ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20201024_170946.jpg

    (Oct 23) “บริษัทผีดิบ” คืออะไร แล้วเราควรทำอย่างไรกับมัน? คำว่า “ซอมบี้ (Zombie)” หรือ “ผีดิบ” คงเป็นคำที่คุ้นหูกันอยู่แล้วสำหรับแฟน ๆ ภาพยนตร์แนวระทึกขวัญ ซึ่งเกี่ยวข้องกับฝูงชนที่ติดไวรัสชนิดหนึ่งและเสียชีวิต แต่กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งและมาพร้อมกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสุดขั้ว นั่นคือ การหันมาตามล่าวิ่งไล่กัดกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน แต่บางท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าคำศัพท์นี้ขยายวงกว้างมาสู่วงการเศรษฐศาสตร์การเงินเรียบร้อยนานแล้ว นั่นคือ “Zombie firms” หรือถ้าแปลตรงตัวเป็นภาษาไทยคือ “บริษัทผีดิบ” โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีบริษัทเหล่านี้เกิดขึ้นจำนวนมากทั่วโลกหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ซึ่งมาประจวบเหมาะพ้องกันพอดีกับการเกิดการแพร่ระบาดของ “ไวรัส” โควิด-19 ซึ่งไม่ได้หมายถึงบริษัทที่ติด “ไวรัส” อย่างตรงตัวนะครับ) คำถามสำคัญที่ตามมาคือ บริษัทผีดิบคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไร และเราต้องทำอะไรกับบริษัทผีดิบเหล่านี้หรือไม่? บางขุนพรหมชวนคิดจึงขอชวนทุกท่าน (ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนภาพยนตร์แนวระทึกขวัญ) มาหาคำตอบกันครับ

    ตามกลไกตลาด บริษัทที่ดีคือบริษัทที่สามารถใช้และบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ หรือเรียกเป็นภาษาเศรษฐศาสตร์ได้ว่า มีผลิตภาพ (productivity) อยู่ในระดับสูง และมักนำมาซึ่งความสามารถในการทำกำไรที่สูง ในทางตรงกันข้าม บริษัทที่มีผลิตภาพต่ำและนำมาซึ่งความสามารถในการทำกำไรที่ต่ำหรือประสบการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง[1] ย่อมเป็นบริษัทที่ต้องปิดตัวลงและออกไปจากการแข่งขันในที่สุด อย่างไรก็ตาม มีบริษัทผลิตภาพต่ำและไม่มีความสามารถในการทำกำไรเหล่านี้ที่ส่วนหนึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ได้จากสภาพคล่องที่ได้รับเพื่อหล่อเลี้ยงต่อชีวิตบริษัท ไม่ว่าจะจากการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินภายใต้ภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำหรือได้รับความช่วยเหลือจากรัฐแบบเหวี่ยงแห บริษัทเหล่านี้ก็คือ “บริษัทผีดิบ” นั่นเอง

    "บริษัทผีดิบ คือ บริษัทที่ไม่มีความสามารถในการทำกำไรในปัจจุบันและที่คาดการณ์ได้ในอนาคตมากเพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้ของบริษัทได้ในระยะเวลานานต่อเนื่อง หรือพูดเป็นภาษาชาวบ้านว่า เป็นบริษัทที่มี 'หนี้สินล้นพ้นตัว' "

    หลายท่านอาจเริ่มสงสัยว่า เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะวิกฤตโควิด-19 ซึ่งทำให้อุปสงค์ทั่วโลกหดตัว นำมาซึ่งรายได้ที่หดหายของบริษัทต่าง ๆ ก็ช่วยไม่ได้ที่บริษัทต้องได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ เพราะขายไม่ได้และไม่มีความสามารถในการทำกำไร อย่างนี้บริษัทต่าง ๆ จะไม่ถูกนับเป็นบริษัทผีดิบกันหมดหรือ? หากเอานิยามให้ชัดเจน ตามงานศึกษาของ BIS คือ Banerjee and Hofmann (2018) ได้ให้ความหมายอย่างแคบต่อบริษัทผีดิบไว้ว่าคือ บริษัทที่ไม่มีความสามารถในการทำกำไรในปัจจุบันและที่คาดการณ์ได้ในอนาคต (ซึ่งวัดจากการประเมินมูลค่าหุ้น) มากเพียงพอที่จะนำมาชำระภาระหนี้ของบริษัทได้ในระยะเวลานานต่อเนื่อง หรือพูดเป็นภาษาชาวบ้านว่า เป็นบริษัทที่มี “หนี้สินล้นพ้นตัว” ดังนั้น หากบริษัทที่มีศักยภาพ (ซึ่งอาจขาดทุนในช่วงต้นจากการลงทุนที่สร้างโอกาส แต่มองเห็นผลตอบแทนที่จะเข้ามาในอนาคต) มีความสามารถในการปรับตัวและยกระดับผลิตภาพของตนเองให้สูงขึ้นอยู่เสมอทั้งในยามปกติและวิกฤต โดยแม้จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐในยามวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อทุกบริษัทโดยถ้วนหน้า แต่เมื่อวิกฤตจบลงแล้วก็สามารถกลับมาทำกำไรได้ดังเดิมและชำระภาระหนี้ได้ บริษัทเหล่านี้ก็ไม่เข้าข่ายการเป็นบริษัทผีดิบครับ

    ถามต่อว่า แล้วมีบริษัทผีดิบมาก ๆ ในระบบเศรษฐกิจ จะส่งผลกระทบอย่างไร? ตอบได้ว่า การให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทที่ควรล้มหายตายจากไปแล้วให้ยังมีชีวิตอยู่ได้นี้ นอกจากจะทำให้บริษัทเองขาดแรงจูงใจในการปรับตัวและพัฒนาผลิตภาพของตนแล้ว กลไกการแข่งขันทั้งระบบยังถูกบิดเบือนด้วย เพราะบริษัทผีดิบจะทำให้กำลังการผลิตส่วนเกินยังคงอยู่ อาจคอยตัดราคา ทำให้ธุรกิจอื่น ๆ ที่มีความสามารถในการปรับตัวเองได้และมีผลิตภาพสูง กลับอยู่รอดยากและเข้ามาแข่งขันไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับผีดิบซอมบี้ในภาพยนตร์ที่คอยวิ่งไล่กัดกินเนื้อคนอื่นและล้มตายไปด้วย และลามไปในระดับประเทศ เพราะส่งผลให้การจัดสรรทรัพยากรในระบบขาดประสิทธิภาพ ผลิตภาพโดยรวมและความสามารถในการแข่งขันของประเทศถดถอยลงตามมา

    สำหรับประเทศไทย มีงานวิจัย อาทิ กฤษฎ์เลิศและอาชว์ (2562) ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับภาคธุรกิจไทยมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 พบว่า ในวงการธุรกิจไทยมีบริษัทผีดิบทั้งที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่และเอสเอ็มอี ซึ่งมีสัดส่วนสินทรัพย์ประมาณ 5% ของสินทรัพย์ในภาคธุรกิจทั้งหมด โดยแม้ว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว สัดส่วนบริษัทผีดิบของไทยยังอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางต่ำ แต่แนวโน้มจะมีบริษัทขนาดใหญ่เป็นบริษัทผีดิบเพิ่มขึ้น ส่งผลทางลบต่อโอกาสที่บริษัทใหม่จะเข้าสู่ตลาดและต่อการเติบโตของบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยการมีบริษัทเหล่านี้เพิ่มขึ้นในสัดส่วน 1% จะทำให้การลงทุนของบริษัททั่วไปลดลง 0.8% และทำให้การลงทุนของบริษัทใหม่ที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปีลดลง 0.9%

    "ในยามวิกฤต ภาครัฐควรลดการออกมาตรการช่วยเหลือแบบเหวี่ยงแห ขาดประสิทธิผลและไม่คุ้มค่า แต่จำเป็นต้องเน้นให้ 'ตรงจุด' กับกลุ่มธุรกิจที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ"

    คำถามสุดท้าย เมื่อรู้ว่าบริษัทผีดิบก่อให้เกิดผลลบต่อทั้งระบบเศรษฐกิจ เราต้องทำอย่างไรกับมัน? ผู้เขียนขออนุญาตถอดความจากปาฐกถาพิเศษของอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.วิรไท สันติประภพ ในงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยประจำปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่า ในยามวิกฤต ภาครัฐควรลดการออกมาตรการช่วยเหลือแบบเหวี่ยงแห ซึ่งมีลักษณะ “เบี้ยหัวแตก” ขาดประสิทธิผลและไม่คุ้มค่า แต่จำเป็นต้องเน้นให้ “ตรงจุด” กับกลุ่มธุรกิจที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ควบคู่ไปกับมาตรการเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ และออกนโยบายที่ช่วยให้บริษัทใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเข้าสู่ตลาดง่ายขึ้น อาทิ การแก้ไขกฎระเบียบเพื่อลดขั้นตอนและระยะเวลาในการตั้งบริษัทใหม่ ซึ่งจะช่วยยกระดับการแข่งขันในตลาดให้เพิ่มขึ้นและลดอำนาจตลาดของบริษัทที่กระจุกตัวอยู่อีกด้วย ขณะที่ผู้ประกอบการเองควรมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรและปรับตัวอย่างแข็งขันอยู่เสมอ เพราะคงไม่มีบริษัทไหนอยากเป็นซอมบี้น่าเกลียดน่ากลัวกันแน่ ๆ ครับ!

