibaba ก็คงไม่มีวันเติบโตได้แน่ๆ อย่าว่าแต่ยุคสมัยนั้นเลย ปัจจุบัน คนไทยเองจะซื้อของออนไลน์ พวกที่โอนเงินให้กับบัญชีคนขายโดยตรง เราก็ยังเห็นเรื่องโดนโกงจ่ายเงินแล้วไม่ได้ของก็เยอะแยะไป

คนจีนใช้แอพพลิเคชั่น Alipay กันเป็นเรื่องปกติ (Alipay คือชื่อแอพพลิเคชั่นภายใต้บริษัท Ant Group) ใช้ทำธุระในชีวิตประจำวันได้มากมาย จากเมื่อก่อนทำหน้าที่แค่เป็นตัวกลางรับจ่ายเงินค่าซื้อสินค้า ก็ขยายไปทั้งจ่ายเงินค่าน้ำ ไฟ จองตั๋วภาพยนตร์ ค่ารถแท็กซี่ จักรยาน เครื่องบิน เข้าร้านค้าก็จ่ายผ่าน QR code ทำได้สากกะเบือยันเรือรบ ทำให้บริษัทมีข้อมูลของผู้ใช้จำนวนมหาศาล รู้ว่าลูกค้าแต่ละรายมีพฤติกรรมใช้จ่ายยังไง จึงเป็นที่มาของแหล่งรายได้อันใหญ่อันที่ 2 คือการปล่อยเงินกู้ให้กับผู้ใช้ Alipay

เท่าที่อ่านจากข้อมูลยื่น IPO ของบริษัท เงินกู้ขั้นต่ำที่เขาปล่อยให้วงเงินต่ำสุดอยู่ที่ 20 หยวน หรือประมาณ 100 บาทเท่านั้นเอง ธนาคารรูปแบบดั้งเดิมไม่มีทางคุ้มด้วยการปล่อยกู้วงเงินแค่นี้แน่นอน แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าบวกกับปริมาณข้อมูลทำให้ Alipay สามารถปล่อยกู้ด้วยวงเงินในจำนวนเล็กๆแบบนี้ได้และเหมาะกับผู้ใช้ในจีนด้วย แถมอัตราดอกเบี้ยก็ไม่ได้แพงอะไรมากมาย คิดเป็นต่อปีก็ระดับแถวๆ 15% เท่านั้นสำหรับเงินกู้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ไม่ใช่แค่ปล่อยกู้ผู้ใช้งานทั่วไปเท่านั้น แต่ Ant ยังปล่อยกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็กหรือค่อนไปทางกลางได้ด้วย เพราะในเมื่อบริษัทพวกนี้ขายของผ่าน Alibaba กันอยุ่แล้ว แถมลูกค้าก็จ่ายเงินผ่าน Alipay ด้วย ก็รู้หมดขายดีไม่ดียังไง บริษัทก็ใช้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ได้เลยว่าควรปล่อยวงเงินกู้เท่าไหร่ ยังไงสำหรับใช้หมุนเวียนธุรกิจ และที่สำคัญจนถึงปัจจุบันแม้จะผ่านช่วงโควิดมา แต่อัตราหนี้เสียของการปล่อยกู้ก็ยังอยู่ในระดับ 2% กว่าๆเท่านั้น ถือว่าเป็นระดับที่น่าพอใจมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะคนใช้งาน Alipay เองก็ไม่อยากจะผิดนัดจ่ายเงินเท่าไหร่ เพราะถ้าผิดบ่อยๆจะเป็นผลเสียต่อตัวเองในการอยู่ในระบบของ Alipay ด้วย คือเป็นคนเครดิตไม่ดีเหมือนที่คนไทยไม่อยากติด Credit Bureau นั่นเอง

