ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #สมรภูมิเดือดที่Idlib
    #เมื่อสุลต่านท้าชนพระเจ้าซาร์
    ดุเดือด เลือดสาดมาเป็นเดือนแล้ว กับสมรภูมิรบที่เมือง Idlib ประเทศซีเรีย ที่ล่าสุดตุรกีต้องสูญเสียทหารกว่า 33 นายภายในวันเดียว จากการปะทะกันในพื้นที่ระหว่างกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน กับกองทหารของรัฐบาลซีเรีย ที่รัสเซียหนุนหลังอยู่
    โอ้โห โจทก์เยอะ ตกลงฝ่ายไหน เป็น ฝ่ายไหน ใครรบกับใครกันแน่ ทำไมถึงได้ยุ่ง อิรุงตุงนัง กันไปหมด ใครงง มาคุยกันทางนี้
    สำหรับสงครามกลางเมืองในซีเรีย เคยอธิบายกันมาหลายแชร์ และหลายปีแล้ว จนมาปีนี้ ขึ้นปีที่ 9 สงครามเก่ายังไม่จบ ยอดศพทหารยังนับไม่ได้
    แต่สมรภูมิรอบใหม่ที่กำลังเดือดนี้ มีที่มาอย่างไร ทำไมต้องที่ Idlib ตุรกีมาเกี่ยวได้อย่างไร เรามารินเหล้าเก่าในขวดใหม่ ทำความเข้าใจกันสักหน่อยดีกว่า
    อย่างที่ทราบกันดี สงครามซีเรียจุดระเบิดมาจากกระแสอาหรับสปริงในปี 2011 ที่มีประชาชนชาวซีเรียออกมาประท้วงขับไล่ประธานาธิบดี บาซาร์ อัล-อาซาด ที่อยู่ในตำแหน่งมานานกว่า 10 ปี แล้วเรื่องก็ยาวมาจนถึงตอนนี้ อัล-อาซาด ก็ยังอยู่ในตำแหน่งครบรอบ 20 ปีพอดี บวกกับยุคของพ่ออีก 30 ปี รวมเป็น 50 ปี แล้วนาค้า โดยกองทัพของทหารซีเรียได้รับการสนับสนุนอย่างดีจาก รัสเซีย และ อิหร่าน
    ซึ่งฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลอาซาด ก็แน่นอน ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจาก สหรัฐอเมริกา ซาอุดิอารเบีย ที่ตอนหลังมีกลุ่มก่อการร้ายเครือข่ายอัลกออิดะห์ ISIS กลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวเคิร์ด สารพัด มาร่วมแจมด้วย และเข้าไปยึดครองพื้นที่ในซีเรียมาเป็นของตัวเอง
    ซึ่งกลุ่มแบ่งแยกดินแดนบางกลุ่มนั้น ได้รับการสนับสนุนจากตุรกี
    นั่นคือความยุ่งเหยิงที่มีมาในซีเรีย ที่ทำให้เกิดการสู้รบรุนแรง หาความสงบไม่ได้เลยตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
    แต่ด้วยการสนับสนุนของรัสเซีย ทำให้กองทัพของรัฐบาลอัล-อาซาด กลับมาตั้งหลักได้ และไล่ยึดพื้นที่กลับมาได้เกือบทั้งหมดแล้ว โดยเฉพาะพื้นที่ที่เคยอยู่ในเขตยึดครองของกลุ่มก่อการร้ายอย่าง ISIS หรือ อัลกออิดะห์ แต่ยังเหลือบางพื้นที่ ที่ยังเป็นปัญหา นั่นก็คือเมือง Idlib
    Idlib เป็นเมืองสำคัญ ที่อยู่ตรงกลางระหว่างเมือง Aleppo เมืองมรดกโลก และกรุง Damascus ที่เป็นเมืองหลวง ที่เชื่อมโยงกันผ่านเส้นทางสายเศรษฐกิจ ที่ชื่อว่า M5 Highway ความยาวกว่า 450 กิโลเมตร และ ทางหลวง M4 Highway ที่แยกไปเมือง Latakia ที่เป็นที่ตั้งของสนามบิน และฐานทัพหลักของรัสเซียในซีเรียอีกด้วย
    ซึ่งพื้นที่ตลอดเส้นทาง M5 Highway ทางรัฐบาลซีเรียตีคืนได้หมดแล้ว ยกเว้นที่เมืองเดียว นั่นก็คือ Idlib แต่ทว่าเมืองนี้ เป็นเขตยึดครองหลักของกลุ่ม Hay'at Tahrir al-Sham หรือ HTS นักรบจิฮัด ที่ทางตุรกีสนับสนุนอยู่
    ทางอัล-อาซาด กับรัสเซีย ต้องการยึดเมือง Idlib คืนมา ด้วยเหตุจำเป็นทางยุทธศาสตร์ และเศรษฐกิจ และมีปะทะกันกับกลุ่ม HTS มาตลอด แต่ติดอยู่ฝ่ายกองทัพตุรกีที่ยังหนุน HTS
    แต่ทว่าหลังจากความพยายามในการรัฐประหารรัฐบาล ของ ประธานาธิบดีราเซป ไทยิป แอโดแกน ในปี 2016 ที่ท่านสุลต่าน แอโดแกน ปักใจเชื่อว่าสหรัฐอยู่เบื้องหลัง เลยทำให้ทางตุรกีมีท่าทีเอนเอียงมาทางรัสเซียมากขึ้นนับแต่นั้น
    เลยทำให้รัสเซียขอเปิดเจรจาคุยกันเรื่องการหยุดยิง และ ถอนทหารในเมือง Idlib กับทางตุรกีตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน 2018 โดยจะมีกองทัพของรัสเซีย และตุรกี ผลัดเปลี่ยนกันลาดตระเวณ คุมเส้นทาง M5 Highway
    งานดูเหมือนจะดี ทหารซีเรียหยุดยิง ทหารตุรกีถอน แต่ทว่า กลุ่ม HTS ยังอยู่ใน Idlib และยังเสริมกำลังจากหน่วยรบใต้ดินอื่นๆมาฝังตัวใน Idlib ด้วย กองทัพรัฐบาลซีเรีย ก็เลยลุยกลับเข้ามาในพื้นที่ แล้วก็เป็นเรื่อง ข้อตกลงหยุดยิงถูกพับเก็บใส่ลิ้นชัก แล้วก็ชักปืนถล่มกันไม่หยุด
    ซึ่งทางฝ่ายรัสเซียก็เคืองว่า ทำไมตุรกียังหนุนหลังกลุ่มกบฏก่อการร้ายในพื้นที่อีกทั้งๆที่ตกลงกันแล้ว ฝ่ายตุรกีก็ปฏิเสธ แต่ก็ส่งทหารเข้าพื้นที่มาเรื่อยๆ และกองทัพซีเรียก็ไม่รู้ว่าเป็นห้าอะไร เอะอะก็ใช้ Airstrike โจมตี ชาวบ้านเขาจะหลบทันเหรอ
    เมือง Idlid ถือเป็นเมืองใหญ่ มีชาวซีเรียอาศัยอยู่เกือบ 3 ล้านคน การโจมตีของทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้ชาวเมือง Idlib เกือบล้านต้องอพยพครั้งใหญ่กันอีกแล้ว ที่ก็หนีไม่พ้นค่ายผู้ลี้ภัยบริเวณชายแดนซีเรีย-ตุรกี ที่ต้องรับผู้ลี้ภัยเพิ่ม จากเดิมก็มีเป็นล้านอยู่แล้ว จะเอาพื้นที่ตรงไหนมารับอีก
    และนี่ก็คือเรื่องราวในสมรภูมิเดือดเมือง Idlib ที่เป็นข่าวดังอยู่ในตอนนี้ ที่อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกี กับรัสเซียเปลี่ยนไปก็ได้ แต่ทั้งนี้ คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือชาวซีเรียนี่แหละ ที่หนีภัยสงครามกันมานานกว่า 9 ปีแล้ว ยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบ ช่างเป็นดินแดนต้องคำสาปเสียจริง
    แหล่งข้อมูล

    https://www.bbc.com/news/world-middle-east-45403334
    https://www.themoscowtimes.com/2020/02/21/russia-turkey-tensions-in-syria-explained-a69383
    https://www.aljazeera.com/news/2020/02/battle-syria-idlib-explained-400-words-200211190719146.html
    https://apnews.com/9f6d1f6ea8866e2d82e41b9bf08e67a5
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20200229_213028.jpg

    (Feb 29) โควิด-19’ เอฟเฟ็กต์ 10 ประเทศฐานผลิตโลก : ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่หรือ “โควิด-19” โดยเฉพาะ “จีน” ที่เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกต้องหยุดชะงักจากมาตรการควบคุมโรคระบาด ด้วยการปิดเมืองหลายแห่ง รวมถึง “อู่ฮั่น” ที่เป็นเมืองอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่เป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดด้วย

    ส่วนพื้นที่อื่นของจีนที่แม้จะไม่ได้ใช้มาตรการปิดเมือง แต่ก็ยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้เต็มศักยภาพ เนื่องจากแรงงานยังไม่สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ รวมถึงเส้นทางคมนาคมขนส่งบางส่วนที่ยังคงถูกปิดกั้นด้วย

    เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม รายงานว่า จีนถือว่าเป็นประเทศมหาอำนาจอุตสาหกรรมการผลิตของโลก สถานการณ์ในจีนส่งผลกระทบต่อระบบซัพพลายเชนการผลิตทั่วโลก โดยจากข้อมูล สำนักงานสถิติแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสดี) ระบุว่า จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมการผลิตแซงหน้าสหรัฐอเมริกา ได้เป็นครั้งแรกในปี 2010 และทิ้งห่างสหรัฐมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี 2018 ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนคิดเป็นสัดส่วนถึง 28.4% ของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก

    สำหรับสหรัฐอยู่อันดับที่ 2 ด้วยผลผลิตภาคอุตสาหกรรม 16.6% ของโลกตามหลังจีนถึง 11.8%

    ขณะที่ประเทศอื่นมีสัดส่วนผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดหลั่นกันลงไป คืออันดับ 3 ญี่ปุ่น มีสัดส่วน 7.2% อันดับ 4 เยอรมนี 5.8% และอันดับ 5 เกาหลีใต้ 3.3% นอกจากนี้ยังมี อินเดีย อิตาลี ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และ เม็กซิโก ที่ติดอันดับ 6 ถึง 10 ตามลำดับ

    ข้อมูลของยูเอ็นเอสดีระบุด้วยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนในปี 2018 มีมูลค่าเพิ่มสูงเกือบ 4 ล้านล้าน
    ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเกือบ 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)

    แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้สร้างความเสียหายให้กับภาคอุตสาหกรรมของจีน โดยเฉพาอุตสาหกรรมรถยนต์ ตามข้อมูลของสมาคมรถยนต์ส่วนบุคคลจีน (ซีพีซีเอ) ระบุว่า ยอดขายรถยนต์ในจีนช่วงครึ่งแรกของเดือน ก.พ. 2020 ลดลงถึง 92% เรียกว่าแทบไม่มีการซื้อ และหากสถานการณ์ยังคงไม่คลี่คลายโดยเร็วจนโรงงานต้องปิดดำเนินการยาวจนถึงกลางเดือน มี.ค. จะส่งผลให้ยอดการผลิตรถยนต์ในจีนลดลง 1.7 ล้านคันตามการคาดการณ์ของบริษัทวิจัยไอเอชเอส มาร์กิต

    การปิดโรงงานในจีนยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกอย่าง ฮุนไดมอเตอร์ และ เกียมอเตอร์ที่ประกาศหยุดโรงงานในเกาหลีใต้ รวมถึง นิสสัน ที่ประกาศว่าอาจต้องปิดโรงงานในญี่ปุ่นชั่วคราว เนื่องจากขาดแคลนชิ้นส่วนการประกอบรถยนต์จากจีน นอกจากนี้ยังมี เจนเนรัล มอเตอร์สแสดงความกังวลผลกระทบต่อโรงงานในสหรัฐและอังกฤษ รวมถึง เฟียต ไครสเลอร์ ที่ระบุว่า โรงงานแห่งหนึ่งในยุโรปสามารถเดินเครื่องการผลิตได้ถึงสิ้นเดือน ก.พ.เท่านั้น

    สถานการณ์นี้สร้างความสั่นคลอนให้กับจีนที่พึ่งพาภาคอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก “ดอยช์แบงก์” ธนาคารเพื่อการลงทุนของเยอรมนีระบุว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนมากที่สุด โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของจีดีพีจีนในไตรมาส 1/2020 จะลดลง 1.5% ลงมาอยู่ที่ 4.6% ขณะที่การเติบโตของจีดีพีสหรัฐก็ลดลง 0.1% ด้วยเช่นกัน

    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
    https://www.prachachat.net/world-news/news-426667

    เพิ่มเติม
    - This is the impact of the Coronavirus on business: https://www.weforum.org/agenda/2020/02/why-is-coronavirus-a-global-business-risk/
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20200229_213324.jpg

    (Feb 29) 1 มี.ค.โดนแน่ คุก2ปี ปรับ5แสน ปกปิดข้อมูล "ไวรัสโคโรนา" : ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2563 ให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID)) เป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 เพื่อประโยชน์ในการเผ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่ออันตราย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มีนาคมนี้

    สาระสำคัญคือการกำนดให้ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID))เป็นโรคติดต่อร้ายแรงอันดับที่ 14 ของไทย ด้วยการระบุอาการไว้อย่างชัดเจนว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อ มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หอบเหนื่อย หรือมีอาการของโรคปอดอักเสบ ในรายที่มีอาการรุนแรง จะมีอาการระบบทางเดินหายใจล้มเหลว และอาจถึงขั้นเสียชีวิต

    สำหรับ 14 รายชื่อโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงได้แก่ 1. กาฬโรค 2. ไข้ทรพิษ 3.ไข้เลือดออกไครเมียนคองโก 4.ไข้เวสต์ไนล์ 5. ไข้เหลือง 6. โรคไข้ลาสซา 7.โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์ 8.โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก 9.โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา 10.โรคติดเชื้อไวรัสเฮนดรา 11.โรคซาร์ส 12.โรคเมอร์ส 13.วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก 14. โคโรนาไวรัส 2019หรือโควิด-19

    การประกาศให้โรคไวรัสโควิด-19 หรือ โคโรนา เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14 ของไทยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความสามารถในการควบคุม และทีมแพทย์จะได้ทำงานสะดวกมากขึ้น เพราะหากพบผู้ที่สงสัยว่าอาจติดเชื่อ สามารถสั่งตรวจได้ทันที ที่สำคัญคือกำหนดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องแจ้งกรมควบคุมโรคภายใน 3 ชั่วโมง ถ้าไม่แจ้งจะมีโทษปรับและโทษจำคุกได้

    ทั้งนี้ฐานเศรษฐกิจตรวจสอบพบว่าตามพระราชบัญญัติ โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ในกรณีที่จงใจปิดบังข้อมูลประวัติการเดินทางจากประเทศเสี่ยง จาก “พระราชบัญญัติโรคติดต่อแห่งชาติ พ.ศ.2558” ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 มาตรา 49 ระบุว่า ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    และมาตรา 52 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ หรือผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    นอกจากนี้ยังมีบทลงโทษกับเจ้าของพาหนะหรือสถานประกอบการหากปกปิดข้อมูลไม่ทำตามคำสั่ง อาจโดนโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 5 แสนบาทด้วย โทษจำคุกและปรับดังกล่าว หากผู้ป่วยจงใจปิดบังข้อมูลการเดินทางยังประเทศเสี่ยงไวรัสโคโรนา หรือไม่ยอมเข้ารับการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายฉบับนี้จะมีโทษทางกฎหมาย ทั้งจำทั้งปรับ

    ส่วนข้อสงสัยข้อกังวลของประชาชนที่เดินทางไปพื้นที่เสี่ยงกลับมาแล้วจะปฏิบัติตัวอย่างไร ขอความร่วมมือ ต้องสังเกตอาการป่วยอยู่ที่บ้านที่พักจนครบ 14 วัน นับจากวันที่กลับ หลีกเลี่ยงการไปที่สาธารณะที่มีคนอยู่หนาแน่นโดยไม่จำเป็น ให้สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น งดใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น หมั่นล้างมือบ่อยๆ กินร้อนช้อนกลาง หมั่นทำความสะอาดห้องน้ำ ชักโครก ลูกบิดประตู ด้วยสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ เสื้อผ้า หากภายใน14 วัน มีไข้ร่วมกับไอ จาม ให้รีบมาพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง

    ในส่วนการตรวจเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 COVID-19 หากเป็นผู้ที่เข้าข่ายสงสัยฯ ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข ให้ไปรับการตรวจที่ รพ.ตามสิทธิ (ไม่เสียค่าใช้จ่ายค่าตรวจ) หากยังไม่มีอาการใด ๆ หรืออาการไม่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ ไม่แนะนำให้ไปตรวจเอง (หากอยากตรวจต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง)

    ทั้งนี้ ในกลุ่มที่ไม่มีอาการหรืออาการไม่เข้าข่ายแต่เป็นผู้เดินทางมาจากประเทศที่เสี่ยง แม้จะตรวจไม่พบเชื้อ ในครั้งแรกขอให้สังเกตอาการป่วยอยู่ที่บ้าน/ที่พัก จนครบ 14 วัน

    Source: ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

    https://www.thansettakij.com/conten...homepage_hilight&utm_medium=internal_referral
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20200229_213635.jpg

    (Feb 29) โควิด-19 ทุบทัวร์เอาต์บาวด์ป่วน! นักท่องเที่ยวแห่แจ้งเลื่อน-ยกเลิกการเดินทาง-ขอเงินคืน : วงการทัวร์เอาต์บาวด์ป่วน! นักท่องเที่ยวคนไทยแห่เลื่อน-ยกเลิกการเดินทาง ตบเท้าขอเงินคืนจากเอเย่นต์ทัวร์ กรมการท่องเที่ยวเรียกประชุมหารือผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน หวังสร้างความเข้าใจ-ขอร้องทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ปัญหา “การบินไทย-นกแอร์” เด้งรับให้เลื่อนการเดินทางโดยไม่คิดค่าธรารมเนียม ขณะที่กรมท่าอากาศยานประกาศลดค่าแลนด์ดิ้งแล้ว

    จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในพื้นที่หลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่ส่งผลกระทบหลักในด้านการท่องเที่ยว อาทิ บริษัททัวร์ สายการบิน ผู้ประกอบการที่พัก โรงแรมต่าง ๆ ซึ่งภายหลังจากกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาเตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในประเทศที่มีความเสี่ยงในการแพร่ระบาด มีทั้งนักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะเลื่อนการเดินทางออกไปก่อน ในขณะที่บางส่วนต้องการขอยกเลิกการเดินทางและขอเงินค่าบริการนำเที่ยวคืนจากบริษัททัวร์ทันที ทำให้ปัญหาหนักตกมาอยู่ที่ฝ่ายผู้ประกอบการธุรกิจด้านการท่องเที่ยวที่ต้องเดินหน้าหาทางออก

    นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงฯ ได้มีมาตรการช่วยเหลือทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างชัดเจน อาทิ มาตรการด้านภาษีที่ขยายเวลาการยื่นแบบรายการชำระภาษีออกไปอีก 3 เดือน มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงกิจการโรงแรม มาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน และการสนับสนุนเที่ยวบินชาร์เตอร์ไฟลท์สำหรับนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีการใช้จ่ายสูงสู่พื้นที่เมืองรอง

    ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำไปกำหนดกลยุทธ์และแผนงานเร่งด่วน รวมทั้งให้ภาคเอกชนนำแนวทางตามมาตรการไปใช้ในการปรับตัวและพัฒนาธุรกิจให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศในทิศทางเดียวกัน

    “ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ หน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์โดยตรง ได้รับเรื่องร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับการขอเลื่อนการเดินทางและการขอเงินค่าบริการนำเที่ยวคืนจากบริษัททัวร์ เนื่องจากนักท่องเที่ยวไม่ประสงค์จะออกเดินทางไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ Covid – 19 แต่บริษัททัวร์ปฏิเสธไม่คืนเงินค่าบริการ หรือคืนค่าบริการให้บางส่วน บางบริษัททัวร์ไม่ยอมเลื่อนการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยว โดยอ้างว่าบริษัททัวร์มีค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมบริการนำเที่ยวต่าง ๆ โดยเฉพาะค่าตั๋วโดยสารเครื่องบิน ซึ่งแต่ละสายการบินก็มีเงื่อนไขที่ไม่อาจคืนเงินให้ได้ เป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวเกิดความไม่พอใจ และเกิดความเสียหายแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภาพรวม” นายพิพัฒน์กล่าว

    และว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้นทางกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จึงได้จัดประชุมหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านการท่องเที่ยว กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID – 19 ซึ่งมีหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเข้าร่วมจำนวนมาก อาทิ กรมการกงสุล กรมท่าอากาศยาน กรมควบคุมโรค สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) และตัวแทนผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว (บริษัททัวร์) ไปเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา

    ด้านนายทวีศักดิ์ วาณิชย์เจริญ อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID – 19 เป็นสภาวะวิกฤตที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ กรมการท่องเที่ยว หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ มีความเห็นใจอย่างยิ่งกับทุกฝ่าย ทั้งนักท่องเที่ยวที่จ่ายค่าบริการนำเที่ยวไปแล้ว และบริษัททัวร์ที่มีค่าใช้จ่ายไปเพื่อเตรียมการจัดนำเที่ยว หรือค่าใช้จ่ายล่วงหน้ากับบริษัทสายการบิน ซึ่งการประชุมหารือร่วมกันกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้เสนอปัญหาที่สอดคล้องและเชื่อมโยงกัน รวมถึงร่วมกันหาแนวทาง ในการแก้ไขปัญหาอย่างรอบคอบ รัดกุม ซึ่งที่ประชุมได้สรุปมาตรการแก้ไขปัญหา 2 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน และระยะปานกลาง

