ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ล้ำยุค! ลิฟต์จีนใช้ ‘ปุ่มกดเสมือนจริงกลางอากาศ’ ลดสัมผัส เลี่ยงไวรัส
    .
    ผู้โดยสารลิฟต์สามารถกดเลือกชั้นที่ต้องการ รวมถึงกดเปิด-ปิดประตูลิฟต์ ผ่านแผงปุ่มกดเสมือนจริง ที่เกิดจากการฉายแสงสร้างภาพกลางอากาศโดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง และจับต้องข้อมูลดิจิทัลด้วยมือเปล่าได้
    .
    https://www.xinhuathai.com/vdo/ล้ำยุค-ลิฟต์จีนใช้-ปุ่_20200303

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักวิจัยจีนพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อาจ ‘ไม่มีไข้-ซีทีสแกนไม่ผิดปกติ’ ได้
    .
    การศึกษาครั้งนี้ยังอธิบายลักษณะอาการทางคลินิกของการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และไม่ปฏิเสธการมีอยู่ของ “นักแพร่เชื้อ” (super-spreader)
    .
    https://www.xinhuathai.com/high/นักวิจัยจีนพบผู้ติดเชื_20200303

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Covid 19 ผันแปรมาจากค้างคาวสู่ตัวลิ่น pangolin และมาคน
    ตัวแรกๆที่ดุร้าย ตั้งแต่ก่อนต้นมกราคม 2020 เรียกชื่อว่าเป็น ชนิด L และแพร่ได้รวดเร็ว แล้วต่อมาตัวที่อ่อนโยนกว่า เรียกว่าชนิด S จะพบมากขึ้น แม้ดูจากวิวัฒนาการจะมีมาเก่าก่อนก็ตาม
    การที่ ลักษณะโรค ความรุนแรงและการแพร่ จะขึ้นกับชนิดดังกล่าว และว่าจะเกี่ยวพันกับการกดดันที่จะทำการควบคุมไวรัสในแง่มุมต่างๆ ต้องติดตามต่อด้วยใจระทึก

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    PSX_20200305_001445.jpg
    (Mar 4) เจอซะเอง!พบจนท.อียูติดเชื้อที่สำนักงานใหญ่ ก่อนการประชุมฉุกเฉินวิกฤตโควิด-19 : พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19) 2 รายรวดในหมู่เจ้าหน้าที่ประจำสถาบันต่างๆของสหภาพยุโรปในกรุงบรัสเซลส์ จากการเปิดเผยของโฆษกในวันพุธ(4มี.ค.) ไม่กี่วันก่อนหน้าที่บรรดาคณะรัฐมนตรีจาก 27 ชาติสมาชิกจะประชุมฉุกเฉินรับมือกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19

    โฆษกของคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับคณะรัฐมนตรีและสุดยอดผู้นำอียู และมีเจ้าหน้าที่อยู่ราวๆ 3,000 คน เปิดเผยว่าบุคคลรายดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ในแผนกความปลอดภัยทางข้อมูลและติดเชื้อภายในเบลเยียม

    การตรวจพบผู้ติดเชื้อครั้งนี้มีขึ้นก่อนหน้าที่บรรดารัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายในของอียูจะมารวมตัวกันที่อาคารคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปในบรัสเซลส์ หลังจากนี้ในวันพุธ(4มี.ค.) เพื่อประชุมนัดพิเศษเกี่ยวกับวิกฤตผู้อพยพตามแนวชายแดนติดกับตุรกี

    จากนั้นในวันศุกร์(6มี.ค.) คาดหมายว่าคณะรัฐมนตรสาธารณสุขของอียูจะประชุมฉุกเฉินในอาคารเดียวกัน เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19

    อย่างไรก็ตามทางโฆษกยืนยันว่าที่ประชุมทั้ง2 จะเดินหน้าตามกำหนดเดิม เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงทางสุขภาพต่อผู้เข้าร่วม "มันไม่น่าจะก่อความวุ่นวายแก่การทำงานของสถาบันของเรา" เขากล่าว พร้อมระบุว่าการตัดสินใจเป็นไปตามระเบียบการขององค์การอนามัยโลก

    ก่อนหน้านี้ในวันดียวกัน หน่วยงานอีกแห่งของอียู สำนักงานป้องกันประเทศยุโรป ได้รายงานพบเจ้าหน้าที่รายหนึ่งติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เช่นกัน "เจ้าหน้าที่มีผลตรวจออกมาเป็นบวก และปัจจุบันกักกันโรคตนเองที่อยู่บ้านนับตั้งแต่มีอาการเมื่อช่วงเย็นวันเสาร์ บุคคลรายนี้แจ้งว่ามีอาการเล็กน้อยมากและตั้งแต่นั้นยังไม่ได้กลับมาทำงาน" ถ้อยแถลงระบุ พร้อมเผยว่าเจ้าหน้าที่รายนี้เพิ่งเดินทางไปยังทางเหนือของอิตาลี ศูนย์กลางการแพร่ระบาดในยุโรป เมื่อไม่นานที่ผ่านมา

    จนถึงตอนนี้ทั่่วโลกพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วมากกว่า 90,00 คน ในนั้นเสียชีวิตแล้ว 3,200 คน นับตั้งแต่ไวรัสปรากฏตัวขึ้นในจีนเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว และตอนนี้มันแพร่กระจายไปเกือบทุกหัวระแหงของโลก

    กระทรวงสาธารณสุขเบลเยียมบอกว่าเคสผู้ติดเชื้อใดๆในสำนักงานต่างๆของอียู ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ จะถูกนับรวมกับตัวเลขของเบลเยียม โดยจนถึงตอนนี้เบลเยียมพบผู้ติดเชื้อแล้ว 23 คน ในนั้น 10 คนถูกตรวจพบในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน 9 ใน 10 เคส เป็นบุคคลที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากอิตาลีเมื่อเร็วๆนี้

    คณะกรรมาธิการยุโรปได้ดำเนินแผนฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือบรรดารัฐสมาชิกประสานงานตอบโต้การแพร่ระบาดของไวัส และช่วยเหลือในการจัดซื้ออุปกรณ์ป้องกันครั้งมโหฬาร อย่างไรก็ตามไม่เป็นที่ต้องสงสัยเลยว่าทางสถาบันต่างๆของอียูก็จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสตามสำนักงานต่างๆของพวกเขาเองเช่นกัน

    เมื่อวันจันทร์(2มี.ค.) โฆษกรัฐสภายุโรปแถลงระงับการมาเยือนรัฐสภายุโรปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว หรือแม้แต่แขกของสมาชิกรัฐสภา, ผู้ช่วยหรือบรรดาล็อบบี้ยิสต์

    อย่างไรก็ตามในวันพุธ(4มี.ค.) กฎระเบียบนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังมีข้อยกเว้นให้แก่ เกรตา ทุนเบิร์ก สาวน้อยนักเคลื่อนไหว ที่เดินทางมาเยือนบรัสเซลส์ เพื่อล็อบบี้ให้ดำเนินการในด้านต่อสู้กับภาวะโลกร้อนด้วยความมุ่งมั่นมากขึ้น

    ทุนเบิร์ก เดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ของอียู ด้วยระบบขนส่งสาธษรณะ เพื่อพูดคุยกับ อูร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการอียู และมีกำหนดเข้าร่วมการประท้วงหนึ่งในวันศุกร์(6มี.ค.)

    Source: ผู้จัดการออนไลน์
    https://mgronline.com/around/detail/9630000022120

    Coronavirus arrives in EU offices after infected worker returns from Italy: Coronavirus arrives in EU offices after infected worker returns from Italy: https://metro.co.uk/2020/03/04/coro...ed-worker-returns-italy-12348497/?ito=cbshare
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    PSX_20200305_001718.jpg
    (Mar 4) WHO ขอให้เร่งผลิตอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ไวรัสจะแพร่กระจาย ถ้าแพทย์ไม่ปลอดภัย : Tedros Adhanom ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุ อัตราการตายทั่วโลกจากโรคโควิด-19 สูงถึง 3.4% ถือว่าสูงกว่าที่คาด จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 2% เมื่อเปรียบเทียบกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลแล้วถือว่าเสียชีวิตน้อยกว่า 1% หลังจากติดเชื้อ

    โดย WHO กล่าวว่า อัตราการตายจากโรคโควิด-19 นี้ เพิ่มจาก 0.7% จนใกล้ 4% นี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพระบบสาธารณสุข ซึ่งในช่วงที่เริ่มมีการระบาดของไวรัส นักวิทยาศาสตร์สรุปได้ว่ามีอัตราการตายอยู่ที่ 2.3% เป็นไปได้ว่าโรคโควิด-19 นี้ คนยังไม่รู้จักดีพอ มันไม่เหมือนไข้หวัดใหญ่ เมื่อคนไม่รู้จักโรคนี้ดีพอก็จะไม่สามารถรับมือกับการจัดการในการติดเชื้อและการระงับโรคนี้