    โดนายสุพริศร์ สุวรรณิก
    สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
    Suparit Suwanik

    Source: BOT Website และ คลิปจาก TNN
    https://www.bot.or.th/Thai/Research...0-2.aspx?ldtag_cl=niDB0vR0RFydP1KvtaUbjgAA_oa
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (Oct 24) คลินิกแก้หนี้ปรับยา 2 สูตรใหม่ “ลดดอกและพักหนี้” ใช้ถึงกลางปี 64 เพื่อลดผลกระทบโควิด
    1603534281942.jpg 1603534283510.jpg
    นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ประชุมเพื่อประเมินผลมาตรการช่วยเหลือที่เรียกว่า “ยา 2 สูตร” คือ การลดดอกเบี้ยและการพักชำระหนี้ ซึ่งได้ดำเนินการใน 6 เดือนที่ผ่านมา (เม.ย.- ก.ย. 2563) ผลที่ออกมาโดยรวมถืออยู่ในระดับที่น่าพอใจ ลูกหนี้ของคลินิกแก้หนี้ส่วนใหญ่ประมาณ 94% ยังที่จ่ายชำระค่างวดอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบและพักชำระหนี้มีเพียง 6% เท่านั้น

    แต่อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มที่ไม่แจ่มใสนักและยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก คณะกรรมการฯ จึงขยายมาตรการช่วยเหลือออกไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2564 แต่ได้ปรับปรุงแนวทางการช่วยเหลือให้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งจะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ และผลกระทบที่จะมีต่อความสามารถชำระหนี้ของลูกหนี้ในโครงการคลินิกแก้หนี้อย่างใกล้ชิด

    ผลของยา 2 สูตรของคลินิกแก้หนี้ (เมย.-กย.63)

    “มาตรการช่วยเหลือที่เรียกว่า ”ยา 2 สูตร” หรือ ยาสองขนาน ที่คลินิกแก้หนี้ได้ดำเนินการไปในช่วงเมษายน ถึง กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ กล่าวคือ (รูปที่ 1)

    ลูกหนี้ที่อยู่ในกลุ่มเลื่อนกำหนดชำระหนี้หรือเลือกที่จะใช้ “ยาสูตรที่ 1” มีเพียง 6% แม้ว่าโครงการกำหนดให้เป็นสิทธิสำหรับลูกหนี้ทุกรายที่จะเลื่อนกำหนดชำระหนี้ โดยไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ ผลที่ออกมาชี้ว่าการลดดอกเบี้ย 2% ถือเป็นแรงจูงใจสำคัญ ที่ทำให้ลูกหนี้ที่มีศักยภาพไม่เลือกที่จะพักชำระหนี้ และยังคงชำระค่างวดเข้ามาตามปกติ

    ลูกหนี้ที่ยังคงชำระค่างวดเข้ามาต่อเนื่องหรือเลือกที่จะใช้ “ยาสูตรที่ 2” มีสูงถึง 94% ซึ่งประกอบด้วยลูกหนี้ที่ชำระหนี้เข้ามาครบค่างวดทั้งหมด 74% ในขณะที่ลูกหนี้ 20% ชำระหนี้ได้บางส่วน โดยจำนวนเงินต่ำสุดที่ชำระเข้ามา คือ 100 บาท

    เราประเมินว่า มาตรการช่วยเหลือ ยา 2 สูตรของโครงการคลินิกแก้หนี้ สามารถตอบโจทย์ของลูกหนี้และเจ้าหนี้ไปพร้อมๆ กัน ลูกหนี้ที่ไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดได้รับการผ่อนปรนให้พักชำระหนี้โดยไม่ถือว่าผิดนัด ประวัติจะไม่เสีย ในขณะที่ลูกหนี้ที่ยังผ่อนชำระเข้ามาต่อเนื่อง ได้รับการลดดอกเบี้ยเพิ่มเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงโควิด ซึ่งในมุมนี้ ถือว่าช่วยลดความกังวลด้านสภาพคล่องของสถาบันการเงินด้วย” นางธัญญนิตย์กล่าว

    ยา 2 สูตรใหม่ที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพจะช่วยรองรับความไม่แน่นอนในอนาคต

    นางธัญญนิตย์ อธิบายเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการฯ ประเมินว่า มองไปข้างหน้า แนวโน้มของเศรษฐกิจไทยยังไม่แจ่มใสนัก และอาจจะใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่จะฟื้นตัวกลับเข้าสู่ระดับปกติ จึงเห็นควรให้ปรับปรุงและขยายมาตรการความช่วยเหลือออกไปอีก 9 เดือนจนถึงมิถุนายน 2564 เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินของลูกหนี้ในช่วงที่ยากลำบาก

    ทั้งนี้ การขยายมาตรการ ยา 2 ขนาน เนื่องจากเห็นว่ามีประสิทธิผลสามารถตอบโจทย์ทั้งฝั่งลูกหนี้และเจ้าหนี้ operation การดำเนินการไม่ยุ่งยากซับซ้อน และแนวทางการปรับปรุงก็มาจากข้อมูลผลของมาตรการที่เราเห็น (evidence based)ซึ่งโครงการมีลูกหนี้ 2 กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือแตกต่างกัน (รูปที่2)

    กลุ่มแรก คือ ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ มีรายได้และสภาพคล่องลดลง บางรายตกงาน ซึ่งหากไม่ได้รับความช่วยเหลือก็อาจต้องออกโครงการ กลับเข้าสู่วงจรหนี้เสียเช่นเดิม กลุ่มนี้จะได้รับยาขนานแรก โดยโครงการได้ปรับปรุงแนวทางโดยลูกค้าต้องลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิตามมาตรการนี้ (opt in) จากเดิมให้สิทธิแก่ลูกหนี้ทุกรายเป็นการทั่วไป ลูกหนี้สามารถลงทะเบียนขอรับสิทธิ์ได้ง่ายๆ เพียงเข้าไปในเวปไซค์ www.คลินิกแก้หนี้.com และกรอกข้อมูลแสดงความจำนงผ่านเข้ามา อยากจะขอย้ำว่า ลูกหนี้ที่สนใจจะเข้ามาตรการนี้จะต้องกรอกข้อมูลขอเข้ามาตรการซึ่งไม่เหมือนช่วงแรก (โดยกำหนดต้องแจ้งเข้ามาภายในเดือนพฤศจิกายน 2563)

    กลุ่มที่สอง คือ ลูกหนี้ที่ยังพอชำระค่างวดได้ โครงการจะกระตุ้นให้ลูกหนี้กลุ่มนี้ชำระค่างวดเข้ามาตามกำลังความสามารถ โดยจะได้รับยาขนานที่สอง คือ ลดดอกเบี้ยให้ 1-2% หากลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ในช่วงนี้ แต่จะมีการแบ่งกลุ่มที่จะให้ความช่วยเหลือออกเป็นดังนี้

    1.กลุ่มที่จ่ายค่างวดเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 80 ในช่วง 9 เดือนข้างหน้าจะได้รับการลดดอกเบี้ย 2%

    2.กลุ่มที่จ่ายค่างวดเฉลี่ยร้อยละ 40-79.99ในช่วง 9 เดือนข้างหน้าจะได้รับการลดดอกเบี้ย 1%

    ดอกเบี้ยที่ทางคลินิกแก้หนี้ได้ลดให้ลูกหนี้ในโครงการเพิ่มเติมจะถูกนำไปตัดเงินต้น ซึ่งจะทำให้ยอดหนี้ทั้งหมดลดลงเร็วขึ้นด้วย

    ลูกหนี้ในอนาคตจะได้ประโยชน์

    ประชาชนที่มีหนี้เสียบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล ที่สมัครเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ในช่วงนี้จนถึงมิถุนายน 2564 จะได้รับสิทธิลดดอกเบี้ย 1-2 % จากโครงการเช่นเดียวกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายจริงอยู่ที่ 2-3% ถือว่าผ่อนปรนมากเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดทั่วไป

    ความคืบหน้าของโครงการคลินิกแก้หนี้

    ณ เดือน กันยายน 2563 โครงการคลินิกแก้หนี้ สามารถช่วยประชาชนแก้หนี้บัตรไปแล้วกว่า 24,000 ใบ ครอบคลุมลูกหนี้กว่า 8,300 ราย ซึ่งมีหนี้บัตรเฉลี่ยรายละ 3 ใบ มูลหนี้เฉลี่ยต่อราย 240,000 บาท และขณะนี้มีลูกหนี้ที่รอลงนามในสัญญาอีกกว่า 900 ราย และอีก 1,200 ราย อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจเช็คข้อมูลกับสถาบันการเงิน คาดว่าในปี 2563 ตัวเลขผู้เข้าร่วมโครงการสะสมจะเกิน 10,000 ราย

    Source: BOT
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    1603534396348.jpg

    (Oct 23) “ฟ้าหลังฝน” SMEs จะไปอย่างไรดี: เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีนี้ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SMEs ในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่ลดลง และการเผชิญกับปัญหาการขาดสภาพคล่อง รวมไปถึงการขาดกระแสเงินสด หลายธุรกิจกำลังพะวงกับความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้การสร้างกลยุทธ์เพื่อรับมือให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อเป็นไปอย่างยากลำบาก