    โดยในระยะเร่งด่วน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จะมีมาตรการผ่อนผัน กรณีมีการขอเลื่อนกำหนดการบิน สามารถเลื่อนได้ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2563 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่หากนักท่องเที่ยวหรือบริษัททัวร์มีความจำเป็นต้องเลื่อนต่อไปอีก จะเลื่อนได้ไม่เกินวันที่ 15 ธันวาคม 2563 และจะต้องพิจารณาว่าเป็นการเลื่อนในเส้นทางเดียวกันหรือไม่ หากเปลี่ยนเส้นทางอาจมีค่าใช้จ่ายส่วนต่างเพิ่ม

    ด้าน บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) ได้แบ่งกลุ่มบัตรโดยสารเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มบัตรโดยสารแบบซีรีย์ ซึ่งบริษัททัวร์ได้วางมัดจำบัตรโดยสารเครื่องบินตลอดทั้งปี (แบบระยะยาว) ในเส้นทางญี่ปุ่น ทางสายการบินนกแอร์จะยกเลิกค่าธรรมเนียมให้ แต่ยังคงเก็บค่าส่วนต่างที่เกิดขึ้น และกลุ่มบัตรโดยสารแบบกลุ่ม สามารถนำไปใช้ในภายหลังได้ (ภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี) เพื่อให้บริษัททัวร์ มีระยะเวลาและความคล่องตัวในการจัดการธุรกิจ รวมถึงนักท่องเที่ยวจะได้มีทางเลือกในการเดินทางและได้รับเงินคืนจากบริษัททัวร์มากที่สุด

    ในส่วนของกรมท่าอากาศยาน จะเสนอปรับลดค่าบริการในการขึ้นลงของอากาศยาน แก่สายการบินในช่วงภาวะวิกฤตนี้ รวมถึงจะเสนอให้ปรับลดค่าเช่าของผู้ประกอบการรถเช่าที่ใช้พื้นที่ของสนามบิน เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ

    นอกจากนี้ กรมการท่องเที่ยวจะตั้งศูนย์ประสานการแก้ไขปัญหาร่วมกับกองบัญชาการ ตำรวจท่องเที่ยว และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยว กรณีนักท่องเที่ยวเรียกร้องขอเงินค่าบริการนำเที่ยวคืนจากบริษัททัวร์ ซึ่งจะกำกับดูแลให้เป็นไปตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 รวมทั้งดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างนักท่องเที่ยว บริษัททัวร์ และสายการบิน ให้สามารถตกลงเจรจาหาข้อยุติในส่วนค่าเสียหายกันได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรมทุกฝ่าย

    ส่วนแผนระยะปานกลางนั้น นายทวีศักดิ์กล่าวว่า กรมการท่องเที่ยวจะทบทวนกฎระเบียบและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มเติมรายละเอียดการประกันภัยแก่นักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยให้คุ้มครองการยกเลิกการเดินทางท่องเที่ยวเนื่องจากกรณีภาวะวิกฤตต่าง ๆ รวมถึงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส Covid – 19 เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับความคุ้มครองและลดความเสียหายต่อทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคดีขึ้น กรมการท่องเที่ยวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมหารือแนวทาง เพื่อเยียวยาและแก้ไขปัญหาให้กับกลุ่มผู้ประกอบการต่อไป

    นายทวีศักดิ์กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับนักท่องเที่ยวที่ประสงค์ขอยกเลิกการเดินทาง ให้แจ้งขอรับเงินค่าบริการนำเที่ยวคืนจากผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ตามประกาศคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับอัตราการจ่ายเงินค่าบริการคืนให้แก่นักท่องเที่ยว พ.ศ. 2553 โดยมีรายละเอียดดังนี้

    กรณีขอยกเลิกการเดินทาง 30 วันขึ้นไป ก่อนวันเดินทาง นักท่องเที่ยวสามารถขอรับเงินค่าบริการนำเที่ยวคืนได้เต็มจำนวนที่จ่ายไป กรณีขอยกเลิกการเดินทาง 15 – 29 วัน ก่อนวันเดินทาง นักท่องเที่ยวสามารถขอรับเงินค่าบริการนำเที่ยวคืนได้ 50% ของค่าบริการนำเที่ยวที่จ่ายไป และกรณีขอยกเลิกการเดินทางน้อยกว่า 15 วัน นักท่องเที่ยวไม่สามารถขอรับเงินค่าบริการนำเที่ยวคืนได้

    ทั้งนี้ การจ่ายค่าบริการนำเที่ยวคืนให้แก่นักท่องเที่ยวดังกล่าว หากบริษัททัวร์มีค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายจริงเพื่อเตรียมการจัดนำเที่ยว ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า ค่ามัดจำของบัตรโดยสารเครื่องบิน และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอื่น ๆ ให้นำมาหักจากเงินค่าบริการนำเที่ยวที่ต้องจ่ายคืนให้กับนักท่องเที่ยวได้ โดยให้บริษัททัวร์แสดงหลักฐานให้นักท่องเที่ยวทราบ

    แต่หากค่าใช้จ่ายของบริษัททัวร์สูงกว่าเงินค่าบริการนำเที่ยวที่นักท่องเที่ยวได้ชำระไว้ บริษัททัวร์จะไม่สามารถเรียกเก็บเงินเพิ่มจากนักท่องเที่ยวได้

    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

    https://www.prachachat.net/tourism/news-426668
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    29 กุมภาพันธ์ มีรายงายเกาหลีใต้ 'ช่วงเวลาวิกฤติ' หลังจากเกิดกรณี CoronaVirus ใหม่ 813 ราย ขณะนี้มีผู้ยืนยันแล้ว 3,150 ราย - อัปเดตสด

    Feb 29. South Korea reports 'critical moment' after biggest daily surge of 813 new CoronaVirus cases. Now totaling 3,150 confirmed cases – Live Updates

    https://www.theguardian.com/world/l...a-wuhan-stock-markets-update?CMP=share_btn_fb

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หมอจีนเตือนทั้งโลกผ่าน BBC
    Covid 19 แรงกว่า ซาร์ส
    รัฐบาล อย่าเชื่องช้า โลกสวย หมอจีนคนแรกที่ออกมาเตือนถูกสอบสวน การตอบโต้ ปิดเมือง ช้าไปไม่มากแต่ผลกระทบใหญ่หลวง
    เปิดชม และทำความเข้าใจ
    ใครจะโลกสวย ช่างเขา
    เราต้องเป็น คนที่ต้องทำให้โลกสวย
    Accountability คือ ความรับผิดชอบของผู้บริหาร และคนที่ไม่รับผิดชอบต่อตนเองและคนอื่น