    Tedros กล่าวว่า มันเป็นไวรัสที่มีความเฉพาะตัว และยังมีลักษณะที่ไม่เหมือนใคร ไวรัสไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ ขณะที่ Dr. Mike Ryan ผู้อำนวยการบริหาร WHO กล่าวว่า มันเป็นโรคที่ยังไม่มีวัคซีนรักษา ไม่มีวิธีการดูแล และยังไม่เข้าใจการแพร่เชื้อของมัน มันไม่เหมือนไข้หวัดใหญ่ หลายประเทศพยายามต่อสู้กับมันอยู่ ซึ่งก็เริ่มเห็นการยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายบ้างแล้ว

    ขณะนี้มีคนติดเชื้อไวรัสกว่า 90,000 รายแล้ว Tedros ระบุว่า อัตราการตาย 90% เกิดขึ้นในจีน ส่วนใหญ่อยู่ในมณฑลหูเป่ย ขณะที่ประเทศที่ติดเชื้อนอกจีนมี 4 ประเทศหลักๆ คือ เกาหลีใต้ อิตาลี อิหร่าน และญี่ปุ่นที่กำลังน่ากังวล

    ทั้งนี้ จากรายงานโดย UN ที่ระบุไว้ในวันที่ 2 มีนาคม Tedros กล่าวว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา อัตราการติดเชื้อไวรัสนอกประเทศจีน พุ่งสูงขึ้นมากกว่าอัตราการติดเชื้อภายในจีน สูงถึง 9 เท่า ขณะนี้ตัวเลขการติดเชื้อในจีนค่อยๆ ลดลงแล้ว

    ล่าสุด Tedros ออกมาบอกว่า ขณะนี้กำลังขาดแคลน PPE หรือ ชุดอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (personal protective equipment) สาเหตุมาจากความต้องการที่สูงมากขึ้น มีการซื้อ PPE มากเพราะความตระหนก ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ต้องพึ่งพาชุดอุปกรณ์เหล่านี้เพื่อปกป้องตัวเองจากคนไข้จากการติดเชื้อไวรัส

    ไม่ว่าจะเป็นถุงมือ หน้ากากอนามัย หน้ากากป้องกันแก๊สพิษ หน้ากากกันลม แว่นตากันลม เสื้อคลุม ผ้ากันเปื้อน ดังนั้น แพทย์ พยาบาลที่ทำงานอยู่หน้างานจะเผชิญหน้ากับภาวะที่อันตรายมากที่สุด WHO จึงเรียกร้องขอให้รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เร่งผลิตอุปกรณ์เหล่านี้ ลดการส่งออก ส่งออกอย่างจำกัด และพยายามใช้เพื่อยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายมากกว่าเดิม เราไม่สามารถหยุดโรคโควิด-19 ได้ หากไม่ป้องกันบุคลากรทางการแพทย์เป็นอันดับแรก

    WHO กล่าวว่า นับตั้งแต่โรคโควิด-19 ระบาดก็ทำให้ราคาของหน้ากากอนามัยสูงขึ้นเป็น 6 เท่า หน้ากากอนามัยแบบ N95 ก็ถีบราคาสูงขึ้นเป็นสามเท่าเช่นกัน มีการประเมินว่าหลังจากโควิด-19 ระบาด ภายใน 1 เดือนมีการใช้หน้ากากอนามัยราว 89 ล้านชิ้น ถุงมือ 76 ล้านคู่ แว่นกันลม 1.6 ล้านชิ้น

    โดย Parichat Chk

    Source: Brandinside.asia
    https://brandinside.asia/who-calls-ppe-shortage-government-and-industry-have-to-protect/

    - WHO says coronavirus death rate is 3.4% globally, higher than previously thought: https://www.cnbc.com/2020/03/03/who...-globally-higher-than-previously-thought.html
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เฟดหั่นดอกเบี้ยฉุกเฉิน สู้พิษโควิด-19

    สหรัฐเป็นชาติล่าสุดที่ปรับลดดอกเบี้ย 0.50% หวังลดผลกระทบโควิด-19 ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยเงินบาทกลับมาแข็งค่าแตะระดับต่ำสุด 31.31

    คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประชุมฉุกเฉินวานนี้ และมีมติให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 1.00-1.25% หวั่นว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง

    การลดดอกเบี้ยแบบฉุกเฉินคราวนี้ นับเป็นครั้งที่ 9 ในประวัติศาสตร์เฟด
    1. 18 Apr 1984 เพิ่มจาก 3.5 เป็น 3.75 (+0.25%)
    2. 15 Oct 1998 ลดจาก 5.25 เป็น 5.00 (-0.25%)
    3. 3 Jan 2001 ลดจาก 6.25 เป็น 6.00 (-0.25%)
    4. 18 Apr 2001 ลดจาก 5.00 เป็น 4.5 (-0.50%)
    5. 17 Sep 2001 ลดจาก 3.5 เป็น 3.00 (-0.50%)
    6. 17 Aug 2007 ลดจาก 6.25 เป็น 5.75 (-0.50%)
    7. 22 Jan 2008 ลดจาก 4.25 เป็น 3.5 (-0.75%)
    8. 8 Oct 2008 ลดจาก 2.00 เป็น 1.5 (-0.50%)
    9. 3 Mar 2020 ลดจาก 1.75 เป็น 1.25 (-0.50%)

    ด้านแบงก์ชาติไทยออกมาให้ความเห็นว่า
    ยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังเป็นประเทศแรกที่ลดดอกเบี้ยสู้พิษโคโรน่า เหลือ 1% รวมถึงได้สั่งแบงก์พาณิชย์ และ non-banks ให้ช่วยเหลือลูกหนี้ โดยขยายวงกว้างจากเดิมเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เป็นกลุ่มลูกหนี้ทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวลง

    #เฟดฉุดใจลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน #แบงก์ชาติแอคชั่นเร็ว #เฟดก็แอคชั่นเร็ว #ลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน #โควิด19 #ต่ำกว่าgrowthก็ดอกเบี้ยนี่แหละ #อัตราดอกเบี้ย #ค่าเงินบาท #FX #Forex

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    FB_IMG_1583342410908.jpg

    (Mar 4) ธนาคารกลาง ไม่ใช่พระเอกที่สู้ ‘วิกฤตโควิค-19’: ณ วันนี้ที่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดไปทั่วโลก ในมุมมองเชิงมหภาค หากเปรียบเทียบกับวิกฤติที่หนักๆ ในอดีตของโลกที่ผ่านมา 2 ครั้ง ได้แก่

    Great Depression ปี 1930 และ วิกฤติซับไพร์มปี 2008 ปรากฎว่าครั้งนี้ มีความแตกต่างจากครั้งก่อนหน้า

    เนื่องจาก Great Depression ปี 1930 เป็นวิกฤติที่เกิดจากการตกต่ำของเศรษฐกิจทั่วโลกผ่านการตกต่ำเป็นอย่างมากในส่วนอุปสงค์ของเศรษฐกิจ ซึ่งมีการตกต่ำของตลาดหุ้นสหรัฐเข้ามาผสมโรงในบางส่วน โดยในครั้งนั้น ความก้าวหน้าของวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคยังไม่ได้อยู่ในจุดที่บอกกับธนาคารกลางว่า การลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐ จะเป็นยาแก้วิกฤตดังกล่าวได้ โดยในความเป็นจริง ทางการสหรัฐในช่วงเวลานั้น ไมได้ใช้นโยบายที่ถูกทางในการแก้วิกฤตดังกล่าว จึงมีส่วนส่งผลให้วิกฤตในครั้งนั้นลากยาวกว่าที่ควรจะเป็น

    สำหรับวิกฤติซับไพร์มปี 2008 นั้น เป็นเหตุการณ์ที่มาจากการที่เกือบจะพังลงของตลาดการเงินทั่วโลก ด้วยการที่ตราสาร Securitizationในสหรัฐ ซึ่งใช้หลักทรัพย์อ้างอิงอย่างสินเชื่อบ้านประเภทซับไพร์ม ที่แม้ว่าลูกหนี้จะไม่ได้จ่ายเงินงวดให้กับสถาบันการเงิน ทว่าบรรดาสถาบันจัดอันดับเครดิตกลับให้อันดับเครดิตกับตราสารดังกล่าวเป็นอันดับ AAA ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่ทางผู้ถือตราสารทางการเงินดังกล่าว จะมาไถ่ถอนรับเงินต้นคืน ธนาคารกลางขนาดใหญ่หลายแห่งในสหรัฐ กลับไม่สามารถหาเงินมาจ่ายต่อผู้ถือตราสารดังกล่าวได้ เนื่องจากไม่มีเงินจากหลักทรัพย์อ้างอิงเข้ามาจริง จึงทำให้สถาบันการเงินดังกล่าวไม่มีสภาพคล่อง จนเมื่อตนเองถึงคิวต้องเป็นผู้ที่ต้องจ่ายเงินให้กับคู่ค้าของสัญญา Swap ก็ไม่สามารถหาเงินมาชำระได้ โดยเป็นแบบนี้ เรื่อยไปกับสถาบันการเงินอื่นๆจนเกือบทั้งระบบ