หลังจากเริ่มธุรกิจปล่อยกู้แล้ว Ant ก็เห็นช่องทางเพิ่มขึ้นอีก เพราะปกติผู้ใช้งานจะมีเงินค้างเหลืออยู่ใน Alipay เช่นเงินที่โอนมาไว้รอจ่ายค่าของ หรือรับมาก็ตาม เงินที่เหลืออยู่ใครๆก็ไม่อยากปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ ถ้าเป็นบ้านเราก็เหมือนมีเงินเหลืออยู่ใน Rabbit card หรือ True wallet อะไรพวกนั้น แล้วไม่ได้ประโยชน์ ทาง Ant ก็เลยจัดการเป็นตัวกลางขายกองทุนให้กับผู้ใช้ซะเลย คือ ไปหาบริษัทหลักทรัพย์หรือกองทุนอะไรก็ตามมาขายกองทุนผ่าน Alipay โดยที่ Ant ก็ทำหน้าที่ประมวลข้อมูลของผู้ใช้แล้วก็บอกให้พวกกองทุนออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับผู้ใช้กลุ่มนี้นะคือจัดผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิต ถือเป็นสถานการณ์วิน-วิน เพราะตัวคนใช้เองก็ได้ดอกเบี้ย ส่วนพวกองทุนถ้าเงินน้อยๆแต่ของหลายสิบล้านคนมารวมกันก็ถือเป็นเงินมหาศาล ถ้าให้พวกบริษัทหลักทรัพย์หรือกองทุนมาหาลูกค้าที่มีเงินคนละ 500 – 1000 บาทเองยังไงก็ไม่มีทางคุ้มต้นทุนแน่นอน

พอขายกองทุนไปแล้ว Ant ก็ติดใจเริ่มกระโดดไปขายประกันอีกอย่างนึง ซึ่งก็เหมือนกันคือเป็นตัวกลางประมวลข้อมูลการใช้ชีวิตผ่านรูปแบบการใช้เงิน แล้วก็ไปชวนบริษัทประกันมาขายประกันให้เหมาะสม ถ้าอ่านแล้วนึกถึงเวลาท่านไปธนาคารก็ถูกแล้ว เพราะ Alipay ก็เหมือนธนาคารดิจิตัลนั้นเอง จากโอนเงินไป ฝากเงิน ไปซื้อกองทุน จนซื้อประกัน ที่เดียวครบ

คงเห็นภาพกันแล้วว่าโมเดลธุรกิจของ Ant Group คือการต่อยอดไปเรื่อยๆสร้าง Network Effect ยิ่งคนค้าขายผ่าน Alibaba เยอะ ใช้ Alipay เยอะก็ยิ่งมีข้อมูลเยอะ อำนาจต่อรองเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆก็ยิ่งเยอะ

ในปี 2017 บริษัทมีรายได้ทั้งหมดตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 3.27 แสนล้านบาท (คร่าวๆที่ 5 บาท = 1 หยวน) เข้าปี 2019 รายได้ทั้งหมดกลายเป็น 6 แสนล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากส่วนต่างๆ ดังนี้
รายได้จากการให้บริการรับส่งโอนเงินปี 2017 ประมาณ 1.79 แสนล้าน เพิ่มขึ้นเป็น 2.6 แสนล้าน ในปี 2019
รายได้จากการปล่อยกู้ 8 หมื่นล้านบาท เพิ่มเป็น 2.1 แสนล้านบาทในปี 2019
รายได้จากการขายกองทุนเพิ่มจาก 5 หมื่นล้านบาทในปี 2017 เพิ่มเป็น 8.5 หมื่นล้านบาทในปี 2019
และการขายประกัน ปี 2017 มีรายได้ประมาณ 1 หมื่นล้าน พอปี 2019 รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 หมื่นล้านบาท
แถมอุตสาหกรรมการเงินของจีนเองก็มีแนวโน้มจะเติบโตอีกเป็นเท่าตัวภายใน 5-6 ปี (ตามข้อมูลในไฟลิ่งของบริษัท) ใครอ่านแล้วรู้สึกอยากซื้อหุ้นก็ไม่แปลก

กลับมาที่พฤศจิกายน 2563

จากแนวโน้มที่ดี บริษัทเลยวางแผนจะขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จีนและฮ่องกงเพื่อระดมเงินไปลงทุนเพิ่มขึ้นอีก แต่แล้วก็โดนทางรัฐบาลจีนเตะตัดขาซะก่อน ทางการจีนให้เหตุผลในการระงับการขาย IPO ของ Ant ว่าเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบทางการเงินที่มีนัยยะสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของ Ant เกิดขึ้นมา