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PMI จีนออกมาระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ปัจจัยลบยังออกมาต่อเนื่องตั้งแต่ตลาดปิด... ท่านนักลงทุนครับ… อาทิตย์หน้าอันตรายแน่ๆ ❗️
    PMI (Purchasing Managers’ Index) คือดัชนีที่ชี้วัดสภาวะทางเศรษฐกิจของภาคการผลิตและบริการที่สำคัญ ซึ่งเช้าวันอาทิตย์นี้ทางจีนได้รายงานออกมาว่า ดัชนีภาคการผลิตของเดือนก.พ. นั้นอยู่ที่ระดับ 35.7 จุด ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 45 จุด ถึงแม้ตลาดจะคำนวนถึงผลกระทบของโคโรนาไวรัสเข้าไปแล้วก็ตาม !
    เรียกได้ว่าออกมาต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์เลย ต่ำกว่าครั้งวิกฤตปี 2008 เสียอีก ! (ตามกราฟในรูป) และที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือ นักวิเคราะห์เริ่มคุยกันแล้วว่าถ้าหากต่ำขนาดนี้แล้วทางการจีนยังปล่อยตัวเลขออกมา (ทั้งๆที่ก็สามารถเลือกที่จะไม่รายงานเหมือนตัวเลขยอดส่งออกก็ได้) แปลว่าสถานการณ์ที่แท้จริงอาจจะแย่กว่านี้อีก
    ตอนนี้นักวิเคราะห์มองว่าเป้า GDP ของจีนในไตรมาสแรกที่หลายฝ่ายมองว่าน่าจะกระตุ้นให้โตได้ที่ 4️⃣% อยู่น่าจะหมดหวังแล้ว หลายๆฝ่ายมองว่าถ้าไม่ติดลบก็ดีแล้วตอนนี้
    นี่ไม่ใช่ปัจจัยลบอย่างเดียวที่ออกมาในช่วงหลังตลาดปิดครับ ยังมีอีกหลายข่าวอย่าง
    1️⃣ สหรัฐพบผู้ติดเชื้อไวรัสโดยไม่ทราบต้นทาง จะทำให้สหรัฐเข้าสู่ไวรัสระบาดเฟส 3 แล้วหรือ ?
    2️⃣ เมื่อคืนนี้หลังตลาดไทยปิดไปแล้ว ทาง WHO หรือองค์การอนามัยโลก เร่งเปลี่ยนสถานะความเสี่ยงไวรัสจาก "สูง" เป็น "สูงมาก"
    ทำให้นักลงทุนต้องเตรียมตัวรัดเข็มขัดกันอย่างมากเลยครับในสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะนักลงทุนในเอเชียที่ปิดตลาดไปก่อนหลายๆข่าวนี้จะรับรู้เข้าไปในราคา
    ⛔️ เราจะรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ได้อย่างไร ขอแนะนำบทความที่โพสต์ไว้ในคอมเม้นท์ได้เลยครับ ⛔️
    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรานะครับ ฝากกดไลค์และแชร์ให้แอดด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์นะครับ ขอบคุณมากๆครับ
    #OilTradingKP
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    〽️ ราคาทองโดนเทขายหนักตลอดอาทิตย์ ตกลงมา -6% ทั้งๆที่หุ้นก็ตกทั่วโลก ทองไม่ใช่หลุมหลบภัยของนักลงทุนในยามวิกฤตเศรษฐกิจอีกต่อไปแล้วหรือ ? Safe Haven จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว ? ⚠️
    ราคาทองหล่นจาก 1,690 เหรียญต่อออนซ์ลงมาที่ 1,587 เหรียญต่อออนซ์ภายนอาทิตย์เดียวทั้งๆที่ไวรัสระบาดรุนแรงขึ้น หุ้นทั่วโลกก็โดนเทขายไป 10% กว่าๆตลอดอาทิตย์ ทำไมเงินไม่ไหลเข้าทอง ?
    พอลองศึกษาดูแล้วพบว่ามีเหตุผลดังนี้ครับ
    1️⃣ ราคาทองคำขึ้นมาเยอะมากแล้วในปีที่ผ่านมาจึงมีการเทขายทำกำไรในระยะสั้นบ้าง
    ราคาทองในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาขึ้นมาจากระดับ 1,250 เหรียญต่อออนซ์หรือขึ้นมา 1/4 เท่าในเวลาปีเดียว โลกนั้นเจอกับสถานการณ์วิกฤตมาตลอดแบบไม่มีเวลาพักไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า การสู้รบในตะวันออกกลาง (อิหร่าน-สหรัฐ) และล่าสุดพอเกิดวิกฤตไวรัสโคโรนาก็ได้ดีดขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้วเกือบ 10% เพราะฉะนั้นนักลงทุนจะทำกำไรระยะสั้นเมื่อราคาทองไม่สามารถไต่ไปทำ New high ใหม่ได้นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก
    2️⃣ ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มมีสัญญาณว่าจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง
    ศัตรูหลักของทองคือธนาคารกลาง สิ่งที่ทองไม่ชอบคือการลดอัตตราดอกเบี้ย การกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยถึงแม้ในครั้งนี้ธนาคารกลางทั่วโลกจะเหลือสายป่านไม่มากนัก ดอกเบี้ยทั่วโลกได้ลดลงไปอยู่ในระดับเกือบต่ำสุดกันหลายที่ แต่ก็คงหนีไม่พ้นการลดดอกเบี้ยระลอกสุดท้ายเพราะไวรัสนั้นระบาดหนักกว่าที่คิด ทำให้นักลงทุนรีบเทขายทำกำไรระยะสั้นก่อน
    3️⃣ กองทุน Hedge Funds เทขายทองเพื่อเพิ่มสัดส่วนเงินสด เพื่อเตรียมรับมือกับ Margin Call จากตลาดหุ้นที่กำลังเข้วิกฤตรอบใหม่
    Hedge Funds หรือกองทุนเก็งกำไรนั้น คือกลุ่มเงินก้อนโตในโลกนี้ที่พยายามเก็งกำไรทุกสิ่งด้วยเงินทุกบาทที่พวกเขามีอยู่ในมือ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงพยายามเทรดแบบ Leverage หรือใช้เงินแบบคุ้มค่าเต็มที่โดยการเทรดด้วยกองทุน ETF ซึ่งการเทรดประเภทนี้ข้อดีคือไม่ต้องใช้เงินสดมาวางล่วงหน้าก่อนเต็มจำนวน แต่ในยามที่ตลาดผันผวนและมีสิทธิลงได้หนักๆ กองทุนเหล่านี้มีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินสดมาวางโปะเรื่อยๆ (Margin Call) เพื่อไม่ให้โดนบังคับปิดเทรด กองทุนเหล่านี้จึงเทขายทองระยะสั้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนเงินสดมาดูแลพอร์ตหุ้นโดยรวมก่อน
    โดยสรุปแล้วทองยังคงเป็น Safe Haven เหมือนเดิมครับถึงแม่ในระยะสั้นอาจโดนเทขาย
    ปัจจัยพื้นฐานของทองยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ธนาคารกลางต่างๆยังคงเก็บทองเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศแทนที่เงินดอลล่าร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    ในระยะยาวๆนั้นหากจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจริงๆ ราคาทองคำจะยังคงสูงขึ้นกว่านี้ได้แน่ครับ ระดับเป้าราคาคงเป็น All Time High ที่ 1,830 เหรียญต่อออนซ์เมื่อปี 2011 ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อนครับ
    การเก็บทองไว้ส่วนนึงในพอร์ตลงทุนรวมเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงไม่ใช่แค่เพียงการเก็งกำไรยังคงเป็นแผนลงทุนที่ดีต่อไปครับ
    ⛔️ขอแนะนำบทความเกี่ยวกับการลงทุนในวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้ ลองดูได้ในคอมเม้นท์เลยครับ ⛔️
    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรานะครับ ฝากกดไลค์และแชร์ให้แอดด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์นะครับ ขอบคุณมากๆครับ
    #OilTradingKP
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ระวังและดูแลสัตว์เลี้ยงที่บ้านของคุณให้ดีครับ ! WHO หรือองค์การอนามัยโลกพบว่ามีสุนัขในฮ่องกงติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) แล้ว !
    ทางแพทย์ที่ฮ่องกงยังไม่ทราบที่มาว่าสุนัขตัวนี้ติดเชื้อมาจากทางไหน อาจจะมาจากทางคนหรือจากทางเดินต่างๆ แต่ผลการตรวจมีค่าเป็นบวกเล็กน้อย จึงยืนยันว่าสุนัขนั้นติดเชื้อ
    เพื่อเป็นการระมัดระวังไว้ก่อนทางฮ่องกงจึงสั่งให้สัตว์เลี้ยงของผู้ที่เข้าข่ายสุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโคโรน่านั้นต้องโดนกักตัว (Quarantine) ไว้ก่อน จนกว่าทางเจ้าหน้าที่จะสามารถศึกษาที่มาและความเชื่อมโยงของการติดเชื้อระหว่างคนกับสัตว์อีกที
    https://www.cnbc.com/2020/02/28/a-d...ositive-for-the-coronavirus-who-confirms.html
    #OilTradingKP #สาระเบาๆเสาร์อาทิตย์
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รอง ปธ.สภาอิหร่านป่วยโควิด-19 เสียชีวิตแล้ว ยอดดับรวม 43 ติดเชื้อเกือบ 600
    คลิก>> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000020628
    #MGROnline #โควิด-19 #อิหร่าน
    .
    “โมฮัมหมัด อาลี รามาซานี” ส.ส.และรองประธานสภาอิหร่าน เสียชีวิตแล้ว หลังจากติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตในอิหร่านเพิ่มเป็น 43 คน ติดเชื้อรวม 593 คน
    .
    เว็บไซต์สำนักข่าวอินดีเพนเดนซ์ รายงานโดยอ้างสำนักข่าว ISNA ของทางการอิหร่าน ว่า นายโมฮัมหมัด อาลี รามาซานี ดาสทัก ส.ส.และรองประธานสภาของอิหร่าน ซึ่งล้มป่วยด้วยโรคปอดอักเสบจากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 เสียชีวิตแล้ว เมื่อเช้าวันนี้ (29 ก.พ.) หลังถูกนำตัวส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลด้วยอาการไข้หวัด และถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโควิก-19 เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
    .
    ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ในอิหร่านเพิ่มขึ้นเป็น 43 คน โดยในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตถึง 9 คน ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่มี 205 คน รวมจำนวนผู้ติดเชื้อในอิรหร่านทั้งสิ้น 593 คน
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มูห์ยิดดิน ยัสซิน จะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของมาเลเซีย สมเด็จพระราชาธิบดี ทรงประกาศในวันเสาร์ (29) และตรัสว่า เขาน่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภานิติบัญญัติมากที่สุดในรัฐสภา
    คลิก>> https://mgronline.com/around/detail/9630000020595
    #MGROnline
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เข้าสู่หน้าร้อนก็แล้งหนักกว่าเดิม