    ธนาคารกลางสหรัฐ จึงเข้ามาเป็นผู้หาสภาพคล่องให้ด้วยเม็ดเงินกู้ว่าจะเป็นโครงการ TALF หรือ การทำ QE1 ถึง 3 จนสามารถหลุดจากวิกฤตสภาพคล่องในตลาดเงินดังกล่าวออกมาได้ ทว่าก็ต้องใช้เวลากว่า 5 ปีในการทำ QE เพื่อให้เศรษฐกิจมีความแข็งแรงที่พอจะยืนด้วยขาตนเองได้

    มาถึงในครั้งนี้ วิกฤติโควิด-19 ถือว่าเป็นส่วนผสมของวิกฤติ 2 ครั้งก่อนคือ วิกฤติที่มาจากความตกต่ำเป็นอย่างมากในส่วนอุปสงค์ของเศรษฐกิจ กับ วิกฤตสภาพคล่องอย่างหนักในตลาดเงิน พร้อมกับปัจจัยเสี่ยงใหม่เอี่ยม ซึ่งได้แก่ การตกต่ำในส่วนของอุปทานหรือ Supply Shockเนื่องจากรากปัญหามาจากการที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจของคนมีน้อยลงด้วยความกังวลถึงอันตรายต่อชีวิตของตนเองซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบถึงอุปสงค์ของสินค้าและบริการที่น้อยลง รวมถึงตลาดการเงินที่ผู้ออกตราสารทางการเงินจะถูกลดอันดับเครดิต อีกทั้งบริษัทขนาดกลางและเล็กจะมีแนวโน้มขาดสภาพคล่องจากการที่มีสายป่านไม่ยาว ยังมีผลต่อ Supply Chain ในการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งในยุคปัจจุบัน ต้องใช้ระบบ Logisticsที่หากจุดใดจุดหนึ่งของห่วงโซ่ดังกล่าวขาดหายไป จะทำให้เกิดการขาดแคลนของสินค้าและบริการดังกล่าวในเกือบจะทันทีด้วยการที่ระบบการค้าในปัจจุบันเป็นแบบMade-to-Order มากขึ้น หรือ เกิดSupply Shock ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งงานนี้ ธนาคารกลางไม่สามารถที่จะช่วยแก้ปัญหาในจุดที่เป็นเศรษฐกิจจริงนี้ได้ ซึ่งต้องอาศัยวิธีทางการแพทย์ที่จะหาทางเอาชนะไวรัสโควิด-19 เท่านั้น จึงจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเบ็ดเสร็จ

    โดยไฮไลต์ของวิกฤติรอบนี้ มีลักษณะเด่นๆ ดังนี้

    1.สถาบันการเงินนับต่อจากนี้ จะมีบทบาทมากขึ้นในการ Fundingกิจกรรมของภาคเอกชนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทขนาดกลางและเล็กโดยในช่วงของการเกิดการระบาดโควิด-19 ผลประกอบการของบริษัทโดยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทขนาดกลางและเล็กจะย่ำแย่ลง ส่งผลให้อันดับเครดิตของบริษัทเหล่านี้ยิ่งถูกลดอันดับให้แย่ลง จนกลายเป็นอันดับที่ไม่น่าลงทุน ซึ่งเนื่องจากบริษัทเหล่านี้เป็นแหล่งการจ้างงานให้กับตลาดแรงงานค่อนข้างมาก ทำให้รัฐบาลต้องมอบหมายให้กับสถาบันการเงินเป็นแหล่งเงินใหม่แทนที่การหาแหล่งเงินทุนจากตลาดเงิน ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะไม่เชื่อถือต่อบริษัทเหล่านี้อีกต่อไป โดยผมขอยกตัวอย่างจีน ที่ในวันนี้ นอกจากมาตรการลดต้นทุนทางการเงินและเสริมสภาพคล่อง ได้เน้นในการหาแหล่งเงินให้กับภาคธุรกิจและพื้นที่ซึ่งถูกกระทบจากโควิด-19

    2.ความรุนแรงและบายปลายของเหตุการณ์นี้ จะเป็นเช่นไร? โดยทาง CBO ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ป้อนข้อมูลสำคัญให้กับการออกนโยบายด้านการคลังให้กับสหรัฐ ได้ใช้เหตุการณ์ของการระบาดของโรคครั้งรุนแรงในอดีตมาเป็นตุ๊กตา โดยแบ่งความรุนแรงออกเป็น 2 กรณี ได้แก่ กรณีปานกลาง จะคล้ายกับช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ระบาดระหว่างปี 1957 ถึง 1968 ที่มีผู้ติดเชื้อโรคนี้ 75 ล้านคนในสหรัฐ และเสียชีวิต 1 แสนคน ซึ่งในครั้งนี้ คาดว่าจีดีพีของโลกจะลดลง 1% ทว่าการระบาดครั้งนี้ มิได้ทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอย

    กรณีรุนแรง จะคล้ายกับโรคไข้หวัดสเปนในปี 1918 โดยมีผู้ติดเชื้อโรคนี้ 90 ล้านคน และเสียชีวิต 2 ล้านคน ซึ่งในครั้งนี้ หากเป็นไปในแนวนี้ คาดว่าจีดีพีของโลกจะลดลง 4.25% ในปีนี้และการระบาดครั้งนี้ จะทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอย

    ทั้งนี้ ทาง OECD ได้ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้ น่าจะลดลงจากอัตราการเติบโตที่ 2.9% เหลือเพียงราว 1.5% จากโควิค-19

    สำหรับในฝั่งธุรกิจควรจะเตรียมการแค่ไหนและอย่างไร? ทาง Mckinseyได้แบ่งความรุนแรงสถานการณ์ออกเป็น 3 ระดับ ดังรูป ได้แก่ หนึ่ง กรณีฟื้นตัวเร็ว (โอกาสน้อย) โดยโควิด-19 จะอยู่ในจุดสูงสุดช่วงท้ายไตรมาส 2 ปีนี้ โดยไม่ลุกลามไปยังแถบตะวันออกกลาง สอง กรณีฐาน โควิด-19 จะอยู่ในจุดสูงสุดช่วงท้ายไตรมาส 3 ปีนี้ โดยลุกลามไปยังแทบทุกภูมิภาค และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ทว่าการบินพาณิชย์จะเริ่มกลับมาได้ในช่วงดังกล่าว กรณีสาม กรณีแย่สุด ทุกอย่างเริ่มกระเตื้องขึ้นบ้างในช่วงปลายปี

    ท้ายสุด ผมยังมองในแง่ดีว่าวงการแพทย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งของจีน อาจจะหายาที่นำมาใช้รักษาได้เร็วกว่าที่หลายคนคาด โดยผมมองว่าโคโรน่าไวรัส มีความน่ากลัวกว่าไวรัสในอดีต เพราะความที่เป็น RNA ซึ่งรหัสพันธุกรรมของมันมีความเป็นพลวัตมากกว่า DNA จึงยากต่อการจับทาง ทว่าด้วยความที่เป็นไวรัสที่มาในสไตล์หรือสายพันธุ์ที่เป็นการอัพเดตเวอร์ชั่น จึงน่าจะทำให้ทางการแพทย์มีองค์ความรู้เดิมในการนำมาต่อยอดหาทางในการเอาชนะมันได้ โดยที่อาจจะไม่ต้องใช้เวลามากเท่าไหร่นักอย่างที่คาดในการหาต้นตอและกำจัดมันครับ

    โดย ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/blog...dium=internal_referral&utm_campaign=columnist
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20200305_002429.jpg

    (Mar 4) เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมกับการออกแบบนโยบาย : เคยสงสัยไหมว่าทำไมนโยบายที่สนับสนุนสิ่งดี ๆ หลายอย่าง กลับไม่บรรลุเป้าหมายที่หวังไว้ ตัวอย่างเช่น การงดใช้ถุงพลาสติกในประเทศรวันดาและอีกหลายประเทศในแถบแอฟริกาที่ส่งผลให้เกิดการลักลอบนำเข้าถุงพลาสติกจากประเทศเพื่อนบ้านแทนการลดการใช้พลาสติก การพยายามลดควันพิษบนท้องถนนในหลายประเทศโดยการให้รถสลับกันออกมาวิ่งตามป้ายทะเบียน นอกจากไม่ทำให้จำนวนรถน้อยลง ยังพบว่ามีประชาชนซื้อรถยนต์ราคาถูกและมีคุณภาพต่ำมาใช้ เพื่อให้มีเลขทะเบียนที่แตกต่างออกไปและมีรถใช้ทุกวัน หรือการที่หลายคนอาจจะพอทราบว่าทำอย่างไรจึงจะมีสุขภาพกายและสุขภาพการเงินที่ดี แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ตามที่ใจหวัง

