ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฝรั่งเศสรายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นถึง 60,486 ราย ในรอบ 24 ชั่วโมง เมื่อวานนี้ (6 พ.ย.) หลังจากที่จำนวนผู้ป่วยรายวันพุ่งทุบสถิติสูงสุด 58,046 คนไป เมื่อ 1 วันก่อนหน้า
    .
    ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ล่าสุดทำให้จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในฝรั่งเศส เพิ่มเป็นอย่างน้อย 1.66 ล้านคน เริ่มตามกระชั้นชิดรัสเซียซึ่งมีผู้ป่วย 1.73 ล้านคน รั้งอันดับที่ 4 ของโลกรองจากสหรัฐฯ, บราซิล และ อินเดีย
    .
    กระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศส ยืนยันพบผู้ป่วยโควิดเสียชีวิตเพิ่ม 828 ราย โดยแบ่งเป็นผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาล 398 ราย ในรอบ 24 ชั่วโมง และผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ 430 ราย ในรอบ 3 วัน
    .
    หลังจากที่รัฐบาลบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศได้ 1 สัปดาห์ จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเพียง 553 ราย เมื่อวานนี้ (6) ซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ ส่วนผู้ติดเชื้อที่อาการรุนแรงจนต้องส่งตัวเข้าหอผู้ป่วยหนักเพิ่มขึ้น 101 ราย ต่ำสุดในรอบ 6 วัน
    .
    ขณะนี้ฝรั่งเศสมีผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 28,979 ราย และเป็นผู้ป่วยอาการหนัก 4,331 ราย
    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    - https://mgronline.com/around/detail/9630000115266
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    WHO เชิญไทยเป็น 1 ใน 4 ประเทศ แชร์ประสบการณ์ต้านโควิด 19
    .
    รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยองค์การอนามัยโลก ยกไทย เป็น 1 ใน 4 ประเทศที่มีประสบการณ์ในการทบทวนระหว่างปฏิบัติงานด้านโรคโควิด 19 และร่วมแถลงข่าวนำเสนอเป็นตัวอย่างผ่านระบบประชุมทางไกล
    .
    รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยองค์การอนามัยโลก ยกไทย เป็น 1 ใน 4 ประเทศที่มีประสบการณ์ในการทบทวนระหว่างปฏิบัติงานด้านโรคโควิด 19 และร่วมแถลงข่าวนำเสนอเป็นตัวอย่างผ่านระบบประชุมทางไกล
    .
    วันนี้ (6 พฤศจิกายน 2563) ที่ห้องประชุมองค์การอนามัยโลก กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์แดเนียล เคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย นายแพทย์ริชาร์ด บราวน์ ผู้จัดการโครงการด้านภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉินและการดื้อยาต้านจุลชีพ องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดี
    .
    กรมควบคุมโรค และนายแพทย์พงศธร พอกเพิ่มดี นายแพทย์ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุข แถลงข่าวผ่านระบบประชุมทางไกล ว่าด้วยการทบทวนระหว่างการปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์โรคโควิด 19
    .
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานป้องกัน ควบคุมโรคในสถานการณ์โควิด 19 และองค์การอนามัยโลกได้คัดเลือกให้นำประสบการณ์มาแถลงข่าว ร่วมกับอีก 3 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย แอฟริกาใต้ และอุซเบกิสถาน เนื่องจากประเทศไทยได้รับความชื่นชมจากนานาชาติว่า สามารถดำเนินการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี จากการนำกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด อาทิ การค้นหาผู้ป่วยอย่าง ครอบคลุมการติดตามผู้สัมผัสและกักกันโรคอย่างเข้มข้น ที่สำคัญคือได้รับความร่วมมืออย่างดีจากภาคประชาสังคมในการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พบผู้ติดเชื้อในประเทศน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้าอยู่ในสถานที่กักกันและเข้าสู่ระบบการรักษา
    .
    นายอนุทินกล่าวต่อว่า ประเทศไทยได้ดำเนินการทบทวนระหว่างปฏิบัติงาน (IAR) เพื่อถอดบทเรียนจากการตอบสนองต่อสถานการณ์โรคโควิด 19 โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐอเมริกา และนักวิชาการ เป็นผู้ประเมินตามเครื่องมือที่องค์การอนามัยโลกออกแบบ ระหว่างวันที่ 20-24 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 โดยรวบรวมข้อมูลจากบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทั้งผู้ที่อยู่หน้างานและผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ พบว่า ปัจจัยที่เอื้อให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 คือการตัดสินใจเด็ดขาดของผู้นำบนพื้นฐานทางวิชาการการมีระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง และความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมในการยับยั้งวงจรของการแพร่ระบาดในประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้รัฐบาลควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 ได้
    .
    ทั้งนี้ ประเทศไทยยังมีความท้าทายในการพัฒนาฐานข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด 19 ให้มีความทันสมัยใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต และสร้างความมั่นคงทางสุขภาพ รวมถึงขยายระบบการเฝ้าระวัง ค้นหาผู้ป่วยของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินอีกด้วย
    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    - https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36575
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน!!! เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2563 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน วงเงินงบประมาณ 2,298 ล้านบาท เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐานสากล ให้เกิดการจ้างงานในช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตามข้อเสนอโครงการภายใต้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน

    ** ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับการอนุมัติวงเงินที่ใช้ในโครงการเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันนี้ เป็นไปตามแผนการจัดทำโครงการเพื่อเสนองบประมาณจากงบประมาณเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 400,000 ล้านบาท ซึ่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้นำเสนอต่อ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ พิจารณากลั่นกรอง เมื่อช่วง เดือน มิ.ย.63 ที่ผ่านมา

    โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 12 โครงการคือ

    ▪️โครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทยเฉลิมพระเกียรติ พื้นที่ดำเนินการ จ.ภูเก็ต งบประมาณ 786.4897 ล้านบาท
    ▪️โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้ป่าชายเลนระนองสู่มรดกโลกเพื่อการท่องเที่ยว พื้นที่ดำเนินการ จ.ระนอง งบประมาณ 385.4651 ล้านบาท
    ▪️โครงการป้องกันและเฝ้าระวังภัยจากแมงกะพรุนพิษในพื้นที่ชายหาดท่องเที่ยว พื้นที่ดำเนินการ จ.พังงา ภูเก็ต กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล งบประมาณ 54.00 ล้านบาท
    ▪️โครงการจัดทำระบบเฝ้าระวังมลพิษและติดตามมลพิษทางทะเลเพื่อการท่องเที่ยวปลอดภัย พื้นที่ดำเนินการจังหวัดภูเก็ต พังงาและกระบี่ งบประมาณ 106.4760 ล้านบาท
    ▪️โครงการติดตั้งทุ่นผูกเรื่อเพื่อการอนุรักษ์ปะการังในพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเล พื้นที่ดำเนินการจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล งบประมาณ 66.40 ล้านบาท
    ▪️โครงการติดตั้งทุ่นแพลอยน้ำเพื่อเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศทางทะเลฝั่งอันดามัน พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต พังงา ตรัง สตูล และระนอง งบประมาณ 154.70 ล้านบาท
    ▪️โครงการจัดการขยะในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ พังงา และระนอง งบประมาณ 44.8280 ล้านบาท
    ▪️โครงการเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พื้นที่ดำเนินการจังหวัดภูเก็ต กระบี่ และระนอง งบประมาณ 59.450 ล้านบาท
    ▪️โครงการฟื้นฟูแนวปะการังด้วยการปลูกเสริมในพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเล พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต และพังงา งบประมาณ 230.8200 ล้านบาท
    ▪️โครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต พังงา ตรัง สตูล และระนอง งบประมาณ 200 ล้านบาท
    ▪️โครงการฟื้นฟูชายหาดคึกคักแบบบูรณาการ พื้นที่ดำเนินการ จังหวัดพังงา งบประมาณ 199.9200 ล้าบาท
    ▪️โครงการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการการศึกษาออกแบบแนวกันคลื่นปากร่องน้ำเค็มเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า พื้นที่ดำเนินการจังหวัดพังงา งบประมาณ 10 ล้านบาท.

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว ส่งออกข้าวไทยแย่แล้ววววว!!! ล่าสุด นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าว กล่าวว่า สมาคมคาดการณ์การส่งออกข้าวปี 2564 มีแนวโน้มส่งออกข้าวสูงกว่าปี 2563 ซึ่งประเมินว่าการส่งออกจะอยู่ที่ 6 ล้านตัน ซึ่งคาดว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายการส่งออกทั้งปี 6.5 ล้านตันซึ่งได้ปรับเป้าหมายทั้งปีจากเดิม 7 ล้านตัน โดยมีปัจจัยที่จะสนับสนุนให้การส่งออกปี 2564 ขยายตัวมาจากแนวโน้มราคาข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว ข้าวเหนียวลดลงจากคู่แข่ง ซึ่งคาดว่าผู้นำเข้าข้าวจะหันมาซื้อข้าวไทยมากขึ้น

    อย่างไรก็ดี ทางผู้ส่งออกยังคงกังวลอุตสาหกรรมข้าวไทยในอนาคตจะแข่งขันในตลาดข้าวลำบากมากขึ้น หากยังประเทศไทยยังไม่มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อใช้ในการแข่งขันตลาดข้าวในตลาด ซึ่งมีเพียง 3 ชนิดข้าวที่ทำตลาดเท่านั้นคือ ข้าวขาว ข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียว ขณะที่เวียดนามมีพันธุ์ข้าวออกมามากขึ้น โดยภาครัฐจัดสรรงบประมาณกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3,000 ล้านบาท เพื่อการวิจัยและพัฒนาโดยนำพันธุ์ข้าวที่ดีในตลาดมาพัฒนาเป็นพันธุ์ข้าวใหม่เพื่อทำตลาด เช่น ข้าวพันธุ์ ST24 ของเวียดนามที่ คว้ารางวัล World's Best Rice เป็นต้น ขณะที่ประเทศไทย รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้กับการวิจัยปละพัฒนาสายพันธุ์ข้าวเพียง100 ล้านบาท/ปี และหากประเทศไทยยังทำตลาดแบบนี้ไม่มีการพัฒนาเชื่อว่าประเทศไทยจะกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับที่ 5 ของโลกภายใน 5 ปี

    ** ลำดับการส่งออกข้าวปัจจุบันอันดับ 1 คือ อินเดีย อันดับ2.เวียดนาม และอันดับ3. ไทย แต่ใน อนาคตไทยอาจตกเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 5 ของโลกโดยแพ้ให้กับเมียนมาและจีนใน3ปี ที่จะแซงหน้าไทยซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้มากจากพันธุ์ของไทยที่แข่งขันในตลาดมีน้อย คุณภาพลดลงขณะที่คุณภาพของข้าวคู่แข่งดีขึ้น ปริมาณผลผลิตต่อไร่ยังน้อยต้นทุนการเพาะปลูกยังสูง และสิ่งที่ต้องการให้ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยให้มีหลากหลายมากขึ้น เพื่อเข้ามาแข่งขันในตลาด.
    --------------------------------
    Source : https://www.thansettakij.com/conten...u_bPuD55Fh2zBF29hxRbkpDsvQCyVHpZ_q7H8S19v5mIw

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำแหน่งโดยประมาณของเดือนพฤศจิกายน บนท้องฟ้าทางใต้ซึ่งจะมองหา P-7X (ดาวหาง) ขณะนี้ไม่มีการพบเห็น P-7X ที่ถูกต้อง เราจะทำการค้นหาต่อไปจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม (เวลาของ "ฮามาน" และเอสเธอร์)
    FB_IMG_1604758682126.jpg
    November's estimated location in the southern sky on where to look for P-7X (Comet). There is no valid sighting of P-7X at this time. We will continue the search till the end of December (time of "Haman" & Esther).