    สถานการณ์น้ำของปีนี้ น่าเป็นห่วงมากครับ (ห่วงตัวเองติ555)
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Globalization and Our Precarious Medical Supply Chains
    By F. William Engdahl
    25 February 2020
    สัญญานอันตรายที่ล่อแหลมของซัพพลายเวชภัณท์
    ความเสี่ยงอย่างหนึ่งที่นับว่าอันตราย คือกระบวนการ outsource งานการผลิตกระจายออกไปทั่วโลก ที่เรียกกันว่า globalization ที่เริ่มมาตั้งแต่ประมาณ 30 ปีที่แล้ว ส่งผลให้เริ่มได้เห็นกันแล้ว ....ก็ตอนที่มีเหตุให้จีนต้องปิด supply chains ทั่วประเทศที่จีนป้อนให้กับทั่วโลก
    ในขณะที่ความสนใจส่วนใหญ่โฟกัสไปที่ชิ้นส่วนสมาร์ทโฟนหรือชิ้นส่วนยานยนตร์จากจีน แต่มันยังมีอีกอย่างหนึ่งที่อันตราย และในไม่ช้าก็จะมีสัญญานเตือนออกมา นั่นคืดเรื่องสุขภาพของชาวโลก
    ถ้าการผลิตของจีนยังถูก shutdown ต่อเนื่องไปอีกไม่กี่สัปดาห์ ทั่วโลกอาจต้องเริ่มพบกับการขาดแคลนยาและเวชภัณท์กันแล้ว ...เหตุผลคือตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีมาแล้วที่การผลิตยา..เวชภัณท์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ จำนวนมาก เช่นอุปกรณ์ห้องผ่าตัด มีการ outsource ให้จีนเป็นผู้ผลิต เพราะสิ่งที่ Made in China มักมีราคาถูกกว่า ...นี่ทำให้ธุรกิจเกือบทุกอย่างของตะวันตกแทบไม่เหลืออะไรให้ทำ
    Sole source China
    จีน..แหล่งผลิตใหญ่
    ในบันทึกการชี้แจงสภาคองเกรส ปัจจุบันเวชภัณท์ยาที่ใช้ในสหรัฐผลิตในจีนถึง 80% นั่นหมายรวมถึงบริษัทยาต่างประเทศที่ร่วมธุรกิจ joint ventures กับบริษัทจีนด้วย การพึ่งพาการผลิตในลักษณะนี้ มันอันตรายเกินไป
    เวชภัณท์ประมาณ 80% ที่ใช้ในสหรัฐผลิตที่จีน ไม่ใช่แค่ส่วนผสมของสูตรยา แต่แม้กระทั่งสารเคมีตั้งต้นของส่วนผสมนั้นก็ผลิตที่จีน สหรัฐพึ่งพายาเคมีของปฏิชีวนะทั้งกระบวนการที่เรียกว่า cephalosporins จากจีนล้วนล้วน ยานี้มีการใช้แพร่หลายในสหรัฐสำหรับคนไข้ติดเชื้อนับหมื่นรายในแต่ละวัน
    ยา Made in China ที่ใช้ในสหรัฐทุกวันนี้มีตั้งแต่ปฏิชีวนะ ยาคุมกำเนิด ความดัน ไปตลอดถึงยารักษามะเร็งหลายชนิด ...ยาสามัญเช่นเพนนิซิลลิน แอสไพรินและวิตามิน ....จากการศึกษาของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ พบว่า 97% ของยาในสหรัฐมาจากจีน
    Rosemary Gibson แห่ง the Hastings Center bioethics research institute บอกถึงการพึ่งพาจีนในเรื่องนี้ว่า "...สมมติว่าจีนปิดประตูในวันพรุ่งนี้ ..โรงพยาบาลทุกแห่งในสหรัฐจะต้องปิดตัวลงภายในสองเดือน.." ....เรื่องนี้ดูเหมือนไม่ไกลเลย
    ตอนที่เริ่มทำ outsourcing ของบริษัทยาทั้งสหรัฐและยุโรป ไม่มีใครเคยคิดถึงเหตุการณ์ที่อู่ฮั่นว่ามันจะเกิดขึ้นในชั่วไม่กี่วัน การกักกันโรคของจีนตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมมีการปิดโรงงานถึง 75-80% ในจีน นอกจากนี้จากการระบาดของไวรัส ทำให้จีนมีดีมานด์การใช้เวชภัณท์ทุกตัวในประเทศมากขึ้น ยังบอกไม่ได้ถึงความรุนแรงของการขนส่งเวชภัณท์และอุปกรณ์ที่จะกระทบระบบสาธารณสุขในสหรัฐ ยุโรปและประเทศอื่น ๆ ..ถึงแม้จะคิดหันไปที่อินเดีย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศผู้ผลิตและซัพพลายเวชภัณท์ให้แก่ชาวโลก แต่ก็พบว่าผู้ผลิตเกือบทั้งหมดก็ต้องอาศัยจีนในเรื่องของเภสัชภัณท์หลาย ๆ ตัว
    Clinton and Outsourcing
    คลินตันผู้ริเริ่มการ outsource
    หลายปีมานี้ ในแผนเร่งด่วนของจีน มีเรื่องของการเป็นผู้ผลิตยาอยู่ด้วย ภายใต้สัญญลักษณ์ Made in China-2025 ...ที่นับเป็นหนึ่งในสิบเรื่อง ที่จะนำจีนไปสู่การเป็นผู้นำโลก
    แต่จากเรื่องวิกฤตการระบาดของ COVID-19 ในจีน ทำให้เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นของความเสี่ยงของทุกประเทศในโลก
    โลกมาอยู่ในสถานการณ์แบบ one-sided situation นี้ได้อย่างไร ต้องย้อนกลับไปเมื่อครั้งคลินตันอยู่ในอำนาจ ในยุคที่มีแต่เรื่องของโลกาภิวัฒน์ ...ในการประชุมที่ดาวอส ที่มีโมเดลเรื่องของการ outsource การผลิตจากประเทศอุตสาหกรรมเช่นสหรัฐหรือเยอรมัน ไปยังจีนหลังปี 2000
    ในเดือนพฤษภาคม ปี 2000 หนึ่งในเรื่องใหญ่ของคลินตันที่ทำในช่วงรับตำแหน่ง เป็นเรื่องที่มีการหนุนจากบริษัทข้ามชาติขนาดยักษ์ คือเรื่องที่เสนอให้จีนเข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) ....และนั่นเท่ากับให้ไฟเขียวกับบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันที่จะเข้าลงทุนอย่างท่วมท้นในจีนที่มีค่าแรงถูก ที่เรียกว่า outsourcing
    บริษัทยาขนาดใหญ่ก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ภายในสองปีหลังจากการทำสัญญา Free Tade ระหว่างสหรัฐ/จีน โรงงานหมักเชื้อเพื่อการผลิตเพนนิซิลลินในรัฐนิวยอร์คแห่งสุดท้ายก็ปิดตัวลงจากการแพ้การแข่งขันด้านค่าแรงกับจีน
    ในปี 2008 รัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าการผลิตยาให้เป็น "อุตสาหกรรมที่มีการเพิ่มค่า" โดยมีการสนับสนุนจากรัฐเรื่องการลดภาษีส่งออก ทำให้ก่อนปี 2019 จีนกลายเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดของโลกด้านการซัพพลายสารเภสัชภัณท์ active pharmaceutical ingredients (APIs) ต่อชาวโลก
    จุดอ่อนที่จะนำไปสู่หายนะ (Achilles Heel) ของโลกาภิวัฒน์ครั้งนั้น ที่นำเอาเรื่องสำคัญชนิดคอขาดบาดตายขนาดนั้นไปไว้ในมือของประเทศเดียว ...ได้แสดงผลกระทบทั้งโลกให้เราได้เห็นอย่างทันทีทันใดแล้ว
    F. William Engdahl is strategic risk consultant and lecturer, he holds a degree in politics from Princeton University and is a best-selling author on oil and geopolitics, exclusively for the online magazine “New Eastern Outlook”
    Globalization and Our Precarious Medical Supply Chains
    By F. William Engdahl
    25 February 2020
    The grave risks and dangers in the process of worldwide out-sourcing and so-called globalization of the past 30 years or so are becoming starkly clear as the ongoing health emergency across China threatens vital world supply chains from China to the rest of the world. While much attention is focused on the risks to smartphone components or auto manufacture via supplies of key parts from China or to the breakdown of oil deliveries in the last weeks, there is a danger that will soon become alarmingly clear in terms of global health care system .
    If the forced shutdown of China manufacture continues for many weeks longer, the world, could begin to experience shortages or lack of vital medicines and medical supplies. The reason is that over the past two decades much of the production of medicines and medical supplies such as surgical masks have been outsourced to China or simply made in China by Chinese companies at far cheaper prices, forcing Western companies out of business.
    Sole source China
    According to research and US Congressional hearings, something like 80% of present medicines consumed in the United States are produced in China. This includes Chinese companies and foreign drug companies that have outsourced their drug manufacture in joint ventures with Chinese partners. According to Rosemary Gibson of the Hastings Center bioethics research institute, who authored a book in 2018 on the theme, the dependency is more than alarming.
    Gibson cites medical newsletters giving the estimate that today some 80% of all pharmaceutical active ingredients in the USA are made in China. “It’s not just the ingredients. It’s also the chemical precursors, the chemical building blocks used to make the active ingredients. We are dependent on China for the chemical building blocks to make a whole category of antibiotics… known as cephalosporins. They are used in the United States thousands of times every day for people with very serious infections.”
    The made in China drugs today include most antibiotics, birth control pills, blood pressure medicines such as valsartan, blood thinners such as heparin, and various cancer drugs. It includes such common medicines as penicillin, ascorbic acid (Vitamin C), and aspirin. The list also includes medications to treat HIV, Alzheimer’s disease, bipolar disorder, schizophrenia, cancer, depression, epilepsy, among others. A recent Department of Commerce study found that 97 percent of all antibiotics in the United States came from China.
    Few of these drugs are labeled “made in China” as drug companies in the USA are not required to reveal their sourcing. Rosemary Gibson states that the dependency on China for medicines and other health products is so great that, “…if China shut the door tomorrow, within a couple of months, hospitals in the United States would cease to function.” That may not be so far off.
    At the time the outsourcing of US and European drug manufacture to China began no one could imagine the present health catastrophe growing out of Wuhan in a matter of days. The massive China quarantine since late January has shut some 75-80% of all Chinese factories and created an unprecedented domestic China demand for every kind of medical product since the WHO declaration of medical emergency around the coronavirus or COVID-19 events at the end of January. It is unclear how badly deliveries of vital pharmaceuticals including essential antibiotics from China to the USA or Europe or other countries will be affected though anecdotal reports of hospitals beginning to experience delivery problems are surfacing. Even the idea to turn to India, another major global pharmaceutical supplier, only finds that most Indian manufacturers are dependent on China for their active drug ingredients.
    Clinton and Outsourcing
    The emergence of China in recent years as the global giant in terms of pharmaceutical drugs and products is embedded in the Made in China-2025 national plan as one of the ten priority areas for China to gain world leadership. It has not been simply a random chance development. This in turn, as the present COVID-19 crisis makes starkly clear, is a huge vulnerability for the rest of the world.
    How did such a one-sided situation develop? We have to go back to the role of the Clinton Presidency in what was then dubbed globalization, the Davos model of outsourcing any and everything from advanced industrial countries like the USA or Germany to especially China after 2000.