    ตัวอย่างเหล่านี้ทำให้เห็นว่าเพียงความปรารถนาดีที่อยากเห็นคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอาจไม่เพียงพอ และอาจไม่ทำให้เกิดผลลัพธ์ในทางปฏิบัติตามที่หวังไว้ เพราะการกระทำและการตัดสินใจของมนุษย์นั้นมีความซับซ้อนและอาจไม่ได้มีเหตุผลเสมอไป ดังนั้น การเข้าใจเบื้องหลังพฤติกรรมมนุษย์และนำหลักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมาประยุกต์ใช้ จะช่วยทำให้ประชาชนสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้นตามที่ผู้ออกแบบนโยบายคาดหวังไว้ได้ (เช่น มีสุขภาพที่ดีขึ้นและมีเงินออมเพิ่มขึ้น) ซึ่งเมื่อกล่าวถึงที่มาของพฤติกรรมมนุษย์ เราก็สามารถย้อนกลับไปดูที่การทำงานของสมองว่ามีผลต่อการตัดสินใจของคนเราอย่างไรบ้าง

    ทำความเข้าใจเบื้องหลังพฤติกรรมมนุษย์

    ตัวอย่างหนึ่งของการทำความเข้าใจของสมองและการตัดสินใจ สามารถศึกษาได้จากผลงานของ Daniel Kahneman เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ค.ศ. 2002 และผู้เขียนหนังสือเรื่อง Thinking, Fast and Slow ซึ่งได้อธิบายเรื่องการทำงานของสมองไว้ว่า สมองของมนุษย์ทำงานด้วยสองระบบ โดยระบบหนึ่งทำงาน “เร็ว” และอีกระบบทำงาน “ช้า” กล่าวคือ ระบบที่ 1 คือระบบที่ทำงานเร็ว เป็นไปตามอัตโนมัติ เกิดจากการฝึกฝนและทำบ่อย ๆ ใช้สัญชาตญาณและใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ เช่น การบวกเลข 1+1 การขับรถบนถนนที่โล่ง และการที่ตอบได้ทันทีว่าคนนี้หน้าตาสวยหรือหล่อ ในทางกลับกัน ระบบที่ 2 คือระบบที่ทำงานช้า ต้องใช้ความพยายาม ใช้ตรรกะ การคำนวณ และต้องใช้เหตุผลในการตัดสินใจ เช่น การคูณเลขที่ซับซ้อน การขับรถบนถนนที่มีรถใหญ่วิ่งจำนวนมาก และการที่เราคิดพิจารณาว่าจะลงทุนในหุ้นหรือกองทุนไหนดี

    ปกติ ระบบที่ 1 จะเป็นตัวยืนหลักในการทำงาน ซึ่งก็เพียงพอให้เราใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ ระบบที่ 1 คิดไม่ออก ก็จะไปปลุกระบบที่ 2 ให้มาช่วยคิด แม้ว่าการใช้สมองระบบที่ 1 จะสะดวกก็ตาม แต่ก็มีข้อเสียในการทำให้การตัดสินใจของเรามีอคติ และไม่เป็นไปตามเหตุและผลเท่าไหร่นัก ดังนั้น หากผู้กำหนดนโยบายคาดว่าคนจะใช้ระบบที่ 2 ในการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ในขณะที่คนส่วนใหญ่กลับใช้ระบบที่ 1 ในการตัดสินใจ พฤติกรรมที่เห็นอาจจะไม่ตรงกับความปรารถนาดีที่วางแผนเอาไว้ได้ ดังตัวอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น

    ตัวอย่างการออกนโยบายด้วยหลักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม

    Richard Thaler นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ค.ศ. 2017 และ Cass Sunstein อาจารย์และนักกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้นำความรู้ความเข้าใจเบื้องหลังพฤติกรรมมาใช้ในการออกแบบทางเลือกผ่านเทคนิคที่เรียกว่า Nudge ซึ่งแปลเป็นไทยว่า การดุน (ลองคิดภาพแม่ช้างดุนให้ลูกช้างเดินไปข้างหน้า) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทำให้คนสามารถตัดสินใจด้วยตัวเองตามความสมัครใจ และไม่เป็นการบังคับให้ต้องทำ

    ตัวอย่างนโยบายที่ออกแบบโดยการใช้ความเข้าใจการทำงานของสมองและอคติต่าง ๆ เช่น โครงการ Save More Tomorrow. หรือออมมากขึ้นในวันพรุ่งนี้ โดยให้พนักงานบริษัทเข้ามาอยู่ในโครงการออมนี้โดยอัตโนมัติ แต่สามารถลาออกจากโครงการได้ จากนั้นผู้ร่วมโครงการจะตกลงไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าเงินเดือนเพิ่มขึ้นจะออมเพิ่มขึ้น เช่น จากเดิมเคยออมร้อยละ 2 ของเงินเดือน เมื่อเงินเดือนเพิ่มก็ออมเพิ่มเป็นร้อยละ 3 เป็นอัตราก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงเพดานที่ตั้งไว้

    ผลที่พบคือ ผู้เข้าร่วมในโครงการมักจะไม่ลาออกและไม่ปรับอัตราการออมที่ตกลงกันไว้ เพราะมีความเฉื่อยหรือความขี้เกียจเกินกว่าที่จะไปเปลี่ยนแปลงเรื่องที่อาจจะดูเล็กน้อยเหล่านี้ นอกจากนี้ คนเรายังมีอคติโน้มเอียงมาทางปัจจุบัน (present bias) ซึ่งส่งผลให้เราเลือกที่จะมีความสุขกับการใช้เงินในปัจจุบัน มากกว่าที่จะออมเงินไว้เพื่อยามเกษียณ แม้จะรู้ว่าการออมเงินดีกับชีวิตในอนาคตก็ตาม เมื่อโครงการออมมากขึ้นในวันพรุ่งนี้ สามารถทำได้อย่างอัตโนมัติ ก็ช่วยทำให้คนอเมริกันกว่า 15 ล้านคนออมเงินเพื่อการเกษียณได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็เป็นผลมาจากการออกแบบนโยบายโดยการใช้เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมนั่นเอง

    ตัวอย่างที่เล่ามานี้เป็นเพียงน้ำจิ้มของเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม มีนักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมอีกหลายคนที่พยายามคิดเทคนิคการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและวิธีการประเมินผลนโยบายอีกมากมาย ผู้เขียนหวังว่าน้ำจิ้มในครั้งนี้ จะทำให้มีคนสนใจมากขึ้นและนำเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมไปใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนต่อไป

    Source: BOT พระสยาม Magazine
    https://www.bot.or.th/Thai/BOTMagazine/Pages/256301TheKnowledge_BehavioralEconomy.aspx
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20200305_002710.jpg

    (Mar 4) สิทธิลูกจ้าง กรณี ‘โควิด-19’ : เปิด 'สิทธิลูกจ้าง' เมื่อป่วยหรือถูกกักตัว 14 วันเพื่อเฝ้าระวัง 'โควิด-19'

    สถานการณ์ 'ไวรัสโคโรน่า' หรือ 'โควิด-19' ขยายวงกว้างในประเทศไทย และในระดับโลก กระทั่งถูกประกาศให้ 'โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019' หรือ 'โรคโควิด 19' เป็นโรคติดต่ออันตราย

    ในกรณีเดินทางกลับมาจากพื้นที่ที่มีการระบาด หรือมีโอกาสใกล้ชิดกับผู้ป่วย เมื่อมีอาการไข้ หรืออาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ต้องให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ขั้นตอนของการซักประวัติ เพื่อช่วยในการรักษาและป้องกันตนเอง โดยการไม่แจ้งจะมีโทษปรับ เป็นมูลค่า 20,000 บาท

    ถูกกักตัวสังเกตอาการ "โควิด-19" จะยังได้รับ "ค่าจ้าง" หรือไม่

    1. กรณีถูกสั่งกักตัวสังเกตอาการ

    กลายเป็นประเด็นคำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับโรค 'COVID-19' ว่ากรณีลูกจ้างลางานไปประเทศที่มีความเสี่ยง แต่ถูกทางการไทยให้กักตัวเพื่อสังเกตอาการ 14 วัน นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้าง 14 วันที่ลูกจ้างถูกกักบริเวณหรือกักตัวหรือไม่

    สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 ในข่าวประชาสัมพันธ์ "ประเด็นคำถามเกี่ยวกับโรคติดต่อโควิด-19" ได้ตอบคำถามประเด็นนี้ โดยสรุปว่า หากกรณีที่ทางการกักตัวลูกจ้างที่เดินทางกลับเข้าไทยไว้ เป็นการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตาม ม.34 (1) และ ม.52 ตาม พ.ร.บ โรคติดต่อ 2558 เพราะมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดต่ออันตราย

    แม้การใช้อำนาจตามกฎหมายดังกล่าวจะมีผลทำให้ลูกจ้างไปทำงานให้นายจ้างตามสัญญาได้ไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่ความผิดของทั้งฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายนายจ้าง ฉะนั้นลูกจ้างย่อมหลุดพ้นจากหน้าที่ ไม่ต้องไปทำงานให้นายจ้าง แต่ก็ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างจากนายจ้าง และนายจ้างก็ไม่มีหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้าง ตามหลัก no work no pay

    2. กรณีมีอาการป่วยเป็นโรค "โควิด-19"