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ขณะที่ผมเขียนเรื่องนี้คือวัน 7 พ.ย. การเลือกตั้งของสหรัฐฯ กำลังเข้มข้นกับการนับคะแนนเพื่อรู้ผลแพ้ชนะกันระหว่าง โจ ไบเดน และ โดนัลด์ ทรัมป์ สองแคนดิเดตจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ผลออกมานั้นวุ่นวายพอสมควร แต่ก่อนอื่นผมจะขอเล่าถึงกฎกติการของการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ให้ฟังก่อนเพื่อเห็นภาพความวุ่นวายในเวลานี้

    Electoral votes เพื่อเลือกจำนวน ส.ส. ในสภาของสหรัฐฯ นั้นใช้วิธี winner-take-all คือถ้าคะแนน popular vote พรรคไหนได้มากกว่าจากคะแนนของประชาชน ก็กวาดจำนวน ส.ส. ไปหมด ยกเว้น 2 รัฐ คือรัฐเมน และ เนบราสกา ที่แบ่งเขตแล้วเลือกจำนวนส.ส.ที่ได้ไป ซึ่งแบบนี้คนไทยเห็นภาพได้ดีเพราะเหมือนบ้านเราทำกัน แต่การที่ใช้ระบบผู้ชนะได้เสียงไปหมดนั้นเหมือนกับเอาทั้งรัฐเป็นเขตเดียวกัน จำนวนของ ส.ส. มีเท่าไรจะกี่คนก็ตามจะได้หมดยกพรรคถ้าชนะมากกว่าคู่แข่งแม้จะเฉือนเพียงคะแนนเดียวก็ตาม แล้วจำนวน ส.ส.รวมจากทุกพรรคที่เข้าสภาจะเป็นฐานเสียงในการเลือกประธานาธิบดีต่อไปในขั้นตอนที่ 2 ดังนั้น ถึงแม้ผู้สมัครตำแหน่ง ปธน.จะได้คะแนน popular vote ทั้งประเทศสูงกว่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะในเกมนี้

    เวลานี้คะแนนเริ่มขาดลอยในรัฐสวิงสเตท ที่แต่เดิมนั้นทรัมป์มีคะแนนนำมาแล้วตั้งแต่เริ่มนับคะแนนก็ตาม แต่เมื่อมีผลการนับคะแนนทางไปรษณีย์เข้ามานับต่อ คะแนนของไบเดนก็เริ่มตีตื้นและนำห่างออกไปทุกรัฐที่ทรัมป์คิดว่าชนะแล้วแน่นอน เรื่องนี้มีที่มาที่ไปที่คาดเดาได้ เนื่องจากทรัมป์ได้พูดออกหาเสียงตามรัฐต่าง ๆ มาก่อนล่วงหน้าหลายเดือนแล้ว ว่าการลงคะแนนล่วงหน้าทางไปรษณีย์นั้นสามารถโกงกันได้ อย่างเช่น บัตรเพิ่ม บัตรหาย บัตรเขย่ง และทรัมป์เองก็ขอร้องให้ผู้สนับสนุนเขาออกมาเลือกตั้งในคูหาเหมือนเดิม ไม่ต้องไปกลัวโควิดที่ทรัมป์ชูว่าเป็นเพียงแค่โรคหวัดธรรมดาซึ่งตัวเขาเองก็เป็นแล้วหายในเวลาไม่กี่วัน โดยทรัมป์ได้พูดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการเลือกตั้งที่ทุจริตที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ

    เรื่องนี้จะบอกว่าทรัมป์เองก็วางแผนล่วงหน้าถึงปรากฎการณ์นับคะแนนล่วงหน้าทางไปรษณีย์ว่าต้องเป็นเสียงของไบเดนมากกว่าเสียงของเขามาก่อนแล้ว จากคนที่กลัวโรคโควิดแล้วใช้วิธีการเลือกตั้งทางไปรษณีย์ โดยแสดงความเห็นให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปจนกว่าสถานการณ์การระบาดจะดีขึ้น นั่นหมายความว่าการนั่งเก้าอี้ ปธน.จะถูกยืดออกไปอีก ซึ่งเรื่องนี้สภาไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และต่อมา ทรัมป์ได้แต่งตั้ง ลูอิส เดอจอย ผู้บริจาครายใหญ่ให้ทรัมป์ในการหาเสียงขึ้นเป็นผู้อำนวยการการไปรษณีย์สหรัฐฯ เป็นเกมหนึ่งที่ทรัมป์ได้เลือกเล่นเอาไว้คือจะทำให้บัตรเลือกตั้งที่ส่งเข้ามาหลังวันเลือกตั้งเป็นโมฆะ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดคือคะแนนของไบเดนทั้งนั้น

    หลังจากที่ ลูอิส เดอจอย ขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการการไปรษณีย์สหรัฐฯ ก็ได้สั่งเลิกใช้เครื่องแยกจดหมาย 600 เครื่อง หรือ 10% ของที่มีใช้อยู่ มีการจำกัดการทำงานล่วงเวลาของพนักงานไปรษณีย์ ยกเลิกส่วนงานคัดแยกไปรษณีย์บางแห่ง รวมทั้งตู้ไปรษณีย์ในที่สาธารณะบางจุด ด้วยข้ออ้างในการลดค่าใช้จ่ายที่ขาดทุนอยู่ แนนซี เพโลซี ประธานสภาล่างสหรัฐฯ ถึงกับต้องเรียกประชุมสภาให้อนุมัติเงินพิเศษ 25,000 ล้านดอลลาร์ให้กับไปรษณีย์เพื่อทำให้บัตรเลือกตั้งมาถึงหน่วยเลือกตั้งเร็วขึ้น โดยให้บัตรเลือกตั้งทุกฉบับเป็นไปรษณีย์ด่วนชั้นหนึ่ง แต่ลูอิส เดอจอย ก็กล่าวว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรทั้งสิ้นกับบัตรลงคะแนน โดยอ้างว่าไปรษณีย์ยังคงทำงานปลอดภัยและตรงเวลา แม้ว่าในช่วงใกล้คริสต์มาสจะมีไปรษณีย์ 500 ล้านชิ้นต่อวัน แต่ถ้ามาบัตรเพิ่มมาอีก 150 ล้านชิ้นก็ยังรับมือได้

    แต่สำหรับพรรเดโมแครตนั้นมองว่านี่คือเกมของทรัมป์ที่จะทำให้บัตรส่งถึงหน่วยนับคะแนนช้ากว่าวันเลือกตั้ง ที่ทรัมป์เองได้ออกมาเรียกร้องให้บัตรหลังวันที่ 4 เป็นโมฆะ ห้ามนำมานับคะแนน เป็นการตัดคะแนนเสียงของไบเดนอย่างชัดเจน และเมื่อสองวันที่ผ่านมา ทรัมป์ได้แต่งตั้งทนายความให้ร้องต่อศาลสูงขอนับคะแนนใหม่ที่รัฐเพนซิลเวเนีย มิชิแกน และจอร์เจีย เพื่อขอให้ยุติการนับคะแนนบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์ โดยกล่าวหาเจ้าหน้าที่นับคะแนนที่เป็นคนของพรรคเดโมแครต ไม่ยอมให้คนของพรรครีพับลิกันสังเกตการณ์นับคะแนนรัฐที่มีปัญหา โดยให้ตรวจสอบความถูกต้องของบัตรทางไปรษณีย์ด้วย เพราะเกรงว่าบัตรที่จะมานั้นคือบัตรที่ไม่ถูกต้องและเป็นบัตรเถื่อน

    และเมื่อวานนี้เองที่ ปธน.ทรัมป์ออกแถลงการณ์สดที่ทำเนียบขาวว่ามีการโกงการเลือกตั้ง สถานีโทรทัศน์เอบีซี, ซีบีเอส และเอ็นบีซี ยุติการถ่ายทอดสดการแถลงข่าวของประธานาธิบดีทรัมป์ลงกลางคันในเวลาไม่กี่นาที โดยทุกสื่อให้เหตุผลว่า สิ่งที่ทรัมป์พูดไม่มีมูลความจริงและปราศจากหลักฐานมายืนยันสิ่งที่พูด รวมทั้งสื่อโซเชียลอย่างทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กก็ร่วมตัดการถ่ายทอดสดในครั้งนี้ด้วย ในเหตุผลไม่ต่างกัน พร้อมกับขึ้นบอลลูนเหนือข้อความของทรัมป์ว่าเป็นเรื่องที่ไม่จริงและมีผลต่อการเลือกตั้งในครั้งนี้

    ในช่วงการนับคะแนนที่มีปัญหาในบางรัฐที่มีฐานคะแนนเสียงเลือดร้อนของคนผิวขาวที่เป็นฐานเสียงของทรัมป์นั้น ถึงกับมีการเอาอาวุธออกมาประท้วงหน้าหน่วยนับคะแนนนับร้อยคน จนถึงต้องเข้าควบคุมความสงบด้วยกำลังของตำรวจและทหาร ในเวลาเดียวกันฐานคะแนนของไบเดนก็ออกมาประท้วงบนถนนอีกเช่นกัน เพียงแต่มีความรุนแรงน้อยกว่าผู้สนับสนุนทรัมป์ และเป็นไปได้ว่าถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้มีการจบที่ไม่ดีก็อาจจะเกิดการปะทะกันได้โดยง่าย และอาจจะลามไปถึงการจลาจลเกือบทั้งประเทศจากผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่าย ซึ่งถ้าทรัมป์ยังเติมเชื้อไฟของความโกรธแค้นออกไปสู่ประชาชนที่เป็นฐานเสียงอย่างต่อเนื่องก็เกิดได้ไม่ยากนัก

    เรื่องนี้สามารถจินตนาการไปได้อีกหลายเรื่อง ถ้าสมมุติว่าทรัมป์ไม่ยอมส่งคืนอำนาจให้ไบเดนอย่างสันติแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อมา เรื่องนี้ แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเดโมแครตกล่าวอย่างมั่นใจว่า ไบเดนจะเข้าสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคมนี้อย่างแน่นอน และในรัฐธรรมนูญได้กำหนดว่าอำนาจของ ปธน.คนเดิมจะหมดลงไปหลังจากที่ผู้รับตำแหน่งคนใหม่สาบานตน หรือคือเที่ยงวันที่ 20 มกราคม ถึงแม้จะไม่มีการส่งมอบอำนาจตามที่เคยเป็นมาทุกครั้งก็ตาม

    และถ้าทรัมป์อ้างถึงคดีความที่ยังคงค้างคาในศาลสูงสุดสหรัฐฯ ให้ยืดเวลาการนั่งเก้าอี้ออกไปอีก จะผิดตามที่กำหนดในรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรืออีกทางก็คือถ้าคำพิพากษาของศาลสูงสุดออกเร็วและมีแนวทางตรงกันข้ามกับรัฐสภาโดยให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมษะในบางรัฐ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น การแต่งตั้งปธน.ต้องยึดถือคำพิพากษาของศาลสูงสุดหรือการลงมติในสภา เรื่องนี้คงน่าปวดหัวและชวนให้เกิดจลาจลเอาง่าย ๆ เพราะเดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ตั้งคนในฝั่งของตัวเองเข้านั่งเก้าอี้หนึ่งในองค์คณะของศาลสูงสุดมาแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ทำให้คำพิพากษามีแนวโน้มที่จะเป็นคุณแก่ทรัมป์ ถ้าเกิดคะแนนเสียงเท่ากันระหว่างฝ่ายก้าวหน้าและอนุรักษ์นิยมในองค์คณะศาลสูงสุด

    ในเวลานี้หน่วยอารักขาความปลอดภัยผู้นำสหรัฐฯ จากทำเนียบขาวได้แบ่งคนจำนวนหนึ่งอย่างไม่เป็นทางการให้ออกมาคุ้มกันไบเดนไม่ให้เกิดอันตรายจากสิ่งไม่คาดคิด ถ้ามีผู้สนับสนุนเลือดร้อนของทรัมป์เกิดบ้าพอที่จะลอบสังหารไบเดนคงเป็นเรื่องที่ใหญ่พอสมควรและเป็นชนวนให้เกิดการจลาจลได้ ซึ่งตามปกติการมีบอดีการ์ดให้กับ อีเลคท์เพรสซิเดนท์ หรือผู้ชนะการเลือกตั้งนั้นจะทำต่อเมื่อมีมติผ่านการโหวตจากสภาแล้วเท่านั้น แต่ครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ต้องทำเรื่องนี้อย่างไม่เป็นทางการและไม่ได้รับการยืนยันทั้งจากทีมหาเสียงของไบเดนและหน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึงเรื่องนี้ แต่วอชิงตันโพสต์ได้เขียนข่าวนี้ออกมาได้สองวันแล้วในการประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์