    In May 2000 in one of the most far-reaching actions of his Presidency, Bill Clinton, with the strong backing of US multinational companies, succeeded, over the strong objections and warnings of many trade unions, to get Congressional passage of a permanent “most-favored nation” trade status for China and US support for China entry into the World Trade Organization. That gave the green light to corporate America for a flood of overseas investment in cheaper China manufacture known as “out-sourcing.” Major US drug makers were among them. Within two years of the passage of the US free trade agreement with China the US shut its last penicillin fermentation plant in New York State as a result of severe Chinese low-price competition.
    In 2008, the Chinese government designated pharmaceutical production as a “high-value-added industry” and bolstered the industry through subsidies and export tax rebates to encourage pharmaceutical companies to export their products. By 2019 China had become by far the world’s largest source for active pharmaceutical ingredients (APIs).
    The Achilles Heel of this globalization and sole dependency for vital medicines on one country now becomes alarmingly clear as the future of China as a reliable supplier of needed drugs and other medical supplies has suddenly become a matter of grave concern to the entire world.
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Silver Doctors
    Jim Willie: Asian Virus Backlash, Gold Breaks-Out
    Jim Willie of Golden-Jackass Feb 26, 2020
    ราคาทองคำที่ breakout ไปในแนวทางเดียวกันไปทั่วโลกตอนนี้ จะถูกมองว่าเป็นการป้องกันตัวเองจากไวรัสหรือเปล่า
    เรื่องสาหตุของการระบาดของโคโรน่าไวรัส คงเป็นเรื่องยาวที่ต้องพูดถึงกันอีกนาน ก็เหมือนเรื่องของ 9/11 ที่เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ปรับเปลี่ยน landscape ในระดับโลกกันเลย ..อิลิทคงไม่แคล้วว่ามีส่วนเกี่ยวอยู่ด้วยแน่ ๆ ....ในที่สุดแล้ว การเอาคืนของจีนก็คงไม่พ้นการทำลาย King Dollar และผลักดันให้ทองคำขึ้นมาบนบัลลังก์แทน
    การเคลื่อนย้ายระดับโลก paradigm shift อาจเริ่มที่แผนของ bio-attack หรือไม่ก็รอหลังจากนั้น
    แรงจูงใจเรื่องไวรัสนี้มันยากที่จะมองให้ออก คงเป็นเรื่องที่ต้องพูดกันอีกนานในโลก ...แต่ที่แน่ ๆ หลังจากที่จีนฟื้นตัวแล้ว (อย่างแน่นอน) สหรัฐกับจีนคงต้องเดินคนละทางแล้ว ซึ่งคงจะแตกต่างจากสิ่งที่พวกแบ้งเกอร์คาบาลเตรียมแผนไว้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการยกเลิกโลกาภิวัฒน์ (de-globalization) การฟื้นตัวของโลกจะเกิดขึ้นช้ามากแบบ L-shape
    อู่ฮั่นมีโรงงาน 48 แห่งที่ซัพพลายส่วนประกอบผลิตภัณท์ยา (pharmaceutical components) ให้กับสหรัฐ ..ซึ่งวัตถุดิบคงคลังของสหรัฐอยู่ที่สามสัปดาห์และขณะนี้ก็กำลังจะหมดลง ....โมเดลธุกิจของสหรัฐมีการปรับเปลี่ยนอย่างแรงมากในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา มีการลดฐานการผลิตในประเทศ และใช้นโยบายการสต้อคสินค้าแบบ Just-In-Time ...พอมาเจอกับเรื่องการลดของ supply chains ระดับโลก มันก็ยุ่งเลย ..และก็คงต้องเกิดปัญหาทางการเงินแน่ ๆ หนีไม่พ้นการปรับโครงสร้างหนี้..ที่ได้เริ่มกันบ้างแล้วในเอเซีย ต่อไปก็จะเป็นในสหรัฐ เช่นโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งที่กำลังจ่อจะล้มละลาย ..สิ่งที่เราควรรู้ไว้คือ บริษัทส่วนใหญ่ของสหรัฐเป็นบริษัทที่มีเปลือกหุ้มด้วยหนี้มหาศาล มีการเล่นแร่แปรธาตุด้านการเงินด้วยความโลภจากฝ่ายบริหารของบริษัททั้งนั้น
    นักวิเคราะห์การเมืองของโลก William Engdahl ได้เขียนรีวิวไว้ ถึงเรื่องว่า COVID-19 เป็นการทำขึ้นมาโดยเพิ่ม HIV ไว้ด้วย ...นักวิทยาศาสตร์จากอินเดียก็กำลังตรวจสอบอยู่ มันมีการตัดต่อพันธุกรรมที่เรียกให้เกิดความสนใจในหลายเดือนมานี้
    อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอ Robert David Steele เชื่อว่าอาวุธชีวภาพเหล่านี้ถูกปล่อยออกมาโดยสายลับด้านความมั่นคงของฝ่ายแองโกล-อเมริกัน ส่งไปที่ศัตรูคือจีน ..ไวรัสโคโรน่าเป็นภาคดัดแปลงของไวรัส SARS ซึ่งมีความเสี่ยงต่อชาวจีนโดยเฉพาะ ...นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับคนนับล้าน ๆ
    ASIAN VENGEANCE WITH GOLD
    เอเซียเอาคืน..ด้วยทองคำ
    ราคาทองคำในเทอมของเงินเยน ไม่ใช่แค่ breakout แค่ตอนนี้ แต่มันเป็นเรื่องระยะยาว ...นี่คือการเตรียมถอนตัวจากการเป็นลูกสมุนของสหรัฐ..ที่เป็นมาแล้วนับชั่วอายุ เป็นการเดินออกนอกเส้นทางเงาดำของคิงดอลล่าร์ ...ราคาทองคำในเทอมของเงินหยวนก็ breakout ผู้นำในปักกิ่งเตรียมการดันราคาทองคำให้สูงขึ้น ...ปฏิกิริยาจากโคโรน่าไวรัสกำลังเริ่มต้น จากการที่ราคาทองคำเคลื่อนไหวในสกุลเงินหลัก ๆ ของเอเซีย มันกำลังเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติ เพราะสกุลเงินของเอเซียกำลังอ่อนตัว ...สิ่งที่กำลังเกิดกับ supply chain ที่หยุดนิ่งนับพัน ๆ แห่งของเอเซียตอนนี้ เป็นการลดมูลค่าของสกุลเงินของพวกเขา ผลที่เกิดขึ้นทันทีทันใดก็คือ..ราคาทองคำสูงขึ้นหมดในทุกสกุลเงินของเอเซีย ตลาดทองคำในประเทศหลัก ๆ ของเอเซียสูงขึ้นทันที ..การระบาดของไวรัสจึงเป็นการ breakout ของทองคำในระดับทวีปไปเลย ...นับเป็นอุบายที่เหมาะเจาะมาก ๆ ...เป็นการหนุนกระบวนการทั้งลดค่าเงินและหนุนการถือครองทองคำไปด้วย ...สิ่งที่ต้องจับตาอีกเรื่องคือแผนของเงินเฮลิคอปเตอร์ (การแจกเงิน) ที่กำลังจะเกิดขึ้นที่ฮ่องกง
    GENERATIONAL JAPANESE GOLD BREAKOUT
    ราคาทองคำในเทอมของเงินเยนกำลังพุ่งในอัตราเร่ง ที่จริงก็ขึ้นต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว...(ชาร์ต 1) ญี่ปุ่นกำลังทิ้งทรัพย์สินยูเอสดอลล่าร์ขนานใหญ่ในขณะเดียวกันก็ลดบทบาทการเป็นสมุนอเมริกันของตน ...เมื่อต้นปี 2019 Bank of Japan เริ่มการดั๊มพ์ทิ้งพันธบัตรสหรัฐและซื้อทองคำเพื่อเป็นรีเสิร์ฟของธนาคารกลาง ...ทั่วทั้งเอเซียกำลังทิ้งเงินยูเอสดอลล่าร์ รัฐบาลสหรัฐเข้ามาขัดขวาง และข่มขู่บรรดาผู้นำ ..แต่การดั๊มพ์เพื่อเปลี่ยนเป็นทองคำก็ยังไม่หยุด
    ลำดับเหตุการณ์ต่อไปนี้ จะเป็นจริงในปี 2020-2021 ..โคโรน่าไวรัสโจมตีเอเซีย ..เศรษฐกิจในแถบเอเซียกำลังสไลด์ลง ..สกุลเงินกำลังอ่อนตัว ..ราคาทองคำต่อเงินสกุลเหล่านี้สูงขึ้นแบบ all-time-high ..เงินที่อ่อนตัวเหล่านี้แหละที่จะจุดชนวนราคาทองคำในสเกลระดับโลก ..แล้วในที่สุดก็จะไปจบลงที่ราคาทองคำในเทอมของยูเอสดอลล่าร์
    มาดูในชาร์ตระยะยาว (ชาร์ต 2) ซึ่งจะไปเสริมการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของญี่ปุ่น (paradigm shift) ...ย้อนไปเมื่อปี 1980 มีการ carry trade เงินเยน (กู้เงินจากแหล่งดอกเบี้ยถูกไปลงทุนในตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า...ผู้แปล) ...ซึ่งมีดอกเบี้ย 0% ...พวกแบ้งเกอร์อเมริกันบีบให้ญี่ปุ่นลดดอกเบี้ยเหลือศูนย์เปอร์เซนต์ ซึ่งทำให้พวกวอลล์สตรีทสามารถทำกำไรนับล้านล้านดอลล่าร์จากการกู้เงินเยนราคาถูก ไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐเป็นเวลายาวนานถึงสี่สิบปี...กำลังจะจบลง..พร้อม ๆ กับสถานะของการเป็นลูกสมุน นำโดยนายกฯ อาเบะ ลูกสมุนคาบาล ปฏิกิริยาของทองคำจะเปิดเผยถึงราคาที่จะเพิ่มไปเท่าตัว ....แล้วแพทเทอร์นเดียวกันนี้ของการ breakout ก็จะเกิดไปทั่วทั้งเอเซีย ทั้งเกาหลีใต้ ไทยแลนด์และอินโดนีเซีย
    CHINESE VENGEANCE WITH DEVALUED YUAN
    จีนเอาคืน..ด้วยการลดค่าเงินหยวน
    จีนจะไม่ปฏิบัติในส่วนของตนใน trade deal ..คงน่าจะต้องมีเซอร์ไพรส์ซึ่งจะเป็นไปตรงข้ามกับดีลที่ตกลงกันมาในช่วงสองปีมานี้กับสหรัฐ ...เคยมีแผนลับของจีนที่จะทำให้ค่าเงินหยวนสูงขึ้นเพื่อกดค่าดอลล่าร์ลง ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้นอย่างแรงในเทอมดอลล่าร์ ....แผนนี้ล้มทันทีที่โคโรน่าไวรัสมาถึง
    ทีนี้ก็มาคอยดูปักกิ่งลดค่าเงินหยวนที่จะทำให้เกิดวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในสหรัฐและโลกตะวันตก เป็นการเอาคืน (รายละเอียดอยู่ใน newsletter กุมภาพันธ์) ...การขาดตอนของ supply chains จากจีนเป็นเพียงหนึ่งในเรื่องสำคัญ ๆ อีกหลาย ๆ เรื่องของอีเว้นท์ที่จะสร้างหายนะในครั้งนี้...
    ดูในชาร์ตระยะยาวราคาทองคำในเงินหยวน CNY (ชาร์ต 3) ...ย้อนไป 30 ปี หลังจากที่ฮ่องกงได้รับการปลดปล่อย และการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ของจีนในช่วงต้นยุค 2000s ...ราคาทองขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่หยุด
    USDOLLAR MAJOR GOLD RISE
    ราคาทองคำในเทอมดอลล่าร์ยังคงอยู่ต่ำกว่าเมื่อปี 2012 ที่ $1,900 ....มันต่ำอยู่ที่ $1,200 - $1,300 มาหลายปี ตอนนี้เกิดเรื่อง excite ว่ามันกำลังจะไปถึง $1,800 - $1,900
    การเอาคืนจากเหตุการณ์ไวรัส ที่เราคงจะได้เห็นการระเบิดของตลาดทองคำที่จะล้มทั้ง COMEX และ LBMA เพราะตอนนี้พวกแบ้งเกอร์ทั้งสหรัฐและอังกฤษ ต่างก็หมดมุขในเรื่องเครื่องมือกระดาษของตนแล้ว จนต้องใช้วิธีตบตาด้วย EFP (Exchange For Physical) แต่การเล่นกลก็ถูกเปิดเผยในเวลาไม่นาน ....การ breakdown ของตลาดพันธบัตร ..ตลาด LIBOR ..ตลาดจั๊งค์บอนด์ ฯลฯ จะเป็นตัวเร่งให้ทองคำ ...เป้าของมันจะต้องไปถึง $2,000 ภายในปีนี้
    แน่นอนว่าพวกแบ้งเกอร์คาบาลต้องเข้าแทรกแซงแน่ ๆ แต่ตลาดก็มีคนรออยู่ ...สองกลุ่มใหญ่นักล่าทอง ที่เรียกว่า Gold Whales พร้อมแล้ว ...สองกลุ่มนี้จะเข้าซื้อทุกครั้งที่ทองถูกกดราคาลงมาด้วยกระดาษสัญญา สองกลุ่มนี้แหละที่จะเป็นก้างชิ้นใหญ่ขัดขวางเกมของพวกแบ้งเกอร์
    และเมื่อราคาทองคำเริ่มจะแข็งแรงขึ้น เช่นในเดือนกันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน ...open interest (สัญญาคงค้าง) ในตลาดก็เพิ่มมากขึ้น นี่หมายความว่าพวกแบ้งเกอร์เริ่มจะจนมุม นี่มันยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ..open interest เกือบถึงหนึ่งพันล้านสัญญา .....ที่ผ่าน ๆ มาเกือบ 30 ปีตอนที่ทองไม่เป็นที่ต้องการ open interest ตกมาตลอด แต่คราวนี้ไม่ใช่ คราวนี้มันชัดมาก
    ราคาทองคำที่ breakout ในเทอมของดอลล่าร์อย่างเป็นทางการ..จะปรากฏเป็นสกุลสุดท้าย แต่สำหรับตอนนี้ ราคามันขึ้นไปในทุกสกุลเงินอื่นกันหมดแล้ว ...ดูเหมือนจะเป็น safe haven เพื่อการปกป้องตัวเองจากไวรัสโคโรน่า และต่อไปก็จะเป็นการปกป้องจากการพังของ USTreasury
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    บทนี้แปลเกือบ 3 ปีละครับ...ยังพอได้
    Global Currency Reserve At Risk Jim Willie The Golden Jackass
    Friday July 14, 2017
    ***บทนี้ยาวไปหน่อย อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ***
    ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศสหรัฐไม่เคยได้รับรู้ถึงความสำคัญของ Global Reserve เงินทุนสำรองที่ทุกๆประเทศถืออยู่ ไม่เคยมีการพูดถึงในสื่อทางการเงินเลย คนส่วนใหญ่รู้แค่ว่าดอลล่าร์เป็นเงินที่ใช้หมุนเวียนภายในประเทศ ไม่รู้ถึงบทบาทของดอลล่าร์ในทางการค้าและระบบธนาคารทั่วโลก เมื่อมาถึงตอนที่มันจะต้องยุติบทบาทแล้ว อาการช้อคจะเริ่มตั้งแต่ปีนี้ในรูปแบบใดแบบหนึ่ง
    MEANING OF CURRENCY RESERVE