    หากเป็นเหตุอันควรสงสัยว่าลูกจ้างเป็นโรคดังกล่าวเกิดจากการตรวจวัดร่างกายเพราะมีอาการเป็นไข้ ย่อมถือว่า "ลูกจ้างป่วย" ซึ่งสามารถใช้สิทธิลาป่วยได้ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เมื่อลูกจ้างแจ้งการใช้สิทธิลาป่วยโดยชอบต่อนายจ้างแล้ว ย่อมมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันที่ลาป่วย

    เว้นแต่ลูกจ้างไม่ใช้สิทธิลาเพราะอาจจะไม่ได้รับค่าจ้างเนื่องจากลาป่วยเกิน 30 วันแล้วในรอบปี กรณีนี้ลูกจ้างอาจใช้สิทธิหยุดพักร้อนได้ และถ้าหากใช้สิทธิหยุดพักร้อนครบตามสิทธิตามกฎหมาย กฎระเบียบแล้ว ก็อาจตกลงกับนายจ้างหยุดงานโดยไม่จ่ายค่าจ้างก็ได้

    อนึ่ง โรคติดต่อ COVID-19 เป็นโรคติดต่อร้ายแรง เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพ เกี่ยวกับความเป็นความตายของชีวิตคน การปฏิบัติต่อกันระหว่างนายจ้าง ลูกจ้าง และบุคคลใดๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อดังกล่าวจะต้องคำนึงสุขภาพร่างกายและชีวิตของมนุษย์เป็นเป้าหมายที่สำคัญ มากกว่าจะเอาประโยชน์จากฝ่ายหนึ่งหรือมองว่าตนจะเสียประโยชน์บางอย่างไป

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news...rce=slide_relate&utm_medium=internal_referral
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การทดลองทางคลินิกของยารักษา 'COVID-19' ในอิหร่านสองตัวเริ่มต้นขึ้นแล้ว

    -=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

    อธิการบดีมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ Baqiatallah ดร. Alireza Jalali กล่าวว่าได้รับใบอนุญาตสำหรับการทดลองทางคลินิกของยาสองตัวที่ใช้รักษา coronavirus จากองค์การอาหารและยาของอิหร่านแล้ว ซึ่งการทดลองทางคลินิกของยาเหล่านี้ได้เริ่มขึ้นแล้วในวันนี้

    ดร. Alireza Jalali กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ IRNA เมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า การผลิตยาเหล่านี้ในห้องปฏิบัติการที่มีอุปกรณ์ครบครันและเสริมว่า ยาเหล่านี้สามารถใช้รักษาได้ดีทั้งในรูปแบบ 'การกินและสเปรย์'
    ยาทั้งสองตัวนี้สามารถช่วยรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อจาก COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    แต่คาดว่าการทดสอบยาทั้งสองนี้จะใช้เวลาสองหรือสามเดือนเพื่อให้ได้ผลในการรักษาที่ดีก่อน และหลังจากนั้นจะขอใบอนุญาตที่จำเป็นเพื่อการผลิตยาสองตัวนี้จะเข้าสู่ตลาดผู้บริโภค”

    เขากล่าวต่อไปว่าโครงการวิจัยได้เริ่มต้นผลิตยา 'coronavirus' และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยนี้พยายามผลิตยา 'COVID'19' จำนวนมากภายในกรอบสามโครงการ

    การทดลองแสดงให้เห็นว่ายาเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการรักษา 'coronavirus' แต่เรื่องนี้ควรได้รับการพิสูจน์ในขั้นตอนต่างๆ ของการรักษา และกิจกรรมการวิจัย เพื่อผ่านการพิจารณาของนายกรัฐมนตรีก่อนจึงจะเริ่มการผลิต

    BY>>>>>Giant Khan<<<<<

    https://en.mehrnews.com/news/156330/Clinical-trial-of-two-Iranian-medicines-on-COVID-19-kicks-off

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    5 มีนาคม 2563
    วันสุดท้ายของพายุฤดูร้อนในช่วงต้นเดือนมีนาคม
    ที่ผ่านมาหลายจังหวัดได้รับความเสียหายจากลมกระโชกแรง และลูกเห็บตก ซึ่งวันนี้ก็จะมีความรุนแรงน้อยลงกว่าเมื่อวาน

    หลังจากนี้ คือ ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคมเป็นต้นไปจนถึงเมษายนจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น โปรดรับมือกับความร้อน ครับ

    ร้อนจริงๆ ร้อนจริงๆ แล้งจริงๆ

    ส่วนภัยแล้งนั้นยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าจะมีฝนบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วฝนที่ตกในช่วงนี้ไม่ค่อยได้ปริมาณน้ำเท่าไหร่ และยังไม่เพียงพอกับการเติมน้ำในแหล่งต่างๆ ครับ อดทนรอ และรอจนถึงมิถุนายน-กรกฎาคม ซึ่งท่านต้องเตรียมรับมือภัยแล้งนี้ด้วยนะครับ