    เพื่อให้การวิเคราะห์สภาพธุรกิจของ SMEs ในยุค “ฟ้าหลังฝน” มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ได้ประเมินสุขภาพทางการเงิน (financial health) ของธุรกิจ ว่าสามารถรองรับวิกฤตและอยู่รอดข้ามผ่านสถานการณ์โควิด-19 ได้ดีเพียงใด ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางที่ช่วยให้ธุรกิจมีศักยภาพดีขึ้นสำหรับดำเนินธุรกิจในอนาคต ด้วยการนำข้อมูลทางการเงิน 2 ด้านมาประเมินร่วมกัน คือ

    1.ความสามารถในการทำกำไร (profitability performance) โดยวัดจากรายได้จากการดำเนินงาน เมื่อได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งหากอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (operating profit margin) สูงกว่า 5% ถือว่าเป็นธุรกิจศักยภาพสูงในการหารายได้

    และ 2.สภาพคล่องธุรกิจ (liquidity performance) โดยใช้ตัวชี้วัดวงจรเงินสด (cash conversion cycle) หากอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 45 วัน หมายถึงธุรกิจยังมีเงินสดจำนวนหนึ่งที่สามารถไปลงทุนเพื่อขยายกิจการ ควบคู่ไปกับอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน current ratio ที่สูงกว่า 2 เท่า จะหมายถึงธุรกิจมีสภาพคล่องที่แข็งแรง มีเงินสดในการดำเนินธุรกิจและสภาพคล่องของกิจการเพื่อชำระหนี้ระยะสั้น

    ด้วยการประเมินสุขภาพทางการเงินที่กล่าวมาข้างต้น ศูนย์วิเคราะห์ได้จัดลักษณะธุรกิจเป็น 4 กลุ่มดังต่อไปนี้ 1.กลุ่มพร้อมโต เป็นกลุ่มที่มีสุขภาพทางการเงินดีที่สุด จากความสามารถในการทำกำไรสูงและมีสภาพคล่องธุรกิจที่แข็งแรง จากการวิเคราะห์พบว่ามีจำนวน SMEs ที่อยู่ในกลุ่มนี้มีสัดส่วน 20% ของธุรกิจ SMEs ทั้งหมด

    โดยส่วนใหญ่ธุรกิจในกลุ่มนี้จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ต่ำ ได้แก่ ร้านสะดวกซื้อ ค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจบริการคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ทำให้ธุรกิจในกลุ่มนี้มีศักยภาพในการเติบโตสูง หากสามารถวางแผนการลงทุนและการตลาดล่วงหน้าได้ เพื่อขยายธุรกิจและรองรับการเติบโตในอนาคต

    2.กลุ่มพร้อมฟื้น เป็นกลุ่มที่มีสุขภาพทางการเงินรองลงมา โดยมีความสามารถในการทำกำไรที่สูง แต่ยังมีสภาพคล่องธุรกิจที่เปราะบาง จากการวิเคราะห์พบว่ามีสัดส่วนธุรกิจอยู่ในกลุ่มนี้ 27% จากธุรกิจ SMEs ทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่มากนัก แต่ได้รับผลกระทบจากวงจรเงินสดที่ยาวขึ้น สินทรัพย์หมุนเวียนน้อยลง ทำให้มีสภาพคล่องธุรกิจที่ค่อนข้างต่ำ ได้แก่ ค้าปลีกสินค้ายา/เวชภัณฑ์ ค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง และเครื่องจักร เป็นต้น

    หากธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs อยู่ในกลุ่มนี้ถือว่ายังโชคดีที่ธุรกิจยังสามารถทำกำไรได้ดีหลังจากผ่านช่วงวิกฤต อย่างไรก็ตาม ควรที่จะบริหารสภาพคล่องให้ดีขึ้น มีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อพยุงธุรกิจให้ไปต่อได้อย่างราบรื่นขึ้น

    3.กลุ่มรอฟื้น เป็นกลุ่มที่มีสุขภาพทางการเงินพอไปได้ ด้วยธุรกิจยังมีสภาพคล่องที่แข็งแรง สามารถประคองธุรกิจให้ไปต่อได้ แต่มีความสามารถในการทำกำไรที่ต่ำลง พบว่ามีสัดส่วนจำนวนธุรกิจที่ 19% ของจำนวน SMEs ทั้งหมด โดยส่วนใหญ่ธุรกิจกลุ่มนี้จะอยู่ในธุรกิจขนส่งผู้โดยสาร งานบริการทางธุรกิจ เช่น ที่ปรึกษา งานซ่อมบำรุง/ทำความสะอาด รับเหมาก่อสร้าง เป็นต้น

    กลยุทธ์ของธุรกิจกลุ่มนี้ คือ ให้ความสำคัญกับการหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อหารายได้ทดแทน รวมไปถึงการลดต้นทุนตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อรอการฟื้นตัวของตลาด

    4.กลุ่มรอรักษา เป็นกลุ่มที่มีสุขภาพทางการเงินอ่อนแอกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากรายได้ที่หดหายไปมาก กระทบต่อสภาพคล่องธุรกิจ ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรและสภาพคล่องธุรกิจไม่ดี ในกลุ่มนี้มีจำนวนธุรกิจกระจุกอยู่ถึง 34% ของจำนวน SMEs ทั้งหมด ส่วนใหญ่จะอยู่ในธุรกิจโรงแรมที่พัก/บริการท่องเที่ยว ค้าปลีกเสื้อผ้า ประดับยนต์และสถานบันเทิง เป็นต้น

    กลยุทธ์สำหรับธุรกิจกลุ่มนี้จำเป็นต้องมีการจัดหาสภาพคล่องเพิ่ม การบริหารสภาพคล่อง ปรับโครงสร้างหนี้และธุรกิจ รวมไปถึงการปรับรูปแบบธุรกิจเพื่อหาตลาดใหม่ เพื่อหารายได้ทดแทน เป็นกลุ่มที่ผู้ประกอบการ SMEs ต้องทำงานหนัก เพื่อจะได้ดำเนินธุรกิจให้ดีขึ้น

    ทั้งนี้ การประเมินสุขภาพทางการเงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจเห็นภาพได้ชัดขึ้น ช่วยปรับวางแผนธุรกิจให้ตรงกับสิ่งที่เป็นอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญของธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการ SMEs มีสุขภาพการเงินอยู่กลุ่มไหนเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการ SMEs เข้าใจสถานการณ์ตัวเองและประเมินธุรกิจในแง่มุมต่าง ๆ ที่หลากหลาย ทั้งในด้านทิศทางตลาดในอนาคต ความเพียงพอด้านการเงิน และด้านการพัฒนาบุคลากร

    หากผู้ประกอบการ SMEs วิเคราะห์สถานการณ์บริษัทตนเองได้ จะทำให้การวางแผนกลยุทธ์เพื่อขยายตลาด และบริหารสภาพคล่องได้เหมาะสม สอดคล้องกับทิศทางภาวะธุรกิจ ซึ่งเป็นโอกาสดีที่จะช่วยธุรกิจของผู้ประกอบการ สามารถสร้างความพร้อมที่จะดำเนินธุรกิจหลังวิกฤตโควิด-19 บรรเทาลง

    คอลัมน์ Smart SMEs
    TMB Analytics

    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
    https://www.prachachat.net/finance/news-542898
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Oct 24, 2020 กรุงเทพโพลล์ชี้คนไทย 60 % เที่ยวไทยแบบสายบุญช่วงหน้าหนาว
    .
    กรุงเทพโพลล์ สำรวจความเห็นเรื่อง “คนไทยกับมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของภาครัฐ” พบคนไทย 60.9% มีแผนเที่ยวไทยช่วงปลายปี โดยมากสุดคือสายบุญ 22.1% แต่ 70.5% ไม่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการใดเลย
    .
    กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “คนไทยกับมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของภาครัฐ” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,226 คน พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ร้อยละ 60.9 มีแผนไปท่องเที่ยวในประเทศไทยในช่วงปลายปี โดยอยากไปท่องเที่ยวทำบุญมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 22.1
    .
    รองลงมาคือ อยากไปดอยภาคเหนือ คิดเป็นร้อยละ 21.1 และอยากไปเกาะ ไปทะเลสวยๆ คิดเป็นร้อยละ 17.0 ขณะที่ร้อยละ 39.1 ไม่มีแผนท่องเที่ยว
    .
    ซึ่งเรื่องที่กังวลมากที่สุด หากต้องเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงหยุดยาวคือ กลัวนักท่องเที่ยวการ์ดตก ไม่สวมผ้าปิดปาก กลัวติด COVID – 19 คิดเป็นร้อยละ 43.4 รองลงมาคือ ความแออัดของคนในสถานที่เที่ยวคิดเป็นร้อยละ 40.9 และอุบัติเหตุ รถชน รถติด บนท้องถนนคิดเป็นร้อยละ 25.6