ก่อนอื่นผู้อ่านต้องเข้าใจว่าถึงบริษัทจะปล่อยกู้ก็จริง แต่จริงๆแล้วคนให้กู้ไม่ใช่ตัว Ant ครับ บริษัทเป็นแค่คนกลางเท่านั้น ในตอนแรกเริ่มเลย Ant ใช้วิธีปล่อยกู้เองจริง คือปล่อยกู้ให้ลูกค้าตัวเอง แล้วก็เอาหนี้ของลูกค้าพวกนี้มามัดรวมๆกัน ตัวบริษัทไม่อยากรับความเสี่ยงเอง ก็มัดหนี้เป็นก้อนใหญ่ๆแล้วเอาไปขายให้กับธนาคารหรือนักลงทุน เช่น ปล่อยกู้ออกไปให้ลูกค้าหมื่นคนคิดเป็นเงิน 10 ล้านบาท ก็นำก้อนลูกหนี้ 10 ล้านบาทไปขายให้ธนาคาร ฉะนั้นธนาคารก็รับความเสี่ยงไป สิ่งที่ Ant ได้ก็เป็นค่าธรรมเนียม หรืออาจจะเป็นส่วนต่างดอกเบี้ยนิดๆ เช่นปล่อยกู้ตอนแรกสุดคิดดอกเบี้ยเฉลี่ย 13% ตอนขายให้ธนาคารก็บอกว่าดอกเบี้ยคือ 12.8% นะ ตัวบริษัทก็ได้ส่วนต่าง 0.2% ไป คร่าวๆแบบนี้ แล้วพอได้เงินจากการขายหนี้ก้อนนี้เสร็จก็เอาไปปล่อยใหม่ แล้วก็ขายให้สถาบันการเงินอีก ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ

วิธีนี้ดีต่อ Ant ก็จริง แต่ไม่ดีต่อระบบสถาบันการเงินเท่าไหร่ เพราะมันคล้ายๆกับเหตุการณ์ที่นำไปสู่วิกฤติการเงินเมื่อปี 2008 ในสหรัฐฯเลย ถึง Ant จะบอกว่าสมองกลของตัวเองอัจฉริยะในการกลั่นกรองคุณภาพลูกหนี้แค่ไหนก็ตาม คุณภาพลูกหนี้ดีเยี่ยมมากๆ แต่ใครจะรู้นานวันเข้า พอทำบ่อยๆผู้บริหารอาจจะเริ่มหย่อนยานวินัยในการปล่อยกู้ สมองกลอาจจะเริ่มโง่ขึ้นโดยจงใจก็เป็นได้ หรือต่อให้ไม่ทำแบบนั้น ตัวโปรแกรมพวกนี้ก็อาจจะมีจุดบอดที่แม้แต่คนสร้างเองก็ไม่รู้ (อย่าลืมว่าโปรแกรมพวกนี้เพิ่งใช้งานมาไม่นาน เมื่อเทียบกับวัฎจักรเศรษฐกิจ) ถ้าเกิดล้มขึ้นมาเป็นลูกโซ่จนระบบการเงินจีนพังหมด ก็อันตรายต่อเสถียรภาพของจีนไปด้วย ฉะนั้นก็มีการแก้กฎไม่ให้ Ant ทำแบบนี้อีก