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข้อตกลงสหรัฐฯ-ตาลีบันนำไปสู่สันติภาพจริงหรือ?
    .
    เป็นข่าวใหญ่โตในวงการความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะเมื่อช่วงเช้านี้ทางการสหรัฐอเมริกาและตัวแทนของกลุ่มตาลีบัน กลุ่มเคลื่อนไหวก่อความรุนแรง และอดีตรัฐบาลที่เคยปกครองประเทศอัฟกานิสถาน (หนึ่งในประเทศกลุ่มเอเชียใต้)
    .
    หลายฝ่ายจึงมองว่าข้อตกลงนี้จะนำไปสู่สันติภาพภายในประเทศอัฟกานิสถานที่วุ่นวายมายาวนานกว่า 18 ปีแล้ว และมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการความไม่สงบนี้หลายแสนคน โดยเฉพาะประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทหารสหรัฐอเมริกา รวมถึงพันธมิตรอย่างนาโต้
    .
    ต้องย้อนความไปว่าสงครามภายในอัฟกานิสถานนั้นเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มตาลีบัน ได้ขึ้นมาปกครองประเทศในช่วงปี 1996 และเริ่มดำเนินนโยบายอิสลามนิยม มีการปฏิรูปประเทศในหลายด้าน จนนำไปสู่ความขัดแย้งกับชาติตะวันตก
    .
    ในที่สุดจึงเกิดปฏิบัติการของสหรัฐอเมริกาและกลุ่มพันธมิตรนาโต้เพื่อเขี่ยรัฐบาลตาลีบันออกจากอำนาจ และตั้งรัฐบาลใหม่ซึ่งนำโดยนายฮามิด คาไซ ขึ้นมาแทนในช่วงปลายปี 2001 ซึ่งปฏิบัติการครั้งนั้นเป็นปฏิบัติการทางการทหาร
    .
    อย่างไรก็ตามกลุ่มตาลีบันนั้นไม่ได้จำกัดง่ายอย่างที่สหรัฐและพันธมิตรคาดคิด เพราะแม้ว่าจะสูญเสียอำนาจภายในเมืองหลวงหรือการปกครองประเทศไป โดยเฉพาะการไม่ได้รับการยอมรับจากโลกภายนอก แต่ปฏิบัติการและเครือข่ายของตาลีบันนั้นเข้มแข็งเป็นอย่างมาก
    .
    เรียกได้ว่าแม้ตาลีบันจะพ่ายแพ้ในทางการทหารกับสหรัฐ และไม่สามารถปกครองประเทศ แต่การก่อเหตุโจมตีกองกำลังทหารของสหรัฐและพันธมิตรก็สร้างความหวาดวิตกไปทั่ว ที่สำคัญคือการก่อวินาศกรรมจำนวนมากภายในประเทศอัฟกานิสถาน เพื่อขับไล่กองกำลังต่างชาติออกจากประเทศ
    .
    เรียกได้ว่าแม้อัฟกานิสถานจะมีรัฐบาลใหม่ภายใต้การคุ้มครองของกองกำลังตะวันตก แต่อำนาจที่แท้จริงของรัฐบาลนั้นกลับไม่ได้กว้างขวางอย่างที่คิด นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าแท้จริงแล้วอำนาจของรัฐบาลอัฟกานิสถานนั้นมีเพียงแค่ในบริเวณเมืองหลวงอย่างกรุงคาบูล และพื้นที่ข้างเคียงเท่านั้น
    .
    ในขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ของประเทศอยู่ภายใต้การดูแลและควบคุมของกลุ่มตาลีบันทั้งสิ้น ฉะนั้นตลอดช่วงเวลา 18 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่ากลุ่มตาลีบันก็ยังเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพอยู่มากในการจัดการประเทศอัฟกานิสถาน และถือเป็นกลุ่มสำคัญที่ปฏิบัติการและสร้างความวุ่นวายให้กับรัฐบาลชุดปัจจุบัน
    .
    ฉะนั้นหลายฝ่ายจึงเชื่อว่าการที่รัฐบาลสหรัฐคุยโดยตรงกับตาลีบันเพื่อหาวิธียุติสงครามกลางเมืองนี้จะนำไปสู่สันติภาพในอัฟกานิสถานได้ ซึ่งหากเราพิจารณารายละเอียดอย่างแท้จริงในข้อสัญญาที่ลงกันวันที่ 1 มีนาคม 2563 ก็จะเห็นเลยว่าสัญญาฉบับนี้ไม่ได้การันตีสันติภาพในอัฟกานิสถานเลย
    .
    ในทางตรงกันข้ามเท่าที่ผมได้คุยกับเพื่อนชาวอัฟกานิสถานที่เป็นคนปาสตู และติดตามการเมืองประเทศตัวเองมายาวนาน เขากลับมีความวิตกกังวลอย่างมากต่อข้อตกลงดังกล่าว เพราะการเจรจาดังกล่าวขาดตัวแปรสำคัญไปหนึ่งตัวนั่นคือรัฐบาลอัฟกานิสถาน
    .
    พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ข้อตกลงนี้เป็นการคุยกัน 2 ฝ่ายระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกา กับกลุ่มตาลีบัน ซึ่งรัฐบาลอัฟกานิสถานนั้นไม่ให้การยอมรับ และมองว่าเป็นศัตรูด้วยซ้ำ ที่สำคัญกว่านั้นคือข้อตกลงล้วนระบุถึงการถอนกำลังทหารของต่างชาติออกจากอัฟกานิสถาน และเน้นย้ำให้ตาลีบันคุยกับรัฐบาลอัฟกัน
    .
    ซึ่งปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ มันเหมือนให้คนที่เกลียดขี้หน้ากันมาก ๆ มานั่งคุยกัน ถามว่ามันจะได้ผลลัพธ์ออกมายังไงละ คิดว่าเขาจะตกลงกันได้จริง ๆ ไหม ยิ่งข้อเรียกร้องที่กลุ่มตาลีบันอยากได้แต่ละอย่างนั้น ล้วนเป็นอะไรที่เป็นเรื่องลำบากใจของรัฐบาลอัฟกันทั้งสิ้น
    .
    ยกตัวอย่างเช่นในข้อตกลงสองฝ่ายระหว่างสหรัฐกับตาลีบัน มีการระบุว่าสหรัฐจะช่วยในการประสานงานเพื่อให้รัฐบาลอัฟกันปล่อยตัวนักโทษการเมืองและแนวร่วมของตาลีบันที่ถูกจำคุกอยู่
    .
    น่าสนใจครับว่าพอข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายออกมา รัฐบาลอัฟกันซึ่งปัจจุบันนำโดยประธานาธิบดีกานี ระบุชัดเจนเลยว่าเรื่องปล่อยนักโทษคงทำให้ไม่ได้ และมองว่าข้อตกลงดังกล่าวนั้นไม่ได้มีภาระผูกพันธ์ใด ๆ กับรัฐบาลอัฟกานิสถาน เพราะไม่ได้เป็นภาคีในการเจรจาด้วย
    .
    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าคนอัฟกันโดยเฉพาะคนของรัฐบาลนั้นสิ่งที่หวังมากที่สุด ก็คือการที่กองทัพของชาติตะวันตกนั้นดำรงอยู่ในประเทศอัฟกานิสถาน เพื่อคอยช่วยเหลือรัฐบาลในการตอบโต้กับกลุ่มตาลีบัน คนพวกนี้รู้ดีว่าวันไหนที่มีการถอนกำลังออก รัฐบาลไม่สามารถอยู่ได้อย่างแน่นอน เพราะศักยภาพในการจัดการประเทศของตัวเองมีเพียงในพื้นที่เมืองหลวงเท่านั้น ที่สำคัญคือกำลังทหารส่วนใหญ่ก็พึ่งชาติตะวันตกทั้งสิ้น
    .
    การปล่อยให้กองทัพสหรัฐและพันธมิตรออกจากประเทศไป และต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มตาลีบันแบบตัวต่อตัวนั้น รัฐบาลอัฟกันในปัจจุบันไม่มีศักยภาพที่จะสู้ได้เลย ฉะนั้นสำหรับฝ่ายรัฐบาลแล้วข้อตกลงนี้สร้างความหวาดวิตกมากกว่าที่จะเป็นข่าวดี เพราะแน่นอนว่ามันจะทำให้ตาลีบันกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งอย่างแน่นอน
    .
    เราจึงได้เห็นว่าหลังข้อตกลงออกมารัฐบาลอัฟกันก็ออกมาปฏิเสธในหลายเรื่องและ ยืนยันว่าการคุยกับตาลีบันจำเป็นต้องมีเงื่อนไขในหลายเรื่องเช่นกัน ซึ่งตรงนี้เองที่มีความเป็นไปได้ว่าข้อตกลงที่ตาลีบันทำกับอเมริกาอาจไม่ได้เห็นเป็นผลทางปฏิบัติโดยเฉพาะเรื่องที่มีความผูกพันกับรัฐบาลอัฟกานิสถาน
    .
    แม้ว่าสหรัฐอเมริกาคิดว่าตัวเองสามารถแทรกแซงกิจการของอัฟกานิสถานได้เพราะช่วยเหลือกันมา แต่ในความเป็นจริงการเดินเกมของฝ่ายรัฐบาลอัฟกันก็มีบางเรื่องที่ไม่อาจเดินตามคำแนะนำของอเมริกาได้ และหนึ่งในนั้นคือเรื่องนักโทษตาลีบัน และความมั่นคงภายในประเทศ
    .
    ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือระยะเวลาในช่วงที่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรจะถอนทหารนั้นกินเวลากว่า 14 เดือน หากเรามองว่านี่เป็นนโยบายทางการเมืองของทรัมป์เพื่อหาเสียงในช่วงก่อนเลือกตั้ง มันก็เป็นไปได้ว่าทรัมป์ซึ่งเป็นเจ้าแห่งความไม่รักษาสัญญาอาจจะฉีกข้อตกลงฉบับนี้หลังได้รับเลือกตั้งอีกสมัยก็ได้
    .
    ดังนั้นข้อตกลงที่ออกมานี้ แม้จะได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากหลายประเทศที่เข้าไปตกหล่มสงครามกลางเมืองของอัฟกานิสถานกว่า 18 ปี อาจจะไม่ได้นำไปสู่สันติภาพอย่างแท้จริงก็ได้

    #กระแสเอเชียใต้ #อัฟกานิสถาน #สันติภาพ #ตาลีบัน #สงครามกลางเมือง #ความรุนแรง

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวด่วนวันนี้เวลา 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
    ซาอุดีอาระเบียประกาศระงับ "ผู้ที่พำนักในประเทศซาอุดีอาระเบีย และชาวต่างชาติทำอุมเราะห์ และเข้าเยี่ยมเยียนมัสยิดอัลนะบาวีย์ นครมาดีนะห์

    ที่มา: สำนักข่าวอัลอารอบียะห์ Al-Arabiya


     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #สรุป ยอดโควิด-19 ในญี่ปุ่นวันที่ 4 มีนา 2020

    ✒จากใจแอด

    ยอดพุ่งสูงที่สุดตั้งแต่บันทึกมา

    Live concert 100 คนที่จ. โอซาก้ายังคง top form ตอนนี้เกิน 10 คน แล้วทั่วประเทศ ไม่พอยังมีคนนึงไป 2 คอนเสิร์ต และอีก คอนเสิร์ตนึง ตอนนี้ติดเพิ่มอีก 2 คน

    ตอนนี้ฝั่งคันไซ คือ โอซาก้า เกียวโต เฮียวโกะ และ ฝั่งโตไก คือ ไอจิ ต้องจับตามาก ๆ

    ✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼

    #สรุป ยอดโควิด-19 ในญี่ปุ่นวันที่ 4 มีนา 2020

    ผู้ติดเชื้อใหม่รวม 36 ราย

    ◆จ. ยามากุจิ (9:56) 1 ราย (รายแรกของจังหวัด)
    ◆จ. เอะฮิเมะ (15:00) 1 ราย (รายที่ 2)
    ◆จ. ฮอกไกโด (15:15) 3 ราย (รายที่ 80-82)
    ◆จ. เกียวโต (16:30) 2 ราย (รายที่ 3-4)*
    - ไม่มีรูป
    - ไปไลฟ์มาทั้งคู่ / คนนึงทำงานที่ McDonald
    ◆จ. ชิบะ (17:31) 1 ราย (รายที่ 15 ของจังหวัด รายที่ 5 ของสปอร์ตคลับที่ Ichikawa)
    ◆จ. โคจิ (18:08) 4 ราย (รายที่ 4-7)
    ◆จ. ไอจิ เมืองนาโกย่า
    (20:42) 6 ราย (รายที่ 42-47)
    (22:49) 2 ราย (รายที่ 48-49)
    ◆จ. โตเกียว (20:56) 4 ราย (รายที่ 41-44)
    ◆จ. มิยาซากิ (21:23) 1 ราย (รายแรก)
    ◆จ. โอซาก้า (21:30) 9 ราย (รายที่ 9-17)
    ◆จ. คุมาโมโต้ (22:56) 1 ราย (รายที่ 6)

    ▪️ กักกันที่สนามบิน 1 ราย (รายที่ 10)

    อ่านรายละเอียดเคสล่าสุด ได้ที่โพสต์

    อาการหนัก-วิกฤติ ณ ตอนนี้ 58 ราย (จากเรือสำราญ 34 ในประเทศ 24)

    รักษาหายออกจากรพ. เพิ่มขึ้น 183 ราย!!!!!
    ( ˙꒳˙ )สถิติอย่างเป็นทางการของเรือออกมาเมื่อวานนี้ หายเพิ่ม 181 รายค่า + 2 รายในปท.