    ส่วนมาตรการช่วยเหลือกระตุ้นท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของรัฐที่คาดว่าจะได้ใช้ในช่วงเที่ยวปลายปีพบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 70.5 ไม่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการใดเลย ส่วนร้อยละ 19.7 ใช้มาตรการคนละครึ่ง รองลงมาร้อยละ 8.1 ใช้มาตรการเราเที่ยวด้วยกัน และร้อยละ 5.8 ใช้มาตรการช้อปดีมีคืน
    .
    เมื่อถามว่า “มาตรการช่วยเหลือของภาครัฐบางมาตรการ ต้องใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ท่านพร้อมที่จะปรับตัวเรียนรู้ในการใช้หรือไม่” ส่วนใหญ่ร้อยละ 50.5 พร้อมที่จะปรับตัวเรียนรู้ ขณะที่ร้อยละ 49.5 ไม่พร้อมที่จะปรับตัว โดยในจำนวนนี้ให้เหตุผลว่า ยุ่งยาก สะดวกใช้เงินสดมากกว่า คิดเป็นร้อยละ 77.9 รองลงมาร้อยละ 27.4 ไม่มีสมาร์ทโฟน ใช้สมาร์ทโฟนไม่เป็น และร้อยละ 15.9 กลัวโดนขโมยข้อมูล เงินในบัญชี
    .
    สุดท้ายเมื่อถามความเห็นต่อภาพรวมมาตรการช่วยเหลือกระตุ้นท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของรัฐ จะช่วยทำให้คนออกมาใช้จ่ายได้มากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่ร้อยละ 55.0 คิดว่าจะช่วยทำให้คนออกมาใช้จ่ายได้ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ขณะที่ร้อยละ 45.0 คิดว่าช่วยได้ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
    #เที่ยวไทย #misterban #กรุงเทพโพลล์ #เที่ยว #มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Oct 24, 2020 แบงก์ในญี่ปุ่นลดวันทำงาน โดยให้พนักงานเลือกได้ 3-4 วันต่อสัปดาห์ ชีวิตวิถีใหม่
    ยุคโควิด -19
    .
    ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ประชากรทำงานหนักเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่หลังเกิดการระบาดของโควิด-19 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้ทำให้บริษัทต่าง ๆ มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการทำงานที่ผ่อนปรนมากขึ้น
    .
    เจแปนทูเดย์รายงานว่า “ทัตสึฟุมิ ซากาอิ” ซีอีโอ “มิซูโฮ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป” กลุ่มธุรกิจการเงินใหญ่อันดับ 3 ของญี่ปุ่น ได้เสนอทางเลือกให้พนักงานในเครือกว่า 45,000 คน สามารถเลือกได้ว่าจะทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์ หรือ 4 วันต่อสัปดาห์ก็ได้ โดยจะมีผลตั้งแต่เดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป
    .
    โฆษกหญิงของมิซูโฮฯระบุว่า นโยบายดังกล่าวเพื่อช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างอิสระ ซึ่งภายใต้ระบบการทำงานใหม่ พนักงานที่เลือกทำงานแบบ 3 วันต่อสัปดาห์ได้ค่าตอบแทน 60% ของเงินเดือน ผู้ที่เลือกทำงาน 4 วันจะได้ 80% ของเงินเดือน แต่พนักงานยังสามารถเลือกทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ตามเดิมได้

    ทั้งนี้มิซูโฮ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป พยายามสร้างวัฒนธรรมในการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเริ่มให้พนักงานทำงานจากบ้านตั้งแต่ เม.ย.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม โควิด-19 อาจเป็นตัวเร่งเท่านั้น เพราะปีที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ของญี่ปุ่นก็ปรับลดพนักงานอย่างต่อเนื่อง

    นอกจากนี้รายงานข่าวระบุว่าบริษัท ซูมิโตโม มิตซุย ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ก็เริ่มให้พนักงานทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาเช่นกันขณะที่ “ออลนิปปอนแอร์เวย์ส” (ANA)

    สายการบินยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างรุนแรง แจ้งกับสหภาพแรงงานว่า มีแผนอนุญาตให้พนักงานกว่า 15,000 คนของสายการบิน สามารถรับงานพาร์ตไทม์บริษัทอื่นได้ หากไม่ตรงกับเวลาทำงานของบริษัท เพื่อให้มีรายได้เสริมเข้ามาชดเชยรายได้ที่หายไป เนื่องจากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้เที่ยวบินระหว่างประเทศลดลงอย่างมาก จนทำให้สายการบินต้องปรับลดเงินเดือนและโบนัสของพนักงาน ขณะที่โรคระบาดนี้ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะสิ้นสุดในเวลาอันใกล้ดังนั้นบริษัทจึงเปิดทางให้พนักงานรับงาน “พาร์ตไทม์” บริษัทต่าง ๆ ได้ เพื่อเป็นช่องทางหารายได้เสริม หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทได้อนุญาตให้พนักงานเอาเวลาไปหาทำกิจการส่วนตัวเท่านั้น เช่น การเป็นติวเตอร์สอนหนังสือได้

    #misterban #โควิด #ลดวันทำงาน #ญี่ปุ่น

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Oct 24, 2020 รัฐบาลออสเตรเลีย เตรียมเปิดพรมแดนภายในคริสต์มาสปีนี้ พร้อมพิจารณาแผนสร้างทางเลือกใช้โรงแรมเป็นศูนย์กักตัวรองรับพลเมืองเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ
    .
    สำนักงานนายกรัฐมนตรีสก็อตต์ มอริสัน ของออสเตรเลีย ระบุว่า แคว้นและเขตแดนทั้งหมดยกเว้นเวสต์เทิร์น ออสเตรเลีย เห็นพ้องในกรอบงานที่จะยุติการปิดพรมแดนก่อนวันที่ 25 ธ.ค.และจะมีการประกาศรายละเอียดในการประชุมครั้งหน้าของบรรดาผู้นำแคว้นและรัฐบาลกลางที่มีกำหนดประชุมร่วมกันในวันที่ 13 พ.ย. เพื่อเปิดโอกาสให้ชาวออสเตรเลียที่พำนักในต่างประเทศเดินทางกลับประเทศได้
    .
    ทั้งนี้ ทางเลือกที่รัฐบาลเตรียมไว้คือ การกักตัวเองที่บ้าน ที่มหาวิทยาลัยที่รัฐจัดเตรียมไว้ หรือที่ๆเอกชนจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อเปิดเศรษฐกิจของประเทศอีกครั้งท่ามกลางการกระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19ในออสเตรเลียลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในแคว้นวิคทอเรีย จากที่เคยพุ่งสูงสุดในรอบวันจำนวนกว่า 600 ราย เหลือเพียงไม่กี่ราย
    .
    การผ่อนคลายมาตรการต่างๆของรัฐบาลออสเตรเลีย รวมทั้งการผ่อนคลายกฎด้านการรวมกลุ่มกันในนครซิดนีย์และการอนุญาตให้ผู้คนเดินทางข้ามพรมแดนมีขึ้นในขณะที่สหรัฐและหลายประเทศในยุโรปกำลังรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    .
    #misterban #โควิด19 #ออสเตรเลีย #เปิดประเทศ

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Oct 24, 2020 กระทรวงการต่างประเทศเตรียมเปิดเที่ยวบินกึ่งพาณิชย์ 8 สายการบินต่างชาติ เข้าประเทศไทย 6 พ.ย.นี้ พร้อมชวน 80 สายการบินไทย-เทศหารือร่วมบิน 1 พ.ย.นี้ หวังแก้ปัญหาคอขวดเปิดประเทศ
    .
    นายชาตรี อรรจนานันท์ อธิบดีกรมการกงสุล เปิดเผยว่า เนื่องจากที่ผ่านมา หนึ่งในปัจจัยปัญหาคอขวดในการเปิดประเทศอย่างจำกัดให้ชาวต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทยคือ “จำนวนเที่ยวบิน” ที่ยังคงมีอย่างจำกัดด้วยก่อนหน้านี้มีเพียงเที่ยวบินรับส่งคนไทยเท่านั้นที่ยังคงให้บริการอยู่ กรมการกงสุลจึงได้จับมือกับ 8 สายการบินต่างชาติเปิดให้บริการเที่ยวบินกึ่งพาณิชย์ (semi-commercial flights)
    .
    โดยทั้ง 8 สายการบินเริ่มให้บริการมาตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทั้ง 8 สายการบินที่เริ่มต้นให้บริการแล้ว ได้แก่ สายการบินเอมิเรต (EK384) สายการบินกาตาร์ (QR830,QR836) สายการบินเอทิเฮด (EY406) ให้บริการ 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ สายการบินคาเธย์ แปซิฟิก (CX653) 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ สายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์ (SQ976) สายการบินลุฟท์ธันซา (LH772) สายการบินสวิส (LX180) และสายการบินออสเตรียน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
    .
    รวมถึงมีอีก 2 สายการบินกำลังจะเข้าร่วมอีกในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ ได้แก่ สายการบินอีวาแอร์ (BR211) ที่จะให้บริการ 2 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และสายการบินเคแอลเอ็มที่อยู่ระหว่างการรอยืนยันเที่ยวบินจะให้บริการ 1 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และ “สายการบินไทย” (TG923) ที่จะให้บริการ 1 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ที่จะเข้าร่วมในวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้
    .
    ในสัปดาห์ที่ผ่านมากรมการกงสุลยังได้จัดการประชุมร่วมกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เพื่อหารือกับสายการบินพาณิชย์อีก 80 สายการบิน เปิดให้สายการบินที่สนใจเข้าร่วมให้บริการเที่ยวบินกึ่งพาณิชย์ทำงานร่วมกัน โดยคาดว่าในวันที่ 1 พฤศจิกายนจะมีความพร้อมเริ่มให้บริการเที่ยวบินกึ่งพาณิชย์เพิ่มเติมอีก พร้อมยืนยันว่าขั้นตอนในการขอวีซ่าและใบรับรองการเดินทางเข้าประเทศ (Certificate of Entry – COE) ใช้ระยะเวลาไม่เกิน 4-5 วันเท่านั้น ที่ผ่านมาการเดินทางล่าช้าเกิดการใช้เวลาในการหาเที่ยวบิน
    .