แต่ทางบริษัทก็เดินหน้าต่อได้อยู่ดีโดยการปรับโมเดลให้บริษัทเป็นตัวกลางให้ชัดเจน คือกลั่นกรองคุณภาพลูกหนี้แล้วก็จับคู่ตัวลูกค้ากับธนาคารหรือบริษัทการเงินต่างๆ ให้เหมาะสมโดย Ant ก็คิดค่าธรรมเนียม หรือไม่ก็ขอส่วนแบ่งจากธนาคารเอาเป็น % จากรายได้ที่ธนาคารได้รับจากลูกค้าคนนั้นๆ ซึ่งอย่าลืมว่าทั้งหมดนี้ทำผ่านระบบดิจิตัลทั้งหมด ไม่ต้องเดินทางไปสาขาแต่อย่างใด ทุกสิ่งเกิดแค่ในช่วงสั้นๆในโทรศัพท์มือถือเท่านั้นเอง ด้วยวิธีนี้ระบบการเงินภาพรวมก็มีเสถียรภาพมากขึ้นเพราะธนาคารแต่ละแห่งก็สามารถสร้างระบบกลั่นกรองของตัวเองได้อีกชั้นว่าจะประเมินลูกค้าที่ Ant ส่งมาว่ามีคุณภาพดีไม่ดี เสี่ยงแค่ไหนยังไง ไม่ได้เป็นแค่ปลายทางที่ต้องซื้อหนี้ทั้งก้อนมาจาก Ant ที่ไม่รู้ว่าเอาของดีของเสียรวมกันมายังไง

แต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนจะเริ่มซื้อขายในตลาดฯได้ไม่นาน ทางการจีนก็ได้ประกาศออกมาว่ามีการปรับกฎระเบียบใหม่ โดยต่อไปนี้ Ant (รวมถึงบริษัทที่ทำธุรกิจปล่อยเงินกู้ออนไลน์รายอื่นๆด้วย) จะต้องมีเงินทุนอย่างน้อย 30% ของเงินกู้ที่ปล่อยออกไปจากเดิมที่ทำหน้าที่แค่ตัวกลางเฉยๆ เรื่องนี้ฟังเผินๆอาจดูไม่เท่าไหร่ แต่ถ้านึกดีๆมันจะทำให้จากเดิมที่โมเดลธุรกิจของ Ant คือการทำรายได้โดยไม่ต้องมีสินทรัพย์มากมายหรือเรียกว่า Assets-light (เช่น Uber คือบริษัทที่ให้บริการรถที่ไม่มีรถของตัวเอง Airbnb ที่ให้บริการที่พักโดยไม่มีที่พักของตัวเอง) ซึ่งเป็นหัวใจของบริษัทเทคโนโลยียุคนี้ ต้องปรับกันเยอะเลย ที่สำคัญเมื่อต้องมีการใช้เงินของตัวเองในการปล่อยกู้ บริษัทที่จากเดิมเป็นบริษัทเทคโนโลยีก็จะต้องเข้าไปอยู่ภายใต้กฎระเบียบของหน่วยงานทางการเงินที่ค่อนข้างซับซ้อนและเข้มงวด (เพื่อเสถียรภาพทางการเงิน)

ทำไมอยู่ดีๆรัฐบาลจีนถึงประกาศมาตรการออกมาช่วงนี้ยังเป็นคำถาม เพราะจีนเองก็ต้องการสร้างตลาดทุนของตัวเองให้ยิ่งใหญ่เหมือนสหรัฐฯ แต่มาตรการที่ออกมาเพื่อจงใจสกัด Ant ไม่ให้ขายหุ้นได้แค่ภายในไม่กี่วัน ทั้งๆที่มีเวลาตั้งนาน น่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติผวาไม่น้อย บางคนก็คาดกันว่าน่าจะเป็นเพราะ Jack Ma ดันไปวิจารณ์นโยบายของหน่วยงานการเงินทั้งของจีนและของโลกว่าไม่เอื้อต่อการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการต้องสำรองเงินทุนขั้นต่ำ (เลยโดนเองซะเลย) หรือบางคนก็มองว่าเพราะการเติบโตของ Ant มันไปกระทบกับธนาคารใหญ่ๆของจีนเต็มๆ ซึ่งธนาคารพวกนี้ก็เป็นของรัฐบาลจีนนั้นเอง เป็นการย้ำเตือนว่าการลงทุนในจีนสิ่งที่อันตรายที่สุดยังคงเป็นกฎระเบียบและการแทรกแซงจากรัฐบาลนั้นเอง