    ———-
    สรุปผล
    ———-
    ยอดรวม

    ในประเทศ 329 ราย ( รวม ✈️ชาร์เตอร์ 14 ราย)
    เรือสำราญ 706 ราย

    รวม 1,035 ราย

    ✝เสียชีวิต 12 ราย แบ่งเป็น
    —>เรือสำราญ (ลงมารักษาที่รพ.) 6 ราย
    —-> ในประเทศ 6 ราย

    ☺️หายแล้ว (ออกรพ.) 229 ราย

    ✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼

    ในประเทศแยกตามจังหวัด*
    ⚠️***เป็นยอดสะสม บางคนออกรพ. ไปแล้ว***

    ▽ฮอกไกโด 82 ราย ⬆️
    ▽ไอจิ 49 ราย ⏫
    ▽โตเกียว 44 ราย ⬆️
    ▽คานางาวะ 31 ราย
    ▽โอซาก้า 17 ราย ⏫
    ▽ชิบะ 15 ราย ⬆️
    ▽วาคายามะ 13 ราย
    ▽โคจิ 7 ราย ⬆️
    ▽อิชิคาวะ 6 ราย
    ▽คุมาโมโตะ 6 ราย ⬆️
    ▽เกียวโต 5 ราย ⬆️
    ▽นีกาตะ 5 ราย
    ▽โอกินาว่า 3 ราย
    ▽ฟุกุโอกะ 3 ราย
    ▽เฮียวโกะ 3 ราย
    ▽นางาโนะ 2 ราย
    ▽กิฟุ 2 ราย
    ▽เอะฮิเมะ 2 ราย ⬆️
    ▽ไซตามะ 1 ราย
    ▽มิเอะ 1 ราย
    ▽นาระ 1 ราย
    ▽โทจิกิ 1 ราย
    ▽โทคุชิมะ 1 ราย
    ▽ชิซุโอกะ 1 ราย
    ▽มิยากิ 1 ราย
    ▽โออิตะ 1 ราย
    ▽ยามากุจิ 1 ราย⬆️
    ▽มิยาซากิ 1 ราย ⬆️

    ▽เจ้าพนักงานต่าง ๆ บนเรือสำราญ/ เจอที่สนามบิน 10 ราย ⬆️

    ———-

    ทางรัฐบาลญี่ปุ่นออกมาแนะนำให้ประชาชน ป้องกันจากการติดเชื้อ โดยใช้วิธีเดียวกับการป้องกันไข้หวัดใหญ่นั่นคือ

    สวมแมส
    ล้างมือบ่อย ๆ อย่างน้อยครั้งละ 20 วินาที
    หลีกเลี่ยงการนำมือขยี้ส่วนต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ตา จมูก ปาก
    └( 'ω')┘ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง
    กลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงมีครรภ์ คนป่วย คนชราควรหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด อย่างบนรถไฟเป็นต้นค่ะ

    ✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼
    ตรวจเช็ครายละเอียดรายเคส: https://coromap.web.app <ภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียว สีเขียว = หายแล้ว เช็คจากแผนที่ได้นะคะ >

    #กิ๊ฟจังนั่งเล่า #ข่าวญี่ปุ่น #เกาะติดไวรัสโคโรนา
    #เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ #อู่ฮั่น #COVID-19 #โควิด19

    Map from: NewsDigest
    新型コロナウイルス 日本国内の発生状況
    https://ndjust.in/corona

    Info from: NHK/ Mainichi / Yahoo! News

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ด่วน! เฮีย Ray Dalio ชวนวิเคราะห์ผลกระทบจากเรื่องโควิด 19
    .
    #ลงทุนนอกโลก โดยถามอีก กับอิก
    .
    ก่อนหน้านี้แกเคยให้ความเห็นไปรอบนึงแล้วสามารถอ่านย้อนหลังได้ที่นี่ครับ
    .