    แล้วใครจะเป็นคนเอาทรัมป์ออกจากทำเนียบขาวได้ถ้าทรัมป์ไม่ยอมออกจากทำเนียบขาวจริง ๆ เรื่องนี้พอคาดเดากันได้ว่า หน่วยอารักขาความปลอดภัยผู้นำสหรัฐฯ นั่นแหละที่ต้องเอาตัวทรัมป์ออกไปจากห้องทำงานรูปไข่ เพราะเมื่อมีการสาบานตนจบสิ้นแล้ว ประธานาธิบดีตัวจริงจะเข้าครอบครองทำเนียบขาว และหน่วยรักษาความปลอดภัยจะต้องขึ้นตรงกับคำสั่งของเจ้านายคนใหม่ ทรัมป์เองจะเป็นเพียงผู้บุกรุก ทำเนียบขาวต้องเชิญตัวออกไป แต่ถ้าไม่ออกก็ต้องลากตัวออกไป แม้จะเป็นภาพที่ไม่น่าดูนัก ก็คงต้องทำ

    การเลือกตั้งครั้งนี้สร้างประวัติศาสตร์หลายเรื่องมากมาย ทั้งกลโกง การเอาเปรียบคู่แข่ง สื่อตัดแถลงการณ์สดของปธน.ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ การฟ้องศาลสูงสุดในเรื่องการโกงคะแนนและนับคะแนนที่ไม่เป็นธรรมสำหรับตัวทรัมป์เอง แต่น่าจะเป็นธรรมแล้วกับพรรคเดโมแครตและคนทั่วไป รวมถึงการเสี่ยงที่จะเกิดจลาจลตามเมืองต่าง ๆ ถ้าทรัมป์ต้องการให้เป็นแบบนั้น และถ้าการส่งมอบอำนาจในวันที่ 20 มค.เกิดมีปัญหาขึ้นมาจริง ๆ ก็คงได้บันทึกในประวัติศาสตร์เรื่องใหม่อีกเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการเลือกตั้งของสหรัฐฯ

    #uselection2020

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) มักระบาดในช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว หรือประมาณ เดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน โดยส่วนมากจะเป็นในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อาการเบื้องต้นคล้ายเป็นไข้หวัดธรรมดา มีน้ำมูก ไข้ ไอ จาม แต่สามารถเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ และขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และไม่มียารักษาโดยตรง เป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น

    ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงโรค RSV ว่า ไม่ใช่โรคใหม่ เป็นโรคที่รู้จักกันมากว่า 50 ปีแล้วและเกิดขึ้นทุกปี เป็นโรคทางเดินหายใจที่พบบ่อยที่สุดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เกิดจากเชื้อไวรัส 2 ประเภท คือ RSV-A และ RSV-B ซึ่งในปีนี้พบการระบาดด้วยไวรัส RSV-A มากกว่า เด็กที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถกลับมาเป็นได้อีก เพราะภูมิคุ้มกันไม่สามารถอยู่กับเด็กได้ตลอดไป การระบาดของโรคมักจะเกิดขึ้นในช่วงหลังโรงเรียนเปิดเรียน ซึ่งสถานการณ์การระบาดในปีนี้เริ่มระบาดตั้งแต่เดือนกันยายน และจนถึงปัจจุบันการระบาดก็ยังไม่มีแนวโน้มลดลง โดยในเด็กส่วนใหญ่จะมีอาการไม่หนัก อาการสำคัญคือ มีไข้และอาการของระบบทางเดินหายใจ ในเด็กที่มีอาการมากจะมีอักเสบของหลอดลม ทำให้หายใจเร็วหรือหอบ ในเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปีอาจมีอาการปอดอักเสบร่วมด้วยได้

    ศ.นพ.ยง กล่าวว่า วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคนี้ทำได้ง่ายมาก เพียง 15 นาทีก็ทราบผลได้ทันที ทำให้โรคนี้ถูกกล่าวถึงกันมากขึ้น เพราะเป็นโรคที่พบบ่อยแต่ยังไม่มียารักษา ต้องรักษาไปตามอาการ นอกจากนี้ ยังไม่มีวัคซีนป้องกันอีกด้วย ซึ่งปัจจัยในการป้องกันโรคนั้นไม่ใช่แค่เพียงภูมิคุ้มกันเพียงอย่างเดียว มาตรการป้องกันที่ดีที่สุดคือการดูแลสุขอนามัยโดยเฉพาะเด็กเล็กเมื่ออยู่ในโรงเรียน การเรียนและนอนในห้องแอร์ทำให้เด็กมีการใกล้ชิดกัน อาจทำให้ติดโรคได้ง่าย ดังนั้นหากเด็กป่วยก็ไม่ควรให้มาโรงเรียน ห้องเรียนที่มีเด็กติดเชื้อ ก็ควรจะปิดห้องแล้วฆ่าเชื้อทำความสะอาดเสียก่อน

    “วิธีการป้องกันโรค RSV ทุกคนในบ้านควรหมั่นล้างมือให้สะอาด ทำความสะอาดบ้านและของเล่นเป็นประจำสม่ำเสมอ ไม่คลุกคลีกับเด็กที่เป็นหวัด หลีกเลี่ยงการจูบและหอมแก้มเด็ก ใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน และไม่พาเด็กไปในที่สาธารณะหรือสถานที่แออัด”

    ทั้งนี้ มีรายงานการระบาดหนักในจังหวัดนครราชสีมา และในจังหวัดขอนแก่น พบผู้ติดเชื้อสะสมเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีแล้วกว่า 400 ราย และยังมีรายงานกลุ่มผู้สูงอายุ ที่มีโรคประจำตัว เป็นกลุ่มเสี่ยงที่สามารถติดเชื้อเช่นกัน

    ที่มา เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    6 พ.ย. 63 ไมเคิล จอร์จ ลิงค์ ผู้อำนวยการองค์กรความมั่นคงและความร่วมมือแห่งยุโรป (OSCE) ในฐานะตัวแทนระหว่างประเทศที่เฝ้าติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเปิดเผยว่า ทีมงานของเขายังไม่พบหลักฐานที่จะสนับสนุนคำกล่าวอ้างของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 2 จากพรรครีพับลิกันที่ว่า มีการฉ้อโกงในการนับคะแนนเลือกตั้งทางไปรษณีย์

    นายลิงค์เปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์ Rundfunk Berlin-Brandenburg หรือ RBB ของเยอรมนีว่า "ในวันเลือกตั้งของสหรัฐนั้น เรายังไม่พบเห็นการละเมิดกฎเกณฑ์ใดๆ ที่คูหาเลือกตั้งต่างๆ ที่เราเดินทางไปสังเกตการณ์"

    นายลิงค์ยังกล่าวด้วยว่า เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมากที่ทรัมป์กล่าวอ้างเรื่องการฉ้อโกงในการนับคะแนนทางไปรษณีย์ เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการใช้วิธีลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19

    "เมื่อเราเข้าไปสังเกตการณ์ เราไม่พบว่ามีการละเมิดกฎระเบียบใดๆ" นายลิงค์กล่าวกับ RBB

    นายลิงค์ยังระบุด้วยว่า แม้แต่ผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งหรือสื่อมวลชนของสหรัฐเอง ก็ไม่พบหลักฐานการโกงเลือกตั้ง แม้ทีมงานของ OSCE ได้เน้นย้ำถึงความวิตกที่มีมาช้านานเกี่ยวกับการตัดสิทธิ์ผู้ลงคะแนนบางราย และผลกระทบที่บิดเบือนของกฎหมายการระดมทุนในการหาเสียงก็ตาม

    นอกจากนี้ นายลิงค์ยังกล่าวถึงกรณีที่ปธน.ทรัมป์พยายามจะยุติการนับคะแนนเลือกตั้งว่า "ปธน.ทรัมป์ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น และความรับผิดชอบในการนับคะแนนขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐ"

    ทั้งนี้ OSCE เป็นองค์กรที่ตั้งอยู่ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย โดยมีสหรัฐเป็นสมาชิกด้วย โดยองค์กรแห่งนี้ทำหน้าที่สังเกตการณ์การเลือกตั้งครั้งใหญ่ในบรรดาประเทศสมาชิกทั้งหมด

    https://www.nbc29.com/2020/11/05/election-observer-says-no-evidence-trumps-fraud-claims/

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    7 พ.ย.63 เว็บไซต์นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานว่า พลันที่คะแนนของนายโจ ไบเดน ในรัฐสวิงสเตทอย่าง เพนซิลวาเนีย และจอร์เจีย พลิกมานำประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวานที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะทำให้แนวโน้มในการเข้างานในทำเนียบขาวของไบเดน ในฐานะผู้นำสหรัฐคนที่ 46 ใกล้ความจริงเข้าไปทุกทีแล้ว ยังปลุกเร้าบรรดากองเชียร์ของไบเดน ให้พาเหรดกันออกมาไล่ทรัมป์ออกจากทำเนียบขาวอีกด้วย

    โดยบรรดากองเชียร์ไบเดน นำป้ายมาแขวนตามรั้วรักษาความปลอดภัยชั่วคราวด้านนอกทำเนียบขาว ที่เต็มไปด้วยข้อความไล่ โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องให้รีบออกจากห้องทำงานรูปไข่

    ด้านหนึ่งของรั้วมีป้ายโปสเตอร์ 7 แผ่นเรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมโดยแต่ละป้ายเขียนคำว่า “Loser” หรือคนแพ้ ด้วยสีสันต่างกัน ขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นป้ายสีชมพูพร้อมข้อความว่า “Eviction Notice” หรือประกาศขับไล่ ที่อยู่ติดกับอีกป้ายหนึ่งที่เขียนว่า “Count Every Vote” ที่แปลว่า นับทุกคะแนนเสียง ซึ่งโยงไปถึงความพยายามของทรัมป์ในการหยุดการนับคะแนนในรัฐที่ตัวเองถูกทิ้งห่าง

    นอกจากนี้ ยังมีป้ายที่ติดอยู่กับหุ่นไล่กาสวมเสื้อสีส้มที่สกรีนข้อความว่า “TrumpPence #OutNow” หรือทรัมป์กับเพนซ์ออกไปเดี๋ยวนี้

    โดยคำกล่าวที่ไบเดนได้ประกาศเมื่อค่ำคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้แก่ “เราจะยังไม่มีการประกาศชัยชนะ แต่ตัวเลขที่ออกมาบอกเล่าเรื่องราวที่ชัดเจนและน่าเชื่อว่าเราจะชนะการแข่งขันนี้”

    https://nypost.com/2020/11/07/joe-b...er-white-house-fence-with-anti-trump-posters/

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    *** วิจัยที่น่าสนใจ ได้ข้อมูลดีํมาก} โดยการสุ่มตรวจ Antibody 6 ชนิดในประชากร Iceland 3 หมื่นกว่าคน

    ในผู้ที่กักตัวเพราะมีความเสี่ยงสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อนั้น มี 2.3 %

    ในประชากรทั่วไป ที่ไม่มีความเสี่ยงสัมผัสเชื้อ ก็สามารถสุ่มตรวจเจอได้ 0.3 %

    แต่ถ้าประเมินภาพรวมทั้งประเทศ นักวิจัยประมาณการว่า น่าจะมีประชากรของ Iceland 0.9 % ติดเชื้อไปแล้ว

    ...........

    ข่าวที่ดูเหมือนจะเป็นข่าวดี คือ ผู้ติดเชื้อจะมี Antibody อยู่ได้นาน 4 เดือน (

    ในไทย ถ้ามีการสุ่มตรวจ Antibody แบบวิจัยที่ออกแบบมาดีๆ ตรวจในเมืองใหญ่ ๆ หรืออาชีพเสี่ยงต่างๆ น่าจะได้คำตอบที่ดีของการติดเชื้อ Covid19 ที่ระบาดเงียบ

    ....

    อ้างอิึงจาก

    Humoral Immune Response to SARS-CoV-2 in Iceland

    October 29, 2020
    N Engl J Med 2020; 383:1724-1734

    https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa2026116?query=featured_home

    .