    #misterban #เที่ยวบิน #สายการบิน #เปิดประเทศ

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภาพที่เห็นคงไม่ต้องบรรยาย ความเจ็บปวดของเจ้าสุนัขตัวนี้ กับสภาพที่บาดเจ็บหนัก ตามตัวถูกไฟคลอก มีรอยแผลเหวอะหวะ จากเหตุท่อแก๊สระเบิด อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ที่ได้คร่า 3 ชีวิต และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 50 คน

    หนึ่งในผู้เสียชีวิต คือ เจ้าของสุนัขตัวนี้ค่ะ ซึ่งมันคงไม่รู้เลยว่า “เจ้าของจากไปแล้ว” มันยังคงรอคอยอย่างมีความหวัง ทำหน้าที่เฝ้าบ้านหลังเดิมที่เงียบสงัด เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง พอมีคนมาหาที่บ้าน มันก็รีบวิ่งมาหน้าประตู นั่งเฝ้าอยู่นาน ไม่ยอมไปไหน หลายคนได้ติดตามคงเป็นห่วง ตอนนี้กรมปศุสัตว์รับไปดูแลแล้วนะคะ

    นี่แหละค่ะ คำที่ว่า “สุนัขเป็นเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ของมนุษย์” คงเป็นเรื่องจริง

    อีจันขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และขอให้ผู้ได้รับบาดเจ็บปลอดภัยทุกคนค่ะ

    อย่าลืมกดติดตาม ติดดาว ⭐️ เพจด้วยนะ
    จะได้ไม่พลาดโพสต์ของเรา
    .................................................
    ติดตามข่าวอื่นๆ ของอีจันได้ที่ https://bit.ly/3aFZAIb
    ติดตาม #จันลั่นทุ่ง เกษตรกรดี อาหารดี ชีวิตดีได้ที่ https://www.facebook.com/JunLunTung

    ซื้อ-ขายสินค้ากับเรา อีจันตลาดเเตก คลิกที่ลิงค์นี้ http://nav.cx/dKVukwO

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เรื่องแปลกในเมืองจีน : วิลล่าหรู 78 หลังในฉางซาถูกทิ้งร้างแถมติดต่อเจ้าของไม่ได้
    .
    เป็นประเด็นร้อนในช่วงนี้ เมื่อวิลล่าหรูกว่า 78 หลังในนครฉางซาถูกปล่อยร้าง ไม่มีเจ้าของมาแสดงตน เหตุการณ์เช่นนี้สร้างความประหลาดใจไม่น้อย เพราะสมัยนี้ราคาบ้านแพงหูฉี่ แค่ซื้อห้องสักชุดยังต้องจ่ายเป็นล้าน แต่ทำไมบ้านจัดสรรสุดหรูพวกนี้เจ้าของถึงไม่มาอยู่กัน?
    .
    เมื่อมีคนโทรไปเบอร์ที่เจ้าของให้ไว้ กลับพบว่าบ้างก็ติดต่อไม่ได้ บ้างก็บอกว่าโทรผิดบ้าง แล้วตัดสายไปเสียดื้อๆ นับว่าเป็นเหตุการณ์อันน่าฉงน
    .
    ตามข้อมูล บ้านทั้งหมดนี้เป็นของโครงการ ‘ Tongshenghu Mountain Villa’ ตั้งอยู่ในเขตอวี่ฮวาเคยถูกขนานนามว่าเป็น ‘สถานที่พักอาศัยที่ดีที่สุดในหูหนาน’ และยังได้รับการการันตีด้วยรางวัลที่พักดีเด่น นอกจากนี้ ก็มีข่าวว่าดาราดังชาวหูหนานคนหนึ่งก็ซื้อไว้เช่นกัน
    .
    แต่น่าเสียดายที่บ้านเดี่ยวเหล่านี้กลับถูกปล่อยร้างจมดงหญ้า บรรยากาศรอบข้างดูวังเวงพิกล หากเดินผ่านตอนเย็นๆ คงให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองผีสิง
    .
    ทางเจ้าหน้าที่ของโครงการเผยว่า มีบ้านในโครงการมากถึง 25 หลังจากทั้งหมด 78 หลัง ที่ข้อมูลของเจ้าของบ้านยังคงเป็นปริศนา และมี 53 หลังที่มีข้อมูลแค่ชื่อ-สกุลและเบอร์โทรเท่านั้น แถมส่วนมากมักจะเป็นเบอร์ผิด หรือติดต่อไม่ได้ ถ้ากรณีที่ติดต่อได้ปลายสายก็จะแย้งว่าตนไม่ใช่เจ้าของที่พักดังกล่าว
    .
    เมื่อข่าวนี้เผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างคาดเดาว่า สาเหตุที่วิลล่าทั้ง 78 หลังไม่มีเจ้าของออกมาแสดงตัว เป็นเพราะกลัวการตรวจสอบใช่หรือไม่? หรือมีการทุจริตอยู่เบื้องหลัง? เพราะหากเป็นการได้มาอย่างผิดกฏหมาย ผู้ที่ออกตัวเป็นเจ้าของบ้านอาจเสี่ยงได้รับโทษ
    .
    เหตุที่ชาวเน็ตคาดเช่นนั้น เพราะนี่ไม่ใช่เคสแรกที่พบบ้านหรูถูกทิ้งร้างในจำนวนมากเช่นนี้ เมื่อ 2 ปีก่อน เคยมีกรณีบ้านเดี่ยว 400 หลังในเมืองซีอันที่สุดท้ายไร้เงาเจ้าของ และโดนรื้อถอนในที่สุด ตามมาด้วยการแฉข้อมูลการก่อสร้างที่ผิดกฏหมาย และการทุจริตของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง
    .
    เมื่อวันที่20 ต.ค. ที่ผ่านมา สำนักงานประชาสัมพันธ์เขตอวี่ฮวาเผยว่า ทางเขตให้ความสำคัญต่อเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างมาก โดยบริษัทอสังหาฯ ที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งดำเนินการติดต่อเจ้าของ ซึ่งขณะนี้ได้มีการติดต่อได้แล้วมากกว่า 60 หลัง

    ที่มา : https://www.sohu.com/a/425937603_47...spm=smpc.content.fspic.2.1603209318482kes76qa
    https://www.sohu.com/a/426088891_260616?spm=smpc.home.top-news2.3.16032064937944HYziu9
    .
    #จีน #บ้าน #วิลล่า #ฉางซา
    .
    ติดตามข่าวเด่นประเด็นร้อนแดนมังกร : https://www.jeenthainews.com/

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เทคโนโลยี 'หัวหลง-1' เดินเครื่องสู่ 'ภาวะวิกฤต' พร้อมดำเนินการในปีนี้
    อ่านต่อ : www.xinhuathai.com/vdo/147740_20201022

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เครื่องมือที่จีนมีไว้เพื่อควบคุมค่าเงินหยวนมีอะไรบ้าง?

    การติดตามเครื่องมือที่ธนาคารกลางจีนใช้เพื่อควบคุม บางเครื่องมือก็มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ บางเครื่องมือก็ปิดบังเอาไว้

    อย่างเช่นเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ค่าเงินหยวนแข็งค่าจนทำให้เป็นไตรมาสที่เงินหยวนแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 12 ปี จนธนาคารกลางจีนต้องประกาศปรับลด risk reserve ratio ในการทำสัญญา forward จาก 20% เหลือ 0% ส่งเสริมให้นักลงทุนเก็งกำไรผ่านสัญญา forward ด้วยการขายเงินหยวน หากมองว่านี่คือจุดที่ค่าเงินหยวนแข็งค่าที่สุดแล้ว (ได้ premium) เพื่อสกัดค่าเงินหยวนแข็งค่า

    (ข่าวเพิ่มเติม : https://www.cnbc.com/2020/10/12/chi...g-it-cheaper-to-bet-against-the-currency.html)

    และยังมีอีกหลายเครื่องมือที่ธนาคารกลางจีนใช้เพื่อจัดการกับค่าเงินหยวน พร้อมแล้วไปติดตามกันครับ

    ----------------------------

    ⏺ กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนรายวัน

    เป็นเครื่องมือที่ชัดเจนที่สุด โดยธนาคารกลางจีนจะเข้าไปกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงทุกเช้าวันทำการเวลา 9.15 น. และมีกรอบให้เคลื่อนไหวได้ 2% ไม่ว่าจะอ่อนค่าหรือแข็งค่า

    ซึ่งจะมีสูตรคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนโดยรวมหลายปัจจัยรวมไปถึงราคาปิดวันก่อนหน้าที่เวลา 16.30 น. โดยปกติทุกเช้า Bloomberg จะเปิดคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนจากนักวิเคราะห์ และหากอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงเปิดเผยออกมาแตกต่างจากคาดการณ์อย่างมีนัยยะ ตลาดจะตีความว่าเป็นการส่งสัญญาณจากทางการ