    .
    =========
    .
    มาวันนี้แกยอมรับว่า แกไม่ชอบเดิมพันอะไรก็ตามที่แกไม่คิดว่าตัวเองเก่งมากๆ และไม่ชอบเดิมพันด้วยเงินก้อนใหญ่ในการลงทุนแต่ละครั้ง
    .
    เบื้องต้น เฮีย Ray Dalio แบ่งเป็น 3 เรื่องใหญ่ๆครับ
    .
    คือ 1.ไวรัส 2.ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากไวรัส และ 3.ปฏิกิริยาของตลาด
    .
    “ทั้งสามสิ่งอาจจะได้รับผลกระทบจากอารมณ์ของนักลงทุน” เฮียบอกครับ โดยปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง สาม อย่างอาจจะทำให้ตลาดกลายเป็นขาลง และอาจจะทำให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆมันผิดเพี้ยนไป และอาจจะประเมินมูลค่าผิดพลาดก็ได้
    .
    แต่จุดที่สำคัญมาก ที่เฮียแกค่อนข้างกังวลคือ อาจจะกระทบต่อ ความเหลื่อมล้ำ ทั้งด้านความมั่งคั่งและการเมือง และในท้ายที่สุดก็อาจจะถึงจุดจบของวัฏจักรหนี้ (ซึ่งตอนนี้ระดับหนี้ตอนนี้สูงมาก)
    .
    ในขณะที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆก็แทบจะไม่มีสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้แล้ว
    .
    =========
    .
    มาลุยอย่างแรกกันก่อนครับ “ไวรัส”
    .
    1.ไวรัส ด้วยตัวมันเองจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ชัวคราว) แล้วเดี๋ยวก็จะผ่านไป
    .
    2.ปัญหาไวรัสจะส่งผลกระทบรุนแรงต่ออารมณ์ของนักลงทุน ซึ่งก็มักจะทำให้ตลาดร่วงลงอย่างรุนแรง
    .
    3.นอกจากนี้ ไวรัสก็ยังจะทำให้เกิดวิกฤตสุขภาพ ที่แทบจะควบคุมไม่ได้ และจะทำให้เกิดต้นทุนของมนุษย์ (ทั้งป่วย และเสียชีวิต) รวมถึงส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
    .
    4.แม้ว่าการรับมือกับปัญหาและผลพวงจาก การควบคุมก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ แต่ละพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดการลงทุนที่อาจจะแตกต่างกันไป (ขึ้นอยู่กับผลกระทบที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศครับ)
    .
    5.ทั้งนี้การควบคุมไวรัส เช่น การลดการแพร่กระจาย จะมีประสิทธิภาพก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยครับ
    .
    “เช่น ผู้นำที่ต้องเก่งซึ่งสามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง และรวดเร็ว” “ประชาชนเองก็จะต้องทำตามคำสั่งของผู้นำ” “ระบบการบริหารจัดการที่จะช่วยบังคับและบริหารแผนงาน” และ “ระบบสาธารณสุขที่ดี เพื่อระบุว่าใครป่วย และสามารถรักษาได้อย่างดี และรวดเร็ว”
    .
    6.สิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้นำ คือ ต้องทำให้สังคมห่างกัน ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ (ความหมายน่าจะเป็นการแยกผู้ป่วย และไม่ให้คนมาแออัดกันในแต่ละพื้นที่)
    .
    ซึ่งควรจะทำตั้งแต่ก่อนที่ไวรัสจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และถ้าสถานการณ์คลี่คลายลง ก็จะต้องเร่งถอนมาตรการในการควบคุม หรือห้ามไม่ให้ประชาชนมาแออัดกัน โดยเร็วที่สุด
    .
    7.”ส่วนตัวผมเชื่อว่า จีนทำได้ดีมากๆในเรื่องนี้ ในขณะที่ตอนนี้ประเทศที่พัฒนาแล้วในหลายประเทศทำได้ดีน้อยกว่าจีน แต่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่โอเค”
    .
    แต่สำหรับประเทศที่แข็งแรงน้อยกว่า อาจจะแย่มากกว่าจีนและประเทศพัฒนาอีกครับ
    .
    8.เพราะฉะนั้นในหลายๆประเทศที่ควบคุมได้ไม่ดีมากพอ ก็อาจจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็วมากๆ แต่จริงๆก็ยังมีปัจจัยอื่นอีกนะครับ เช่นเรื่องของสภาพอากาศ เช่น อากาศร้อนในแถบเขตร้อน ก็จะมีการระบาดได้น้อยกว่าประเทศอื่นเป็นต้นครับ
    .
    9.และตอนนี้สิ่งที่เราเห็นคือ กำลังเกิดการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหลายประเทศและมีรายงานผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญเช่นกัน
    .
    และถ้าติดตามข่าวก็จะเห็นว่า การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วเนี่ยแหละที่จะทำให้เกิดการตกอกตกใจได้ในตลาดลงทุนได้ ซึ่งในสหรัฐเองก็เช่นกันที่จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า
    .
    “โดยมองว่าจะทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมากครับ” และแน่นอนก็จะทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมาอย่างหนัก และจะมีมาตรการควบคุมให้สังคมแยกจากกัน ลดความแออัด ซึ่งก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาอีกเช่นกัน
    .
    10.เฮีย Ray Dalio มองว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างคือ โรงพยาบาลจะรับมือกับจำนวนผู้ป่วยได้ยากลำบากมากๆ และก็มีคนบอกเฮียแกด้วยว่า ปัญหากำลังจะหนักหน่วงมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
    .
    =========
    .
    พักหายใจสักแวบนึงแล้ว มาลุยต่อด้านที่ 2 ครับ “ผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่เกิดจากไวรัส”
    .
    1.มาตรการที่ทำให้สังคมห่างกัน จะทำให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบในระยะสั้นอย่างรุนแรง แต่ก็จะมีการฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง
    .
    2.แกมองว่า ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
    .
    3.ข้อเท็จจริง คือ ในอดีตโรคระบาดที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตจำนวนมาก มักจะทำให้เกิดความวิตกกังวล ส่งผลทางจิตใจ มากกว่าเศรษฐกิจเสียอีก
    .
    4.แกยกตัวอย่างไข้หวัดสเปน ที่เคยเกิดในอดีต ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 “ผมมองว่าน่าจะเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นแล้วแหละ“
    .
    “ส่วนตัวผมมองว่า ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว”
    .
    5.แต่เฮีย Ray Dalio ก็ยอมรับนะว่า แกก็ไม่สามารถรับประกันได้เพราะเหตุการณืในอดีตมันอาจจะเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน
    .
    “เช่น อาจจะมีความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่งและทางการเมือง” และอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างนักการเมืองฝ่ายซ้าย และฝ่ายขวา
    .
    “และอาจจะแย่ลงถ้าเกิดเศรษฐกิจขาลง ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง และทำให้เกิดความขัดแย้ง และทำให้เกิดปัญหาสำหรับการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ”
    .
    และอาจจะแย่ลงอีก ถ้าเป็นกรณีที่มีภาระหนี้สินอยางมาก และนโยบายการเงินที่ไร้ประสิทธิภาพ
    .
    และอาจจหนักอีก ถ้าเกิดขั้วอำนาจใหม่ที่พยายามขึ้นมาท้าทายประเทศมหาอำนาจเดิม
    .
    6.รอบที่แล้วที่เคยเกิดขึ้น คือเกิดขึ้นในช่วงปี 1930 ซึ่งในท้ายที่สุดก็ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และก่อนหน้านั้นก็เคยเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
    .
    7.และแน่นอนครับว่า ปัญหาที่แกย้ำมาโดยตลอดคือ ความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่งและปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองนี่แหละครับ ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของนโยบาย ซึ่งก็น่าจะส่งผลต่อการเลือตั้งตัวแทนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี Super Tuesday (ในวันนี้)
    .
    =========
    .
    โอเค ด้านสุดท้ายครับ “ปฏิกิริยาของตลาด” หรือของนักลงทุน
    .
    1.ต้องยอมรับว่าตอนนี้โลกของเราอยู่ในช่วงที่มีการกู้เงินมานาน ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่เองก็ซื้อหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆเข้าพอร์ต
    .
    “นักลงทุนมีหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงเต็มพอร์ต เพราะช่วงที่ผ่านมาดอกเบี้ยต่ำมาก เมื่อเทียบกับความคาดหวังผลตอบแทนในการลงทุนในหุ้น”
    .
    2.ทำให้การกู้ยืมเงิน มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่มากขึ้น
    .
    3.ทั้งนี้ไวรัส จะทำให้รายได้ของบริษัทลดลง แต่เมื่อเหตุการณ์จบลง ก็จะทำให้บริษัทมีรายได้ฟื้นกลับมาได้ แต่อาจจะเป็นรูปแบบ V shape หรือ U Shape เพียงแต่ไม่รุ้ว่าจะเมื่อไหร่
    .
    4.แต่อย่างไรก็ตาม การร่วงลงรอบนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือจะส่งผลกระทบต่อบริษัทที่มีหนี้สินจำนวนมาก โดยเฉพาะในประเทศที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยยะ
    .
    5.”ผมเดาว่า ตลาดจะแยกไม่ออกว่า บริษัทไหนที่จะสามารถอยู่รอดได้ หรือไม่สามารถอยู่รอด จากภาวะช็อคที่เกิดขึ้นในครั้งนี้”
    .
    6. เช่น บริษัทที่มีเงินสดมาก และได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจมาก ก็จะได้รับผลกระทบที่น้อยกว่า บริษัทที่มีภาระหนี้สินมาก
    .
    7.ทั้งนี้ทั้งนั้นเฮีย Ray Dalio มองว่า นี่ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยหนัก แทบจะเรียกว่าเป็นหนึ่งในวิกฤตที่เกิดขึ้นหนักๆ ในรอบ 100 ปี อาจจะมีสักหนึ่งครั้ง
    .
    ทั้งนี้หลายฝ่ายก็อาจจะได้รับผลกระทบตามไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่รับประกันความเสี่ยง และคนที่ไม่สนใจจะปิดความเสี่ยง เพราะมันเหมือนเป็นความเสี่ยงที่ไม่เคยเกิดขึ้น
    .
    8.ยกตัวอย่างเช่น บริษัทประกัน ที่ไปรับประกันเพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้น หรือบริษัทที่ขาย option ป้องกันความเสี่ยง เพื่อกินค่าพรีเมี่ยม
    .
    9.ตอนนี้ตลาดเองก็กำลังจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะตอนนี้กำลังเจอปัญหาถูกบีบอย่างหนัก และถูกบังคับเรื่องสภาพคล่อง มากกว่าการวิเคราะห์พื้นฐาน
    .
    10.พวกเรามองเห็นปัญหาเหล่านี้ ซึ่งมองว่าเป็นสิ่งที่ผิดปกติมากๆ และอาจจะมีการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไปในทิศทางไหน
    .
    11.สิ่งที่น่าสนใจคืออะไรครับ? คือ ตอนนี้หลายบริษัทกำลังให้ผลตอบแทนสูงทำให้น่าสนใจ และอีกผู้เล่นในตลาดหลายรายก็อาจจะล้มหายตายจากไป
    .
    12.สำหรับนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ย และการเพิ่มสภาพคล่อง อาจจะไม่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
    .
    เพราะประชาชนก็อาจจะอยู่บ้าน ไม่ออกไปนอกบ้านไม่จับจ่ายใช้สอยข้างนอก
    .
    13.แต่ประเด็นคือตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น เพราะตอนนี้อัตราดอกเบี้ยต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แทบจะติด 0% อยู่แล้ว ทำให้ยากที่จะใช้นโยบายการเงินให้มีประสิทธิภาพต่อไป
    .
    14.ในยุโรป เองตอนนี้ก็มีสิ่งที่น่าสนใจ คือต้องติดตามว่านโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลังจะช่วยได้แค่ไหน ภายใต้ปัญหาการเมืองตอนนี้
    .
    15.แต่ก็อย่าไปหวังอะไรมากมาย ว่าการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษบกิจได้ เพราะช่วงที่ผ่านมาก็มีการลดดอกเบี้ยแบบรัวๆกันหลายประเทศอยู่แล้ว สังเกตจากการที่ผลตอบแทนของพันธบัตรตอนนี้ลดไปอย่างมาก
    .
    “เช่นเดียวกับหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆที่ถูกเทหนักมาก”
    .
    16.เท่าที่เฮีย Ray Dalio มองคือ “การที่จะควบคุมไม่ให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบมาก ก็ยังต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างนโยบายการเงินและการคลัง โดยเฉพาะกรณีบริษัทที่มีปัญหาหนี้และปัญหาสภาพคล่อง”
    .
    มากกว่าการหว่านนโยบายด้วยการลดดอกเบี้ย และเพิ่มสภาพคล่องแบบกว้างๆไม่เฉพาะเจาะจง
    .
    17.และสิ่งที่สำคัญมากที่สุด คือการดูแลทั้งตัวคุณและสุขภาพของครอบครัวของคุณ
    .
    18.หลักคิดการลงทุนตามสไตล์ของเฮียแก คือ การคิดดูว่าอะไรคือ สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แล้วเราก็ปกป้องความเสี่ยงเหล่านั้นซะ
    .
    ========
    .
    เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต
    .
    อิสรภาพชีวิต !! อยู่ไหนก็ไม่พลาด อย่าลืมกดติดตามนะครับ หรือเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้เลย
    .
    ส่งข่าวสารถึงมือผ่าน Line@: http://bit.ly/TAM-EIG_LINE
    คลิกเลย

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แคลิฟอร์เนียประกาศ
    ‘ภาวะฉุกเฉิน’
    หลังชายวัย 71 เสียชีวิตด้วยไวรัสใน รพ. Sacramento!

     

แชร์หน้านี้

Loading...