    ยูเอสดอลล่าร์ถูกใช้ให้เป็นทุนสำรองการเงินของทุกๆประเทศในโลก ทุกๆประเทศจะต้องมีฐานที่เป็นทุนสำรองของระบบธนาคารชาติ มันจะเป็นส่วนหนึ่งในทรัพย์สินทั้งหมดของชาติ ..มันไม่ใช่ทองคำแท่ง แต่เป็นหลักฐานที่แสดงว่าเป็นเจ้าหนี้รัฐบาลสหรัฐ นั่นคือ พันธบัตร US Treasury Bond ในรูปของเงินดอลล่าร์ ...การกระทำดังกล่าวของทุกประเทศเป็นสิ่งที่กลับด้านกับความเป็นจริง ..เอาความเป็นเจ้าหนี้มาใช้เป็นทรัพย์สินหลักเพื่อค้ำระบบธนาคารนับเป็นเรื่องบ้า มันเสี่ยงต่อการล่มสลายกันทั้งระบบในโลกเลย ทั้งหมดนี้เกิดจากอิทธิพลของพวก banker cabal แท้ๆ
    ระบบทุนสำรองของโลกคือการที่ เงินยูเอสดอลล่าร์ถูกใช้เป็นมาตรฐานเดียวเพื่อชำระหนี้ระหว่างประเทศ ..การค้าน้ำมัน..การค้าสินค้าเกษตร..สินค้าทั่วๆไปในตู้คอนเทนเนอร์ เหล่านี้จะชำระเป็นเทอมของ USD ..ส่วนมากสหรัฐจะจ่ายเป็นตั๋วเงินระยะสั้น US Treasury Bills ..ประเทศอิ่นๆทั่วไปสัญญาจ่ายในรูป USD ..ดังนั้นทุกๆประเทศจึงพากันเก็บสำรองตั๋วเงินและพันธบัตรของสหรัฐในระบบธนาคาร เพื่อเตรียมสำหรับการใช้ชำระหนี้ระหว่างประเทศ
    ULTIMATE LOST PRIVILEGE
    มาถึงตอนนี้ King Dollar กำลังจะสูญเสียสิทธิพิเศษนี้แล้ว มันมาจากการกระทำสิ้นคิดที่พยายามจะรักษาความเป็นคิงของดอลล่าร์นั่นเอง ..มันไปกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านจากผู้ที่ถูกเอาเปรียบมานาน โดยเริ่มจะเคลื่อนไหวในทาง ไม่เอาดอลล่าร์ การเคลื่อนไหวดังกล่าวเริ่มจากโลกตะวันออก ...เมื่อถึงคราวที่ฐาน global reserve currency จะต้องพังลง สาธารณชนอเมริกันจะต้องพบกับปัญหาใหญ่ร้ายแรงที่เกิดมาไม่เคยพบ พวกเขาจะสับสน พวกเขาจะถูกกล่อมครั้งใหญ่จากรัฐบาล ...ลองนึกภาพถึงราคาสินค้านำเข้าเมื่อเกิดเงินเฟ้อดู ห่วงโซ่ supply chain ตามร้านค้าจะเกิดขาดแคลนครั้งใหญ่ ตามมาด้วยความไม่สงบ ...วิธีการบริหารประเทศของสหรัฐที่ผ่านมาโดยใช้เครดิตการ์ดกับชาวโลกที่ไม่เคยมีการชำระหนี้เลย มันใช้ไม่ได้ตลอดไปหรอก ...เมื่อสิทธิพิเศษถึงเวลา expire ก็ถึงเวลาของอาการ shock
    EAST TO CONTROL TRADE PAYMENT
    ตลอดเวลาที่ผ่านมา ประเทศในโลกตะวันออกควบคุมการผลิตที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจโลกมาตลอด มันเริ่มจากที่โลกตะวันตกยุติบทบาทเป็นผู้ผลิตและ outsource อุตสาหกรรมของบริษัทใหญ่ๆ ออกจากประเทศ แรกๆก็แถบ pacific rim เมื่อยุค '80 จากนั้นก็อินเดีย บราซิล และประเทศเกิดใหม่หลายประเทศ ...ตะวันตกเข้าควบคุมด้านตลาดการเงินเท่านั้น เป็นธุรกิจในรูปกระดาษ และตลาดที่ซับซ้อนเพื่อสะดวกในการปั่นควบคุม ..แต่ตะวันออกนำโดยจีนควบคุมการผลิต ดังนั้น ประเทศในแถบ pacific rim จึงอยู่ในฐานะที่จะกำหนดเทอมการชำระหนี้ใหม่ได้ การชำระหนี้ด้วยตั๋วเงินระยะสั้นของสหรัฐ US Treasury Bills จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว จากนั้น USDollar ก็ถึงเวลาต้องร่วงจากการเป็นรีเสิร์ฟแล้ว ผลกระทบจะรุนแรงมาก ...
    ...กลุ่มประเทศตะวันออก ภายใต้ Eurasian Trade Zone จะมีบทบาทการกำหนดการชำระหนี้รูปแบบใหม่ อาจเป็น RMB หรือเงินหยวนของจีน รูเบิ้ลของรัสเซีย และจะตามมาด้วย Gold Trade Note ...ด้วยอุตสาหกรรมการผลิตที่แข็งแกร่งจนมาเป็นผู้นำด้านการค้าของโลกแทนอุตสาหกรรมการเงิน เศรษฐกิจของสหรัฐก็อยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกตัดขาดจากซัพพลายหลาย sector โดยเฉพาะการค้าปลีก ..ในขณะเดียวกัน โครงการ One Belt One Road ของจีนก็จะมีธุรกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับแวดวงของเงิน USD เลย...
    CRUDE OIL AS NEXUS
    ผลกระทบอย่างแรกที่จะเห็นได้ชัดอยู่ที่ตลาดน้ำมัน มาตรฐานการใช้เปโตรดอลล่าร์ในการค้าน้ำมันอยู่มา 40 ปีในตะวันออกกลางกำลังสะเทือน สาเหตุคือ ..กลุ่ม OPEC นำกลุ่มโดยซาอุดิฯ และเป็นหุ่นเชิดพวก bank cabal ของกลุ่ม Anglo-American มาตลอด ..ซาอุดิฯกำลังถังแตกและมีปัญหากับกาต้าร์ กับทั้งยังมีสงครามกับเยเมนเพื่อหวังฮุบบ่อน้ำมัน ...นอกจากนี้ ยังเกิดกลุ่ม cartel ใหม่แก้สธรรมชาตินำโดยรัสเซีย กาต้าร์ อิหร่านอีกด้วย ...แต่เรื่องใหญ่สุดคือจีนมีข้อตกลงกับซาอุดิฯเรื่องการชำระเงินค่าน้ำมันเป็นเงินหยวน ซึ่งจะตามมาโดยคูเวต โอมาน UAE และอีกหลายประเทศในกลุ่ม เรื่องนี้จะเป็นตัวตอกฝาโลงเปโตรดอลล่าร์ ซึ่งปิดฝาโลงไว้หลวมๆมาได้สามปีเศษแล้ว
    LAUNCH OF NEW SCHEISS DOLLAR
    เมื่อทั่วโลกไม่ยินดีรับตั๋วเงินระยะสั้นของสหรัฐ ก็จะนำไปสู่การปฏิเสธ USD ไปด้วย ...ดอลล่าร์มีการเพิ่มจำนวนมาอย่างมหาศาลจากการทำ QE ในแบบที่ประเทศในอาฟริกาทำกัน เพื่อพยายามรักษาความเป็นคิงของมัน ..แต่ในเมื่อดอลล่าร์เป็นรีเสิร์ฟของโลก ทุกประเทศที่มีรีเสิร์ฟก็ถูกกระทบจากการเสื่อมค่าของมัน นอกจากนี้สหรัฐยังมีการรักษาความเป็นคิงโดยการทำสงคราม, การแซงชั่น และการขู่ทำสงคราม
    การปฏิเสธ USD ในการค้าโลกจะเป็นการเปิดศักราชใหม่กับโลก จะทำให้สหรัฐต้องมีการใช้ดอลล่าร์เฉพาะในประเทศแยกออกจากดอลล่าร์เดิม ...ซึ่งจากการที่สหรัฐมีการขาดดุลการค้ามาปีละ $550,000 ล้าน รัฐบาลจะถูกกดดันให้ต้องลดค่าเงินลงประมาณ 30% ในทุก 6 เดือน รัฐบาลอาจต้องสร้างความน่าเชื่อถือโดยการหนุนค่าเงินใหม่ด้วย รีเสิร์ฟเท็จของทองคำในเหมือง ปริมาณน้ำมันในประเทศ ...การลดค่าเงินดอลล่าร์ใหม่จะสร้างความเจ็บปวดแต่ก็ต้องทนเพื่อความอยู่รอด จะต้องเปิดรับเงินทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ของประเทศที่ไม่เคยพบเห็น เพราะที่ผ่านมามีแค่แท่นพิมพ์ก็พอแล้ว ...ค่าเงินที่ลดลงจะทำให้สินค้านำเข้าสูงจนเกิดการขาดแคลน เพราะไม่มีกำลังซื้อเข้ามา มันจะต้องนำไปสู่ความวุ่นวาย จราจลในสังคม เกิดการแย่งชิง ทั้งอาหารในซุปเปอร์มาร์เก้ต น้ำมันจากปั้มน้ำมัน และชิงเงินหน้าตู้ ATM
    GOLD IMPACT
    ผลกระทบที่จะเกิดในโครงสร้างของระบบการเงินของโลกมันจะใหญ่มากตอนที่ดอลล่าร์จะหมดบทบาท ทั่วโลกจะต้องหาสิ่งทดแทนเข้ามาเป็นฐานในระบบการเงิน ...ทองคำคือคำตอบ ...ในขณะที่ปริมาณเงินในโลกถูกเพิ่มมา 5 เท่าตัวในรอบหลายปีมานี้ ทองคำในปริมาณคงเดิมจำต้องไต่ระดับขึ้นสู่ระดับที่เหมาะสมด้านราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    ตั๋วทองคำเพื่อการค้า ที่มีทองคำหนุนจะมีบทบาทมากในระบบการเงินจากการค้าการแลกเปลี่ยน จีนจะเป็นผู้นำในการผลักดัน King Dollar ออกไปให้พ้นทาง...โลกตะวันออกต้องการการชำระค่าสินค้าอย่างเที่ยงธรรม ...ที่ผ่านๆมา สหรัฐได้กัดเซาะเงินยูเอสดอลล่าร์ของตนเองในบริบทของการธนาคารและการค้าอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว ราคาทองที่เกือบหยุดนิ่งมาตลอดต้องเปลี่ยนไป ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเขตไหนประเทศไหนมีการปั่นหรือกดราคาอยู่บ้างหรือเปล่า พวกตะวันพยายามมาตลอดที่จะกดราคาทองคำไว้ ในขณะที่พวกตะวันออกก็ต้องการราคาที่เป็นไปตามมูลค่า ..ซึ่งในที่สุดแล้วราคาทองก็จะต้องขึ้นไปที่ระดับ $2,500 ..$5,000...และก็ $8,000..และก็ $12,000
    GEOPOLITICAL REALITIES
    ความล้มเหลวของ USD ในตะวันออกกลางเป็นสัญญานให้ทุกประเทศเตรียมตัวกระโดดลงจากรถขบวนนี้แล้ว ...ความพยายามก่อสงครามหลายแห่งเพื่อปกป้อง USD เน่าๆ เป็นสัญญานให้ทุกประเทศเตรียมตัวกระโดดเกาะรถขบวนใหม่ ยุโรปจะไม่รอดถ้าไม่เข้าร่วม One Belt One Road ที่ประกอบไปด้วยสัญญาโครงการมากมาย ....ธุรกิจการค้าทั่วโลกเล็งไปที่จีนและรัสเซีย ที่เป็นผู้นำของ Eurasia Trade Zone โดยมีองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้เป็นผู้พิทักษ์ภัยจากการคุกคามของ NATO ....
    สิ่งหนึ่งที่สร้างความผิดหวังให้แก่นักโฆษณาชวนเชื่อของตะวันตกคือ รัสเซียเป็นประเทศที่ไม่มีหนี้ต่างประเทศเลย ในขณะที่สหรัฐหนี้เพียบจนรอวันล้มละลายแบบที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ..ตุรกีโดดหนีจาก NATO ผู้กระหายสงครามและนักค้ายาเสพติด ...ความล้มเหลวของเปโตรดอลล่าร์จะทำให้อิหร่าน กาต้าร์ รัสเซียเกาะกลุ่มกันแน่นหนาขึ้น ...การแซงชั่นรัสเซียก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว กลุ่มประเทศยุโรปกำลังฟื้นฟูความสัมพันธ์ในเชิงพาณิชย์เหมือนกับเป็นการท้าทายสหรัฐ ส่วนการแซงชั่นอิหร่านก็ส่งผลสะท้อนกลับ เพราะอิหร่านขายน้ำมันแลกทองกับอินเดียแล้ว.....
    การรีเซ็ทระบบการเงินของโลกอยู่ไม่ไกลแล้ว สัญญาอนุพันธ์ต่างๆที่เปิดมาก็เพื่อการพยายามรักษาธนาคารยักษ์ระดับ Too Big To Fail ไม่ให้มันล้มไปเท่านั้น การพิมพ์เงินในรูป QE ของ Federal Reserve ก็เป็นไปเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แบ้งค์เหล่านี้นั่นเอง ถ้าไม่มีอนุพันธ์เพื่อการเข้าซื้อบอนด์ แบ้งค์พวกนี้ก็คงเจ๊ง เหมือนแบ้งค์ของสเปนและอิตาลีตอนนี้ แต่นี่เป็นเพราะสหรัฐมันเป็นประเทศ exceptional
    Cartel กลุ่มแก้สธรรมชาติใหม่จะซื้อขายกันเป็น หยวน รูเบิ้ล และยูโร ซึ่งนี่เป็นเหตุให้สหรัฐบีบขายแก้สราคาแพงให้กับยุโรป ...พวกนีโอคอนส์ในวอชิงตันกำลังวุ่นอยู่กับการขัดขวางท่อแก้สของเยอรมัน-รัสเซีย Nord Stream 2 พร้อมๆกับ Turkish Stream ...ถ้าจะใช้สำนวนของซัดดัมมาพูด pipelines ตัวแม่จะเป็นตัวที่เชื่อมเอา อิหร่าน-กาต้าร์-อิรัก-ซีเรีย-ตุรกี ส่งขายให้ยุโรป ..ทีนี้บัลลังก์ของ King Dollar ก็ต้องถึงจุดจบทีมองเห็นชัดขึ้นแล้ว ความตื่นเต้นจะมาอีกครั้งเมื่อตอนทองคำเข้ามาในระบบการชำระเงิน....
    ***โปรดใช้วิจารณญาน***
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฮ่องกงแนะนำกักกันสัตว์เลี้ยง! หลังยังพบเชื้อไวรัสโคโรน่าในสุนัขฮ่องกง หลังตรวจครั้งที่ 2
    สาธารณสุขฮ่องกงแนะนำให้มีการกักกันเชื้อสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ในฮ่องกง 14 วัน หลังพบว่าสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน (Pomeranian) มีเชื้อไวรัสโคโรน่าอ่อนๆ ในการตรวจครั้งที่ 1 และ 2
    ก่อนหน้านี้ สมาชิกในครอบครัวที่พบสุนัขติดเชื้อไวรัสโคโรน่ายังได้รับอนุญาตให้อยู่กับสัตว์เลี้ยงได้ หากในบ้านไม่มีผู้ป่วยหรือผู้ที่ต้องกักกันเชื้อ แต่นับจากเวลานี้สุนัขที่ถูกตรวจพบเชื้อจะต้องถูกส่งไปกักกันเชื้อ
    และสุนัขจะได้กลับบ้านก็ต่อเมื่อไม่พบเชื้อไวรัสแล้ว
    ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้สาธารณสุขได้มีการตรวจแมวของผู้ป่วยรายที่ 18 ในฮ่องกง ผลไม่พบการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าในแมว และได้ส่งแมวกลับไปให้เจ้าของแล้วหลังจากที่เขาได้หายดีและออกจากโรงพยาบาลในวันที่ 14 กุมภาพันธ์
    ส่วนสุนัขพันธุ์ชิบะที่เจ้าของเป็นหนึ่งในผู้ติดเชื้อไวรัสโคโนน่ารายที่ 77 ก็ไม่พบการติดเชื้อในสุนัขตัวนี้
    ทั้งนี้ สาธารณสุขจะทำการตรวจสอบอีกครั้งว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่าทั้ง 94 คน มีสัตว์เลี้ยงหรือไม่ หากพบว่ามีก็จะเข้าทำการตรวจเชื้อสัตว์เลี้ยงเพื่อตรวจหาไวรัสต่อไป
    ในเคสของสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนที่พบการติดเชื้อ แม้ว่าจะพบเชื้อไวรัส แต่สุนัขก็ไม่ได้มีอาการใดๆ และไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ว่าสัตว์เลี้ยงสามารถติดเชื้อ coronavirus หรือเป็นแหล่งของการติดเชื้อ
    นอกจากนี้สาธารณสุขฯ ยังได้แนะนำให้ดูแลรักษาความสะอาดหลังจับต้องสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะการล้างมือ และไม่ควรพาสุนัขไปเดินเล่นในพื้นที่แออัด
    ***ติดตามอัพเดทสรุปประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าในฮ่องกงได้ที่กระทู้ปักหมุด***