    และในบางครั้งธนาคารกลางมีความพยายามทำให้ค่าเงินหยวนอาจแข็งค่าหรืออ่อนค่าในช่วงปิดทำการ 16.30 น. เพื่อกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงวันรุ่งขึ้นโดยไม่ต้องส่งสัญญาณผ่านการกำหนดนโยบาย ซึ่งในอดีตธนาคารกลางจีนเคยหนุนค่าเงินหยวนให้แข็งค่าช่วง 16.30 น. เพื่อหนุนค่าเงินหยวนวันรุ่งขึ้นให้แข็งค่า

    ----------------------------

    ⏺ Counter-cyclical factor

    เมื่อปี 2017 ธนาคาารกลางจีนเปิดตัวสิ่งที่เรียกว่า Counter-cyclical factor ในสูตรคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง เพื่อเลี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารกลางมองว่าอ่อนค่าเกินไป และนำออกไปในเดือนมกราคม 2018 เมื่อค่าเงินหยวนแข็งค่า ผ่านไป 7 เดือน ก็นำกลับมาใช้อีกครั้งเพื่อจำกัดการอ่อนค่า ตอนนี้ต้องติดตามว่าจะนำเอาสิ่งนี้ออกจากสูตรคำนวณเมื่อไร

    (ข่าวเพิ่มเติม : https://www.reuters.com/article/us-china-yuan-factor-idUSKCN1L91EH)

    ----------------------------

    ⏺ ใช้คำพูดส่งสัญญาณ

    แม้มาตรฐานในการจัดการค่าเงินจะระบุว่า ค่าเงินหยวนจะคงที่ในระดับที่สมเหตุสมผล ณ จุดสมดุล แต่เจ้าหน้าที่ด้านการเงินก็ไม่เลี่ยงที่จะพูดถึงแนวโน้มค่าเงินหยวน โดยเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2019 ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน Yi Gang กล่าวว่าค่าเงินหยวนอยู่ในระดับที่เหมาะสม หลังอ่อนค่ามีได้ระยะหนึ่ง นั่นเท่ากับส่งสัญญาณว่าเงินหยวนอ่อนค่าพอแล้ว

    และยังไม่มีการออกมาพูดถึงค่าเงินหยวนที่แข็งค่าในปัจจุบัน เพียงระบุว่าค่าเงินหยวนแข็งค่าเนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว

    ----------------------------

    ⏺ ควบคุมการไหลของเงินทุน

    การควบคุมเงินทุนเป็นเครื่องมือที่ตรงไปตรงมาที่สุด (ซึ่งยังไงทางการจีนก็ต้องใช้หากว่ากันด้วย Impossible Trinity) เมื่อปี 2015 ทางการจีนจำกัดการไหลออกของเงินในช่วงที่เงินหยวนอ่อนค่าอย่างหนัก โดยควบคุมอย่างใกล้ชิดตั้งแต่บริษัทเอกชนจีนในต่างแดนจนถึงการซื้อประกันของบุคคลธรรมดาในฮ่องกง ในทางกลับกันก็สนับสนุนให้เงินทุนไหลเข้า เมื่อเดือนกันยายน ทางการจีนเปิดทางเลือกการลงทุนให้นักลงทุนต่างชาติมากขึ้น เช่น ตลาดอนุพันธ์ทั้ง future และ option ตลาดตราสารหนี้ ภายใต้ Qualified Foreign Institutional Investors และ RMB Qualified Foreign Institutional Investors programs.

    (ข่าวเพิ่มเติม : https://www.bloomberg.com/news/arti...nvestors-cheer-new-rules-on-derivatives-bonds)

    ----------------------------

    ⏺ ทุนสำรองระหว่างประเทศ

    จีนมีทุกสำรองระหว่างประเทศขนาดใหญ่กว่า 3 ล้านล้านเหรียญ โดยผู้กำหนดนโยบายขายพันธบัตรสหรัฐฯ หลักพันล้านเหรียญเพื่อพยุงค่าเงินหยวนหลังอ่อนค่าอย่างหนักเมื่อปี 2015 แม้จะเป็นดัชนีที่ติดตามได้อย่างดี แต่มูลค่าสินทรัพย์ทั้งในสกุลเงินดอลลาร์และสกุลเงินอื่น ก็เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้เมื่อค่าเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน

    ----------------------------

    ⏺ บีบช่องทางของสภาพคล่อง

    การเพิ่มต้นทุนการเก็งกำไรค่าเงินหยวนในตลาดนอกแผ่นดินใหญ่เป็นอีกวิธีที่ทางการจีนมักจะเลือกใช้ สิ่งสำคัญที่ต้องทำ คือ เอาสภาพคล่องออกไป ซึ่งก็คือในตลาดการเงินฮ่องกง ด้วยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมเงินหยวน โดยให้ธนาคารพาณิชย์ซื้อเงินหยวนหรือปฏิเสธให้ธนาคารอื่นยืมเงินหยวน นอกจากนั้นธนาคารกลางจีนยังสามารถขายพันธบัตรในฮ่องกง

    ตัวอย่างที่น่าสนใจที่สุดเกิดขึ้นเมื่อปีสิงหาคม ปี 2018 (เป็นช่วงที่ยากลำบากของตลาดหุ้นจีน) ต้นทุนการกู้ยืมเงินหยวนแบบ overnight ที่เรียกว่า Hibor เพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันการเก็งกำไรจากการค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า

    ----------------------------

    Source : https://www.bloomberg.com/news/arti...ignaling-how-china-manages-the-yuan-quicktake

    Cr : CrisisMan

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กรณีที่มีข่าวพบหญิงชาวฝรั่งเศส อายุ 57 ปี ซึ่งเข้ามาท่องเที่ยวที่เกาะสมุย และตรวจพบเชื้อโควิด-19 เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคติดต่อ กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี 1 ราย เป็นหญิงฝรั่งเศสอายุ 57 ปี เดินทางมาจากฝรั่งเศสพร้อมสามีและลูกชายด้วยสายการบินไทย ถึงไทยวันที่ 30 ก.ย.เข้ากักกันตัวที่ จ.สมุทรปราการ ระหว่างกักตัวตรวจร่างกาย 2 ครั้งไม่พบเชื้อ เมื่อครบ 14 วันได้รับอนุญาตให้ออกจากสถานที่กักตัว ต่อมาวันที่ 15 ต.ค. ได้เดินทางไปสถานทูตฝรั่งเศสที่กรุงเทพฯ และช่วงบ่ายได้เดินไปเกาะสมุยพร้อมสามีและลูก ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์เที่ยวบิน PG167 (กรุงเทพฯ-สมุย) เวลาออก 16.00 น. ถึงสมุย เวลาประมาณ 17.30 น. ที่นั่ง 7A, 7B, 7C ตามลำดับ

    ต่อมาวันที่ 17 ต.ค. หญิงฝรั่งเศสเริ่มมีอาการไข้ ไอ มีเสมหะ ปวดกล้ามเนื้อ ระหว่างนั้นมีไปบิ๊กซี และร้านสะดวกซื้อ 7-11 ใกล้บ้าน กระทั่งวันที่ 20 ต.ค. อาการไม่ดีขึ้นจึงเข้ารักษาที่ รพ.กรุงเทพสมุย เมื่อผลตรวจออกมามีอาการไข้ ทางรพ.กรุงเทพสมุย จึงได้ส่งตัวมายัง รพ.เกาะสมุย เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2563 ผลแล็บของรพ.เกาะสมุยยืนยันผลตรวจออกมาเป็นบวก จึงได้ทำการกักตัว

    ส่วนสามีและลูก ตรวจไม่พบเชื้อ และเพื่อนใกล้ชิดที่มารับด้วยรถยนต์ส่วนตัว ผลตรวจไม่พบเชื้อ ขณะนี้กำลังติดตามผู้โดยสารบนเที่ยวบินเดียวกัน 10 ราย และลูกเรือ 2 ราย เพื่อตรวจหาเชื้อ รวมถึงพยายามค้นหาหลักฐานว่าหญิงฝรั่งเศสรายนี้ติดเชื้ออย่างไร โดยได้ส่งทีมสอบสวนโรคไปตรวจหลายจุดที่ผู้ป่วยเดินทางไป

    นพ.โสภณ ยืนยันว่า การกักตัว 14 วัน น่าจะเพียงพอ แต่ต้องเพิ่มการติดตามหลังจากพ้นเวลากักตัวแล้ว เพราะในหลายประเทศพบการติดเชื้อได้ แต่มีจำนวนน้อยมาก

    โดยเมื่อเวลา 17.00 น. ของวันที่ 23 ต.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ได้เดินทางมาที่รพ.เกาะสมุย เพื่อนำยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 จำนวน 1,000 เม็ด มามอบให้กับทางโรงพยาบาล เพื่อใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการระดับรุนแรง ซึ่งผู้ป่วยชาวฝรั่งเศสรายนี้ แพทย์ระบุว่าอาการยังไม่เข้าขั้นรุนแรง แต่เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรักษา จึงจำเป็นที่ต้องมียาชนิดนี้เตรียมไว้ก่อน

    พร้อมกล่าวยอมรับว่า แนวทางการสืบสวนโรค เชื่อว่าผู้ที่ติดเชื้อรายนี้น่าจะติดเชื้อในประเทศไทย และอาจจะติดเชื้อมาจากที่โรงแรมที่มีการกักตัว 14 วัน ซึ่งจากนี้ต้องดูว่ายังมีช่องโหว่ในจุดใด เพื่อจะได้มีการแก้ไข แต่ไม่อยากให้ประชาชนมีความตื่นตระหนก เพราะมาตรการที่ทางสาธารณสุขได้วางแนวทางไว้ มีความรัดกุมอยู่แล้ว และให้เชื่อมั่นว่าทางเจ้าหน้าที่ทำงานกันอย่างเต็มที่ ซึ่งการตรวจเจอในครั้งนี้ มีการจำกัดพื้นที่ ติดตามผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยมาตรวจหาเชื้อและกักตัว เป็นการทำงานที่รวดเร็ว จึงไม่อยากให้ทุกเกิดความกังวลกับเหตุการณ์ในครั้งนี้