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ถือว่าค่อนข้างเกือบจะชัดเจนกันแล้วที่ Joe Biden กำลังจะได้รับชัยชนะในศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 นี้ เมื่อคะแนน Delegates ที่นับได้จากบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์ภายในมลรัฐเพนซิลเวเนียพลิกขึ้นกลับมานำของ Donald Trump ไปมากเกือบ 30,000 คะแนน

    ทำให้แนวโน้มที่ Biden จะสามารถรวบรวมคะแนนให้ถึง 270 ก่อน Trump มีมากขึ้น แล้วไหนจะคะแนนจากมลรัฐเนวาด้าและจอร์เจียที่กรรมการเขตยังทำการนับไม่เสร็จอีก ทางฝั่ง Biden จึงเริ่มแสดงออกถึงความมั่นใจแล้วว่าตนเองจะชนะ

    อย่างไรก็ดี ถ้าย้อนมาดูที่คะแนนของวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จะเห็นว่าคะแนนของฝั่ง Democrat ไม่ได้ทิ้งห่างจากทางฝั่ง Republican มากเท่าที่ควร อย่างในส่วนของวุฒิสภา ส.ว. ที่พรรค Democrat มีอยู่ในมือตอนนี้ก็ยังมีไม่ถึง 51 คน ทำให้โอกาสที่จะคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้มีน้อยลง

    การไม่สามารถคุมเสียงข้างมากภายในสภาได้นั้นไม่ได้จะมีปัญหาแค่เรื่องการออกกฎหมายแล้วโดนพรรคฝ่ายตรงข้ามสกัดภายในกระบวนการบัญญัติกฎหมายแบบทั่วๆไปเพียงเท่านั้นนะครับ แต่การไม่ได้คุมเสียงข้างมากในสภาจะไปมีผลอีกทีตอนที่รัฐบาลชุดใหม่พยายามจะจัดตั้งคณะรัฐมนตรี

    เพราะตามรัฐธรรมนูญของอเมริกาแล้ว บางตำแหน่งระดับสูงภายในหน่วยงานรัฐที่ประธานาธิบดีได้ออกคำสั่งแต่งตั้งนั้น จะต้องได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภาด้วยมติเสียงข้างมากก่อนถึงจะสามารถแต่งตั้งได้ พวกรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆอะไรพวกนี้เนี่ยต้องผ่านมติของพวก ส.ว. ทั้งสิ้น

    ซึ่งถ้าหากพรรค Democrat ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้ หรือได้ ส.ว. มาไว้ในมือได้ครบ 51 คนหรือมากกว่านี้ ก็จะถูก ส.ว. จากพรรค Republican พยายามสกัดตั้งแต่งานแรกๆ คือ การประชุมจัดตั้งคณะรัฐมนตรีกันเลย

    ** นอกจากการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีแล้วก็จะมีโอกาสที่ประธานาธิบดีอาจจะอยากแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุด (Supreme Court) และการร่างกฎหมายกู้เงินอะไรทำนองนั้นอีกที่อาจจะโดนฝั่ง Republican ซึ่งนำโดย Mitch McConnell พยายามรวบรวมเสียงข้างมากมาขัดขวางเอาได้

    สำหรับประเด็นที่อยู่นอกเหนือจากเรื่องในสภา หรือ จำนวน ส.ว. แล้วก็ยังมีประเด็นเรื่องการบริหารงาน แน่นอนว่าในช่วงที่ Biden นั้นเป็นรัฐบาลอยู่ ไวรัส COVID-19 น่าจะยังไม่ได้หายไปจากโลก หรือกลายเป็นโรคท้องถิ่นไปได้ง่ายๆ เรื่องวัคซีนก็ดูจะยังไม่ได้เป็นรูปเป็นร่างเท่าที่ควร

    จะหวังพึ่งวัคซีนจีนหรือรัสเซียที่ทำเสร็จไวๆ ทางฝั่งสหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้มีความไว้ใจ หรือตื้นเขินเพียงพอที่จะกล้าเสี่ยงกับวัคซีนของทางฝั่งจีน ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงที่กระแสการต่อต้านจีน (Sinophobia) ภายในสหรัฐอเมริกามันยังตลบอบอวลอยู่ในขณะนี้

    หากไวรัสมันกลับมาระบาดระลอกใหญ่อีกจนถึงขั้นต้องมีการประกาศล็อคดาวน์เหมือนในแถบยุโรป และอังกฤษอีก (ตอนนี้ในหลายๆพื้นที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาว โอกาสที่ไวรัสจะกลับมาแพร่ระบาดอีกก็มีเพิ่มขึ้น) จะมีอะไรการันตีหรือรับรองว่าสหรัฐอเมริกาภายใต้การบริหารงานของ Biden จะสามารถควบคุมสถานการณ์ไวรัสได้

    ที่ผมบอกว่า Biden อาจจะคุมสถานการณ์ของไวรัสไว้ไม่ได้นี้ไม่ได้หมายถึงว่า Biden จะละเลย หรือทำอะไรผิดพลาดจนเกิดการลุกลามนะครับ แต่อยากให้ลองย้อนกลับไปดูผลคะแนนการโหวตที่ประชาชนอเมริกาโหวตให้ Trump จากการเลือกตั้งครั้งนี้

    Trump คะแนนโหวตทะลุ 70,000,000 เสียงไปแล้วนะครับ แปลได้แบบหยาบๆว่าคะแนนนิยมของเขานั้นเพิ่มขึ้นมาจากช่วงปี 2016-2017 มาก (เกือบๆ 8,000,000 เสียง) การจะเคลมว่า Biden ชนะเพราะ "คนทั้งสหรัฐอเมริกาเบื่อ Trump แล้ว" นั้นจึงไม่ควรเกิดขึ้น

    Trump ในปีนี้จึงยังถือว่าค่อนข้างมีอิทธิพลต่อชาวอเมริกามากอยู่ คนในสังคมก็ยังรักและเชื่อมั่นในแบรนด์ Donald Trump กันอยู่ การยังเชื่อมั่นใน Trump นี้จะส่งผลอย่างมากตอนรัฐบาล Biden ทำการบริหารจัดการภัยเรื่องโรคระบาดในปี 2021

    ให้นึกดูนะครับ ถ้าไวรัสระบาดอีก แค่ Donald Trump ทวีตข้อความเชิญชวนให้คนอเมริกาทั่วประเทศถอดหน้ากาก หรือ รณรงค์ให้ไม่ต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน แล้วออกไปสูดอากาศข้างนอกบ่อยๆจากนั้นอ้างเหตุผลเรื่อง 'เสรีภาพ' ในระหว่างที่รัฐบาล Biden พยายามจะควบคุมโรคระบาดอยู่ ก็เป็นปัญหาระดับวิกฤติกันแล้วครับ

    อย่าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้นะครับ เราเห็นกันแล้ว ในช่วงเกือบ 1 ปีที่ผ่านมานี้ Donald Trump ไม่ใส่หน้ากากจนติดไวรัส COVID-19 ไป คนอเมริกาก็ยังเชื่อใน Trump อยู่ แถมยังมีช่องว่างให้ Trump เอาเรื่องตัวเองไม่ใส่หน้ากากแล้วรอดตายจากไวรัส ไปข่ม Biden ที่ยอมกักตัวอยู่ในบ้าน และใส่หน้ากากตลอดเวลาด้วย (ด้วยการล้อเลียนว่าเพราะ Biden อ่อนแอ)

    เอาง่ายๆไม่ต้องถึงขั้นเรื่องไวรัส COVID-19 ระบาดอีกรอบหรอก ดูจากเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ก็ได้ วันพฤหัสมั้ง Trump เขาทวีตข้อความแบบปลุกปั่นว่าตัวเขาเองนั้นโดนโกงเลือกตั้งในรัฐมิชิแกน แล้วพยายามเรียกร้องให้หยุดนับคะแนน แค่นี้เอง แฟนคลับและกลุ่มมวลชนที่สนับสนุน Donald Trump ก็ถือปืนลงมาเดินบนถนนเตรียมจะก่อม็อบปิดศูนย์นับคะแนนบัตรเลือกตั้งหลายๆแห่งกันแล้ว

    ทั้งๆที่ Trump ไม่ได้เรียกร้องหรือออกคำสั่งอะไรเลย มวลชนก็ออกมาตะโกนประท้วงด้วยประโยคแนวๆว่า "หยุดขโมยคะแนนจาก Donald Trump ได้แล้ว" หรือไม่ก็ "หยุดโกงเลือกตั้งได้แล้ว" กันเป็นแถว Trump มีอิทธิพลทางความคิดกับคนเหล่านี้ และคนอเมริกาในกลุ่ม 70,000,000 กว่าคนที่เลือกโหวตเขามากนะครับ

    _______________________

    UPDATE: อีกเรื่องหนึ่ง คือ ตามที่ผมได้เขียนเอาไว้ในวันก่อนๆ ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของมรดกทางการเมืองที่ Donald Trump ทิ้งเอาไว้ให้สหรัฐอเมริกาก็คือ ความแตกแยก และทัศนคติด้านลบในเชิงเหยียดเชื้อชาติ เหยียดคนต่างชาติ

    Trump ได้เปิดเผยให้เห็นว่าแนวคิดแบบหลักนิยมคนผิวขาว (white supremacism) นั้นยังเป็นแนวคิดที่ไม่ได้ล้าสมัยในยุคปัจจุบัน คนอเมริกาจำนวนมากจึงมีความกล้าที่จะแสดงทัศนคติดังกล่าวออกมามากขึ้น ดังจะเห็นได้จากคนรุ่น Gen X และ Baby Boomer หลายๆคนที่ออกมาทำท่าทีรังเกียจคนจีน รังเกียจคนดำ หรือรังเกียจคนต่างชาติ ตะโกนด่า ตะโกนไล่เป็นหมูเป็นหมาได้อย่างเปิดเผยมากขึ้น

    ** ประเด็นนี้อาจจะยังไม่ได้สร้างผลกระทบที่เป็นรูปธรรมจนถึงขั้นรับรู้สึกได้มากขนาดนั้น แต่คาดว่าน่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะก่อให้้เกิดปัญหาตามมาภายในระหว่างที่ Biden เป็นรัฐบาลได้ในอนาคต เช่น ในกรณีที่ Biden มีนโยบายที่เปิดกว้างรับชาวต่างชาติ หรือเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวขึ้นมา ก็อาจจะมีคนกลุ่มที่สนับสนุน Trump ออกมาป่วน หรือก่อกวนคัดค้านนโยบายดังกล่าวอย่างรุนแรงได้

    เรื่อง ทายาททางการเมืองของ Joe Biden ก็เช่นกัน อย่าลืมว่า Biden นี้อายุจะ 80 ปีแล้ว แก่กว่า Trump อยู่ 3-4 ปี ผมไม่คิดว่า Biden จะสามารถอยู่ต่อหรือเล่นการเมืองต่อได้จนถึงปี 2024 ข้างหน้า อย่าว่าแต่สมัยที่ 2 เลย Biden จะสามารถอยู่ได้จนจบครบเทอม 1 นี้หรือเปล่าก็ไม่แน่

    ตอนนี้ก็มีแค่ Kamala Harris แคนดิเดทรองประธานาธิบดีเท่านั้นที่พอจะสามารถขึ้นมาเป็นตัวแทนหรือทายาททางการเมืองของ Biden ต่อได้ แต่ก็ต้องรอดูกันอีกทีอยู่ดี ว่า Harris นั้นจะมีบารมีทางการเมือง หรือมีบทบาทเป็นที่รู้จักได้พอที่ฐานเสียงของพรรค Democrat ทั้งหมดจะยอมรับได้ไหมในอนาคตหรือพรรค Democrat จะต้องหาคนอื่นมาแทนอีก

    ปล. เรื่องประเด็นทางกฎหมาย และการเล่นเกมยื้อด้วยกลไกทางกฎหมายผมขออนุญาตไม่กล่าวถึงนะครับ เนื่องจากเป็นประเด็นที่เพจอื่นๆ หรือสำนักข่าวหลายๆแห่งได้กล่าวถึงกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงขอเน้นไปที่ประเด็นที่ยังไม่ค่อยมีคนพูดถึงเป็นหลักเพื่อประหยัดเวลาผู้อ่าน

    Blockdit (อันนี้ลิงค์ Blockdit เผื่อใครสะดวกอ่านในแอพเล็กมากกว่า): https://www.blockdit.com/articles/5fa6a8c018fd6e0cf34d160d