    Source : https://www.scmp.com/news/hong-kong...avirus-no-need-panic-hong-kong-veterinarians?
    #ข่าวฮ่องกง #khaohongkong
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฮ่องกงประกาศกักกันเชื้อ ผู้ที่เดินทางมาจากอิหร่าน และ 3 แคว้นจากอิตาลี พร้อมออกคำเตือนสีแดง
    นับตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนที่จะเข้าสู่วันอาทิตย์คืนนี้ ฮ่องกงจะทำการกักกันเชื้อผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอิหร่าน และแคว้น Emilia-Romagna, Lombardy และ Veneto จากอิตาลี ซึ่งเมืองหลักๆ อย่าง Bologna, Milan, Venice และ Verona ก็รวมอยู่ในแคว้นดังกล่าว หลังพบตัวเลขการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก
    โดยผู้ที่เดินทางจากประเทศดังกล่าว รวมทั้งพลเมืองฮ่องกงจะถูกส่งกักกันเชื้อ 2 สัปดาห์
    ***ติดตามอัพเดทสรุปประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าในฮ่องกงได้ที่กระทู้ปักหมุด***

    Source : https://www.scmp.com/news/hong-kong...oronavirus-hong-kong-quarantine-all-arrivals?
    #ข่าวฮ่องกง #khaohongkong
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข้าราชการฮ่องกงเตรียมกลับเข้าออฟฟิศวันจันทร์หน้า
    ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2020 เป็นต้นไป ข้าราชการฮ่องกงจะต้องกลับเข้าออฟฟิศมาทำงาน หลังจากที่ต้องทำงานจากที่บ้านเป็นเวลาราว 1 เดือน เพื่อหวังควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19
    จะมีมาตรการในการป้องกันด้วย เช่น จะมีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายผู้ที่จะเข้าอาคาร ในส่วนการให้บริการบางอย่างจะขยายเวลาทำการออกไป เนื่องจากต้องการลดจำนวนผู้ที่กำลังรอทำเรื่อง นอกจากนี้บางบริการก็จะมีให้เฉพาะวันที่กำหนดไว้เท่านั้น
    ทั้งนี้ยังเกิดความกังวลจากหลายฝ่าย ศาสตราจารย์
    David Hui Shu-cheong จากมหาวิทยาลัย Chinese University ได้ให้ความเห็นว่าการกลับมาให้บริการประชาชนจะทำให้มีความเสี่ยงในการระบาดไวรัสมากขึ้น
    ศาสตราจารย์ David เผยว่า “ข้าราชการก็จะต้องใช้บริการรถสาธารณะ ซึ่งจะทำให้เกิดความแออัดมากขึ้น และจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อมากขึ้น”
    ***ติดตามอัพเดทสรุปประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าในฮ่องกงได้ที่กระทู้ปักหมุด***

    Source : https://www.scmp.com/news/hong-kong...onavirus-hong-kong-civil-servants-set-return?
    #ข่าวฮ่องกง #khaohongkong
     

แชร์หน้านี้

Loading...