    โดยในวันนี้ (24 ต.ค.) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้มีรายใหม่ 4 ราย โดยมีติดเชื้อในประเทศ 1 รายเป็นหญิงชาวฝรั่งเศสที่เกาะสมุย ส่วนอีก 3 รายเป็นคนไทยเดินทางกลับจากออสเตรีย 1 ราย และฮ่องกง 2 ราย ทุกรายอยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยรักษาหายเพิ่ม 11 ราย

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

    ที่มา https://www.thairath.co.th/news/local/south/1960331; https://news1live.com/detail/9630000108736

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    23 ต.ค. 63 จากกรณีพบปลิงทะเลเกยหาดบางกะไชย อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี เป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้ออกมาไขข้อสงสัยถึงสาเหตุดังกล่าว ผ่านทาง เฟซบุ๊ก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ข้อความว่า

    “ค่าความเค็มเปลี่ยน ต้นเหตุปลิงทะเลเกยหาดบางกะไชย”
    กรม ทช. โดยศูนย์วิจัย ทช. อ่าวไทยฝั่งตะวันออก เข้าพื้นที่สำรวจเมื่อเวลา 16.00 น. เป็นระยะทาง 300 เมตร เบื้องต้นพบปลิงทรายหนามชนิด Holothuria (Theelothuria) Kurti 1 ตัว ไม่พบสัตว์น้ำอื่น ๆ ตาย โดยปลิงส่วนใหญ่สามารถกลับลงไปในน้ำได้ในช่วงน้ำขึ้นในช่วงเย็น เบื้องต้นไม่แนะนำให้สัมผัสตัวปลิง ทั้งนี้ยังพบปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีบริเวณจุดเกิดเหตุ

    จากนั้น ได้ตรวจวัดคุณภาพน้ำทั่วไป 3 สถานี พบว่า อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งประเภทที่ 4 เพื่อการนันทนาการ (กรมควบคุมมลพิษ, 2560) ยกเว้นค่าออกซิเจนละลายในน้ำสูงกว่าปกติ ส่วนแพลงก์ตอนพืชที่เป็นสาเหตุให้เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี คือกลุ่มไดโนเฟลคเจลเลตชนิด Noctiluca scintillans

    นอกจากนั้น ได้สัมภาษณ์คุณวิภัตร ลิปยากร ชาวบ้านบริเวณที่เกิดเหตุ แจ้งว่าพบปลิงทะเลทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิตเกยหาดเมื่อเวลาประมาณ 8.00 น. เป็นระยะทางประมาณ 300 เมตร ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ปกติทุกปี เนื่องจากบริเวณนี้เป็นหาดเลนซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของปลิงทะเล โดยจากการสอบถาม ดร.สุเมตต์ ปุจฉาการ สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ทราบว่าสาเหตุของการเกยหาดนี้ น่าจะเกิดจากความเค็มต่ำจากที่น้ำจืดไหลลงสู่ทะเล ทำให้ปลิงทะเลทนสภาพการเปลี่ยนแปลงความเค็มไม่ทัน และสูญเสียแรงดันออสโมซิสในร่างกาย จึงอ่อนแอจนไม่สามารถต้านทานกระแสคลื่น จึงถูกพัดขึ้นมาเกยหาด

    ทั้งนี้ ปลิงทะเลเป็นสัตว์ทะเลที่อ่อนแอต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมแบบฉับพลัน จึงมักพบขึ้นมาเกยหาดบ่อย ๆ เช่น ปลิงทะเลหัวมันเทศ Acaudina molpadiodes รวมทั้งปลิงทะเลชนิดนี้ด้วย

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

    ที่มา เฟซบุ๊ก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่มีต่อภาคการส่งออกของไทย ส่งผลให้ยอดส่งออกติดลบเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา มีสัญญาณการส่งออกฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยยอดส่งออกติดลบ 3.86% จากที่คาดการณ์ทั้งปีติดลบ 7% ซึ่งสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ และ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) คาด 2 เดือนสุดท้ายจะติดลบน้อยลง รวมถึงไตรมาสแรกของปี 64 ยอดส่งออกน่าจะกลับมาเป็นบวก

    นายวิศิษฐ์ ลิ้มลืมชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สรท.คาดว่าการส่งออกในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2563 จะติดลบน้อยลง ซึ่งดูจากการส่งออกในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาการส่งออกของไทยติดลบต่ำกว่า 10% เทียบกับไตรมาส 2 ที่ติดลบสูงกว่า 10% คาดว่าจากนี้น่าจะมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่มีความจำเป็น

    รวมทั้งมองว่าไตรมาส 1 ปี 2564 ยอดส่งออกอาจจะกลับมาเป็นบวก แม้ว่าบางประเทศจะมีการระบาดของโควิด-19 รอบสอง แต่การค้าน่าจะกลับมาได้ ซึ่งที่ผ่านมามีการเปิดตัวสินค้าใหม่ แต่สินค้าบางตัวจำเป็นต้องมีการชิมรสและมีการอธิบายคุณลักษณะสินค้า เช่น อาหาร ก็ยังมีอุปสรรคเนื่องจากไม่สามารถจัดงานแสดงสินค้าได้ และไม่สามารถเดินทางระหว่างประเทศได้เหมือนปกติ นอกจากนี้คงต้องรอลุ้นวัคซีนป้องกันโควิด-19 ถ้าหากออกมาเร็วก็จะเป็นผลดี สามารถเปิดประเทศ เดินทางได้ ส่วนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ต้องรอดูนโยบายด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจะมีผลต่อการค้าโลกในระยะยาว” นายวิศิษฐ์ กล่าว

    ทางด้านนางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกรายเดือนของไทยติดลบน้อยลง ถือเป็นการฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดย มิ.ย.ติดลบ 23.17% เดือน ก.ค.ติดลบ 11.37% และเดือน ส.ค.ติดลบ 7.94% ซึ่งเป็นสัญญาณดี เพราะเป็นการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้ามากกว่าดีจากการส่งออกทองคำ

    สำหรับปัจจัยที่ทำให้การส่งออกกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น มาจากการฟื้นตัวของสินค้าส่งออกหลายกลุ่มที่ส่งออกติดลบน้อยลง รวมทั้งสินค้าหลายรายการเริ่มขยายตัวได้ดีขึ้น โดยมีสินค้า 3 กลุ่มหลัก ที่ส่งออกเติบโตได้ดี คือ สินค้าอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง เครื่องดื่ม สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารสัตว์เลี้ยง

    สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้า และโซลาร์เซลล์ และสินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น ถุงมือยาง

    ทั้งนี้ สินค้าหลายตัวยังคงส่งออกได้ลดลง เช่น น้ำตาลทราย ข้าว ยางพารา ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคำ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และทองคำ

    นอกจากนี้ การส่งออกไปตลาดสำคัญมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ มูลค่าการส่งออกในหลายตลาดปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน รวมทั้งหดตัวในอัตราลดลงต่อเนื่อง สะท้อนถึงการทยอยฟื้นตัวของอุปสงค์จากประเทศคู่ค้า หลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดและเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวมากขึ้น

    ตลาดสหรัฐอเมริกา การส่งออกในเดือน ก.ย.ถือว่าขยายตัวสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ที่ 19.7% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และรถยนต์และส่วนประกอบ ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2563 ขยายตัว 7.4%

    ตลาดจีน กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือน ที่ 6.9% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลไม้สด แช่แข็งและแห้ง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และเม็ดพลาสติก ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2563 ขยายตัว 3.7%

    แนวโน้มการส่งออกของไทยถือว่าฟื้นตัวอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับประเทศอื่นถือว่าติดลบน้อยลง โดยการส่งออกไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะส่งออกได้มูลค่า 56,000 ล้านดอลลาร์ ลดลง 6% ทำให้ยอดรวมทั้งปี 2563 จะส่งออกได้มูลค่า 228,900 ล้านดอลลาร์ ติดลบ 7% และติดลบไม่ถึง 2 หลัก ตามประมาณการณ์เดิม

    สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องติดตามในช่วงที่เหลือของปีนี้ คือ การระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะในเมียนมาที่จะกระทบต่อการค้าชายแดนในระยะสั้น รวมถึงการระบาดในยุโรปที่บางประเทศมีการล็อกดาวน์อีกครั้ง แต่ไม่กระทบการส่งออกทันที แต่อาจกระทบช่วงไตรมาสแรกปี 2564 และยังต้องจับตานโยบายสหรัฐฯ หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะต้องติดตามว่าสหรัฐฯ จะใช้วิธีไหนกับจีน เพราะไม่ว่าใครจะได้รับการเลือกตั้งระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับนายโจ ไบเดน ความขัดแย้งกับจีนก็จะยังคงมีอยู่ แต่วิธีการอาจจะไม่เหมือนกัน