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1604759864142.jpg

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The Daily Reconing : Life Under Biden
    จะเกิดอะไรถ้า Joe Biden เป็นประธานาธิบดี
    ...มองแบบโลกไม่สวย...
    Jim Rickards Nov 6, 2020

    ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่า Joe Biden จะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐคนต่อไปแน่แล้ว นอกจาก Trump จะสามารถประสบความสำเร็จในการเอาผิดการเลือกตั้งได้ในศาล

    An Historic Turning Point Election

    การเลือกตั้งครั้งนี้จะถือเป็นจุดหักเหในประวัติศาสตร์

    การเลือกตั้งที่เป็นจุดหักเห..ที่นำประเทศไปในเส้นทางที่แตกต่างกันในอดีตที่เคยเกิดขึ้น คือ

    การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองเมื่อปี 1800 ...การเกิดประชานิยมเมื่อปี 1828 ...เกิดสงครามกลางเมืองเมื่อปี 1860 ...เสรีนิยมในปี 1932 ...และอนุรักษ์นิยมในปี 1980

    ทุก ๆ 100 ปี อเมริกาจะมีประธานาธิบดีคนใหม่ที่เข้ามาเขย่าถึงระดับฐานรากของชาติ และล้างสิ่งสกปรกออกจากท่อน้ำโสโครกของเมืองหลวงแห่งนี้ เช่น ..เมื่อปี 1800 ก็คือ Andrew Jackson ...ในช่วงปี 1900s ก็มี Teddy Roosevlt ...พอถึงปี 2000s ก็มี Donald Trump

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Trump และ Biden จะนำอเมริกาไปคนละทิศละทางกันเลย และจะก่อให้เกิดผลที่ล้ำลึกในอนาคตของชาติและอนาคตการเลือกตั้งเอาเลย

    The Scenario Under a Biden Administration

    เริ่มแรกก่อนเลย ...Biden เป็นปธน. แต่ในนามเท่านั้น เขาไม่ใช่คนไบร์ทอย่างที่เห็น ความสำเร็จของเขาในรอบห้าสิบปีมีน้อยมาก ...เขามีสุขภาพที่แย่มาก ไหวพริบของเขาลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุ

    ถ้า Joe Biden ชนะครั้งนี้ เขาจะมีอายุ 78 ปีตอนสาบานตน และ 82 ปี ตอนพ้นตำแหน่งเทอมแรก ทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ ....ที่จริงก็ยังมีคนที่อยู่ในวัย 70s ปลาย ที่ยังมีปัญญาที่เฉียบแหลมอยู่ แต่ไม่ใช่กับ Biden

    ที่แน่ ๆ Biden จะไม่ใช่ ปธน.โดยพฤตินัย ...เมื่อไม่มี Trump แล้ว พรรคเดโมแครทก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เขาอีก ...พอถึงระยะหนึ่ง จะมีขั้นตอนการเอาเขาออกจากตำแหน่งแบบเนียน ๆ เช่น การไร้ความสามารถทางสมอง ที่เป็นไปตาม Twenty-fifth Amendment ของรัฐธรรมนูญสหรัฐ ..ซึ่ง Nancy Pelosi ได้เสนอกฏหมายปูทางไว้ ให้แต่งตั้งกรรมาธิการเพื่อพิจารณาเรื่องนี้รอไว้แล้ว ....เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐเปี๊ยบเลย

    แต่ขณะที่อยู่ในตำแหน่ง ใครล่ะจะเป็น ปธน.ตัวจริงในคณะรัฐบาล Biden ....ดู ๆ ไปแล้วน่าจะมีคณะบุคคลอยู่สามกลุ่มที่กำลังชิงกันอยู่

    คณะแรก คือคนในครอบครัวนำโดยภรรยาของโจเอง Dr. Jill Biden ..ลูกชายของโจ ..Hunter และน้องชายของโจ ..Jim และ Frank Biden ....นี่คือคณะบุคคลที่ได้สร้างความร่ำรวยมาในช่วงที่โจอยู่ในอำนาจมาตลอด

    Biden family จะต้องพยายามรักษาอำนาจของโจอย่างสุดฤทธิ์ (Jill Biden จะเป็นผู้นำเอง) เพื่อสู้กับผู้ชิงกลุ่มอื่น ๆ

    คณะที่สอง นำโดย Kamala Harris รองปธน. และกลุ่มผู้ชักใยเธอ กลุ่มนี้รวมเอาทีมของ Obama ไว้ด้วย ถ้า Biden ถูกถอดถอนตาม Twenty-Fifth Amendment ..Kamala Harris จะเข้ามารักษาการ แต่ถ้า Biden เกิดลาออกจากการโดนขู่หรืออะไรก็ตาม Harris จะเข้ามาเป็น ปธน.เต็มตัว

    ทีนี้เธอก็จะเป็นแนวหน้าของ Obama และ Valerie Jarrett ซึ่งจะนำคณะรัฐมนตรีที่ประกอบไปด้วยตนในครอบครัวของ Obama ที่รวมเอา Susan Rice, Samantha Power, Sally Yates and Eric Holder.

    คณะที่สามนำโดย ฝ่ายซ้ายสุดขั้วของพรรค ที่มี Bernie Sanders, Alexandra Ocasio-Cortez (and The Squad), Elizabeth Warren และพวกหัวรุนแรง แบบ BLM (Black Life Matters)

    กลุ่มนี้ซุกตัวอยู่ในทีมหาเสียงมาก่อนแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ Bernie Sanders ยอมถอนตัวก่อนไพรมารี่ หันมาสนับสนุน Joe Biden แลกกับการแต่งตั้งคนของ Sanders เข้ามาในคณะรัฐมนตรี

    ผลที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ การผสมกันของทั้งทีมของ Obama กับเหล่าสหายของ Bernie Bros ที่จะได้ออกจากท้องถนนซะที ...พวกครอบครัว Bidens ก็อาจจะได้รับอนุญาตให้เก็บเงินบริจาคที่ได้จากรัสเซียและจีนเอาไว้ โดยไม่ต้องขึ้นศาลอะไรทั้งนั้นแลกกับการ ...ไปให้พ้นหน้าพวกกู แล้วเงียบ ๆ ด้วย...

    ทีมของ Obama จะเข้ามายึดอำนาจด้านต่างประเทศ (รักษานโยบายเดิมเช่น Iran's Deal ..Paris Climate Accord และ the Trans-Pacific Partnership) ในขณะที่ทีมของ Bernie Bros จะเล่นกับนโยบายในประเทศ ที่รวมถึงการเพิ่มภาษีอย่างมโหฬาร ..รักษาฟรี ..เรียนฟรี ..อภัยโทษหนี้ กยศ. ..นโยบายแจกเงิน UBI ..Modern Monetary Theory และ Green New Deal.

    A “Blue Wave” Could Have Meant The End of Republican Power in U.S. Politics

    เรื่องใหม่อีกเรื่องที่เหล่าเดโมแครทคงยินดีมาก คือการเปลี่ยนรูปแบบที่จะทำให้พรรครีพับลิกันจะไม่มีโอกาสเข้ามามีอำนาจอีกเลย เช่นเสนอให้ Puerto Rico และ D.C. เป็นรัฐที่จะทำให้มีวุฒิสมาชิกเพิ่มขึ้นที่แน่นอนว่าเป็น เดโมแครท

    ต่อไป เดโมแครทมีการเตรียมคณะผู้พิพากษาศาลสูงจำนวนหกท่านเข้ามาแทนที่กลุ่มเสียงข้างมาก หลังการเข้ารับตำแหน่งของ Amy Coney barrett

    หลังจากเรื่องนี้ ก็จะมีการกำจัดเปลี่ยนคณะ Electoral College ...นั่นหมายความว่า แค่สองรัฐคือ แคลิฟอร์เนียกับนิวยอร์ค ก็พอแล้วที่จะเลือกประธานาธิบดีคนต่อไปในอนาคต

    ถ้าเป็นไปตามนี้ วาระทั้งหลายแหล่ของ Bernie Bros ก็คงจะลื่นไหลไม่มีก้างมาขวางคอได้เลย ...ศาลก็ศาลเถอะ

    แต่ก็ยังคงต้องควบคุมสภาสูงไว้ให้ได้ ...ถ้าคุมได้ทั้งไว้ท์เฮาส์ สภาล่างและสภาสูง ...รีพับลิกันก็คงไม่ได้เกิด

    แต่ถ้ารีพับลิกัน ยังคงคุมสภาสูงไว้ได้ กฏหมายแบบ radical สุด ๆ คงไม่มีวันได้แจ้งเกิด

    เหตุผลที่ตลาดหุ้นยังคง rallied ได้ขนาดนี้ ก็เพราะมีการคาดหวังกันว่ามันเกิด gridlock ในวอชิงตัน หมายความว่า ไอ้นโยบายภาษีที่จะมาทำให้ตลาดพังน่ะ มันไม่เกิดหรอก

    ถ้ารีพับลิกันยังคุมเสียงในสภาสูง และ Biden คุมอำนาจบริหาร ก็ยังคงคาดหวังกันได้ว่าการทะเลาะกันก็ยังไม่สิ้นสุด ....มันก็ยังไม่เลวซะทีเดียว

    Regards,

    Jim Rickards
    for The Daily Reckoning

    https://dailyreckoning.com/life-under-biden/

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัฐบาลจีนดับฝัน #AntFinancial ในเครือ #อาลีบาบา ที่ตั้งเป้าขายหุ้น IPO ใหญ่ที่สุดในโลก สั่งชะลอก่อนซื้อขายแค่ 3 วัน หลัง #แจ็คหม่า สบประมาทระบบธนาคารจีนว่าเหมือนโรงรับจำนำ แต่เบื้องหลังที่แท้จริงคือความท้าทายจากนวัตกรรมการเงิน

    Ant Financial เป็นผู้ให้บริการแอพลิเคชัน #AliPay ระบบชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เป็นบริษัทในเครืออาลีบาบาของแจ็คหม่า เศรษฐีอันดับ 1 ของแดนมังกร โดยอาลีบาบาถือหุ้น Ant Financial 33%
    .
    #AntGroup มีกำหนดระดมทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้พร้อมกัน ในวันที่ 5 พ.ย.โดยในตลาดฮ่องกงใช้รหัสหุ้น 6688 HK ซึ่งเป็นเลขมงคลในภาษาจีนที่สื่อถึง "ราบรื่นรุ่งเรือง" เคาะราคาหุ้นเบื้องต้น 80 ดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 315 บาท) การระดมทุนครั้งนี้มีมูลค่ามากถึง 37,000ล้านดอลาร์สหรัฐ เป็น IPO ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และหากอ้างอิงจากราคา IPO มูลค่าบริษัทจะอยู่ที่ 3.1แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ใหญ่กว่าธนาคารบางแห่งในสหรัฐด้วยซ้ำ
    .
    บรรดานักลงทุนต่างคาดหวังว่าหุ้น Ant จะเป็นขุมทรัพย์ท่ามกลางวิกฤตโควิด หลายคนถึงขนาดกู้เงินธนาคารเพื่อมาซื้อหุ้น