ส่วนในอนาคตยังไง Ant ก็คงกลับมาเดินเรื่อง IPO ต่อจนได้ถ้าเคลียร์เรื่องกฎระเบียบเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็เป็นไปได้ว่าการประเมินมูลค่าบริษัทอาจจะลดลงจากในรอบนี้ที่ประเมินไว้ว่าบริษัทจะมีมูลค่าประมาณ 315 พันล้านดอลลาร์แต่ก็เป็นเรื่องของอนาคต

 

พายุอีตา: "กัวเตมาลา" ตายพุ่ง 150 ศพ "ฮอนดูรัส" ขอนานาชาติช่วยเหลือ

 

บราซิลไม่ทำตามสัญญา! รายงานสิ่งแวดล้อมแฉ ปล่อยก๊าซ CO2 เพิ่ม 2 พันล้านตัน

 

โควิด : WHO ยืนยัน - วันที่ 8 พ.ย. เทเลกราฟ และ เดลีเมล์ รายงานกระแสวิตกกังวลในสถานการณ์โรคโควิด-19 แพร่ระบาด หลังจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงยืนยันพบ ไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ ที่สามารถติดต่อมายังมนุษย์ และเชื่อมโยงกับฟาร์มเพาะพันธุ์ ตัวมิงก์ สำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่น ใน 6 ประเทศ ได้แก่ สเปน อิตาลี สวีเดน เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา และ เดนมาร์ก

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นไม่นานหลังจากทางการเดนมาร์กเดินหน้าฆ่าหมู่ตัวมิงก์ราว 17 ล้านตัวในฟาร์มเพาะพันธุ์กว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ เนื่องจากพบกรณีติดเชื้อกลายพันธุ์จากตัวมิงก์มายังคนงานในฟาร์มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ส่วนสถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วโลกยังวิกฤต มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 50,308,302 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยใหม่มากถึง 598,152 คน และเสียชีวิตแล้ว 1,256,991 ราย

ขณะเดียวกัน รัฐบาลอังกฤษของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน แถลงเมื่อวันเสาร์ที่ 7 พ.ย.ตามเวลาท้องถิ่นว่า แถลงมาตรการห้ามบุคคลที่เดินทางไปยังเดนมาร์กเข้าประเทศ โดยมาตรการนี้บังคับใช้กับบุคคลทั้งหมดที่ไม่ได้ถือสัญชาติในสหราชอาณาจักร รวมถึงผู้พักอาศัยในสหราชอาณาจักร ที่เดินทางไปเดนมาร์กในช่วง 14 วันที่ผ่านมา จะไม่ได้รับอนุญาตในทุกกรณีให้เดินทางเข้าประเทศ

 

อินโดฯ หนีตายภูเขาไฟ - จาการ์ตาโพสต์ รายงานวันที่ 8 พ.ย. ว่า ศูนย์จัดการภัยพิบัติแห่งชาติของอินโดนีเซียแถลงว่า เจ้าหน้าที่และหน่วยกู้ภัยเร่งอพยพประชาชนมากกว่า 600 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ เด็ก และผู้พิการ จากบ้านเรือนในพื้นที่เสี่ยงภัยใกล้เขตอันตรายรอบ ภูเขาไฟเมราปี ในจังหวัดชวากลาง ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว

ภายหลังสำนักงานธรณีพิบัติภัยยกระดับการเตือนภัยสูงสุดเป็นอันดับสอง เนื่องจากมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในภูเขาไฟเมราปีนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมเตือนว่าภูเขาไฟอาจเกิดการระเบิด ส่งผลให้มีลาวาไหลทะลัก และก๊าซร้อนพวยพุ่งขึ้นสูงกว่า 5 กิโลเมตร

ทั้งนี้ ภูเขาไฟเมราปีเป็นหนึ่งในภูเขาไฟมีพลังที่เกิดการปะทุบ่อยครั้งเมื่อเทียบกับภูเขาไฟอีกกว่า 130 แห่งทั่วอินโดนีเซีย ครั้งล่าสุดที่มีการปะทุใหญ่เกิดขึ้นในปี 2553 และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 300 ราย