    รวมทั้งต้องติดตามเรื่องวัคซีนโควิด-19 หากใครมีก่อน เศรษฐกิจของประเทศนั้นก็จะฟื้นตัวแบบหัวกระสุนซินคันเซน เศรษฐกิจจะเทไปทางนั้น

    ส่วนปัญหาการเมืองในประเทศ ไม่มีผลกระทบต่อการส่งออก เพราะเป็นเรื่องการค้าขายระหว่างประเทศ แต่จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุน โดยนักลงทุนจะใช้เป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณา ถ้านักลงทุนไม่มา การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยยังต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศก็จะหยุดชะงัก และมีผลกระทบต่อการส่งออกในระยะยาว

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

    ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/904069

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    22 ตุลาคม 2563 นางสาวกรรวี สิทธิชีวภาค) รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ได้มีประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง “การเริ่มต้นฤดูหนาวของประเทศไทย พ.ศ.๒๕๖๓” โดยมีเนื้อหา ระบุว่า

    “ประเทศไทยได้เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ โดยลมที่พัดปกคลุมบริเวณ ประเทศไทยที่ระดับความสูง ๑๐๐ เมตร ถึงความสูง ๓,๕๐๐ เมตร ได้เปลี่ยนเป็นลมตะวันออกเฉียงเหนือหรือลม ตะวันออก ส่วนลมระดับบนที่ความสูงตั้งแต่ ๕,๐๐๐ เมตรขึ้นไป ได้เปลี่ยนเป็นลมฝ่ายตะวันตก ประกอบกับอุณหภูมิต่ำสุดในช่วงเช้าบริเวณประเทศไทยตอนบนลดลงอยู่ในเกณฑ์อากาศเย็นเกือบทั่วไปแล้ว

    อย่างไรก็ตามในช่วงเริ่มต้นของฤดูหนาวในปีนี้ ลักษณะอากาศบริเวณประเทศไทยตอนบนยังคง แปรปรวน โดยจะมีฝนตกในบางช่วงแต่ปริมาณไม่มากนัก ส่วนบริเวณภาคใต้ยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่นต่อไป จึงประกาศให้ทราบทั่วกัน

    ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๓”

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    23 ต.ค.63 เอ็นเตอร์ไพรส์ เทคโนโลยี รีเสิร์ช (Enterprise Technology Research (ETR) บริษัทวิจัยการตลาดในสหรัฐฯ ได้เปิดเผยผลการสำรวจผู้บริหารในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ด้านข้อมูล (chief information officer) หรือ CIO ประมาณ 1,200 คน ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่า

    ในปีหน้าจำนวนพนักงานทำงานจากบ้านอย่างถาวรน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าเป็น 34.4% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด จากสัดส่วนเพียง 16.4% ในปีก่อนหน้า หลังจากผลสำรวจพบว่า 48.6% ของ CIO รายงานว่า ผลิตภาพจากการทำงานจากบ้านเพิ่มขึ้น ขณะที่ 28.7% มองว่าลดลง

    เมื่อแยกเป็นรายแผนก พบว่า แผนกไอที โทรคมนาคม การเงิน และการประกันภัยผลิตภาพในการทำงานทางไกลเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่ ภาคพลังงาน สาธารณูปโภค และภาคการศึกษา กลับไม่ได้รับประโยชน์จากการทำงานจากบ้านมากนัก
    โดย CIO ยังเปิดเผยว่า ประมาณ 72% ของพนักงานบริษัททั่วโลก ปัจจุบัน ยังคงทำงานจากบ้านอยู่

    นอกจากนี้ CIO ยังคาดการณ์ด้วยว่า ในปีหน้างบประมาณด้านเทคโนโลยีของบริษัทต่างๆ น่าจะเพิ่มขึ้น 2.1 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับปีนี้ที่ลดลง 4.1 เปอร์เซนต์ เนื่องจากมาตรการล็อคดาวน์

    https://www.tnnthailand.com/content/59656

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หลังจากที่ต้องประสบปัญหากวางในเมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น ล้มตายจากการกินถุงพลาสติกเนื่องจากได้กลิ่นอาหารที่ติดอยู่ ล่าสุด สวนกวางเมืองนาราได้เปลี่ยนมาใช้ถุงกระดาษกินได้ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว

    โดยเว็บไซต์หนังสือพิมพ์อาซาฮี รายงานว่า นายทาคาชิ นาคามูระ ชาวเมืองนาราผู้เป็นเจ้าของบริษัทผลิตกระดาษเล็ก ๆ ในท้องถิ่น ได้ร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องสำอาง และนักออกแบบในท้องถิ่น พัฒนาถุงกระดาษผลิตจากกล่องนมรีไซเคิลผสมกับรำข้าว ซึ่งผ่านการรับรองจากสำนักงานวิจัยด้านอาหารและยาของญี่ปุ่นแล้ว โดยรับรองว่าสัตว์สามารถกินได้อย่างปลอดภัย หากว่ากวางกินถุงกระดาษนี้เข้าไปแล้ว กระเพาะของมันก็ยังสามารถย่อยถุงได้

    แนวคิดในการทำถุงกินได้นี้ มีขึ้นหลังจากเมื่อปีที่แล้วมีข่าวกวางตาย ในท้องมีขยะพลาสติกหนักกว่า 4 กิโลกรัม เนื่องมาจากบรรดานักท่องเที่ยวมักจะทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง ทำให้กวางไปคาบมากินเพราะได้กลิ่นอาหารติดอยู่ ชาวเมืองนาราและทางการพยายามแก้ปัญหานี้มาตลอด เมื่อมีการพัฒนาถุงกระดาษกินได้ขึ้นมา จึงหันมาใช้แทนถุงพลาสติก

    รายงานข่าวระบุว่า มีการผลิตและจำหน่ายถุงกระดาษที่เป็นมิตรกับกวางออกมาแล้วประมาณ 3,500 ใบ ส่งขายให้กับบริษัทและหน่วยงาน 6 แห่ง รวมไปถึงสำนักงานการท่องเที่ยวเมืองนารา ธนาคารท้องถิ่น และร้านขายยา ซึ่งถุงกระดาษที่เป็นมิตรกับกวาง มีราคาใบละ 100 เยน หรือประมาณ 30 บาท ถือเป็นราคาสูงกว่าถุงพลาสติกทั่วไป แต่กวางเป็นทรัพยากรที่มีค่าของเมืองนารามานานหลายทศวรรษแล้ว จึงนับว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าหากจะช่วยรักษาชีวิตของกวางไว้ได้

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

    ที่มา https://www.thairath.co.th/news/foreign/1958234

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    22 ตุลาคม 2563 เถียนเป่ากั๋ว เจ้าหน้าที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน แถลงข่าวว่า มีผลการศึกษาหลายฉบับบ่งชี้การกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสฯ (โควิด-19) ที่จีนกำลังพัฒนาแต่อย่างใด

    เถียน เปิดเผยว่า จีนติดตามกรณีการกลายพันธุ์ของไวรัสฯ อย่างใกล้ชิด และได้จัดตั้งสถาบันวิจัยมากกว่า 30 แห่งทั่วประเทศ เพื่อดำเนินการวิจัยติดตามที่เกี่ยวข้อง โดยปัจจุบันฐานข้อมูลทั่วโลกมีลำดับพันธุกรรมของไวรัสฯ เกือบ 150,000 รายการ ครอบคลุมมากกว่า 100 ประเทศและภูมิภาค

    ทั้งนี้ การวิเคราะห์ลำดับพันธุกรรมคุณภาพสูงมากกว่า 80,000 รายการ บ่งชี้ว่า ไวรัสฯ ไม่ได้แสดงการผันแปรมากนัก โดยมีการผันแปรอยู่ในช่วงปกติ ซึ่งไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการพัฒนาวัคซีน ขณะที่ปัจจุบันการออกแบบแอนติเจนของวัคซีนโรคโควิด-19 ส่วนใหญ่มุ่งเป้าที่โปรตีนเอส (S protein) หรือโปรตีนหนาม (Spike protein) ของไวรัสฯ ซึ่งมีลำดับค่อนข้างคงที่

    โดยการกลายพันธุ์ของไวรัสฯ ณ จุดที่มีโปรตีนเอสปรากฎอยู่ ส่งผลกระทบเล็กน้อยต่อโครงสร้างแอนติเจนและความสามารถสร้างภูมิคุ้มกัน โดยการทดสอบก่อนหน้านี้พิสูจน์แล้วว่าวัคซีนที่อยู่ระหว่างการทดสอบในปัจจุบัน สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสฯ ที่กลายพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ทั้งนี้ เถียนกล่าวว่าทีมนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์จะติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสฯ ต่อไป และดำเนินการตัดสินใจอย่างทันท่วงทีเพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้าและเผยแพร่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สำหรับการวิจัยและพัฒนาวัคซีน

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

    ที่มา https://www.naewna.com/inter/526746

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปิดยาว! โรงเรียนเปร็งฯ อาคารมีรอยร้าว ปลั๊กไฟละลาย

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,300
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #News1feed : รัฐบาลเกาหลีเหนือแจ้งเตือนประชาชนให้เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเนื่องจากเกรงว่า “ฝุ่นเหลือง” ซึ่งถูกกระแสลมพัดมาจากจีนอาจนำพาไวรัสโควิด-19 ติดมาด้วย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9630000108769
    ............................................
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : http://nav.cx/4tvbDJ8
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     

แชร์หน้านี้

Loading...