    แต่เพียง 3 วันก่อนหน้าฤกษ์งามยามดี คณะกรรมการการเงินและการธนาคารของจีนเรียกแจ็กหม่าและผู้บริหาร Ant Financial เข้าหารือ พร้อมชี้แจงกฎเกณฑ์ใหม่ ส่งผลให้ #Ant ต้องระงับการระดมทุนผ่าน IPO ครั้งประวัติศาสตร์
    .
    ร่ำลือกันว่า ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้รัฐบาลจีนตัดสินใจลงดาบขุมทรัพย์แห่งใหม่ของอาลีบาบา เกิดขึ้นหลังจากแจ็กหม่าได้กล่าวในงานสัมมนาแห่งหนึ่งว่า “ธนาคารจีนทำตัวเหมือนโรงรับจำนำที่เรียกทรัพย์ค้ำประกันจำนวนมาก ทำให้ธุรกิจรายย่อยและ SMEs เข้าไม่ถึงเงินทุน”
    .
    คำกล่าวนี้ไม่แค่ท้าทายรัฐบาลและระบบธนาคารจีน แต่ยังชี้ชัดว่าบริษัทในเครืออาลีบาบาแห่งนี้คือธุรกิจการเงิน ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีทั่วไป ดังนั้นต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเพื่อป้องกันปัญหาหนี้เสียและคุ้มครองผู้บริโภค
    .
    AliPay คือทุกอย่างในชีวิตประจำวันของคนจีน
    .
    AliPay ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มของ Ant นั้น เริ่มแรกเป็นระบบชำระค่าสินค้าและบริการผ่านสมาร์ทโฟน เติบโตเป็นเบอร์ 1 มีผู้ใช้งานมากกว่า1 พันล้านคนต่อปี มีร้านค้ามากกว่า 80 ล้านแห่งที่ใช้ระบบชำระเงิน AliPay มูลค่าธุรกรรมผ่าน Alipay มากกว่า 17.6 ล้านล้านดอลลาร์สูงกว่า Visa และ Mastercard รวมกัน
    .
    แต่ขณะนี้ AliPay ได้ขยายบริการบริการอื่น ๆ ทั้งการให้สินเชื่อบุคคล และการลงทุนในประกันและกองทุนรวม จนรายได้จากการปล่อยเงินกู้แซงหน้ารายได้จากระบบชำระค่าสินค้าแล้ว ในปีที่แล้ว Ant Financial มีกำไรมากถึง2,500ล้านดอลลาร์ มีอัตรากำไรสุทธิ หรือ net profit margin สูงถึง 30% แทบจะไม่มีธุรกิจอะไรที่ทำกำไรได้ในสัดส่วนสูงถึงขนาดนี้
    .
    หากแต่ AliPay รับความเสี่ยงน้อยมากในการทำธุรกิจ เพราะไม่ได้ปล่อยกู้เอง เพียงแค่เป็นคนกลาง ส่งข้อมูลความเสี่ยงของผู้ใช้แต่ละคนที่ประเมินด้วย AI ไปให้กับธนาคารกว่า 100 แห่งปล่อยกู้หรือขายประกันขายกองทุน และกินส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมจากธนาคาร
    .
    รูปแบบธุรกิจที่ไม่เหมือนใครและแทบไม่มีคู่แข่งในจีน ทำให้ AliPay ประสบความสำเร็จในฐานะแพลตฟอร์มเทคโนโลยี ที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบของภาคการธนาคาร แม้นำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินที่หลากหลายตาม
    .
    แต่ทว่า รัฐบาลจีนเริ่มกังวลถึงหนี้เสียในช่วงที่เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญผลกระทบจากวิกฤตโควิด ซึ่งหากเกิดปัญหาขึ้น AliPay ที่จับเสือมือเปล่าก็แทบจะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย เพราะอ้างว่าเป็นธุรกิจเทคโนโลยีฟินเทค ไม่ใช่สถาบันการเงิน

    รัฐบาลจีนจึงออกกฎใหม่ ให้ผู้ปล่อยกู้ออนไลน์ต้องกันสำรองเงินทุนอย่างน้อย 30% ของเงินกู้ที่ร่วมปล่อยกับธนาคาร ซึ่งทำให้ Ant Financial อาจต้องแยกธุรกิจชำระเงิน, สินเชื่อรายย่อย และบริการลงทุนออกจากกัน
    .
    แวดวงการเงินระบุว่า สุดท้ายแล้ว Ant ก็จะกลับมาขายหุ้น IPO อย่างแน่นอน แต่ว่ามูลค่าหุ้นอาจไม่มากเท่าเดิมเพราะบริษัทมีต้นทุนมากขึ้น ขณะที่อาลีบาบายืนยันจะให้การสนับสนุน Ant ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่
    .
    อาลีบาบาและ AliPay คือมหัศจรรย์ทางธุรกิจที่ผลักดันให้จีนก้าวสู่สังคมไร้เงินสดในทุกวันนี้ ธุรกิจออนไลน์ในวันนี้มีอิทธิพลมหาศาล และกำลังท้าทายอำนาจของสถาบันการเงินของรัฐ รวมทั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย.

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ญี่ปุ่นลดระดับคำเตือน สามารถกลับมาประเทศญี่ปุ่นโดยไม่ต้องกักตัว 14 วันได้แล้ว!!

    รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังจะประกาศลดคำเตือนให้ชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติผู้ที่อาศัยอยู่ระยะยาวในประเทศญี่ปุ่นเดินทางไปไทยและกลับมาญี่ปุ่นโดยไม่ต้องกักตัวได้แล้ว เนื่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นได้ถอน 8 ประเทศ ออกจากรายชื่อประเทศที่ห้ามเดินทางเข้าญี่ปุ่น ได้แก่ประเทศ ออสเตรเลีย บรูไนฯ จีน นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม
    .

    โดยมีเงื่อนไขหลักๆดังนี้ ผู้ที่พำนักระยะยาวในญี่ปุ่นที่เดินทางไปต่างประเทศในระยะสั้นและเดินทางกลับเข้าญี่ปุ่นภายในเวลาน้อยกว่า 7 วัน จะสามารถขอรับการตรวจ PCR เมื่อเดินทางถึงญี่ปุ่นได้หากไม่ต้องการกักตัว 14 วัน แต่จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองและยังห้ามใช้ระบบขนส่งสาธารณะในช่วง 14 วันหลังจากที่เดินทางถึงญี่ปุ่นอีกด้วย

    ปล. กฏข้อนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป

    อ้างอิง : https://www.facebook.com/rtejapan

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฝรั่งเศส : รายงานของ Public Health France (SpF) ระบุว่ามีผู้ป่วยรายใหม่วันเดียว 60,486 ราย เสียชีวิต 828 ราย ฝรั่งเศสกำลังระบาดหนักในระลอกสอง

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มารู้จักจิล_ไบเดน
    #ตัวเต็งสุภาพสตรีหมายเลข_1_คนใหม่

    ถึงแม้ว่างานเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ 2020 ปีนี้จะเป็นเรื่องของลุง 2 คน ที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์กันจนคะแนนสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องของศึกการเมืองที่เข้มข้น ดุดัน หนักแน่นกันมาตลอด 3 วันที่ผ่านมา

    ก็มาพักเรื่องตึงๆ มาดูเรื่องเบาๆ ในมุมผู้หญิงกันบ้างดีกว่า ที่หลายคนสนใจจับตามองไม่แพ้กันว่าใครจะได้เป็นสุภาพสตรีหมายเลข 1 คนใหม่ของสหรัฐอเมริกา

    เนื่องจากตำแหน่งภริยาท่านผู้นำสหรัฐ ก็มักถูกคาดหวังในการทำภารกิจ ที่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประธานาธิบดี ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม

    ดังเช่น มิชเชล โอบาม่า หรือเจ๊มิช ขวัญใจใครหลายคน ที่เป็นนักกิจกรรมตัวยง ออกงานถี่ยิบ คิวแน่นแทบไม่ต่างจากคุณฝาชี บารัค โอบาม่า แถมพูดจาฉะฉาน จะชมใครก็หวาน จะด่าใครก็แหก สมเป็นครอบครัวแห่งวงการโพเดี่ยม กล่าวสปีชได้เด็ดดวงทุกงาน

    หรือเมลาเนีย ทรัมพ์ ถึงแม้จะทำงานน้อยกว่าเจ๊มิช พูดก็ไม่เก่ง เพราะเมลาเนียเป็นชาวสโลเวเนีย แต่อย่างน้อยความสวยก็กินขาด ฐานะอดีตนางแบบเก่า ที่ยังสวยปิ๊งจริงๆ

    ส่วนหลังการเลือกตั้งครั้งนี้จบลง ตัวเต็งสุภาพสตรีหมายเลข 1 คนต่อไป จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก จิล ไบเดน ภรรยาแสนดีของโจ ไบเดน นั่นเอง

    ถึงแม้ว่า จิล ไบเดน ในวัย 69 อาจจะดูไม่สวยปิ๊ง เท่ากับเมลาเนีย ทรัมพ์ แต่ขอบอกว่า หากย้อนกลับไปในวัยสาว จิล ไบเดน ก็สวยไม่แพ้เมลาเนีย เพราะจิล ก็เคยรับงานนางแบบเหมือนกันนะเออ ก่อนที่จะมาเจอ และแต่งงานกับโจ ไบเดน

    แต่จิล และ โจ มาเจอกันได้อย่างไร เส้นทางชีวิตทั้งคู่เป็นแบบไหน วันนี้เรามาทำความรู้จักตัวเต็งสุภาพสตรีหมายเลข 1 จิล ไบเดน กันดีกว่า

    จิล ไบเดน มีชื่อเดิมว่า จิล เทรซี่ จาคอบส์ เกิดที่นิว เจอร์ซี่ แต่ไปโตที่รัฐเพนซิลวาเนีย ครอบครัวของจิล มีพี่น้องรวมกัน 5 คน เป็นผู้หญิงหมดเลย ส่วนจิล เป็นพี่สาวคนโตของบ้าน จึงมีหน้าที่ดูแลน้องๆไปโดยปริยาย

    ในช่วงวัยรุ่น จิลมีความฝันว่า อยากทำงานด้านแฟชั่น แต่หลังจากเรียนไปได้สักพัก ก็รู้ตัวว่าไม่ใช่ จึงเปลี่ยนสายมาเรียนด้านภาษาอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยเดลาแวร์

    แล้ววันหนึ่งจิล ก็ไปเข้าตาเอเจนซี่ ชวนเธอไปถ่ายแบบโฆษณาอยู่หลายชิ้น และจิล ยังเคยพบรัก แต่งงานกับสามีคนแรก ที่เป็นที่ถึงนักฟุตบอลทีมมหาวิทยาลัย แต่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันได้เพียง 2 ปี ก็ต้องแยกทางกัน

    แต่แล้วมีอยู่วันหนึ่ง มีเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยชื่อ แฟรงก์ มาชวนให้เธอไปลองนัดบอดกับพี่ชายของเขาหน่อย เพราะพี่ชายเขาสนใจเธอมาก

    จิลก็สงสัยว่า พี่ชายแฟรงก์จะมาสนใจเธอทำไม เคยรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่

    แฟรงก์เลยบอกว่า พี่ชายเขาเห็นรูปของจิล ที่ถ่ายแบบโฆษณาติดไว้ข้างรถเมล์ แล้วรู้สึกเหมือนบุพเพสันนิวาส พอมาเล่าให้น้องชายฟัง ถึงได้รู้ว่า เธอเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน

    และพี่ชายของแฟรงก์ ก็คือ โจ ไบเดน นั่นเอง

    ช่วงที่โจ ตัดสินใจขอนัดบอดกับจิล เขาดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกในเดลาแวร์แล้ว และเพิ่งสูญเสียภรรยาคนแรก เนย์เลีย ไบเดนพร้อมกับ เอมี่ ลูกสาววัยเพียง 1 เดือน จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อ 3 ปีก่อน

    อุบัติเหตุครั้งนั้น ยังทำให้ ลูกชายอีก 2 คน ทั้งโบ และ ฮันเตอร์ ที่ไปด้วยกัน ก็บาดเจ็บสาหัสถึงขั้นกระโหลกศีรษะร้าว ทำเอาไบเดนเสียใจแทบเป็นบ้า ถึงกับเคยคิดจะลาออกจากตำแหน่งมาดูแลลูก แต่ผู้ใหญ่ในพรรคเดโมแครตทักท้วงไว้

    เขาเคยคิดจะทิ้งงานการเมือง สูญสิ้นศรัทธาต่อพระเจ้า ดื่มเหล้าอย่างหนัก เพื่อบรรเทาความทุกข์ใจ เป็นการเสียหลักครั้งใหญ่ในชีวิต จนกกระทั่งมาเจอป้ายโฆษณาติดข้างรถเมล์ที่แล่นผ่านหน้าเขาในวันนั้น

    ในการนัดบอดครั้งแรก จิลเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เคยนึกขำในความแต่งตัวเชยของโจ ไบเดน ในวันนั้นมาก และก็ตกใจนิดหน่อยที่คู่นัดอายุมากกว่าเธอถึง 9 ปี แต่เธอก็ประทับใจในความเป็นสุภาพบุรุษ เป็นคนไนซ์มาก ดูแลเธออย่างดี

    แต่กว่าความรักจะสุกงอม จนแต่งงานกัน ก็ใช้เวลานานถึง 2 ปี เพราะจิลคิดว่า คงจะต้องให้เวลาลูกชายของไบเดนทั้ง 2 คนที่เพิ่งสูญเสียแม่ไปได้ไม่กี่ปี อยู่ดีๆ พ่อก็จะแต่งงาน พาแม่เลี้ยงคนใหม่เข้ามาในชีวิต เด็กอาจจะรับไม่ได้

    และก็เป็นจิล ที่ปฏิเสธคำขอแต่งงานของไบเดนถึง 5 ครั้ง เพราะแคร์ความรู้สึกของลูกๆของไบเดน

    จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่โจ ไบเดน ตื่นเช้าขึ้นและเตรียมตัวจะออกไปทำงาน ลูกชายทั้ง 2 คน ออกมายืนรอพอถึงหน้าห้องน้ำ เหมือนมีเรื่องอยากจะบอก ไบเดนจึงถามว่าลูกๆต้องการจะพูดอะไร

    ลูกชายทั้งสองคน ก็เลยตัดสินใจบอกว่า พ่อไปแต่งงานกับจิลเถอะ ถ้าเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อมีความสุข

    และทั้ง โบ และ ฮันเตอร์ก็ยอมเรียกจิลว่าแม่

    โจ และ จิล จึงตัดสินใจแต่งงานกันในปี 1977 และมีลูกสาวด้วยกันอีก 1 คน ชื่อว่าแอชลีย์

    เมื่อเริ่มต้นชีวิตครอบครัวร่วมกับไบเดนแล้ว จิลก็ทำทั้งหน้าที่ภรรยาที่ดี แม่ของลูกๆ และยังทำงานเต็มเวลาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนมัธยม และยังแบ่งเวลาไปเรียนต่อจนถึงระดับปริญญาเอก

    ในวันที่จบปริญญาเอกด้านการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ โจ ไบเดน เป็นคนมอบใบปริญญาบัตรให้เธอด้วยตัวเอง

    จิลเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เธอรักการสอน และต้องการส่งเสริม และยกระดับอาชีพครูในสหรัฐอเมริกาให้เป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้น

    และเมื่อบารัค โอบาม่า เลือก โจ ไบเดน ให้เป็นคู่หู และชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐในปี 2009 ที่ทำให้โจ ไบเดน เป็นรองประธานาธิบดี จิล จึงได้ตำแหน่งเป็นสุภาพสตรีหมายเลข 2 ของทำเนียบขาว รองจากมิชเชลล์ โอบาม่านั่นเอง

    ถึงจะเป็นสุภาพสตรีหมายเลข 2 แล้ว จิล ยังไม่เคยทิ้งการสอน และยังคงสอนประจำอยู่ที่ Northern Virginia Community College และกลายเป็นสุภาพสตรีแห่งทำเนียบขาวคนแรก ที่ยังคงทำงานประจำขณะยังอยู่ในตำแหน่ง

    และเพื่อไม่ให้ตำแหน่งทางการเมืองเป็นจุดสนใจมากเกินไป จิลจึงขอให้ระบุชื่อของเธอเพียงแค่ "Dr. B" ส่วนผลงานทางวิชาการ งานวิจัยของจิล จะให้นานแฝงว่า จาคอบส์ ที่เป็นนามสกุลก่อนแต่งงานของเธอ

    ลูกศิษย์ในชั้นเรียนบางคนที่ไม่ค่อยได้ติดตามการเมืองยังไม่รู้เลยว่า อาจารย์ที่สอนอยู่เป็นถึงสุภาพสตรีหมายเลข 2 จนเพื่อนในชั้นมาบอกว่า สามี Dr. B คือ มิสเตอร์ โจ ไบเดน เชียวนะเธอ

    แต่ถึงกระนั้น งานการเมือง การกุศลในฐานะสุภาพสตรีหมายเลข 2 จิลก็ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดตกบกพร่อง เพียงแต่เราอาจจะไม่ค่อยรู้ เพราะเจ๊มิช มิชเชลล์ โอบาม่า คนเดียว ก็ดึงความสนใจของนักข่าวสายทำเนียบไปเกือบหมดแล้ว

    แต่หากคราวนี้อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 2 จะต้องก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 บทบาทหน้าที่อาจต้องเปลี่ยนไป การเป็นที่สนใจของมหาชนชาวมะกัน ย่อมเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน

    โจ ไบเดน เคยกล่าวถึง ภรรยาของเขาว่า จิล เป็นคนที่มีความมุ่งมั่นอันน่าทึ่ง เมื่อตั้งธงเป้าหมายเรื่องอะไรไว้ เธอต้องทำให้ได้ นอกจากนี่จิล เป็นคนใจกว้าง รักเด็กมาก เป็นคนติดดิน มีอารมณ์ขันเสมอ

    ถึงแม้ว่า จิล ไบเดน อาจไม่สาวเท่าเมลาเนีย ทรัมพ์ ไม่ได้ฟาดเท่า มิชเชลล์ โอบาม่า ไม่ได้สันทัดเรื่องการเมืองจ๋า เท่าฮิลลารี คลินตัน แต่ จิล ก็คือ จิล ที่มีเอกลักษณ์ และจุดยืนในเป้าหมายของเธอเอง ในฐานะต้นแบบแม่พิมพ์ของชาติ ที่น่าจะเข้าถึงใจชาวอเมริกันได้ไม่ยาก

    แหล่งข้อมูล

    https://www.womenshealthmag.com/relationships/a32171112/joe-biden-wife-jill/
    https://www.instyle.com/news/who-is-jill-biden
    https://www.independent.co.uk/news/...-children-job-joe-wife-election-b1591367.html
    https://en.wikipedia.org/wiki/Jill_Biden

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #10_เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับโจ_ไบเดน
    #ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่_46_ของสหรัฐอเมริกา

    การเลือกตั้งสหรัฐในปี 2020 นับเป็นสนามที่ดุเดือดมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐ ที่คะแนนเสียงของผู้ชิงชัยทั้ง 2 ฟาก อย่างประธานาธิบดีในตำแหน่งอย่างโดนัลด์ ทรัมพ์ จากรีพับลิกัน และ โจ ไบเดน จากเดโมแครต มีคะแนนสูสีกันมาก และมีเกมพลิกได้ทุกวินาที

    ซึ่งในขณะนี้ โจ ไบเดน สามารถพลิกกลับมานำ โดนัลด์ ทรัมพ์ ได้ใน 2 สนามเลือกตั้งรัฐสมรภูมิที่สำคัญมากอย่าง จอร์เจีย และ เพนซิลวาเนีย หลังจากที่เริ่มนับบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าทางไปรษณีย์ และมีโอกาสสูงมากที่เขาจะกลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา

    สำหรับโจ ไบเดน ที่มักจะถูกโดนัลด์ ทรัมพ์ ล้อเลียนอยู่เสมอว่าเป็น “Sleepy Joe” - ลุงโจ คนหน้าง่วง ปีนี้อายุ 78 ปีแล้ว และหากมีการประกาศผล อย่างเป็นทางการว่าโจ ไบเดนคือผู้ชนะ เขาจะกลายเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดในสหรัฐ นับจากวันที่ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง

    และกว่าจะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดของสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน ทำงานการเมืองมานานเกือบ 50 ปี และผ่านเรื่องราวต่างๆในชีวิตมาอย่างโชกโชน

    วันนี้เราลองมาติดตาม 10 เรื่อง ที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับ โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกากันหน่อยดีกว่า

    1. จากเด็กติดอ่าง ก่อนกลายเป็นดาวสภา

    โจ ไบเดน เคยมีอาการพูดติดอ่างในวัยเด็ก ที่สร้างปัญหาในการเรียนรู้ และความมั่นใจในตัวเองอย่างมากในช่วงวัยเยาว์ แต่แม่ของเขาก็คอยให้กำลังใจเขาเสมอ โดยการบอกว่า “โจอี้ อย่าให้ปัญหานี้มาทำลายความเป็นตัวตนของลูก จงจำไว้ว่าลูกสามารถเอาชนะมันได้”

    จากนั้นแม่ของเขา จึงส่งเขาไปเรียนการอ่านบทกลอนกับแม่ชีในโบสถ์ และการอ่านกลอนเด็ก เป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้เขาสามารถกลับมาพูดได้อย่างคล่องแคล่ว มั่นใจ และหายจากอาการติดอ่างได้ในที่สุด

    และหลังจากที่โจ ไบเดน ได้ก้าวขึ้นมาเป็นรองประธานาธิบดี เขาส่งจดหมายถึง Stuttering Foundation of America ที่ช่วยเหลือผู้คนที่มีปัญหาการติดอ่างว่าเขายินดีเป็นที่ปรึกษา และให้การสนับสนุนมูลนิธิด้วยความเต็มใจ

    2. เรียนไม่ดี แต่กิจกรรมเด่น

    โจ ไบเดน เคยจัดอยู่ในกลุ่มเด็กที่เรียนไม่ค่อยดี แต่กิจกรรมเด่น เขามีผลการเรียนอยู่ในระดับกลางๆ ค่อนไปทางท้ายๆของรุ่น แต่มีความเป็นผู้นำสูง และชอบเล่นกีฬา โจ ได้รับเลือกให้เป็นประธานนักเรียนทั้งในสมัย มัธยมต้น และ มัธยมปลาย และเป็นนักฟุตบอลประจำโรงเรียน และยังเล่นฟุตบอลเป็นตัวหลักต่อจนถึงระดับมหาวิทยาลัย

    3. วุฒิสภาชิกวัยละอ่อน

    โจ ไบเดน เคยติด 1 ใน 5 สมาชิกวุฒิสภาที่อายุน้อยที่สุดในสหรัฐ ตอนที่เขาชนะเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่เดลาแวร์เป็นครั้งแรก ตอนอายุเพียง 29 ปี แต่ต้องรอจนเขาย่าง 30 ก่อน ถึงเข้ารับตำแหน่งได้ เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่า สมาชิกวุฒิสภาของรัฐต้องมีอายุ 30 ปีขึ้นไป

    4. ข่าวดี และ ข่าวร้าย ในชีวิตของไบเดน

    หลังจากที่เขาชนะเลือกตั้งครั้งแรกในเดือน พฤศจิกายน ปี 1972 ก่อนวันเกิดครบอายุ 30 ปีไม่กี่วัน โจ ไบเดนกลายเป็นที่จับตามองในฐานะนักการเมืองท้องถิ่นรุ่นใหม่ไฟแรง แต่ความดีใจของเขาอยู่ได้เพียงไม่ถึงเดือน ภรรยาของเรา เนย์เลีย ไบเดน พร้อมลูกสาวคนเล็กที่อายุเพียง 1 ขวบ มาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ ชนรถบรรทุกพ่วงอย่างจัง ในวันที่ 18 ธันวาคม ปีนั้นเอง

    ในวันนั้น เนย์เลีย ขับรถพาลูกๆ ทั้ง 3 คน เอมี่ โบ และ ฮันเตอร์ ไปช็อปปิ้ง ซื้อต้นคริสมาส ตั้งใจจะมาฉลองวันคริสมาสในครอบครัว แต่มาประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ชนกับรถพ่วงชกลางสี่แยก ทำให้เนย์เลีย และลูกสาวคนเล็กเสียชีวิต ส่วนลูกชาย 2 คน โบ และฮันเตอร์บาดเจ็บสาหัส กระดูกแตก ศีรษะร้าว แต่รอดชีวิตมาได้

    5. หน้าที่ และครอบครัว ที่ไม่อาจทิ้งได้

    จากอุบัติเหตุที่พรากชีวิตภรรยา และลูกสาวในครั้งนั้น ทำให้โจ ไบเดน จ่มดิ่งอยู่ในความทุกข์ จนเขาเคยคิดจะเลิกทำงานการเมือง เพื่อมาดูแลลูกชาย 2 คนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่รุ่นพี่ในพรรคเดโมแครตมาปลอบใจ และให้ไบเดนทำงานการเมืองต่อไป เขาจึงตัดสินใจทำงานต่อ โดยเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเป็นวุฒิสมาชิก ที่จัดขึ้นข้างเตียงของลูกชาย ที่ยังรักษาตัวอยู่

    6. พบรักครั้งใหม่จากป้ายโฆษณาข้างรถเมล์

    หลังจากที่จมอยู่ในความทุกข์มานานเกือบ 3 ปี เทพธิดาแห่งความรักก็เล่นตลกกับชีวิตของไบเดน เมื่อเขาเห็นนางแบบสาวคนหนึ่งป้ายโฆษณาข้างรถเมล์ชิ้นหนึ่งผ่านหน้าเขาไป เป็นภาพที่ติดตา ตรึงใจจนสลัดไม่หลุด เขาจึงตัดสินใจสืบหาว่าผู้หญิงในภาพคือใคร และในที่สุดก็พบว่าเธอคือ จิล จาค็อบส์ นักศึกษาสาวที่มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ ที่เดียวกับที่ แฟรงก์ น้องชายของเขาเรียนอยู่ จึงติดต่อขอนัดคุย จนเกิดเป็นความรัก สุกงอม และได้แต่งงาน กลายเป็นคู่ชีวิตคนที่ 2 ของเขาจนถึงปัจจุบัน

    7. ทำเนียบอยู่ไหน Amtrak Joe มาแล้ว

    โจ ไบเดน เคยมีฉายาว่า Amtrak Joe เพราะเขานั่งรถไฟ Amtrak จากบ้าน ไปทำงานที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ยาวนานกว่า 36 ปี เพราะเป็นเส้นทางเดียวที่เขาสามารถเดินทาง ไป-กลับ บ้านได้ทุกวัน ซึ่งการโดยสารรถไฟ ใช้เวลาเดินทางเที่ยวละ 90 นาที เพราะเขาอยากกลับบ้านไปเจอลูกๆ และภรรยาทุกวัน แม้แต่ทุกวันนี้ เขายังคงใช้บริการรถไฟ Amtrak เป็นบางครั้ง เพราะสะดวกกว่าขับรถเอง

    8. โรคเกี่ยวกับสมองในครอบครัวไบเดน

    โจ ไบเดน เคยต้องเข้ารับการผ่าตัดทางสมองเพราะอาการ หลอดเลือดสมองโป่งพอง ถึง 2 ครั้ง ที่ทำให้เขาต้องพักงานยาวถึง 7 เดือน แต่อาการทางสมองของโจ ไบเดน ก็ยังไม่หนักเท่ากับของลูกชาย โบ ไบเดน ที่ตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งในสมอง และเสียชีวิตในปี 2015 ด้วยวัยเพียง 46 ปี

    9. คู่จิ้นสะท้านทำเนียบขาว

    บารัค โอบาม่า และ โจ ไบเดน เป็นคู่หูประธานาธิบดีที่ทำงานเข้าขากันมากคู่หนึ่ง และยังสนิทเป็นเพื่อนซี้กันเป็นการส่วนตัวด้วย หากไม่ติดภารกิจยุ่งๆที่ไหน ก็มักจะไปพักกินข้าวเที่ยงด้วยกันเสมอ สนิทสนม กอดคอใกล้ชิดจนกลายเป็นคู่จิ้น Bromance ประจำทำเนียบขาว จนโจ ไบเดน ต้องออกมาเบรคนักข่าวว่า เลิกจิ้นผมกับโอบาม่าสักทีเถอะครับ มันจั๊กกะจี้

    10. ขวัญใจชาวโลกเขียว

    โจ ไบเดน ประกาศนโยบายหาเสียงของเขาตั้งแต่ปี 2017 หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมพ์ ประกาศจะถอนสหรัฐออกจากข้อตกลงปารีส ที่ว่าด้วยเรื่องการลดภาวะโลกร้อน แถมยังบอกว่าเรื่องภาวะโลกร้อนเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง

    โจ ไบเดน ออกมาประกาศตอบโต้ว่า หากเขาได้มีโอกาสเป็นผู้นำสหรัฐ เขาก็จะพาสหรัฐกลับไปร่วมในข้อตกลงปารีสเหมือนเดิม และเรื่องโลกร้อน ไม่ใช่เรื่องลวงโลก แต่เป็นงานของโลก และประกาศจะนำสหรัฐไปสู่ประเทศสังคมปลอดคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2050 เขาจะส่งเสริมการสร้างอาคาร Smart Building ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พัฒนาระบบขนส่งมวลชนปลอดคาร์บอน และเร่งสร้างงานหลายหมื่นตำแหน่งไว้รองรับคนงานในอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหิน ให้เร็วที่สุด

    ซึ่งเป็นนโยบายที่ตรงกันข้ามกับทรัมพ์อย่างสิ้นเชิง ที่ต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมถ่านหินในประเทศเพื่อรักษารายได้ และตำแหน่งงานให้กับคนที่ยังอยู่ในอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินนั่นเอง

    เป็นอย่างไรบ้าง กับ 10 เรื่องราวในชีวิตของโจ ไบเดน กว่าจะมาถึงวันนี้ ผ่านอะไรมาเยอะมาก ทั้งทุกข์ และ สุข อุปสรรค และความสำเร็จ ที่วนเวียนอยู่ในชีวิตของเขาเช่นเดียวกับปุถุชนทั่วไป ที่หลายคนอาจจะมองว่า เพราะเขาเคยเป็นเบอร์ 2 ของโอบาม่า จึงมีโอกาสเช่นในวันนี้ แต่หากถึงเวลาที่จะได้ยืนบนจุดสูงสุดของทำเนียบขาว ก็จะได้พิสูจน์กันว่าเขาจะสลัดเงาของโอบาม่า กลายเป็นประธานาธิบดีที่ผู้คนจดจำได้หรือไม่

    ข้อมูลอ้างอิง

    https://en.wikipedia.org/wiki/Joe_Biden
    https://www.stutteringhelp.org/content/joe-biden
    https://www.marieclaire.com/politics/a32363173/joe-biden-amtrak-joe-meaning/
    https://joebiden.com/climate-plan/#


     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศึกเลือกตั้งพม่า 2020
    .
    สำหรับวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายนนี้นอกจากในไทยจะมีการนัดชุมนุมใหญ่แล้ว ยังถือเป็นวันสำคัญของเพื่อนบ้านข้างเคียงของเมืองไทยอย่างพม่าด้วย เพราะพม่ากำลังจะมีการจัดการเลือกตั้งครั้งสำคัญในวันดังกล่าว
    .
    สำหรับการเลือกตั้งในครั้งนี้ถือว่าเป็นการเลือกตั้งครั้งที่สองหลังจากพม่ามีการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากรัฐบาลทหารสู่รัฐบาลพลเรือน ซึ่งการเลือกตั้งในรอบก่อนนั้นพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของนางอองซาน ซูจี นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยของพม่าได้รับการสนับสนุนอย่างถล่มทลายจากประชาชน
    .
    การเลือกตั้งในรอบนี้จึงถือว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าครั้งก่อนเพราะเป็นการวัดคะแนนนิยมของพรรคภายหลังจากขึ้นบริหารประเทศมาร่วม 5 ปี เต็ม
    .
    แน่นอนว่าที่ผ่านมาพม่าต้องเผชิญวิกฤตในหลายเรื่องซึ่งท้าทายสถานภาพของรัฐบาลอองซานอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเรื่องผู้อพยพชาวโรงฮิงญาที่ส่งผลให้อองซาน ถูกตั้งข้อกล่าวหาการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ และทำให้พม่าถูกกล่าวหามากมายจากนานาชาติ
    .
    ยิ่งไปกว่านั้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาพม่าเองต้องเผชิญกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ชะลอติดต่อกัน ยิ่งเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ของโควิด19ด้วยแล้ว สถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศจึงไม่สามารถเดินไปในแนวทางที่ควรจะเป็น
    .
    อีกเรื่องสำคัญที่เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายทางนโยบายของรัฐบาลพลเรือนเสมอมานั่นคือการสร้างสันติภาพภายในประเทศ โดยเฉพาะการเจรจากับชนกลุ่มน้อยเผ่าต่าง ๆ เพื่อแสวงหาแนวทางการสงบศึกภายในประเทศ ซึ่งความคืบหน้าในเรื่องนี้ถือว่ามีไม่มากนัก
    .
    ด้วยสภาพการณ์ข้างต้นจึงเรียกได้ว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้ท้าทายสถานะนำทางอำนาจในทางการเมืองของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ซึ่งในครั้งนี้ต้องลงชิงชัยกับพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา
    .
    แน่นอนว่าพรรคดังกล่าวจัดตั้งขึ้นโดยการสนับสนุนของฝ่ายกองทัพ และเป็นพรรคสำคัญที่ถูกใช้เป็นกลไกในการสนับสนุนการขึ้นสู่อำนาจของผู้นำทางกองทัพหลายคนในช่วงก่อนหน้านี้ พรรคนี้จึงถูกมองเสมอมาว่าเป็นพรรคที่ถูกใช้เพื่อสืบทอดอำนาจของกลุ่มทหารภายในพม่า
    .
    สำหรับการเลือกตั้งในพม่าในครั้งนี้จะเป็นการชิงชัยเพื่อที่นั่งของ ส.ส. จำนวน 330 ที่นั่ง สมาชิกวุฒิสภาอีก 168 ที่นั่ง และตำแหน่งที่นั่งทางการเมืองอื่น ๆ อีกกว่า 1,171 ที่นั่ง
    .
    สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้มีข้อวิจารณ์หลายอย่างคือเรื่องจำนวนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีการระบุว่าจะมีมากถึง 37 ล้านคน แต่สำนักข่าวต่างประเทศจำนวนมากรายงานว่ามีการตัดสิทธิ์การเลือกตั้งของชนกลุ่มน้อยซึ่งรวมถึงชาวโรฮิงญาออกกว่า 2.6 ล้านคน
    .
    ทั้งนี้รัฐบาลพม่าให้เหตุผลว่าการตัดสิทธิ์การเลือกตั้งดังกล่าวเนื่องจากพื้นที่บริเวณดังกล่าวยังคงมีปัญหาความขัดแย้งอยู่ซึ่งอาจไม่มีความปลอดภัยในการจัดการเลือกตั้งจากส่วนกลาง และอาจเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้มาใช้สิทธิ
    .
    ในขณะเดียวกันกองทัพพม่ายังเปิดหน้าโจมตีการจัดการเลือกตั้งรอบนี้ว่ามีความผิดปกติ ทั้งยังโจมตีรัฐบาลของอองซานว่ากระทำการละเมิดรัฐธรรมนูญของประเทศอีกด้วย
    .
    ฉะนั้นศึกเลือกตั้งพม่า 2020 ในรอบนี้จึงมีตัวแปรใหม่ ๆ จำนวนมากที่แตกต่างจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2015 ซึ่งต้องมาติดตามกันว่าผลการเลือกตั้งในครั้งนี้พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของนางออง ซานซูจี จะยังคงรักษาอำนาจไว้ได้หรือไม่ และจะมีจำนวนส.ส. ที่ได้รับเลือกตั้งลดลงจากเดิมหรือเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน
    .
    #กระแสเอเชียใต้ #พม่า #เลือกตั้ง #ทหาร #อองซานซูจี

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,326
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "สายการบิน Lufthansa แถลงผลประการไตรมาสที่ 3 และขาดทุนถึง 2 พันล้านยูโร"

    ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสที่ทำให้บริษัทไม่สามารถใช้เครื่องบินที่มีอยู่ในการหารายได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ยกตัวอย่างในไตรมาสที่แล้ว บริษัทสามารถบินได้แค่ 25% เท่านั้น)

    โดยสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงตอนนี้ก็คือการที่ประเทศต่างๆ ในยุโรปเริ่มหันกลับมาใช้นโยบาย Lockdown กันอีกครั้งซึ่งไม่เว้นแม้แต่เยอรมนีเองก็ตาม จึงจะทำให้การเดินทางนั้นยากขึ้น และส่งผลกระทบต่อบริษัท

    แต่อย่างไรก็ตามทางบริษัทนั้นก็พยายามแก้ปัญหาโดยการลดขนาดขององค์กรลงให้เยอะที่สุด ทั้งนี้มีเงินสดค่อนข้างดีอยู่และยังเพิ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเยอรมันในเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม

    "ขอเป็นกำลังใจให้ Lufthansa ทุกบริษัทในอุตสาหกรรมการบินด้วยนะครับ "

    #พ่อบ้านเยอรมัน #เยอรมัน #Germany #Lufthansa

     

แชร์หน้านี้

Loading...